xs
xsm
sm
md
lg

ไฟมาร ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไฟมาร ตอนที่ 1

บรรยากาศกรุงเทพมหานครช่วงเวลาตอนกลางวัน มีแต่ความสับสนวุ่นวาย ทุกชีวิตต่างรีบเร่งแข่งกับเวลา ในขณะที่สภาพการจราจรกลับติดขัดไม่เป็นใจ บนท้องถนนผู้คนเดินกันขวักไขว่ ส่วนในรถไฟฟ้านั้นเล่าผู้โดยสารแออัด ยอมเบียดเสียด เพื่อไปถึงที่หมายทันตามเวลา

ไกลออกมาบริเวณชานเมือง เครื่องบินโดยสารระหว่างประเทศลำหนึ่งกำลังร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ
นักข่าวสาวสวยมาดเท่ กาว หรือ กรรณนรี แต่งตัวทะมัดทะแมงพร้อมลุยทุกเมื่อ กำลังเดินแกมวิ่งอยู่ตรงทางเดินในสนามบินด้วยท่าทีท่าทีกระฉับกระเฉง จังหวะนั้นเธอวิ่งแซงหน้าผู้คนที่ยืนอยู่อย่างเร่งรีบพลางคุยโทรศัพท์ไปด้วยสีหน้าร้อนใจ
“มะยม...บอกพี่จ๋าด้วย ฉันเข้าออฟฟิศตอนนี้ไม่ได้”
ปลายสายคู่สนทนาคือ มะยม เพื่อนซี้ ซึ่งในตอนนั้นอยู่ที่ออฟฟิศหนังสือพิมพ์ที่ทำงานของกรรณนรี
“ทำไมล่ะวะกาว” มะยมถามกลับหน้าเหยเก ร้องเสียงหลง
“เก๊าะ...แหล่งข่าวของฉันบอกว่าน้องฟ้า ดาวรุ่งชื่อดังที่มีข่าวว่าเป็นเมียน้อยของเสี่ยวินัย กำลังจะบินตามเสี่ยวินัยไปญี่ปุ่นน่ะสิจ๊ะ” กรรณนรี บอก
มะยมได้ฟังก็ตาลุกวาว เนื้อเต้น “โอ้…ถ้าเป็นข่าวนี้บก.พี่จ๋า...คงไม่ว่าอะไรแกหรอก แต่ยังไงฉันว่าพี่จ๋าก็ยังรอคำตอบจากแก เรื่องไปสัมภาษณ์คุณภาพิศอยู่นะ”
ชื่อภาพิศทำให้กรรณนรี ตาวาวไม่พอใจขึ้นมาแต่พยายามข่มอารมณ์ “บอกพี่จ๋า…แล้วค่อยคุยกัน”
กรรณนรี วางสายเก็บโทรศัพท์มือถือแล้ววิ่งไปตามทางเดินในสนามบินอย่างร้อนใจ

เวลาเดียวกันสรวง ชายหนุ่มรูปงามเรือนร่างสูงโปร่ง รับกับหน้าตาอันหล่อเหลา เขาเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก และเดินออกจากประตูผู้โดยสารขาเข้า สรวงสวมชุดสบายๆ แต่ดูเท่ ชายหนุ่มอำพรางตัวด้วยการใส่แว่นตาดำ สวมหมวกขณะลากกระเป๋าออกมาพร้อมกับสาวเปรี้ยว สุขหฤทัย หรือ ฤทัย เสียงเตือนของคุณหญิงสุดา ผู้เป็นมารดา ดังก้องในหัวชายหนุ่ม
“ระวังด้วยนะลูก ถ้านักข่าวรู้ว่าสรวงกลับมาวันนี้ เป็นได้แห่ไปสนามบินแน่”
สรวงกลั้วหัวเราะ “จะมาทำไมครับคุณแม่ ผมไม่ได้สำคัญอะไรซักหน่อย”
สุดาไม่พอใจ “สำคัญสิ เพราะนักข่าวคงอยากรู้ว่าสรวงรู้สึกยังไงที่คุณพ่อยกย่องนังภาพิศเมียน้อยออกหน้าออกตาทัดเทียมกับแม่ขนาดนี้”
พอนึกถึงคำพูดนี้ สีหน้าของสรวงเคร่งเครียดไม่พอใจขึ้นมาทันที พร้อมกันนั้นชายหนุ่มก้มหน้าลงแล้วดึงหมวกลงบังหน้า กวาดตามองรอบๆ อย่างระวังตัว สุขหฤทัยเห็นเข้าก็ถามขึ้น
“มองหาใครหรือคะสรวง”
สรวงตอบโดยไม่ได้สนใจสุขฤทัยเท่าไหร่ “เปล่า”
“ก็น่าจะเปล่าหรอกค่ะ” สุขฤทัยกอดแขนสรวงไว้ บอกอย่างมั่นใจ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“เพราะถ้ามีฤทัยเดินอยู่ข้างๆ สรวงก็ไม่ควรจะมองหาใครอีก”
สรวงเบี่ยงหน้าออกอย่างถือตัว “ฤทัย...ที่นี่ที่สาธารณะ ทำอะไรระวังหน่อย”
สุขฤทัยยิ้มยั่ว พูดเย้า “งั้น...เก๊าะแปลว่า...ถ้าไม่ใช่ที่สาธารณะ...สรวงยินดีจะทำอย่างที่
ฤทัยต้องการใช่มั้ยคะ”
สรวงตำหนิแบบไม่ไว้หน้า “เป็นผู้หญิง พูดจาอะไรน่าเกลียด”
สุขฤทัยไม่สน ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบที่หูสรวงใหม่ “แค่บอกความต้องการของตัวเอง น่า
เกลียดตรงไหนกัน อีกอย่าง...ต่อไป..เราก็จะหมั้นหมายกันอยู่แล้วแค่นี้...ถือว่า…เบาๆ ค่ะสรวงขา” พลางกอดแขนแน่นเข้าไปอีก
สรวงได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ

กรรณนรี วิ่งกระหืดกระหอบมาตามทางเดิน เพ่งมองไปเห็นดาราสาวน้องฟ้ากำลังตรงไปยังเคาน์เตอร์เช็กอินผู้โดยสารขาออกพอดี
“บ๊ะ! น้องฟ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
กรรณนรี ยิ้มกริ่มยกกล้องขึ้นแอบถ่ายแบบปาปารัสซี่มืออาชีพ ภาพจากคมเลนส์เธอเห็นเสี่ยวินัยเดินมาจากอีกมุม ก่อนจะตรงมาหาฟ้าดาราสาว
กรรณนรี ตาโต “เสี่ยวินัย อีหรอบนี้ไปด้วยกันแหงๆ เฮ้ย! สับขาหลอกกันนี่หว่า”
กรรณนรี ยกกล้องขึ้นปรับซูมภาพอย่างแคล่วคล่องก่อนจะถ่ายภาพ น้องฟ้ากับเสี่ยวินัย และกดชัตเตอร์ถี่ยิบ

ขณะนั้นสรวงเดินสวนออกมาพร้อมกับสุขฤทัย โดยที่สุขฤทัยกอดคล้องแขนสรวงอยู่ พร้อมกับเอาหน้าซบลงตรงไหล่สรวง แถมยื่นหน้ามานัวเนียตรงใบหน้าสรวง และจังหวะนั้นสรวงกับสุขฤทัยอยู่ด้านหน้าเป้าหมายของกรรณนรี เสี่ยวินัยกับน้องฟ้าโดยบังเอิญ
ภาพในเลนส์กล้องจังหวะที่กรรณนรี กด เป็นใบหน้าสรวงมองมาเห็นกรรณนรี กำลังถ่ายรูปตนพอดิบพอดี ทั้งกรรณนรี และสรวงร้องขึ้นพร้อมๆ กัน
“เฮ้ย!”
“คุณ นี่เดินมาบังฉันทำไม” กรรณนรี ฉุนต่อว่าทันที
สรวงทั้งโกรธทั้งตกใจ “คุณน่ะสิ มาถ่ายรูปผมทำไม”
กรรณนรี งง “ฉันจะถ่ายรูปคุณไปทำไม” พลางปรายตามองสุขฤทัยที่กอดสรวงอยู่ “อ้อ! หรือว่าทำอะไรประเจิดประเจ้อ จนกลัวว่าคนเค้าจะเอารูปไปประจาน”
“คนเป็นแฟนกัน ต่อให้ยืนกอดจูบกันอยู่ตรงนี้ก็ไม่ผิด” จูบที่แก้มสรวงโชว์ “ใช่มั้ย
คะที่รักขา”
“งั้นจะทำอะไรก็เชิญตามสบาย แต่อย่าให้ถึงขั้นลงข่าวหน้าหนึ่งว่า “ผัวหนุ่ม
เมียสาว” ทำ ”อนาจาร” กลางสนามบินก็แล้วกัน”
กรรณนรี ผลักสรวงออกแล้ววิ่งตามน้องฟ้าไป สรวงโมโหมาก
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเธอ!” วิ่งตามกรรณนรี ไปติดๆ
“สรวงคะ สรวง” ฤทัยขัดใจบ่นอุบ “ตามมันไปทำไม” ก่อนจะหันมาพูดกับตัวเอง “ให้มันลงข่าวแหละดี คนจะได้รู้ ว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน!”
สุขฤทัยเลยต้องตามสองคนไปอย่างเสียไม่ได้

กรรณนรี วิ่งหน้าตั้งตามน้องฟ้ามา กวาดตามองหา ตามมุมต่างๆ ตาแทบปลิ้น แต่ไม่เห็นแม้เงา
กรรณนรี ชักหงุดหงิด ”น้องฟ้าหายไปไหนแล้ว ปั๊ดโธ่เอ๊ย”
จู่ๆ สรวงวิ่งตามมาทันและคว้าข้อมือของกรรณนรี เอาไว้หมับ กรรณนรี หันไปมองอย่างตกใจ
“เฮ้ย! คุณ”
“เอากล้องมานี่” สรวงยื้อแย่งกล้องในมือกรรณนรี
“จะเอากล้องฉันไปทำไม?” กรรณนรี ไม่ยอมยื้อคืน
“ก็คุณแอบถ่ายรูปผม เอามานี่” สรวงแย่งมาอีก
“ไม่!” กรรณนรีแย่งคืน
สองคนยื้อแย่งกล้องกันไปมา กรรณนรี ตั้งใจเบี่ยงตัวหลบ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่ากรรณนรี เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของสรวง จังหวะนั้นนิคนักข่าวรุ่นน้องเดินมาอีกมุมเห็นเข้าพอดี
“บ๊ะ!พี่กาว”
ตอนแรกนิคจะวิ่งเข้ามาช่วย แต่กลับเปลี่ยนใจยกกล้องขึ้นถ่ายตามประสานักข่าว สุขฤทัยมาถึงและเห็นเหมือนสองคนกอดกันอยู่
“สรวง” สุขฤทัยแผดเสียง
สรวงและกรรณนรี ตกใจหันมาตามเสียง สรวงฉวยโอกาสนั้นแย่งกล้องคืนไปได้
กรรณนรี ร้องลั่น “เฮ้ย! เอาของฉันคืนมานะคุณ” กรรณนรี ยื้อยุดหมายจะเอาคืน
“ถ้าคุณไม่ได้ถ่ายรูปผม คุณกลัวทำไม”
สรวงเปิดกล้องดูภาพที่ถ่ายในจอภาพ เห็นเป็นใบหน้าของสุขฤทัยนัวเนียอยู่ตรงหน้าสรวง
“นี่ไงรูปผม”
กรรณนรี เซ็ง พยายามอธิบาย “ก็แหงล่ะ คุณเดินมาบังหน้าฉัน จะไม่เห็นคุณได้ยังไง”
สรวงไม่เชื่อ “ไม่จริง คุณตั้งใจถ่ายผม”
สุขฤทัยเดินมาเกาะแขนสรวง “เค้าอยากถ่ายก็ช่างเค้าเถอะค่ะ จะไปสนใจทำไม”
“ผมไม่อยากให้คนสร้างกระแส เอาเรื่องของผมไปทำมาหากิน”
กรรณนรี โกรธ เริ่มมีอารมณ์กรุ่นๆ “สำคัญตัวผิดแล้วคู้ณ....ภาพหลุดของคนแบบคุณไม่มีใครเค้าอยากดู”
สรวงจ้องหน้ากรรณนรี เขม็ง “จำคำนี้ไว้ให้ดี วันหลังจะได้ไม่กลืนน้ำลายตัวเอง”
สรวงเปิดฝาหลังกล้องถอดเอาซิมการ์ดออกมาแล้วหักทิ้งต่อหน้าต่อตา กรรณนรี ตกใจตาเหลือก
“คุณ...คุณหักซิมฉันทิ้งทำไม?”
สรวงเยาะ พร้อมกับพูดท้าทาย “คนอย่างพวกคุณไว้ใจไม่ได้ ถ้าคิดว่าผมทำเกินกว่าเหตุก็ไปฟ้องเอา” ก่อนจะยื่นกล้องคืนให้กรรณนรี แล้วเดินหนี
สุขฤทัยทำหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนเดินตามสรวงไป
กรรณนรี มองกล้องตัวเองใจหายแว้บ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโกรธ ด่าไล่หลังอย่างอารมณ์เสีย

“ไอ้...ไอ้เบื๊อกเอ๊ย!”

กรรณนรีกลับเข้าออฟฟิศ เล่าเรื่องราวที่สนามบินระหว่างตนกับสรวงจนจบแล้วยืนหน้าบึ้งอยู่

มะยมร้องเหมือนจะทึ่ง “ว้าว ผู้ชายอะไรแรว๊งส์!”
กรรณนรี เสริมอย่างมีอารมณ์ “แรง..แรงมาก เป็นบ้า สำคัญตัวผิด” หันมาพาล เอาเรื่องกับนิค “นายก็อีกคนนิค เห็นทั้งเห็นว่าฉันถูกรังแก ทำไมไม่ออกไปช่วย”
“ตอนแรกก็ว่าจะช่วยเหมือนกัน..แต่วิญญาณนักข่าวมันเข้าสิง เลยแอบถ่ายเจ๊กับหนุ่มคนนั้นดีกว่า...เจ๊ดูนี่...ดูนี่..รูปสวยเปล่า” นิคอวดรูปอย่างภูมิใจ
กรรณนรี เหลือบตามอง เห็นเป็นสรวงกอดตัวเอง กรรณนรี ตาเหลือก
“ลบออกเดี๋ยวนี้เลยนิค ลบออก”
นิคไม่ยอม “ลบทำไม ภาพสวยดีออก อย่างกับคู่ขวัญคู่ใหม่เลย เอ๊! แต่ผมว่า..ผู้ชายคน
นี้หน้าตาคุ้นๆ แฮะ”
กรรณนรี ยิ้มเยาะ “คุ้นแน่ เพราะเค้าอาจจะเป็นผู้ต้องหาที่หลบหนีการจับกุมของตำรวจอยู่ก็ได้ ถึงได้กลัวการถูกถ่ายรูปขนาดนี้...” พลางยกมือกุมหัว “แต่รูป..รูปของน้องฟ้า รวมทั้งรูปที่ฉันถ่ายเอาไว้ หายไปหมดเลย”
“อดได้ช็อตเด็ดเลยนะกาว ไม่งั้นหนังสือพิมพ์เราลงข่าวพร้อมภาพแบบเอ็กซ์คลูซีฟได้เลย ว่าน้องฟ้า ไปกับเสี่ยวินัยจริงๆ”
“น้องฟ้านี่ก็แปลก เป็นดาราดีๆ ไม่ชอบ ไปเป็นเมียน้อยเค้าทำไม๊?” จ๋าเปรยขึ้น
ยินคำว่าเมียน้อย ดวงตาของกรรณนรี ฉายแววขมขื่นแบบปิดไม่มิด เหมือนมีปมอะไรบางอย่างในใจ

ค่ำคืนนั้นกรรณนรี เปิดประตูเข้าไปในห้อง เห็นห้องทั้งห้องมืดสนิท กรรณนรี เดินไปเปิดสวิชท์ไฟด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน หยุดยืนอยู่ตรงนั้นในลักษณะพิงประตูห้อง ดวงตาหม่นหมอง
กรรณนรี พยายามสะบัดไล่ความทุกข์กังวลทิ้งไป ก่อนจะเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวตรงราว และเปิดตู้เสื้อผ้าจะหยิบชุดนอน เพื่อไปอาบน้ำ แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อกวาดสายตามองไปดูที่พื้นด้านล่าง ภายใต้เงามืดสลัวราง ในตู้ เห็นกรอบรูปอันหนึ่งวางคว่ำหน้าอยู่ เป็นการวางที่ดูก็รู้ว่าอยากเก็บซ่อนมันเอาไว้ไม่อยากเห็น
กรรณนรี มองกรอบรูปนั้นอย่างลังเล ก่อนจะตัดสินหยิบขึ้นมาดูแบบอดใจไม่ได้

เป็นรูปของเกริกตระกองกอดกับนุดีผู้เป็นแม่ โดยที่นุดีอุ้มกรรณนรี ตอนอายุราว 7 ขวบ ขณะที่กาวินทร์ในวัย10 ขวบ จับมือเกริกเอาไว้ ดูเป็นภาพครอบครัวแสนอบอุ่น
กรรณนรี มองภาพแล้วน้ำตาคลอ เสียงของมะยมดังก้องในหัว
“ฉันอยากรู้จริงๆ เลย ผู้หญิงที่ไปเป็นเมียน้อยคนคิดอะไรอยู่”

อนิจจา...ที่แท้ ภาพิศ ก็คือ นุดี แม่ของกรรณนรี และกาวินทร์นั่นเอง
นุดีเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ภาพิศ และกลายเป็นเมียน้อยของนายพลอารักษ์ ที่สังคมรับรู้ทั่วเมือง!

กรรณนรี เพ่งมองภาพภาพิศขณะยังเป็น นุดี เป็นแม่ของตนเอง แล้วพึมพำกับตัวเอง
“นั่นสิ..แม่คิดอะไร...ทำไมถึงต้องทิ้งกาว ไปเป็นเมียน้อย เมียเก็บเค้า”
สีหน้าของกรรณนรี มีแต่ความขมขื่นและเจ็บปวดหัวใจ ภาพจำในอดีตผุดขึ้นมาอีกครั้งในห้วงคิด

ครั้งนั้นนุดีหิ้วกระเป๋าจะออกจากบ้าน เกริกวิ่งมากอดรั้งไว้ ที่ด้านหลังกาวินทร์ในวัย 10 ขวบ กับกรรณนรี วัย 7 ขวบ กอดกันร้องไห้ตกใจ
“นุดี...อย่าทิ้งพี่กับลูกไปเลยนะ พี่สัญญา ต่อไปพี่จะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องของชาวบ้านอีก พี่จะไม่ทำอะไรเพื่อชาวบ้านอีก พี่จะสนใจแต่นุดี สนใจแต่ลูก พี่จะทำเพื่อครอบครัวของเรา นะนุดี...นุดีให้โอกาสพี่นะ
“มันเลยจุดนั้นไปแล้วพี่เกริก” นุดีปลดมือเกริกออก
เกริกคราง ไม่เชื่อหู “นุดี”
นุดีเดินออกไป โดยไม่หันกลับมามอง กรรณนรี กับกาวินทร์ร้องไห้คร่ำครวญ
“แม่..อย่าไปแม่” สองคนร่ำร้องประสานเสียง วิ่งถลาไปกอดแม่ไว้
นุดีปลดมือลูกออก “ปล่อยแม่...” เดินออกไป
กรรณนรี กับกาวินทร์เห็นแม่หันหลังเดินจากไป โดยไม่เหลียวกลับมามองอย่างใจดำมาก
สองคนไม่รับรู้สักนิดว่านุดีเดินจากไปด้วยสายตาของคนเจ็บปวดรวดร้าวเสียใจล้นพ้น แต่จำต้องตัดใจ เดินไปโดยไม่ยอมหันกลับมามอง เพราะกลัวตัวเองจะใจอ่อน

กรรณนรี ดึงตัวเองออกมาจากภาพจำแสนเจ็บปวด มือของกรรณนรี ยังคงจับกรอบรูปอยู่ พูดทั้งน้ำตาคลอเบ้าเสียงแผ่วๆ
“แม่ใจดำมาก”
ระหว่างนั้นกาวินทร์เดินเข้ามาในห้องพูดตอกย้ำด้วยคำเดียวกัน “แม่ใจดำจริงๆ”
กรรณนรี หันไปมอง “พี่แก้ว”
กาวินทร์พูดเสียงเครือๆ อย่างเจ็บปวด “วันนี้พี่เจอข่าวของแม่อีกแล้ว”
พลางกาวินทร์ยื่นหนังสือพิมพ์ให้น้องสาว กรรณนรี รับมาดู เห็นภาพิศยืนเคียงข้างกับอารักษ์แบบไม่แคร์สายตาใคร เป็นภาพข่างสังคมที่สองคนออกงานด้วยกัน
“รู้ทั้งรู้ว่าการเป็นเมียน้อย ถูกสังคมประณาม แม่ยังจะมายิ้มสู้กล้องอยู่ได้” ก้าวสะท้อนใจ
กาวินทร์เยาะ “แม่คงมีความสุข และภูมิใจมากที่ได้เป็นเมียน้อย อย่างว่า...นายอารักษ์มันรวย มันมีอำนาจ
“แค่สองคำนี้เองเหรอพี่แก้ว...แม่ถึงได้ทิ้งพ่อ ทิ้งพวกเราไป” กรรณนรี เย้ยหยัน
“สำหรับคนที่ไม่รู้จักพอ สองคำนี้มันมีคุณค่าเสมอกาว” กาวินทร์บอก
จังหวะนั้นยินเสียงของเกริกผู้เป็นพ่อร้องไห้ดังแทรกขึ้นมา กรรณนรี กับกาวินทร์เหลียวหันไปมองที่ด้านหลังเห็นเกริกที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมยืนร้องไห้คร่ำครวญ
“อย่า...อย่าว่าแม่...พ่อผิดเอง...ผิดที่ดูแลแม่ไม่ได้ ดูแลครอบครัวไม่ได้”
กรรณนรี ฉุนกึกพูดใส่อารมณ์กับพ่อ “พ่อไม่ต้องเข้าข้างแม่ เพราะสำหรับความเป็นแม่…แม่ไม่ควรทิ้งลูก แต่นี่..” น้ำเสียงของกรรณนรี เริ่มสั่นเครือ “แม่เห็นแก่ตัว แม่เลือกความสบาย ทั้งๆ ที่ความสบายของแม่ มันอยู่บนกองไฟ”

ภาพิศยิ่งดูสวยบาดใจมากขึ้นในชุดนอนเนื้อเนียนบาง ขณะเดินมาโอบกอดพลตรีอารักษ์อย่างเอาใจ
“เดี๋ยวภาเตรียมน้ำให้อาบนะคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะภา คืนนี้ผมไม่ค้าง?”
ภาพิศฉงน “ทำไมคะท่าน”
อารักษ์บอกตรงๆ “ลูกของผมกลับมา”
ภาพิศพูดออกมาน้ำเสียงฟังดูขมขื่น “คุณสรวง”

แวบหนึ่งนั้นดวงตาของภาพิศเป็นประกายวาววับไม่พอใจ

คืนนั้นสรวงเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ลงบันไดมายืนรอพ่อกับแม่อยู่ตรงห้องโถงภายในคฤหาสน์ สักครู่หนึ่งคุณหญิงสุดาก็เดินเข้ามา ยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นลูกชายสุดที่รัก

“สรวง” สุดาโผเข้ากอดสรวงแน่นด้วยความรักและคิดถึง “ทำไมกลับมาวันนี้ล่ะลูก”
สรวงยิ้มร่า “ผมอยากเซอร์ไพร้ส์ คุณแม่ อีกอย่าง อยากสับขาหลอกนักข่าวด้วยครับ…” นึกถึงกรรณนรี ขึ้นมา น้ำเสียงไม่พอใจ “แต่ก็ยังมีนักข่าวบางคนรู้จนได้ ไปดักรอผมถึงสนามบิน”
จังหวะนายพลอารักษ์เดินเข้ามาพอดี สุดามองสามีอย่างไม่พอใจ สรวงหันไปมอง สุดาพูดเหน็บแนมสามีผ่านทางลูก
“อย่างที่แม่บอก เค้าอยากรู้ไง ว่าสรวงต้องเอาปี๊บคลุมหัวเดินหรือเปล่า ที่พ่อยกย่องเมียน้อยเกินหน้าเกินตาแม่น่ะ”
อารักษ์พูดปรามเสียงเข้ม “คุณหญิง”

ครู่ต่อมา สองคนอยู่ในห้องนอน อารักษ์กระชากแขนสุดาถามอย่างเกรี้ยวกราด
“ลูกเพิ่งกลับมา ทำไมคุณต้องเอาเรื่องแบบนี้ไปบอกลูกด้วย”
สุดาสะบัดมือออก “อายเหรอคะ? คุณทำถึงขนาดนี้ไม่ต้องอายแล้ว คนเค้ารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าคุณหลงเมียน้อย...ไม่ไว้หน้าฉันไม่พอ ยังกล้าประจานตัวเองอีก”
อารักษ์ขึ้นเสียง “พอแล้ว...จะพูดกันทำไมนักหนา”
สุดาไม่หยุด “พูดให้คุณได้คิดไง แต่ขนาดนี้คุณยังคิดไม่ได้...กลัวล่ะซี้ว่าลูกจะไม่เคารพนับ
ถือ ไม่ต้องกลัว สรวงไม่นับถือคุณอยู่แล้ว เพราะคุณทำร้ายฉัน ได้ยินมั้ยคุณอารักษ์ คุณทำร้ายฉัน”
สุดาตรงเข้ามาทุบตีอารักษ์ด้วยแรงอารมณ์ อารักษ์ปกป้องพัลวัน
อารักษ์ตวาด “หยุดได้แล้ว จะบ้าไปถึงไหน? ผมอยู่กับเค้าเป็นสิบๆ ปี ยังจะหึงจะหวงอีก”
สุดากรีดร้อง “ไม่มีผู้หญิงคนไหนชินหรอกที่ผัวมีเมียน้อยน่ะ
สรวงแอบฟังอยู่หน้าประตูอยู่นานแล้ว ตัดสินใจทุบประตู
“คุณพ่อคุณแม่”
สุดาร้อง “สรวงช่วยแม่ด้วย”
อารักษ์หงุดหงิด เปิดประตูออกมาบอกเสียงเข้ม “ไม่มีอะไรกลับไปห้อง สรวง”
สรวงไม่ยอม “ทำไมจะไม่มีอะไร พ่อทำร้ายแม่”
อารักษ์ถามเสียงเข้ม สีหน้าดุ “ฉันทำอะไร”
“การที่พ่อเอาผู้หญิงคนอื่นมาเหยียบย่ำหัวใจแม่ ยกย่องเค้าออกหน้าออกตา พ่อไม่รู้อีกเหรอครับว่ามันผิด” สรวงว่า
อารักษ์สวนคำ พูดเย้ยหยันอย่างถือดี “ผู้ชายที่รวย และมีอำนาจอย่างฉัน จะมีเมียอีกสี่ซ้าห้าคนก็ไม่ผิด”
“ใช่ครับ...ถ้ารวยและมีอำนาจแต่ไม่มีการยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีอยู่ในสามัญสำนึก ก็คงไม่ผิด” สรวงประชด
อารักษ์โกรธจัด “ไอ้สรวง!!” ตบสรวงจนหน้าหัน
สุดาตกใจร้องกรี๊ด “สรวง” โผเข้ากอดสรวง และด่าว่าอารักษ์ “คุณทำร้ายฉันไม่พอ คุณ
ยังมาทำร้ายลูกอีก คุณจะเลวไปถึงไหนคุณอารักษ์”
“ถ้าฉันเลวก็หย่ากับฉันไปเลยสิ....” อารักษ์พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “นี่เธอไม่หย่า...ก็เพราะเธอต้องการเชิดหน้าชูตากับบารมี ความร่ำรวยของฉัน”
สุดาอึ้ง “คุณ”
“ถ้ายังอยากอยู่ในตำแหน่งคุณหญิงของพลตรีอารักษ์ก็หุบปาก แล้วอย่ามายุ่งเรื่องของฉันอีก จำไว้เมียไม่ใช่แม่! ผู้หญิงที่ขึ้นเสียงกับฉันได้ มีแม่เพียงคนเดียว” อารักษ์เดินออกไปอย่างฉุนเฉียว
สุดาร้องไห้โฮออกมา สรวงกอดปลอบแม่แน่น มองตามพ่อ พูดอย่างมาดหมาย
“ผมก็มีแม่เพียงคนเดียวเหมือนกัน ผมจะกู้ศักดิ์ศรีของแม่กลับคืนมาให้ได้!”
สรวงบอกตัวเองในใจ สีหน้าเคียดแค้นชิงชัง
“เธอทำลายครอบครัวฉัน เธอก็จะต้องเจ็บปวดเหมือนกัน ภาพิศ”

ภาพิศจัดงานแกรนด์โอเพนนิ่งร้านเพชรของตัวเองในห้างสรรพสินค้าในวันต่อมา ระหว่างนั้นภาพิศยืนเคียงกับอารักษ์ใบหน้ายิ้มแย้ม ในขณะที่อารักษ์เป็นประธานตัดริบบิ้นเปิดร้านเพชรให้ท่ามกลางกองทัพนักข่าวสื่อมวลชนที่มาร่วมทำข่าวกันคับคั่ง รวมทั้งกรรณนรี มะยม และนิค

กรรณนรี จ้องภาพิศเขม็ง โดยไม่มีใครสังเกตเห็น และทันทีที่ตัดริบบิ้นเสร็จ นักข่าวก็กรูกันเข้าไปหาอารักษ์และภาพิศ ยิงคำถามใส่ไม่ยั้ง
“ทราบมาว่าท่านเปิดร้านนี้ให้คุณภาพิศ” นักข่าวคนแรกเปิดประเด็น
อารักษ์หัวเราะร่า “ก็คุณภาพิศเชิญให้ผมมาเป็นประธานวันนี้ ผมสะดวกพอดีก็เลยมา”
นักข่าวอีกคนซักต่อ “หมายถึงท่านเป็นคนลงทุนให้”
ภาพิศกลั้วหัวเราะก่อนจะตอบเอง “ของภาเองค่ะ แต่ท่านเป็นคนเลือกแหล่งเพชรให้ แล้วก็สอนให้ทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจเพชร ถ้าไม่ได้ท่าน ภาก็คงเปิดร้านไม่ได้”
อารักษ์หัวเราะอย่างเอ็นดู “เล็กน้อยน่าคุณ...” หันมาพูดกับนักข่าว “ถ่ายรูปกันเลยมั้ยครับ เดี๋ยวผมต้องไปงานต่อ”
นักข่าวรวมทั้งกรรณนรี เข้ามาถ่ายรูปอารักษ์และภาพิศ กรรณนรี ถ่ายรูปภาพิศกับ
อารักษ์แบบไม่เต็มใจ
อีกมุมหนึ่งสรวงยืนอยู่กับสุขฤทัย มองมาด้วยดวงตาขมขื่น
สุขฤทัยกระซิบสรวง “ดูยัยภาพิศสิคะสรวง ทำหน้าระรื่น ไม่รู้รึไงว่าคนที่ยืนอยู่แถวนี้ด่ามันหมดแหละว่าเป็นเมียน้อย หน้าด้าน แย่งผัวชาวบ้านเค้าน่ะ ..ฤทัยจะไปจัดการมันให้ค่ะ?” ทำท่าจะเดินไป สรวงฉุดมือไว้
“ไม่ต้อง....ผมไม่อยากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ผมจะกลับไปทำงาน” สรวงเดินกลับออกไป
“ก็เพราะเป็นผู้ดียังงี้ไง พวกคนชั้นต่ำมันถึงได้ใจ” เดินตามสรวงไปทันที
อารักษ์มองเห็นด้านหลังสรวงลิบๆ อารักษ์มองตามด้วยสีหน้าไม่พอใจ พอถ่ายรูปเสร็จจึงแยกออกไป

สรวงจะเปิดประตูขึ้นรถ อารักษ์เดินตามมา สุขฤทัยหันมามอง แล้วยกมือไหว้ทักทาย
“คุณลุง”
อารักษ์รีบบอก “ฉันมีเรื่องจะพูดกับสรวง”
“งั้น...ไว้เจอกันนะสรวง” สุขฤทัยยกมือไหว้อารักษ์แล้วเดินเลี่ยงไป
อารักษ์พูดกับสรวงเสียงเข้ม “แกมาที่นี่ทำไม?”
“คุณพ่อกลัวว่าผมจะมาทำอะไร....เมียน้อยหรือครับ” สรวงพูดเหน็บ
อารักษ์โกรธจนขึ้นเสียง “ไอ้สรวง”
“ที่นี่ไม่ใช่เขตหวงห้าม ที่ผมจะมาไม่ได้”
“แต่ฉันจะห้าม ไม่ให้แกมาหาเรื่อง มายุ่งเกี่ยวที่ร้านของภาพิศ” อารักษ์พูดเสียงขุ่น
“เพิ่งรู้ว่าคุณพ่อทำงานเป็นรปภ.อีกด้วย...โอเค...ผมจะไม่ยุ่ง ไม่ใช่เพราะมันเป็นเขตหวงห้าม แต่ผมเห็นว่ามันเป็นเขตอภัยทาน ที่คนดีๆ ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับคนไร้ศีลธรรม” สรวงขึ้นรถขับออกไปทันที
“ไอ้สรวง”

พลตรีอารักษ์มองตามสีหน้าโกรธจัด

งานเลี้ยงเปิดร้านถูกจัดเป็นงานเลี้ยงแบบค็อกเทล นักข่าวและแขกกระจายตัวกันอยู่ตามมุมของตน ที่กลางงานภาพิศยืนคุยกับแฉล้มหน้าระรื่น

“เสน่ห์คุณนี่เหลือร้ายจริงๆ นะ...มัดหัวใจท่านอารักษ์ซะอยู่หมัด ดูซิ...ร้านเพชรออกใหญ่โต ท่านก็ให้คุณได้ ให้แบบไม่ไว้หน้าคุณหญิงที่บ้านเลย ฮึ! คงได้แต่กอดทะเบียนสมรส” แฉล้มว่า
ภาพิศยิ้มเยื้อนหัวเราะระรื่น “แต่ซักวัน...ทะเบียนสมรสก็จะไม่ได้กอดค่ะ”
แฉล้มฉงน “แปลว่า...”
“ฉันจะเป็นคนถือทะเบียนสมรสไว้เอง”
ภาพิศยิ้มมั่นใจ แฉล้มยิ้มทำหน้าทึ่งๆ กลุ่มกรรณนรี ยืนอยู่ มะยมเอ่ยขึ้นขณะมองไป
“เป็นเมียน้อยเค้ายังทำหน้าระรื่น ทำอย่างนี้คุณภาพิศไม่กลัวคุณหญิงสุดาฟ้องร้องเอารึไง?”
“คุณหญิงสุดาเค้าเป็นผู้ดี เค้าไม่กล้าฟ้องร้องหรอก ผัวมีเมียน้อยมันน่าอาย” นิคอวดรู้
“งั้นคุณภาพิศก็หน้าด้านสิ” มะยมว่า
กรรณนรี สะอึก ความเจ็บปวดแล่นมาจุกที่คอหอย นิคว่าซ้ำอย่างเมามันส์
“ก็คงใช่มั้ง? ผู้หญิงบางคนเป็นโรคจิต ชอบเอาชนะ ยิ่งท่านอารักษ์พาออกงานยังงี้ เค้ายิ่งภูมิใจ คิดว่าตัวเองเจ๋งน่ะ”
“เป็นผู้หญิงหรือไง ถึงได้รู้ความรู้สึกผู้หญิงขนาดนี้น่ะ” กรรณนรี แดกดันก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา
นิคเดินตามจ้อต่อ “โห…พูดตามเนื้อผ้าว่ะเจ๊...ถ้ามียางอายซักนิด ใครจะกล้าทำ
อย่างนี้ นี่ดูสิ...หน้าคุณภาพิศ ภูมิใจจะตายไป”
“ภูมิใจที่เป็นเมียน้อยเค้านี่นะ? หน้าด้าน! เกลียดจริงจริ้งพวกเมียน้อยเนี่ย” มะยมว่าผสมโรง
“เฮ้อ! แกสองคนเป็นไรเนี่ย เมียหลวงกับเมียน้อยเค้ายังไม่เห็นออกมาด่ากัน แล้วพวกแกจะเดือดร้อนแทนทำไม?” กรรณนรี หงุดหงิด
มะยมหัวเราะ “ก็เรื่องชาวบ้านเป็นงานของเรา...แต่จะว่าคุณหญิงสุดาไม่เดือดร้อนก็ไม่ได้หรอก...แกดูนั่นสิกาว”
มะยมบุ้ยใบ้ไปทางหนึ่ง กรรณนรี หันไปมองตาม เห็นสุดาเดินมา
นิคพึมพำเบาๆ “โอ้! รังสีอำมหิต พุ่งออกมาเลยวุ้ย”
สุดาเดินมาเผชิญหน้ากับภาพิศ ผู้หญิงสองคนมองหน้าสู้สายตากันอย่างท้าทาย

สุดาเดินนำภาพิศเข้ามาในร้านกาแฟนั่งลงตรงโต๊ะที่มุมหนึ่ง กลุ่มของกรรณนรี ทำทีเป็นมานั่งดื่มอยู่ด้านหลัง
ภาพิศยิ้มยั่ว “วันนี้อุตส่าห์ปลีกเวลามาดูร้านเพชรสุดอลังการของน้องเชียวหรือคะคุณหญิงพี่”
สุดายิ้มร้ายพอกันพูดกระแทกหน้า “คงได้จากผัวพี่ไปเยอะล่ะสิท่า ถึงได้ใจกล้าหน้าด้านยอมเป็นเมียน้อยอย่างไม่อายผู้อายคน”
กรรณนรี สะเทือนใจนัก ยินเสียงภาพิศหัวเราะร่วนตอบว่า
“แต่ท่านยกย่องน้องนะคะ...ไปไหนมาไหนท่านก็พาน้องไปด้วย...ดีไม่ดีตอนนี้ นักข่าวอาจจะลืมหน้าคุณหญิงพี่ไปแล้วก็ได้”
สุดาโมโหแต่ข่มอารมณ์นิ่ง “เธอได้เงินท่านมากพอแล้ว เลิกยุ่งกับสามีฉันซะที”
ภาพิศยั่ว “สามีคุณหญิงพี่ต่างหากล่ะคะ ที่ไม่ยอมเลิกยุ่งกับหนู....” นำเสียงเย้ยหยัน “ซะที”
เสียงแมสเสจมือถือดัง ภาพิศหยิบมาอ่าน
“อุ๊ย! คุณหญิงพี่ดูสิคะ...ท่านแมสเสจมา...”Miss U “ คิดถึง...ขนาดห่างกันแค่ไม่ถึงชั่วโมงนะเนี่ย” น้ำเสียงภาพิศจงใจยั่ว “วันนี้ตั้งหลายสิบครั้ง แล้วของคุณหญิงพี่ล่ะคะ...ปีนี้ ได้ซักครั้งรึยังเอ่ย?”
สุดาเสียงเครือ พูดข่มอารมณ์เต็มที่ “นังหน้าด้าน”
จังหวะนั้นมือของภาพิศกดบันทึกภาพและเสียงถ่ายเป็นคลิปเอาไว้
“คุณหญิงพี่คะ....วันเปิดร้านของน้องแท้ๆ ทำไมถึงมาด่าน้องอย่างนี้ด้วยคะ?” ภาพิศบิ้วท์
สุดาหลุดปาก “เมียน้อยอย่างแกถูกด่าแค่นี้ยังน้อยไป นังหน้าด้าน!”
ภาพิศพูดจายอกย้อนแดกดัน “ถึงคุณพี่จะว่าน้องหน้าด้าน แต่น้องก็มีความเป็นผู้ดีพอที่จะไม่ตามไประรานใคร...อย่างคุณหญิงพี่...”
สุดาโกรธจนตัวสั่น มะยมกับนิคนั่งฟังหูผึ่ง กรรณนรี กำมือจนเจ็บ อายแทน
สุดาแผดเสียง “นังเมียน้อย” คว้ากาวินทร์กาแฟขึ้นสาดหน้าภาพิศ แล้วตรงเข้าขย้ำ “เลิกยุ่งกับ
ผัวฉันเดี๋ยวนี้”
ผู้คนในร้านหันมามองอย่างตกตะลึง บางคนเอามือถือขึ้นถ่าย รวมทั้งนิคและมะยม ภาพิศ
เห็นก็รีบบีบน้ำตาแสร้งทำเป็นตกใจ
“คุณหญิงพี่.....ปล่อยน้อง....” บีบน้ำตาร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
ผู้คนรีบเข้ามาห้าม นิคกับมะยมถ่ายรูปกันใหญ่ กรรณนรี ตะลึงตัวแข็งมองภาพิศอึ้ง
“นังภาพิศ...นังมารยา” สุดากระแทกเท้าเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว
ภาพิศนั่งหายใจหอบ แฉล้มวิ่งเข้ามา
“เป็นไรรึเปล่าคุณ? เป็นไรรึเปล่า”
ภาพิศกอดแฉล้มเนื้อตัวสั่นเทาสีหน้าตื่นตระหนก “คุณแฉล้ม...ภากลัว...ภากลัว”
แฉล้มปลอบ “ฉันอยู่นี่ ไม่ต้องกลัวค่ะไม่ต้องกลัว...”
ปากร้องครวญคร่ำน่าสงสาร แต่มือของภาพิศยังกำมือถือแน่น และมือถือก็ยังทำหน้าที่ อัดคลิปต่อไป

กรรณนรี มองภาพการกระทำของภาพิศด้วยสายตาแห่งความผิดหวังเต็มที่

เวลาเดียวกันนั้นสรวงอยู่ที่บริษัทสถาปนิกของตัวเอง และกำลังจะเดินไปทำงาน แต่เจอกับนายแพทย์บุญยิ่งพอดี
บุญยิ่งร้องทักอย่างดีใจ “สรวง”
“อาหมอ...สวัสดีครับ” สรวงไหว้ทักทาย
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ อาไม่ยักรู้ข่าว”
“ก็...ซักพักแล้วครับ...อาหมอมีอะไรให้ผมรับใช้ยินดีนะครับ”
บุญยิ่งหัวเราะร่า “ดี...ถ้างั้นอาจะใช้ให้เต็มที่เลย คืองี้ อาว่าจะรีโนเวท ปรับปรุงคลินิก
ซะหน่อย เลยมาปรึกษา ดีจริงๆ ที่เจอสรวง
“งั้นเชิญที่ห้องครับอาหมอ”
สรวงเดินนำหมอบุญยิ่งจะไปที่ห้องทำงานของตัวเอง จังหวะนั้นเสียงมือถือของสรวงดังขึ้น สรวงดูเบอร์
“คุณแม่โทร.มา...ขออนุญาตนะครับ” กดรับสาย “ครับคุณแม่”
เวลาเดียวกันสุดาเดินลิ่วมาที่ลานจอดรถร้องไห้โวยวาย ตะโกนมาในสาย
“สรวง...นังเมียน้อยมันด่าแม่ นังเมียน้อยมันด่าแม่”
เสียงของสุดาดังลอดออกมา หมอบุญยิ่งทำหน้าไม่ถูก สรวงเองก็อาย บุญยิ่งจึงขอตัว
“ไว้ค่อยคุยกันนะสรวง”
“ขอโทษนะครับอาหมอ”
บุญยิ่งเดินออกไป สรวงคุยกับสุดาต่อ
“คุณแม่อยู่ที่ไหนครับ? ผมจะรีบไป”

ไม่นานต่อมา ที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า สุดาร้องห่มร้องไห้อยู่ในรถบอกสรวง
“แม่ไม่ยอมๆ มันจิกหัวด่าแม่ แม่อาย สรวงต้องจัดการมันให้แม่”
“ครับๆ ผมจะจัดการให้...แต่ตอนนี้คุณแม่กลับบ้านก่อนนะครับ”
สุดาคาดคั้นเสียงเข้ม “สรวงต้องบอกแม่มาก่อนว่าจะจัดการกับมันยังไง?”
“ผมจะทำให้เค้าออกไปจากชีวิตของพวกเราทุกคน” สรวงบอกอย่างแน่วนิ่ง
“จริงนะสรวง...สรวงต้องทำให้ได้นะ”
“ครับ” สรวงรับคำ ก่อนจะหันไปบอกคนขับรถ “บรรเจิด...พาคุณหญิงกลับบ้านไป”
คนขับรถที่ชื่อนายบรรเจิดรีบเดินไปขึ้นรถ ในขณะที่สรวงก้าวลงจากรถ สุดาตะโกนไม่อาย
“สรวงต้องจัดการมันให้ได้...สรวงต้องจัดการมันให้ได้ อย่าให้มันมีพื้นที่ยืนในสังคม...แม่เกลียดนังเมียน้อย แม่เกลียดมัน!!”

สรวงมองตามแม่อย่างกลัดกลุ้ม ก่อนจะหันเดินกลับเข้าไปภายในห้าง

ไฟมาร ตอนที่ 1 (ต่อ)

ในขณะที่ภาพิศจะเดินกลับไปยังร้านเพชร สรวงเดินตามมาพลางร้องตะโกนสั่งให้อีกฝ่ายหยุด 

“หยุด....” ทว่าภาพิศไม่หยุด สรวงจึงขึ้นเสียง “ฉันบอกให้หยุด”
ภาพิศหันกลับมายิ้มเย้ย “คุณสรวงจะมาแสดงความยินดีกับการเปิดร้านเพชรของพี่หรือคะ”
สรวงเชือดเฉือนกลับด้วยน้ำเสียงเข้ม แววตาดุ “ไม่มีใครยินดีหรอก กับการที่มีผู้หญิงต่ำๆ คนหนึ่งก้าวเข้ามาในชีวิต แล้วทำให้ครอบครัวต้องพังทลาย”
ภาพิศไม่สะท้าน ยังคงยิ้มเย้ยอย่างใจเย็น “พี่ทำที่ไหนคะ? พวกคุณคิดไปเองต่างหาก”
สรวงเหลืออด “หน้าด้านจริงๆ มิน่า..แม่ถึงสู้รบปรบมือกับเธอไม่ได้”
ภาพิศยอกย้อน “งั้น..ก็ควรยอมรับสิคะ...ในเมื่อท่านอารักษ์เลือกพี่ ซ้ำยังยกย่องพี่ ให้พี่ทุกอย่าง...พี่ว่า...คุณสรวงเองก็ควรให้เกียรติพี่ด้วย...ในฐานะภรรยาของพ่อ” ท้ายประโยคภาพิศจงใจเน้นคำกระแทกใส่หน้าสรวง “คนในครอบครัวเดียวกัน”
“ไม่มีใครนับญาติกับเธอหรอกภาพิศ เลิกพูดคำนี้ซักที” สรวงฉุนขาด
ภาพิศจ้องหน้า “งั้นช่วยไปบอกแม่คุณ ให้ถอนทะเบียนหย่าซักที ท่านอารักษ์จะได้ไม่ต้องพูดซ้ำๆ ซากๆ ให้เหนื่อยใจ”
สรวงมีท่าทีตกใจ “ไม่มีทางที่พ่อจะหย่าจากแม่”
ภาพิศยิ้มหยันขยี้ต่อทันที “ไปถามคุณหญิงสุดาสิคะ...กี่ครั้งแล้วที่ท่านอารักษ์ขอ...และที่ฉันยอมๆ อยู่เนี่ย ก็เพราะเห็นใจ...จริงๆ แล้ว...คุณกับแม่..ควรขอบคุณฉันซะด้วยซ้ำ ที่ฉันใจกว้างขนาดนี้ ไม่ใช่วันๆ เที่ยวมาตามแต่รังควาน”
สรวงจ้องหน้าเสียงกร้าว “ถ้าเธอคิดอย่างนั้น ฉันก็จะรังควานเธอให้ถึงที่สุด อย่าคิดว่าจะได้ทะเบียนหย่า ฉันจะให้คุณแม่กอดมันเอาไว้...ให้สังคมตราหน้าเธอว่า…เมียน้อย ตลอดชาติ ภาพิศ”
ภาพิศยิ้มเย้ยไม่ยี่หระ “ฉันไม่แคร์สังคมหรอกค่ะคุณสรวง...ฉันแคร์แค่ท่านอารักษ์ถ้าหัวใจ ร่างกายท่านอยู่กับฉัน ฉันถือว่าจบ...จอบอจบ”
สรวงโต้ตอบอย่างเหยียดหยัน “ละครชีวิตเรื่องนี้เธอไม่ได้เขียนคนเดียวภาพิศ ถึงตอนอวสาน ยังไงเธอต้องกระเด็นออกจากครอบครัวของฉันอย่างเดียว”
ภาพิศท้าทาย “ก็เอาสิ...ละครเรื่องนี้เราจะเขียนด้วยกัน ฉันก็อยากรู้ ถึงตอนอวสาน ใครกันแน่ที่จะอยู่ หรือไป เพราะฉันก็มั่นใจ คนที่ไป ไม่ใช่ฉันแน่นอน”
สรวงมองภาพิศแล้วสะบัดหน้าเดินหนีเกลียดมาก ภาพิศมองตามด้วยสายตามาดมั่นทะนงตน และต้องการเอาชนะ
กาวยืนมองภาพิศอยู่นานแล้ว แววตามีแต่ความผิดหวัง

ย่อมแน่ว่าภาพิศรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นต่อนายพลอารักษ์ ทันทีที่กลับมายังคฤหาสน์หลังโอ่อาค่ำคืนนั้น พร้อมหลักฐานคลิปที่ตัวเองตั้งใจถ่าย อารักษ์ย้อนถามด้วยอาการโกรธๆ
“นี่คุณสุดาไปหาเรื่องเธอถึงที่ร้านเลยเหรอ?” ยามอยู่กับภาพิศอารักษ์เรียกคุณหญิงสุดา ผู้เป็นภรรยาว่า สุดาเฉยๆ นั่นยิ่งทำให้ภาพิศทะนงตนว่าเหนือกว่า...บ้านหลังใหญ่
“ก็อย่างที่ท่านเห็นน่ะค่ะ
อารักษ์ก้มลงมองมือถือของภาพิศที่ถือในมือ ภาพิศบีบน้ำตา ท่าทีเสียใจ น้อยใจเหลือแสน
“ที่ผ่านมา..ภาก็อยู่แต่ในส่วนของภา...ภาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมคุณหญิงต้องจงเกลียดจงชังภาด้วย”
อารักษ์ฉุนขาด “นับวันฉันยิ่งเบื่อ สุดาเป็นคนที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย”
“จะทำยังไง คุณหญิงถึงจะเข้าใจ ท่านสั่งมาได้เลยค่ะ ภาพร้อมทำทุกอย่าง”
“เธอไม่ต้องทำอะไร ฉันจะจัดการเอง ภาพิศ” อารักษ์บอก
ภาพิศลอบยิ้มอย่างสาแก่ใจ

ไม่นานต่อมา สรวงนั่งนิ่งหน้าบึ้งรออยู่แล้วตรงโถงใหญ่ในคฤหาสน์ สักครู่หนึ่งนายพลอารักษ์เดินเข้ามา อย่างเอาเรื่อง ถามขึ้นทันที
“แม่แกอยู่ไหน?”
สรวงรู้ได้ทันที “คุณพ่อทำเสียงอย่างนี้ก็แปลว่า...เมียน้อยรายงานทุกอย่างหมดแล้ว”
อารักษ์ไม่ตอบ ถามเสียงดังมากขึ้นกว่าเก่า “ฉันถามว่า แม่แกอยู่ไหน?”
“คุณพ่อจะถามหาคุณแม่ทำไมครับ..ในเมื่อคุณพ่อปักใจในสิ่งที่เมียน้อยบอกคุณพ่อหมดแล้ว”
“ก็ฉันเห็นกับตา...ว่าแม่แกไประรานภาพิศ ไปด่าภาพิศ” อารักษ์พูดอย่างมีอารมณ์
สุดาเดินเข้ามาได้ยินพอดี “ฉันไปด่าอะไร”
“ยังกล้าถามอีกเหรอว่าด่าอะไร?” อารักษ์เปิดคลิปในมือถือให้สุดาฟัง
สุดาโกรธจนตัวสั่น “แล้วทำไมฉันจะด่ามันไม่ได้ ในเมื่อนังภาพิศมันแย่งผัวฉัน”
“เค้าไม่ได้แย่ง....ฉันต่างหากที่ไปหาเค้าเอง เมื่อไหร่เธอจะเลิกยุ่งวุ่นวายกับภาพิศเค้าซะที ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้รึไง?”
สรวงสงสารแม่นัก เดินเข้าไปเผชิญหน้าพ่อ ตอบแทนแม่ “ไม่ได้...เพราะคุณพ่อหยามเกียรติ หยามศักดิ์ศรีคุณแม่ ยกย่องเมียน้อยออกหน้าออกตาไม่พอ คุณพ่อยังยอมให้มันเสี้ยมอีก”
อารักษ์ “อ้อ! ทุกวันนี้ทำตัวเป็นพ่อฉันเลยนะ ถึงกล้ามายืนด่าฉันน่ะ ถ้าแกกับแม่แกไม่พอใจ ก็ออกไปจากบ้านหลังนี้ไปเลยสิ ไปเล้ย”
สรวงตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าพ่อจะพูดคำนี้ “คุณพ่อ”
คุณหญิงสุดากรีดเสียงร้องสวนออกมาเลย “ไม่ไป...ยังไงฉันก็ไม่ไปจากที่นี่ ไม่ไป๊...”
“แต่ผมจะไป” สรวงบอกอย่างแน่วนิ่ง
สุดาตกใจ “สรวง”
สรวงจ้องหน้าสู้สายตาผู้เป็นบิดา อารักษ์มองด้วยความไม่พอใจและโกรธที่สรวงขัดใจ
“อ้อ! เดี๋ยวนี้เรียนจบ ปีกกล้าขาแข็งแล้วนี่ จองหองพองขน งั้นแกไปเลยไอ้สรวง..ไปเลยแล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไป๊”
สรวงผลุนผลันออกจากบ้านไป สุดาร้องร่ำห้ามไว้ ใจจะขาด
“สรวง...อย่าไปสรวง”
อารักษ์กร้าวตะเพิดส่ง “ไม่ต้องไปห้ามมัน มันอยากไป ก็ปล่อยให้มันไปเลย ไป๊”

สุดาคับแค้นใจเหลือแสน ทำได้แค่ร้องไห้โฮออกมา

คืนเดียวกันนั้น กาวในคราบนักข่าว พาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูรั้วคฤหาสน์ หญิงสาวมองเข้าไป ท่ามกลางแสงไฟสว่างไสวที่อวดโอ้ความหรูหราของคฤหาสน์หลังใหญ่โตนั้น

กาวยืนมองด้วยความขมขื่นพลางใจคิดในใจ “บ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้ เกิดอีกสิบชาติเราก็คงหาไม่ได้...มิน่า...แม่ถึงได้ทิ้งพวกเราไป” บอกเตือนตัวเอง “ช่างเค้า...ทำงานๆ กาว”
กาวฮึด ยกกล้องขึ้นจะถ่ายรูป เห็นประตูใหญ่เลื่อนตัวเปิดออก กาวผงะ และแล้วสรวงก็ขับรถพุ่งออกมา ทันทีที่เห็นว่าเป็นกาว สรวงจอดรถพรืด เดินลงมาหาอย่างโกรธจัด
“จะอะไรกันนักกันหนาเธอ จุ้นจ้านน่ารำคาญ อยากได้ข่าวนักใช่มั้ย มานี่”
สรวงลากกาวที่กำลังงงๆ และตกใจ จับยัดขึ้นรถ
“อะไรคุณ? อย่า”
สรวงผลักกาวขึ้นรถ ล็อกประตูขับรถทะยานออกไปอย่างเร็วและแรง

เวลาเดียวกัน ฤทัยอยู่ในห้องที่บ้าน กดมือถือหาสรวงมือระวิง พลางทำหน้าย่น
“ทำอะไรอยู่? ทำไมสรวงไม่รับสาย?”
ฤทัยกดใหม่
ขณะเดียวกันสุดาอยู่ที่ห้องนอนของสรวง เสียงมือถือดังลั่น สุดาวิ่งเข้ามาคว้ามือถือ
“สรวงเหรอลูก”
ฤทัยงง “คุณหญิงแม่.. นี่ฤทัยค่ะ...มีอะไรเหรอคะ สรวงอยู่ไหน”
“แม่ไม่รู้ คุณพ่อไล่สรวงออกจากบ้าน”
สุขฤทัยตาโต ตกใจมาก

ด้านสรวงขับรถมาตามทางอย่างรวดเร็ว หน้าตาดุดัน กาวนั่งตัวลีบเล็กระวังแจ จังหวะนั้นสรวงเบนรถเข้าข้างทาง แล้วจอดพรืดจนหัวกาวชนโป๊กเข้ากับคอนโซล
“โอ๊ย”
สรวงก้าวลงมาจากรถ มาที่ข้างทาง ร้องขึ้นอย่างมีอารมณ์ “จะนิ่งอยู่ทำไม? มีอะไรจะถาม ทำไมไม่ถาม”
กาวลงจากรถตามมา “แล้วคุณแน่ใจเหรอ ถ้าฉันถามแล้วคุณจะตอบ”
“ก็ว่ามา”
“คุณจะทำยังไงกับคุณภาพิศ” กาวยิงตรง
“มันเรื่องครอบครัวของฉัน”
“พูดอย่างนี้แสดงว่า คุณนับคุณภาพิศเป็นคนในครอบครัว”
“ผู้หญิงคนนั้นไม่เกี่ยว”
“ก็คุณเป็นคนพูดเอง” กาวย้อน
“ฉันไม่มีวันยอมรับผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้นเป็นคนในครอบครัว หล่อนเป็นนางมารร้าย เป็นปีศาจ ผู้หญิงหิวเงิน”
กาวโดนคนด่าแม่ต่อหน้าก็ยิ่งสะเทือนใจ น้ำเสียงเริ่มเครือหน่อยๆ “เค้าอาจจะรักพ่อคุณจริงๆ ก็ได้…ไม่อย่างนั้น เค้าคงไม่ทิ้งลูก ทิ้งครอบครัวมาอยู่กับพ่อคุณ”
สรวงบอกอย่างเย้ยหยัน “ลองถ้าพ่อฉันเป็นแค่นายอารักษ์ คนธรรมดาที่ไม่มีเงิน หล่อนจะ
มามั้ย? หล่อนก็คงไม่แยแสพ่อฉัน เหมือนที่หล่อนไม่แยแสผัวหล่อน...”
กาวสะเทือนใจหนัก ขณะที่สรวงพูดต่อ
“ดีไม่ดีตอนนี้...หล่อนอาจจะกำลังปอกลอกพ่อฉัน เอาเงินไปปรนเปรอครอบครัวหล่อนก็ได้”
กาวเสียงเครือแต่พยายามข่มไว้ “ถ้าเค้าทิ้งครอบครัวเค้าได้ขนาดนั้น เค้าคงไม่มีวันกลับไป”
สรวงสวนคำ “มันก็ไม่แน่....เธอฟังไว้นะ ฉันจะกระชากหน้ากากของภาพิศ ผู้หญิงที่มีแต่
ความเลวร้ายคนนั้น หล่อนไม่มีทางได้อย่างที่หล่อนต้องการแน่” พูดจบสรวงจะเดินขึ้นรถ แต่หันมาบอก “ได้คำตอบที่เธอต้องการแล้ว...กลับเองแล้วกัน”
จากนั้นสรวงก้าวขึ้นรถขับออกไปทันที กาวได้แต่ยืนอึ้ง น้ำตาคลอ

กาวเปิดประตูเดินเข้าบ้าน ยินเสียงของสรวงดังก้องในหัว
“ฉันไม่มีวันยอมรับผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้นเป็นคนในครอบครัว หล่อนเป็นนางมารร้าย เป็นปีศาจ ผู้หญิงหิวเงิน ลองถ้าพ่อฉันเป็นแค่นายอารักษ์ คนธรรมดาที่ไม่มีเงิน หล่อนจะมามั้ย หล่อนก็คงไม่แยแสพ่อฉัน เหมือนที่หล่อนไม่แยแสผัวหล่อน...”
มือของกาวสั่นระริก ขณะเปิดประตูเข้าไปภายในบ้านที่มืดทั้งหลัง มีเพียงแสงส่องจากภายนอกเข้ามา และเห็นเงาของเกริกนั่งตะคุ่มอยู่ กาวเปิดสวิชท์เปิดไฟ จึงเห็นร่างของเกริกนั่งจมขวดเหล้าอยู่
เกริกพูดทักทายลูกสาวเสียงอ้อแอ้ “กลับมาแล้วเหรอลูก”
“พ่อดื่มอีกแล้ว”
กาวเดินมาหยิบแก้วเหล้า แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นนิตยสารเล่มหนึ่งลงรูปภาพิศยืนเคียงอารักษ์
“พ่อคิดถึงแม่....ถ้าพ่อเป็นคนเก่งมีความสามารถ แม่ก็คงไม่ทิ้งพวกเราไปอย่างนี้” เกริกครวญคร่ำ
“พ่อจะพูดถึงเค้าอีกทำไม?”
เกริกยังรักและโหยหานุดีหรือภาพิศมาโดยตลอด พูดถามละล่ำละลัก “พ่ออยากรู้...กาวว่า....แม่จะกลับมาหาเรามั้ย”
“พ่อจะพูดถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทำไม”
เกริกหน้าสลดลง “มันก็จริง.....” บอกเสียงเครือ “ใครจะอยากอยู่กับคนจนๆ ไม่มีค่า ไม่มีอะไร
พลางเกริกยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีก กาวถอนใจ คว้าแก้วในมือของพ่อออก
“เลิกดื่มซะทีเถอะค่ะ...” กวาดสายตามองไปในบ้าน “พี่แก้วยังไม่กลับมาเหรอคะ”
“ยัง....อย่างว่า...รังหนาว คงไม่มีใครอยากกลับมา”
“แต่ถ้าแม่ยังอยู่ พ่อคิดเหรอว่ารังจะอุ่น ในเมื่อแม่เป็นคนไม่รู้จักพอ”

สองคนพ่อลูกมองหน้าตาสลดใส่กัน

เวลาเดียวกัน แก้วมาเที่ยวที่ผับแห่งหนึ่ง และกำลังสอดส่ายสายตามองหาหญิงสาวอยู่

“กลับเถอะพี่แก้ว” มดหรือ มาลินี เอ่ยขึ้น
“ก็แล้วใครให้มดมาตามพี่” แก้วย้อนเอา
“คุณลุงเป็นห่วงพี่ กาวก็เป็นห่วง” มดว่า
แก้วยิ้มเยาะ ในท่าทีขำๆ ”อ้อ! จะบอกว่าที่มาตามพี่เพราะกาวกับพ่อ”
“มดเองก็เป็นห่วงพี่...กลับเถอะค่ะ”
“กลับได้ยังไง” กวาดสายตามองหาสาวๆ “วันนี้ยังไม่ได้แอ้มซักคน”
“พี่แก้วเห็นผู้หญิงเป็นเหยื่ออีกแล้ว”
แก้วหัวเราะ “เค้าสนุก พี่สนุก ไม่เห็นจะมีใครเป็นเหยื่อใครตรงไหน”
“แต่ผู้หญิงอาจจะไม่ได้คิดอย่างพี่”
“ฮึ! ขนาดแม่ยังไว้ใจไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับผู้หญิงคนอื่น มดกลับไปเถอะ ไม่อย่างนั้น...มดเองนั่นแหละจะต้องเป็นเหยื่อพี่”
มดมองแก้วอย่างเสียใจก่อนจะเดินออกไป แก้วไม่ได้มองตาม ไม่ได้สนใจ พูดขึ้นแค่ว่า
“ผู้หญิงชอบคิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อ...ทั้งๆ ที่บางที ผู้ชายดีๆ ต้องตกเป็นเหยื่อของผู้หญิงเหมือนกัน”


เช้าวันต่อมา ขณะที่ภาพิศเดินลงบันไดมาจากชั้นบน น้อยสาวใช้และคนสนิท ก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน
“คุณหญิงคะ...” น้อยเรียกภาพิศว่าคุณหญิงเต็มปาก
พูดไม่ทันจบคุณหญิงสุดาก็ก้าวฉับๆ เข้ามา ภาพิศหันไปบอกน้อย
“มีอะไรก็ไปทำไป”
น้อยมองอย่างเป็นห่วง แต่ก็ยอมออกไป สุดาเบ้ปากใส่อย่างเกลียดชัง
“หน้าไม่อาย สั่งให้คนใช้เรียกตัวเองว่าคุณหญิงได้อย่างไม่กระดากปาก”
“คุณหญิงพี่ขา...ใครๆ ก็เรียกน้องอย่างนี้นี่คะ...เวลาน้องไปออกงานกับท่านอารักษ์น่ะค่ะ” ภาพิศฉอเลาะ
“ตำแหน่งคุณหญิงมีไว้ให้คนที่มีเกียรติและเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น น้ำหน้าอย่างเธอเป็นได้แค่เมียน้อย เมียเก็บ คนลักกินขโมยกิน”
ภาพิศหัวเราะร่วน “การที่คนเค้ารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองน่ะเหรอคะ เรียกว่าลักกินขโมยกิน ท่าทางคุณหญิงพี่จะหูหนวกตาบอดนะคะ...ถึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น”
สุดาจ้องหน้า “ไม่ต้องมาทำปากดีด่าฉัน แกเป็นใคร ฉันเป็นใครให้มันรู้ซะบ้าง”
ภาพิศบอกเสียงเข้ม “ฉันคุณหญิงภาพิศ ภรรยาอีกคนของท่านอารักษ์ และฉันก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน คุณเองต่างหากที่เข้ามาด่าฉันถึงบ้าน อยู่ดีไม่ว่าดีอย่างนี้...สงสัยคงอยากให้ท่านอารักษ์เห็นอีก ว่ามาหาเรื่องฉันถึงบ้านน่ะ”
ภาพิศยกโทรศัพท์จะกดอัดคลิป สุดาร้องกรี๊ด โกรธจัด ตวาดใส่
“หยุดเดี๋ยวนี้นะนังภาพิศ คนอย่างเธอ ดีแต่อัดคลิป อัดคลิปอยู่นั่นแหละ”
ภาพิศหัวเราะยั่ว “ก็คุณหญิงพี่มาหาเรื่องน้องก่อน คุณหญิงพี่ขา..คุณหญิงพี่จะมาโวยวายมาด่าน้องทำไมคะ ถ้าจะห้ามก็ไปห้ามท่านอารักษ์สิคะ...อ้อ! แต่คงห้ามไม่ได้ เพราะถึงจะห้ามยังไงท่านอารักษ์ก็มาหาน้องอยู่ดี”
“สาแก่ใจเธอแล้วใช่มั้ยภาพิศที่ทำให้ครอบครัวฉันแตกได้น่ะ”
ภาพิศตีหน้าฉงน “ครอบครัวแตก..แปลว่า…” แล้วหัวเราะร่า “...คุณพี่ตัดสินใจจดทะเบียนหย่าให้กับท่านอารักษ์แล้วใช่มั้ยคะ? โอ....นี่เป็นข่าวดีในรอบสิบปีของน้องเลยล่ะค่ะ”
สุดาตัวสั่น ขึ้นเสียงเรียกจิก “นังภาพิศ”
สุดาตบผลัวะเข้าที่ใบหน้าจนภาพิศหน้าหัน แต่ก็หันขวับกลับมาตบเข้าที่หน้าสุดาอย่างแรง และตรงเข้ามาขย้ำอย่างไม่กลัวเกรง
น้อยยินเสียงเอะอะวิ่งเข้ามา พอเห็นภาพตรงหน้าว่าภาพิศกำลังเป็นต่อจึงแค่แอบดู
สุดาล้มลงร้องโอดโอยสู้ไม่ได้ ภาพิศผลักสุดาออก ตะโกนใส่หน้า
“ออกไปจากบ้านฉัน ออกไป๊”
“ฉันก็ไม่อยากอยู่นานให้ติดเสนียดเมียน้อยหรอก จำไว้ภาพิศ แกทำลายชีวิตฉัน ฉันก็จะทำทุกอย่างเพื่อทำลายชีวิตแกเหมือนกัน” เดินกระแทกเท้าออกไป
ภาพิศมองตามทั้งโกรธและเหนื่อยใจ “ฉันรู้ว่าคุณตั้งใจตลอดเวลา...แต่ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้มันเกิดขึ้นซ้ำสองหรอกคุณหญิงสุดา”
ภาพจำอันแสนเลวร้ายผุดขึ้นให้ห้วงความคิดของภาพิศอีกคำรบ

ที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าค่ำคืนหนึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ขณะนั้นภาพิศยังสาวสวย แต่ราศียังไม่จับเหมือนทุกวันนี้ เดินออกมาจากห้างจะตรงไปที่ลานจอดรถ จู่ๆ พลที่ซุ่มอยู่ตรงมาฉุดภาพิศ
ภาพิศร้อง “ว๊าย” แต่ร้องได้แค่นั้น ก็ถูกพลชกเข้าที่ท้องเต็มแรง ภาพิศตัวงอเป็นกุ้ง แทบหมดสติ พลไม่รอช้า พยุงแกมลากภาพิศตรงไปที่รถตู้ที่จอดอยู่ แล้วขับออกไปทันที

ไม่นานต่อมา ภาพิศนอนสลบอยู่ท่ามกลางความมืดในป่าเปลี่ยวแห่งนั้น สักครู่หนึ่งจึงค่อยๆ รู้สึกตัว ภาพิศปรือตาขึ้นมอง ยินเสียงสุดาแว่วมา
“จัดการมันอย่าให้เหลือซาก”
“ครับคุณหญิง” ไอ้พลรับคำ
ภาพิศพยายามเพ่งสายตามอง เห็นสุดาเดินออกไปลิบๆ และเห็นกองไฟลุกโชนอยู่ตรงหน้า ภาพิศตกใจผงะ ลุกขึ้นอย่างเจ็บปวด จะหนี พลตรงเข้ามากระชาก
“จะหนีไปไหนมานี่”
“ปล่อยฉัน! ปล่อย”
ภาพิศดิ้นรนต่อสู้สุดกำลัง ถูกพลก็กระชากไม่ยอมปล่อย มือข้างหนึ่งของภาพิศควานคว้าไม้ขึ้นมาได้ท่อนหนึ่ง จึงหลับหูหลับตาฟาดกระหน่ำใส่พลเต็มแรง ไม้บังเอิญหวดเข้าทัดดอกไม้ข้างหู พลร่วงผล็อยลงตรงนั้นหมดสติทันที ภาพิศพาร่างสะบักสะบอมวิ่งหนีกระเซอะกระเซิงออกมา

ภาพิศดึงตัวเองกลับมา นัยน์ตาวาวโรจน์
“ที่ผ่านมา ฉันพยายามอโหสิกรรม อยู่ในที่ของฉัน แต่คุณก็ยังตามจองเวรจองกรรมฉัน ฉันจะไม่ยอมคุณอีกต่อไป คุณหญิงสุดา”
 
 สายตาภาพิศบ่งบอกว่าเจ็บปวดขณะพูดบอกตัวเองในใจ 

คืนนั้น ภายในห้องทำงานของสรวงที่บริษัทสถาปนิก สุดานั่งร้องไห้ท่าทีเจ็บอกเจ็บใจเหลือแสน ขณะที่สรวงเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แต่ก็เห็นใจผู้เป็นมารดา

“ผมบอกไม่ให้คุณแม่ไปยุ่งกับเค้าแล้วไงครับ...แล้วคุณแม่ไปยุ่งกับเค้าอีกทำไม?” สรวงติง
“แม่เกลียดมัน แม่โกรธมัน เกลียดที่มันเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้สรวงออกจากบ้าน”
“คนที่ไล่ผมออกจากบ้านคือคุณพ่อ”
“ก็เพราะมันไง...คุณพ่อปกป้องมัน ถึงทำอย่างนั้นกับสรวง...สรวงรู้มั้ย...แม่อยากจะตบมัน อยากจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ นังผู้หญิงหน้าด้าน แพศยา” คุณหญิงสุดาพูดในอาการเข่นขี้ยว
“แล้วคุณแม่จะเอาตัวเองลงไปเกลือกกลั้วกับของเน่า ของเหม็นทำไมล่ะครับ...ในเมื่อ คุณแม่สูงส่งกว่าเค้า คนอย่างภาพิศไม่มีอะไรเทียบเท่าคุณแม่ได้แม้แต่นิดเดียว”
สุดาร้องไห้โผเข้ามาหาลูกชาย “ก็แล้วทำไมคุณพ่อถึงเลือกมัน รักมัน หลงมัน ทั้งๆ ที่มันมีลูก มีผัว ...สรวง...แม่ถามหน่อยเถอะ ผู้หญิงที่ทิ้งลูกทิ้งผัวมาหาผู้ชายอื่นได้ มันเป็นคนดีหรือ?” กรีดร้อง “มันไม่ใช่คนดี แต่มันเป็นคนเลว เลวๆๆๆๆๆ ได้ยินมั้ยสรวง มันเป็นคนเลว” จากนั้นสุดาก็ร้องไห้คร่ำครวญ
สรวงกอดพลางพูดแม่ปลอบ “ก็ในเมื่อเรารู้ว่าเค้าเป็นคนเลว เราอย่าไปเกลือกกลั้วกับเค้าดีมั้ยครับคุณแม่ ต่างคนต่างอยู่”
“ไม่! แม่ไม่ยอมแพ้มันเด็ดขาด..แม่จะไปบอกลูกบอกผัวมัน ให้มาเอามันคืน” คุณหญิงเสียงแข็ง
“อย่าครับคุณแม่”
“ทำไมล่ะสรวง ลูกทนเห็นมันมาทำร้ายแม่ตลอดชีวิตได้เหรอ แม่ทนไม่ไหวแล้วนะ 10 กว่าปีที่ผ่านมาแม่เหมือนคนตกนรกทั้งเป็น....สรวงต้องช่วยแม่นะ สรวงต้องช่วยแม่” สุดาเอาน้ำตามากดดันลูกชาย
“ครับแม่...ผมจะไปพูดกับพวกเค้าเอง”
สรวงพูดรับปากด้วยความลำบากใจ แต่สุดายิ้มออกมาได้

วันต่อมาในห้องกาวฟุบหลับอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงานในห้อง เห็นเป็นหัวข้อข่าวที่หญิงสาวพิมพ์ไม่เสร็จค้างอยู่หน้าจอคอมพ์ฯ พร้อมรูปสุดาและภาพิศ
“ถูกยื่นตำแหน่งเมียหลวงให้มานาน คุณหญิงสุดาทนไม่ไหวบุกฉะ “อนุ”..กลางห้างดัง”
จังหวะนั้นเสียงมือถือดัง กาวสะดุ้งตื่น รับสายในอาการงัวเงีย
“ว่าไงนิค”
นิคยืนอยู่ป้ายรถเมล์พูดสายด้วย เตือนเรื่องต้นฉบับข่าวภาพิศ
“โห! นี่ยังไม่ตื่นอีกเหรอเจ๊?...ต้นฉบับเสร็จรึยังล่ะ? พี่จ๋าเข้าออฟฟิศเช้านะวันนี้น่ะ”
“เออๆ รู้แล้ว เดี๋ยวเจอกัน”
กาววางสาย ก่อนจะเหลียวมองจอคอมพ์ที่พิมพ์ค้างอยู่ ตัดสินใจ ลบทิ้งไป

กาวแต่งตัวเสร็จเดินออกมา เกริกยกชามข้าวต้มออกมาให้แก้วกับกาว
“ข้าวต้มกุ้งร้อนๆ ลูก เมื่อเช้าพ่อไปตลาดได้กุ้งสดๆ มา นึกได้ ว่าลูกสองคนชอบ เลยซื้อมาทำซะเลย”
สองคนยิ้มขอบคุณ “ขอบคุณค่ะพ่อ” / “ขอบคุณครับพ่อ”
“หอมจังค่ะ”
“อร่อยด้วย กินให้เยอะๆ เลยลูก” เกริกเดินเข้าไปเก็บผ้าห่ม ข้าวของด้านในบ้าน “วันนี้แดดดี พ่อว่าจะซักผ้านวมซะหน่อย แก้วกับกาว มีอะไรจะให้พ่อซัก เอามาเลยนะลูก”
“ขอบคุณค่ะ แต่เดี๋ยววันหยุดกาวทำเองดีกว่า” กาวว่า
“ผมฝากพ่อแล้วกันครับ” แก้ว หรือ กาวินทร์ บอก
กาวเอ็ด “พี่แก้วเนี่ย”
“น่านิดเดียวเองกาว” พลางยิ้ม แล้วเดินเข้าไปด้านในกับเกริก
กาวส่ายหน้า “ไม่รู้จักโตเลยพี่แก้ว”
ระหว่างนั้นภรตเดินหอบลิลลี่กอใหญ่เข้ามา ถามเสียงนุ่ม “บ่นอะไรจ๊ะกาว?”
แก้วหันไปมอง “บ่นพี่แก้วนะสิคะ...โตจนป่านนี้แล้ว ยังชอบให้พ่อซักผ้าให้อีก...พี่ภรตมาทำไมแต่เช้า”
“พี่เพิ่งลงมาจากเหนือ เลยเอาดอกลิลลี่มาฝาก” ภรตว่า
กาวรับมาแต่หัวเราะขำ “กาวกับดอกไม้ เข้ากันที่ไหนล่ะพี่?”
“ผู้หญิงเข้ากับดอกไม้ทุกคน”
“แต่ไม่ใช่กาว....ยังไงก็..ขอบคุณค่ะ” หอบไปวางไว้ในอ่างล้างมือ แล้วร้องตะโกนบอก “พ่อ
...กาวไปทำงานก่อนนะ”
เกริกเดินออกมาดู “จ้าๆ เย็นนี้อยากกินอะไรโทรฯมาบอก พ่อจะทำให้” หันไปเห็นดอกลิล
ลี่ “เอ้า!ดอกไม้สวยๆ เอามาทิ้งในอ่างล้างมือได้ยังไง” เห็นภรตหน้าเจื่อนรีบบอก “เดี๋ยวลุงจัดใส่แจกันให้”
“ขอบคุณครับ” ภรตหันมาทางกาว “กาว จะไปทำงานใช่มั้ย? เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ดีค่ะ จะได้ไม่เปลืองตังค์...กาวไปก่อนนะพ่อ” ยกมือไหว้ก่อนบอกกำชับ “พ่ออย่า
ลืมไปดูพี่แก้วนะ แอบหลับในห้องอีกหรือเปล่า เมื่อคืนยิ่งกลับดึกๆ อยู่ด้วย”
แก้วเดินออกมาพอดี “พี่มาแล้ว...เฮ้อ!!ทำตัวเป็นแม่ไปได้แกนี่”
คำพูดของแก้ว ทำเอาทุกคนสะดุดกับคำว่าแม่ แต่ละคนหน้าเจื่อน ขณะที่กาวรีบบอก
“กาวไม่มีวันเป็นแม่ไปได้หรอกค่ะพี่แก้ว และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กาวก็จะไม่มีวันทำอย่างแม่เด็ดขาด”
กาวเดินออกไปกับภรต ขณะที่เกริกน้ำตาคลอ ส่วนแก้วหน้าตาโกรธขึ้งขึ้นมาทันที

ภรตพากาวเดินมาที่รถตรงถนนหน้าบ้าน จะเปิดประตูให้เข้าไปนั่ง แต่กาวแย่งประตูเปิดเอง ภรตถาม
“ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่หายโกรธแม่กันอีกเหรอ”
“ไม่ได้โกรธค่ะ แต่เสียใจ ที่เป็นลูกที่ถูกแม่ทิ้ง” กาวว่า
“ถ้ามองในแง่ดี ก็ทำให้กาวไม่อ่อนแอ ได้สู้ชีวิต” ภรตบอก
“ขอบคุณพี่ภรตที่ให้กำลังใจค่ะ แต่ถ้าจะให้ชีวิตต้องแกร่งแบบนี้ กาวก็ไม่อยากได้ ยิ่งเห็นแม่มีความสุข ในขณะที่พ่อต้องทุกข์ กาวก็ยิ่งปวดใจ”
“แต่ถ้าเป็นทุกข์....พี่ว่า...กาวลืมมันไปดีกว่า....ไปทำงานเถอะ สายแล้ว”
ภรตแตะไหล่กาวเป็นเชิงปลอบใจ กาวยิ้มก่อนทรุดตัวลงนั่ง ภรตปิดประตูก่อนขับออกไป
สองคนไม่รู้ว่าที่ด้านหลัง สรวงจอดรถแอบมองดูอยู่ สายตาของสรวงมีแววเย้ยหยันและดูถูกอยู่ในที ก่อนจะจอดรถและก้าวลงมา

เวลานั้น เกริกกำลังซักเสื้อผ้าอยู่ ท่าทางของเกริกโทรมและแก่กว่าวัย แต่ดูใจดี สรวงเดิน
เข้าไปหา ยินเสียงฝีเท้า เกริกเงยหน้าขึ้นมามอง สรวงถามเสียงสุภาพ
“นี่บ้านของคุณเกริกใช่มั้ยครับ”
เกริกยิ้มอ่อนโยนแกมแปลกใจ “ใช่...ฉันนี่แหละเกริก คุณมีอะไร”

เกริกมองหน้าสรวงอย่างงุนงง

ไฟมาร ตอนที่ 1 (ต่อ)

เช้าวันเดียวกันนั้น ภาพิศยังอยู่ในห้องนอน เธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จ และกำลังเดินมาที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกชุดสวยสำหรับแต่งตัว ขณะเดียวกันก็เปิดทีวีดูข่าวเช้าไปด้วย จังหวะนั้นภาพิศได้ยินเสียงผู้ประกาศข่าวรายงาน

“พบเด็กแรกคลอดถูกทิ้งข้างกองขยะ ตำรวจกำลังเร่งติดตามหาแม่ใจร้าย”
มือที่เปิดตู้เสื้อผ้าของภาพิศชะงักงัน ร่างสั่นเทาไปทั้งร่าง รู้สึกเหมือนใจถูกกระตุกอย่างแรง

เกริกกับสรวงมองจ้องหน้ากันไปมา สรวงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ที่เห็นชายสูงวัย
กำลังซักผ้า งานซึ่งควรเป็นของผู้หญิง เกริกเห็นท่าทางของสรวงก็สงสัย ถามย้ำ
“มีอะไรหรือครับคุณ?”
สรวงนิ่งไปนิด ก่อนทำท่าจะตอบ เสียงโทรศัพท์ดังแว่วออกมาจากในบ้าน
เกริกขอตัว “ผมขอตัวไปรับโทรศัพท์เดี๋ยว” แล้วเดินเข้าไปเร็วรี่ สรวงมองตาม

เกริกเดินมารับโทรศัพท์บ้าน “สวัสดีครับ”
เป็นภาพิศที่โทร.มา แต่พอได้ยินเสียงเกริก ก็รีบวางโทรศัพท์ลงทันที ดวงหน้าซีด มือสั่น
“สวัสดีครับ” เกริกฟัง พร้อมกับทำหน้าฉงน พอมั่นใจว่าไม่มีคนพูดจึงวางหูแล้วเดินออกไป
ภาพิศทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง มือหนึ่งยังกำมือถือไว้แน่น ขณะที่อีกมือยกมากุมขมับตัวเอง บ่งบอกถึงความร้าวรานสุดขีด

แฉล้มแต่งหน้าทำผมให้ภาพิศเสร็จ พลางเอ่ยขึ้น
“เหมือนที่ท่านสั่งห้ามแหละ จริงๆ แล้วคุณไม่ควรติดต่อทางนั้นอีก”
ภาพิศหน้าเศร้า “ฉันคิดถึงลูก ฉันหวังว่า...ลูกอาจจะมารับสาย”
“แต่ก็ไม่ใช่....กลับเป็นสามีเก่าของคุณ”
ภาพิศหน้าเศร้าลงอีก สีหน้าสับสนว้าวุ่นใจ แฉล้มวางอุปกรณ์แต่งหน้าในมือลง มองจ้อง
“ตัดบัวอย่าให้เหลือใยสิ คุณเดินมาตั้งไกลขนาดนี้แล้ว จะหันหลังกลับไปมองทำไม?”
“สำหรับพี่เกริก เยื่อใยมันหมดไปนานแล้วล่ะ แต่ลูก...เลือดเนื้อเชื้อไขของฉันฉันตัดไม่ได้”
ภาพิศสะเทือนใจจนน้ำตาปริ่ม

ภรตขับรถมาตามทาง กรรณนรีนิ่ง ขณะที่ภรตคุยโทรศัพท์ด้วยอุปกรณ์รับสายในรถ
“ครับๆ ผมจะรีบเข้าไปเดี๋ยวนี้” ภรตวางสาย
กรรณนรีเกรงใจจึงรีบบอก “พี่ภรตมีงานด่วน....เดี๋ยวกาวไปทำงานเองดีกว่าค่ะ”
“ไม่เป็นไร...ไงก็มาทางนี้แล้ว”
กรรณนรีเกรงใจมาก “ขอบคุณนะคะ” ก้มลงควานหาของในกระเป๋าทำหน้าเครียด
“มีอะไรกาว?” ภรตฉงน
“กาวลืมงานไว้ที่บ้าน พี่ภรตจอดให้กาวตรงนี้ดีกว่าค่ะ” กรรณนรีบอก
ภรตอิดออด “แต่...”
กรรณนรีรีบบอก “พี่ภรตมีงานด่วน เลยไปเถอะค่ะ...กาวไปเองได้”
ภรตจำต้องจอดรถให้ที่ข้างทางนั้นเอง กรรณนรีเปิดประตูก้าวลง
“แล้วเจอกันกาว”
ภรตบอก ขณะที่กรรณนรีโบกรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่วิ่งมา ตรงกลับไปยังบ้าน

กรรณนรีซ้อนมอเตอร์ไซค์เข้าปากซอยใกล้จะถึงหน้าบ้านแล้ว หญิงสาวเห็นรถหรูจอดอยู่
กรรณนรีคิดในใจ “รถใคร” รีบบอกมอเตอร์ไซค์ “จอดตรงนี้แหละค่ะ”
มอเตอร์ไซค์จอด กรรณนรีควักกระเป๋าเงินหยิบเงินยื่นให้ ก่อนจะเหน็บกระเป๋าตังค์ที่กระเป๋ากางเกงด้านหลังแบบลวกๆรีบๆ ค่อยๆ เดินเข้าไปตามทาง ระมัดระวังตัวอย่างนักข่าว มองรถอย่างสงสัย

เวลานั้นสรวงอยู่นอกตัวบ้าน เดินสำรวจดูโน่นนี่ ไปมา ชายหนุ่มมองสภาพตรงหน้าด้วยความสลดใจ บ้านหลังนั้นเก่า หาความเป็นระเบียบเรียบร้อยแทบไม่มี สรวงเดินไปรอบๆ ผ่านหน้าต่าง จนถึงด้านใน ซึ่งมีรูปเกริกกอดกรรณนรี และกาวินทร์อยู่ สรวงเดินผ่านไป โดยไม่ได้สังเกตถี่ถ้วนแต่อย่างใด
สรวงมองแล้วรำพึง “บ้านที่ไม่มีแม่บ้านอยู่ดูแล มันเป็นอย่างนี้เอง”
กรรณนรีมองเห็นสรวงจังๆ รีบฉากหลบ
“นายสรวง? มาทำไม?....หรือว่า....เค้าจะมาเรื่องแม่”
ไวเท่าความคิด กรรณนรีควักมือถือขึ้นมาทันที

เกริกกำลังจะเดินออกมาด้านนอกบ้าน แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นใหม่ เกริกหันไปมอง
“บ๊ะ!!ใครโทร.มา” เดินไปรับสาย “สวัสดีครับ”
“พ่อ” กรรณนรีอยู่ในสายแล้ว
เกริกแปลกใจ “อ้าว! กาวเองเหรอลูก? มีอะไร?”
“มีคนอยู่หน้าบ้าน ถ้าเค้าถามอะไร พ่อไม่ต้องบอกเค้านะ” กรรณนรีบอก
เกริกตกใจนิดๆ ถามเสียงรัวเร็วอย่างสงสัย “ทำไม มีอะไรกาว”
กรรณนรีเฉไฉ “ก็กาวเป็นนักข่าว เค้าอาจจะมาสืบอะไรเกี่ยวกับกาว เกี่ยวกับบ้าน
เราก็ได้...เค้าถามอะไรก็บอกไม่รู้ไม่เห็น....ค่ำๆ กาวกลับมาเราค่อยคุยกัน”
เกริกรับคำ “จ้ะๆ”
แล้ววางสาย จากหันไปมองสรวงท่าทางไม่ค่อยไว้ใจ ขณะที่กรรณนรีมองสรวง ใจเต้นตึกตัก

เกริกเดินออกมา มองสรวงอย่างพินิจพิเคราะห์ ระแวง ตามที่กรรณนรีบอก ก่อนจะถามขึ้น
“มีอะไรกับผมหรือคุณ?”
“ขอโทษนะครับ....คุณคือคุณเกริก สามีของคุณภาพิศใช่มั้ยครับ”
เกริกตกใจ พยายามคุมตัวเอง มองระแวง รีบบอก “ไม่ใช่”
สรวงมองงวยงง ท่าทีสงสัย “แต่มีคนบอกผมว่า นี่คือบ้านคุณเกริก”
“คงเข้าใจผิด.....ผมไม่เคยรู้จักคนชื่อภาพิศ ขอตัว” จะเดินหนีเข้าไปในบ้าน
ป้าจักจั่นกับป้าตั๊กแตน แข่งกันแต่งตัวตามประสาสาวแก่ สองคนต่างสไตล์ เน้นสีสันจัดจ้าน อินเทรนด์แต่ไม่สมวัยพอ และชอบถือถ้วยชามใส่อาหารมาคนละใบเสมอเมื่อมาที่บ้านเกริก

สองป้าขาเมาท์ยิ้มย่ิอง ประสานเสียงเรียก “พ่อเกริก”

เกริกสะดุ้งโหยง สรวงจ้องเขม็งแน่ใจทันทีว่าเกริกโกหก สองป้าขาเมาท์ไม่รู้เรื่อง หัวเราะคิกคัก

ป้าตั๊กแตนนำร่อง “ตะลึงความสวยของป้าจักจั่นล่ะซี้”
“ของป้าตั๊กแตนต่างหาก” ป้าจักจั่นว่า สองคนอวยกันไปมา
ป้าตั๊กแตนรีบรับทันที “เหรอๆๆ..นี่ขนาดเบาๆ แล้วนะ ตอนสาวๆ สวยกว่านี้อีก”
ป้าจักจั่น ไม่ยอม “ตอนสาวๆฉันก็สวยกว่านี้อีก...วันนี้ก็..แต่งมาเบาๆ เหมือนกัน”
ป้าตั๊กแตนบุ้ยใบ้ไปทางสรวง “แล้วนี่ใคร แฟนกาวเหรอ หล่อจัง”
เกริกตกใจรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่...เค้ามาตามหาคน...ไม่มีอะไรหรอก สองป้าเข้ามาข้างในก่อน เดี๋ยวจะตักข้าวต้มกุ้งให้” เดินเข้าไปด้านในเก็บอาหารและขนม
ป้าตั๊กแตนยิ้มให้สรวง บุ้ยใบ้ไปทางเกริก “หวงลูกสาว”
ป้าจักจั่นเม้าท์กับสรวงมั่ง “อย่างว่า เลี้ยงลูกมาคนเดียว เมียทิ้ง เค้าก็เลยหวงลูก”
สรวงตัดสินใจถาม “แล้วทำไมคุณอาเค้า...ไม่ตาม...” เขินๆ คำนี้ “เมียกลับมา”
“โอ๊ย! ผู้หญิงหน้าโง่ที่ไหนจะกลับ” ป้าตั๊กแตนหลุดปากเม้าท์
ป้าจักจั่นเม้าท์จัดเต็ม “ผัวใหม่ รวยจะตาย แถมมีอำนาจวาสนา ก็...ที่ชื่อ” ทำท่านึก
ป้าตั๊กแตนเติมให้ “พลตรีอารักษ์...ที่มีข่าวลงนสพ.บ่อยๆ ไง ที่เอาเมียน้อยออกหน้าออกตา มองไม่เห็นหัวเมียหลวงเลยน่ะ”
สองป้าหัวเราะตามประสาชาวขาเม้าท์ตัวแม่ ก่อนเดินเข้าไปข้างในบ้านตามเกริกไป
คำพูดเมื่อครู่ทำเอาใบหน้าของสรวงร้อนผ่าว กรรณนรีที่แอบมองอยู่ มองสรวงอย่างสงสัย
สรวงหันกลับมาเห็นกรรณนรีพอดี กรรณนรีรีบวิ่งผละหนีไปทันที สรวงตามติด

กรรณนรีวิ่งหนี สรวงวิ่งตามมากระชาก สองคนยื้อยุดกันไปมา จนกรรณนรีทำกระเป๋า
สตางค์หล่นโดยที่ไม่รู้ตัว สรวงกระชากกรรณนรี ถามเสียงเข้ม
“เธอตามฉันมาทำไม?”
กรรณนรีไม่ยอมรับ “ฉันตามคุณที่ไหน คุณต่างหากที่วิ่งตามฉันมา แล้วยังมาฉุดกระชากฉันอีก ปล่อย” สะบัดตัวออก
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน” สรวงจ้องหน้า
“คุณนั่นแหละ อย่าสำคัญตัวผิดคุณมีดีอะไร ที่ฉันต้องอยากรู้...สังคมต้องอยากเห็น งานของฉันคือตามติดคนเด่นคนดังซึ่งไม่ใช่คุณ” รีบเดินกลับเนียนๆ
สรวงหัวเราะหยันตะโกนตามหลัง “จำคำนี้ไว้นะ เธอจะได้ไม่กลืนน้ำลายตัวเอง....ถ้าต่อไปเธอจะต้องมาสัมภาษณ์ สรวง อริยะวรรต”
กรรณนรียืนนิ่ง ก่อนเดินกลับไปรวดเร็ว สรวงมองตามไม่ชอบใจ และมั่นใจว่ากรรณนรีตามตัวเองแน่นอน พอจะเดินกลับแต่แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นกระเป๋าสตางค์กรรณนรีหล่นอยู่ สรวงหยิบขึ้นมา

กรรณนรีเดินแกมวิ่งมาตามทาง บ่นงึมงำกับตัวเองหน้าตาหงุดหงิดไม่พอใจสรวงมากๆ
“นายตั้งใจมาหาเรื่องพวกฉันชัดๆ นายสรวง”
สรวงวิ่งตามมา กะจะเอากระเป๋าตังค์มาคืน
“เธอ”
กรรณนรีหน้าเจื่อน เหมือนวัวสันหลังหวะ เพราะเพิ่งแก้ตัวว่าไม่ได้ตามสรวง ก่อนจะกลั้นใจตั้งหลัก หันมาจ้องตา แต่สรวงใช้สายตาเป็นอาวุธ
“นี่! ฉันไม่เคยตามสรวง อริยะวรรต เลยนะ มีแต่สรวง อริยะวรรตที่ตามฉัน”
“ฉันแค่..” สรวงโมโห จะบอกว่า...จะเอากระเป๋าตังค์มาคืน
กรรณนรีกวน ขัดขึ้น “อยากจะดัง.....เลยอยากตามมาให้ฉันสัมภาษณ์” พลางยิ้มยั่ว “บอกแล้วไงคนที่ฉันจะสัมภาษณ์” เหน็บอีก “คอยตอแยตามติด เค้าต้องเป็นคนเด่นคนดัง...ซึ่ง มองยังไงก็ไม่ใช่คุณ”
กรรณนรีเชิดสะบัดหน้าพรืด หมุนตัวกลับแต่ร่างกลับเซถลาล้ม ร้อง “ว๊าย” รีบเงยหน้าขึ้นมามองสรวง ทั้งเขินทั้งอายที่เสียฟอร์ม
สรวงหัวเราะเยาะ “อ้าว!! ฉันไม่ใช่คนเด่นคนดัง แล้วไหงมาสะดุดรักฉันซะนี่”
กรรณนรีรีบลุกขึ้นเถียง “สะดุดรักนาย มุขปลวกมาก...มีแต่คุณต่างหากที่สะดุดรักฉัน”
สรวงชี้ตัวเองขณะถาม “ฉัน..สะดุดรักเธอ”
“ใช่ ไม่งั้น คุณจะตามฉันมาทำไม? นี่บอกไว้เลย นายจะได้ไม่มีความหวัง” เดินวนรอบตัว มองหัวจรดเท้า “รูปร่างหน้าตาอย่างนาย ผอมกะหร่องตัวซีดตัวขาวยังกับจิ้งจกอยู่ในโหลดอง....อย่าว่าแต่แฟนเลย กิ๊กฉันก็ไม่ให้เป็น”
กรรณนรีเบ้ปากใส่สรวง เดินเชิดหน้าสะบัด คราวนี้ระวังตัวแจจึงไม่ล้ม พอกรรณนรีเดินกลับไป สรวงมองตามโมโห ชูกระเป๋าในมือขึ้น
“ว่าจะเป็นพลเมืองดี เอากระเป๋ามาคืน แต่ปากเจ็บ ปากเก่ง กร่างขนาดนี้ ไม่ต้องเอาแล้วกันเธอ”
สรวงเดินกลับไปที่รถพร้อมกระเป๋าตังค์ของกรรณนรี โดยที่กรรณนรียังไม่รู้ตัวเลยว่ากระเป๋า
เงินหาย

อารักษ์ฟังโทรศัพท์หน้าเครียด พอวางสายสุดาก็เดินเข้ามาพอดี อารักษ์ถามอย่างมีอารมณ์ขึ้นทันที
“คนของผมบอกว่า เมื่อเช้าสรวงไปบ้านเก่าภาพิศ คุณให้ลูกไปที่นั่นทำไม?”
“อย่าบอกนะคะว่าที่ให้คนตามเป็นเพราะห่วงลูก ฉันว่าคุณหวงเมียน้อยมากกว่า กลัวว่ามันจะกลับไปหาผัวเก่า”
“ผมถามคุณหญิงว่า...ให้ลูกไปบ้านนั้นทำไม? ทำไมต้องพูดซะยืดยาว”
“ก็ฉันไม่เชื่อว่าคุณจะห่วงลูกจริงๆ นะสิ”
“คุณหญิง...99.99 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชายที่เบื่อเมีย เบื่อบ้าน คุณรู้มั้ยว่าเป็นเพราะอะไร?”
สุดาหันมามองสู้สายตา “เพราะพวกผู้ชายตาต่ำน่ะสิ”
อารักษ์ตะเบ็งเสียงใส่อย่างเหลืออด “ก็อย่างนี้ไง้? ทำตัวอย่างคุณไง้ ถ้าเหยียบหัวผมได้ คงเหยียบไปแล้ว น่าเบื่อ” เดินหนีไปอย่างฉุนเฉียว
“คุณอารักษ์” สุดาได้แต่กรี๊ด “ไม่ต้องมาด่าฉัน เหตุผลของคุณ มันเป็นเหตุผลของผู้ชายมักมาก เห็นแก่ได้ ฉันไม่มีทางปล่อยให้ คุณกับนังภาพิศไปเสวยสุขกันตามลำพังหรอก หญิงร้ายชายเลว”
 
คุณหญิงสุดาคิดบางอย่างในใจ แล้วเดินออกจากบ้านไปทันที

ไม่นานต่อมา ในขณะที่ภาพิศง่วนอยู่กับเครื่องเพชรในตู้โชว์ให้ลูกค้าดู หางตาเธอเห็นสุดาเดินยิ้มเข้ามาในร้าน ภาพิศหันไปบอกลูกค้าเสียงสุภาพ

“เชิญตามสบายนะคะ” เดินมาหาสุดา “มีอะไรคะ...ทำไมถึงได้มาถึงที่นี่”
สุดามองเหยียด “มาดูกิจการของเมียน้อย” พลางหันไปหาลูกค้า “ทราบมั้ยคะว่านี่เป็นร้านเมียน้อยของพลตรีอารักษ์....ถ้าทราบดิฉันว่าคุณไม่ควรที่จะสนับสนุนนะคะ...นอกซะจากว่า...คุณเป็นพวกเมียน้อยเหมือนกัน”
“ไม่นะ...ฉันไม่ใช่เมียน้อย” ลูกค้าตกใจรีบลนลานออกไป
ภาพิศตาเขียวปั้ด แอบคว้ามือถือมาอัดคลิป ตามเคย พร้อมถามแบบข่มอารมณ์ตัวเอง
“คุณพี่ทำไมต้องตามมาหาเรื่องน้องด้วย”
สุดาหวานใส่อย่างรู้แกวกัน แต่แววตานั้นเกลียดชังเปิดเผย “อุ๊ยตาย คุณน้องขา...อย่าเข้าใจพี่ผิดสิคะ ที่พี่มาวันนี้ พี่อยากจะมาอุดหนุนน้อง” พลางเดินนวยนาดไปดูเพชร แต่หันมายิ้มหาเรื่อง
“อุดหนุนที่ไหนคะ? คุณพี่ไล่ลูกค้าน้องชัดๆ” ภาพิศเหน็บ
สุดาทำเสียงเหนื่อยใจ แต่ในสีหน้าเย้ยหยัน “คุณน้องขา...ทำไมต้องมาใส่ไฟพี่ด้วยคะ....พี่ต้องการมาอุดหนุนจริงๆค่ะ ไหน...พี่ขอดูเพชรน้ำงามที่สุดในร้าน..พี่จะซื้อไปฝากท่าน”
ภาพิศทำท่าเหมือนว่าจะโกรธ แต่ยิ้มข่มแบบไม่ยอม แกล้งหวานใส่ “อุ๊ยตาย...น่าเสียดายจังค่ะคุณพี่...เม็ดงามที่สุด อยู่ในมือของน้องแล้ว” ยกนิ้วขึ้นกรีด “แต่ถ้าคุณพี่อยากจะได้จริงๆ น้องจะถอดให้...” ทำท่าจะถอด “ถ้าคุณพี่จะทำใจยอมรับได้ว่า...เป็นของมือสอง ของน้อง
สุดาโกรธแต่หัวเราะร่วน “น่าเสียดายจริงๆ...เพราะพี่เป็นคนถือตัว ต่อให้ของดีขนาดไหน แต่ถ้าเป็นของมือสองพี่ก็ไม่เอา” มองอย่างเหยียดเย้ย
ภาพิศยืนหน้าบึ้ง อาการโกรธเกรี้ยว สุดาหัวเราะเบาๆ เดินมากระซิบที่หู
“หวังว่าจะได้ฟังคลิปชุดนี้นะคะ...คนเค้าจะได้รู้ว่าน้องน่ะหน้าด้านหน้าทน พี่พูดดีด้วยก็แล้ว ด่าก็แล้ว น้องก็ยังไม่เลิกยุ่งกับผัวพี่ซะที” จ้องตาจิกใส่ “ถ้าเธอจะแย่งผัวฉันน่ะ อย่าใช้แต่มุขเดิมๆ” แล้วเดินเชิดออกไป
สุดาเดินยิ้มย่องออกมาจากร้านเพชร หน้าตาพึงพอใจมาก เพราะวันนี้เธอชนะ สุดาควักมือถือออกมายิ้มอย่างพอใจ

ภาพิศมองตามสุดาตาวาวสีหน้าโกรธจัด แต่เห็นลูกค้าเข้าร้านมา ภาพิศรีบยิ้มหวานต้อนรับทักทาย แล้วพาดูเพชร
ระหว่างนั้นกาวินทร์เดินมาหยุดยืนบริเวณหน้าร้าน เขม้นมองดูภาพิศ เห็นรอยยิ้มของภาพิศสุดจะมีความสุขมาก ท่วงท่าก็งามสง่าแบบคนรวย กาวินทร์มองจ้องด้วยดวงตาขมขื่น ก่อนเดินผละมา ในจังหวะที่ภาพิศ บอกลูกน้อง
“ดูร้านไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา” พอเดินพ้นออกมาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นบูดบึ้งเหมือนพยายามข่มอารมณ์เต็มที่

ภาพิศเดินลิ่วเข้ามาในห้องน้ำ หน้าตาบึ้งตึงเหมือนคนกำลังโกรธจัด ยินเสียงเย้ยของสุดาดังก้องในหัว
“พี่เป็นคนถือตัว ต่อให้ของดีขนาดไหน แต่ถ้าเป็นของมือสองพี่ก็ไม่เอา”
ภาพิศคิดในใจ “ถ้าถือตัวจริง จะมาใช้ของร่วมกับฉันทำไม”
มาลีนียืนอยู่ในห้องน้ำก่อนแล้ว พอเห็นภาพิศก็ตกใจ รีบทำทีเป็นแต่งหน้า ดูกระจกไป แต่แอบปรายตาเหลือบมองภาพิศตลอด และเห็นใบหน้าภาพิศเหมือนคนอารมณ์ไม่ดี ดูไม่มีความสุข ภาพิศล้างมือ วางที่ขอบอ่าง มาลินีเห็นมือนั้นเกร็งและกำแน่น ก่อนที่ภาพิศจะเดินออกไป มาลินีมองตาม ท่าทางภาพิศดูขุ่นเคือง และไม่มีความสุขเอาเสียเลย

มาลินีเดินมาตามทางในห้าง ทำท่าจะกดมือถือในมือ แต่เปลี่ยนใจ
“อย่าเพิ่งบอกตอนนี้ดีกว่า เดี๋ยวพี่แก้วทำงานไม่รู้เรื่อง”
มาลินีจะเก็บมือถือ แต่แล้วต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้น
“คะพี่แก้ว”
กาวินทร์ยืนมองมาลินีอยู่อีกมุม ก่อนเดินเข้ามาหา
“อยู่นี่” กาวินทร์เรียก

ที่โต๊ะตรงมุมหนึ่งภายในร้านกาแฟ สองคนนั่งดื่มด้วยกัน
“มาทำอะไร?” กาวินทร์ถาม
“พบลูกค้าค่ะ เค้าอยากเอาเค้กของมดมาลงที่ร้าน มดเลยแวะมาดูร้านเค้าหน่อย พี่แก้วล่ะคะ มาทำอะไร” มาลินีย้อนถาม
กาวินทร์กลบเกลื่อน “พบลูกค้า”
“ทำหน้ายักษ์อย่างนี้ ลูกค้าที่ไหนจะอยากคุยด้วยคะ” มาลินีแซวเอา
กาวินทร์รู้สึกตัว “นั่นน่ะสิ....พี่ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัว มาปนกับเรื่องงาน โอเค.มด แล้ว
คุยกัน”
เห็นกาวินทร์จะผละไป มาลินีรีบบอก “ถ้าพี่แก้วเลิกงานไม่ดึกมาก...แวะไปบ้านมดนะคะ...มดจะทำของโปรดพี่แก้วไว้รอ แล้ว..มดก็มีเรื่องจะคุยกับพี่แก้วด้วย”
กาวินทร์มองมายังมาลินีเห็นสายตาเปี่ยมรักคู่นั้นฉายชัด กาวินทร์เมินมองไปอีกทางทำเหมือนไม่รู้ แล้วเดินออกไป

ส่วนทางกรรณนรีนั่งมอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าออฟฟิศ พอจะล้วงเอากระเป๋าตังค์ ถึงรู้ว่ากระเป๋าตังค์หาย
“เฮ้ย! กระเป๋าตังค์อยู่ไหน?”
กรรณนรีล้วงค้นในกระเป๋าสะพาย แทบทุกซอก ล้วงกระเป๋ากางเกงอีกรอบ แล้วนึกภาพตอนลงจากรถ ตอนเหน็บกระเป๋าตังค์ใส่กระเป๋ากางเกง และตอนที่ฉุดกระชากลากถูกับสรวง
กรรณนรีหน้าซีด “ต้องหล่นตอนนั้นแน่ๆ” เสียงมือถือดังขัดจังหวะ กรรณนรีรีบรับ “คะพ่อ”
“กาว....ตกลงผู้ชายคนนั้น เค้าเป็นใคร” เกริกโทร.มาจากบ้าน
กรรณนรีรีบบอก “กลับไปบ้านค่อยคุยกัน แค่นี้ก่อนนะคะ กาวยุ่งมาก” ตัดบทรีบวางสาย “อย่าให้นายสรวงเก็บกระเป๋าเราได้เลย เจ้าประคู้ณ...”

กรรณนรีหน้ามุ่ย เครียดจัด

เวลานั้น สรวงนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะในห้องแล้ว ชายหนุ่มนึกได้จึงหยิบกระเป๋าตังค์ของกรรณนรีขึ้นมาดู เห็นนามบัตรเสียบอยู่ตรงช่องด้านใน

“กรรณรี ชื่อแปลกดี”
สรวงพลิกดูในกระเป๋า คราวนี้ต้องทำหน้าฉงน เมื่อเห็นรูปใบหนึ่ง เป็นภาพิศสมัยก่อนกอดเด็กชายหญิงสองคน
“ภาพิศ”
ภาพตอนที่เห็นกรรณนรีออกมาจากในซอยบ้านเกริก ผุดขึ้นมาในความคิดทันที
“อย่าบอกนะกรรณรี เธอคือลูกของภาพิศ” สรวงใจเต้นระรัว

ด้านภาพิศอยู่ที่โถงในคฤหาสน์ นั่งตาวาวโรจน์ดูออกว่าโกรธจัด แฉล้มยิ้มในสีหน้าขณะเอ่ยถามขึ้น
“ถ้าไม่ได้ฟังจากปากคุณ...ฉันไม่มีทางเชื่อเลยว่าคุณหญิงเค้าจะหาทางแก้ทางคุณได้เจ็บขนาดนี้”
ภาพิศยิ้มบางๆ “แค่เบาๆ”
“อ้าว แล้วไหงคุณทำท่าเหมือนนกปีกหักกลับบ้าน” แฉล้มงง
ภาพิศยิ้มอีก “ฉันแค่อยากให้คุณหญิงสุดาตายใจเล่น”
แฉล้มฉงน “ตายใจ”
“เล่นกับคุณหญิง ต้องมีแผนที่เหนือกว่า และคนที่เจ็บ ยังไงก็ไม่ใช่ฉัน”
แฉล้มมองภาพิศสีหน้าทึ่ง นิ่งคิดว่าภาพิศมีแผนอะไรอีกแล้ว รู้ดีว่าบ้านใหญ่ บ้านเล็ก สองคนนี้ไม่มีใครยอมใคร

สุดานั่งคุยกับสรวงท่าทางอารมณ์ดี เปิดคลิปขณะโต้เถียงกับภาพิศให้ลูกชายดู
“น่าเสียดายจริงๆ...เพราะพี่เป็นคนถือตัว ต่อให้ของดีขนาดไหน แต่ถ้าเป็นของมือสองพี่ก็ไม่เอา” เสียงสุดาในคลิปดังขึ้น
สรวงตกใจ “นี่คุณแม่ไปหาเค้าอีกแล้วเหรอครับ”
“มันหาเรื่องแม่ตลอด แม่ก็ต้องไปเอาคืนบ้างสิ” สุดาหัวเราะสะใจ “และครั้งนี้แม่ชนะ เพราะแม่ไม่หลงกลมันอีกแล้ว ต่อให้มันอัดคลิป มันก็ไม่กล้าเอาไปให้ใครดู ใครฟัง เพราะมันด่าแม่”
“แต่แม่เคยบอกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนร้ายกาจ ดีไม่ดี ภาพิศอาจจะมีสื่อในมือก็ได้”

กรรณนรีกังวลหนัก นั่งทำงานแทบไม่ติด บ่นเบาๆ
“ถ้านายสรวงเก็บกระเป๋าเงินเราได้จริงๆ เละแน่ๆ เลยกาว”
ระหว่างนั้นจ๋าเดินเข้ามา มีมะยมกับนิคตามหลัง ทันได้ยินประโยคท้ายของกรรณนรี
“เละอะไร? ถูกคุณภาพิศเค้าเหวี่ยงมาเหรอ?”
“เปล่าค่ะ”
“แล้วมีอะไร?” กรรณนรีนิ่ง จ๋าจ้องอย่างสงสัย “ตกลงที่พี่ให้ไปตามสัมภาษณ์คุณภา
พิศ เค้าว่าไงมั่ง”
กรรณนรีกลบเกลื่อน “เค้าไม่เปิดโอกาสให้กรรณนรีคุยเลยค่ะพี่จ๋า”
“กาวพูดอย่างนี้ไม่มีวิญญาณนักข่าวเอาซะเลย แล้วไหนคอลัมน์ที่ให้ไปเขียน” กรรณนรีเงียบอีก “นี่มันอะไรกันกาว ปกติ กาวเป็นเสือปืนไวนี่”
มะยมเห็นท่าไม่ดีรีบแก้แทน “คือเมื่อวาน มะยมขอเขียนแทนกาวน่ะค่ะ”
จ๋าหันมาทางมะยม “แล้วไหนงาน”
มะยมยิ้มแหะๆ “ขอห้านาทีค่ะ” รีบเดินกลับไปที่โต๊ะเร็วรี่
“ห้านาทีแน่นะ” จ๋าหันมาดุกาวต่อ “ส่วนกาว...ยังไงก็ต้องไปสัมภาษณ์คุณภาพิศมาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน แต่ต้องได้ข่าวกลับมา” พูดจบก็หันตัว เดินกลับห้องทำงาน
นิคกะมะยมมองกรรณนรีอย่างเห็นใจ

ที่หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ กรรณนรี มะยม และนิคเดินออกมาด้วยกัน
“นังเจ้...เป็นไรแก” นิคถามอย่างสงสัย
“นั่นสิกาว...เสียชื่อ เสือปืนไว หมด” มะยมว่า
กรรณนรีบอกเสียงเนือยๆ “มีเรื่องยุ่งๆ นิดหน่อย....ไม่เป็นไร ฉันจะรีบจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุด ไปก่อนนะ” ฝืนยิ้มให้ พูดสัพยอก “อ้อ! ขอบใจมากที่ให้ยืมตังค์ แต่ตอนจ่ายคืนห้ามคิดดอกล่ะ”
“ยังจะงกอีก” มะยมมองกรรณนรีขี่รถมอเตอร์ไซค์ หันมาพูดกับนิค “ฉันว่ากาวต้องมีอะไรแน่ๆ”
“ฉันก็ว่างั้น” นิคว่า สองคนมองตามกรรณนรีด้วยความเป็นห่วง

สรวงนั่งทำงานอยู่ในห้อง แต่นั่งไม่ติดที่ สมาธิแตกซ่าน ฉุกคิดคำพูดมารดาที่บอกว่าภาพิศมีลูกติด
“ผู้หญิงที่ทิ้งลูกทิ้งผัวมาหาผู้ชายอื่นได้ มันเป็นคนดีหรือ”
สรวงคิดถึงคำพูดกรรณนรีที่คุยกันในรถ
“เค้าอาจจะรักพ่อคุณจริงๆก็ได้....ไม่อย่างนั้น เค้าคงไม่ทิ้งลูก ทิ้งครอบครัวมาอยู่กับพ่อคุณ”

สรวงดึงตัวเองกลับมา พลางหยิบมือถือขึ้นมาโทร.ถามคนขับรถของอารักษ์
“บ้านภาพิศอยู่ที่ไหน?”

กรรณนรีพาตัวเองมายืนอยู่หน้าประตูบ้าน มองคฤหาสน์หลังใหญ่โตของภาพิศด้วยความสะเทือนใจ ทำท่าจะกดออดหลายครั้ง แต่ก็ไม่กดสักที
คนด้านในเห็นภาพหน้าบ้านจากกล้องวงจรปิด น้อยมองจ้องแล้วเอ่ยขึ้นกับเมตตี้
“ใครน่ะมาทำท่าลับๆ ล่อ เอ๊ะ! หรือจะเป็น คนที่คุณแฉล้มส่งมา”
“ส่งมาทำไมล่ะป้า?”
น้อยลดเสียงเบาลง “ก็ส่งมาเอาใจท่านอารักษ์น่ะสิ...แกไม่รู้หรอกรึเมตตี้....ว่าร้านเสริมสวยน่ะแค่บังหน้า อาชีพหลักของคุณแฉล้มคือมาม่าซัง”
สองคนมองหน้ากันตาโต
ภาพิศเดินลงมาพอดี “ซุบซิบอะไรกัน”
สองคนสะดุ้งโหยง
“ใครก็ไม่ทราบมาด้อมๆ มองๆ ที่หน้าบ้านค่ะ” น้อยบอก

ภาพิศมองที่กล้องวงจรปิด เห็นเป็นกรรณนรีก็ทำหน้าฉงน จำได้

“นักข่าวคนนั้นนี่” ภาพิศพึมพำ

ไฟมาร ตอนที่ 1 (ต่อ)

ด้านกรรณนรียืนหน้ามุ่ยอยู่ตรงประตูใหญ่หน้าบ้าน ท่าทีลังเลหนัก คิดไม่ตกว่าจะกลับ...หรือไม่กลับ ก่อนจะปลุกปลอบบอกตัวเอง

“มันเป็นงานกาว เค้าไม่เกี่ยวอะไรกับเรา อย่าอ่อนแอ” ยื่นมือจะกดกริ่ง “เรายังทำใจไม่ได้...” จะหันหลังเดินกลับ
แต่แล้วประตูรั้วถูกเปิดออกมา ยินเสียงประตูเปิดกรรณนรีหันกลับไปมองเห็นใครบางคนยืนอยู่
กรรณนรีเสียงสั่น “คุณภาพิศ” หลบตาทันที
ภาพิศทักทายขึ้น “ฉันเห็นเธอจากกล้องวงจรปิด มีธุระอะไรกับฉัน? เข้ามาก่อนสิ” ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แล้วหันตัวเดินเข้าไป กรรณนรีเงยหน้ามองภาพิศอึ้ง คาดไม่ถึง

ภาพิศเดินนำกรรณนรีเข้ามาตรงทางเดินในบ้าน ความกว้างขวางใหญ่โตโออ่า บ่งบอกฐานะอันร่ำรวยของภาพิศอย่างดี นั่นยิ่งทำให้กรรณนรีรู้สึกตัวเล็กไปถนัดตา ภาพิศเดินนำไปเรื่อยๆ ความเงียบของกรรณนรีทำให้ภาพิศหันกลับมามองโดยไม่ทันตั้งตัว
จังหวะนั้นกรรณนรีเงยหน้าขึ้นมามองภาพิศพอดิบพอดี นี่เป็นครั้งแรกที่แม่...ลูกเผชิญหน้ากันสองต่อสองแบบจังๆ สายตาของกรรณนรีมีทั้งความรัก ตื่นเต้น โหยหา ระคนน้อยใจ เสียใจ ปนเปกันไป ภาพิศเองก็มองจ้องกรรณนรีเขม็ง

วินาทีนั้นภาพิศกลับเห็นเป็นดวงตาของเกริกที่มองมาด้วยสายตาเดียวกัน ดวงตาของกรรณนรีตอนเด็ก ภาพิศอึ้ง นิ่งงันไป

ภาพิศไม่ได้ฉุกคิดสักนิดว่าเด็กสาวตรงหน้าเป็นลูกสาว กรรณนรีมองภาพิศด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ฉันมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าคะ”
ภาพิศรีบกลบเกลื่อน “เปล่าเพียงแต่ฉันเห็นเธอเงียบไป ตามสบายนะไม่ต้องเกรงใจ”
กรรณนรีพูดออกมาน้ำเสียงเจือความน้อยเนื้อต่ำใจ “บ้านสวยจังเลยนะคะ”
ภาพิศยิ้มบางๆ “เหรอ?...จริงๆ ฉันไม่ชอบบ้านสไตล์นี้หรอก...แต่ท่านชอบ”
กรรณนรีอึ้ง ถ้อยคำแสนธรรมดาของภาพิศกระทบใจจังๆ
“แล้วคุณภาพิศชอบแบบไหนคะ?”
ภาพิศนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนบอก “ตอนแรก...ฉันเคยคิดว่าฉันชอบบ้านหลังใหญ่ๆ แต่พอ
มาอยู่จริงๆ บ้านหลังนี้...มันใหญ่เกินไป ถ้ามีเด็กๆ มาวิ่งเล่นด้วย ก็คงจะดี
กรรณนรีซัก “คุณภาพิศอยากมีลูก?”
“ใช่...ฉันอยากมีลูก ท่านเองก็อยากมี...แต่ก็ยังไม่มีซักที”
กรรณนรีสะอึก มองหน้าภาพิศ ทั้งเสียใจ น้อยใจ ระคนโกรธ
“เด็กที่เป็นลูกคุณภาพิศคงโชคดีมาก”
คราวนี้ภาพิศเป็นฝ่ายสะอึกบ้าง น้ำตาคลอขึ้นมาทันที แต่รีบยิ้มกลบเกลื่อน
“นั่งสิ” ภาพิศทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงสนามหญ้าหน้าบ้าน กรรณนรีนั่งลงตามข้างๆ
จังหวะนั้นน้อยเดินเอาน้ำใบเตยมาเสิร์ฟ
“น้ำใบเตย หอมอร่อยดีนะ...ลองดื่มดู”
กรรณนรีจ้องมองดูน้ำใบเตย หวนคิดถึงอดีต

ภาพที่ภาพิศขณะยังเป็นนุดีเอาน้ำใบเตยมาให้ลูกชายหญิงดื่ม
“น้ำใบเตย หอมเย็น ชื่นใจลูก”
ลูกๆ สองคนไม่ยอมดื่ม นุดีย้ำขึ้นอีก
“น่า...ลองดื่มดู แม่ทำเอง ไม่ขม หวานอร่อย มีประโยชน์...นะลูก..ลองดื่มดู”
กาวินทร์กับกรรณนรีดื่มแล้วทำหน้าเบ้ นุดีหัวเราะขำ
“แม่ทำไม่อร่อยเหรอ เอาน่า..ดื่มบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชอบเอง ดื่มน้ำสมุนไพรซะบ้างลูก อย่าดื่มแต่น้ำอัดลม ไม่ดี ไม่มีประโยชน์”

กรรณนรีมองจ้องแก้วน้ำใบเตยในมืออยู่นานจนภาพิศถาม
“ลองดื่มดู สูตรของฉันเอง มีประโยชน์นะ” กรรณนรียังนิ่งอยู่ “ไม่ชอบเหรอ”
กรรณนรีจ้องหน้า “ชอบค่ะ.....พ่อต้มให้กินบ่อยๆ”
“แล้วแม่ล่ะ ชอบทำอะไรให้เธอทาน” ภาพิศพูดถามตามประสา
“ฉันไม่มีแม่ค่ะ” กรรณนรีว่า
“ขอโทษ...ที่ฉันถามให้เธอสะเทือนใจ”
เมตตี้กับน้อยเอาของว่างมาให้....เป็นเค้กหน้าตาน่ากินมาก
“ทานของว่างก่อนจ้ะ”
กรรณนรีมองจ้องขนมเค้ก ก่อนจะลุกขึ้น
“ขอตัวนะคะ...ฉันรู้สึกไม่สบายมาก” กลั้นก้อนสะอื้น แล้วเดินแกมวิ่งออกไปทันที
ทุกคนมองตกใจ
“หนู...ไหวรึเปล่า เดี๋ยวฉันพาไปหาหมอ” ภาพิศตกใจมาก รีบตามออกไปดู

ภาพิศวิ่งออกไปที่หน้าบ้าน เห็นกรรณนรีวิ่งออกไปไกลลิบแล้ว กรรณนรีปาดน้ำตาแต่ภาพิศไม่เห็น เห็นแต่ด้านหลัง
“เค้าเป็นอะไรของเค้า” ภาพิศมองตามอย่างงุนงง และไม่เข้าใจ

กรรณนรีกลั้นน้ำตาไม่อยู่ วิ่งร้องไห้หนีมา ภาพเค้กสวยผุดขึ้นมาพร้อมเสียงเชื้อชวนของภาพิศ
“ทานของว่างก่อนจ้ะ”

กรรณนรีหวนคิดถึงภาพในอดีต

ครั้งนั้น...ภาพิศขณะยังเป็นนุดีจูงมือเด็กหญิงกรรณนรี วัย 7 ขวบผ่านร้านเค้ก เป็นเค้กในร้านเล็กๆ ทั่วไป ปอนด์ละไม่ถึงร้อย ครีมเยอะ ดูก็รู้ว่าไม่อร่อย แต่สำหรับความรู้สึกเด็กหญิงตัวน้อยช่างน่าทานมาก กรรณนรีชี้ไปที่เค้กในตู้

“แม่...กาวอยากกินเค้ก”
นุดียืนมองอึ้งไป มือที่กำเงินอยู่แบออกมา มีไม่ถึงร้อย “วันนี้แม่มีเงินไม่พอ ไว้วันเกิดแม่ซื้อให้นะ”
“จริงนะคะแม่” เด็กหญิงดีใจ
“จริงจ้ะ...ไว้วันเกิด แม่ซื้อแบบนี้ให้กาวเลย”
นุดีจูงมือกรรณนรีเดินออกไป แต่สายตาของกรรณนรียังมองเค้กในตู้
“วันเกิด..วันเกิด..วันเกิด”

กรรณนรีวิ่งร้องไห้มา ยินเสียงของตัวเองตอนเป็นเด็กกับภาพิศเมื่อก่อนหน้านี้ดังก้องอยู่ในหัว
“วันเกิดๆๆ” / “ของว่างๆๆๆ”
นัยน์ตาของกรรณนรีพร่าพรางไปด้วยน้ำตา มองไม่เห็นข้างหน้า เพราะมีม่านน้ำตากั้นไว้
สรวงเลี้ยวรถมาในจังหวะเดียวกับที่กรรณนรีวิ่งร้องไห้มา
“เฮ้ย!”
สรวงร้องลั่น ขณะที่หักรถหลบ กรรณนรีเองก็หลบจนเซล้มลงไปนั่งที่พื้น สรวงลงรถเดินเข้ามาหาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เป็นไงมั่งคุณ”
กรรณนรีเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
สรวงเห็นเป็นกรรณนรีก็ชะงัก “อ้าว! เธอ”

สรวงมองจ้องหน้าอย่างแปลกใจ ที่เห็นกรรณนรีร้องไห้

สรวงจอดรถตรงบริเวณข้างๆสะพานริมน้ำ ก่อนจะเดินลงมาพร้อมกรรณนรี
กรรณนรีเช็ดน้ำตา ทำท่าจะเดินไป
“ขอบคุณมาก ที่ไม่ขับรถชนฉัน ฉันกลับก่อนแล้วกัน”
สรวงรีบบอก “ตกลง...ฉันขับรถมานี่ เพื่อดูเธอร้องไห้นี่นะ”
กรรณนรีหันขวับมามอง “แล้วคุณต้องการอะไร”
“เธอไปร้องไห้อะไรแถวนั้น” สรวงถาม
กรรณนรีกลับกวนใส่ “เอ๊อ..คุณนี่ก็แปลก คนจะร้องไห้ ตรงไหน มันก็ร้องได้ทั้งนั้นแหละ”
“มันก็จริง.... ถ้าแถวนั้นจะไม่ใช่บ้านคุณภาพิศ”
กรรณนรีมองสรวงใจหายแว๊บ สรวงเดินไปที่รถ หยิบกระเป๋าตังค์กรรณนรีออกมาชูตรงหน้า
“ฉันสงสัยว่าคุณภาพิศทำให้เธอร้องไห้” สรวงว่า กรรณนรีจะคว้า แต่สรวงดึงกลับ
กรรณนรีอึ้ง “คุณ”
“ว่าไง...? คุณภาพิศทำให้เธอร้องไห้ใช่มั้ย” สรวงย้ำ
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ” กรรณนรีบอก
“แต่ฉันมีสิทธิ์สงสัยว่าเธอเป็นลูกภาพิศ? ถ้าอยากได้กระเป๋าของเธอคืน เธอต้องพูดความจริงกับฉัน”
กรรณนรีนิ่ง ไม่ตอบ สรวงดึงเงินจากในกระเป๋าของกรรณนรีออกมา แล้วจับยัดเงินนั้นใส่มือกรรณนรี ก่อนจะเดินถือกระเป๋าของกรรณนรีเดินตรงไปที่รถ
กรรณนรีวิ่งตาม “คุณ...เอากระเป๋าฉันคืนมานะคุณ”
สรวงไม่ฟังเสียงกรรณนรี ขับรถออกไปทันที กรรณนรีหน้าซีด ครางออกมา
“เราไม่น่าเก็บรูปนั้นไว้ในกระเป๋าเลย เดือดร้อนกันหมดแน่..พ่อ..พี่แก้ว”

กาวินทร์ทำงานอยู่ที่บริษัทโฆษณา ในตำแหน่งเออี และเวลานั้นยังอยู่ที่บริษัท
“ไง? คืนนี้จะไป ที่ไหนแก้ว” เพื่อนพนักงานถาม
“ที่” กาวินทร์ชะงัก นึกถึงเรื่องที่มาลินี บอกมีเรื่องจะคุยด้วยขึ้นมา “ไม่ล่ะ..ไม่ไปไหน จะกลับบ้าน”
เพื่อนไม่อยากเชื่อ “โอ้โห! กลับบ้าน เป็นไปได้ไง...โอเค...พรุ่งนี้เจอกัน” เพื่อนเดินออกไป
กาวินทร์บอกกับตัวเอง “ไปให้มันจบๆไปแก้ว...ถ้ามดบอกรัก...จะได้บอกๆ มดไปเลยว่าเราไม่ได้คิดอะไร”
กาวินทร์คิดกับมาลินีแค่นั้นจริงๆ

เวลาต่อมากาวินทร์จอดรถไว้หน้าบ้านของมาลินี โดยจอดห่างออกมาหน่อย แล้วจึงเดินเข้าไป
ที่หน้าบ้าน
ภายในบ้านหลังเล็กๆ หลังนั้น มาลินีง่วนอยู่กับการอบขนม ทำกับข้าวตามประสา กาวินทร์อมยิ้ม รู้ว่าหญิงสาวตั้งใจทำให้ตัวเอง กดมือถือโทร.ออก มาลินีเห็นเบอร์โทร.กาวินทร์ จึงรีบเช็ดมือ
รับสายท่าทีดีใจมาก
“เลิกงานแล้วเหรอคะ”
“ฮื่อ” กาวินทร์ว่า
“แล้วถึงไหนแล้วคะ? กับข้าวที่มดทำให้พี่แก้ว จวนเสร็จแล้ว”
“พี่จะเลยไปทานข้าวกับเพื่อนน่ะ คงไม่ได้เข้าไปหามด”
มาลินีหน้าจ๋อยทันที “ไม่เป็นไรค่ะ.....มดทานเองก็ได้...”
“แล้วเจอกันจ้ะ”
กาวินทร์วางสาย มองมาลินีแล้วอมยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ ย่องเข้าไปในบ้าน ขณะที่มาลินีวางโทรศัพท์นั่งลงอย่างห่อเหี่ยว
กาวินทร์เดินเข้าไปจ๊ะเอ๋ทัก “พี่อยู่นี่”
“พี่แก้ว” มาลินีหันมามองสายตาบ่งบอกว่าดีใจมาก

กาวินทร์นั่งก้มหน้าก้มตากิน ไม่ได้สนใจมาลินี อีกฝ่ายยิ้มถาม
“อร่อยมั้ยคะ”
“กินได้ ...เออ..แล้วไหน มีเรื่องอะไรจะคุยกับพี่” กาวินทร์นึกได้
มาลินีน้อยใจ “ที่แท้..พี่แก้วก็แค่อยากรู้ว่ามดจะคุยเรื่องอะไร”
กาวินทร์ไม่ได้ใส่ใจ “งั้นมดจะบอกมั้ยล่ะ ถ้าไม่บอก พี่จะได้กลับ” ลุกขึ้น
มาลินีน้อยใจมากขึ้น พูดตัดพ้อ “พี่แก้วไม่เคยสนใจคนอื่นเลยว่าเค้ารู้สึกยังไง”
“สนใจแล้วได้อะไร ต่อให้เราทุกข์...เค้าก็สุขอยู่ดี” กาวินทร์บอก
“พี่แก้วคิดถึงแม่อีกแล้วใช่มั้ยคะ บางทีแม่พี่แก้วอาจไม่ได้มีความสุขอย่างที่พี่แก้วคิดหรอกค่ะ”

กาวินทร์ออกจากบ้านมาลินี กำลังขับรถกลับบ้านด้วยอาการสับสน เสียงมาลินีดังก้องในหู
“วันนี้มดเจอแม่พี่แก้ว....ท่าทางแม่ของพี่แก้วเหมือนกำลังทุกข์อะไรซักอย่าง คนบางคน ภายนอกเราอาจจะเห็นแต่ภาพที่สวยงามหรูหรา..อยู่บ้านหลังใหญ่ นอนอยู่บนกองเงินกองทอง แต่เอาเข้าจริง...เค้าอาจจะมีความทุกข์อย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้นะพี่แก้ว”
กาวินทร์เบนรถเข้าไปจอดข้างทาง ดวงตาหม่นหมองขมขื่น

“แม่น่ะหรือจะทุกข์ ไม่มีทาง” กาวินทร์ขับรถออกไป ด้วยแรงโทสะ

เวลานั้นภาพิศอยู่ที่คฤหาสน์หลังใหญ่โตโอฬาร นั่งเหม่อลอยเดียวดายอยู่เพียงลำพัง หวนคิดถึงคำพูดกรรณนรีก่อนหน้านี้

“ลูกของภาพิศคงมีความสุขมาก”
ภาพิศน้ำตาคลอ “ลูกที่ไม่มีแม่ ยังไงก็มีความสุขมากกว่าลูกที่ถูกแม่ทิ้งอยู่ดี” ปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยล้า “แผลในใจของฉันจะไม่มีเลย...ถ้าวันนั้นฉันเลือกคนไม่ผิด”
ภาพิศน้ำตาไหลรินเมื่อคิดถึงเรื่องราวในอดีต

ที่บ้านหลังเก่า ภาพิศเมื่อ 10 ปี ก่อนขณะยังใช้ชื่อนุดี แม้จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าไม่เริดหรูแต่ทว่าภาพิศก็สวยผุดผาด แม้จะมีลูกน้อยสองคนแล้วก็ตาม
เวลานั้น เกริกกับนุดีช่วยกันเลี้ยงลูก ซึ่งกาวินทร์วัย 10 ขวบ ไม่สบาย อาเจียนตลอดเวลา นุดีลูบหลังลูก พลางร้องบอกเกริก
“พี่...เอาผ้ามาหน่อย...ลูกอาเจียน”
“จ้ะๆๆ” เกริกงกๆ เงิ่นๆ หันรีหันขวาง ไม่รู้จะหยิบผืนไหนดี
นุดีรอนานจนหงุดหงิด จึงออกเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจขึ้น “ผืนไหนก็ได้พี่หยิบมา เร็ว”
“จ้ะๆๆ”
เกริกเอาผ้ามาให้ นุดีเอาผ้าเช็ดปากให้กาวินทร์ บอกสามีขึ้นอีก
“พี่...ไปเอาผ้ามาเช็ด ไม่เห็นรึไง บ้านเลอะหมดแล้วน่ะ”
“จ้ะๆๆๆ” เกริกลนลานจะวิ่งไปเอาผ้า
ระหว่างนั้นเพื่อนบ้านคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามาในบ้าน
“พ่อเกริก ลุงเสาโดนรถชน เป็นตายไม่รู้ ไปช่วยหน่อยเร็ว”
“ได้ๆๆๆ” เกริกตะโกนบอก “นุดี...ลุงเสาถูกรถชน อาการหนัก พี่ไปช่วยแกก่อนนุดีดูลูกไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา” วิ่งออกไปกับชาวบ้านทันที
นุดีหน้าเหลอหลา เรียกไว้ “อย่าเพิ่งไปพี่เกริก ช่วยฉันดูลูกก่อน”
กรรณนรีในวัยเจ็ดขวบ หยิบปลั๊กพัดลมจะไปเสียบเต้า นุดีเห็นร้องลั่น
“อย่า!กาว! เดี๋ยวไฟดูด” รีบผละจากกาวินทร์มาหา ดึงปลั๊กออกจากมือกรรณนรี
จังหวะนั้นกาวินทร์ทรุดลง เหมือนจะเป็นลม ภาพิศหน้าซีด ห่วงหน้าพะวงหลัง รีบดึงกรรณนรีมาหากาวินทร์ ท่าทางยุ่งมาก
พร้อมกับพิไล พ่อและแม่ของนุดีเดินเข้ามาในบ้านพอดี
“อ้าว! ลูกเป็นไร” พร้อมถามขึ้น
“แก้วไม่สบายพ่อ อาเจียนทั้งวันเลย ฉันจะพาลูกไปหาหมอ”
พิไลมองหา “อ้าว!แล้วไอ้เกริกล่ะ” นุดีนิ่ง พิไลว่าต่ออย่างรู้ทัน “มัวแต่ไปช่วยชาวบ้านล่ะสิ ดีแต่เรื่องนอกบ้าน ลูกเมียไม่เคยสนใจ ผู้ชายแบบนี้เหรอจะมาเป็นผู้นำ”
“นำไปตายหมดบ้านน่ะสิ ผัวไม่ได้เรื่องแบบนี้ จนก็จน เลิกๆ ไปเลย” พร้อมว่า น้ำเสียงไม่พอใจพอกับผู้เป็นมีย
นุดีนิ่งงันไป สีหน้ามีแต่ความยุ่งยากลำบากใจ

รูปภาพครอบครัวใบนั้น เป็นภาพของภาพิศขณะยังเป็นนุดีกำลังกอดกาวินทร์กับกรรณนรีเอาไว้ ดวงหน้ายิ้มพรายอย่างความสุข
ภาพิศนั่งหน้าเศร้าน้ำตาคลอดูรูปอยู่ ยกมือไล้ที่รูปเบาๆ
“แม่คงเป็นแม่ที่เลวมาก แต่ลูกรู้มั้ยแม่ใจจะขาดทุกครั้งที่นึกถึงตอนที่ทิ้งลูกมา”

ภาพจำที่ลืมไม่เคยลง ผุดขึ้นมาในภวังค์อีกคำรบ ตอนนั้นภาพิศที่ยังใช้ชื่อนุดี ตัดสินใจเดินออกจากบ้านไป โดยไม่หันกลับมามอง
“แม่..อย่าไปแม่” กาวินทร์กับกรรณนรีวิ่งมากอดรั้งไว้
นุดีปลดมือลูกออก “ปล่อยแม่...” แล้วเดินออกไป
ในสายตากรรณนรีกับกาวินทร์เห็นผู้เป็นแม่เดินหันหลังออกไป โดยไม่ยอมเหลียวมองมา กิริยาใจดำมาก
ขณะที่ใบหน้าของนุดียามนั้น สองตาเต็มไปด้วยน้ำตาแล้ว เสียงของกาวินทร์กับกรรณนรีร้องดังลั่นขึ้นพร้อมๆ กัน “แม่..อย่าไป..แม่”
นุดีชะงักนิดหนึ่ง อยากจะกลับไป แต่ทำใจแข็ง ก้าวเดินออกมาแบบไม่ยอมหันกลับไป
มองอีก กลัวตัดใจไม่ได้ น้ำตานุดีไหลรินออกมาด้วยความเจ็บปวดใจ

น้ำตาของภาพิศไหลหยดลงมาที่รูป มือของภาพิศสั่นระริก ขณะที่กอดรูปลูกแนบอก ร่ำไห้บอกออกมา
“แม่คิดถึงลูกตลอดเวลา แก้ว...กาว”

ทางด้านกรรณนรีนั่งแท็กซี่มาลงที่ข้างถนนก่อนเดินเข้าบ้าน โดยไม่รู้ว่าตรงมุมมืดริมถนนอีกฝั่ง สรวงนั่งอยู่ในรถมองจ้องจับตามองมาที่กรรณนรีตลอดเวลา ทันทีที่เห็นกรรณนรีเดินเข้าไปในบ้าน สรวงก็หรี่ตามองพูดเสียงกร้าว

“กรรณนรี เธอเป็นลูกของภาพิศจริงๆ”

เกริกเดินกระวนกระวายไปมารอกรรณนรีอยู่ในบ้าน ทันทีที่เห็นกรรณนรีที่เดินแบบหมดแรงเข้ามาในบ้าน เกริกก็ถามอย่างร้อนใจโดยลืมมองดูอาการเหนื่อยล้าของลูกสาว

“ทำไมเพิ่งกลับมาล่ะลูก พ่อรอตั้งนาน”
กรรณนรีเผลอตัวหงุดหงิดใส่ผู้เป็นบิดา “ก็กาวงานยุ่ง”
“พ่อขอโทษ....ความจริงกาวก็กลับดึกอย่างนี้ทุกวัน เพียงแต่วันนี้พ่อรอกาว” เกริกหน้าเสีย
กรรณนรีนึกได้ “ขอโทษค่ะพ่อ”
เกริกยิ้มออกมาได้ “ตกลง..ผู้ชายคนนั้นเค้าเป็นใครลูก? ทำไมเค้าถึงได้มาถามเรื่องพ่อกับแม่”
กรรณนรีพูดกลบเกลื่อน “เค้าอาจจะทำงานให้คุณหญิงสุดาก็ได้”
“งั้นก็แปลว่า...เค้าตั้งใจหาข้อมูล เพื่อทำลายแม่...ดีแล้ว ที่กาวโทร.มาบอกพ่อก่อน ไม่งั้นพ่ออาจจะหลุดปาก ทำให้แม่เดือดร้อนไปแล้วก็ได้”
ท่าทีของเกริกห่วงภาพิศมาก กรรณนรีได้แต่มองพ่อ ด้วยความสงสารและเห็นใจ

คืนนั้นกรรณนรีนอนลืมตาโพลงมองเพดานห้องนอน
“ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน? พ่อก็ยังรักแม่อยู่ดี แต่จะมีสักวันมั้ย ที่แม่คิดถึงพ่อ...นอกจากคิดถึงแต่ตัวเอง”
พูดแค่นี้ น้ำตากรรณนรีก็ไหลรินออกมา

เช้านั้นมะยม นั่งหน้ามุ่ยอยู่หน้าคอมพ์ นิคกระเซ้า
“เวลาโลกไหนของแกวะมะยม ห้านาทีของแกมันถึงได้ยาวนานนัก จนเช้าแล้วงานก็ยังไม่เสร็จอีก”
มะยมหน้ามุ่ย “ก็มันยากนี่ จะเขียนยังไง ภาษาก็ไม่แสบ ไม่แซบ เท่ากับกาว”
“คิดถึงตอนถูกพี่จ๋า ด่าสิ...เดี๋ยวภาษาแกก็แสบก็แซบเอง” นิคว่า
“จะแสบแซบยังไงก็ไม่สู้คุณเมียน้อยด่าเมียหลวงหรอก แกฟังดู”
มะยมเปิดคลิปภาพิศกับสุดาเถียงกัน
“สามีคุณหญิงพี่ต่างหากล่ะคะ ที่ไม่ยอมเลิกยุ่งกับหนูซะที อุ๊ย คุณหญิงพี่ดูสิคะ...ท่านแมสเสจมา...”Miss U “ คิดถึง...ขนาดห่างกันแค่ไม่ถึงชั่วโมงนะเนี่ยวันนี้ตั้งหลายสิบครั้ง แล้วของคุณหญิงพี่ล่ะคะปีนี้ ได้ซักครั้งรึยังเอ่ย?”
“คุณภาพิศนี่หน้าไม่อาย ก็คงจะส่ง sms ไปหาท่านอารักษ์ก่อนล่ะซี้....ท่านถึงได้ตอบกลับมา...แล้วยัยคุณภาพิศก็เอามาเยาะเย้ยเมียหลวง” มะยมบอก
“เฮ้ย! จริงๆ อาจไม่มีอะไรก็ได้นะมะยม...คุณภาพิศอาจจะส่งsms ไปถามท่านอารักษ์ วันนี้ดูหนังเรื่องอะไรดีค้า? ท่านอารักษ์ก็ตอบกลับมา ว่า “ I miss u “ ก็เท่านั้น...คุณหญิงสุดาคิดมากไปเอง 555” สองคนหัวเราะสนุก
“แกนี่มันโลกสวยจริงๆ เลยนิค ถ้าเรื่องแค่นี้คุณหญิงสุดาคงไม่ตามรังควานหรอก แต่ยัยคุณภาพิศ คิดจะเป็นหนึ่งน่ะสิ ถึงได้ทำเรื่องให้คุณหญิงสุดาเจ็บตลอด เลว” มะยมด่า
กรรณนรียืนนิ่งได้ยินทั้งหมด เท้าที่จะเดินเข้าออฟฟิศ ชะงัก กรรณนรีเดินกลับออกไป
กรรณนรีเดินออกมาด้านนอกออฟฟิศแล้ว พูดกับตัวเอง
“เธอจะต้องทนฟังคนด่าแม่ตัวเองอีกนานแค่ไหน กาว”

ที่ร้านเพชร ภาพิศต้อนรับลูกค้าตามปกติ เสียงมือถือดัง ภาพิศรับ
“ว่าไงคะคุณแฉล้ม”
แฉล้มอยู่ที่หน้าร้านเสริมสวยหรูหราของตัวเอง ภายในร้านสุดานั่งทำผมพลางคุยกับเพื่อนหน้าระรื่น แฉล้มรายงาน
“คุณหญิงสุดาอยู่ที่ร้านฉันค่ะ ด่าคุณให้เพื่อนฟังใหญ่เลย คุณฟังเองแล้วกัน”
สุดามองมาที่แฉล้ม รู้ดีว่าเป็นเพื่อนภาพิศ สุดาปรายตามองเหยียด
“ฉันอยากให้คุณเห็นหน้านังภาพิศตอนนั้นจริงๆ ค่ะ หน้าเหลือไม่ถึงสองเซ็นคงคิดจะยั่วให้ฉันด่า หล่อนจะได้อัดคลิป พอฉันเปลี่ยนแผนเท่านั้นล่ะ นังเมียน้อยนักอัดคลิป เซโรงังไปไม่เป็นเลย” หัวเราะเย้ย “อย่างว่า...ใช้แต่มุขเดิมๆ”
ภาพิศหน้าบึ้ง ตาวาวโรจน์ ได้ยินหมดทุกอย่าง แฉล้มถาม
“คุณจะให้ฉันทำอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เรื่องเด็กอนุบาลแค่นี้ ฉันไม่ถือหรอกค่ะ”
ภาพิศวางสาย ปากพูดไปงั้นแต่สายตาขุ่นเคือง

เวลต่อมาภาพิศเดินมานั่งที่ร้านกาแฟ ด้วยท่วงท่าสบายๆ พร้อมรอยยิ้มพราย แต่แววตาเอาเรื่อง ภาพิศคิดในใจ “ถ้าไม่มีดิฉัน ชีวิตคุณพี่คงขาดรสชาติน่าดู งั้น...มุขเดิมๆ นี่แหละค่ะจะช่วยสร้างรสชาติในชีวิตให้คุณพี่”

ภาพิศยิ้มขณะอัพไฟล์เสียงขึ้นยูทูป

โปรดติดตาม "ไฟมาร" ตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น