หยกเลือดมังกร ตอนที่ 6
ในสนามมวย...คมทวนถูกนักชกหนุ่มกว่าแย็บเข้าที่หน้าจนผงะ
แล้วเซถลาไปทางพวกลูกน้องกิจชัย ท่าทางของคมทวนเริ่มอ่อนแรง แต่พวกมันก็จับพยุงตัวขึ้น
“อย่าเพิ่งหมดแรงสิวะไอ้แก่...ขิงยิ่งแก่มันต้องยิ่งเผ็ดสิเว้ย”
คมทวนหันมามองหน้ากิจชัยอย่างเอาเรื่อง
“ใช้หนี้หมดเมื่อไหร่...แกโดนฉันกระทืบเป็นรายสุด ท้ายแน่ไอ้กุ๊ย”
คมทวนผลักกิจชัยแรงๆแล้วฮึดแรงลงไปลุยกับนักมวยรุ่นน้องแลกหมัดอย่างเต็มที่ ระหว่างนั้น โหงวเดินขาเป๋พามานพเข้ามา มานพไม่ค่อยชอบบรรยากาศในนี้เท่าไหร่
“ทั้งร้อนทั้งอึดอัดแบบนี้ จัดการธุระให้เสร็จคนเดียวแล้วกัน ฉันจะออกไปรอข้างนอก”
มานพจะเดินออกไปโหงวหันไปคว้าคอเสื้อเอาไว้
“ถ้าแกยังทำตัวเป็นคุณชายเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออยู่แบบนี้ ชาตินี้แกไม่มีวันได้บัลลังก์ของ ไอ้เล้งมานอนกอดแน่”
“แต่ลูกน้องฉันก็มีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาตามไอ้พวกนักเลงสวะในนี้มาเป็นพวกหรอก”
“ไอ้พวกลูกน้องที่ดีแต่แต่งสูทเดินไปเดินมาน่ะเหรอ” โหงวกระชากคอเสื้อมาตะคอกใส่หน้าทันที “เราเป็นคนเปิดศึกระหว่างแกงค์ขึ้นมาเพื่อให้พวกมันตีกัน สุดท้ายพวกที่เหลืออยู่ จะต้องเจอกับเรา ถ้าแกไม่เตรียมพร้อมตั้งแต่ตอนนี้ ก็กลับไปกราบตีนไอ้เล้งได้เลย...ไป”
โหงวผลักมานพอย่างหัวเสีย มานพเซแล้วนิ่งไปครุ่นคิด
ด้านหลังสนามมวยเถื่อน กิจชัยให้ลูกน้องหิ้วปีกคมทวนที่อยู่ในสภาพหมดแรงออกมาแล้ววางกองที่พื้น
“โธ่เอ้ยไอ้แก่...ทำมาคุย สุดท้ายก็ไปไม่รอด จอดสนิท ฮ่าๆ”
“แก!”
คมทวนจะลุกขึ้นเอาเรื่องแต่โดนกิจชัยชักปืนจ่อ
“อย่าดีกว่าไอ้แก่...อย่างแกมันแก่แล้วแก่เลย ไม่มีพิษสงอะไรหรอกเว้ย”
ทันใดนั้นเสียงหยกดังขึ้น
“ปล่อยพ่อฉันเดี๋ยวนี้”
พวกมันชะงักหันไปเมื่อเห็นหยกหน้าหน้าตาเอาจริงเข้ามา
“ไอ้หยก...งานนี้เอ็งไม่เกี่ยว ไม่ต้องมาสอด”
ลูกน้องกิจชัยจะเข้าไปขวาง แต่ถูกหยกจับบิดหักแขนแล้วชกเปรี้ยงจนหน้าหงาย
“ฉันเตือนแกแล้วไง ถ้าแกทำให้คนที่ฉันรู้จักเดือดร้อน แกมีเรื่องกับฉันแน่”
“แต่ฉันต้องทำงานตามที่เขาจ้างมา พ่อแกเป็นหนี้ ฉันก็แค่มาทวงหนี้”
“หนี้พ่อฉันมีอยู่เท่าไหร่ ฉันจะรับผิดชอบเอง ไสหัวแกไปได้แล้ว”
คมทวนตวาดขึ้น
“แกไม่ต้องมารับผิดชอบชีวิตฉัน...ไอ้ลูกทรพี!”
หยกอึ้งไป คมทวนสะบัดตัวจากพวกลูกน้องกิจชัยแล้วพยุงตัวที่เจ็บอยู่ให้ลุกขึ้นยืนหยัด
“พ่อ!”
“ปัญหาของฉัน ฉันจัดการเองได้...” คมทวนหันไปหากิจชัย “ฉันจะกลับเข้าไปสู้ต่อ”
“ทำไมล่ะพ่อ...สภาพพ่อตอนนี้เข้าไปอีกก็มีแต่ตายเท่านั้น”
“ฉันมีลูกเป็นพวกมิจฉาชีพ ทุกวันนี้ฉันก็เหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้วไอ้หยก”
“พ่อ”หยกอึ้ง
“แน่ใจนะว่าแกยังไหวอยู่ไอ้แก่”
“จัดมือที่ดีที่สุดมาให้ฉัน ฉันจะใช้หนี้พวกแกให้หมด”
คมทวนผลักไหล่กิจชัยแล้วเดินเซๆกลับเข้าไปในสนามมวย หยกเป็นห่วงมาก
“พ่อ...พ่ออย่าทำอย่างนี้...พ่อ”
หยกจะตามแต่กิจชัยเข้าไปผลักไหล่
“เฮ้ย...แกก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆของมัน แถมมันยังตัดหางปล่อยวัดแกไปแล้ว แล้วแกจะไป สนใจมันทำไมวะ”
หยกจับมือกิจชัยมาบิดหน้าตาเอาเรื่องสุดๆ
“ฉันไม่ใช่นักเลงสันดานทรามอย่างแก”
กิจชัยเจ็บใจมาก
“โอ๊ย...ไอ้หยก...แขน...แขนฉัน...อย่าหักแขนฉันนะเว้ย”
หยกยิ่งออกแรงอีก
“หนี้ของพ่อฉัน ฉันจะเคลียร์เอง”
“ได้...ได้...แต่...แต่หัวเด็ดตีนขาดพ่อแกก็ไม่ยอม...แล้วจะให้ฉันทำไงวะ”
หยกมองกิจชัยหน้าเคร่งเครียด
ในสนามมวย พวกนักเลงท่าทางเอาเรื่องหลายคนมีหัวหน้ากลุ่มมองดูเงินในกระเป๋าที่โหงวเปิดให้ดู มีเงินสดๆ อยู่ในนั้นมากมาย นักเลงยิ้มให้
“จ่ายหนักเอาเรื่องเหมือนกันนี่เฮียโหงว”
“ฉันบอกพวกแกตั้งแต่อยู่ในคุกแล้วไง ฉันออกมาเมื่อไหร่พวกแกจะได้งานดีเงินดีแน่”
“ถ้าจ่ายหนักขนาดนี้ ใช้ให้ไปทำอะไรก็บอกมาได้เลย พวกเราพร้อมรับใช้เฮีย”
“ฉันไม่ใช่ลูกพี่ของพวกแก คุณมานพต่างหากที่จะเป็นเจ้านายของพวกแกนับตั้งแต่นี้ไป”
โหงวหันหน้าไปทางมานพที่ยืนรออยู่ใกล้ๆ แล้วพยักหน้าให้มานพพูดกับพวกนักเลง
“ต่อไปนี้พวกแกจะต้องไปทำงานในโรงสีของฉัน ถ้าพวกแกทำงานให้ฉันอย่างซื่อสัตย์ ไม่ทำตัวเป็นปัญหาล่ะก็ ฉันเลี้ยงดูปูเสื่อพวกแกอย่างดีแน่นอน”
“พวกผมทำงานให้คุณถวายหัวแน่ครับ...คุณมานพ”
มานพยิ้มพอใจแล้วหยิบธนบัตรในกระเป๋ายื่นให้พวกนักเลง พวกมันเห็นเงินก็ตาโตชอบใจกันใหญ่
โหงวตบบ่ามานพ
“ไอ้พวกนี้มันเดนตาย ถ้าเงินถึงล่ะก็ จ้างให้มันไปตายมันก็ทำ”
“งั้นก็หมายความว่าตั้งแต่นี้ไป ก็ได้เวลาที่ฉันจะขึ้นมาใหญ่ได้แล้ว”ล
โหงวยิ้มร้าย
“ใจเย็นๆคุณมานพ สงครามมันเพิ่งจะเริ่มนี่มันแค่การเตรียมพลให้พร้อมแค่นั้น”
โหงวยิ้มเจ้าเล่ห์สอนมานพ
คมทวนออกมารอชกที่เวที มีกิจชัยเข้ามาประกบ
“หนี้ที่เหลือของแก ถ้าเอาชนะไอ้คนนี้ได้ ถือว่าหมดกัน แล้วฉันจะไม่มาตอแยแกอีก”
คมทวนหางตามองกิจชัยแล้วผลักมันไม่ให้มาขวางทางก่อนจะเดินออกมารอ หยกค่อยๆแหวกกลุ่มพวกนักพนันเข้ามาที่เวทีในสภาพพร้อมเป็นคู่ชกกับพ่อตัวเอง คมทวนอึ้ง
“ไอ้หยก!”
กิจชัยหัวเราะชอบใจ
“นี่แหละที่เขาเรียกว่ามวยถูกคู่ของจริง...ฮ่าๆ”
คมทวนมองหน้าหยก
“นี่แกคิดจะทำบ้าอะไรของแก”
“ในเมื่อพ่อไม่อยากให้ฉันใช้หนี้ให้ ฉันก็ต้องทำแบบนี้ หนี้ที่เหลือของพ่อฉันเอาไปวาง เดิมพันหมดแล้ว พ่อชกฉันได้ตามสบายเลย”
“ไอ้หยก!”
คมทวนหงุดหงิดหันหลังจะเดินออก แต่เจอกิจชัยขวาง
“ไม่เอาน่าไอ้แก่...แกตัดหางปล่อยวัดลูกชายแกแล้วไม่ใช่เหรอ นี่มันงานกินหมูชัดๆ ไล่อัดมันให้สลบ หนี้ก็จบ หึๆ”
กิจชัยผลักคมทวนกลับเข้าไปในสนาม หยกตั้งการ์ดขึ้นทำเหมือนพร้อมจะชกกับพ่อ
“เข้ามาเลยพ่อ ฉันไม่สู้พ่อแน่นอนพ่ออัดฉันได้เต็มที่เลย”
“ไอ้หยก แกอยากใช้หนี้ให้ฉันใช่มั้ย”
“ใช่”
“หนี้อันไหน”
“พ่อหมายความว่ายังไง”
“หนี้ที่ฉันไปกู้มาหรือหนี้บุญคุณที่ฉันเป็นคนเลี้ยงแกมา”
“พ่อ!”
คมทวนกำหมัดแน่นแล้ววิ่งเข้าไปชกเปรี้ยงเข้าหน้าหยกทันที...หยกเซถลาเลือดกลบปาก เสียงเชียร์เฮลั่น...โหงวกับมานพเสร็จธุระแล้วกำลังจะเดินออกจากสนามมวย แต่เสียงเชียร์เฮลั่นของพวกนักพนันที่กำลัง เชียร์มวยอยู่ทำให้โหงวต้องหันไปมองอย่างสนใจ
“ฉันไม่ชอบอยู่ที่แบบนี้นานๆ ไปกันได้แล้ว”
มานพจะไป โหงวรั้งไว้
“เดี๋ยว”
“อะไรอีก”
“ฉันว่าฉันจำหน้าไอ้เด็กหนุ่มที่กำลังชกอยู่นั่นได้”
“มันเป็นใคร...แล้วเกี่ยวอะไรกับเราด้วย”
“มันเคยเล่นงานไอ้เล้ง แล้วช่วยให้ฉันรอดมาได้”
โหงวยังรู้สึกสนใจหยกอยู่เลยเดินเข้าไปดูการชกร่วมกับพวกนักพนัน มานพทำหน้าเซ็งๆ เอาผ้าเช็ดหน้ามาซับ เหงื่อจากอากาศในนี้ที่ร้อนอบอ้าวจนหงุดหงิด
หยกโดนคมทวนรัวหมัดชกใส่ทั้งหน้าและลำตัวไม่ยั้ง ท่ามกลางเสียงโห่ของพวกนักพนัน หยกโงนเงนเลือดกลบปากจนต้องถุยออกมา คมทวนตามเข้ามาแย็บหมัดเข้าหน้าซ้ำอีกหยกถึงกับเซไม่เป็นท่า มานพเบ้หน้า
“ไอ้อ่อนเนี่ยน่ะเหรอที่แกว่ามันฝีมือดี ชกกับคนแก่มันยังไม่ไหวเลย”
“อย่ามองอะไรแค่ที่ตาเห็นเท่านั้นนะมานพ ฝีมือมันไม่ธรรมดาจริงๆ แต่มันไม่คิดจะสู้ ต่างหาก”
โหงวพูดไปก็จับจ้องไปที่หยกอย่างสนใจ...หยกโดนคมทวนเข้าไปไล่อัดใส่ไม่ยั้งจนต้องยกการ์ดขึ้นมารับหมัดอันหนักหน่วงจากพ่อ คมทวนชกลูกชายไปก็ น้ำตาคลอเบ้าไปเจ็บปวดทุกหมัดที่อัดลูก
“แกจะทนให้ฉันอัดแกแบบนี้ทำไม...สู้ฉันสิไอ้หยก”
“ฉัน...ฉันไม่สู้กับพ่อ”
“ฉันไม่ดีใจหรอกที่แกอยากกตัญญูฉันด้วยวิธีแบบนี้ แค่แกกลับตัวเป็นคนดี แค่นั้นก็พอ”
“ผมเลือกทางนี้แล้วพ่อ”
คมทวนโกรธน้ำตาอาบแก้มปรี่เข้าไปอัปเปอร์คัทเสยปลายคาง หยกเซถลาโงนเงน คมทวนตามเข้าไปกระชาก คอเสื้อมาตะคอกใส่หน้า
“งั้นวันนี้ฉันก็ขอล้างหนี้ที่ฉันเลี้ยงแกมา แกกับฉันจะได้ไม่ต้องมีอะไรติดค้างกันอีก”
คมทวนชกเข้าหน้าอีกทีคราวนี้หยกทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น คมทวนยืนกำหมัดน้ำตานองหน้า ที่เห็นลูกชาย นอนสะบักสบอมเพราะฝีมือตัวเอง หยกโดนไปหนักจนลุกไม่ขึ้น ระหว่างนั้นเองโหงวได้สังเกตเห็นสร้อยคอหยกรูปมังกรสีแดงที่หยกสวมอยู่ โหงวตกใจ
“หยก...หยกนั่น!”
มานพสงสัย
“หยกอะไร”
โหงวไม่ทันจะตอบ เสียงเอะอะโวยวายของพวกนักพนันในนั้นก็ดังลั่นขึ้นมาเพราะตำรวจบุกเข้ามาจับกุม มานพหน้าตื่น
“ตำรวจ !...รีบไปจากที่นี่เถอะ”
มานพรีบหนีออกไปท่ามกลางความวุ่นวาย โหงวยังติดใจเรื่องสร้อยคอหยกรูปมังกรสีแดงที่เห็น
จะเข้าไปหาหยก แต่คมทวนเข้าไปพยุงตัวหยกพาออกไปอีกด้าน โหงวจำเป็นต้องรีบหนีออกไปเลยคลาดกัน
พวกนักพนันถูกตำรวจไล่จับกุมจนวิ่งหนีกระเจิงเอาตัวรอดไปกันคนละทิศละทาง คมทวนพยุงหยกที่เดินเองแทบไม่ไหวหนีการจับกุมของตำรวจอยู่ในนั้นด้วย
“พ่อ...พ่อครับ...พ่อไปเถอะ...ผม...ผมจะล่อตำรวจให้เอง”
“แกไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น มากับฉัน”
คมทวนพยุงพาหยกเข้าไปหลบในซอกเล็กๆที่มีแผ่นสังกะสีช่วยอำพราง ตำรวจวิ่งไล่จับนักพนันที่วิ่งหนีผ่านไป เลยทำให้สองพ่อลูกรอดจากการถูกจับกุม
“ไอ้หยก...ไอ้หยก”
คมทวนหันมาดูลูกชายเห็นหมดสติไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัว
“ไอ้หยก!”
ค่ำนั้น โหงวนัดพบดวงแขที่โรงสี เล่าเรื่องหยกทันที
“ว่าไงนะ...แกเห็นหยกเลือดมังกร หยกประจำตระกูลของเล้งงั้นเหรอ” ดวงแขถามอย่างตกใจ
“ใช่...เป็นของไอ้เด็กหนุ่มที่ฉันเคยเจอ”
“แต่มันอาจจะไม่ใช่หยกอันนั้นก็ได้ แกจำผิดรึเปล่า”
“ฉันจะจำผิดได้ยังไง หยกชิ้นนั้นมันทำให้ฉันจำฝังใจไม่มีวันลืม”
ในอดีต...ที่ริมแม่น้ำ...เล้งอยู่ในชุดกระสอบไว้ทุกข์ของคนจีนยืนมองหยกรูปมังกรสีแดงในมือสีหน้าครุ่นคิด ระหว่างนั้นโหงวเดินเข้ามาตาม โหงวอยู่ในชุดดำธรรมดา
“ได้เวลาต้องไปส่งศพเตี่ยลื้อไปฮวงซุ้ยแล้วนะอาเล้ง”
“ฉันรู้แล้ว”
“งั้นก็รีบไปกันเถอะ ลื้อยังต้องคุยกับทนายเรื่องพินัยกรรมของเตี่ยลื้ออีก”
“เรื่องพินัยกรรมไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปฟังหรอกเฮียโหงว ยังไงเตี่ยก็ยกทุกอย่างให้ฉัน ดูแลหมดแล้ว”
“ลื้อรู้ได้ยังไง”
“นี่ไงเฮีย...”
เล้งหันมาพร้อมกับชูหยกให้ดู
“หยกเลือดมังกร!”
“ใช่...สมบัติประจำตระกูลของเตี่ย เตี่ยให้ฉันก่อนที่จะสิ้นใจ นั่นแสดงว่าเตี่ยไว้วางใจให้ ฉันทำหน้าที่ดูแลมังกรวารีให้ยิ่งใหญ่ผงาดฟ้าต่อจากเตี่ย”
โหงวอึ้งไปเจ็บใจที่ตัวเองไม่มีส่วน เล้งเดินเข้ามาใกล้โหงวหน้าตาจริงจัง
“ฉันขอขอบใจที่เฮียช่วยสั่งสอนฉันมาตลอด แต่จากนี้ไปฉันจะเปลี่ยนโฉมหน้าธุรกิจ ของมังกรวารี งานสกปรกที่เตี่ยเคยใช้ให้เฮียทำ เฮียต้องเลิกให้หมด”
“ถ้าจะให้อั้วเลิกฆ่าคน แล้วลื้อจะให้อั้วทำอะไร”
“ทำงานสุจริตเหมือนอย่างคนอื่นไงเฮีย”
เล้งตบบ่าโหงวแล้วเดินผ่านไป โหงวกำหมัดแน่นเจ็บใจมองตามโกรธแค้น
“มึงสั่งให้กูเป็นลูกน้องมึง...ไอ้เด็กเมื่อวานซืน”
โหงวกำหมัดแน่นเจ็บใจเมื่อนึกถึงอดีต ดวงแขสงสัย
“ถ้าหยกเลือดมังกรมันสำคัญกับเล้งขนาดนั้น แล้วทำไมถึงไปอยู่กับไอ้นักเลงกระจอกๆ นั่นล่ะ มันต้องเป็นของที่ไว้ส่งต่อให้กับทายาทโดยเฉพาะไม่ใช่เหรอ”
โหงวครุ่นคิด
“นั่นแหละที่ฉันอยากรู้”
“งั้นฉันก็ยังไม่เชื่อว่าหยกอันนั้นจะเป็นอันเดียวกัน”
โหงวหันมาจับแขนดวงแขมาบีบ
“แต่ฉันมั่นใจ!”
“ฉันเจ็บนะ...เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะลองไปดูให้ว่าเล้งยังเก็บหยกเลือดมังกรไว้รึเปล่า ถ้ามันหายไปก็แสดงว่าไอ้เด็กนั่นมันมีหยกนั่นจริงๆ”
โหงวปล่อยแขนดวงแข
“ไปสืบมาให้แน่ เพราะถ้าหยกนั่นเป็นหยกเลือดมังกรจริงๆ สิ่งที่ฉัน กังวลมันอาจจะเป็นเรื่องจริงขึ้นมาก็ได้”
ดวงแขไม่เข้าใจ
“กังวล...แกกังวลอะไร”
โหงวมองหน้าดวงแขแล้วไม่ยอมพูดอะไร ก่อนจะเดินออกไป ดวงแขงงๆจับแขนตัวเองที่โดนบีบ
คมทวนพยุงหยกที่หมดสติเข้ามาในบ้านอย่างทุลักทุเล สลึงกับอ่างเห็นเข้าก็ตกใจ
“พะ...พะ...พี่คมทวน...กะ...กะ...เกิด...อะไรขึ้น”
“ไอ้หยกมันไปช่วยพี่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม”
“พวกเอ็งอย่าเพิ่งถามอะไร ไปเอากระเป๋ายามา...เร็ว”
คมทวนพยุงพาหยกเข้าไป
“ทะ...ทะ...ทางนี้เว้ย”
“อ้าวเหรอ...ข้าลืม”
สลึงกับอ่างรีบร้อนจนวิ่งมาชนกันเองเซ่อๆซ่าๆ
คมทวนพยุงลูกชายนอนลงที่เตียง หยกยังอยู่ในสภาพหมดสติใบหน้าฟกช้ำ คมทวนยืนมองลูกชาย อย่างเจ็บปวดเสียใจนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาชกกับหยก
“ฉันไม่ดีใจหรอกที่แกอยากกตัญญูฉันด้วยวิธีแบบนี้ แค่แกกลับตัวเป็นคนดี แค่นั้นก็พอ”
“ผมเลือกทางนี้แล้วพ่อ”
คมทวนโกรธน้ำตาอาบแก้ม ปรี่เข้าไปอัปเปอร์คัทเสยปลายคาง หยกเซถลาโงนเงน คมทวนตามเข้าไปกระชาก คอเสื้อมาตะคอกใส่หน้า
“งั้นวันนี้ฉันก็ขอล้างหนี้ที่ฉันเลี้ยงแกมา แกกับฉันจะได้ไม่ต้องมีอะไรติดค้างกันอีก”
คมทวนน้ำตาคลอเบ้าพ่อที่จำเป็นต้องลงมือสั่งสอนลูกด้วยการใช้กำลัง สุดท้ายก็ไม่พ้นความเสียใจ
“พ่ออยากเห็นเป็นคนดีเหมือนแม่เอ็ง แต่ทำไม...”คมทวนสะอื้นไห้ “ทำไม...เอ็งถึงทำไม่ได้” เขามอง ไปที่หยกเลือดมังกรที่คอลูกชาย “ที่แม่เอ็งถูกยิงมาจนเกือบตาย เพราะไปคบกับพวกเลวๆ เอ็งก็เลยได้เลือดชั่วๆจากมันมา”
คมทวนเข้าไปดึงสร้อยคอหยกเลือดมังกรออกจากคอหยกจนติดมือออกมากำไว้แน่นครุ่นคิดบางอย่าง ระหว่างนั้น สลึงกับอ่างเอากระเป๋ายาเข้ามา
“ยามาแล้วพี่”
“พวกเอ็งดูแลมันด้วย”
“แล้ว...แล้วพี่...พี่...จะ...จะไปไหน”
คมทวนกำหยกเลือดมังกรไว้แน่น ตัดสินใจเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร
“อะไรของเขาวะ”
สลึงกับอ่างมองหน้ากันงงๆ
วันใหม่...หยกรู้สึกตัวขึ้นบนเตียงในบ้านของพ่อ หน้ายังรู้สึกเจ็บเพราะผลจากการโดนชก ระหว่างนั้น กิ่งเหมยเอาอ่างน้ำพร้อมผ้าเข้ามา
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ...ยาแก้ปวดอยู่ตรงนั้น กินซะจะได้ดีขึ้น”
หยกมองยาแก้ปวดที่วางอยู่หัวเตียงแล้วสงสัย
“นี่ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“จะใครซะอีกล่ะถ้าไม่ใช่พ่อเธอ” หญิงสาวเอาผ้าชุบน้ำบิดแล้วยื่นให้ “เช็ดเนื้อเช็ดตัวซะ ฉันจะ ออกไปรอข้างนอก”
กิ่งเหมยจะลุกออกไปแต่หยกรีบจับมือเธอรั้งไว้
“เดี๋ยวสิกิ่งเหมย...แล้วเธอมาที่นี่ได้ยังไง”
“น้าอ่างกับน้าสลึงมาขอให้ฉันช่วยดูแลเธอ เพราะพวกเขามีงานที่ร้าน”
“แล้วอาม่ารู้รึเปล่าว่าเธอมาหาฉัน”
“ถ้ารู้ฉันก็คงไม่ได้มาหรอก...รีบๆเช็ดตัวซะ ฉันต้องกลับไปทำงาน”
กิ่งเหมยไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้นรีบเดินออกไป หยกมองตามแล้วเอามาแตะหน้ายังรู้สึกเจ็บ
กิ่งเหมยเอาชามข้าวต้มมาวางที่โต๊ะรอให้เขาออกมากิน ระหว่างนั้นหยกเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบเดินเข้ามา
“หยกของฉันหายไปไหน”
“หยกอะไรของเธอ”
“ก็หยกที่แม่ฉันให้ฉันไว้ มันหายไปไหน”
“มันจะหายไปไหนได้ยังไงก็เธอสวมคออยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ”
หยกปลดกระดุมเสื้อให้ดู
“มันหายไปแล้วกิ่งเหมย”
“เธอลืมถอดไว้ที่ไหนรึเปล่า”
“ไม่...ฉันไม่เคยถอดมันออกจากคอ” หยกคิดอยู่ครู่ “พ่อ ! พ่อฉันอยู่ไหน” ชายหนุ่มจับไหล่หญิงสาวคาดคั้นถาม “พ่อฉันอยู่ไหน!”
กิ่งเหมยตกใจ เมื่อเห็นหยกดูร้อนรน
ในคฤหาสน์...เจ้าสัวเล้งกำลังจุดธูปกราบไหว้บรรพบุรุษต่อหน้าภาพถ่ายของเตี่ย เจ้าสัวเล้งนั่งอยู่บนเก้าอี้ในชุดจีนท่าทางดู น่าเกรงขาม มีอาหารจีนหลายอย่างจัดวางเป็นเครื่องไหว้ ดวงแขเข้ามายืนมองสนใจที่ภาพถ่ายนั้น
“ฉันนึกว่าคุณจะออกไปทำงานแล้วซะอีก”
“เมื่อคืนฉันฝันเห็นเตี่ย”
“ฝันว่ายังไงเหรอคะ”
“ฝันว่าเตี่ยชวนฉันเล่นหมากรุก เหมือนตอนที่เตี่ยยังมีชีวิตอยู่”
“ท่านชอบเล่นหมากรุกเหรอคะ”
“ใช่...เตี่ยชอบบังคับให้ฉันนั่งเล่นหมากรุกด้วยกัน บางวันเล่นกันข้ามวันข้ามคืน เตี่ยก็ยัง ไม่ยอมให้เลิก จนฉันเหลืออดทนไม่ได้เลยล้มกระดานทิ้งเพราะไม่อยากเล่นอีกแล้ว”
ดวงแขมองอย่างสงสัย เพราะแววตาเจ้าสัวเล้งที่จับจ้องไปที่รูปเตี่ย
“ตอนนั้นเตี่ยไม่ต่อว่าฉัน ไม่แสดงท่าทางว่าจะโกรธฉันแม้แต่นิดเดียว เตี่ยก้มหน้าก้มตา เก็บหมากรุกทุกตัวขึ้นมาวางใหม่ พอฉันเห็นเข้าฉันก็ตกใจมาก”
“ทำไมเหรอคะ”
หยกเลือดมังกร ตอนที่ 6 (ต่อ)
“เตี่ยวางหมากรุกทุกตัวทั้งของฉันและของเตี่ย ในตำแหน่งเดิมก่อนที่ฉันจะล้มกระดานทิ้งเตี่ยบอกว่าหมากรุกไม่ใช่แค่เกมส์แต่มันคือธุรกิจ เตี่ยสอนฉันไม่ได้ว่าต้องทำธุรกิจยังไง ถึงจะสำเร็จ แต่ถ้าฉันเอาชนะเตี่ยในเกมส์หมากรุกได้ มังกรวารีก็จะตกเป็นของฉัน”
เจ้าสัวเล้งเล่าด้วยความภาคภูมิใจ แต่ดวงแขกลับมองที่หยกเลือดมังกรสมบัติประจำตระกูลที่เตี่ยถืออยู่ในมือ
“มิน่าเตี่ยของคุณถึงได้ส่งต่อหยกเลือดมังกรให้”
เจ้าสัวเล้งชะงักหันมามองดวงแขอย่างสงสัย
“เธอรู้เรื่องหยกเลือดมังกรได้ยังไง”
ดวงแขผงะหน้าเสียที่เผลอหลุดปาก
คมทวนยืนหน้านิ่งอยู่คนเดียวริมน้ำ ระหว่างนั้นหยกรีบเข้ามามีกิ่งเหมยตามหลัง
“พ่อ ! พ่อเอาหยกของแม่ผมไปทำไม เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ”
“หยก ทำไมพูดกับพ่อแบบนี้ล่ะ”
กิ่งเหมยพยายามห้ามแต่หยกยังมองพ่อไม่วางตา
“ปล่อยมันเถอะกิ่งเหมย ฉันเป็นคนเอาหยกของมันไปเอง”
“พ่อเอาของๆผมไปทำไม มันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่แม่ทิ้งไว้ให้ผมนะ”
“ใช่...และมันก็เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่จะช่วยให้แกตามหาพ่อที่แท้จริงของแกได้ ฉันถึงให้ แกมีไว้ติดตัวอีกไม่ได้ไง”
“พ่อ!” หยกอึ้ง
ดวงแขเจ็บเพราะถูกเจ้าสัวเล้งบีบไหล่
“ฉันเจ็บนะคุณ”
“บอกฉันมาว่าเธอรู้เรื่องหยกเลือดมังกรได้ยังไง”
“ก็...ก็ฉันเคยได้ยินเฮียโหงวเล่าให้ฉันฟัง ตอนที่เขาแนะนำให้ฉันรู้จักคุณที่ไนต์คลับไง”
เจ้าสัวเล้งยังไม่เคลียร์จิกนิ้วลงบนหัวไหล่
“ตอนนั้นเราดื่มกันจนเมาแล้วก็พากันเข้าโรงแรม ฉันถอดเสื้อผ้าให้คุณ เห็นคุณพกหยก อันนั้นติดตัว พอฉันแตะต้องมัน คุณก็ต่อว่าฉัน ห้ามไม่ให้ฉันยุ่ง คุณบอกว่ามันสำคัญ กับชีวิตคุณมาก หลังจากวันนั้นฉันสงสัยก็เลยถามเฮียโหงว”
เจ้าสัวเล้งนิ่งมองดวงแขต่ออีกครู่ก่อนจะยอมปล่อยมือ
“ใช่...มันสำคัญมาก เพราะทายาทที่ถูกเลือกให้ดูแลหยกเลือดมังกรก็คือเจ้าของสมบัติ ทุกอย่างของตระกูล”
“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหนล่ะ ฉันไม่เห็นคุณพกติดตัวมาตั้งหลายปีแล้ว”
เจ้าสัวเล้งนิ่งไปครู่
“ฉันเก็บไว้ในเซฟที่ธนาคาร”
เจ้าสัวเล้งตอบแค่นั้นแล้วเดินออกไป ดวงแขมองตามอย่างสงสัย
หยกสงสัยพ่อเป็นอย่างมาก
“ทำไมพ่อถึงไม่อยากให้ผมใช้มันตามหาพ่อที่แท้จริงของผม”
“เพราะฉันคิดว่าพ่อแกไม่ไช่คนดีน่ะสิ”
“หมายความว่ายังไง พ่อรู้จักพ่อของผมเหรอ”
“ฉันไม่รู้หรอกว่ามันเป็นใคร เพราะแม่แกไม่ยอมพูดถึงมันให้ฉันฟัง แต่ทุกครั้งที่ฉันถาม ถึง คำตอบที่ได้กลับมาก็คือ ทุกคนที่รู้จักมันสุดท้ายก็มีแต่ต้องตาย”
หยกกับกิ่งเหมยได้ฟังแล้วยิ่งสงสัยกันทั้งคู่
“แม่แกเป็นคนดีมากนะไอ้หยก แต่วันที่ฉันเจอเธอ เธอถูกยิงมา เธอขอให้ฉันช่วยชีวิตลูก ในท้อง ขอให้ฉันช่วยปกป้องแก อย่าให้แกได้มีโอกาสเจอหน้าพ่อแกอีก”
กิ่งเหมยหันมาหาหยก
“หยก...ที่น้าเขาพูดมาก็มีเหตุผลนะ เขาเป็นห่วงเธอ”
“ฉันเข้าใจว่าพ่อห่วง แต่การที่พ่อปิดบังความจริงกับฉัน พ่อทำไม่ถูก”
“หยก!”
หยกปัดมือกิ่งเหมยที่พยายามรั้งแล้วเข้าไปประจันหน้ากับคมทวน
“ต่อให้เลือดในตัวผมครึ่งนึงมันจะมาจากเลือดคนชั่ว แต่เขาก็เป็นพ่อผม เพราะฉะนั้นผม ควรจะมีสิทธิ์รู้ว่าเขาเป็นใคร”
คมทวน โมโหกระชากคอเสื้อมาจ้องหน้า
“เพราะไอ้เลือดเลวๆของพ่อแกมันทำให้แกเลือกเป็น อันธพาล แค่นี้แกยังทำให้แม่แกเสียใจไม่พออีกเหรอ”
“ผมจะเป็นอะไรมันก็เป็นทางที่ผมเลือก…ผมขอหยกของผมคืน”
“แก!”
กิ่งเหมยรีบห้าม
“พอเถอะหยก...อย่าทำอย่างนี้เลยฉันขอร้องล่ะ”
หยกไม่สนใจ
“เธอไม่เกี่ยวหลบไป”
หยกผลักกิ่งเหมยจนเซล้ม คมทวนเห็นลูกชายทำอย่างนั้นก็ไม่พอใจจับคอเสื้อเหวี่ยงกระเด็น
“แกจะไม่มีวันได้เจอหน้าพ่อที่แท้จริงของแกอีก”
“ผมบอกให้พ่อเอาของๆผมคืนมา”
“แกอยากได้คืนนักใช่มั้ย...ได้...ฉันโยนทิ้งน้ำไปแล้ว แกไปงมคืนเอาเองแล้วกัน”
“พ่อ!”
คมทวนไม่สนใจหยกอีกเข้าไปช่วยพยุงกิ่งเหมยให้ลุกขึ้น
“น้า…น้าทิ้งไปแล้วจริงๆเหรอ”
คมทวนพยักหน้ารับ
“กลับกันเถอะ”
คมทวนช่วยพากิ่งเหมยเดินออกไป หยกเดินไปที่ริมน้ำมองไปที่แม่น้ำเบื้องหน้าอย่างเจ็บปวด
ดวงแขมาพบกับโหงวที่โรงสี
“โกหก...คนอย่างไอ้เล้งไม่มีทางเอาของสำคัญอย่างนั้นไปฝากไว้ที่เซฟธนาคารแน่”
“ถ้าอย่างนั้นหยกเลือดมังกรที่แกเห็นมันก็คือของจริง แล้วมันจะไปอยู่ที่ไอ้กุ๊ยกระจอก นั่นได้ยังไง...หรือว่าเล้งจะถูกมันขโมยไป”
“นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ฝีมือไอ้เล้งมันเอาเรื่องอยู่ ไม่มีใครมาเอาของๆมันไปได้นอกซะ จากมันจะเป็นคนให้เองกับมือ”
“เล้งจะให้ของสำคัญอย่างนั้นกับไอ้กุ๊ยนั่นทำไม มันของที่ต้องสืบทอดให้สายเลือดมังกร วารีอย่างเดียวไม่ใช่เหรอ”
“ฉันมาคิดดูแล้ว ตอนที่วางแผนฆ่าไอ้เล้งเมื่อ 20 ปีก่อน ไอ้เล้งหายตัวไปกับผู้หญิงคน หนึ่ง...เทียบดูกับอายุไอ้เด็กหนุ่มนั่นแล้วก็ใกล้เคียง”
ดวงแขตกใจ
“ไม่จริง...เป็นไปไม่ได้ สายเลือดของเล้งต้องเป็นมานพคนเดียวเท่านั้น”
“ใจเย็นๆน่า...ฉันยังไม่ได้บอกว่าไอ้หนุ่มนั่นมันเป็นลูกไอ้เล้งสักหน่อย มันก็แค่ปริศนาที่ รอให้ฉันไขต่อไปก็แค่นั้น”
โหงวครุ่นคิดสงสัย
คมทวนเข้ามาในห้องนอน จัดการปิดประตูใส่กลอนอย่างแน่นหนาก่อนจะเดินไปหยิบกล่องไม้ที่ซุกไว้ ใต้เตียงออกมาเปิดดูพบว่าในกล่องนั้นคือสร้อยคอหยกเลือดมังกรที่เขาเอามาจากลูกชาย
“ฉันจะไม่ยอมให้แกได้เจอหน้าพ่อแกเด็ดขาด...ไอ้หยก”
กิ่งเหมยกลับเข้ามาในบ้าน นั่งที่เก้าอี้เหม่อลอยคิดถึงเรื่องหยกกับคมทวน จนไม่ได้ยินเสียงเรียกของอาม่า
“อาเหมย...อาเหมย”
กิ่งเหมยสะดุ้ง
“อะไรเหรอจ๊ะอาม่า”
“ลื้อเป็นอะไร นั่งเหม่อจนไม่ได้ยินเสียงอั้ว”
“เอ่อ...ปละ...เปล่าจ้ะ”
“แล้วนี่ลื้อหายไปไหนมา อั้วหาลื้อซะทั่วเลย”
“ฉัน...ฉันไปช่วยดูแลน้าคมทวนมาจ้ะ พอดีแกไม่ค่อยดี”
“อ๋อ...อั้วก็ได้ยินมาว่าอีโดนพวกนักเลงเล่นงานเพราะเรื่องกู้เงินนอกระบบ เฮ้อ...เมื่อ ไหร่ไอ้พวกมิจฉาชีพพวกนี้มันจะถูกกวาดล้างให้หมดๆไปซะที อยู่ไปก็รกโลก จำไว้นะ อาเหมย ลื้อต้องอยู่ให้ห่างไอ้พวกนี้”
“ค่ะอาม่า”
อาม่าลูบหัวหลานสาวอย่างเอ็นดู
“อาม่าต้มยาจีนเอาไว้ เดี๋ยวอาม่าไปดูก่อน”
อาม่าเดินเข้าครัวไป ระหว่างนั้นกิ่งเหมยได้ยินเสียงรถเข้ามาจอดหน้าบ้าน
กิ่งเหมยเดินออกมาเห็นส้มเช้งเดินลงมาจากรถเก๋งหรูคันหนึ่งพร้อมกับดุจแพร
“ที่นี่แหละค่ะบ้านของกิ่งเหมย”
ส้มเช้งแนะนำบ้านให้ดุจแพรรู้จักแล้วเห็นกิ่งเหมยเดินออกมา กิ่งเหมยแปลกใจ
“คุณดุจแพร”
“กิ่งเหมย...ในที่สุดฉันก็หาเธอเจอจนได้”
กิ่งเหมยงงๆ
“หาฉันเจอ”
ส้มเช้งสะกิดเพื่อน
“ฉันเจอผู้หญิงคนนี้มาถามหาแกอยู่แถวๆศาลเจ้า บอกว่าเป็นเจ้านายแก มีเรื่องอยากจะคุย ฉันก็เลยพามา”
“คุณมีเรื่องอะไรอยากจะคุยกับฉันเหรอคะ”
“เรื่องงานน่ะ ไปคุยที่ออฟฟิตฉันได้มั้ย”
กิ่งเหมยมองดุจแพรที่ยิ้มให้อย่างมีไมตรี
ส้มเช้งเดินเข้ามาในบ้านแล้วนั่งกอดอกครุ่นคิด พยายามนึกอะไรบางอย่าง
“อืมมม์...หน้าแบบนี้เคยเจอที่ไหนน"
อาม่าเข้ามา
“อ้าว...อาเหมยล่ะส้มเช้ง”
“อ๋อ...เจ้านายมันมารับไอ้เหมยไปคุยเรื่องงานเมื่อกี้นี้เองจ้ะอาม่า”
อาม่าแปลกใจ
“เจ้านายอาเหมย”
“จ้ะ ยังสาว ยังสวย แล้วก็ดูใจดีมากด้วย”
อาม่ายิ้มสบายใจ
“ถ้าอาเหมยได้เจอคนดีๆ พาไปอยู่ที่ดีๆ อั้วก็สบายใจ”
ส้มเช้งเด้งพรวดขึ้นมาเพราะนึกออก
“ฉันนึกออกแล้ว”
อาม่าตกใจ
“อะไรของลื้อ อั้วตกอกตกใจหมด”
ส้มเช้งยิ้มแหยๆ
“โทษทีจ้ะอาม่า ฉันเพิ่งนึกออกว่าเคยเจอเจ้านายไอ้กิ่งเหมยที่ไหนมาก่อนจ้ะ”
“ลื้อเคยเจอเหรอ เจอที่ไหน”
“ก็ที่ศาลเจ้าไง อาม่าก็เคยเห็นเขา ผู้หญิงสวยๆที่มาทำบุญไหว้เจ้ากับพ่อที่ท่าทางเหมือน พวกเจ้าพ่อ มีลูกน้องเดินตามไง”
อาม่าคิ้วขมวดสงสัยแล้วนึกตามที่ส้มเช้งบอกก่อนจะนึกขึ้นได้ ว่าเมื่อหลายวันก่อน อาม่าพบกับหญิงสาวคนหนึ่งในศาลเจ้า
“หนูเพิ่งเปิดกิจการใหม่ อยากขอพรให้กิจการประสบความสำเร็จ”
“งั้นลื้อก็ต้องกราบไหว้ขอพรจากเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ท่านจะ ช่วยดลบันดาลให้ลื้อประสบความสำเร็จ เดี๋ยวอั้วไปเอาธูปมาให้นะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
ดุจแพรยิ้มให้ อาม่าเดินไปเอาธูป ระหว่างนั้นตงตามเข้ามา
“ป๋าคะ ที่นี่สวยจังเลย คนดูแลศาลเจ้าก็ใจดี เขาช่วยแนะนำดุจให้ไหว้เทพเจ้าด้วย”
“ป๋าก็เพิ่งเคยมาที่นี่ เพื่อนป๋าแนะนำให้มา หลายคนที่มาไหว้ขอพรเทพเจ้าจากที่นี่ กลับ ไปแล้วเจอแต่เรื่องเฮงๆ กิจการรุ่งเรือง รวยแล้วรวยอีก”
อาม่าที่กำลังเอาธูปมาให้ดุจแพร เห็นตงเข้าก็ตกใจจนหน้าซีด มือสั่น
“รวยแล้วรวยอีกดุจคงไม่ขอหรอกค่ะป๋า มีเงินมากก็ทุกข์มาก แค่พออยู่พอกินก็พอแล้ว”ดุจแพรบอก
“ตามใจนะ...เอ้อ...แล้วคนดูแลศาลเจ้าที่ดุจว่าล่ะ อยู่ไหน”ตงมองหา แต่ไม่เจอใคร
อาม่าถึงกับผงะรีบถามย้ำกับส้มเช้ง
“ลื้ออย่าบอกนะว่า...เป็นผู้หญิงที่อั้วให้ลื้อไปรับหน้าแทน
“ใช่เลยจ้ะอาม่า คนนั้นแหละ”
อาม่าตกใจหน้าซีดแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ส้มเช้งตกใจ
“อาม่า...อาม่าเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ”
กิ่งเหมยอยู่กับดุจแพรในห้องทำงานตามลำพัง เธอมองหน้าดุจแพรอย่างแปลกใจเมื่อดุจแพรกล่าวคำขอโทษเธอ
“ขอโทษฉัน”
“ใช่จ้ะ เรื่องที่เธอเห็นฉันกับนายหยกด้วยกัน...ตอนนั้นเรา...เอ่อ...”
“เรื่องวันนั้นคุณไม่จำเป็นต้องขอโทษฉันหรอกค่ะ”
“ไม่ได้นะ มันไม่ใช่อย่างที่เธอเห็นจริงๆ มันเป็นอุบัติเหตุ วันนั้นนายหยกช่วยชีวิตฉันไว้ แล้วก็พาฉันไปหลบซ่อนตัวที่นั่น เขาเป็นลูกน้องที่พ่อส่งมาให้ดูแลฉัน นอกจากนั้นฉัน ไม่เคยคิดอะไรกับเขาเลยจริงๆ”
กิ่งเหมยอึ้ง
“หยกช่วยชีวิตคุณ”
“ใช่จ้ะ...ฉันก็เลยกลัวว่าเธอกับเขาจะ...”
“คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ ระหว่างฉันกับหยกเราเป็นแค่คนรู้จักกันธรรมดาเท่านั้น”
“เธอกับหยกไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอ”
กิ่งเหมยนิ่งไปครู่
“ค่ะ...ก็แค่คนละแวกบ้านที่รู้จักกัน ถ้าคุณดุจแพรตามฉันมาเพื่อคุยเรื่องนี้ คุณก็คงสบายใจแล้ว ฉันขอตัวนะคะ”
กิ่งเหมยรีบลุกแล้วเดินออกไป ดุจแพรรีบตาม
กิ่งเหมยรีบเดินออกมา ระหว่างนั้นไม่ทันระวังเลยชนกับตงที่เดินเข้ามาพอดี ตงไม่พอใจ
“จะรีบไปไหน ก้มหน้าก้มตา มองไม่เห็นฉันเหรอไง”
“เอ่อ...ขอโทษด้วยค่ะ”
ดุจแพรตามเข้ามาพอดี
“ป๋า...ดุจขอโทษแทนเพื่อนด้วยค่ะ”
ตงชะงัก
“เพื่อนเหรอ”
“ค่ะ นี่กิ่งเหมย ดุจเพิ่งชวนเขาให้มาทำงานด้วยกัน”
ดุจแพรรีบจับมือกิ่งเหมยแล้วแนะนำให้รู้จักกับพ่อตัวเอง
“นี่พ่อฉันเองนะกิ่งเหมย”
กิ่งเหมยมองดุจแพรอย่างแปลกใจ ที่มาอ้างว่าเธอเป็นเพื่อน
ดุจแพรออกมาส่งกิ่งเหมยที่หน้าออฟฟิต
“จะดีเหรอคะ เราเพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียว แต่กลับไปบอกพ่อคุณว่าเราเป็นเพื่อนกัน”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ก็ในเมื่อฉันรู้สึกถูกชะตากับเธอจริงๆนี่”
“คุณดุจแพร”
ดุจแพรยิ้มให้แล้วเข้าไปจับมือ
“จริงๆนะ ฉันรู้สึกเหมือนว่าเราเคยเจอกันมาก่อนด้วยซ้ำ ฉันน่ะ ถูกส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เล็กๆ ก็เลยไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ ถึงเราจะเจอกันแค่ครั้ง เดียว แต่ก็คบหากันเป็นเพื่อนได้ไม่ใช่เหรอ”
“แต่ฉันต่างจากคุณนะคะ”
“เรื่องยากดีมีจนฉันไม่สนใจหรอกมันก็แค่เปลือก ความเป็นมนุษย์ต่างหากที่เรามีเท่ากัน”
กิ่งเหมยเห็นท่าทางของดุจแพรดูตั้งใจ อยากคบกับเธอและไม่มีพิษมีภัยอะไรก็ยิ้มตาม
“ฉันยังไม่เคยมีเพื่อนที่พูดเองเออเองแบบนี้มาก่อน ลองคบดูก็คงไม่เป็นอะไรมั้ง”
กิ่งเหมยกับดุจแพรมองหน้าแล้วขำกันเอง ระหว่างนั้นคนขับรถของบริษัทเอารถเข้ามาจอด
“ฉันให้คนขับรถไปส่งเธอที่บ้าน เรื่องงานที่ฉันพูดไป ฉันจริงจังนะ เธอลองเก็บเอาไปคิดดู แล้วกัน”
กิ่งเหมยพยักหน้ารับแล้วเข้าไปนั่งในรถ ดุจแพรโบกมือให้ส่งจนกิ่งเหมยออกไป
ดุจแพรเดินกลับเข้ามาในออฟฟิต ตงพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยชอบใจ
“ป๋าเพิ่งรู้ว่าลูกคบเพื่อนแบบนี้ด้วย”
ดุจแพรชะงัก
“ป๋าอย่าดูถูกคนจากภายนอกสิคะ”
“ปกติป๋าก็ไม่ตัดสินคนแบบนี้หรอก แต่อย่าลืมสิว่าตอนนี้สถานการณ์ของเรามันไม่น่าไว้ วางใจ ป๋าไม่อยากให้เกิดเรื่องอันตรายกับดุจอีก”
“งั้นป๋าก็ควรแจ้งตำรวจซะที ให้เขาช่วยหาตัวพวกที่คิดเล่นงานป๋า”
“ป๋าบอกแล้วไงว่าเราพึ่งกฎหมายไม่ได้ มันเป็นพวกมีอิทธิพล”
“ถ้ากฎหมายพึ่งไม่ได้ แล้วใครจะช่วยเราได้คะ” ดุจแพรมองไปที่เก่ง “หรือว่าป๋าคิดจะตอบโต้เอง ถ้าอย่างนั้นที่เขาพูดๆมาก็คงไม่ใช่เรื่องนินทา ที่หาว่าป๋าก็เป็นมาเฟียเหมือนกัน”
ดุจแพรต่อว่าแล้วเดินเข้าห้องทำงาน ตงมองตามลูกสาวแล้วหงุดหงิด
ดุจแพรเข้ามานั่งในห้องอย่างครุ่นคิดหลังจากที่ระบายความรู้สึกกับพ่อไป ความคิดสงสัยเรื่องพ่อทำให้เธอหยิบโทรศัพท์มาโทรหาหยก ครู่หนึ่งเขารับสาย เธอจึงบอกให้รู้ว่าต้องการอะไร
“คืนนี้เหรอครับคุณหนู”
หยกนิ่งไปครู่ก่อนจะหันไปมองที่ผู้การสมิงซึ่งอยู่กับเขาด้วย ผู้การสมิงพยักหน้า
“ได้ครับ...เสี่ยสั่งให้ผมดูแลคุณหนูอยู่แล้ว คืนนี้ผมจะไปขับรถให้”
หยกวางสายไป ผู้การสมิงเดินเข้ามาตบบ่า
“ตั้งแต่เธอช่วยชีวิตลูกสาวไอ้ตงไว้ได้ ฉันมั่นใจว่าตอนนี้มันไว้ใจเธอร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว”
“แต่ลูกสาวเขาไม่เกี่ยวข้องด้วย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อตัวเองเป็นพวกมาเฟีย ผมไม่อยากเอา เธอมาเกี่ยวข้องด้วย”
“ถ้าความจริงมันไม่อยู่ในที่อันตราย ฉันก็ไม่อยากทำแบบนี้เหมือนกัน แต่ฉันเสียมือดีๆ กับงานนี้มากเกินไปแล้ว ถ้าไม่ถอนรากถอนโคนพวกมันให้หมด พวกมันจะยิ่งใหญ่ขึ้น เรื่อยๆ จนไม่มีใครหยุดมันได้อีก”
หยกฟังแล้วเดินไปยืนที่ริมดาดฟ้าหน้าเครียดๆ
“งานนี้มันยากแล้วก็อันตรายทั้งกับตัวเธอเองและคนรอบข้าง เธอต้องอดทน ห้ามให้ใคร รู้เรื่องเธอเด็ดขาด”
“ครับผู้การ...ตอนนี้มันกำลังมีเรื่องกับพวกแก๊งค์พิราบดำ หนึ่งในหัวหน้าของพวก 4 เจ้า เวหา ผมจะหาทางเอาข้อมูลของพวกมันส่งให้ ถ้าโชคเข้าข้าง เราอาจจะได้กวาดล้าง มิจฉาชีพแก๊งค์ใหญ่ไปด้วย”
ผู้การสมิงพยักหน้ารับ ระหว่างนั้นโทรศัพท์ส่วนตัวก็ดังขึ้น ผู้การสมิงหยิบมามองเบอร์อย่างสงสัย
ธงรบยื่นซองเอกสารที่เตรียมมาให้ผู้การสมิงดู
“ที่แกโทรตามฉันมา เพื่อให้มาดูไอ้นี่น่ะเหรอ”
“ครับ เป็นสิ่งที่ผมอยากให้อาได้เห็นจริงๆ”
ผู้การสมิงนิ่งไปครู่แล้วหยิบเอกสารในซองออกมา พบว่าข้างในเป็นรายงานสรุปคดี มีภาพศพของเสี่ยกวงที่ถูกยิงตาย ที่เลาจ์ กับภาพศพลูกชายของเจ้าสัวเกาหัวหน้าแกงค์พิราบดำ
“รูปพวกนี้...”
ธงรบอธิบาย
“มาเฟียที่ถูกเพิ่งถูกยิงตายติดๆกันไม่กี่อาทิตย์มานี่ครับ ผมว่าอาน่าจะพอรู้จักพวกมัน”
“ทำไมแกถึงคิดว่าฉันจะต้องรู้จักพวกนี้ด้วย”
“เพราะมันเกี่ยวข้องกับคดีพิเศษที่อากำลังตามกวาดล้างอยู่”
ผู้การสมิงมองหลานชายแล้วส่งเอกสารคืน
“ฉันว่าแกเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ”
ผู้การสมิงปฏิเสธแล้วเดินออกไป แต่ธงรบไม่หยุด
“อาไม่จำเป็นต้องปิดผมหรอกครับ ผมพยายามรวบรวมข้อมูลทุกอย่างเพื่อให้อาเห็นว่า ผมมีเป้าหมายเดียวกับอา ผมอยากถอนรากถอนโคนไอ้พวกมิจฉาชีพพวกนี้”
ผู้การสมิงนิ่งไปครู่แล้วไม่ตอบอะไร เดินออกไปเลย ธงรบหงุดหงิด
“โธ่เว้ย!”
หยกเลือดมังกร ตอนที่ 6 (ต่อ)
ผู้การสมิงเข้ามานั่งในรถแต่ยังไม่ทันสตาร์ทรถออก
ธงรบก็วิ่งเข้ามาที่ข้างกระจกแล้วเอารูปถ่ายของหยกมาแปะที่ กระจกให้ดู ผู้การสมิงเห็นเข้าก็ชะงักแล้วเปิดประตูลงมาคุย
“แกเอารูปใครมาให้ฉันดูอีก”
“มันชื่อไอ้หยก เป็นลูกน้องของเสี่ยตง พวกมาเฟียที่กำลังจะเปิดศึกกับแกงค์ 4 เจ้าเวหา อยู่ตอนนี้ ผมรู้จักมันและสามารถเข้าถึงตัวมันได้ ถ้าอาอนุญาตให้ผมเข้าร่วมหน่วยงาน เดียวกับอา ผมจะใช้มันเป็นสะพานตามไปเล่นงานพวกมันให้ยกแกงค์เลย”
ผู้การสมิงนิ่งไปแล้วตบบ่าบ่าหลานชาย
“อาภูมิใจที่แกเป็นตำรวจไฟแรงตั้งใจทำงานเหมือนอย่างพ่อของแก แต่นี่ไม่ใช่คดีที่อา รับผิดชอบ และไม่ใช่คดีที่แกรับผิดชอบอยู่ด้วย ตั้งใจทำงานของตัวเองไปดีกว่า อย่าหา เรื่องเดือดร้อนใส่ตัว”
ผู้การสมิงเปิดประตูจะกลับเข้าไปในรถ แต่ถูกธงรบดันประตูเอาไว้และขึ้นเสียง
“ทำไมอาต้องปฏิเสธผมตลอดเวลาด้วย ทั้งๆที่เรารู้ๆกันอยู่ หรือเพราะว่าผมไม่มีฝีมือ อาถึงไม่เชื่อใจผม”
ผู้การสมิงยังนิ่งแต่จับมือธงรบให้ออกจากประตูรถ
“ตอนพ่อแม่แกตาย ฉันรับปากว่าจะดูแลแก ฉันถึงได้เตือน เพราะฉะนั้นอย่าห้าวให้มันมากนัก”
ผู้การสมิงพูดไปก็บีบมือหลานชายแน่นจนธงรบรู้สึกได้ ผู้การสมิงเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งในรถขับออกไป ทิ้งให้ธงรบยืนจับ มือตัวเองอย่างเจ็บใจ
“ผมจะพิสูจน์ให้อาเห็นเอง!”
ค่ำนั้น รถที่ดุจแพรให้มาส่งกิ่งเหมยจอดกลางตรอกศาลเจ้า คนขับหันมาถาม
“จะลงตรงนี้จริงๆเหรอครับ”
“ค่ะ ฉันจะแวะซื้อของก่อนเข้าบ้าน”
“ได้ครับ”
กิ่งเหมยเปิดประตูลงจากรถยืนมองรถแล่นออกไปและจะเดินไปตามทางในตรอก แต่อยู่ๆก็เกิดบางอย่างผิดปกติ ขึ้นกับสายตา ภาพข้างๆสายตาค่อยๆมืดลงทีละนิดๆ กิ่งเหมยนั้นไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคอาร์พี ที่จะเริ่มมีอาการจากการมีปัญหาในการมองเห็นเวลากลางคืนก่อน มักเริ่มจากเห็นเพียงโฟกัสตรง กลาง รอบๆข้างๆจะตีวงมืดแคบเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ...กิ่งเหมยเดินสะดุดฝาท่อระบายน้ำทำให้ล้มลงเข่ากระแทกพื้นจนเจ็บ ชาวบ้านคนหนึ่งเห็นก็เข้ามาดู
“เป็นอะไรรึเปล่าจ้ะหนู”
“เอ่อ...ไม่...ไม่เป็นอะไรค่ะ”
กิ่งเหมยตอบกลับไปแต่ทำเอาชาวบ้านงงเพราะ กิ่งเหมยตอบโดยหันไปทางอื่นไม่ได้หันมาทางเธอ
“แม่หนูจ้ะ...ฉันอยู่ทางนี้”
กิ่งเหมยหันไปตามเสียงภาพที่เห็นแค่เลือนลางเกือบจะมืดมิด ชาวบ้านสงสัยเลยลองโบกมือผ่านหน้าไปมา
“หนูตาบอดเหรอจ๊ะ”
กิ่งเหมย ผงะรีบปฏิเสธ
“เปล่าค่ะ...หนูไม่ได้ตาบอด”
กิ่งเหมยรีบเดินหนีออกไปทันที ชาวบ้านมองตามงงๆ
หยกช่วยซ่อมมอเตอร์ไซค์ของลูกค้าที่เอามาทิ้งไว้ในร้านให้จนเสร็จ ทดสอบเครื่องแล้วดับเครื่อง อ่างชื่นชม
“ฝะ...ฝะ...ฝีมือเอ็ง...เยี่ยม...เยี่ยมไปเลย ถ้า...ถ้าไม่...ไม่ได้เอ็ง...มา...มาช่วย วันนี้...ไม่ ...ไม่รู้จะ...เสร็จ...เสร็จรึเปล่า”
“แค่นี้เองน้า ขอกันมากกว่านี้ก็ได้”
สลึงถอนใจ
“พวกข้ารู้เรื่องที่พี่คมทวนทำกับเอ็งแล้ว”
หยกนิ่งไปหน้าเครียดๆจนเห็นได้ชัด สลึงตบบ่าหลานชาย
“ยังไงก็พ่อลูกกัน ถึงไม่ใช่พ่อแม้ๆ แต่เขาก็รักเอ็งมากนะ”
หยกไม่อยากพูดถึงเปลี่ยนเรื่องหันไปมองเวลา
“ฉันต้องไปแล้วล่ะน้า นัดลูกเจ้านายไว้”
“สะ...สะ...สาวสวย...คน...คนนั้น...เหรอ นัดกัน...ค่ำ...ค่ำ...มืด...มืดแบบ...แบบนี้”
อ่างยิ้มกระลิ้มกระเหลี่ยทำมือป๊าบๆส่อไปทางนั้น
“จะบ้าเหรอน้า...ยัยนั่นน่ะเหรอ ดีก็แค่สวยอย่างเดียวแหละ ฉันไปล่ะ”
หยกรีบเดินออกไป สลึงมองตามแล้วมาสะดุ้งโหยงเมื่อเจออ่างแกล้งมาเกาะแขนแล้วทำนัวเนียเคลิ้ม
“เฮ้ย...อย่าเล่นแบบนี้...มันเสียวเว้ย”
กิ่งเหมยเดินคลำทางด้วยการสัมผัสผนังข้างทางช่วย ใจเต้นไม่เป็นส่ำตกใจและวิตกกังวลว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง หญิงสาวจะเดินไปต่อแต่สะดุดจะล้มอีก ระหว่างนั้นหยกเข้ามาช่วยประครองเอาไว้พอดี
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะกิ่งเหมย”
“หยก!”
กิ่งเหมยมองหน้าหยกแล้วน้ำตาคลอเบ้าทำเอาหยกสงสัย
“เธอเป็นอะไร...ร้องไห้ทำไม”
“ฉัน...ฉัน...เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก ฝุ่นมันเข้าตาฉันน่ะ”
“ไหน...ขอฉันดูหน่อย”
หยกเชยคางกิ่งเหมยจะช่วยดูตาให้แต่เธอปัดมือ
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันกลับบ้านไปดูเอง”
กิ่งเหมยจะเดินไปต่อแต่เกือบจะสะดุดล้มอีก หยกรีบคว้าตัวเองไว้
“ขืนปล่อยเธอไปทั้งๆแบบนี้ มีหวังเธอได้เดินตกท่อ ไปไม่ถึงบ้านแน่...มานี่ ไปกับฉัน”
หยกจับข้อมือกิ่งเหมยแล้วจูงพาไปด้วยกัน
ดุจแพรมายืนรอหยกอยู่หน้าทางเข้าผับ มีพวกนักเที่ยวเดินเข้าออกกันขวักไขว่ หญิงสาวดูเวลา
“ได้เวลาแล้วนี่...ทำไมยังไม่มาอีก”
ดุจแพรชะเง้อมองหาหยก แต่ถูกพวกนักเที่ยวหนุ่มๆมองเธอด้วยสายตากระลิ้มกระเหลี่ย เธอจึงเชิดใส่แล้วเลี่ยง ไปยืนรอห่างๆ
“ฉันให้นายอีกแค่สิบนาทีเท่านั้นนะนายหยก”
หยกพากิ่งเหมยมาที่ห้องพักของเขา กิ่งเหมยนั่งขยี้ตารออยู่ที่เตียง
“เธอพาฉันขึ้นมาที่นี่ทำไมน่ะหยก”
หยกเดินเข้ามาพร้อมกับเอายาหยอดตามาด้วย
“นั่งเฉยๆ เดี๋ยวจัดการให้”
หยกเชยคางกิ่งเหมยขึ้นจะช่วยเอายาหยอดตาหยอดใส่ตาให้ แต่กิ่งเหมยปัดมือ
“ทำอะไรน่ะ มายุ่งอะไรกับหน้าฉัน”
“เธอนี่...เลิกโวยวายซะทีได้มั้ย ฉันเห็นเธอเอาแต่ขยี้ตา ฉันก็เลยจะเอายาหยอดตามา ช่วยหยอดให้ เธอจะได้หายไง”
กิ่งเหมยชะงัก
“ยาหยอดตาเหรอ...แล้วเธอมียาหยอดตาอยู่ในบ้านได้ยังไง”
“ฉันขี่มอเตอร์ไซค์นะ ลูกตาเจอลมเจอฝุ่นบ่อยกว่ายืนขายปาท่องโก๋เยอะกว่าเธออีก”
กิ่งเหมยนิ่งไปแล้วแบมือ
“งั้นฉันหยอดเองดีกว่า”
หยกตีมือเพี๊ยะ
“โอ๊ย! ไอ้บ้าหยก”
“อยู่เฉยๆ ไม่งั้นจะปล่อยให้กลับไปเดินตกท่ออีก...จะเอาไง”
กิ่งเหมยนิ่งไป หยกเลยจับเธอมาเชยคางแล้วช่วยหยอดตาให้อย่างนุ่มนวล ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กัน กิ่งเหมยหลับตาหลังจากหยกช่วยหยอดตาให้ทั้งสองข้างแล้ว
“อย่าเพิ่งลืมตานะ หลับตาไว้สักพักก่อน”
กิ่งเหมยนั่งหลับตานิ่งๆ หยกนั่งมองใบหน้าเธอ ใบหน้านี้ช่างสวยงามและน่าทะนุถนอมสำหรับเขาเหลือเกิน ชายหนุ่มใช้มือสัมผัสใบหน้าหญิงสาวห่างๆแค่ไม่ถึงนิ้วเพราะไม่ต้องการให้เธอรู้ตัว ก่อนจะช่วยปัดไรผมที่ปรกหน้า เป็นจังหวะที่กิ่งเหมยลืมตาขึ้นมาพอดี ทั้งคู่สบตากันใจเต้นตึกตัก
ดุจแพรยืนรอหยกที่หน้าผับ มองเวลาจนหมดความอดทน
“นายหยก นายนี่พึ่งอะไรไม่ได้เลยจริงๆ”
ดุจแพรบ่นกอดอกหน้างอปั้นปึ่ง ระหว่างนั้นที่หน้าผับ ตงพร้อมกับเก่งและลูกน้องอีก 3-4 คนพากันเข้ามา ดุจแพรรีบไปหลบหลังกระถางต้นไม้แอบมองพ่อที่เข้าไปข้างในพร้อมกับลูกน้องอย่างมีพิรุธน่าสงสัย แล้วตัดสิน ใจเดินตามเข้าไป
หยกกับกิ่งเหมยสบตากันใจเต้นเพราะหน้าเกือบจะชนกัน ระหว่างนั้นเสียงเรียกเข้าเตือนว่ามี SMS จากดุจแพร เข้ามาที่มือถือเครื่องใหม่ของเขา หยกรีบผละไปหยิบมาดู
“ฉันต้องไปแล้ว แต่เดี๋ยวฉันจะไปส่งเธอที่บ้านก่อน”
“ไม่ต้องหรอกหยก ฉันกลับเองได้”
“แน่ใจเหรอ ฉันกลัวเธอจะเดินไปตกท่อ”
“ฉันดีขึ้นแล้วจริงๆ” หญิงสาวประชด “พรรคพวกของเธอคงกำลังรออยู่ แล้วถ้าเธอคิดจะไปทำให้ ใครเขาเดือดร้อนล่ะก็ คิดถึงตอนที่พวกเราที่นี่โดนรังแกบ้างก็แล้วกัน”
“ฉันไม่ได้ไปหาไอ้พวกนั้นหรอก ลูกเจ้านายตามฉันต่างหาก”
“คุณดุจแพรน่ะเหรอ”
หยกนิ่งไม่ตอบอะไรหันไปคว้าเสื้อแจ็คเก็ตกับหมวกกันน็อคแล้วเดินไปหยุดที่ประตูหันหลังให้
“เดี๋ยวนี้ตกกลางคืนทีไร สายตาเธอมองไม่ชัดทุกที ไว้พรุ่งนี้ฉันจะมาพาเธอไปหาหมอ”
“ไม่ต้องหรอก...ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
หยกไม่ตอบเดินออกไปเลย กิ่งเหมยมองตามแล้วนิ่งไปสงสัยเหมือนที่หยกสงสัยเกี่ยวกับอาการทาง สายตาของตน
ในผับ...ดุจแพรยืนอยู่ท่ามกลางแสงสีและเสียงเพลงอึกทึก เธอกวาดสายตามองหาพ่อตัวเองกับพวกลูกน้อง อยู่ครู่ก่อนจะเห็นทั้งหมดถูกชายกลุ่มหนึ่งเข้ามาประกบ เก่งกับลูกน้องออกอาการไม่พอใจ แต่ตงโบกมือ ห้ามไม่ให้มีเรื่องกันแล้วตามชายกลุ่มนั้นเข้าไปด้านใน ดุจแพรยิ่งสงสัยเลยจะตามเข้าไปแต่ต้องชะงักเพราะเจอพวกหนุ่มๆนักเที่ยวหน้าเดิมที่เคยเล็งเธอเข้ามาประกบ
“ถ้าคิดจะจับป๋าแก่ๆแบบนั้น หนุ่มๆอย่างพวกเราเร้าใจกว่าเยอะนะจ๊ะ”
ดุจแพรเสียงแข็งใส่
“หลบไป ฉันไม่ใช่อย่างที่พวกแกเข้าใจนะ”
“ไม่เอาน่า...เป็นเด็กป๋าเสี่ยงโดนเมียพวกมันไล่ตบ สู้สนุกกับรุ่นเดียวกันดีกว่า”
พูดไปมันก็จับมือเธอทันที ดุจแพรตกใจ
“ปล่อย...ปล่อยฉันนะ”
พวกมันไม่สนใจฉุดกระชากลากถูดุจแพรพาออกไปด้วยกัน...ดุจแพรโดนพวกมันลากดึงเข้ามาที่เปลี่ยวด้านหลังผับ เธอพยายามร้องโวยวาย
“ปล่อยนะ...ไอ้พวกบ้า...ปล่อยฉัน”
พวกมันผลักดุจแพรไปกระแทกผนังจนเจ็บ แล้วหัวเราะกันเองอย่างน่ากลัว
“ทำสะดีดสะดิ้งร้องโวยวาย...ทีกับไอ้แก่นั่นอยากจะเล่นกับมันจนตัวสั่น”
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงหากินนะ ฉันมาทำธุระ”
“ธุระ...ฮ่าๆๆๆ”
พวกมันมองหน้ากันแล้วหัวเราะชอบใจ ดุจแพรรีบวิ่งหนีแต่มันหันมาคว้ามือเอาไว้...
“พวกเราชอบกินของฟรี เดี๋ยวสนุกเสร็จแล้วจะปล่อยให้กลับไปทำงาน”
มันกระชากตัวดุจแพรเตรียมจะทำร้าย แต่ทันใดนั้นหยกเข้ามาพร้อมเอาขวดเบียร์ฟาดหัว...เพล้ง! พวกมันคนหนึ่งลงไปนอนหัวแตกเลือดอาบร้องครวญครางเจ็บปวด อีกคนหันมาเห็นก็ชักมีดพกออกมาจะเล่นงาน แต่เจอหยกสอนเชิงมวยกลับไปกระเด็นกระแทกลังเบียร์แตกกระจาย เหลือคนสุดท้ายที่จับตัวดุจแพร ไว้อึ้งหน้าเหวอ
“ชอบของฟรีนักใช่มั้ย...เข้ามาเลย จะช่วยสงเคราะห์ให้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มให้ฟรีๆ”
มันเห็นหยกเอาจริงจนน่ากลัวเลยรีบปล่อยดุจแพร พวกมันอีกสองคนประคองกันเองหนีตามกันไป หยกหันมามองดุจแพรมองหน้าอย่างสงสัย
หยกรีบตามดุจแพรเข้ามาในผับ
“คุณหนู...คุณหนู!”
หยกคว้าข้อมือเธอให้หยุดเดิน
“ปล่อยฉันนะนายหยก”
“คุณหนูนี่เก่งแต่หาเรื่องเดือดร้อน ถ้าผมมาไม่ทันช่วยล่ะก็ ป่านนี้โดนรุมโทรมไปแล้ว”
“ฉันคงไม่โดนไอ้พวกนั้นมันทำทุเรศใส่หรอก ถ้านายรู้จักมาให้ตรงเวลา”
“ผมก็มีธุระส่วนตัวต้องจัดการบ้างสิครับ ไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อที่จะให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง”
“แต่ป๋าให้นายมาคอยดูแลฉัน ถ้าต่อไปฉันเรียกนายแล้วมาช้าแบบนี้อีกล่ะก็...”
ดุจแพรชี้หน้าขู่แต่โดนหยกเอามือบีบนิ้วที่ชี้หน้าเขา
“ทำไมครับ…จะขู่อะไรผม”
“โอ๊ย...ฉันเจ็บนะ”
ดุจแพรรีบดึงมือออกมองหยกอย่างหงุดหงิด หยกได้ทียิ้มเยาะใส่
“ว่าแต่คุณหนูเถอะเรียกให้ผมมาที่นี่ทำไม มาคนเดียวแบบนี้คงไม่ได้คิดจะมาเที่ยวแน่”
หยกมองดุจแพรอย่างสงสัยและอยากรู้
กิ่งเหมยกลับเข้ามาในบ้าน พบอาม่านั่งรออยู่กับส้มเช้ง
“อาม่า...ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีกคะ”
“อาม่าเขารอคุยกับแกอยู่น่ะสิ”
กิ่งเหมยชะงัก
“คุยกับฉัน”
“ลื้อไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนอั้วแล้วอาส้มเช้ง กลับบ้านลื้อไปได้แล้ว”
“บ้านอยู่ใกล้ๆเดี๋ยวค่อยกลับก็ได้ค่ะอาม่า”
“ไป!”
อาม่าเสียงแข็งใส่ ส้มเช้งสะดุ้งเข้ามากระซิบกิ่งเหมย
“ฉันว่าแกเจอเรื่องใหญ่แน่ไอ้เหมย”
“เรื่องอะไร”
“ไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่าฉันยังไม่เคยเห็นอาม่าแกเครียดจริงจังขนาดนี้มาก่อน โชคดีนะแก ไว้พรุ่ง นี้จะมาตามข่าว”
ส้มเช้งตบบ่าเพื่อนแล้วรีบชิ่งออกไป กิ่งเหมยมองอาม่าอย่างแปลกใจ
“อาเหมย...ลื้อตามอั้วมานี่”
อาม่าเดินเข้าไปข้างในบ้าน กิ่งเหมยสงสัย...อาม่าพากิ่งเหมยเข้ามาที่กระถางธูปไว้ไหว้บรรพบุรุษ มีภาพถ่ายของสามีกับลูกสาวของอาม่าติดข้างฝา อาม่า ยืนมองภาพทั้งสองคนแล้วน้ำตาคลออย่างเจ็บปวด
“อาม่าคะ...มีอะไรเหรอคะ”
“อั้วสั่งลื้อ...ห้ามไปทำงานกับผู้หญิงคนนั้นเด็ดขาดนะอาเหมย”
กิ่งเหมย ชะงัก
“อาม่าหมายถึงคุณดุจแพรน่ะเหรอคะ”
“ใช่...ลูกสาวของไอ้เสี่ยตง ลื้อจะไปรู้จักพวกเขาไม่ได้เด็ดขาด”
กิ่งเหมยไม่เข้าใจ
“ทำไมคะอาม่า”
“ลื้อไม่ต้องถาม แค่ทำตามที่อั้วสั่งก็พอ ลื้อจะไปเจอหน้าพวกนั้นอีกไม่ได้ ต้องอยู่ให้ห่าง ไอ้เสี่ยตงเข้าไว้ เข้าใจมั้ย”
กิ่งเหมย ยิ่งสงสัย
“อาม่ารู้จักเขา...ใช่มั้ยคะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องถามอะไร ถ้าลื้อไม่ฟัง อั้วจะพาลื้อไปอยู่ที่อื่น”
“ทำไมต้องไปอยู่ที่อื่นด้วย อาม่ากลัวอะไรเขา บอกกิ่งเหมยมาสิคะ”
อาม่าไม่ยอมพูดอะไรเดินเลี่ยงไปหน้าเครียดๆ
“อาม่าปิดบังอะไรอยู่ บอกมาเถอะค่ะ ไม่อย่างนั้นคราวนี้เหมยจะไม่ฟังอาม่า”
อาม่าชะงัก
“อาเหมย!”
กิ่งเหมยมองอาม่าอย่างจริงจังจนอาม่าต้องตัดสินใจ
“ที่อาม่าต้องห้ามลื้อก็เพราะว่า...อาม่า...อาม่าเป็นสาเหตุทำให้เมียของไอ้เสี่ยตงต้องตาย”
กิ่งเหมยได้ยินเข้าก็ตกใจแทบช็อค อาม่าน้ำตานองหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น กิ่งเหมยสงสารเข้าไปกอด
“อาม่าคะ...”
“ฮือๆๆ” อาม่ามองมือตัวเอง “อาม่าไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นเลย ถ้า...ถ้าไอ้เสี่ยตงไม่ทำให้ แม่ลื้อกับอาเหลาต้องตายด้วย...ฮือๆๆๆ”
“แม่ของเหมยกับอากง หมายความว่ายังไงคะอาม่า เสี่ยตงฆ่าพวกเขาเหรอคะ”
“อาม่าไม่อยากพูดถึงมันอีกแล้ว เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว อั้วไม่อยากพูดถึงมันอีก...ฮือๆ ลื้อสัญญานะอาเหมย อย่าให้ไอ้เสี่ยตงรู้ว่าลื้อเป็นใคร สัญญานะอาเหมย...สัญญาสิ”
อาม่าสะอื้นไห้ กิ่งเหมยสงสารอาม่าจับใจพยักหน้ารับแล้วประคองกอดกันสองยายหลาน
หยกมองดุจแพรอย่างแปลกใจ
“ว่าไงนะครับ จะให้ผมพาคุณหนูไปสะกดรอยตามเสี่ย”
“ใช่...ในเมื่อป๋าไม่ยอมพูดความจริงกับฉัน ฉันก็ต้องสืบหาเอาเอง”
หยกมองดุจแพรแล้วส่ายหน้าแบบเอือมๆก่อนจะคว้าข้อมือดึงพากลับ
“นี่จะพาฉันไปไหน...ปล่อยนะ”
“ผมจะพาคุณหนูกลับบ้าน กลับไปนอนดูละครหรือไม่ก็นั่งทำหน้าทาเล็บเถอะ อย่ามา เสียเวลากับเรื่องไร้สาระเลย”
“นึกแล้วเชียว ว่าถ้าฉันบอกนายแบบนี้ ฉันจะต้องถูกห้าม เพราะป๋าสั่งให้นายมาคอย จับตาดูฉันไม่ให้ยุ่งกับความลับของป๋า”
“คุณหนู!”
ดุจแพรแกะมือสะบัด
“นายนั่นแหละกลับไปทำธุระของนายต่อตามสบาย เพราะแค่นี้ก็ยืนยัน ได้แล้วว่าป๋ามีเรื่องปกปิดฉันอยู่จริงๆ”
ดุจแพรสะบัดหน้าใส่หยกแล้วรีบเดินเข้าไปข้างในทันที หยกส่ายหน้าเอือมๆ
“ยัยคุณหนูตัวแสบเอ้ย”
ในห้อง VIP ตงกับเจ้าสัวเกาจ้องหน้ากันเขม็ง พวกลูกน้องก็ฮึ่มๆพร้อมจะเอาเรื่องกันได้ทุกเมื่อ
“แกมันหน้าตัวเมีย ถ้าคิดจะเล่นกับฉันก็ชนกันตรงๆสิวะ ไม่ใช่ไปลอบกัดลูกสาวฉัน”
เจ้าสัวเกาสวนทันที
“ใครกันแน่วะที่เก่งแต่ลอบกัด”
“จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้งถึงจะเชื่อว่าฉันไม่ได้ฆ่าลูกชายแก”
“สันดานหมาบ้าอย่างแก ชาตินี้ฉันไม่มีวันเชื่อหรอกเว้ย”
เจ้าสัวเกาชักปืนออกมาเล็งไปที่ตง จังหวะนั้นเก่งที่ประกบเสี่ยตงอยู่ชักปืนออกมาเล็งเหมือนกัน พวกลูกน้อง ทุกคนก็ชักปืนออกมาเล็งฝ่ายตรงข้าม บรรยากาศกำลังตึงเครียดสุดๆ ตงท้าทาย
“เอาสิวะไอ้เกา...ไอ้หมาบ้าอย่างฉันมันพร้อมกัดให้จมเขี้ยวเหมือนกันเว้ย”
ทุกคนนิ้วแตะไกพร้อมจะลั่นใส่กัน ระหว่างนั้นเจ้าสัวเล้งเข้ามาพร้อมกับนนท์
“พอกันได้แล้ว”
“ไอ้เล้ง”
เจ้าสัวเล้งเดินผ่านทุกคนเข้ามาที่ตงและเจ้าสัวเกา แล้วจับปืนของทั้งคู่ให้ลดลง
“สั่งลูกน้องของพวกแกให้ออกไปให้หมด แล้วมานั่งคุยกันดีๆ ฉันจะเป็นคนกลางช่วย เจรจาให้พวกแกเอง”
ทั้งคู่ยังมองหน้ากันอย่างเอาเรื่อง เจ้าสัวเล้งมองทั้งคู่อย่างจริงๆจังๆ
หยกเดินตามหาดุจแพรอยู่ในผับ มือก็คุยโทรศัพท์ไปด้วย
“ว่าไงนะ เสี่ยมาเจรจากับแกงค์พิราบดำเหรอ แล้วทำไมแกไม่บอกฉัน”
กิจชัยก้มหน้าเล็งแทงลูกดำอยู่ที่โต๊ะสนุกเกอร์โดยมีลูกน้องเอาโทรศัพท์แนบหูให้คุยกับหยก
“ก็แล้วทำไมแกต้องรู้ด้วยวะ”
กิจชัยแทงลูกขายกระทบชิ่งลูกดำลงหลุม
“หน้าที่แกมีแค่ดูแลคุณหนู สอดรู้สอดเห็นเรื่องเสี่ยแบบนี้ หรือว่าแกคิดอยากจะขึ้นมา เป็นมือขวาเสี่ย”
“แกอย่ามาอิจฉาฉันไม่เข้าเรื่องหน่อยเลย ตอนนี้คุณหนูอยู่ที่นี่”
กิจชัยตกใจ
หยกเลือดมังกร ตอนที่ 6 จบตอน
“หา...คุณหนูไปทำอะไรที่นั่นวะ แกห้ามให้คุณหนูรู้เรื่องเสี่ยเด็ดขาดนะเว้ย ไม่งั้นเสี่ย เอาตายแน่...ฮัลโหล...ฮัลโหล”
กิจชัยรีบบอกหยกแต่หยกตัดสายไปแล้ว...หยกเก็บมือถือแล้วมองหาดุจแพรต่อ
เล้งพยายามเกลี้ยกล่อมทั้งคู่
“พวกแกก็อายุไม่น้อยกันแล้ว แต่ยังทำตัวใจร้อนเป็นเหมือนเมื่อก่อนไปได้”
เจ้าสัวเกาย้อนเสียงแข็ง
“ลองเป็นลูกชายแกถูกมันฆ่าตายบ้างสิวะไอ้เล้ง แกคงควักหัวใจมันออกมาก่อนฉันอีก”
ตงโวยกลับ
“อย่าไปฟังมันไอ้เล้ง มันอ้างเรื่องลูกชายมันตายเพราะต้องการเปิดศึกกับฉัน อย่าคิดว่า ไม่รู้นะเว้นไอ้เกา แกคิดจะแย่งพื้นที่ทำกินของฉัน”
ทั้งคู่ฮึ่มๆจะซัดกันอีก เจ้าสัวเล้งเลยต้องชักมีดสั้นออกมาปักลงที่กลางโต๊ะ...ฉึก ! ทั้งคู่เลยชะงัก
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันจะไม่ห้ามพวกแกเลย ใครอยากซัดกันฉันจะยื่นมีดให้แล้วนั่งดูพวก แกแทงกันให้ตายไปข้าง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว”
เจ้าสัวเล้งมองทั้งคู่อย่างขึงขังแล้วเอามือวางลงบนโต๊ะ ดึงมีดมาปักใกล้ๆนิ้วโป้งพร้อมจะตัดนิ้วตัวเอง เจ้าสัวเกาตกใจ
“ไอ้เล้ง...จะทำอะไร”
“ฉันคุยกับพรรคพวก 4 เจ้าเวหาของแกที่เหลืออีก 3 คนแล้วไอ้เกา เรื่องที่ลูกชายแกถูก ยิงตาย ไม่ใช่ฝีมือของไอ้ตง แต่เป็นคนนอกที่วางแผนจะให้พวกแกเปิดศึกกัน”
เจ้าสัวเกาไม่เชื่อ
“คนนอกเหรอ...ไม่เชื่อหรอกเว้ย ถ้าไม่ใช่ฝีมือมันแล้วหมาตัวไหนจะกล้าทำ”
ตงสวนทันที
“อยากรู้ว่าหมาตัวไหนก็สืบเอาเองสิเว้ย”
สองคนยังไม่หยุดใส่อารมณ์ใส่กัน เจ้าสัวเล้งเสียงดังห้ามอีก
“หยุด! ฉันรู้ว่าแกอยากแก้แค้นให้ลูกชาย แต่ฉันยืนยันว่าไอ้ตงไม่ได้ส่งคนไปฆ่าลูกชาย แกแน่นอน แต่ถ้าแกยังไม่เชื่อ ฉันก็ต้องใช้วิธีที่พวกเราเคยตัดสินเรื่องบาดหมางกัน”
“ไอ้เล้ง!” ตงชะงัก
หยกเดินหาดุจแพรอยู่ในผับเจอเธอกำลังยืนดูพวกลูกน้องของพ่อและของลูกน้องเจ้าสัวเกาที่ออกมายืนรออยู่ข้างนอก คุมเชิงพร้อมจะเล่นงานกันได้ทุกเวลา ดุจแพรแอบดูอยู่อย่างสงสัยและกำลังจะเข้าไป แต่หยกเข้ามาจับแขนไว้
“พอได้แล้วล่ะครับ คุณหนูทำอะไรเอาแต่ใจแบบนี้จะทำให้งานของเสี่ยมีปัญหาได้”
“ปล่อยฉันนะ ถ้าป๋าไม่ได้เป็นเจ้าพ่อมาเฟียอย่างที่เขาร่ำลือกัน แล้วทำไมฉันจะเข้าไป ดูให้เห็นกับตาไม่ได้”
“เสี่ยไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหนูคิดหรอก เขาเป็นคนดีให้โอกาสคนเคยติดคุกอย่างผมได้ งานทำ เพราะฉะนั้นคุณหนูไม่ควรจะไปสงสัยพ่อตัวเอง”
ดุจแพรชะงัก
“เธอเคยติดคุกมาก่อนเหรอ”
“ถ้าผมไม่ได้โอกาสจากเสี่ย ป่านนี้ผมคงเป็นได้แค่ไอ้กุ๊ยข้างถนนไปแล้ว เพราะฉะนั้นผม ถึงปล่อยให้คุณหนูเข้าใจเสี่ยผิดๆไม่ได้”
ดุจแพรฟังหยกแล้วนิ่งมองอย่างแปลกใจ
เจ้าสัวเล้งกดมีดลงยืนยันว่าถ้าเจ้าสัวเกาไม่เชื่อ เขาจะทำจริงๆ
“เดี๋ยว...แกทำอย่างนี้ทำไมวะไอ้เล้ง”
“สมัยก่อนพวกเราทำแต่เรื่องชั่วๆเลวๆมาไม่น้อย ตอนตายฉันไม่อยากให้มีแต่คนสม น้ำหน้า ฉันอยากให้มีคนสรรเสริญ อยากให้ลูกหลานได้ภูมิใจ พวกแกก็ควรจะคิด อย่างฉันเหมือนกัน”
ตงกับเจ้าสัวเกานิ่งไป เจ้าสัวเล้งจะกดมีดตัดนิ้วตัวเอง เจ้าสัวเการีบห้าม
“ไม่ต้องพิสูจน์แล้วไอ้เล้ง ครั้งนี้ฉันจะยอมเชื่อแกก็ได้ แต่ถ้าฉันจับไอ้คนฆ่าลูกชายฉันได้ เมื่อไหร่และพิสูจน์ได้ว่าเป็นคนของไอ้ตง...ต่อให้ตัดสิบนิ้วแก ฉันก็จะไม่ปล่อยมัน”
เจ้าสัวเกายอมเป็นฝ่ายเดินออกไป
“แกไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอกไอ้เล้ง อย่างไอ้เกา ฉันคนเดียวรับมือมันได้สบาย”
เจ้าสัวเล้งกระชากคอเสื้อตง
“ฉันไม่ได้มาเพื่อช่วยแก แต่ฉันไม่อยากเห็นสงครามเกิดขึ้น”
“ถึงจะเกิดสงครามขึ้น แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับแก เพราะแกล้างมือไปแล้ว”
“จะไม่เกี่ยวได้ยังไง ถ้าพวกแกฆ่ากันตายขึ้นมาเมื่อไหร่ ตำรวจต้องเข้ามาจัดการแน่ แล้วไอ้เรื่องระยำๆที่พวกเราเคยทำเอาไว้ตอนหนุ่มๆก็ต้องถูกขุดขึ้นมา ฉันไม่อยากเสียคนตอนแก่”
เจ้าสัวเล้งผลักตงให้หัดคิดซะบ้าง
“กฎของโลกอันธพาล เข้ามาแล้วไม่มีทางออกไปได้ ทำได้ดีที่สุดก็แค่หยุดมันเอาไว้แค่ นั้น แกก็รู้จักกฎนี้ดีไม่ใช่เหรอ”
เจ้าสัวเล้งทิ้งท้ายให้ตงได้คิด แล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับนนท์ ตงมองตามไม่สนที่เจ้าสัวพูด
หยกพาดุจแพรมาส่งที่รถ
“ส่งฉันแค่นี้แหละ ฉันจะขับรถกลับบ้านเอง”
“แต่ผมว่า...ผมไปส่งคุณหนูให้ถึงบ้านดีกว่า”
“นี่...ฉันไม่ใช่คนหัวดื้อขนาดนั้นนะ”
“พูดเองเออเองรึเปล่าครับคุณหนู”
ดุจแพรชะงักแล้วเชิดใส่เข้าไปนั่งในรถ สตาร์ทเครื่องแต่ยังติดใจสงสัย
“นายไปทำความผิดอะไรถึงต้องติดคุก”
“ล่วงละเมิดทางเพศครับ”
หยกพูดไปก็แกล้งทำหน้ายิ้มร้ายกวนๆใส่ ทำเอาดุจแพรตกใจรีบกดปิดกระจกแล้วขับรถออกไปทันที ชายหนุ่มมองตามแล้วหัวเราะชอบใจ
“ไปแน่บเลย ดี...ต่อไปจะได้เลิกจุ้นไม่เข้าเรื่องซะที ยัยคุณหนูเอาแต่ใจ”
หยกจะกลับแต่ต้องชะงักเพราะเจอนักเลง 2-3 คนมายืนขวางทาง แต่ละคนอาวุธครบมือ จ้องหน้าเขาอย่าง เอาเรื่อง ชายฉกรรจ์ 3 คน ที่โดนหยกเล่นงานไปเอามือกุมหัวที่เลือดอาบ แหวกกลุ่มนักเลงออกมา
“เล่นงานพวกข้าซะเยินแบบนี้ คิดว่าจะปล่อยแกไปง่ายๆเหรอวะ ไอ้พระเอก”
หยกชะงักอึ้ง พวกมันแห่กันเข้าใส่ หยกรีบถอยวิ่งหนีทันที...หยกวิ่งถอยมาตั้งหลักพวกนักเลงตามเข้ามาเล่นงาน เขาตั้งหลักสู้ไม่ถอย ใส่เชิงมวยเข้าไปเต็มที่ พวกมันโดนทั้งหมัดเข่าศอกตอบกลับ แต่เขาก็ยังโดนมันเอาท่อเหล็กฟาดกลางหลังจนเสียจังหวะเป็นฝ่าย เพลี้ยงพล้ำโดนรุม หยกต้องยกการ์ดขึ้นมาปัดป้องตัวเองสุดฤทธิ์แต่สุดท้ายพวกมันคนหนึ่งก็เข้ามาเตะเสยปลายคางหงายหลังตึง สลบเหมือด พวกมันมองหยกอย่างร้ายกาจ ดุจแพรกำลังจะขับรถออกจากลานจอด แต่เหลือบไปเห็นหยกที่หมดสติเพราะโดนเล่นงานกำลังถูกลาก ตัวเข้าไปในรถตู้โดยพวกนักเลง ดุจแพรตกใจ
“หยก !”
พวกมันพาตัวหยกไป ดุจแพรเป็นห่วงรีบขับตาม
ดุจแพรขับตามรถตู้อย่างเป็นห่วง และพยายามกดโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากพ่อแต่โทรศัพท์ เกิดแบตหมดพอดี
“โธ่เอ้ย...แบตมาหมดอะไรตอนนี้เนี่ย...ทำไงดี...ทำไงดี”
รถตู้จอดที่หน้าตึกร้างเปลี่ยวดูน่ากลัว หยกถูกลากตัวลงมาจากรถตู้ในสภาพสลึมสะลือ พวกมันจิก หัวเขาขึ้นมา
“ชอบทำตัวเป็นฮีโร่ต่อหน้าสาวๆนักใช่มั้ยไอ้อ่อน พระเอกขี่ม้าขาวมันมีแต่ในละครเว้ย”
มันชกท้องหยกจังๆทำเอาเขาสะดุ้งเฮือกจุกทรุดตัวงอ ชายคนนั้นชักมีดพกออกมา
“คืนนี้เอ็งโดนเอาคืนแน่ แต่ข้าจะใจดีให้โอกาสเอ็งเลือกมาว่าจะเอาขาหรือแขนไว้”
หยกไม่ตอบกลับจิกหน้ามองมันอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ใจดีให้แล้วยังทำอวดเก่งมองหน้าอีก...งั้นพิการทั้งแขนทั้งขาเลยแล้วกันไอ้อ่อน”
ชายหนุ่มควงมีดจะเล่นงาน แต่ทันใดนั้นดุจแพรขับรถมาจอดแต่ไม่ดับเครื่อง ไฟหน้ารถสาดใส่หน้าพวกมัน
“อย่าทำร้ายเขานะ ปล่อยเขาไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันขับรถชนพวกแกแน่”
ดุจแพรแตะคันเร่ง ให้ล้อหมุนฟรีอยู่กับที่เป็นการขู่ ชายคนนั้นยิ้มเยาะ
“นังนี่มันกล้าดีเว้ย เฮ้ย...ใครลากมันลงมาได้คนแรก ข้าให้เบิ้ล”
พวกมันหัวเราะชอบใจพากันเดินดาหน้าเข้าหา ดุจแพรที่อยู่ในรถหน้าเสีย เกิดมายังไม่เคยเจอเรื่องตื่นเต้นแบบนี้
“คิดว่าฉันไม่กล้าเหรอ”
ล้อรถหมุนฟรี...ดุจแพรปลดเบรคมือแตะคันเร่งอย่างแรงพุ่งชนใส่พวกมันทันที พวกมันล้มระเนระนาดแตกกระเจิง ดุจแพรเบรกเอี๊ยดหันไปเห็นพวกมันนอนเจ็บร้องระงม ไอ้คนที่คุมตัวหยกไว้ตกใจหน้าเสีย หยกเลยได้โอกาสเอาคืนลุกขึ้นจับมือมันบิดจนมีดหล่น เปิดฉากถลุงหมัดเข่า ศอกประเคนใส่ไม่ยั้งอย่างแสบสัน พวกมันพยายามเข้ามาช่วยแต่ก็โดนหยกที่บ้าเลือดเล่นงานกลับเรียงตัว ดุจแพรตะโกนห้าม
“หยก...พอได้แล้ว”
หยกไม่ฟังเอาคืนพวกมันไม่หยุดมือ จนคนสุดท้ายโดนกระชากคอเสื้อมากระแทกหมัดเข้าแสกหน้าสลบเหมือด ดุจแพรเข้ามาแตะไหล่ หยกหันขวับจะต่อยหญิงสาวตกใจ
“หยก!”
หยกชะงักไปมองดุจแพรแล้วลดมือลง ก่อนจะทรุดฮวบเพราะหมดแรงและเจ็บตัว ดุจแพรรีบประครอง
“หยก!”
ดุจแพรรีบประครองพาหยกเข้าไปในรถแล้วพาออกไปด้วยกัน พวกนักเลงที่โดนเล่นงานนอนเจ็บตัวร้อง ครวญคราง
ดุจแพรพาหยกมาที่คอนโด เธอพยุงพาเขามานอนลงที่เตียง หยกอยู่ในสภาพไม่รู้สึกตัว
“โอ้ย...ตัวหนักชะมัดเลย จะทิ้งไว้แบบนี้ก็ไม่ได้ด้วย เอาไงดี”
ดุจแพรตัดสินใจโทรหาป้าจั่น บอกให้รู้ว่าเธอจะไม่กลับบ้าน
“หา...ไปค้างต่างจังหวัดกับเพื่อนเหรอคะ จังหวัดไหนคะคุณหนู แล้วทำไมเพิ่งโทรมา บอกตอนนี้ล่ะคะ”
“เรื่องมันยาวค่ะป้า ไว้ดุจกลับไปแล้วจะเล่าให้ฟัง”
“แล้วจะให้ป้าบอกเสี่ยยังไงล่ะคะ”
“ก็บอกตามที่ดุจบอกไปนั่นแหละ แค่นี้นะป้าจั่น”
“คุณหนู...คุณหนูคะ โอ้ย…คุณหนูนะคุณหนู ขืนบอกแค่นั้น ป้าก็โดนเสี่ยเล่นงานสิคะ”
ป้าจั่นพูดไม่ทันจบดี ตงก็กลับเข้ามาพอดี
“ใครโดนใครเล่นงานหา...ป้าจั่น”
ป้าจั่นชะงัก
“เสี่ย!”
“เป็นอะไรทำไมต้องตกใจด้วย...แล้วนี่ลูกสาวฉันอยู่ไหน บ้านช่องเงียบเชียบเชียว อย่าบอกนะว่านอนแล้ว”
ป้าจั่นหน้าซีดอึกอักไม่รู้จะพูดยังไงดี
ดุจแพรจะเช็ดตัวให้หยก จึงต้องช่วยปลดกระดุมถอดเสื้อตัวนอกออกให้ จากนั้นก็เหลือเสื้อ กล้ามข้างในอีกตัว ดุจแพรต้องยกตัวเขาขึ้น
“โอ้ย...ทำไมตัวถึงได้หนักแบบนี้เนี่ย เกิดมาฉันยังไม่เคยเช็ดตัวให้ใครเลยนะ ถ้านายไม่ ช่วยฉันจนต้องมาโดนซ้อมแบบนี้ ฉันไม่ช่วยนายให้เปลืองตัวหรอก”
ดุจแพรบ่นไปก็แบกน้ำหนักตัวหยกที่พยายามจะยกตัวช่วยถอดเสื้อกล้ามไม่ไหว น้ำหนักตัวเขาโถมทับจนหงาย หลัง...โครม...
“ว๊าย!”
หญิงสาวถูกชายหนุ่มนอนทับหน้าแนบกับหน้า เธอใจเต้นตึกตัก ทั้งๆที่เขายังหมดสติ เธอพยายาม เบือนหน้าหลบ แต่ก็ยังแอบเหลือบกลับมามองเขา เพราะเวลานี้เธอเริ่มรู้สึกสนใจเขาขึ้นมาแล้ว
ดุจแพรเช็ดตัวให้เรียบร้อยแล้ว หยกนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
“หลับสบายเลยนะ...ฉันเป็นนายจ้างนายแท้ๆแต่ต้องมาคอยดูแลนาย ยกเตียงให้นาย นอน ส่วนฉันต้องไปนอนโซฟา แบบนี้มันน่าหักเงินเดือนแถมตัดโบนัสให้หมดเลย...ชิ”
หยกไม่รู้เรื่องนอนขยับตัว ดุจแพรสะดุ้งนึกว่าเขาจะลุกขึ้นมาโวยวายใส่
“คนบ้า...ตกใจหมด”
ดุจแพรมองหยกที่ไม่รู้สึกตัวแล้วอดขำไม่ได้เลยเข้าไปนั่งดูหน้าใกล้ๆ
“ไม่รู้ทำไมเวลาที่ฉันเดือดร้อนทีไร นายมักจะต้องโผล่มาช่วยทุกครั้ง จนฉันอดคิดถึงนาย ไม่ได้ หึ...เพราะฉะนั้นถ้าคราวหน้าฉันเดือดร้อนอีกแล้วนายไม่โผล่มาล่ะก็” หญิงสาวแอบเอามือ บีบจมูกเขา “ฉันจะโกรธนาย...นี่แน๊ะๆ นายหยก”
ดุจแพรขำที่ได้แกล้งก่อนจะช่วยห่มผ้าให้ แล้วคว้าหมอนเดินออกจากห้องนอนปล่อยให้เขานอนพักไป
วันใหม่...ส้มเช้งถึงกับตาโตตกใจเมื่อได้ฟังสิ่งที่กิ่งเหมยบอก
“หา...แกว่าไงนะ...แก...แกไม่ได้โม้ใช่มั้ยไอ้กิ่งเหมย”
“แกจะบ้าเหรอ...เรื่องแบบนี้ใครจะเอามาพูดเล่นๆ”
“ก็นั่นไง...มันเรื่องใหญ่บึ้มเลยนะแก...โอ้ย...ฟังแล้วฉันจะเป็นลม”
“ชู่วววว์ แกจะพูดดังไปทำไม”
“ก็แล้วแกไม่ตกใจเลยเหรอไง”
“จะไม่ตกใจได้ยังไง ฉันน่ะนอนไม่หลับทั้งคืน อยากรู้ความจริงที่มากกว่านั้น แต่อาม่าก็ ไม่ยอมเล่าอะไรให้ฉันฟังเลย เอาแต่ห้ามไม่ให้ฉันยุ่งกับคุณดุจแพรกับเสี่ยตงอย่างเดียว”
“ก็แหงล่ะ อาม่าแกคงกลัวโดนตามแก้แค้น ถึงได้ขู่ว่าจะพาแกหนีไปอีก”
“แต่ฉันว่ามันคงไม่ได้มีแค่นั้นหรอก ถ้าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับการตายของแม่ฉัน ฉันก็ ควรจะต้องรู้ความจริงให้ได้”
“นี่แก...อย่าบอกนะว่า...”
ระหว่างนั้นอาม่าเดินออกมา
“อาเหมย...มาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
กิ่งเหมยชะงัก
“เอ่อ...ปละเปล่าค่ะอาม่า เดี๋ยวเหมยตามเข้าไปค่ะ”
อาม่ากลับเข้าไป กิ่งเหมยหันมากำชับเพื่อน
“เรื่องที่ฉันเล่าให้แกฟัง...แกเงียบไว้เลยนะ ห้ามพูดให้ใครฟังเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
“โหแก...เรื่องแบบนี้มันน่าเล่าตายแหละ”
กิ่งเหมยกำชับเพื่อนด้วยสายตาจริงจังแล้วตามอาม่าเข้าไปในศาลเจ้า...กิ่งเหมยตามเข้ามา อาม่าเอาธูปที่จุดไว้ให้แล้วยื่นให้
“ไหว้เทพเจ้าฟ้าดินให้คอยปกป้องคุ้มครองลื้อ”
“อาม่าคะ...คือ...”
“ลื้อไม่ต้องเซ้าซี้ถามอั้วอีก เรื่องมันผ่านไปแล้วอย่าไปรื้อฟื้นมันขึ้นมาน่ะดีที่สุด อั้วถึงได้ พยายามบอกลื้อไงว่าถ้ามีโอกาสที่ดีได้ไปจากที่นี่ ลื้อต้องไป ไปให้ไกลถึงเมืองนอกเลย ได้ยิ่งดี”
กิ่งเหมย นิ่งไป
“ค่ะ อาม่า”
กิ่งเหมยรับธูปจากอาม่ามาแล้วคุกเข่าไหว้เทพเจ้าตามที่อาม่าสั่ง จนเมื่อไหว้เสร็จและจะเดินไปปักธูปที่กระถาง อยู่ๆสายตาของกิ่งเหมยก็เหมือนเห็นแสงวาบคล้ายแสงฟ้าแลบขึ้นมาจนทำให้ชะงักมองไม่เห็นกระถางธูป เธอปักธูปผิดจนหล่นพื้น
“อาเหมย...ลื้อเป็นอะไร”
กิ่งเหมยยืนนิ่ง พยายามกระพริบตาแล้วเอามือขยี้ตาจนอาม่าผิดสังเกต
“อาเหมย…อาเหมย”
กิ่งเหมยเริ่มกลับมามองเห็นได้อีกครั้งจึงรีบเก็บธูปขึ้น
“เปล่าค่ะอาม่า เหมยไม่ได้เป็นอะไร ควันธูปมันเข้าตาค่ะ”
กิ่งเหมยปักธูปแล้วรีบเดินออกไป อาม่ามองตามอย่างสงสัย
กิ่งเหมยรีบเข้ามาในบ้านเอายามาหยอดตาเป็นการใหญ่ ระหว่างนั้นอาม่าตามมาเคาะประตูเรียก
“เหมย...กิ่งเหมย”
กิ่งเหมย สะดุ้งรีบเก็บยาหยอดตาใส่ลิ้นชัก
“ค่ะอาม่า”
กิ่งเหมยเดินไปเปิดประตูทำตัวเป็นปกติสุดฤทธิ์
“ลื้อเป็นอะไร ทำไมรีบกลับมา”
“เอ่อ...เหมย...เหมยนึกขึ้นได้ว่าลืมเสียบปลั๊กเตารีดไว้จ้ะ”
อาม่ามองอย่างสงสัย แล้วยื่นมือไปโบกผ่านหน้ากิ่งเหมยเพื่อทดสอบการมองเห็น
“อาม่าทำอะไร”
“ลื้อยังมองเห็นอั้วอยู่ใช่มั้ย”
“ก็เห็นสิอาม่า”
อาม่าถอนใจโล่งอก
“ค่อยยังชั่ว อั้วนึกว่าลื้อจะต้องเป็นอย่างแม่ลื้อแล้วซะอีก”
“เป็นอย่างแม่...หมายความว่ายังไงคะอาม่า”
อาม่ามองหลานสาวแล้วถอนใจ
อาม่าเข้ามาในห้อง มองภาพถ่ายของลูกสาวตัวเองที่หลังกระถางธูป กิ่งเหมยตามมามองด้วย
“อาหงส์มันเกิดมาเหมือนมีกรรม พอเริ่มเป็นสาวอยู่ๆตามันก็บอด อาม่ากับอากงลื้อก็ ยากจนไม่มีเงินพาไปรักษา เลยไม่รู้ว่ามันเป็นโรคเวรโรคกรรมอะไร มันจะไปทำงานที่ ไหนก็ไม่มีใครรับ แต่ก็ยังโชคดีที่ภัตตาคารที่อากงลื้อทำงานอยู่เขายอมให้มันทำงาน เลยพอมีความหวัง” “แม่คิดจะไปหาหมอรักษาเหรอคะอาม่า”
อาม่าพยักหน้ารับ
“แม่ลื้อขยันทำงานทั้งๆที่ตาบอดทำทุกอย่างที่มีคนเรียกใช้...แต่ว่า”
อาม่าหยุดเล่าแล้วหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“ทำไมเหรอคะอาม่า”
“ลื้อรู้เท่านี้ก็พอแล้วอาเหมย”
“เพราะเสี่ยตงใช่มั้ยคะอาม่า”
อาม่าชะงักจนมีพิรุธเห็นได้ชัด
“ลื้อไม่ต้องสนใจ เอาเป็นว่า ถ้าสายตาลื้อมีปัญหาลื้อต้องรีบ บอกอาม่านะ”
กิ่งเหมยนิ่งไปครู่
“เหมยไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ เหมยน่ะสายตาดีจะตายไม่งั้นจะวาดรูปได้ยังไง”
กิ่งเหมยยิ้มให้อาม่าหายกังวล
ดุจแพรรู้สึกตัวตื่นขึ้นบนโซฟา บิดขี้เกียจนิดหน่อยก่อนจะนึกขึ้นได้รีบเข้ามาที่ห้องนอนไม่เห็นหยกนอนอยู่บนเตียงแล้ว และเตียงก็ถูกจัดเก็บเรียบร้อย
“ไปแล้วเหรอ ตาบ้า...นึกจะไปก็ไป ขอบคุณสักคำก็ไม่มี”
ดุจแพรส่ายหน้าแล้วจะเดินไปที่ห้องน้ำ เปิดประตูเข้าไปเปิดก๊อกน้ำจะล้างหน้าแปรงฟัน แต่สงสัยว่ามีบางอย่าง อยู่หลังผ้าม่านที่อ่างอาบน้ำเลยลองเปิดดูแล้วก็เห็นจะๆเต็มสองตา หยกกำลังสระผมเปลือยกายทั้งตัว หันมาเห็นดุจแพรเข้าก็ตกใจเหมือนกัน ทั้งคู่มองหน้ากันปริบๆ ดุจแพรมอง หน้าหยกแล้วก้มมองต่ำก็ยิ่งเหวอตาค้าง เสียงกรี๊ดร้องของดุจแพรดังลั่น
“อร๊ายยยย”
หยกนุ่งผ้าขนหนูผืนดียววิ่งหนีออกมาจากห้องนอนเพราะโดนดุจแพรคว้าทุกอย่างรอบตัวปาใส่
“ไอ้บ้า...ไอ้ลามก...ไอ้โรคจิต”
“หยุดนะคุณหนู ผมไม่ใช่ไอ้โรคจิต คุณหนูนั่นแหละที่โรคจิตมาแอบดูผมแก้ผ้าอาบน้ำ”
ดุจแพรอึ้ง
“ไอ้บ้า ยังมาว่าฉันโรคจิตอีก ฉันนึกว่านายกลับไปแล้วต่างหาก”
“เมื่อวานผมโดนอัดซะเละ เนื้อตัวมอมอย่างกับมาจรจัด จะไม่ให้ผมอาบน้ำอาบท่า หน่อยเหรอไงครับ”
“แต่ฉันว่านายตั้งใจ...คิดลามกกับฉัน”
หยกหน้าตื่น
“หา...ผมเนี่ยนะ”
“ก็ใช่น่ะสิ...ตอนแรกฉันนึกว่านายโกหกว่าเคยติดคุกข้อหาลวงละเมิดทางเพศ แต่ตอนนี้ ฉันเชื่อแล้ว...เชื่อสนิทใจด้วยว่านายมันพวกชอบโชว์”
ดุจแพรต่อว่าไป แล้วมองหยกที่ยังนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวโชว์กล้ามวัยหนุ่ม แล้วอดคิดถึงไอ้ที่เห็นมากกว่านั้นไม่ได้
“อี๊...สงสัยฉันต้องไปวัดให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์แล้ว ขยะแขยงลูกตา”
ดุจแพรสะบัดหน้าเชอะใส่แล้วเดินเข้าไปในห้องนอนปิดประตู...ปัง ยืนพิงประตูพยายามขยี้ตาสุดฤทธิ์ ยิ่งนึกก็ยิ่งขนลุกขนพอง เพราะภาพติดตามากๆ
“ไอ้บ้า...ไอ้โรคจิต ไม่น่าช่วยพามาที่นี่เลย”
หยกตามมาเคาะประตูเรียก
“คุณหนู...เสื้อผ้าผมอยู่ข้างใน ถ้าไม่ให้ผมเข้าไป ผมก็ต้องโชว์โป๊อยู่ข้างนอกนี่ให้คุณดูนะ เปิดประตูให้ผมเข้าไปหน่อย”
“ไม่...ฉันไม่อยากเห็นอะไรทุเรศๆอีก”
“โธ่เอ้ยทำมาเป็นขยะแขยงลูกตา...อย่างคุณน่ะ ผมไม่เชื่อหรอกว่ายังใสซื่อบริสุทธิ์”
ดุจแพรอึ้ง
“เปิดประตู ผมจะเข้าไปเอาเสื้อผ้าผม”
โปรดติดตามตอนที่ 7