xs
xsm
sm
md
lg

หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 9

ระบิลถอนใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันหลังกลับ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นอิทธิหาญกับปานยืนดักอยู่ อิทธิหาญมองระบิลอย่างท้าทาย

“บอดี้การ์ดฝีมือดี สนใจเปลี่ยนขั้วมาทำงานด้วยกันมั้ย”
“ชวนกันกลางป่าอย่างนี้เลยเหรอ”
ระบิลพูดอย่างใจเย็น ปานชักสีหน้าด้วยความไม่สบายใจเพราะรู้จักระบิลดี
“ฉันเสียดายฝีมือแก ถ้าจะต้องตายไปพร้อมกับนังเนติมา คิดยังไงถึงไปทำงานให้ผู้หญิง ธรรมชาติไม่ได้ออกแบบให้ผู้หญิงเป็นเจ้านาย แต่ธรรมชาติออกแบบให้มีผู้หญิงไว้ทำเมีย ฮ่าๆ” อิทธิหาญบอก
อิทธิหาญพูดแล้วยิ้มเยาะดูถูกเพศหญิง
“ว่าไง..ฉันยินดีจ่ายให้แกสองเท่าของที่ได้จากนังเนติมา เราจะรวยทั้งเงินและอำนาจไปด้วยกัน เพราะเวลาของบอสเก่าแกมันหมดลงแล้ว ฮ่าๆ” อิทธิหาญหัวเราะอย่างย่ามใจ

เนติมา ศิวัชและปฏิพรที่ซ่อนอยู่หลังแนวไม้ยังคงเห็นควันและไฟลามอยู่อย่างต่อเนื่อง ศิวัชคิดนิดหนึ่งก่อนหันไปพูดกับเนติมาและปฏิพร
“ทุกคนรอพี่อยู่ตรงนี้ พี่จะไปช่วยคุณระบิล”
“อย่านะคะพี่ศิวัช”
เนติมารีบคว้าแขนศิวัชไว้ทันที
“ทำไมล่ะเนติ์”
“ปล่อยคุณระบิลเขาเถอะค่ะพี่ศิวัช มันเป็นหน้าที่ของคุณระบิลเขาอยู่แล้ว” ปฏิพรบอก
เนติมาชำเลืองมองปฏิพรอย่างเซ็งๆแล้วหันไปพูดกับศิวัชอย่างจริงจัง
“เพราะพี่ศิวัชเป็นผู้นำประเทศมันถึงไม่คุ้มกับการเสี่ยงไงคะ”
ศิวัชคิดตามก่อนถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ ปฏิพรคิดอีกมุมแล้วพูดออกมาด้วยความตกใจ
“ตายแล้ว นี่ถ้าเกิดคุณระบิลตกลงไปอยู่ข้างพวกนั้น แล้วเกิดบอกว่าพวกเราซ่อนอยู่ตรงนี้จะทำไงคะหนีกันเถอะค่ะหนี”
“เบาๆสิน้องตี้ เดี๋ยวพวกมันก็ได้ยินหรอก”
ศิวัชปรามปฏิพรที่กำลังร้อนรนแล้วหันไปมองเนติมาอย่างปรึกษา
เนติมามองลอดแนวไม้ออกไปยังจุดที่ระบิล อิทธิหาญและปานยืนอยู่
“ถ้านับจากวันที่คุณระบิลเริ่มเป็นบอดี้การ์ดให้เนติ์ กับสิ่งที่เขาทำให้เนติ์ เนติ์มั่นใจนะคะ ว่าเขาไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นแน่นอน”
เนติมาพูดและมองระบิลด้วยสายตาที่บ่งบอกความมั่นใจ

อิทธิหาญหันไปถามย้ำระบิลอย่างเอาจริง
“ว่าไง ความสุขกับความทุกข์สะกดต่างกันเห็นๆ ไม่น่าเลือกยากนี่”
“ก็น่าสนอยู่ แต่ฉันคิดถึงคำที่พ่อสอนอยู่คำหนึ่ง”
อิทธิหาญชะงักแล้วมองด้วยความอยากรู้
“อดอย่างเสือ ดีกว่าอิ่มอย่างหมา”
“มึง !”
อิทธิหาญรู้สึกโกรธ ชักปืนขึ้นมายิงทันที ระบิลหลบอย่างว่องไว กระสุนเฉี่ยวระบิลไปนิดเดียว ก่อนพุ่งเจาะร่างลูกน้องอิทธิหาญคนหนึ่งที่เดินโผล่มาจากแนวป่าอีกด้านหนึ่งจนล้มลงสิ้นใจตาย
ระบิลปรี่เข้าเตะปืนจากมืออิทธิหาญจนกระเด็นหลุดมือ ระบิลชักปืนออกมา ปานปรี่เข้าเตะปืนจากมือระบิลจนกระเด็นหลุดมือไปเช่นกัน

ทางเดินหลังแนวไม้ เนติมาตกใจเมื่อเห็นระบิลตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พลางจะขยับตัวออกจากที่ซ่อน แต่ศิวัชรีบคว้ามือไว้ทันที
“อย่าเนติ์ !”
“แต่...”
“เมื่อกี้เนติ์เพิ่งบอกไม่ให้พี่ออกไปเสี่ยงนะ”

พอระบิลตั้งหลักได้ก็ต่อสู้กับปานอย่างสูสี จังหวะหนึ่งปานกระชากระบิลเข้ามาพูดใกล้ๆ
“ข้าเตือนเอ็งแล้วเอ็งไม่เชื่อ วันนี้ข้าช่วยเอ็งไม่ได้แล้ว”
“ก็ไม่ต้องช่วย แต่ก่อนใครจะโชคร้ายตายก่อน พี่บอกผมหน่อยแล้วกันว่าพี่ก้องหายไปไหน เพราะผมไม่มีวันเชื่อว่า พี่ปานจะไม่รู้ไม่เห็นการหายสาบสูญของพี่ชายผม”
ระบิลพูดอย่างไม่กลัวเกรง ปานฉุนขาดชกระบิลจนหน้าหงายลงไปนอนกับพื้น จังหวะนั้น ทนง โปรย ชูศักดิ์ พร้อมลูกน้องอิทธิหาญอีกจำนวนหนึ่งตามเข้ามาพอดีพร้อมระดมยิงใส่ระบิลทันที ระบิลหลบได้อย่างเฉียดฉิว ก่อนพลิกตัวหลบไปหลังต้นไม้ใหญ่ อิทธิหาญหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
“ฮ่าๆ ถ้าเมื่อกี้เลือกข้างถูกก็ไม่ต้องหัวซุกหัวซุนอย่างนี้ คราวนี้เอาไงดีวะ ปืน..หรือไฟ เลือกเอา !”
ระบิลครุ่นคิดอย่างหาทางออก ก่อนหันไปเห็นท่อนไม้ท่อนขนาดเหมาะมือที่ตกอยู่ใกล้ๆ รอบบริเวณยังมีไฟลามไหม้อยู่ทั่ว ระบิลเงยหน้ามองดูทิศทางลมที่พัดกิ่งไม้ไหวอยู่ด้านบน

เนติมาสีหน้าไม่สู้ดีนัก เมื่อเห็นระบิลหายไป
“คุณระบิล ! พี่ศิวัชคะ”
เนติมาหันไปขอคำปรึกษา
“ออกไปตอนนี้มีแต่ตายกับตาย” ศิวัชบอก
“ไม่นะคะ ตี้ไม่อยากตาย ตี้ว่าเราฉวยโอกาสนี้หนีไปก่อนไม่ดีเหรอคะ”
ปฏิพรพูดกับเนติมาว่า
“คุณระบิลเขาก็เป็นแค่บอดี้การ์ด ทำไมเราต้องห่วงเขามากขนาดนี้ด้วยคะ”
“คุณระบิลไม่ได้เป็นแค่บอดี้การ์ดนะคะ” เนติมาบอก
ศิวัชมองการแสดงออกของเนติมาแล้วยิ่งรู้สึกไม่สบายใจแล้วพยายามตั้งสติแยกแยะในสถานการณ์ตรงหน้า ก่อนพูดอย่างหนักแน่น
“จะไม่มีใครทิ้งใครทั้งนั้น เราจะออกจากที่นี่ไปด้วยกันอย่างปลอดภัย”
ปฏิพรถอนใจออกมาอย่างขัดใจ เนติมายิ้มให้ศิวัชอย่างขอบคุณ

บริเวณทางเดินลาดชันในป่า ยศวีร์และอนงค์เดินด้วยความลำบาก รอบๆเต็มไปด้วยควันไฟและต้นไม้ที่ถูกเผาติดไฟอยู่
“แน่ใจเหรอจ๊ะพี่ดลว่าเรามาไม่ผิดทาง”
“เสียงปืนดังมาจากทางนี้ เรามาไม่ผิดทางหรอกอ้อ อ้อไหวมั้ย”
ยศวีร์ถามอนงค์ด้วยความเป็นห่วง อ้อยิ้มกลบเกลื่อนทั้งที่เหนื่อยมาก
“ไหวจ้ะพี่ดล รีบไปกันเถอะจ้ะ ป่านนี้พี่เนติ์จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”

ยศวีร์ยื่นให้จับทั้งสองคนเดินต่อไปอย่างมีกำลังใจ

 
ทนงเดินเข้ามาที่หลังต้นไม้ซึ่งระบิลหลบอยู่ด้วยความระมัดระวัง แต่ไม่พบจึงรีบหันไปรายงานอิทธิหาญทันที

“มันหายไปจริงๆครับเสี่ย”
อิทธิหาญหงุดหงิด
“เป็นไปได้ไงวะ...เฮ้ย !”
โปรย ชูศักดิ์ และลูกน้องอื่นๆ เดินหาระบิลอยู่เหมือนกัน ขณะที่รอบข้างยังมีไฟและควันกรุ่นอยู่
“ตรงนี้ก็ไม่มีครับเสี่ย” ชูศักดิ์บอก
“หายไปได้ไงวะ” อิทธิหาญพูดด้วยความเจ็บใจ
ปานรู้สึกได้ถึงควันไฟที่ลอยมาจากด้านหลัง ปานหันกลับไปมองแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นแนวไฟลุกโชนล้อมพวกตนไว้รอบด้าน
“เฮ้ย !”
อิทธิหาญ ทนง โปรย ชูศักดิ์ และลูกน้องอิทธิหาญหันตามมาดูด้วยความตกใจ
“เฮ้ย ! ใครทะลึ่งจุดไฟล้อมกันเองอย่างนี้วะ” โปรยโวยวายลั่น
“พวกฉันเปล่านะพี่”
บรรดาลูกน้องต่างส่ายหน้าปฏิเสธ ปานมองผ่านเปลวไฟเห็นระบิลถือกิ่งไม้ติดไฟและยืนมองด้วยรอยยิ้มสะใจ
“ระบิล !”
“ไอ้ !” อิทธิหาญโกรธจนพูดอะไรไม่ถูก

เนติมาเห็นระบิลปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“พี่ศิวัช คุณระบิลอยู่นั่นค่ะ”

ระบิลยิ้มให้อิทธิหาญกับพวกอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า
“ฉันคงไม่ต้องถามนายนะอิทธิหาญว่า นายจะเลือกปืนหรือไฟดี เพราะฉันเลือกให้นายแล้ว”
ระบิลพูดเสร็จก็เอากิ่งไม้ติดไฟ โยนไปที่พงหญ้าแห้งตรงหน้าจนไฟลุกโชน
“ถ้าเมื่อกี้เลือกข้างถูกก็ไม่ต้องหัวซุกหัวซุนอย่างนี้ ฮ่าๆ”
ระบิลพูดล้อเลียนคำพูด อิทธิหาญฉุนขาดยกปืนรัวยิงใส่ไม่ยั้งมือ ระบิลหลบได้อย่างรวดเร็ว ปานรีบรั้งมืออิทธิหาญข้างที่ถือปืนไว้ทันที
“พอก่อนเถอะครับเสี่ย ผมว่าตอนนี้เราหาทางออกจากวงล้อมไฟนี่ก่อนดีกว่านะครับ”
เปลวเพลิงที่โอบล้อมอยู่ทุกด้านเพิ่มอารมณ์โมโหให้กับอิทธิหาญเป็นอย่างมากจนต้องยกปืนยิงรัวขึ้นฟ้าเพื่อระบายอารมณ์พร้อมตะโกนก้องลั่น
“โว้ย !”

ระบิลวิ่งกลับเข้ามายังที่ซ่อน เนติมารีบลุกขึ้นไปหาด้วยความดีใจจนลืมตัว
“นายไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
“โอ๊ย..สบายมากคุณ ผมน่ะ ฉลาด หนังเหนียว เคี้ยวยาก”
เนติมาเงื้อมือตีระบิลด้วยความหมั่นไส้
“นี่..คนเขาเป็นห่วงนายกันทั้งนั้น ยังจะมาพูดเล่นอีก”
ระบิลยิ้มให้เนติมาอย่างขอบคุณ ก่อนหันไปพูดกับศิวัชและปฏิพร
“เรารีบไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ เดี๋ยวพวกนั้นหลุดกรงไฟมาได้จะยุ่ง”
“เออ..ไปสิครับ”
ศิวัชพูดกลบเกลื่อนทั้งที่สงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างระบิลกับเนติมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ระบิลยิ้มแล้วเดินนำออกไป
“ไปค่ะพี่ศิวัช”
เนติมามองปฏิพรที่เกาะแขนศิวัชไม่ห่างก่อนเดินตามระบิลไป

วิทยุเครื่องเล็กๆที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่ในบ้านสวนคำเที่ยงกำลังกระจายเสียงข่าวอยู่พอดี
“จนถึงขณะนี้ทีมติดตามค้นหา ยังไม่พบนายกรัฐมนตรีกับคณะที่หายตัวไป ส่วนความคืบหน้า ติดตามได้ในข่าวช่วงต่อไปค่ะ”
คำเที่ยงเดินวนไปมาและพยายามต่อสายโทรศัพท์ด้วยความร้อนใจ
“ทำไมติดต่อไม่ได้เลย”
คำเที่ยงครุ่นคิดแล้วตัดสินใจรีบเดินออกไปทันที

ยศวีร์กำลังมองจอโทรศัพท์มือถือพลางถอนใจ
“สัญญาณไม่มีเลย”
“ในป่าอย่างนี้ มีสัญญาณก็แปลกแล้วล่ะจ้ะพี่ดล”
ยศวีร์มองไปรอบๆเห็นควันไฟที่ลอยขึ้นตรงแนวป่าซึ่งไม่ห่างกันจากที่ยืนอยู่
“อีกนิดเดียวนะอ้อ พี่ว่าใกล้ถึงแล้วล่ะ”
“จ้ะพี่ดล แต่ยิ่งใกล้ เรายิ่งต้องระวังตัวมากขึ้นนะจ๊ะ”
ยศวีร์พยักหน้ารับรู้ ก่อนทั้งสองคนจะออกเดินต่อก็ชะงักเมื่อพบว่าด้านหน้า ลูกน้องของอิทธิหาญสองคนยืนจังก้าขวางอยู่ด้วยสีหน้าจริงจัง
“พี่ดล !”
“จะไปไหน” ลูกน้องคนหนึ่งถาม
อนงค์เกาะแขนยศวีร์แน่นด้วยความกลัว ยศวีร์ตั้งสติชำเลืองไปทางหนึ่งก่อนคว้ามืออนงค์วิ่งหนีลงไปยังทางเล็กๆที่มุ่งลงไปในหุบเขาทันที
“ไปเร็วอ้อ !”
“เฮ้ย !”
ลูกน้องคนที่สองยิงปืนหนึ่งนัดเฉียดทั้งคู่ไปนิดเดียว ก่อนจะวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
ยศวีร์จูงมืออนงค์วิ่งหนีลัดเลาะมาตามทางที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาตา ลูกน้องอิทธิหาญยิงปืนใส่ไปอีกนัด กระสุนเฉียดอนงค์ไป
“เฮ้ย ! ระวังหน่อย ผู้หญิงนั่นกูจะเก็บไว้ให้เสี่ย” ลูกน้องคนแรกบอก
ลูกน้องคนแรกชักปืนขึ้นมาเล็งยิงออกไป กระสุนถากขายศซีร์จนเสียหลักล้มลง
“โอ๊ย !”
“พี่ดล !”
อนงค์รีบประคองยศวีร์ด้วยความเป็นห่วง ยศวีร์ดูที่ขาตัวเองนิดหนึ่งแล้วรีบลุกขึ้น
“แค่ถากน่ะอ้อ ไปเถอะเร็ว !”
อนงค์หันไปมองด้านหลังเห็นลูกน้องคนเดิมกำลังจะเหนี่ยวไกปืนซ้ำ

“พี่ดลระวัง !”

 
ยศวีร์หันขวับไปมองอย่างรวดเร็วก่อนจับตัวอนงค์หมุนหลบเข้าไปหลังต้นไม้ทันที กระสุนพลาดไปโดนต้นไม้อย่างจัง ยศวีร์คว้าก้อนหินขนาดเหมาะมือ ปาสวนกลับไปอย่างรวดเร็วจนโดนหัวลูกน้องคนแรกจนเลือดอาบ ลูกน้องเอามือแตะเลือดที่ไหลออกมาด้วยความโมโห

“มึง !”
“เฮ้ย..มันหนีไปแล้ว” ลูกน้องคนที่สองบอก
“ลองดีกับกูใช่มั้ย ตามไปเร็ว !”

ยศวีร์กับอนงค์วิ่งลงมาด้วยความรวดเร็วจนอนงค์เสียหลักขาพลิกล้มลง
“โอ๊ย ! พี่ดลขาอ้อ”
“อดทนหน่อยนะอ้อ”
ยศวีร์รีบประคอง จังหวะนั้น ลูกน้องอิทธิหาญทั้งสองคนวิ่งตามมาทันพอดี
“เฮ้ย !”
ลูกน้องคนแรกตรงเข้าไปกระชากอนงค์เหวี่ยงไปให้ลูกน้องคนที่สองทันที จากนั้นก็ใช้ด้ามปืนตบยศวีร์จนคว่ำ ก่อนหยิบปืนขึ้นมาจะยิง อนงค์ดิ้นก่อนตัดสินใจกัดแขนลูกน้องคนที่สองเต็มแรง
“พี่ดล ! ปล่อยนะ !”
ลูกน้องคนที่สองร้อง “โอ๊ย !” ลั่นด้วยความเจ็บปวด อนงค์ปรี่ไปยื้อปืนจากมือลูกน้องคนแรก
“อย่านะ...พี่ดลหนีไป”
“อ้ออย่า !”
“นังนี่เกะกะจริงโว้ย !”
ลูกน้องคนแรกเงื้อมือตบจนอนงค์ล้มลงกับพื้น
ยศวีร์รู้สึกโมโหขึ้นมาปรี่เข้ามาชกหน้าลูกน้องคนแรกอย่างจัง ทั้งคู่ต่อสู้กันนัวเนีย
“พี่ดล”
อนงค์ปรี่จะเข้าไปช่วย แต่ถูกลูกน้องคนที่สองตบจนกลับลงไปกองที่พื้นอีก จากนั้นลูกน้องทั้งสองคนก็เข้ารุมจนยศวีร์สู้ไม่ไหวถูกรุมซ้อมจนลงไปกองกับพื้น ลูกน้องทั้งสองคนมองยศวีร์ที่กระเสือกกระสนลุกขึ้นด้วยความสะใจ
“สำหรับแผลที่มึงฝากไว้บนหัวกู”
ลูกน้องคนแรกชักปืนขึ้นมาเล็งไปที่ยศวีร์อย่างเลือดเย็น อนงค์ตะลึงกับภาพตรงหน้า
“อย่า..อย่านะ !”
“น้องสาว อยากดูคนรักตายชัดๆใช่มั้ย ได้เลยมานี่ ฮ่าๆ โอ๊ย !”
ลูกน้องคนที่สองปรี่เข้าไปจิกผมอ้อเพื่อจะลากขึ้นมา แต่กลับถูกปืนยิงกลางหน้าอกอย่างแม่นยำจนล้มลงสิ้นใจตายทันที อ้อตะลึงงัน
ลูกน้องคนแรกชะงักด้วยความตกใจหันขวับไปเห็นผู้กำกับวิเชษฐ์กับตำรวจนอกเครื่องแบบอีกสองนาย เดินเข้ามาพร้อมประทับปืนพร้อมยิงอยู่ในระยะไม่ห่างนัก ลูกน้องอิทธิหาญตัดสินใจยกปืนขึ้นจะยิงต่อสู้ แต่ถูกผู้กำกับวิเชษฐ์และลูกน้องยิงด้วยความแม่นยำ 3-4 นัด จนร่วงลงสิ้นใจตาย
อนงค์ปรี่เข้าไปหายศวีร์ที่สลบอยู่ทันที แล้วร้องไห้ออกมา
“พี่ดล...พี่ดลเป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ พี่ดล...”
“แค่สลบไปน่ะ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์หันไปสั่งลูกน้อง
“วิทยุบอกพวกเราให้นำรถเข้ามารับคนเจ็บด้วย”

ภายในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ธำรง นายพลทวีกำลังยืนคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ได้ข่าวยังไงรีบรายงานผมด้วยก็แล้วกัน” นายพลทวีวางสายก่อนถอนใจออกมาด้วยความไม่สบายใจ
“ยังไม่มีข่าวดีใช่มั้ยครับ” เสียงธำรงดังมาทางด้านหลัง
นายพลทวีหันไปพยักหน้าช้าๆเป็นเชิงรับคำ
“นอกจากน้องชายของหนูเนติ์กับเด็กผู้หญิงคนนั้น เรายังไม่พบใคร แต่ผมให้คนเสริมกำลังเข้าค้นหาแล้วนะ”
“ผมหวังว่า พระท่านคงจะเห็นเจตนาดีของพวกเราที่มีต่อประเทศ แล้วก็คุ้มครองคนของเราให้พ้นภัย”
“การค้นหาผมจะดูแลเอง ส่วนในทางการเมือง คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงผู้จัดการทุกอย่างมาตั้งแต่ต้นอย่างคุณหรอกนะคุณธำรง” นายพลทวีบอก
ธำรงครุ่นคิดด้วยความสุขุมในการหาทางออก

บริเวณไร่อิทธิหาญ ปานกับอิทธิหาญในสภาพมอมแมมจากควันไฟเดินขึ้นมาตามบันได อิทธิหาญพูดอย่างหัวเสีย
“เกือบโดนย่างซะเองแล้ว ไม่น่าเสียรู้มันง่ายๆเลย เจ็บใจจริงๆ”
“เออ..เสี่ยครับ”
ปานหน้าเจื่อนด้วยความตกใจ รีบเรียกอิทธิหาญเมื่อเห็นพงษ์เลิศยืนหน้าบึ้งอยู่ที่ระเบียงกว้างโดยมีชลกรยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าอึดอัดใจ
อิทธิหาญเดินเข้ามาพูดอย่างไม่ยี่หระอะไรนัก
“โธ่..เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องมาถึงนี่เลย พ่อน่าจะดีใจด้วยซ้ำที่ผมฆ่าพวกมันได้”
พงษ์เลิศเดินเข้ามาพูดด้วยความหงุดหงิด
“ใช่..ถ้ามันไม่เป็นถึงผู้นำที่คนกำลังชูให้เป็นความหวังใหม่ของประเทศ”
“เฮ้อ..ใจเย็นน่าพ่อ ทำอย่างกับพ่อไม่เคยทำ”
“แต่คุณพ่อคุณแนบเนียนกว่านี้...” ชลกรบอก
อิทธิหาญหันขวับมาจ้องหน้าด้วยสายตาดุ จนชลกรหน้าเจื่อนลงไป ได้แต่ถอนใจด้วยความเบื่อหน่าย
“คุณกำลังทำธุรกิจการเมืองของคุณพ่อคุณมีปัญหา”
“ถ้าเราเน่า ท่านเขมชาติคงไม่ยอมเน่าไปกับเราแน่ เพราะท่านก็หวังจะกลับมาทวงอำนาจคืนอีกครั้งเหมือนกัน”
พงษ์เลิศพยายามข่มใจให้เย็นลงแล้วพูด
“การเมืองก็เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี รอบนี้ไม่ได้ รอบหน้าค่อยว่ากันใหม่สำคัญอยู่ที่ตอนเล่น จะทำยังไงไม่ให้คนดูรอบวงเห็นว่าเรากำลังผลักขัดขา หรือแม้แต่ตอนที่เรากำลังแอบเอามีดเสียบหลังคู่ต่อสู้”
ชลกรพูดกับอิทธิหาญ
“เรามีเรื่องให้พวกนั้นสาวไส้อีกเยอะ แค่ที่ไร่นี่ ฉันยังมองไม่เห็นสิ่งถูกกฏหมายสักอย่าง ทั้งเป็นแหล่งซ่องสุมมือปืน แรงงานต่างด้าว ไม้เถื่อน แล้วยังจะ...”
“ถ้าพูดอีก ฉันจะให้ไอ้พวกหื่นด้านล่างลากเธอไปโทรม”
อิทธิหาญพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนชลกรชะงักรู้สึกกลัวขึ้นมา อิทธิหาญมองพงษ์เลิศอย่างเซ็งๆแล้วเดินออกไปทันที โดยไม่ฟังเสียงเรียก
“อิทธิหาญ !”
“ฉันนึกแล้วว่าเราต้องเดินทางมาพบกับปฏิกริยาแบบนี้ เอาไงต่อคะคุณ”
“คงต้องรอดูว่าไอ้ธำรงมันจะเอาไงมากกว่า เพราะถ้าไอ้ศิวัชมันยังไม่ตายเราก็ค่อยยังชั่ว แต่ถ้ามันตายไอ้ธำรงต้องเล่นเราหนักแน่”
“ซึ่งคนอย่างคุณ คงไม่ยอมให้คุณธำรงเล่นงานขนาดนั้นแน่”
ชลกรพูดอย่างรู้ใจ พงษ์เลิศพูดพลางแค่นหัวเราะออกมา

“เรื่องนั้นไอ้วิเชียร พ่อนังเนติมาเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด”
 

 
บริเวณชายป่าใกล้ลำธาร กองไฟกำลังลุกโพลงให้แสงสว่างอยู่โดยรอบ ระบิลหยิบปลาที่เสียบไม้ย่างอยู่ข้างกองไฟสี่ห้าตัวขึ้นมาสองตัว ระบิลดมแล้วยิ้มออกมา

“อ้า..สุกหอมได้ที่แล้วครับ ลองดูครับคุณศิวัชคุณตี้ ของสดๆจากธรรมชาติอร่อยนะครับ”
ศิวัชรับปลาจากระบิลมาถือไว้อย่างไม่คุ้นเคยนัก ขณะที่ปฏิพรลังเลนิดหนึ่งก่อนรับปลามาถือไว้
ศิวัชหยิบเนื้อปลาชิมนิดหนึ่งแล้วยิ้มออก
“อืม..อร่อยจริงๆด้วยครับคุณระบิล เนติ์ลองดูสิจ๊ะ”
ระบิลหยิบปลาอีกตัวยื่นให้ เนติมารับไปค่อยๆแกะเนื้อปลาขึ้นมาชิม
“เนื้อหวานจังเลยค่ะพี่ศิวัช”
ศิวัชกับเนติมายิ้มให้กัน ปฏิพรเห็นแล้วรีบหยิบเนื้อปลาบ้าง แต่ต้องสะดุ้งร้องลั่น
“โอ๊ย ! ร้อน พี่ศิวัชคะปลาร้อนจัง มือตี้พองหมดแล้วอ่ะ อะไรกันเนี่ยมือเจ็บแล้วยังมาพองอีก พี่ศิวัชช่วยตี้หน่อยนะคะ”
“เออ..มาครับ เดี๋ยวพี่แกะให้ก็แล้วกันนะ”
ศิวัชยิ้มให้อย่างขัดไม่ได้ ก่อนเอื้อมมือไปแกะปลายื่นให้ ปฏิพรยิ้มชอบใจพร้อมอ้าปากทานเนื้อปลาจากมือศิวัชอย่างมีความสุข
“ทานจากมือพี่ศิวัชอร่อยกว่าค่ะ ขออีกได้มั้ยคะพี่ศิวัช”
ปฏิพรพูดอ้อน ศิวัชอึกอักนิดหนึ่งพลางมองเนติมาด้วยความเกรงใจ เนติมาฝืนยิ้มให้ ศิวัชถอนใจออกมานิดหนึ่งก่อนหยิบเนื้อปลาป้อนให้ปฏิพรอีกครั้ง
“อร่อยอีกแล้ว ขออีกนะคะ”
เนติมามองภาพตรงหน้าด้วยความเศร้า ระบิลมองเนติมาด้วยความสงสารจับใจ

ดาวพราวเต็มฟ้า ไฟที่ก่อไว้เริ่มอ่อนแรงลงบ้างแล้ว ปฏิพรนอนหลับหนุนตักศิวัชที่นั่งหลับพิงต้นไม้ด้วยความอ่อนเพลีย ระบิลหอบกิ่งไม้แห้งเข้ามาแล้วต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นเนติมา ระบิลรีบวางกิ่งไม้แห้งแล้วไปปลุกศิวัชทันที
“คุณศิวัชครับ”
“เออ..ครับคุณระบิล”
ศิวัชงัวเงียตื่นขึ้นมา ระบิลรีบถามทันที
“คุณเนติ์ล่ะครับ”
ศิวัชมองไปรอบๆแล้วบอก
“เอ๊ะ..เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้นี่ครับ”
ระบิลรู้สึกเป็นห่วงจึงรีบลุกขึ้นเดินออกไปทันที
“เดี๋ยวครับรอผมด้วย”
ศิวัชขยับจะลุกขึ้นตามระบิลไป แต่ปฏิพรรวบตัวไว้พลางพูดอ้อนงัวเงีย
“อย่าไปไหนนะคะพี่ศิวัช ตี้กลัว ตี้อยู่คนเดียวไม่ได้นะคะ”

เนติมานั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่บนโขดหินริมลำธารด้วยความเสียใจ
“ไม่ต้องรีบนะครับ ผมรอได้”
เนติมาสะดุ้งด้วยความตกใจ หันขวับไปด้านหลังเห็นระบิลนั่งกอดเข่าอมยิ้มมองอยู่ เนติมารีบเอามือปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเมื่อครู่ทันที
“นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“ก็..พอทันเห็นน้ำตาหยดลงในลำธารสามสี่แหมะ”
ระบิลยิ้มลอยหน้าลอยตาพูดกวน เนติมาค้อนระบิลอย่างหมั่นไส้ปนอายขึ้นมา
“นี่นาย !”
“ไม่เห็นน่าอายเลยคุณ”
“แต่ฉันไม่ชอบให้ใครเห็นเวลาฉัน...”
เนติมาพูดได้เท่านั้น น้ำตาก็คลอขึ้นมาอีกจนต้องรีบปาดทิ้ง ระบิลขยับไปนั่งข้างๆ
“ผมเข้าใจนะว่า ชีวิตคุณเจออะไรหนักๆมาเยอะ แต่น้ำตาไม่ใช่เครื่องหมายของความอ่อนแอเสมอไปนะ”
เนติมานิ่วหน้าด้วยความสงสัย
“โธ่เอ๊ย..เรื่องง่ายๆทำเป็นงง ผมว่าธรรมชาติเขาออกแบบมาให้เราร้องไห้เพื่อระบายความไม่สบายใจออกมานะ ในเมื่อมีเรื่องไม่สบายใจมากๆเข้าก็ร้องไห้ออกมาซะก็จบไม่เห็นต้องฝืนธรรมชาติเลย”
“ทำเป็นนักปราชญ์”
“รึที่คุณร้องไห้น่ะ ไม่ใช่เหตุผลที่ผมพูดมา คุณร้องเล่นๆ ร้องแก้เซ็ง ร้องบริหารลูกกะตา ร้องเพราะ...”
“พอแล้วๆ ยอมรับแล้วก็ได้ เพราะถ้าฉันไม่ยอมรับ นายก็ต้องต้อนให้ฉันรับอยู่ดีแหละ คนบ้า...”
เนติมาค้อนระบิลด้วยความหมั่นไส้ ก่อนคิดอะไรอยู่นิดหนึ่งอดชักสีหน้าด้วยความกังวล
“เป็นอะไรอีกล่ะคุณ”
“ดลกับอ้อ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
ระบิลพูดอย่างใจเย็น
“หุบที่คุณดลกับคุณอ้อลงไปไม่น่าชันนัก ผมว่าไม่น่าเป็นอะไรมากนะ”
“แต่พวกของนายอิทธิหาญ ไหนจะไฟ...”
ยังไม่ทันที่เนติมาจะพูดอะไรต่อก็ต้องชะงัก เมื่อระบิลเอื้อมมือมาแตะที่ริมฝีปากเนติมา
“ยิ่งคิดในสิ่งที่ยังไม่เห็น คุณก็ยิ่งฟุ้งซ่าน พรุ่งนี้ผมจะพาคุณออกตามหาคุณดลกับคุณอ้อแต่เช้านะครับ”
เนติมายิ้มออกมาได้บ้าง
“ขอบคุณนายมากนะ”
“ขอบคุณอีกแล้ว มันเป็นหน้าที่ที่ผมต้องดูแลคุณนะครับ แต่ว่าตอนนี้ผมว่าคุณให้ผมดูแผลที่มือคุณหน่อยดีกว่า”
เนติมา ร้องด้วยความเจ็บเมื่อระบิลค่อยๆเอามือเนติมาข้างที่เจ็บล้างในน้ำ
“โอ๊ย..เบาๆหน่อยสิ ฉันเจ็บนะ”
“ไม่โดนหินก็โดนกิ่งไม้เหมือนคุณตี้แน่ๆ ทนอีกนิดนะครับ ดูสิดินยังติดอยู่เลย เก็บมาได้ยังไงไม่ยอมล้าง เดี๋ยวก็ติดเชื้อกันพอดี”
“ก็ฉัน...”
“ไม่อยากให้ใครรู้ โดยเฉพาะคุณศิวัช”

ระบิลพูดอย่างรู้ทัน เนติมาหน้าสลดลงนิดหนึ่ง
อ่านต่อหน้า 2

หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 9 (ต่อ)

ศิวัชค่อยประคองปฏิพรที่นอนหลับสนิทลงบนพื้นอย่างเบามือ ก่อนค่อยๆย่องไปหยิบกิ่งไม้แห้งที่ระบิลเตรียมไว้ให้เติมลงในกองไฟ ศิวัชมองฝ่าความมืดออกไปด้วยความเป็นห่วงเนติมา
ระบิลกำลังเอาผ้าเช็ดหน้าพันแผลที่มือให้เนติมาด้วยความเอาใจใส่เสร็จพอดี
“เสร็จแล้วครับ ออกจากที่นี่แล้วผมจะพาไปหาหมอนะ”
“แผลแค่นี้ไม่ต้องหรอกน่า ไกลหัวใจ”
“ผมดีใจที่ได้ยินคำนี้จากปากคุณอีกครั้ง”
เนติมานิ่วหน้าด้วยความสงสัย
“ไกลหัวใจ..อะไรที่มันเจ็บๆ ก็ให้มันอยู่ไกลหัวใจไว้ ชีวิตเราจะได้อยู่ได้”
“ทำได้ก็ดีเนอะ แต่ไม่รู้ฉันจะทำได้รึเปล่า”
ระบิลเอื้อมมือไปกุมมือเนติมาอย่างให้กำลังใจ
“ต่อให้เราเอาใจใส่คนรักของเราแค่ไหน แต่เรื่องบางเรื่องถ้าเขาไม่บอกเราก็ไม่มีทางรู้หรอกนะครับ เหมือนที่คุณกำลังพยายามซ่อนความเสียใจ ความน้อยใจไม่ให้คุณศิวัชรู้”
เนติมานิ่งฟังระบิลพูดอย่างครุ่นคิด

“ถ้าคุณศิวัชเขาไม่เป็นห่วงคุณ เขาก็คงไม่ส่งผมมา คิดซะว่าสิ่งที่ผมทำให้คุณตลอดเวลาที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่คุณศิวัชทำให้สิครับ”
“นายทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยรู้มั้ย”
เนติมายิ้มออกมาได้พลางกระชับมือตอบระบิล ทั้งสองคนสบตากันอย่างไม่รู้ตัว ความรักกำลังถักทอ มากขึ้นเรื่อยๆ เนติมาคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
“อืม..นายร้องเพลง ที่นายเคยร้องให้ฉันฟังอีกครั้งได้มั้ย”
“วานลมจูบ น่ะเหรอครับ ผมไม่คิดว่าคุณจะชอบ”
“ก็..ความหมายมันดี”
“ขอกันกลางป่าอย่างนี้ ดีเจก็จัดให้ ฮะแฮ่ม...”
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดี ก่อนกระแอมเล่นๆ แล้วตั้งใจร้องให้เนติมาฟัง
“...ไม่มีใครรู้ ว่าฉันรักเธอ รักยิ่งสิ่งใด เฝ้าแต่ห่วงใย ห่วงหวงจนเงา ของร่างเธอ ห่วงหวง...”
ระบิลกับเนติมาสบตากันนิ่งอย่างไม่รู้ตัว แต่ทั้งสองคนต้องสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงศิวัชดังเข้ามา
“เนติ์...”
“พี่ศิวัช”
ระบิลกับเนติมารีบปล่อยมือจากกันทันที ศิวัชเดินเข้ามาจับมือเนติมาขึ้นมาดูอย่างรู้สึกผิด
“ทำไมมือเจ็บไม่บอกพี่”
“ก็เนติ์...”
“วันหลังมีอะไรอย่าปิดพี่อีกนะจ๊ะ แค่เรื่องน้องตี้ พี่ก็ลำบากใจจะแย่อยู่แล้ว ถ้าพี่ต้องกังวลเรื่องเนติ์อีก พี่คง...”
“เนติ์ขอโทษค่ะ วันหลังมีอะไรเนติ์จะบอกพี่ศิวัชนะคะ”
เนติมาพูดจากใจจริง ศิวัชยิ้มออกมาได้บ้าง
“พี่เป็นห่วงความรู้สึกเนติ์นะจ๊ะ แต่ขอให้เนติ์อดทนอีกนิด อีกไม่นานพี่จะคุยกับคุณพ่อเรื่องงานแต่งงานของเราอีกครั้ง สัญญาที่เรามีให้กัน พี่ไม่มีวันลืมนะจ๊ะ”
เนติมายิ้มออกมาด้วยความดีใจเช่นกัน ศิวัชหันไปพูดกับระบิลที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ คุณระบิล”
“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว อืม..งั้นคุณสองคนคุยกันไปก่อนนะครับ นานๆคุณสองคนจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง”
ระบิลยิ้มอย่างรู้สึกกระอักกระอ่วนใจก่อนค่อยๆเดินปลีกตัวออกมา
เนติมาชำเลืองมองตามระบิลไปนิดหนึ่งด้วยความเป็นห่วง ศิวัชก็ดึงเนติมาเข้ามากอดด้วยความรัก
“พี่รักเนติ์นะจ๊ะ”
“เนติ์ก็รักพี่ศิวัชนะคะ”
เนติมากอดศิวัชตอบด้วยความรักเช่นกัน แต่ก็อดชำเลืองมองระบิลไม่ได้ เนติมาเริ่มรู้สึกสับสนในหัวใจตัวเองอย่างที่สุด ระบิลเดินห่างออกมาแล้วหันกลับไปเห็นศิวัชกับเนติมากอดกัน ก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ริมลำธารอีกด้านหนึ่ง ระบิลนั่งบนโขดหินมองฝ่าความมืดออกไป รู้สึกถึงความสับสนที่เกิดขึ้นในใจ พลางนึกถึงอดีตด้วยสีหน้าเศร้า

ที่สวนของระบิล เอมมิกาเห็นชมพู่เพชรพวงใหญ่ที่ระบิลยื่นเข้ามา
“แอ่นแอ๊น..ชมพู่เพชรบุรีของแท้มาแล้วค่ะ”
เอมมิกานั่งยิ้มอยู่แคร่ใต้ร่มไม้ร่มรื่นอย่างมีความสุขพลางหยิบชมพู่ขึ้นมาดู
“โอ้โห ลูกใหญ่จังเลยนะคะพี่ระบิล”
“ปลอดภัยไร้สารพิษ คนเพชรอย่างพี่ ปลูกเอง กินเอง ขายเองมาตั้งแต่เด็กๆ แต่สำหรับเอมพี่ให้ฟรี ให้ทั้งใจ”
ระบิลพูดพลางบิลูกชมพู่ยื่นให้เอมมิกาทานอย่างมีความสุข
“จะทานไม่ลงก็เพราะประโยคหลังนี่แหละ...อืม...อร่อยจังเลย”
เอมมิกามองไปรอบๆสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่น เป็นสวนชาวบ้านแท้ๆ ที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่ทันสมัยเลย
“สวนพี่ระบิลร่มรื่นน่าอยู่จังเลยนะคะ”
“มาอยู่มั้ยล่ะคะ”
ทั้งสองกุมมือต่อกันด้วยความรัก
“แล้วเจ้าของสวนให้อยู่รึเปล่าล่ะคะ”

ในบริเวณสวน ระบิลโอบไหล่เอมมิกาชี้ชวนให้ดูรอบๆบริเวณด้วยความหวานชื่น
“ตรงโน้นเป็นแม่น้ำเพชร เดี๋ยวพี่จะทำศาลาให้เรานั่งเล่นนะคะ”
ระบิลชี้ไปอีกมุมเป็นบ้านของระบิลที่ตอนนี้ปิดเงียบ
“ส่วนบ้านพี่จะทาสีใหม่ พี่จะต่อระเบียงออกไปอีกให้กว้างๆ เอาไว้ให้ลูกเราวิ่งเล่น”
เอมมิกา อายเล็กน้อยแล้วบอก
“คิดไกลไปนิดรึเปล่าคะ นั่นน่ะอีกตั้งนาน”
“ก็รีบแต่งงานกับพี่สิคะ จะได้ไม่นาน”
ทั้งสองคนสบตากันหวานซึ้ง ระบิลดึงเอมมิกาเข้ามากอดอย่างอบอุ่น
“แต่งงานแล้ว เราย้ายมาประจำที่เพชรบุรีกันนะคะ พี่อยากกลับบ้านที่เป็นบ้านจริงๆของพี่สักที”
“พี่ระบิลอยู่ที่ไหน เอมก็อยู่ที่นั่นแหละค่ะ”

ความรักของทั้งคู่กำลังสุกงอมอย่างที่สุด

ยามค่ำคืน ดาวพราวไปทั้งผืนฟ้า บริเวณระเบียงบ้านสวน ทั้งคู่อยู่บนเสื่อมองดูดาวอย่างมีความสุข ข้างๆตัวระบิลมีวิทยุเครื่องเล็กๆ กำลังเปิดเพลง “วานลมจูบ” ที่ร้องโดย ม.ร.ว. ถนัดศรี

“เพลงโปรดของพี่ ฟังกี่ทีก็ไม่เบื่อนะคะ”
“อืม..ฟังมาตั้งแต่พ่อเปิดให้ฟังตอนพี่เด็กๆ พี่ชอบความหมายเพลงนี้”
ระบิลพูดจบเสียงเพลงก็ดับลง ระบิลเอาวิทยุมาเคาะๆดูด้วยความเสียดาย
“ว้า..ถ่านหมด”
“อดฟัง”
เอมมิกาพูดยิ้มๆเป็นเชิงหยอก แต่ระบิลยิ้มหน้าเป็น
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ร้องให้ฟังเองค่ะ”
“แน๊ะ..ถามคนฟังรึเปล่าคะ ว่าอยากฟังรึเปล่า”
“อยากสิคะ พี่รู้ว่าเอมชอบทุกอย่างที่เป็นพี่ พี่ก็ชอบทุกอย่างที่เป็นเอม ใช่มั้ยคะ”
ระบิลพูดอย่างรู้ใจ เอมมิกาพยักหน้ายิ้มรับอย่างมีความสุข
“...ไม่มีใครรู้ ว่าฉันรักเธอ รักยิ่งสิ่งใด...”

ริมลำธารอีกด้านหนึ่ง ระบิลนอนบนโขดหิน แหงนมองดวงดาวด้วยสายตาเศร้า
“พี่ไม่มีวันรักใครได้อีกแล้วนะคะเอม”
ระบิลพยายามต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเนติมาด้วยความหนักใจ

ภายในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ ที่ห้องคนไข้พิเศษ ตามหน้าตาและลำตัวของยศวีร์มีรอยบอบช้ำและยังให้น้ำเกลืออยู่ ค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา อนงค์นั่งกุมมืออยู่ที่ข้างเตียง
“พี่ดล..พี่ดลฟื้นแล้วเหรอจ๊ะ”
“อ้อ..นี่พี่อยู่ที่ไหน” ยศวีร์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย
“โรงพยาบาลในกรุงเทพฯจ้ะ”
ยศวีร์คิดทบทวนอะไรอยู่นิดหนึ่งก็รู้สึกตกใจพลางขยับจะลุกขึ้นจากเตียงทันทีเพราะความเป็นห่วงพี่สาว แต่ต้องทรุดลงไปนอนอีกครั้งเพราะรู้สึกเจ็บ
“พี่เนติ์ โอ๊ย !”
“พี่ดลอย่าดื้อนะจ๊ะพี่ดลยังบาดเจ็บอยู่นะ”
“แล้วพี่เนติ์ล่ะอ้อ พี่เนติ์อยู่ไหน”
ยศวีร์ถามด้วยความร้อนใจ อนงค์อึกอักตอบอะไรไม่ถูก จังหวะเดียวกัน คำเที่ยงก็เปิดประตูห้องเข้ามา
“พ่อ !” ทั้งคู่เรียกคำเที่ยงขึ้นพร้อมกัน
คำเที่ยงมองสภาพของยศวีร์กับอนงค์ด้วยความไม่สบายใจ
“พ่อรู้เรื่องจากตำรวจหมดแล้ว แล้วพ่อก็จะไม่มีวันยอมที่จะให้เราสองคนไปทำอะไรเสี่ยงๆอย่างนี้อีก”
“แต่พ่อครับ...”
“เรื่องหนูเนติ์เป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่คุณวิเชียรฝากเด็กชายยศวีร์ไว้กับพ่อ เพื่อให้เขาได้รับความปลอดภัย พ่อจะทำหน้าที่ที่รับปากคุณวิเชียรไว้จนลมหายใจสุดท้าย”
คำเที่ยงพูดอย่างหนักแน่น จนยศวีร์กับอนงค์พูดอะไรไม่ออก

ระบิลเดินนำเนติมา ศิวัช ปฏิพร มาตามทางด้วยความระมัดระวัง ขณะที่ปฏิพรยังออดอ้อนศิวัชไปเรื่อย
“หิวจังเลย เมื่อไหร่เราจะออกจากป่าซะทีล่ะคะ”
“เออ..คุณระบิลครับ”
“เดินตามแนวลำธารนี่ไป ก็จะออกชายป่าด้านที่ผมกับคุณเนติ์เคยมาแน่นอนครับ ใจเย็นๆนะครับคุณตี้ เดี๋ยวเราออกไปได้แล้วค่อยขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านอีกที”
ปฏิพรได้ยินถึงกับหน้าเสีย
“อะไรนะคะ นี่เราต้องไปขอความช่วยเหลืออีกเหรอ”
“ก็เราไม่มีรถนี่คะ อีกอย่างไม่รู้จะมีคนตามหาเราเจอรึเปล่า”
“รึไม่คนที่เจอก็อาจเป็นพวกมันที่ออกตามล่าเราอีกรอบ หลบเร็วครับ”
ระบิลได้ยินเสียงคนเดิน รีบพาทุกคนเข้าไปหลบหลังแนวไม้ข้างทางทันที เนติมา ศิวัช ปฏิพร ชักสีหน้าด้วยความตกใจ
“นี่อะไรกันอีกคะ”
“ทุกคนเงียบไว้นะครับ มีคนกำลังมาทางนี้”
ระบิลพูดพลางชักปืนขึ้นมาพร้อมใช้ มองผ่านแนวไม้ออกไปเห็นเท้าของคนสามสี่คนเดินมาหยุดที่ทางเดิน ทั้งหมดลุ้นด้วยความตื่นเต้น ศิวัชหันไปคว้าท่อนไม้ขนาดเหมาะมือมาถือไว้พร้อมใช้
ระบิลจับจ้องคนที่อยู่ด้านนอกเขม็ง ก่อนคนที่อยู่ด้านนอกแนวไม้จะวาดปืนเข้ามา จังหวะเดียวกันระบิลก็ชาร์ทออกไปเช่นกัน
“เฮ้ย !”
ระบิลต้องตกใจเมื่อคนที่อยู่ด้านนอกคือผู้กำกับวิเชษฐ์พร้อมลูกน้อง ทั้งระบิลกับผู้กำกับวิเชษฐ์รีบลดปืนพลางถอนใจก่อนยิ้มให้กันอย่างโล่งอก
“โธ่เอ๊ย..พี่เชษฐ์...เราปลอดภัยแล้วครับ”
เนติมา ศิวัช ปฏิพรถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจเช่นกัน
นายพลทวีกอดปลอบปฏิพรที่ร้องไห้อย่างเสียขวัญอยู่มุมหนึ่ง ภายในห้องโถงคฤหาสน์ธำรง
ศิวัชหันมาพูดกับธำรง
“ว่าอะไรนะครับคุณพ่อ”
“พ่อยังไม่อยากให้แกขับขั้วของพงษ์เลิศออกจากการร่วมรัฐบาลตอนนี้”
“ทำไมล่ะครับคุณพ่อ ในเมื่อ...”
“พ่อยังอยากให้พวกนั้นอยู่ในสายตาเราอยู่ มันสะดวกต่อการควบคุมดีกว่าปล่อยให้มันลงใต้ดินลอบกัดเราเต็มตัว”
“คุณพ่อจะรอให้หลักฐานทุกอย่างมัดแน่น แล้วจัดการทีเดียวใช่มั้ยครับ”
ธำรงพยักหน้ายิ้ม
“นายพงษ์เลิศกับลูกชายทำเรื่องเลวร้ายกับประเทศไว้หลายอย่าง มันสมควรได้รับโทษทุกอย่างที่ทำ พ่อไม่อยากให้ตกหล่นแม้แต่คดีเดียว”
ศิวัชคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
“ผมเข้าใจแล้วครับคุณพ่อ”
“แกไปจัดการแถลงข่าวทำความเข้าใจกับประชาชนซะ ทำให้ดีอย่าให้เสียเครดิตว่าเป็นถึงผู้นำประเทศ แต่กลับถูกโจรเล่นงานง่ายๆ”
“เรื่องนั้นคุณพ่อไม่ต้องห่วงครับ”

ศิวัชรับคำแล้วคิดหาทางออก

 
พาดหัวข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ “นายกฯล้างบางขบวนการโค่นป่า สื่อตามทำข่าวถูกถล่มตายยกคณะ” พงษ์เลิศลดหนังสือพิมพ์ลงวางที่โต๊ะ ที่มีหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นวางอยู่แล้ว 3-4 ฉบับ อย่างหงุดหงิด

“เห็นผลงานของแกรึยัง นอกจากมันไม่ตาย ไม่เสียเครดิตแล้ว สื่อยังให้กำลังใจไอ้ศิวัชล้นประเทศ”
“ไอ้บ้าเอ๊ย ฉวยโอกาสเพิ่มคะแนนนิยมชัดๆ” อิทธิหาญว่า
อิทธิหาญโยนหนังสือพิมพ์อีกฉบับลงที่โต๊ะ พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์เล่มนั้น “สื่อไม่เสียขวัญ ยันหนุน นายกฯศิวัชเต็มที่” อิทธิหาญพูดด้วยความโมโห
“ในเมื่อมันไม่เข็ด ผมจะพาพวกไปถล่มมันอีกให้รู้ไปว่ามันตายไม่เป็น”
“อย่าให้เรื่องเลวร้ายไปมากกว่านี้เลยนะคะ”
อิทธิหาญหันขวับไปด้านหลังเห็นชลกรเดินเข้ามา พร้อมกับแม่บ้านที่ถือชุดกาแฟมาเสิร์ฟให้ทุกคน
ชลกรพูดอย่างขอร้อง
“เพราะคราวนี้ฉันกลัวว่าฝ่ายที่ถูกถล่มจะเป็นเรามากกว่า”
“นี่แก...”
“ชลกรเขาพูดถูก”
พงษ์เลิศพูดแล้วลุกขึ้นปราม เมื่อเห็นอิทธิหาญจะปรี่เข้าไปหาเรื่องชลกร
“ใจเย็นบ้างสิอิทธิหาญ แกก็เห็นไม่ใช่เหรอว่า ผลของความใจร้อนมันเป็นยังไง”
“จะให้ผมใจเย็นอย่างพ่อได้ไง ในเมื่อ...”
“ทุกครั้งที่แกใจร้อนก็ไม่ต่างกับแกเอากระชอนไปตักน้ำ เพราะมันจะไม่มีน้ำติดมาถึงมือแกเลย”
พงษ์เลิศพูดเตือนสติอิทธิหาญ
“ ใครว่าไม่มีติดมาล่ะพ่อ”
พงษ์เลิศกับชลกรหันมามองอิทธิหาญอย่างงงๆ
“ผมเจอน้องชายนังเนติมาแล้ว”
“แกว่าไงนะ !”
พงษ์เลิศดูให้ความสนใจขึ้นมาทันที ขณะที่อิทธิหาญนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขี้นด้วยสายตามุ่งมั่น

ชูศักดิ์ก็ชำเลืองไปเห็นอะไรบางอย่างรีบสะกิดและชี้ให้อิทธิหาญดูทันที
“เสี่ย...”
อิทธิหาญหันมองตามที่ชูศักดิ์ชี้ทันที ห็น เนติมา ยศซีร์และอนงค์ยืนหลบอยู่มุมหนึ่ง
“นังเนติมา”
อิทธิหาญมองเนติมาและยศวีร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ อิทธิหาญจำได้และจ้องด้วยความสงสัย

อิทธิหาญยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ
“ผมมั่นใจว่ามันคือเจ้ายศวีร์ น้องชายของนังเนติมาแน่ๆ”
ชลกรคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
“ไม่แน่นะคะ หลักฐานของคุณวิเชียรที่คุณกำลังตามหาอยู่ อาจอยู่ที่ลูกคนใดคนหนึ่งของเขาก็ได้...ทำไมดูคุณกังวลนักล่ะคะ”
พงษ์เลิศถอนใจออกมาด้วยความไม่สบายใจนัก
“เคยได้ยินแต่ตีงูไม่ตายให้ระวัง แต่นี่ผมตีงูตายแล้ว แต่กลับต้องระวังลูกงู ตัวเดียวไม่พอนี่ยังมีเพิ่มมาอีกตัว” พงษ์เลิศว่า
“พ่อกลัว...”
“พ่อไม่เคยประมาทคู่ต่อสู้ โดยเฉพาะคู่ต่อสู้ที่พ่อฝากไฟแค้นไว้กับมัน แต่ไม่ว่ายังไงสุดท้ายสิ่งที่มันจะได้กลับไป ก็มีแต่หายนะเท่านั้น”
พงษ์เลิศพูดด้วยสีหน้าเอาจริงและเน้ำเสียงเลือดเย็น

ภายในห้องพักคนไข้พิเศษ ของโรงพยาบาลเอกชน เนติมากับยศวีร์โผเข้ากอดกันด้วยความเป็นห่วง
“พี่ใจหายแทบแย่แน่ะรู้มั้ย”
“แต่เราก็รอดมาได้...ต้องขอบคุณผู้กำกับมากนะครับ” ยศวีร์บอก
ผู้กำกับวิเชษฐ์ที่ยืนอยู่กับระบิลพูดขึ้น
“ไอ้สองคนที่ผมสอย มันสมควรตายอยู่แล้วล่ะครับ”
“คุณระบิลด้วยนะครับ ขอบคุณจริงๆ”
“ขอบคุณผมทำไมครับ ผมน่ะไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลยนะ”
“ขอบคุณเพราะถ้าไม่ได้คุณระบิล ป่านนี้ไม่รู้ว่าพี่เนติ์จะเป็นไง”
เนติมาหันไปยิ้มให้ระบิลและขยับจะพูด แต่ระบิลพูดดักคอไว้ซะก่อน
“อ๊ะๆ ไม่ต้องพูดขอบคุณผมแล้วนะครับ รับจนจะจุกแล้ว เปลี่ยนเป็นมื้อใหญ่สักมื้อ จะขอบคุณมาก ฮ่าๆ”
“โธ่เอ๊ย ที่แท้ก็เห็นแก่กิน”
เนติมาค้อนระบิลอย่างทีเล่นทีจริง ก่แล้วหันไปพูดกับคำเที่ยง
“เออ..คุณลุงจะอยู่ที่กรุงเทพฯนานมั้ยคะ”
“ลุงว่าจะอยู่จนกว่าเรื่องทุกอย่างจะคลี่คลาย บอกตรงๆว่าลุงเป็นห่วง ดล อ้อรวมถึงหนูเนติ์มาก”
“โธ่..พ่อจ๊ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พวกหนูเอาตัวรอดได้” อนงค์ว่า
“แต่ที่พ่อเห็นเนี่ยเกือบเอาชีวิตไม่รอดนะ”
คำเที่ยงพูดตรงๆ ทำเอายศวีร์กับอนงค์หน้าเจื่อนพูดอะไรไม่ออก
“การที่คุณวิเชียรให้หนูเนติ์กับยศวีร์หนีออกจากเหตุการณ์ร้ายวันนั้น เพราะต้องการให้ลูกทั้งสองคนปลอดภัย ผมคงหลับตานอนไม่ได้ ถ้าต้องรับรู้ว่าลูกของคุณวิเชียรทั้งสองคน ยังต้องเผชิญอันตรายอยู่อย่างนี้”

สามคนพ่อลูกเดินเข้ามาภายในโถงห้องพักในคอนโดฯ โดยคำเที่ยงเป็นคนถือกระเป๋าเข้ามาวางให้
“จริงๆนะครับพ่อ ผมว่าคงไม่มีอะไรร้ายแรงแล้วล่ะ”
“พ่อจะมาลำบากอยู่ในกรุงเทพฯทำไมจ๊ะ ไม่ห่วงต้นไม้ที่สวนเหรอ”
คำเที่ยงบอก
“พ่อห่วงลูกสองคนมากกว่า แล้วพ่อก็คิดว่า เหตุการณ์มันจะร้ายแรงขึ้นกว่านี้แน่นอน”
คำเที่ยงพูดด้วยความมั่นใจ ยศวีร์และอนงค์หันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย
“ทำไมพ่อถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ”
“อย่าลืมสิว่า พ่อเคยทำงานให้นายพงษ์เลิศถึงจะเป็นแค่คนขับรถ แต่พ่อก็รู้เห็นอะไรอยู่บ้าง ตราบใดที่น็อตเขาไม่ลง เขาไม่มีวันปล่อยให้หนูเนติ์กับดลเป็นหอกข้างแคร่เขาแน่ๆ”
ยศวีร์ครุ่นคิดด้วยความไม่เข้าใจ
“เขากลัวความผิดที่เขาทำถึงขนาดต้องตามล่าเอาชีวิตคนในครอบครัวผมขนาดนี้เลยเหรอครับ”
“ผลประโยชน์ทำให้คนหน้ามืดเสมอ จนลืมไปว่ากรรมมันเหมือนเงาวิ่งหนียังไงก็ไม่มีวันพ้น”
คำเที่ยงเอื้อมมือไปโอบไหล่ยศวีร์ด้วยความรักก่อนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ถ้ายังมีลมหายใจ พ่อไม่มีวันยอมให้ใครมาทำอันตรายลูกแน่นอน”
“อีกแล้ว รักแต่พี่ดลอีกแล้ว ใครน้าว่าเลือดข้นกว่าน้ำ บ้านเนี้ย..น้ำข้นกว่าเลือดเห็นๆ” อนงค์แกล้งทำหน้าง้ำตัดพ้อ
“เอาแล้ว ผีขี้อิจฉาประทับร่างอีกแล้ว อย่างนี้ต้องจับถ่วงน้ำครับพ่อ”
“พ่อว่าตัดหางปล่อยวัดง่ายกว่ามั้งลูก ฮ่าๆ”
“โห..แทนที่จะปลอบ รุมกันเฉยเลยอ่ะ”

ยศวีร์กับคำเที่ยงยิ้มอย่างอารมณ์ดี คำเที่ยงเอื้อมมือไปโอบไหล่ลูกสาว ขณะที่ยศวีร์เอื้อมมือไปยีผมอนงค์อย่างเอ็นดู ทั้งสามคนหยอกกันด้วยความอบอุ่น

 
ภายในห้องนั่งเล่นบ้านกันต์ ขวัญชนกกอดเนติมาด้วยความเป็นห่วง
 

“ขวัญดีใจจังที่เนติ์ปลอดภัย”
“ไม่ต้องห่วงน่าขวัญบอดี้การ์ดฉันฝีมือดี”
ระบิลยิ้มแกล้งวางฟอร์มยืดอย่างอารมณ์ดี
“คุณระบิลเก่งจังค่ะ... ผู้กำกับด้วยนะคะ เก่งจัง”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มแล้วพลางปรายตาแอบมองขวัญชนกอย่างอายๆ จนระบิลกับเนติมาสังเกตเห็น
เจือจันทร์พูดออกมาด้วยความไม่สบายใจ
“อันตรายเริ่มใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกทีแล้ว”
“ใจเย็นๆน่าคุณ อย่าเพิ่งเสียกำลังใจ อย่างมากเราก็แค่ระวังตัวขึ้นก็เท่านั้นเอง” กันต์ว่า
“ผมยังยินดีให้ทุกคนไปอยู่ที่บ้านพักผม จนกว่าเรื่องทุกอย่างจะเรียบร้อยดีนะครับ ถึงที่นั่นจะคับแคบกว่าที่นี่แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยครับ”
“ก็ดีนะคะ ยังไงอีกหน่อยอากันต์ก็ต้องไปรักษาขากับคุณหมอที่โรงพยาบาลอยู่แล้ว” เนติมาบอก
“ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศ ถ้าติดใจเดี๋ยวผมพาเที่ยวต่างจังหวัดเลย” ระบิลว่า
ขวัญชนก กันต์ เจือจันทร์มองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษา

บริเวณสวนหย่อมบ้านกันต์ เนติมาลงนั่งอย่างเซ็งๆ
“นึกแล้วว่าอาจันทร์ไม่เล่นด้วยแน่”
“น่าคุณ ใจเย็นๆ ใครก็อยากอยู่บ้านตัวเองทั้งนั้นแหละ เอาไว้ฉุกเฉินจริงๆค่อยว่ากัน แต่เมื่อกี้คุณสังเกตแววตาพี่เชษฐ์ เวลามองคุณขวัญมั้ย” ระบิลถาม
“สังเกตสิ สังเกตเหมือนที่ฉันเห็นแววตาที่ขวัญมองนายนั่นแหละ”
“โธ่คุณ..นี่ผมพูดเรื่องพี่เชษฐ์นะ”
“ฉันก็พูดเรื่องนายนี่ ฉันมั่นใจนะว่าขวัญชอบ...”
ระบิลพูดแทรกทันที
“สำหรับผม ยังไงก็รู้สึกกับคุณขวัญได้แค่น้องสาว”
เนติมามองอย่างสังเกต
“ขวัญไม่ดียังไง นายถึงรู้สึกเกินคำว่าน้องสาวไม่ได้ ขวัญทั้งน่ารักเรียบร้อย เรียนเก่ง เอ..หรือนายซุกแฟนไว้ที่ไหนหรือนายยังไม่ลืมแฟนเก่า เอ๊ะ..หรือนายมีคนรักใหม่แล้ว”
เนติมาจ้องตาระบิลอย่างจับผิด ระบิลจ้องตากลับจนเนติมาต้องรีบหลบตาเพราะความอาย
“เออ..ไม่อยากบอกก็อย่าบอก”
“เรื่องของหัวใจผม ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวผมหรอก”
หัวใจของระบิลเริ่มรักเนติมา แต่พยายามกลบเกลื่อนพลางหันมองเข้าไปที่ระเบียงบ้าน
“เห็นมั้ยคุณ พี่เชษฐ์ดูแลคุณขวัญดีจะตาย”
เนติมาหันมองตามระบิลไปเห็นขวัญชนกนั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ ส่วนผู้กำกับวิเชษฐ์เดินยกน้ำหวานสีสวยมาให้ขวัญชนก

ผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มให้ขวัญชนกอย่างอบอุ่น
“น้ำหวานเย็นๆสักแก้ว จะช่วยให้สดชื่นขึ้นนะครับคุณขวัญ”
“เออ..ขอบคุณมากนะคะผู้กำกับ”
ขวัญชนกยิ้มพูดอย่างรักษามารยาท
“อีกหน่อยน้องขวัญได้กลับไปใช้ชีวิตในสังคม น้องขวัญจะมีความสุขกว่านี้แน่ๆครับ”
“ถ้าเราผ่านวิกฤตนี้ไปได้นะคะ บอกตรงๆนะคะผู้กำกับ ว่าขวัญกลัวจริงๆ กลัวว่าเรื่องร้ายๆจะกลับมาเกิดขึ้นกลับครอบครัวขวัญซ้ำสอง”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ลงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ
“คุณขวัญต้องสู้นะครับ”
“ครอบครัวขวัญสู้ค่ะผู้กำกับ แต่เหตุการณ์ที่เกิดกับพวกเรา มันร้ายแรง จน...จนเกินกว่าใครรู้สึกได้ ถ้าไม่ได้โดนกับตัวเอง”
ขวัญชนกพูดเสียงเศร้า น้ำตาคลอเบ้า
“ผมยินดีทำทุกอย่างที่จะพาคุณขวัญกับครอบครัวตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายให้ได้ครับ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มพูดอย่างให้กำลังใจ ขวัญชนกหันไปเห็นระบิลกับเนติมาเดินคุยกันอยู่ในสวนหย่อมอย่างสนิทสนม
“คุณเนติ์โชคดีนะครับที่มีบอดี้การ์ดอย่างระบิลมาดูแล”
“คุณระบิลเป็นคนเก่งนะคะ”
“อาชีพอย่างระบิลเก่งอย่างเดียวไม่พอหรอกครับ แต่ต้องยอมตายในหน้าที่ที่รับผิดชอบได้โดยเฉพาะคนที่เขารัก” วิเชษฐ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ขวัญชนกหันมามองผู้กำกับวิเชษฐ์ด้วยความสงสัย
“มีผู้ชายไม่กี่คนหรอกนะครับที่จะยอมตายเพื่อคนที่ตัวเองรักได้จริงๆ แต่ระบิลทำได้”
“คุณระบิลเคยยอมตายเพื่อคนรักเหรอคะ”
“เคยครับ แต่เสียดายที่...”
ผู้กำกับวิเชษฐ์พูดได้แค่นั้นก็สลดลงนิดหนึ่งก่อนรีบพูดตัดบททันที
“อย่าให้ผมพูดเรื่องนี้ต่อเลยนะครับ ถ้าเมื่อไหร่ระบิลเขาพร้อมให้เขาเล่าด้วยตัวเขาเองดีกว่า”
ขวัญชนกนิ่วหน้าด้วยความสงสัย
 
อ่านต่อหน้า 3

หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 9 (ต่อ)

ภายในคอนโดฯ เวลากลางคืน ยศวีร์เดินมานั่งที่โต๊ะที่อนงค์นั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่

“พ่อนอนแล้วเหรอจ๊ะพี่ดล” อนงค์เงยหน้าขึ้นถาม
“อืม..อยู่บ้านที่สิงห์บุรีพ่อนอนดึกที่ไหนล่ะ..โอ๊ย !”
ยศวีร์สะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณชายโครงฃขึ้นมา อนงค์ตกใจและมองด้วยความเป็นห่วง
“พี่ดล ! ยังเจ็บแผลอยู่อีกเหรอจ๊ะ”
“อืม..สงสัยเครื่องในพี่ต้องช้ำอีกนานแน่ๆเลยล่ะอ้อ เสียดายงานชะมัด ติดต่อมาตั้งหลายจ็อบรับไม่ได้เลยอ่ะ”
“ถึงรับได้ ก็ใช่ว่าจะไปทำง่ายๆนะพี่ดล ขืนพ่อรู้ว่า เราสองคนทำงานพิเศษมีหวังโดนด่ายันชาติหน้าแน่”
ยศวีร์ถอนใจอย่างเซ็งๆ
“เอาไงดี ขืนไม่ทำงานเงินไม่พอจ่ายค่าเทอมแน่”
“งั้นเอางี้ เดี๋ยวอ้อแอบไปทำงานเอง เดี๋ยวนี้งานพริตตี้อ้อเยอะแล้วน้า แกล้งบอกว่าอ้อไปเรียนพิเศษก็ได้”
“ไม่ได้นะอ้อ”
“อ้าว..ทำไมล่ะจ๊ะพี่ดล”
“พี่สัญญากับพ่อว่า จะดูแลอ้อให้ดี ที่ผ่านมาพี่ยอมให้อ้อไปทำงานพิเศษ พี่ก็รู้สึกผิดมากอยู่แล้ว”
“โธ่..คิดมาก แล้วพี่ดลจะเอายังไงจ๊ะ”
ยศวีร์ครุ่นคิดอะไรอยู่ แต่จังหวะเดียวกันทั้งสองคนก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงจากโทรทัศน์ดังเข้ามา
“นายกฯศิวัช ควงนางสาวปฏิพร หลานสาวคนสวยของพลเอกทวี เปิดตัวงาน“สื่อรักแห่งสายน้ำ” ซึ่งภาครัฐและเอกชนร่วมกันจัดเพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยว...”
ในโทรทัศน์ ศิวัชกับปฏิพรในชุดออกงานกลางคืนกำลังเดินผ่านผู้คนในงานที่มายืนให้การต้อนรับ โดยมีสื่อมวลชนหลายคนรุมล้อมสัมภาษณ์อยู่ ศิวัชกับปฏิพรยิ้มสดชื่น
ยศวีร์กับอนงค์มองภาพข่าวด้วยความไม่สบายใจ
“แปลกจัง คุณศิวัชกับพี่เนติ์เป็นแฟนกัน แต่ทำไมคุณศิวัชไม่เคยควงพี่เนติ์ออกงานเลยล่ะจ๊ะ”
“พี่ก็ไม่กล้าถามพี่เนติ์เหมือนกัน”

มุมหนึ่งในห้องจัดเลี้ยง ศิวัชกับปฏิพรออกงานคู่กัน ทั้งสองคนยิ้มแย้มแจ่มใส มีผู้สื่อข่าวรุมล้อมสัมภาษณ์มากมาย
“ออกงานคู่กันบ่อยๆอย่างนี้ เรียกว่าแฟนได้รึยังคะท่าน” ผู้สื่อข่าวคนแรกถาม
“เออ..เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตดีกว่าครับ ตอนนี้ผมอยากมุ่งสมาธิไปที่เรื่องงานมากกว่า”
“แหม..ตอบเหมือนดาราเลยนะคะท่าน”
ศิวัชยิ้มอย่างรักษามารยาท ขณะที่ผู้สื่อข่าวคนที่สองหันไปถามปฏิพรด้วยความเป็นกันเองทันที
“งั้นถามน้องตี้ดีกว่า พอจะให้พวกพี่ลงข่าวเปลี่ยนสถานะจากคนสนิทเป็นแฟนได้รึยังคะ”

ในจอโทรทัศน์ ปฏิพรกำลังตอบคำถามสื่อมวลชนอย่างอายๆ
“แหม..ตี้เป็นผู้หญิง พวกพี่ถามอย่างนี้ตี้ก็ลำบากใจแย่สิคะ เอาเป็นว่าให้พวกพี่ๆทำข่าวจากภาพที่เห็นก็แล้วกันนะคะ”
ปฏิพรพูดพลางเอื้อมมือไปคล้องแขนศิวัชอย่างสนิทสนม
สื่อมวลชนต่างแย่งกันบันทึกภาพ แสงแฟลชวูบวาบถี่ยิบ
บนโซฟาภายในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ ธำรงกับนายพลทวีนั่งดูโทรทัศน์ด้วยความชอบใจ นายพลทวียกแก้วไวน์ขึ้นจิบอย่างอารมณ์ดี
“เกมการเมืองของเรากำลังเป็นไปด้วยดีนะคุณธำรง”
“ครับท่าน”
ธำรงยิ้มพร้อมหยิบแก้วไวน์ของตนขึ้นมาชูให้นายพลทวี ทั้งสองคนชนแก้วกันแล้วจิบอย่างอารมณ์ดี นายพลทวีจะคิดอะไรอยู่นิดหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“แต่ผมเป็นห่วงความรู้สึกของหนูเนติ์ ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง”

เนติมาหัวเราะชอบอกชอบใจขณะรูดปิดม่านหน้าต่างในห้องนอนขวัญชนก ขวัญชนกนั่งอยู่
บนเตียง
“คิดมากน่าขวัญ ฉันยังไม่เห็นคิดอะไรเลยเห็นมั้ย”
“แต่ดูจากข่าวแล้ว...”
“มันเป็นเกมการเมืองที่คุณอาธำรงวางไว้น่ะ เดี๋ยวพอทุกอย่างเรียบร้อยฉันกับพี่ศิวัชก็จะแต่งงานกันทันที”
จังหวะเดียวกันโทรศัพท์มือถือของเนติมาก็ดังขึ้น
“เห็นมั้ยพี่ศิวัชโทรมาแล้ว รีบนอนนะขวัญ พรุ่งนี้ฉันจะติวหนังสือให้ใหม่ ตอนนี้ขอตัวคุยกับพี่ศิวัชก่อนนะจ๊ะ”
เนติมารีบเดินออกไปจากห้อง ขวัญชนกมองตามด้วยความเป็นห่วงเพื่อน

เนติมาเดินคุยโทรศัพท์ออกมาจากตัวบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“พี่ศิวัชไม่ต้องกังวลนะคะ เนติ์บอกแล้วไงคะว่าเข้าใจ แค่พี่ศิวัชแคร์ความรู้สึกเนติ์ เนติ์ก็ดีใจมากแล้วล่ะค่ะ”
ศิวัชนั่งที่เบาะหลังภายในรถคุยโทรศัพท์อยู่ด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก ข้างคนขับมีบอดี้การ์ดคนหนึ่งนั่งอยู่ และมีรถมอเตอร์ไซค์คอยคุ้มกันประกบอยู่ด้านนอก
“แต่พี่ไม่สบายใจ นับวันสื่อยิ่งเล่นข่าวพี่กับน้องตี้มากขึ้นทุกวัน จนพี่กลัวว่า...”
“รักโปรโมท จะกลายเป็นรักจริงๆเหรอคะ”
“ไม่นะเนติ์ มันจะไม่มีวันเป็นเรื่องจริง เพราะเรื่องจริงที่จะเกิดขึ้น คือ...”
ยังไม่ทันที่ศิวัชจะพูดอะไรต่อก็มีสายซ้อนเข้ามา ศิวัชดูหน้าจอแล้วถอนใจ ชื่อปฏิพรปรากฏขึ้นที่จอโทรศัพท์ ศิวัชแข็งใจพูดโทรศัพท์กับเนติมาต่อ
“คือเราสองคนจะแต่งงานกันนะจ๊ะ” ศิวัชพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
โทรศัพท์มือถือของศิวัชอีกเครื่องที่วางไว้ข้างตัวก็ดังขึ้นมา ศิวัชก้มดูเห็นชื่อ “น้องตี้” ปรากฏอยู่ ศิวัชถอนใจออกมาด้วยความหนักใจมากขึ้น
เสียงโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งของศิวัชดังลอดเข้าไปในเครื่องของเนติมา
“พี่ศิวัชไม่รับสายเหรอคะ”
“เออ..ไม่เป็นไรจ้ะ เพื่อนโทรมาน่ะเดี๋ยวพี่ค่อยโทรกลับ”
ศิวัชก่อนกดตัดสายอีกเครื่องหนึ่งทันที

 
ภายในห้องนอน ปฏิพรเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองอย่างขัดใจ
 
“อะไรเนี่ยไม่ยอมรับสาย”
ปฏิพรคิดอะไรนิดหนึ่งก่อนกดโทรศัพท์ออกทันที
“สวัสดีค่ะคุณอาธำรง ตี้รบกวนขอเบอร์...”

ภายในสวนหย่อมบ้านกันต์ ศิวัชกำลังคุยโทรศัพท์กับเนติมาอย่างมีความสุข
“เนติ์อย่านอนดึกนักนะจ๊ะ เดี๋ยวไม่สบาย พี่เป็นห่วงเนติ์นะ”
“เนติ์ก็ห่วงพี่ศิวัชเหมือนกันนะคะ”
จังหวะเดียวกัน เสียงเรียกซ้อนของโทรศัพท์เนติมาก็ดังขึ้น แต่เป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย เนติมารีบบอกศิวัชทันที
“พี่ศิวัชเดี๋ยวเนติ์โทรกลับนะคะ ใครโทรเข้าเครื่องเนติ์ก็ไม่รู้”
เนติมาตัดสายไปรับสายที่ขึ้นซ้อนอยู่เมื่อครู่ทันที
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะคุณเนติ์ นี่ตี้เองนะคะ”
“คุณตี้”
เนติมารู้สึกแปลกใจมากที่ปฏิพรโทรมาหา
“เมื่อกี้ตี้พยายามโทรเข้าเครื่องพี่ศิวัชทั้งสองเครื่อง แต่พี่ศิวัชไม่ยอมรับสาย ไม่ทราบว่าตอนนี้พี่ศิวัชอยู่กับคุณเนติ์รึเปล่าคะ”
เนติมาอึ้งไป...

โทรศัพท์มือถือของศิวัชดังขึ้น
“ใครโทรมาเหรอจ๊ะเนติ์”
เนติมายิ้มกลบเกลื่อนพยายามพูดให้น้ำเสียงเป็นปกติ
“อ๋อ..คุณตี้น่ะค่ะพี่ศิวัช”
“ตี้ !”
-ศิวัชตกใจเล็กน้อยเพราะคาดไม่ถึงว่าปฏิพรจะโทรหาเนติมา
“เมื่อกี้คุณตี้โทรหาพี่ศิวัชตั้งหลายครั้ง แต่เธอบอกว่าพี่ศิวัชไม่รับสาย”
“เนติ์...คือพี่...”
“คุณตี้อาจจะมีธุระสำคัญก็ได้ ยังไงพี่ศิวัชรับสายคุณตี้หน่อยนะคะ”
ศิวัชพูดอะไรไม่ออก จังหวะเดียวกันโทรศัพท์เครื่องที่วางบนเบาะก็ดังขึ้น ศิวัชถอนหายใจเฮือก

เนติมาค่อยๆลดโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าเศร้าพยายามกลั้นน้ำตาอย่างที่สุด ก่อนจะหันกลับไปเห็นระบิลยืนมองอยู่ไม่ห่างนัก
“อ้าว..มาแกล้งซุ่มหลอกผีฉันเหรอ เสียใจด้วยนะยะที่ฉันไม่กลัว”
เนติมายิ้มลอยหน้ากลบเกลื่อน ระบิลเดินเข้ามาหาเนติมาด้วยความเป็นห่วงเพราะได้ยินเรื่องที่คุยโทรศัพท์กัน
“คุณ...”
“ฉันง่วงจะแย่อยู่แล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาต่อปากต่อคำกันใหม่นะ กู๊ดไนท์”
เนติมาแกล้งหาวแล้วยิ้มใส่อย่างอารมณ์ดี ลับหลังระบิล รอยยิ้มของเนติมาก็เศร้าลงทันที ก่อนเร่งฝีเท้าขึ้นโดยไม่สนใจเสียงเรียกของระบิล
“เดี๋ยวสิคุณ...”
เนติมาเดินเข้ามาในห้องด้วยอาการซึมเศร้าพิงบานประตูห้องอย่างหมดเรี่ยวแรง พลางมองรูปที่ตัวเองถ่ายคู่กับศิวัชที่ฝรั่งเศสซึ่งวางอยู่ที่โต๊ะ เนติมาหยิบรูปขึ้นมาดู นึกถึงอดีตที่ผ่านมา

ชานกรุงปารีส เนติมากับศิวัชเดินเล่นจูงมือกันอย่างมีความสุข เนติมาหันไปเห็นคนฝรั่งเศสชายหญิงสูงวัยคู่หนึ่งเดินจูงมือกันก็สะกิดให้ศิวัชดู
“ถ้าเราอายุเท่าคุณลุงคุณป้าคู่นั้น เราจะมีภาพแบบนี้รึเปล่าน้า”
“มีสิจ๊ะ เพราะพี่จะรักเนติ์จนลมหายใจสุดท้าย” ศิวัชพูดจากใจ
“อีกตั้งหลายปีกว่าเราจะอายุเท่านั้น ระหว่างเส้นทางชีวิตเราสองคนอาจเจออะไรอีกตั้งมากมาย โดยเฉพาะพี่ศิวัช”
“พี่ ทำไมเหรอจ๊ะเนติ์”
เนติมาสลดลงนิดหนึ่งก่อนพูดด้วยความกังวล
“ก็ผู้ชายที่มีพร้อมทุกอย่างอย่างพี่ศิวัช ก็ต้องมีผู้หญิงดีๆเข้ามาให้เลือก ยิ่งถ้าอีกหน่อยพี่ศิวัชได้เป็นนายก...”
ศิวัชก็เอามือขึ้นแต่ริมฝีปากเนติมาเบาๆเป็นเชิงไม่ให้พูด
“พี่ได้เลือกคนที่ดีที่สุดของพี่แล้ว ไม่ว่าอะไรหรือใครจะเข้ามาในชีวิตพี่อีกในอนาคตก็จะเข้ามาในฐานะคนรู้จักไม่ใช่คู่ชีวิต”
เนติมาน้ำตารื้นออกมาด้วยความตื้นตันใจ ศิวัชยิ้มเอามือปาดน้ำตาให้เนติมาอย่างทนุถนอม
“พี่สัญญาว่าในชีวิตคู่ของเรา น้ำตาของเนติ์ที่ไหลออกมาจะเป็นน้ำตาแห่งความดีใจเท่านั้น”
ทั้งสองคนกอดกันอย่างมีความสุข

นึกแล้ว น้ำตาของเนติมาก็หยดลงบนกระจกกรอบรูปด้วยความเสียใจ เนติมามองลงผ่านหน้าต่างไปยังด้านล่าง เห็นระบิลยืนมองขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง เนติมารีบปาดน้ำตาทันที

 
เนติมาเดินหน้าเศร้าเข้ามาหาระบิลอีกครั้ง เนติมาพูดเสียงอ่อย
 
“ฉันควรหนักแน่นกว่านี้ใช่มั้ย”
“ผมว่าคนเรากว่าจะได้แต่งงานกัน ก็ต้องเจอบททดสอบหลายอย่างนะ หลังจากแต่งงานแล้วก็ต้องมีเรื่องมาทดสอบความหนักแน่นอีก”
“แต่พี่ศิวัชโกหกฉัน”
เนติมาพูดพร้อมร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น
“ไม่มีใครอยากโกหกคนที่ตัวเองรักหรอกนะครับ แต่บางครั้งก็ต้องโกหกเพื่อให้คนรักสบายใจ”
“นายว่าพี่ศิวัชเขาคิดอย่างนั้นเหรอ”
“อ๊ะ..ของอย่างนี้ถามผมได้ไง ผมไม่ใช่แฟนคุณศิวัชนี่ครับ ขืนเป็นมีหวังได้แล้งทั้งประเทศ”
ระบิลพูดพร้อมทำท่าเหมือนขนลุกขนพอง เนติมามองแล้วต้องขำทั้งน้ำตา ระบิลหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาให้เนติมาอย่างอ่อนโยน
“คุณเป็นคนรักของคุณศิวัช คุณน่าจะรู้ดีกว่าผมนะว่าคุณศิวัชนิสัยเป็นยังไง”
เนติมาครุ่นคิดตาม ระบิลจะเข้าไปพูดใกล้ๆเนติมา
“แต่ที่แน่ๆ คุณกับผมก็รู้ดีว่าคุณตี้นิสัยเป็นยังไง”
เนติมาคิดตามที่ระบิลพูด แล้วต้องพยักหน้ารับรู้พร้อมยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ
“ฉันคงต้องหนักแน่นขึ้นจริงๆด้วยนะ”
“กว่าจะแก่เฒ่าไปด้วยกัน เรายังต้องเจออีกหลายแบบทดสอบนะครับ”
เนติมาพยักหน้ายิ้มพลางจ้องมองระบิลอย่างขอบคุณ
“เป็นอะไรคุณจ้องผมทำไม”
“ถ้าไม่มีนาย ป่านนี้ไม่รู้ชีวิตฉันจะเป็นยังไง”
น้ำตาของเนติมาไหลออกมาด้วยความตื้นตัน
“นี่คุณ จะร้องอีกนานมั้ย ถ้านานผมจะได้ขึ้นไปเอาผ้าเช็ดตัวมาซับแทนผ้าเช็ดหน้า ดูสิเนี่ยชุ่มหมดแล้ว แหม..อุตส่าห์แอ๊บเป็นหญิงเหล็กอยู่ตั้งนาน พอให้เห็นน้ำตาเข้าหน่อยก็ปล่อยอย่างกับมีโปรโมชั่นเลยนะคุณ”
“แหม..ก็นอกจากพี่ศิวัชแล้วก็มีนายนี่แหละที่ฉันยอมให้เห็นน้ำตา”
ระบิลที่กำลังยื่นหน้าไปซับน้ำตาให้ ทั้งคู่สบตากันอย่างจัง ระบิลเข้าใกล้จนเกือบจะหอมแก้ม ทั้งคู่ตั้งสติได้ต่างเขินและอายและรีบผละออกจากกันทันที
“เออ..ขอโทษครับ”
“อืม..ไม่เป็นไร”
เนติมาหันไปมองบ้าน “อิสราวัชร” ซึ่งอยู่ในความมืดอย่างครุ่นคิดก่อนจะเดินออกไป
“จะไปไหนน่ะคุณ”

เนติมาเดินเข้ามายืนมอง “บ้านอิสราวัชร” อย่างครุ่นคิดแล้วบอก
“มีอะไรเหรอครับ”
“คืนนี้ดูเหมือนไม่มีคนอยู่บ้าน”
“นี่อย่าบอกนะว่า...”
“หลักฐานที่คุณพ่อฉันซ่อนไว้”
เนติมาหันมามองระบิลด้วยสายตามุ่งมั่น ระบิลเอาบันไดมาพาดที่กำแพงรั้ว
“ครั้งนี้น่าจะง่ายขึ้นเราจะมุ่งไปที่ห้องเก็บของเลย”
เนติมาพูดด้วยความมั่นใจ ระบิลพยักหน้ารับรู้ก่อนจะปีนบันไดขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว

ระบิลโผล่ขึ้นมามองรอบๆบริเวณบ้านอิสราวัชรอย่างระวังตัว เมื่อเห็นว่าปลอดคนแล้วจึงปีนกำแพงขึ้นมา พลางหันไปเรียกเนติมา
“มาเร็วคุณ”
เนติมาปีนบันไดขึ้นมาโดยมีระบิลคอยประคอง จังหวะเดียวกัน ทั้งสองคนต้องชะงักเมื่อมีแสงไฟ
หน้ารถสาดเข้ามา ระบิลกับเนติมามองไปเห็นรถของอิทธิหาญวิ่งเข้ามาจากหน้าบ้าน
“อิทธิหาญกลับมา ลงไปก่อนเร็วคุณ !”
เนติมายังมองเข้าไปในบ้านด้วยความเจ็บใจ ขณะที่ระบิลรีบปีนกลับไปที่ฝั่งบ้านกันต์และลงไปยืนที่บันไดข้างๆเนติมาทันที เนติมามองอิทธิหาญ ปานและบรรดาลูกน้องที่ลงจากรถด้วยความเจ็บใจ
“วันหลังเราค่อยหาโอกาสใหม่ แต่ถ้าโดนจับตอนนี้เราเสียเปรียบแน่”
ปานเดินตามอิทธิหาญจะเข้าไปในบ้านแล้วหยุดเดินอย่างรู้สึกผิดสังเกต ปานหันขวับมองไปที่กำแพงบ้านทันที ระบิลรีบกดหัวเนติมาลงไปหลังกำแพงทันที
“หลบเร็ว !”
ปานมองด้วยความหงุดหงิด ขณะที่ระบิลก็จ้องตาปานอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนจะหลบ
ตามเนติมาไป ปานถอนใจก่อนเดินตามอิทธิหาญเข้าไปในบ้านทันที

เนติมาถอนใจอย่างเซ็งๆ
“เซ็งชะมัดเลย”
“รีบไปพักผ่อนเถอะนะครับ ผมว่าวันนี้คุณเหนื่อยมามากแล้ว”
ระบิลเหลือบไปเห็นมือของเนติมา
“มือเปื้อนเหรอ มา..ผมเช็ดให้”
ระบิลรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาแล้วจับมือเนติมาขึ้นมาเช็ดให้ทันทีอย่างเอาใจใส่ จังหวะหนึ่งเนติมาต้องสะดุ้งเมื่อระบิลเช็ดไปโดนแผลที่ฝ่ามือ
“โอ๊ย..เจ็บ !”
“เฮ้ย..ขอโทษครับ”
“ระวังหน่อยสิ”
“ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ตั้งใจ นี่แผลคุณใกล้หายแล้วนะ แต่ความจริงผมไม่อยากให้แผลคุณหายเลยรู้มั้ย”
เนติมานิ่วหน้ามองอย่างหงุดหงิด ระบิลยิ้มลอยหน้าลอยตาพูด
“ก็ถ้ามือคุณหาย เวลาคุณไม่พอใจอะไรคุณก็ตีผมเอาๆน่ะสิ งั้นเจ็บอีกสักเดือน สองเดือนนะ จะได้ปลอดภัยกับเนื้อตัวผมหน่อย เพี๊ยง !”
“บ้า !”
ระบิลทำท่าเป่าคาถาอย่างขำๆ เนติมาอดขำและหัวเราะไม่ได้
ภายในห้องหนังสือบ้านกันต์ในเช้าวันใหม่ ระบิลกำลังนั่งดูภาพจากกล้องวงจรปิดและพลางจิบกาแฟไปด้วย เนติมากับขวัญชนกเดินเข้ามาทางด้านหลังซึ่งเปิดประตูแง้มไว้ เนติมาเคาะประตูเรียก
“นายทำอะไรอยู่เหรอ”
“ผมเช็คดูจุดบอดของกล้องวงจรปิดเราหน่อยน่ะครับ ดูว่ามีตรงไหนต้องปรับปรุงบ้าง อืม..คุณมีอะไรรึเปล่าครับ”
เนติมากับขวัญชนกหันมายิ้มให้กัน เนติมาชี้ไปที่หนังสืออาหารไทย
“ก็วันนี้อยากทานฝีมือนายในหนังสืออาหารไทยของฉันนายทำให้ชิมไม่หมดเลยนะ”
“คุณระบิลทำนะคะ เดี๋ยวขวัญช่วย ขวัญอยากเรียนทำอาหารจากคุณระบิลด้วยค่ะ”
“ได้เลยครับ งั้นเดี๋ยวคุณสองคนอยากทานอะไรก็จิ้มเมนูในหนังสือได้เลย เดี๋ยวเชฟจัดให้”
จังหวะเดียวกัน สายตาของขวัญชนกก็หันไปเห็นอะไรอย่างหนึ่งในภาพกล้องวงจรปิด
“เอ๊ะ..นั่นรถใครเหรอคะ”
ระบิลกับเนติมาหันมองตาม เห็นรถของศิวัชพร้อมผู้ติดตามอีกสองคันเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน เนติมาจำได้ทันที

“พี่ศิวัช...”



 
บริเวณทางเดินหน้าห้องบริษัทของธำรง เนติมากับศิวัชเดินคู่กันมา โดยมีระบิลเดินตามมาทางด้านหลัง
 
“กลัวเหรอจ๊ะเนติ์”
“เกรงใจมากกว่าค่ะ เนติ์ไม่อยากให้คุณอามองว่าเนติ์เร่งรัด”
“พี่ต่างหากที่เร่งรัด พี่ไม่อยากให้เนติ์ต้องรอด้วยความลำบากใจอีกแล้ว ถึงเวลาที่พี่จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเนติ์แล้วนะจ๊ะ”
ศิวัชเอื้อมมือมาจับมือเนติมาพลางพูดยิ้มอย่างให้ความมั่นใจ ระบิลเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก
“เดี๋ยวผมนั่งรอตรงนี้ครับ”
ระบิลเดินไปนั่งที่โซฟาซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ ขณะที่เนติมากับศิวัชเดินไปยังหน้าห้องทำงานของธำรงซึ่งอยู่ใกล้ๆทันที

ธำรงกำลังยืนมองวิวตึกสูงจากกระจกบานใหญ่ในห้องทำงาน แล้วหันกลับมาอมยิ้มมองศิวัชกับ
เนติมา
“ได้”
เนติมากับศิวัชหันมายิ้มให้กันอย่างมีความหวัง ขณะที่ธำรงพูดเสียงเข้มขึ้น
“แต่ยังไม่ใช่เวลานี้”
ทั้งคู่หน้าเจื่อนลงทันที ศิวัชมองธำรงด้วยความไม่เข้าใจ
“คุณพ่อ...”
“เราสองคนลืมที่เราเคยคุยกันแล้วเหรอ”
“เออ..เนติ์ไม่ลืมค่ะคุณอา”
เนติมาตอบอย่างจริงจัง ธำรงครุ่นคิดพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“งานเรายังไม่สำเร็จ เรามาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น พ่ออยากให้คนจดจำภาพลักษณ์แกในฐานะผู้นำประเทศที่เก่งกาจซะก่อน ไม่ใช่จดจำในฐานะผู้นำที่มีชีวิตรักเป็นโฟกัสของสังคม”
“แต่ทุกวันนี้ สื่อก็ทำข่าวผมกับน้องตี้จน...”
“นั่นเป็นผลดีกับตัวแกเอง หนูตี้เป็นหลานสาวของท่านทวี ท่านทวีเป็นที่นับถือของคนทั้งประเทศ ยิ่งมีข่าวอย่างนี้ยิ่งจะเสริมให้แก แข็งแกร่งขึ้นนะลูก”
ศิวัชถอนใจออกมาด้วยความรู้สึกอึดอึดใจเป็นอย่างมาก

ที่หน้าห้อง ระบิลนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาอย่างเพลิดเพลิน
“นึกว่าใคร”
ระบิลชะงักเงยหน้าขึ้นมองเห็นชลกรลงนั่งข้างๆ มองมาด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้บอดี้การ์ดมือดีของคุณเนติมานี่เอง”
“ก็ดีพอที่จะพาเจ้านายผมรอดพ้นจากหมาลอบกัดได้ก็แล้วกัน”
ชลกรยิ้มปรายสายตามองระบิลอย่างโปรยเสน่ห์
“ฉันเพิ่งสังเกตใกล้ๆ คุณนี่ก็หล่อดีเหมือนกันนะ หล่อ เก่ง ปากกล้า...ฉันชอบ”
“คำพูดของคุณนี่ คงทำให้ผู้ชายหลายคนละลายมาแล้วสินะ แต่เสียดายผมไม่มีผลประโยชน์อะไรแลกเปลี่ยนกับคำหวานของคุณ”
ชลกรหน้าเจื่อนไปนิดหนึ่งก่อนหันมายิ้มให้ระบิลอย่างท้าทาย

ภายในห้อง ศิวัชหันมาพูดด้วยความร้อนใจ
“งั้นผมกับเนติ์จดทะเบียนกันเงียบๆก่อนก็ได้นะครับ”
เนติมาตกใจ ธำรงเดินเข้ามาพูดกับศิวัชด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“แล้วแกคิดว่าสื่อจะไม่รู้เหรอไง อย่าลืมตอนนี้แกกำลังเป็นที่สนใจของสังคม แค่แกถอนใจคนเขาก็รู้ทั้งประเทศแล้ว”
“แต่ผมสงสารเนติ์”
ธำรงหันไปพูดกับเนติมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หนูเนติ์”
“คะคุณอา”
“หนูอดทนรอเวลาที่จะสะสางฝันร้ายของหนูมาตั้งหลายปี อาอยากให้หนูใจเย็นๆ เพื่อรอฝันดีๆที่จะเข้ามาอีกนิดได้มั้ย”
เนติมาครุ่นคิดตามที่ธำรงพูดแล้วตัดสินใจ
“ค่ะคุณอา”
“เนติ์...”
ศิวัชพูดอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เนติมาหันมาพูดกับศิวัช
“เราสองคนไม่มีทางเลือกอื่นดีไปกว่าการรอจริงๆนี่คะ อีกอย่างเนติ์ไม่อยากเป็นคนทำลายพี่ศิวัชด้วย”
“แต่เนติ์...”
“ถ้ามันจะทำให้งานของพี่ศิวัชสำเร็จ และทำให้ฝันร้ายของเนติ์หายไป เนติ์รอได้ค่ะ”
ธำรงมองเนติมากับศิวัชด้วยสีหน้าอมยิ้มพลางครุ่นคิดแผนการณ์ที่อยู่ในหัวตลอดเวลา

เนติมากับศิวัชเดินออกมาจากห้องทำงานของธำรงด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก ชลกรหันไปเห็นพอดี
“อ้าว..ออกมากันแล้ว” ชลกรว่า
“งั้น..ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ระบิลพูดอย่างรักษามารยาทก่อนขยับจะลุกขึ้น แต่ชลกรคว้ามือระบิลไว้ทันที
“เดี๋ยว !”
“อะไรอีกล่ะคุณ ก็ผมบอกแล้วไงว่า...”
ชลกรลุกตามแล้วยื่นหน้าเข้าไปกระซิบระบิลใกล้ๆอย่างโปรยเสน่ห์
“คำหวานๆบางครั้งก็ไม่ต้องการผลประโยชน์ตอบแทนในรูปของวัตถุเสมอไปหรอกนะ”
ระบิลชะงัก ก่อนจะหันไปหาเนติมากับศิวัชที่เดินมาถึงพอดี
“เรียบร้อยนะครับ”
ทั้งคู่ไม่ตอบอะไรกลับมองไปที่ชลกรอย่างไม่ไว้ใจนัก ชลกรยิ้มอย่างรู้ความหมายแล้วเดินผ่านเข้าไปยังห้องทำงานธำรงทันที
“ขอตัวไปคุยงานกับคุณธำรงก่อนนะคะ”
ทั้งสามคนมองตามชลกรไปอย่างเซ็งๆ ศิวัชจะรีบหันไปพูดกับเนติมา
“เนติ์...”
“อีกหนึ่งชั่วโมง พี่ศิวัชมีประชุมกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม”
เนติมาพูดพลางจัดเนคไทและสูทของศิวัชให้เรียบร้อย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงให้เป็นปกติ
“เอาเรื่องส่วนรวมก่อนนะคะ เรื่องของเราสองคนเอาไว้ค่อยพูดกัน”
เนติมาหันไปพูดกับระบิล
“กลับบ้านกันเถอะ อย่าลืมวันนี้นายต้องทำกับข้าวให้ฉันกับขวัญทานด้วยนะ”
“รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวไม่ทัน สู้ๆนะคะพี่ศิวัช”
“อ้าว..คุณ เดี๋ยว ... ขอตัวก่อนนะครับ”
ระบิลมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างงงๆก่อนขยับจะตามเนติมาไป แต่ศิวัชรีบคว้าแขนระบิลไว้
“เดี๋ยวครับคุณระบิล”
“ครับคุณศิวัช”
ระบิลหันมาด้วยความสงสัย ศิวัชคิดอะไรอยู่นิดหนึ่งก่อนตัดสินใจพูดด้วยเสียงจริงจัง
“ฝากเนติ์ด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว”

ระบิลยิ้มรับอย่างหนักแน่นพลางเอื้อมมือไปแตะมือศิวัชเป็นเชิงให้สัญญา ศิวัชมองตามระบิลที่เดินออกไปและกลัวว่า ความรักของตัวเองเริ่มจะไม่มั่นคง
 
 
อ่านต่อหน้า 3 

หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 9 (ต่อ)

ย่านธุรกิจในกรุงเทพฯ การจราจรบนถนนหนาตา ภายในรถ ระบิลกำลังขับรถอยู่หันมองเนติมาที่นั่งเซ็งอยู่ข้างๆ

“ฉันน่าจะรู้ดีว่าคำตอบเป็นยังไง ไม่น่าตามพี่ศิวัชมาฟังเรื่องที่ทำให้เศร้าอย่างนี้เลย”
“คิดบวกสิคุณ เพราะอย่างน้อยๆคุณก็ได้เห็นว่าคุณศิวัชเขาพยายาม แต่เหตุผลของคุณธำรงก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆนะครับ”
เนติมาไม่ตอบอะไรแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้
“เออ..เย็นนี้ชวนดล อ้อ แล้วก็ลุงคำเที่ยงมาทานข้าวด้วยกันดีกว่า”
“เอาสิคุณ ปาร์ตี้เล็กๆ เดี๋ยวผมจัดเมนูหนักๆรับมือเอง งั้นเดี๋ยวผมขอแวะจ่ายตลาดหน่อยนะ”
เนติมาพยักหน้ายิ้มรับอย่างรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

บริเวณในห้องนอน ยศวีร์กำลังคุยโทรศัพท์อยู่อย่างอารมณ์ดี
“ไหวครับพี่เนติ์ค่อยยังชั่วขึ้นมาแล้วล่ะ ยังไงผมถามพ่อกับอ้อก่อนนะครับ เดี๋ยวผมโทรกลับไป”
ยศวีร์พูดแล้วกดวางสายแล้วเดินออกไปนอกห้อง เห็นอนงค์ที่แต่งตัวพร้อมออกไปนอกบ้านซึ่งเปิดประตูห้องนอนออกมาเหมือนกัน
“อ้าว...อ้อ...”
“จุ๊ๆ”
อนงค์ทำมือประมาณให้ยศวีร์เงียบ แต่จังหวะเดียวกัน คำเที่ยงก็เดินเข้ามาจากระเบียงพอดีแล้วมองด้วยความสงสัย
“อ้อจะไปไหนเหรอลูก”
“เออ..อ้อจะไปเรียนพิเศษน่ะจ้ะพ่อ”
อนงค์พยายามพูดกลบเกลื่อน แต่ยศวีร์ชะงักมองด้วยความสงสัย
“เรียนพิเศษ”
“ก็ที่ไปกับพวกมิ้มไงจ๊ะพี่ดล อ้อต้องรีบไปแล้วเดี๋ยวไม่ทัน หวัดดีจ้ะพ่อ ไปนะจ๊ะพี่ดล”
“เออ..อ้อ แล้วข้าวเย็น ดูไปซะแล้วไม่รู้จะรีบไปไหน”
อนงค์รีบไหว้คำเที่ยงอย่างลวกๆแล้วรีบเดินออกไปจากห้องทันที คำเที่ยงบ่นอย่างงงๆ
ยศวีร์คิดอะไรอยู่นิดหนึ่งก่อนรีบตามอนงค์ออกไปทันที
“เออ..เดี๋ยวผมลงไปส่งอ้อหน่อยนะครับพ่อ”

อนงค์เดินออกมาจากตัวตึกของคอนโดฯ อย่างเร่งรีบ เสียงยศวีร์เรียกจากด้านหลัง
“อ้อ !”
อนงค์สะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนค่อยๆหันไปเห็นยศวีร์ยืนมองด้วยสายตาดุ
“ก็โมที่เขาเคยใช้งานอ้อเขาโทรมาตามนี่จ๊ะ...น่าแป๊บเดียวเองนะจ๊ะพี่ดล งานจัดในศูนย์การค้าไม่น่าห่วงหรอก” อนงค์พูดเสียงเจื่อน
“แต่พี่ไม่อยากให้...”
“พี่ดลต้องจ่ายค่าลงทะเบียนนะจ๊ะ”
อนงค์พูดดักคอ ยศวีร์ยิ่งไม่สบายใจ
“เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่พี่ต้องจัดการเอง ไม่ใช่ให้อ้อต้องรับภาระ”
“แล้วพี่ดลจะทำยังไงจ๊ะ ยืมเงินพี่เนติ์เหรอ อ้อไม่เชื่อหรอกว่า คนอย่างพี่ดลจะกล้ารบกวนจะทำงานตอนนี้พี่ดลก็ยังทำไม่ไหว”
อนงค์เอื้อมมือไปสัมผัสเบาๆที่ชายโครงที่บาดเจ็บด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องคิดมากนะจ๊ะพี่ดล เราอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยกัน เราสัญญาจะไม่ทิ้งกันไงจ๊ะจำได้มั้ย”
ยศวีร์พยักหน้ายอมจำนนในเหตุผล
“ถ้าพี่ดลไม่สบายใจ งั้นเอาเป็นว่าอ้อให้ยืมก็แล้วกัน อืม..ร้อยละยี่สิบถูกไปมั้ยจ๊ะ”
“ถูก...”
ยศวีร์แกล้งพูดอย่างเอาจริง
“อะไร..ร้อยละยี่สิบถูกตรงไหน”
“ก็ถูกเขกตรงนี้ไง นี่แน่ะ ! คิดออกเงินกู้นอกระบบกับพี่เหรอ”
ยศวีร์เขกหัวอนงค์ไปหนึ่งทีอย่างมันเขี้ยว อนงค์กุมหัวมองค้อนด้วยความหมั่นไส้
“โอ๊ย..พี่ดลหลอกเขกหัวอ้อเหรอ จำไว้เลยนะ อูยเจ็บ”
ยศวีร์เอามือลูบหัวอนงค์ด้วยความรัก

อิทธิหาญเดินอยู่ชั้นบนภายในศูนย์การค้า ส่วนทนงที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“เออ..ได้ เดี๋ยวบอกเสี่ยให้”
ทนงวางสายแล้วหันไปพูดกับอิทธิหาญ
“ปานกับคนอื่นๆเพิ่งเสร็จงาน อีกสักชั่วโมงจะตามมาครับ”
อิทธิหาญบ่น
“ช้าชะมัด งั้นไปหาที่นั่งรอก่อน”
“ครับเสี่ย”
อิทธิหาญต้องชะงักเมื่อมองลงไปยังลานจัดแสดงงานชั้นล่าง เห็นอนงค์กับเพื่อนพริตตี้ กำลังพรีเซ้นต์สินค้าอยู่ อิทธิหาญมองอนงค์อย่างไม่วางตา
“อะไรเหรอครับเสี่ย”
“นังเด็กผู้หญิงคนนั้น เหมือนฉันเคยเห็นที่ไหน”
อิทธิหาญเพ่งมองอย่างใช้ความคิด แล้วนึกถึง

อิทธิหาญจำยศวีร์ได้ทันที
“นี่มันรู้จักกันด้วยเหรอเนี่ย”
“เอาไงดีครับเสี่ย” ปานถามด้วยความสงสัย ขณะที่อิทธิหาญไม่ตอบอะไรได้แต่จ้องเนติมา ยศวีร์และอนงค์ด้วยสายตาครุ่นคิด

อิทธิหาญนึกได้และยิ้มออกมาอย่างมีแผน
“โลกกลมจริงๆ ไม่นึกเลย ว่าจู่ๆกวางน้อยก็เดินมาหานายพรานง่ายๆ ฮ่าๆ”
อิทธิหาญมองอนงค์ที่แต่งตัวสวยด้วยสายตามีเลศนัย
ผู้คนมากมายเดินไปมาอยู่ในศูนย์การค้าใหญ่ ยศวีร์เดินฝ่าผู้คนพลางมองไปรอบๆเพื่อมองหาอนงค์
“ใช่ที่นี่รึเปล่านะ”
ยศวีร์ยกโทรศัพท์ขึ้นกดออกโทรหา แต่ติดต่อไม่ได้
“ปิดเครื่อง”

ยศวีร์ถอนหายใจด้วยความเซ็ง พลางมองไปรอบๆด้วยความร้อนใจ

 
อนงค์ในชุดพริตตี้สวยสดใสกับกลุ่มเพื่อนกำลังแนะนำสินค้าให้ผู้ที่มาชมอย่างคล่องแคล่ว อิทธิหาญกับทนงเดินเข้ามายืนมองในระยะไม่ห่างมากนัก อิทธิหาญมองอย่างมีแผน
 
“ถูกใจเหรอครับเสี่ย” ทนงถาม
“มาก...”
“งั้นเดี๋ยวผมกับพวกจัดให้ครับเสี่ย”
อิทธิหาญยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามไว้ ทนงมองด้วยความสงสัย
“ใจเย็นสิวะ นี่มันศูนย์การค้านะโว้ย เดี๋ยวก็เป็นเรื่องให้ฉันโดนพ่อด่าอีกหรอก ที่สำคัญฉันอยากตามดูนังเด็กคนนี้ เพราะมันจะพาเราไปหาเสี้ยนหนามอีกคนที่มันอาจเล่นงานเราได้”
อิทธิหาญส่งสายตาเจ้าเล่ห์ไปที่อนงค์

อนงค์และเพื่อนๆพริตตี้ลงจากเวทีมายังด้านหลังพลางยิ้มแย้มกับเพื่อนๆอย่างกันเอง
“สนุกดีเนอะ” อนงค์ว่า
โมเดลลิ่งสาวเดินยิ้มเข้ามาหาอนงค์ทันที
“น้องอ้อจ๊ะ”
“คะพี่เอิง”
“เร็วๆนี้หนูจะได้อีกงานแล้วนะ ท่าทางเงินหนาด้วย”
อนงค์รู้สึกดีใจ ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“เหรอคะพี่เอิง งานจากไหน ของใครคะ”
“ก็ของ...”
โมเดลลิ่งหันไปชี้ให้อนงค์ดู เห็นแต่ผู้คนที่เดินไปเดินมาภายในศูนย์การค้า ทั้งโมเดลลิ่งกับอนงค์ชักสีหน้าสงสัย
“อ้าว..หายไปไหนแล้วล่ะ”
“อ้อ !”
อนงค์หันขวับไปอีกด้าน เห็นยศวีร์เดินผ่านคนที่เดินไปมาเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม
“พี่ดล !”

ภายในศูนย์การค้า อนงค์เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว กำลังเดินคุยกันมากับยศวีร์อย่างอารมณ์ดี
“ไม่เห็นยาก พี่โทรถามเจ้ายิ้มเพื่อนเรา แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเราอยู่ที่ไหน”
“รู้อย่างเดียว แต่ไม่ต้องตามมาก็ได้นี่จ๊ะ พี่ดลยังไม่หายดีนะ”
“ก็พี่เป็นห่วงอ้อนี่นา”
ยศวีร์พูดจากใจจริง อ้อยิ้มด้วยความดีใจก่อนนึกอะไรขึ้นมาได้
“เออ..พี่ดลจ๊ะ เมื่อกี้พี่โมเดลลิ่งเขาบอกว่ามีคนจองคิวงานอ้ออีกแล้วนะ”
“ใคร..ที่ไหนเหรออ้อ”
“ยังไม่รู้เลยจ้ะ แต่พี่ดลไม่ต้องห่วงนะ โมเนี้ยไว้ใจได้จ้ะ”
ยศวีร์พยักรับรู้
“เออ..เกือบลืม เย็นนี้พี่เนติ์ชวนไปทานข้าวล่ะอ้อ”

ระบิลซึ่งสวมผ้ากันเปื้อนทับเสื้อที่สวมอยู่ ยกจานอาหารจานโตเข้ามาวางที่โต๊ะซึ่งตั้งอยู่กลางสนามหญ้าบ้านกันต์ บนโต๊ะมีอาหารวางอยู่แล้ว 4-5 อย่าง รอบๆมีเทียนสีสวยจุดสร้างบรรยากาศ
“หลบหน่อยคร้าบของร้อนๆ”
เนติมา ยศวีร์ อนงค์และขวัญชนกนั่งมองอาหารตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี
“โอ้โห น่ากินทั้งนั้นเลยจ้ะ” อนงค์บอก
“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าจะเป็นฝีมือผู้ชาย” ยศวีร์บอก
“ลำพังผมคงแย่ โชคดีมีคุณเนติ์กับคุณขวัญช่วยน่ะครับ” ระบิลบอก
ขวัญชนกยิ้มอย่างอายๆ ขณะที่เนติมามองระบิลด้วยความหมั่นไส้
“ขวัญกับเนติ์แค่ช่วยล้างผักกับช่วยหั่นหมูนิดหน่อย คุณระบิลก็แย่งไปทำหมดเลยนะคะ” ขวัญบอก
“จะสอนคนแต่ไม่ให้คนลงมือทำ คงเป็นหรอกนะ หรือว่าหวงวิชา” เนติมาลอยหน้าลอยตาพูด
“วิชาไม่หวง แต่ผมห่วงคุณสองคนจะหั่นนิ้วตัวเองแทนหั่นหมูมากกว่า”
“แหม..ดูถูกกันเกินไปแล้วนะ”
“รับรอง ดูไม่ผิดแน่ครับ”
ระบิลพูดกวนพลางยิ้มจ้องหน้าเนติมา ขวัญชนกนิ่งมองและรู้สึกถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติของทั้งคู่
“แฮ่ม !”
ยศวีร์แกล้งกระแอมขึ้นมา ทำเอาทั้งระบิล เนติมา ขวัญชนก สะดุ้งทันทีจนยศวีร์อดขำออกมาไม่ได้
“ขำอะไรจ๊ะน้องชาย”
“ไม่..ไม่มีอะไรครับพี่เนติ์”
ยศวีร์ตอบเลี่ยงแล้วมองหน้าอนงค์อย่างรู้กัน ระบิลกับเนติมายิ้มอย่างอารมณ์ดี ขวัญชนกยังไม่หายสงสัย

บนโต๊ะอาหาร คำเที่ยงนั่งอยู่ด้วยความสำรวม ตักข้าวใส่ปากเพียงเล็กน้อยด้วยความเกรงใจ เจือจันทร์หันมามองคำเที่ยงนิดหนึ่งก่อนเอื้อมมือไปสะกิดกันต์ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ตามสบายนะคุณคำเที่ยงไม่ต้องเกรงใจ”
“ทานเยอะๆนะคะ ฝีมือคุณระบิลนี่ใช้ได้เลยนะ” เจือจันทร์ว่า
“เออ...ครับ”
คำเที่ยงรับคำอย่างเจียมตัว ก่อนมองออกไปยังกลุ่มของพวกระบิล เนติมา ยศวีร์ อนงค์ ขวัญชนกซึ่งนั่งอยู่ข้างนอก คำเที่ยงถอนใจออกมาด้วยความไม่สบายใจ
“หวังว่าทุกอย่างคงจบลงด้วยดีนะครับ”
กันต์กับเจือจันทร์มองตามคำเที่ยงไปอย่างเข้าใจความหมาย
“พวกเราอดทนรอความสุขอยู่ในห้วงความทุกข์มานานมาก เพราะฉะนั้นทุกอย่างจะต้องจบลงด้วยดีครับ” กันต์บอก
“ครอบครัวคุณกันต์เก่งมากนะครับ ผ่านเรื่องร้ายๆมาหนักและนานขนาดนี้ ยังอยู่กับมันได้” คำเที่ยงว่า
เจือจันทร์อดรู้สึกถึงแผลในใจขึ้นมาไม่ได้ กันต์เอื้อมไปกุมมือเจือจันทร์

“เราเติมกำลังใจให้กันทุกวันครับ สิบปีที่ผ่านมาเราอยู่ที่นี่เหมือนถูกขัง”

 
ภาพอดีตผุดพรายขึ้นอีกครั้ง...
 
อิทธิหาญลงนั่งที่เก้าอี้ด้วยท่าทางหาเรื่อง ประจันหน้ากับกันต์ซึ่งคุมสตินั่งอยู่บนรถเข็นด้วยสีหน้า
นิ่งเฉย
“อีกนานมั้ย กว่าจะได้”
“ใจเย็นๆสิ เดี๋ยวก็ได้แล้ว”
ปานที่อยู่อยู่ข้างๆอิทธิหาญ พร้อมกับลูกน้องอีกสองคน ปานเดินเข้าไปพูดกับกันต์ใกล้ๆ
“ก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าช้าจะเกิดอะไร แล้วยัง...”
“น้ำตาของลูกสาวมัน คงพอทำให้เร็วขึ้นได้...เฮ้ย !” อิทธิหาญพูดพลางสั่งลูกน้อง
ลูกน้องทั้งสองคนของอิทธิหาญวิ่งไปหาขวัญชนกที่อยู่ตรงบันไดชั้นสองอย่างรู้งาน
“ขวัญกลับเข้าห้องไปเร็ว !”
ขวัญชนกตกใจขยับจะวิ่งขึ้นไปด้านบน แต่ไม่ทันเพราะถูกลูกน้องของอิทธิหาญคว้าตัวไว้ได้ทัน ขวัญชนกพยายามดิ้นแต่สู้แรงไม่ได้ ถูกลูกน้องอิทธิหาญลากตัวลงมาด้านล่าง ขวัญชนกร้องไห้อย่างเสียขวัญ
“ไม่นะปล่อย ! คุณพ่อขาช่วยขวัญด้วย !”
“ขวัญ !”
กันต์ขยับจะเลื่อนรถเข็นเข้าไปช่วยขวัญชนก แต่ก็ถูกปานรั้งไว้
“จะไปไหน !”
ปานผลักรถเข็นไปกระแทกผนัง กันต์เสียหลักกระเด็นตกลงมาที่พื้น
“โอ๊ย !”
“คุณพ่อ !”
อิทธิหาญปราดเข้าไปบีบปากขวัญชนก กวาดสายตามองหัวจรดเท้าอย่างสะใจ
“อยากรู้อยากเห็นแล้วจะหนีทำไม หรือที่ลงมาเนี่ย อยากโดนแบบแม่ ! ถึงตอนนั้นฉันไม่ได้เห็นกับตา แต่ฉันก็รู้ว่ามันต้องสนุกมากๆ ฮ่าๆ”
“อย่า ! อย่าทำอะไรลูกฉันนะ ไอ้...โอ๊ย !”
กันต์พยายามกระเสือกกระสนลุกขึ้นมาเพื่อจะไปช่วยขวัญชนก แต่ก็ต้องล้มลงกับพื้น
“อย่า..อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวแล้ว”
ขวัญชนกร้องไห้ พูดเสียงสั่นด้วยความกลัว อิทธิหาญยิ้มชอบใจ เอามือไล้ไปตามใบหน้า ริมฝีปาก ของขวัญชนก ก่อนจะค่อยๆก้มลงเหมือนจะไปหอมแก้ม แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเจือจันทร์ดังเข้ามา
“ปล่อยลูกสาวฉันเดี๋ยวนี้นะ !”
เจือจันทร์ถือกล่องอาหาร 2-3 ใบเดินออกมาจากห้องครัว พลางจ้องเหตุการณ์ด้วยน้ำตาคลอเบ้าอย่างคับแค้นใจ อิทธิหาญยิ้มด้วยความชอบใจ ขณะที่ปานเดินเข้าไปรับกล่องใส่อาหารจากมือเจือจันทร์อย่างรู้หน้าที่
“วันหลังทำอะไรให้เร็วๆ หน่อยนะ ก่อนที่ความหิวจะทำให้ลูกน้องฉันจับลูกสาวแกกิน เฮ้ย..ปล่อย”
ลูกน้องอิทธิหาญทั้งสองคนปล่อยมือจากขวัญชนกที่วิ่งไปกอดเจือจันทร์ด้วยความกลัว ก่อนรีบพากันไปประคองกันต์ขึ้นมานั่ง
“คุณพ่อเจ็บมากมั้ยคะ”
“ไม่..พ่อไม่เป็นอะไรลูก พ่อทนได้”
กันต์กัดฟันพูดทั้งๆที่รู้สึกเจ็บทั้งกายและใจเป็นอย่างมาก
“ทนได้ก็ดี จะได้อยู่รับใช้พวกฉันนานๆ แล้วก็ไม่ต้องคิดหนีไปไหน เพราะพวกแกไม่มีวันรอดเงื้อมือฉันได้อยู่แล้ว”
อิทธิหาญมองไปรอบๆบริเวณบ้านที่ทรุดโทรมไร้การดูแล
“ที่นี่คือนรกบนดินที่เหมาะสมกับพวกแกที่สุดแล้ว ฮ่าๆ”
อิทธิหาญหัวเราะลั่นด้วยความชอบใจ ก่อนจะเดินนำปานและลูกน้องออกไปทันที ขวัญชนกกับเจือจันทร์กอดกันต์ร้องไห้ด้วยความอัดอั้น

บนโต๊ะอาหาร กันต์กระชับมือเจือจันทร์ให้กำลังใจ
“ผมเคยเจ็บปวดที่ผมไม่สามารถปกป้องลูกเมียผมได้ แต่วันนี้ผมมีความหวัง มีเพื่อนร่วมต่อสู้อีกหลายชีวิต ผมจะกลับมาเดินให้ได้ เพื่อเป็นหลักที่สมบูรณ์ให้ครอบครัวของผมอีกครั้ง”
กันต์เอื้อมมือไปจับที่ขาตัวเองอย่างมีความหวัง
“กำลังใจดีอย่างนี้ คุณกันต์ต้องทำได้แน่นอนครับ”
“เราสองคนหายใจอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะเป็นห่วงขวัญเท่านั้น ขวัญถูกเลี้ยงมาเหมือนไข่ในหิน ถ้าเราสองคนเป็นอะไรไปไม่รู้ลูกจะอยู่ยังไง”
เจือจันทร์พูดพลางทอดสายตามองขวัญชนกที่นั่งอยู่ในสนามด้านนอกด้วยความเป็นห่วง คำเที่ยงยิ้มแล้วบอก
“กำลังใจคุณกันต์กับคุณเจือจันทร์ดีอย่างนี้ หนูขวัญผ่านฝันร้ายนี้ไปได้แน่นอนครับ”
“ทุกคนครับคุณคำเที่ยง ทุกคนต้องผ่านฝันร้ายนี้ไปด้วยกัน” กันต์พูดด้วยความมั่นใจ

บนโต๊ะอาหารภายในบ้านกันต์ ยศวีร์กับอนงค์ตักอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“อื้อหือ..อร่อยจังเลยครับคุณระบิล”
“แกงนี่แกงอะไรเหรอจ๊ะ” อนงค์ถาม
“แกงตะพาบน้ำน่ะครับ”
ระบิลตอบยิ้มๆ แต่ทำเอายศวีร์กับอนงค์สำลักข้าวด้วยความพะอืดพะอมทันที
“อะไรนะครับ”
“คุณระบิลเอาตะพาบน้ำมาทำกับข้าวเหรอคะ”
ระบิล เนติมา ขวัญชนกยิ้มออกมาอย่างขำๆ
“แต่ผมใช้หูหมูน่ะครับ ส่วนลูกๆนั่นตะลิงปลิง แกงเนี่ยหาทานยากนะครับ”
“คุณระบิลบอกว่าเป็นอาหารไทยโบราณเลยนะ” ขวัญชนกว่า
“โอย..ค่อยโล่งอกหน่อย ผมไม่ค่อยถนัดกินของพิศดารซะด้วยสิครับ”
ยศวีร์กับอนงค์ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก เนติมายิ้มอารมณ์ดี ก่อนหันไปเห็นผู้กำกับวิเชษฐ์เดินเข้ามาพอดี
“อ้าว..ผู้กำกับวิเชษฐ์มาแล้ว”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ใส่เครื่องแบบเดินยิ้มเข้ามา
“บังเอิญติดงานด่วนน่ะครับ ผมยังทันใช่มั้ยครับ”
“เพิ่งเริ่มเองครับพี่เชษฐ์ มาเลยครับนั่งเลย”
ผู้กำกับวิเชษฐ์หันไปชำเลืองมองขวัญชนกนิดหนึ่ง ก่อนลงนั่งข้างๆขวัญชนกที่ว่างอยู่พอดี ขวัญชนกรู้สึกเกร็งนิดหนึ่ง ก่อนหันไปยิ้มให้ผู้กำกับวิเชษฐ์เป็นการแก้เขินแล้วหันไปหยิบจานข้าวที่ซ้อนวางอยู่ข้างๆ มาตักข้าวให้ผู้กำกับวิเชษฐ์
“ออ..เดี๋ยวขวัญตักข้าวให้นะคะ”
“ขอบคุณครับคุณขวัญ”

ผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มส่งสายตามองไปที่ขวัญชนกอย่างมีความสุข ยศวีร์สะกิดให้อนงค์มองตาม ทั้งสองคนอดอมยิ้มออกมาไม่ได้ ฝ่ายเนติมารีบสะกิดให้ระบิลดูเหมือนกัน

 
“คุณระบิลคะ อ้าว...”
 
ภายในห้องครัว ขวัญชนกเห็นผู้กำกับวิเชษฐ์กำลังยืนล้างจานและเครื่องครัวกองโตอยู่
“ระบิลกับคุณเนติ์ออกไปส่งคุณดลน่ะครับ ผมเลยอาสาล้างจานให้”
“ไม่ต้องทำหรอกค่ะ ผู้กำกับเป็นแขกนะคะ”
“ผมมาฝากท้องที่นี่บ่อยๆ ล้างจานแค่นี้เรื่องเล็กมากครับ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์พูดยิ้มๆ ก่อนก้มหน้าก้มตาล้างจานต่อ ขวัญชนกเดินเข้าไปช่วยด้วยความเกรงใจ
“งั้นขวัญช่วยนะคะ”
“คุณขวัญไม่ง่วงเหรอครับ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์รู้สึกดีที่ขวัญชนกอยู่ใกล้ๆ
“ปกติขวัญชอบอ่านหนังสือตอนดึกๆอยู่แล้วค่ะ เออ..แล้วผู้กำกับล่ะคะ”
“ผมก็นอนดึกเหมือนกันครับ ไม่ออกตรวจท้องที่ ก็เอางานมาทำที่บ้าน ไม่ก็...”
“ก็อะไรเหรอคะ”
“ก็มารักษาความปลอดภัยให้ครอบครัวคุณขวัญไงครับ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์พูดออกมาด้วยความอบอุ่น จังหวะเดียวกันขวัญชนกก็เผลอทำจานในมือหลุดลงไปในซิงค์ล้างจานที่มีน้ำอยู่เต็ม น้ำกระเด็นเข้าหน้าเข้าตาตัวเอง
“อุ๊ย !”
“อ้าว..มาครับเดี๋ยวผมเช็ดให้”
ผู้กำกับวิเชษฐ์รีบเช็ดมือแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาจะเช็ดหน้าให้ขวัญชนกที่จะขยับจะถอยหนีพลางเอื้อมมือจะกันมือผู้กำกับวิเชษฐ์
“อยู่นิ่งๆครับ มือคุณขวัญเปื้อน”
ขวัญชนกชะงักอึ้ง ทั้งสองคนสบตากันค้างนิ่ง
“ขอบคุณค่ะ ขวัญไม่เป็นไรแล้ว เออ...ขวัญขอตัวก่อนนะคะ”
ขวัญชนกตั้งสติได้รีบผละออกมา โดยไม่ทันได้ฟังเสียงเรียกของผู้กำกับวิเชษฐ์
“คุณขวัญเดี๋ยวสิครับ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ถอนใจออกมานิดหนึ่งแต่รู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้ขวัญชนก

ภายในห้องนอนในเวลาต่อมา ขวัญชนกเดินเข้ามานั่งบนเตียง นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ขวัญชนกเอามือขึ้นมาจับที่แก้มของตัวเองแล้วรู้สึกอายขึ้นมาทันที ก่อนทิ้งตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มคลุมโปงไปในทันทีด้วยความสับสน

ห้องประชุมภายในทำเนียบรัฐบาล ศิวัชนั่งเป็นประธานการประชุมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ พูดอธิบายนโยบายของรัฐให้ผู้ร่วมประชุมฟังด้วยท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ผู้ร่วมประชุมซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ถามอะไรบางอย่างกับศิวัชที่ตอบอธิบายอย่างฉะฉาน จนผู้เข้าร่วมประชุมชาวต่างชาติคนนั้นเข้าใจและสามารถเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากผู้เข้าร่วมประชุมได้
ศิวัชและผู้ร่วมประชุมต่างลงนามในเอกสารที่อยู่ในแฟ้ม โดยมีเจ้าหน้าที่หญิงเป็นผู้นำมามาให้ทุกอย่างลุล่วงไปด้วยดี
ศิวัชกับผู้ร่วมประชุมถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน โดยศิวัชยืนอยู่ตรงกลาง ทั้งหมดประสานมือกันบ่งบอกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียว โดยมีผู้สื่อข่าวหลายคนรุมล้อมบันทึกภาพ แสงแฟลชวูบวาบ

ภายในห้องน้ำของทำเนียบฯ ศิวัชถอดเสื้อสูทแล้วถกแขนเสื้อคลายเนคไทและวักน้ำล้างหน้าเสร็จพอดี ศิวัชเอื้อมมือไปหยิบผ้าขึ้นมาซับหน้า เงยหน้ามองตัวเองในกระจกบานใหญ่ด้วยความอ่อนล้า ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“เนิต์...”
ศิวัชรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อที่จะโทรหาเนติมาก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงปฏิพรเรียก
“พี่ศิวัชขา...”
ศิวัชหันไปแล้วต้องตกใจ เมื่อเห็นปฏิพรยืนยิ้มหวานอยู่ที่ประตูห้องน้ำ
“น้องตี้เข้ามาได้ยังไง”
“ก็พี่ศิวัชไม่ได้ล็อกประตูนี่คะ”
“แล้วนี่...”
“ไม่มีใครกล้าห้ามตี้หรอกค่ะพี่ศิวัช”
“แต่พี่ว่าน้องตี้รีบออกไปก่อนดีกว่านะครับ พี่ไม่อยากให้ใครเอาไปนินทา”
ศิวัชพยายามจะดันปฏิพรออกไปด้านนอก แต่ปฏิพรลอยหน้าลอยตายิ้มขืนตัวไว้อย่างอารมณ์ดี
“ไม่มีใครกล้านินทาตี้หรอกค่ะ แต่ถึงนินทาก็ไม่มีใครก็ไม่มีใครกล้าว่าตี้ในทางลบหรอกค่ะ พี่ศิวัชก็รู้ว่าตี้ลูกหลานใคร”
ศิวัชมองปฏิพรด้วยความอ่อนใจ

ปฏิพรคล้องแขนศิวัชอย่างสนิทสนมเดินอยู่หน้าห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ซึ่งยืนอยู่บริเวณนั้นยืนตรงทำความเคารพทันที ศิวัชพยักหน้ารับการทำความเคารพนิดหนึ่ง
“ดูพี่ศิวัชเหนื่อยจัง ไปค่ะเราไปดินเนอร์กัน”
“แต่พี่ต้อง...”
“ตี้เหมาร้านอาหารสเปนเพื่อนตี้ไว้แล้วค่ะ” ปฏิพรพูดแทรกขึ้น
ปฏิพรยิ้มพูดดักคออย่างไม่ให้ศิวัชมีทางเลือก ศิวัชถอนใจออกมาเล็กน้อย ปฏิพรกระชับแขนศิวัชแน่น แล้วดึงตัวออกไปทันที

ในเวลาเดียวกัน อนงค์อ้อนเดินคล้องแขนคำเที่ยงเข้ามายังโถงห้องในคอนโดฯ
“วันนี้ได้นั่งรถเที่ยวกรุงเทพฯ เป็นไงบ้างจ๊ะพ่อ”
“แหม..ทำอย่างกับพ่อไม่เคยเข้ากรุง ลืมแล้วเหรอว่าพ่อน่ะทำงานในกรุงเทพฯมาก่อน แต่ยังไงแสงสีในกรุงเทพฯ ก็ไม่สวยเท่าแสงหิ่งห้อยในสวนพ่อหรอก”
“นั่นแน่ คิดถึงบ้านล่ะสิ งั้นพ่อก็กลับบ้านสิจ๊ะ”
อนงค์ยิ้มพูดอย่างรู้ทัน คำเที่ยงโอบลูกสาวด้วยความอบอุ่น
“ให้เรื่องทุกอย่างคลี่คลาย ให้พ่อแน่ใจว่าลูกทั้งสองคนปลอดภัยพ่อกลับแน่ ไป...รีบอาบน้ำนอน พรุ่งนี้ต้องไปเรียนไม่ใช่เหรอเรา”
“แล้วพ่อไม่อยู่รอพี่ดลเหรอจ๊ะ”
“ให้พี่น้องเขาคุยกันตามสบายเถอะ เผื่อมันจะชดเชยเวลาสิบปีที่เสียไปได้บ้าง”

คำเที่ยงพูดก่อนจะผละเดินเข้าไปในห้อง อนงค์พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วเดินเข้าไปยังห้องของตัวเอง

จบตอนที่ 9
 
อ่านต่อตอนที่ 10พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
กำลังโหลดความคิดเห็น