บ่วงรัก ตอนที่ 10
ที่ห้องโถงบ้านเลิศชัยวัฒน์ช่วงเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม อังคณานั่งนิ่งดื่มไวน์ย้อมใจอยู่ ท่าทางเครียดเคร่ง เหมือนตัดสินใจหรือกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง ครู่หนึ่งน้อยสาวใช้เดินเข้ามาคุกเข่าถาม
“คุณผู้หญิงคะได้เวลาอาหารเย็นแล้ว จะให้จัดโต๊ะเลยไหมคะ”
“ไม่ต้อง...วันนี้ฉันกินอะไรไม่ลง”
“ค่ะ”
น้อยงงๆ เดินเลี่ยงออกไป
อังคณาวางแก้ว สายตาเหลือบไปเห็นรูปธานินทร์ที่วางอยู่ข้างโต๊ะชุดรับแขก สายตาของธานินทร์ในรูปที่มองมาทำให้อังคณาอึดอัดใจนิดๆ รำพึงเบา ๆ
“มองทำไม...ฉันไม่ใจอ่อนหรอกคุณธานินทร์”
อังคณาจับรูปธานินทร์คว่ำลงกับโต๊ะ
น้อยเดินเข้ามา ป้าทองดี และสาวใช้อีกคนกำลังช่วยกันจัดผักลงจาน
“นังน้อย จัดโต๊ะให้คุณผู้หญิงเสร็จหรือยัง” ทองดีถาม
“เก็บเข้าตู้เย็นไปแล้วป้า ท่านบอกว่าวันนี้ไม่ต้องตั้งโต๊ะกินไม่ลง” น้อยบอก
“เรอะ” ทองดีสงสารนาย “โถ คงจะกลุ้มใจเรื่องคุณผู้ชาย”
“คงงั้นแหละป้า ผัวจะตาย ใครจะไปกินข้าวลง” น้อยว่า
ทองดีตีแขนน้อยดังเผียะ พูดปราม “นังนี่ ปากเสีย มันเรื่องอะไรมาแช่งคุณผู้ชาย”
“โอ๊ย...แช่งเชิ่งอะไรล่ะป้า ใคร ๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้น คุณผู้ชายท่านป่วยหนัก คุณนกว่าใจร้ายๆ น่ะยังแอบร้องไห้ทุกวัน” น้อยเม้าท์ใหญ่ “ตะกี้ฉันยังเห็นคุณผู้หญิงท่านคว่ำรูปคุณผู้ชาย คงจะทนดูไม่ไหว”
ทองดีน้ำตาคลอ “ผัวเมียกัน มันก็เหมือนลิ้นกับฟันนั่นแหละ น้อยเอ๋ย ถึงจะทะเลาะกันยังไง พอจะตายจากกันเข้าจริง ๆ ก็คงอดอาลัยไม่ได้ น่าสงสารคุณผู้หญิงจริงๆ”
น้อยพยักหน้า ทุกคนเศร้า พากันเห็นใจอังคณา
อังคณายังคงนั่งอยู่ที่เดิม สีหน้าดูเป็นกังวล เหมือนคิดไม่ตก
เพชรแท้เดินเข้ามาที่หน้าบ้าน แปลกใจที่เห็นบ้านมืดทั้งหลัง ไฟปิดทุกดวง ประตูก็ถูกล็อคกุญแจไว้ เพชรแท้เขย่าประตู ก่อนจะส่ายหน้าเซ็งๆ แล้วเดินมานั่งรอพรรณี และพิณทองที่ชานบ้าน เพราะตนไม่มีกุญแจ
จังหวะที่เพชรแท้นั่งลงนั้น ชายหนุ่มเห็นที่ชานบ้านมีจดหมายเสียบอยู่ จึงหยิบขึ้นมาดู เห็นจ่าหน้าซองถึงตัวเอง
เวลาเดียวกันที่โรงพยาบาล พยาบาลเดินตรงมาที่ห้องธานินทร์ถือซองจดหมายมาด้วย ธานินทร์กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง
“คุณธานินทร์คะ มีจดหมายค่ะ”
ธานินทร์แปลกใจ “จดหมายของใคร”
“มีคนเอามาส่งให้สักครู่นี้เอง บอกว่าคุณเพชรแท้ฝากมาให้ค่ะ”
เช่นเดียวกับเพชรแท้ถือจดหมายอยู่ สีหน้าท่าทางแปลกใจมาก ในที่สุดก็เปิดอ่าน
“เพชรแท้ ลูกรัก พ่อมีเรื่องสำคัญจะบอกกับลูก เรื่องนี้เป็นความลับ จะให้ใครรู้ไม่ได้...”
ธานินทร์เองก็เปิดจดหมายดู หลังจากพยาบาลออกจากห้องไปแล้ว
ธานินทร์อ่านในใจ “พ่อครับ เพชรมีเรื่องเดือดร้อน พ่อคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเพชรได้...”
เพชรแท้อ่านออกเสียง “พ่ออยากให้เพชรมาพบพ่อที่...” เพชรแท้ไม่คุ้นสถานที่ “คืนนี้เวลาสามทุ่มตรง พ่อจะรอลูกอยู่ที่นั่น”
ธานินทร์อ่านในใจ “เพชรจะรอพ่ออยู่ที่นั่น...เพชรแท้”
เพชรแท้อ่านจดหมายจนจบ เงยหน้าขึ้น หน้าตาท่าทางประหลาดใจมาก
ธานินทร์พับจดหมายเก็บเข้าซองไป คิดไปคิดมา เป็นห่วงเพชรแท้จับใจรำพึงกับตัวเอง
“เพชรแท้”
ชนะศึกกำลังขับรถอยู่ กดโทรศัพท์มือถือ
“ฮัลโหล”
พยาบาลประจำวอร์ดรับสาย “สวัสดีค่ะ”
“ต่อห้องคุณธานินทร์หน่อย”
“ค่ะ เดี๋ยวจะโอนเข้าไปในห้องให้นะคะ”
พยาบาลกดโอนสาย
ภายในห้องพักเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แต่ธานินทร์ไม่ได้อยู่บนเตียงแล้ว เสียงโทรศัพท์ยังคงดังต่อเนื่อง
ชนะศึกรอสายอยู่นานแต่ไม่มีคนรับ เริ่มรู้สึกหงุดหงิด
เสียงโทรศัพท์ในห้องยังดังอยู่ พยาบาลเปิดประตูห้องเข้ามาดู มองหาธานินทร์
“คุณธานินทร์คะ คุณธานินทร์”
พยาบาลไม่เห็นธานินทร์อยู่ในห้อง ก็ตกใจ รีบยกหูบอกกับคนในสาย
“ฮัลโหล คุณธานินทร์ไม่อยู่ที่ห้องค่ะ ไม่ทราบว่าหายไปไหนแล้ว”
ชนะศึกกำลังขับรถอยู่ ตกใจมาก
“อะไรนะ หายไปอีกแล้วเหรอ คุณดูแลกันยังไง คนทั้งคนปล่อยให้หายไปได้”
“เมื่อกี๊ท่านก็ยังอยู่นะคะ ดิฉันไม่ทราบจริงๆ ว่าท่านหนีไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พอเอาจดหมายไปให้ ท่านก็ยังนั่งอ่านอยู่เลย” พยาบาลหน้าเจื่อนไป
“จดหมายเหรอ” ชนะศึกสงสัย “จดหมายอะไร”
“จดหมายจากคนชื่อเพชรแท้ค่ะ ท่านได้รับแล้วก็ยังนั่งอ่านอยู่บนเตียงค่ะ”
ชนะศึกอึ้งไป แล้วตัดสินใจหักพวงมาลัยเปลี่ยนเส้นทางทันที
รถมอเตอร์ไซค์ของเพชรแท้แล่นมาตามทางในซอยเปลี่ยว ก่อนจะจอดนิ่งที่หน้าบ้านร้างสถานที่นัด เพชรแท้ถอดหมวกกันน็อคลงจากรถ กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะเดินมาที่รั้ว หยิบจดหมายขึ้นมาดูเทียบเลขที่บ้าน
ขณะเดียวกันรถแท็กซี่แล่นมาตามท้องถนน เส้นทางออกนอกเมือง ธานินทร์มองเส้นทางที่ไม่คุ้น แล้วดูจดหมายอีกที ท่าทางกังวลใจ ชะโงกหน้าบอกแท็กซี่
“เขาบอกว่าให้ไปที่...” ธานินทร์บอกชื่อสถานที่ “ไปถูกแน่นะ หลานชาย”
“ครับ ไม่ต้องห่วง ผมวิ่งแถวนี้บ่อย ๆ ไม่หลงหรอก” แท็กซี่รับคำ
“เร็ว ๆ เข้าหน่อยล่ะ...ลูกชายฉันเขารออยู่”
ธานินทร์เร่ง ก่อนจะเอนตัวพิงพนักอย่างเหนื่อยอ่อย ใจกังวลถึงเพชรแท้
ทางด้านเพชรแท้มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าฉงน ค่อนข้างแปลกใจกับสภาพบ้านที่ดูรกร้าง บ่นพึมพำ
“นัดมาทำอะไรที่นี่ แปลกจัง
เพชรแท้เปิดประตูรั้วเข้าไปในบ้าน
เวลาเดียวกันชนะศึกเดินตรงเข้ามาที่รั้วบ้านพรรณีเพื่อมาตามหาพ่อ ท่าทางร้อนใจมาก ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ บ้าน แต่ไม่เห็นมีใครอยู่ จึงตะโกนเรียก
“มีใครอยู่ไหม”
ไม่มีเสียงตอบ ชนะศึกร้อนใจ เดินตรงไปที่ประตูบ้านเห็นยังล๊อคไว้ เคาะประตู
“มีใครอยู่บ้านไหม เปิดประตูที”
ชนะศึกชะเง้อชะแง้เขย่าแม่กุญแจที่ประตู เสียงพิณทองดังมาจากข้างหลัง
“นั่นคุณจะทำอะไรน่ะ”
“ผมมาหานายเพชรแท้ พี่ชายคุณอยู่ไหน”
พิณทองสงสัย “มาหาเขาทำไม”
ชนะศึกท่าทีฉุนเฉียว “ก็ไม่อยากจะมาหรอกนะ...แต่พี่ชายคุณส่งจดหมายไปให้พ่อผม แล้วพ่อผมก็หนีออกจากโรงพยาบาลไป ท่านจะไปไหนได้ ถ้าไม่ได้มาหาพี่ชายคุณ”
“ฉันไม่รู้”
“พี่น้องกันมีหรือจะไม่รู้ บอกผมมานะ พิณทอง พี่ชายคุณนัดพ่อผมไปไหน ทำอะไร”
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่รู้เรื่อง”
ชนะศึกลืมตัวจับแขนพิณทองบีบแรงๆ คาดคั้น
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ พ่อผมอาการหนักมาก การออกมาแบบนี้อาจจะเป็นอันตรายกับท่านก็ได้”
พิณทองรู้สึกเจ็บพยายามสะบัดออก “ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้”
“ผมไม่เชื่อ”
“ฉันไม่เคยโกหกใคร โอ๊ย...เจ็บ”
พิณทองเจ็บจนร้องไห้ออกมา ชนะศึกตกใจ ปล่อยมือ
“พิณทอง ผมขอโทษ
“คุณออกไปซะ”
ชนะศึกอึกอัก พิณทองย้ำ
“คุณออกไป”
ชนะศึกยังดื้อดึงไม่ไป พิณทองผลักชนะศึก แล้วรีบไขกุญแจเข้าบ้านไป
“พิณทอง เดี๋ยวก่อน พิณทอง” ชนะศึกเคาะประตูเรียก
พิณทองตกใจ เสียใจยืนร้องไห้พิงประตู ขณะที่ชนะศึกหงุดหงิด กังวลใจ
ชนะศึกเดินหงุดหงิดกลับมาที่รถตรงหน้าปากซอย ขึ้นรถแล้วปิดประตู ครู่หนึ่งพรรณีซึ่งเดินกลับเข้ามาพร้อมด้วยถุงกับข้าวในมือ ชะงักเมื่อมองเห็นชนะศึกกำลังขับรถแล่นออกไป พรรณีพึมพำกับตัวเองอย่างแปลกใจ เห็นสีหน้าชนะศึกไม่ค่อยดี
“มาทำไมของเขา”
แต่ชนะศึกไม่เห็นพรรณี
พอเข้าบ้านมาพรรณีถามพิณทองเรื่องชนะศึกทันที พิณทองบอกเสียงเศร้า
“เขามาตามหาพ่อของเขาจ้ะ” น้ำเสียงพิณทองเมื่อพูดประโยคต่อมา เปลี่ยนเป็นเคืองๆ “พ่อเขาหายตัวไปจากโรงพยาบาล เขาหาว่าพี่เพชรส่งจดหมายไปนัดท่านออกมา”
พรรณีงง “เพชรนัดคุณธานินทร์ออกไปมาหาเหรอ จะเป็นไปได้ยังไง”
“นั่นสิแม่...แต่ท่าทางเขาโมโหมาก ท่านคงจะหายไปจริงๆ”
พรรณีสังหรณ์ใจประหลาด คิดว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ
“แล้วพิณรู้ไหมว่าตอนนี้พี่เขาอยู่ไหน”
พิณทองส่ายหน้า พรรณีนิ่งคิดตริตรองด้วยความกังวล
เวลานั้นเพชรแท้เดินเข้ามาในบ้านร้างที่นัดหมาย เห็นสภาพบ้านทรุดโทรม มีเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อยู่บ้าง เพชรแท้มองไปรอบๆ ตัวก็ยิ่งแปลกใจ ร้องเรียกธานินทร์พร้อมกับมองหา
“พ่อครับ...พ่อ...พ่อครับ”
หาทั่วข้างล่างก็ไม่เห็น เพชรแท้จึงเดินขึ้นบันไดมองหาชั้นบน
“พ่อครับ”
เพชรแท้ไม่เห็นใคร เลยลงมาข้างล่าง สักครู่หนึ่งธานินทร์จึงเดินเข้ามา
“เพชรแท้”
เพชรแท้หันมา มองธานินทร์ เรียกน้ำเสียงอ่อนโยน “พ่อ...” ขณะเดินเข้าไปหาธานินทร์
“พ่อขอโทษที่มาช้า พ่อไม่เคยมาแถวนี้ เลยหลงทางไปซะไกล”
ฟังที่พ่อบอกเพชรแท้แปลกใจมาก
“แล้วทำไมเราถึงต้องมาที่นี่ด้วยล่ะ” ธานินทร์มอง ท่าทีแปลกใจ “มันเกี่ยวอะไรกับความลับของพ่อหรือเปล่า”
ธานินทร์ฉงนหนัก “อะไรนะ ลูกพูดเรื่องอะไร”
“เรื่องความลับของพ่อไง...พ่อส่งจดหมายบอกผมว่าพ่อมีความลับอะไรอยากจะบอก”
“เดี๋ยวๆ พ่อน่ะเหรอ ส่งจดหมายหาลูก”
เพชรแท้ควักจดหมายออกมา “นี่ไง”
ธานินทร์รับมาดู สังหรณ์ใจวูบหนึ่ง
“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้ายังงั้น”
“จดหมายนี่ไม่ใช่ของพ่อ”
ธานินทร์ควักจดหมายของตัวเองขึ้นมา ส่งให้เพชรแท้ ซึ่งเพชรแท้อ่านด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ถ้าให้พ่อเดา...พ่อเดาว่าจดหมายนั่นก็คงไม่ใช่ของลูก”
“นี่มันหมายความว่ายังไง”
ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ได้ยินเสียงประตูถูกปิดดังปัง และเหมือนมีมือของใครคนหนึ่งกำลังใส่กุญแจประตูล็อคจากทางด้านนอก
“เฮ้ย...” เพชรแท้ร้องหลังฟังอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อได้สติจึงรีบวิ่งไปที่ประตู “ประตูเปิดไม่ได้ นี่มันอะไรกัน”
เพชรแท้พยายามเขย่าประตู กระแทกเท่าไหร่ แต่ก็ไม่หลุด ธานินทร์กับเพชรแท้เริ่มลนลาน
เวลาต่อมาเพชรแท้วิ่งไปที่หน้าต่าง พยายามเปิด แต่ก็ไม่สำเร็จอีก ธานินทร์พยายามช่วย แต่ปรากฏว่าหน้าต่างทุกบานโดนปิดตาย!
ธานินทร์รำพึง “เราถูกขัง”
เพชรแท้โมโหปาจดหมายลงพื้น “อะไรกันนี่” ทุบประตูตะโกนก้อง “เฮ้ย ใครอยู่ข้างนอก” เพชรแท้ออกแรงทุบประตูเป็นการใหญ่ “เปิด ได้ยินไหม กูบอกให้เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
ธานินทร์ตะโกนช่วยอีกคน “เปิดนะ คุณเป็นใครมาปิดประตูขังพวกเราไว้ทำไม”
จังหวะนั้นเอง สองพ่อลูกไม่ทันเห็นว่ามีน้ำมันก๊าดค่อยๆ ไหลนองเข้ามาภายในบ้าน
บ่วงรัก ตอนที่ 10 (ต่อ)
ธานินทร์พูดไม่ทันขาดคำ เพชรแท้ก็ได้กลิ่นอะไรแปลกๆ ชายหนุ่มทำจมูกฟุดฟิด พร้อมกับมองหาที่มา
“กลิ่นอะไร”
“อะไรลูก” ธานินทร์สงสัย
“ผมได้กลิ่น...เหมือนน้ำมันก๊าด”
ว่าพลางเพชรแท้ค่อยๆ ก้มลงมองไปที่เท้า เห็นพื้นเปียกเฉอะแฉะมีน้ำมันลอย ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง เห็นที่ท่อน้ำตรงมุมห้องมีน้ำมันรั่วออกมา เพชรแท้ชักเดาออก ตกใจสุดขีด
“เฮ้ย”
ไวเท่าความคิดเพชรแท้กระชากมือธานินทร์วิ่งไปที่บันได วินาทีเดียวกับไฟที่ถูกจุดมาจากด้านหลังบ้านเปลวไฟวิ่งพรึบเป็นทางมาตามน้ำมันที่เจิ่งนองทั่วพื้นบ้าน
ไฟไหม้ลามตามรอยเท้าของสองพ่อลูกสว่างวาบเป็นทาง เพชรแท้พาธานินทร์หนีขึ้นบันไดไปได้อย่างหวุดหวิด ไฟไหม้ลุกโชนไปทั่วบริเวณชั้นล่าง
“หนีขึ้นไปข้างบนก่อน หนีไป”
เพชรแท้ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตัวเองออก มาคลุมให้ธานินทร์ และพาพ่อหนีขึ้นไปยังชั้นสอง จังหวะนั้นเพชรแท้นึกได้ จะวิ่งกลับไปเก็บจดหมายที่พื้น แต่ไม่ทัน เพราะจดหมายทั้งสองฉบับนั้นถูกไฟไหม้ไปหมดแล้ว
เพชรแท้พาธานินทร์ขึ้นไปบนชั้นสองแล้ว สองคนวิ่งไปทางโน้นทางนี้ พยายามหลบเข้าไปในมุมที่ปลอดภัยที่สุดขณะเดียวกันเพชรแท้พยายามหาทางจะเปิดหน้าต่างออกไป แต่หน้าต่างชั้นสองก็ถูกปิดตายจากข้างนอกเช่นกัน
“โธ่เว้ย”
ธานินทร์ตกใจตั้งข้อสังเกต “นี่มันอะไรกัน เพชร มีคนจะเผาเราให้ตายทั้งเป็นงั้นหรือ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ต้องกลัวนะ ผมจะพาพ่อออกไปให้ได้”
เพชรแท้บอกอย่างมุ่งมั่นแล้วหาทางกระแทกหน้าต่างออกไป ควันจากชั้นล่างเริ่มลอยเข้ามา เสียงโทรศัพท์มือถือของเพชรแท้ดังขึ้น
เพชรแท้รีบรับสาย “ฮัลโหล”
เป็นพรรณี ที่อยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะโทร.มา
“เพชร เพชรอยู่ที่ไหนลูก”
“แม่ เพชรถูกขังอยู่ในบ้านร้างแถว...” เพชรแท้บอกชื่อสถานที่ “ออกไปไม่ได้ ไฟกำลังไหม้ด้วย”
พรรณีตกใจมาก “ตายจริง แล้วท่านอยู่กับเพชรหรือเปล่า
“อยู่จ้ะ เราสองคนโดนหลอกให้มาเจอกัน เพชรกำลังหาทางหนีออกจากบ้าน เท่านี้ก่อนนะแม่ ไฟลามขึ้นมาแล้ว”
เพชรแท้วางสายไปแล้ว พรรณีใจสั่น
“เพชร เพชร”
เพชรแท้เอาเก้าอี้เก่าๆ ในห้อง ฟาดสุดแรงหวังทลายหน้าต่างเพื่อหาทางออกไป ธานินทร์เริ่มสำลักควันไฟ ทรุดตัวลงพิงผนัง ทำท่าจะหมดแรง
“อดทนหน่อยนะพ่อ อดทนหน่อย”
เพชรแท้พยายามต่อไป บานหน้าต่างเกือบจะหลุดแล้ว แต่ไฟเริ่มไหม้ลามเลียมาตามคาน
เพชรแท้กระแทกหน้าต่างสุดแรง แข่งกับเปลวไฟที่โหมไหม้แรงขึ้นๆ แรงกระแทกทำให้ไม้ที่ไหม้ไฟหล่นลงมาใส่เพชรแท้ ธานินทร์เห็น ร้องสุดเสียง
“เพชรระวัง”
พร้อมกันนั้นธานินทร์รวบรวมแรงกายวิ่งเอาตัวเองเข้าไปขวางไว้ แล้วผลักเพชรแท้ออกไปอีกทาง ไม้หล่นใส่ตู้ใบใหญ่ ล้มมาทับช่วงขาของธานินทร์
เพชรแท้ตกใจสุดขีดร้องลั่น “พ่อ”
ธานินทร์ร้อง “โอ้ย” ด้วยความเจ็บปวด
เพชรแท้ซึ่งล้มอยู่รีบพยุงกายขึ้น ตะเกียกตะกายมาช่วยธานินทร์ พยายามใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีดันตู้ออกจากขาพ่อจนสำเร็จ
ธานินทร์หมดแรง ทรุดลง เพชรแท้รีบเข้ามาประคอง
“พ่อเป็นอะไรหรือเปล่า”
ธานินทร์หอบหายใจถี่ๆ “ไม่เป็นไร”
ไฟเริ่มโหมไหม้ลุกโชตช่วงมากขึ้นจนจะกลืนกินบ้านทั้งหลัง
“เราต้องไปแล้วพ่อ”
เพชรแท้ลุกขึ้น พยุงตัวธานินทร์เดินไปด้วยกัน แต่ธานินทร์เจ็บขา ล้มลงไปอีก
“ทำใจดีๆ ไว้พ่อ พ่อต้องอดทน มานั่งนี่ก่อน” เพชรแท้พาธานินทร์ไปนั่งอีกมุมหนึ่ง
ไฟลุกโชนโหมแรงมากขึ้นๆ
ขณะเดียวกันพรรณีกับพิณทอง นั่งจับมือกันอยู่ในรถแท็กซี่ กระวนกระวายใจ
พรรณีร้องไห้ปากก็บอกพร่ำกับคนขับ “ขับเร็ว ๆ หน่อยซี” หันมาหาพิณทองหน้าซีด “เพชรจะเป็นยังไงบ้าง”
“พี่เพชรต้องปลอดภัยจ้ะแม่”
พิณทองเองก็ร้องไห้ออกมาด้วย
ส่วนที่ชั้นบนบ้านร้าง เพชรแท้พยายามพังประตู หน้าต่างต่อไป ในขณะที่ไฟกำลังลุกไหม้ ธานินทร์นั่งอยู่รู้สึกเจ็บแผล แต่เอาใจช่วยเพชรแท้ จังหวะหนึ่งเพชรแท้ใช้มือดึงประตูจนได้แผลเลือดไหลออกมา
ธานินทร์ตกใจ “เพชร เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
“ไม่เป็นอะไรพ่อ”
เพชรแท้พังประตูต่อไป ในขณะที่ไฟค่อยๆ โหมไหม้เข้ามาเรื่อยๆ ขื่อ และคานไม้ เริ่มถูกไหม้ไฟจนตกหล่นลงมา
เป็นระยะ ในที่สุดเพชรแท้ก็พังประตูสำเร็จ เขารีบเดินออกไปดูตรงระเบียง และกลับมาหาธานินทร์
“เรารอดแล้ว เราออกไปได้พ่อ เราออกไปได้”
เพชรแท้พยายามพยุงตัวธานินทร์ แต่ธานินทร์เจ็บทั้งแผลใหม่กับโรคร้ายที่รุมเร้าจนลุกไม่ไหว
“พ่อไม่ไหวแล้ว”
“พ่ออดทนไว้นะ พ่อต้องไปไหว ต้องไปไหว พ่อไม่ไป ผมก็ไม่ไป เราต้องไปด้วยกัน ผมไม่มีวันทิ้งพ่อ”
“เพชร ลูกไปเถอะ ถ้าพ่อไปเดี๋ยวจะพาลูกตกไปเปล่าๆ พ่อไม่ไป พ่อไม่ไป” ธานินทร์ห่วงสายโลหิตมากกว่าตัวเอง
“ไม่พ่อ พ่อต้องไป เราต้องทำได้” เพชรแท้บอกอย่างเด็ดเดี่ยว “ผมจะพาพ่อไปให้ได้ เดี๋ยวผมทำให้ดูนะ”
เพชรแท้ออกมาที่ระเบียง แล้วปีนข้ามระเบียงไม้ออกไป พยายามอธิบายให้ธานินทร์ฟัง
“ผมจะข้ามออกมา แล้วจะให้พ่อค่อยๆ เกาะลงไป...พ่อต้องทำได้ เชื่อผมซี พ่อต้องทำได้”
ธานินทร์มองเพชรแท้นิ่ง ท่าทีลังเลหนัก
“เดี๋ยวผมไปช่วยนะ”
เพชรแท้จะเดินเข้ามาพยุงพ่อ แต่กลับถูกธานินทร์ร้องห้าม
“หยุด ไม่ต้อง”
ธานินทร์พยายามเดินไปด้วยตัวเองจนออกมาถึงระเบียง
เพชรแท้เอื้อมมือไปรับธานินทร์ ทั้งคู่กอดกันร้องไห้
ระหว่างนั้น ไฟไหม้ลามเลียมาใกล้แทบจะไหม้ตัว จนธานินทร์รู้สึกเจ็บปวดแสบร้อนมากขึ้น
ธานินทร์จับหน้าเพชรแท้เหมือนจะจดจำดวงหน้านี้ไปนานเท่านาน
“คราวนี้...พ่อนอนตายตาหลับแล้ว เพชร” ธานินทร์สวมกอดลูกชายอีกครั้งอย่างเต็มรัก “ลูกจำไว้นะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พ่อรักลูกของพ่อ พ่อรักลูก”
ไฟลามเลียเข้ามาใกล้ ควันหนาขึ้นทุกที
ธานินทร์น้ำตาไหลริน เห็นเปลวไฟล้อมใกล้เข้ามา ตระหนักชัดว่าอีกไม่นานไฟก็จะลามมาถึงตัว และรู้ตัวดีว่าร่างกายตนไม่ไหวแล้ว ธานินทร์ตัดสินใจเอามือสองข้างจับไหล่เพชรแท้ จดสายตามองหน้าลูกชายนิ่งนาน เหมือนกับว่าจะไม่ได้เห็นใบหน้านี้อีกแล้ว
ธานินทร์รวบกำลังผลักเพชรแท้สุดแรงจนร่างกระเด็นลงไปยังพื้นด้านล่าง ไฟไหม้กระพือโหมขึ้นมาโดยรอบ
เพชรแท้ตกลงไปที่พื้นหญ้า ธานินทร์โซเซอยู่ที่ระเบียง ไม่มีแรงลุกขึ้นมาอีกแล้ว
เพชรแท้ใจหายวาบพยายามตะกายขึ้นมา เห็นร่างธานินทร์ผู้เป็นพ่ออยู่ท่ามกลางกองเพลิงที่ลุกโชติช่วง ไม่อาจจะกลับเข้าไปช่วยได้
เพชรแท้ตะโกนก้อง “พ่อ...พ่อทำแบบนี้ทำไม ทำแบบนี้ทำไม”
จังหวะนั้นพิณทอง และพรรณีมาถึงพอดี เห็นไฟไหม้ไปทั้งหลังแล้ว ก็ยิ่งตกใจ
“เพชร” พรรณีโผเข้าหารั้งไว้ “อย่าลูก อย่าเข้าไป คุณธานินทร์ล่ะ”
“แม่ผมช่วยพ่อไม่ได้ พ่ออยู่ในนั้น” เพชรแท้ร้องไห้โฮ “พ่ออยู่ในนั้น” ตะโกนสุดเสียง “พ่อ”
พรรณีมองขึ้นไปชั้นบน เห็นธานินทร์อยู่ในกองไฟใจจะขาดรอนๆ “ธานินทร์ โธ่ธานินทร์”
ระหว่างนั้นยินเสียงไซเรนรถดับเพลิงดังมาแต่ไกล ขณะที่พรรณีกอดเพชรแท้ร้องไห้แทบขาดใจ
ครู่ต่อมาเพชรแท้ไม่ยอมยังพยายามจะเข้าไปช่วยธานินทร์ แต่ถูกรั้งตัวไว้โดยพนักงานดับเพลิง นาทีเป็นนาทีตายนั้นธานินทร์มองเห็นพรรณีกอดเพชรแท้ที่ร้องไห้ ราวกับจะจดจำสองคนที่เขารักมากที่สุดไว้ตราบนานเท่านาน
ไฟล้อมตัวธานินทร์ไว้หมดทุกทิศ ธานินทร์มองลงไปเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะเจ็บปวดเหลือแสน แต่ใบหน้าของเขากลับมีแต่รอยยิ้ม เมื่อได้เห็นพรรณี และได้ยินเสียงเพชรแท้เรียกตนว่า “พ่อ...” เต็มปาก เต็มคำและเต็มใจ
ร่างของธานินทร์ค่อยๆ ล้มลงกับพื้น ใบหน้าสงบนิ่ง
รถดับเพลิงมาถึง พนักงานช่วยกันลากสายยางเข้ามาฉีดน้ำดับเปลวเพลิงอย่างขันแข็ง
ที่บริเวณสนามหน้าบ้าน เพชรแท้ทรุดตัวลงคุกเข่าร้องไห้ พรรณีกอดเพชรแท้ไว้ มองดูบ้านที่ถูกไฟลุกลามท่วมทั้งหลัง ร้องไห้ปิ่มว่าขาดใจ
“พ่อ...ทำไมพ่อไม่เชื่อผมล่ะ”
“คุณธานินทร์ได้ยินไหมฉันรักคุณ คุณธานินทร์”
พิณทองมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า ร้องไห้ออกมาด้วยความสลดหดหู่ใจ
เวลาเดียวกันอังคณายืนนิ่งอยู่ในห้องทำงานธานินทร์ พึมพำกับตัวเองดวงตาวาวโรจน์
“จบสิ้นกันเสียที ในที่สุดฉันก็เป็นฝ่ายชนะ ลาก่อนนะธานินทร์”
จังหวะที่ชนะศึกกำลังเดินเข้าบ้านมา เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล”
เป็นพิณทองซึ่งอยู่ที่โรงพยาบาล ร้องไห้ไปด้วยขณะบอกชนะศึก
“ฮัลโหล คุณชนะศึกเหรอคะ”
ชนะศึกแปลกใจในเสียงสะอื้น “เป็นอะไร”
“คุณช่วยมาที่โรงพยาบาล...(ชื่อ) ด่วนเลยนะคะ คุณพ่อของคุณอยู่ที่นี่”
ชนะศึกตกใจ “คุณพ่อของผมอยู่ที่โรงพยาบาลเหรอ ไปได้ยังไง ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ท่าน..” พิณทองสะอื้นฮักๆ “ท่านกับพี่เพชรติดอยู่ในบ้านที่โดนไฟไหม้ รถดับเพลิงช่วยออกมาไม่ทัน ท่าน ท่าน...เสียแล้วค่ะ”
จากนั้นพิณทองก็ร้องไห้โฮวางสายไป
ชนะศึกยืนตัวชาไปทั้งร่าง ตะลึง อึ้ง ช็อคสุดขีด ไม่มีเรี่ยวแรง โทรศัพท์ร่วงหลุดมือโดยไม่รู้ตัว
บ่วงรัก ตอนที่ 10 (ต่อ)
ชนะศึกเคาะประตูห้องชนกนันท์อย่างร้อนใจ
“นก นกเปิดประตูหน่อย”
ชนกนันท์ในชุดเสื้อคลุมอยู่กับบ้านเปิดประตูออกมา
“มีอะไรคะ” พอเห็นหน้าชนะศึกที่ซีดขาวราวกระดาษก็ตกใจ “พี่ชนะ พี่ชนะเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นคะ”
“พี่มีข่าวร้าย ทำใจดี ๆ นะยัยนก คือว่า คุณพ่อ คุณพ่อของเรา...” ชนะศึกพูดไม่ออก
“คุณพ่อเป็นอะไรหรือคะ”
“คือ คุณพ่อ คุณพ่อไปหาไอ้เพชรแท้” ชนกนันท์รอฟัง ยิ่งแปลกใจ “แล้วไปติดอยู่ในบ้านที่มีไฟไหม้ ช่วยออกมาไม่ทัน คุณพ่อ...เสียแล้วนก”
ชนกนันท์ตะลึง ช็อค “หา”
“คุณพ่อท่านเสียแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้ ไม่จริงใช่ไหมคะ” ชนกนันท์เสียใจ รับไม่ได้
ชนะศึกเรียกสติน้องสาวกลับมา พยายามตัดใจ “นกทำใจดีๆ ไว้ เข้มแข็งไว้นะ เราต้องรีบไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ นก เปลี่ยนเสื้อแล้วลงไปรอพี่ข้างล่าง พี่จะไปบอกคุณแม่”
เสียงอังคณาแทรกเข้ามา “แม่รู้แล้ว”
อังคณาเดินหน้านิ่งๆ เข้ามา ชนะศึกพยายามพูดปลอบ
“คุณแม่ครับ คุณแม่ทำใจดีๆ ไว้นะครับ”
อังคณาตัดบท “มีอะไรไว้ค่อยพูดกัน เราไปดูคุณพ่อกันก่อนดีกว่าลูก”
กลางดึกคืนนั้น ที่หน้าห้องดับจิตของโรงพยาบาลท้องที่เกิดเหตุ คนละแห่งกับที่ธานินทร์รักษาตัว ครอบครัวพรรณีนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง ทุกคนเศร้าเสียใจ เพชรแท้นั่งซึม เนื้อตัวยังเปื้อนเขม่าควันไฟสีดำ ก้มหน้ามองพื้น มีอาการของคนที่ช็อคเสียใจสุดขีด ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ยังหลอกหลอน เป็นภาพตอนที่ธานินทร์ผลักตนให้ตกลงมาจากระเบียงบ้านร้างที่ไฟไหม้ เพื่อช่วยชีวิตเอาไว้
เวลาเดียวกันชนะศึกเป็นคนขับรถ อังคณานั่งนิ่งอยู่เบาะหลัง ชนกนันท์นั่งข้างชนะศึก พอได้รู้เรื่องราวทั้งหมด ก็ยิ่งโกรธมาก
“เป็นไปได้ยังไง คุณพ่อป่วยขนาดนั้น ยังจะไปหาไอ้เพชรแท้ทำไมกลางดึกกลางดื่น มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน พยาบาลของคุณพ่อก็ยืนยันว่ามันส่งจดหมายมานัดคุณพ่อ แต่บ้านนั้นเขาก็อ้างว่าคุณพ่อต่างหากที่เป็นคนส่งจดหมายนัดมันออกไปที่นั่น”
“แล้วจดหมายนั่นอยู่ที่ไหนล่ะคะ? เอามายืนยันกันดูสิ”
“ไม่มี ไฟไหม้ไปหมดแล้ว เลยไม่มีใครยืนยันได้ว่าความจริงมันเป็นยังไง”
อังคณะนั่งฟังอยู่ แอบแสยะยิ้มสะใจ
“ไม่ว่าใครจะว่ายังไง แต่ความจริงก็คือไอ้เพชรแท้นั่นแหละเป็นคนทำให้พ่อเราตาย ถ้าพ่อไม่ออกไปหามัน ที่นั่น พ่อคงไม่เป็นแบบนี้” ชนกนันท์บอกอย่างคั่งแค้น
“ใช่เพราะไอ้เพชรแท้คนเดียว เพราะมันคนเดียว”
ชนะศึกกับชนกนันท์โกรธแค้นเอามากๆ อังคณาที่ฟังอยู่ยิ่งรู้สึกสาแก่ใจ
ชนะศึกตาแดงกร่ำ เดินเข้ามาหน้าห้องดับจิต ท่าทางเคร่งเครียด อังคณากับชนกนันท์เดินตามมาติด ๆ
ชนะศึกกวาดตามองทุกคน ไปหยุดที่เพชรแท้เป็นคนสุดท้าย พูดเสียงกร้าว
“คุณพ่อผมอยู่ที่ไหน”
พิณทองชี้มือไปที่เก็บศพ
“ในห้องนั้นค่ะ
ชนะศึกเดินไปไม่พูดไม่จา ชนกนันท์ที่ร้องไห้จนตาแดงก่ำ ถลึงตาใส่พิณทองคาดโทษ
“รออยู่นี่ก่อนนะ
สองแม่ลูกเดินตามชนะศึกเข้าไป
ทั้งสามเดินเข้ามาในห้องดับจิต ศพธานินทร์ถูกผ้าคลุมเอาไว้เรียบร้อย ชนะศึกเดินเข้าไปใกล้ เปิดผ้าคลุมออก
ทั้งสามคนเห็นสภาพศพต่างก็เศร้าสลดใจ อังคณาเองก็อดที่จะรู้สึกสลดใจไม่ได้
ชนะศึกร้องไห้ “คุณพ่อครับ คุณพ่อหลับให้สบายนะครับ ไม่ต้องห่วง”
ชนกนันท์ร้องไห้ฟูมฟาย “โธ่ คุณพ่อ นกรักคุณพ่อนะ คุณพ่ออย่าจากนกไปอย่างนี้ซี อย่าทิ้งนกไป”
อังคณายืนนิ่งอยู่ห่างออกไป พูดน้ำเสียงเรียบๆ
“ลาก่อนนะคะธานินทร์”
ชนะศึกกอดชนกนันท์ ทั้งสองร้องไห้เสียอกเสียใจ
ชนกนันท์เดินออกมา เจอพวกพรรณีที่นั่งอยู่ ก็เข้าไปตวาดเสียงเกรี้ยวกราดใส่เพชรแท้
“พ่อฉันตายได้ยังไง”
ชนกนันท์ถลาเข้าหาเพชรแท้ กระชากคอเสื้อเพชรแท้ให้ลุกขึ้นมา เพชรแท้ไม่ขัดขืน ชนกนันท์ด่าไปร้องไห้ไป
“แกใช่ไหมที่ทำให้พ่อฉันตาย แกใช่ไหม แกใช่ไหม”
ทุกคนยืนมอง ไม่เข้าไปห้าม
พรรณีพยายามอธิบาย “เพชรไม่ได้เป็นคนทำนะคะ”
“มันนั่นแหละ ก็เพราะมันพ่อถึงได้ไปที่นั่น เพราะมันพ่อถึงได้โดนไฟคลอกตาย”
ชนกนันท์บันดาลโทสะ ผลักเพชรแท้สุดแรงด้วยความแค้น ร่างเพชรแท้เซไปกระแทกผนัง หัวโขกกำแพงจนแตกมีเลือดไหลออกมา
พรรณีตกใจ “เพชร”
พรรณีกับพิณทองเดินเข้าไปหาเพชรแท้
“แกเห็นศพพ่อฉันไหม ว่าอนาถขนาดไหน ฉันเป็นลูก ฉันยังเกือบจำเขาไม่ได้ พ่อฉันโดนไฟเผาตายทั้งเป็น! แกนึกออกไหมว่าก่อนเขาตายเขาจะรู้สึกยังไง เขาจะเจ็บปวดทรมานซักขนาดไหน แกนึกออกไหม”
ชนกนันท์อาละวาด เข้าไปกระชากคอเสื้อเพชรแท้ ผลักออก เพชรแท้เซไปไม่สู้ สีหน้าของเพชรแท้ยามนี้มีแต่ความเจ็บช้ำ และรู้สึกผิด ไม่โกรธ ไม่โต้ตอบ ไม่พูดอะไร
คนอื่นๆ ที่ยืนอยู่โดยรอบต่างสะเทือนใจกับความเสียใจของชนกนันท์ที่ระบายออกมา จนไม่มีใครกล้าพูดหรือกล้าขัดขวาง
“เจ็บใช่ไหม”
เพชรแท้มองชนกนันท์นิ่ง ไม่ตอบโต้ เข้าใจความเจ็บปวดของน้องสาวต่างมารดา เพราะนั่นคือสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้เช่นกัน แต่ชนกนันท์ยังไม่หายแค้น ผลักเพชรแท้จนล้มลงไป
“แค่นี้ยังน้อยไป ถ้าฉันมีปืน ฉันจะยิงแกให้ดิ้นตายไปตรงนี้เลย ฉันอยากให้แกตายอย่างทรมาน เหมือนกับที่แกทำพ่อฉัน ไอ้เพชรแท้ ไอ้สารเลว”
ชนกนันท์ร้องไห้ฟูมฟาย พลางระดมทุบตีไม่ยั้ง เพชรแท้ไม่หลบ ไม่ปัดป้อง ปล่อยให้ชนกนันท์ตบตีตามใจจนชนกนันท์เป็นลมล้มพับไป
“นก” ชนะศึกรีบเข้ามาประคอง
อังคณาเข้ามาประคองชนกนันท์ด้วย
พรรณีเข้ามาประคองเพชรแท้ขึ้นมา พิณทองขอร้องชนะศึก
“พอทีเถอะค่ะ อย่าซ้ำเติมกันเลย เท่านี้พี่เพชรก็เสียใจมากพอแล้ว”
“คนอย่างพี่ชายคุณจะเสียใจได้ยังไง” ชนะศึกไม่สนใจฟัง มองจ้องเพชรแท้ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ลูกที่ไม่เคยรักพ่อ ไม่เคยทำดีกับพ่อ แถมยังพาพ่อตัวเองไปตาย คนอย่างพี่คุณคงไม่มีหัวใจหรอก”
จากนั้นชนะศึกและอังคณาก็ประคองชนกนันท์ออกไป
ขณะที่เพชรแท้อึ้งด้วยความรู้สึกผิด
กลับถึงบ้านกลางดึก ชนะศึกเดินเข้ามาในห้องทรุดตัวนั่งที่มุมหนึ่ง ความรู้สึกเศร้า ความเสียใจ ที่อดกลั้นเอาไว้ มาเป็นริ้วๆ จนท่วมท้นขึ้นมา น้ำตาลูกผู้ชายรินไหลออกมาเงียบๆ และแรงขึ้นๆ
“คุณพ่อ ทำไม ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ ทำไม” สะอึกสะอื้น “มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้เลย ทำไม”
ความเสียใจแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น ชนะศึกคำราม
“เพราะมันแท้ ๆ เพราะมัน...พ่อถึงต้องทนทุกข์ทรมานขนาดนี้ เพราะมันพ่อถึงต้องตาย เพราะมันคนเดียว”
ชนะศึกลุกขึ้นทุบผนัง ก่อนจะหันมากวาดข้าวของพังระเนระนาดเพื่อระบายอารมณ์แค้น ตะโกนลั่นห้อง
ยิ่งพอชนะศึกเห็นรูปของตนที่ถ่ายคู่กับธานินทร์ก็ยิ่งอาลัย หยิบรูปขึ้นมา ใช้มือลูบไล้ไปที่รูป และเอามากอดไว้แนบอก
“ไอ้เพชรแท้! ไอ้ลูกทรพี แกทำให้พ่อต้องตาย ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหนฉันก็ไม่มีวันให้อภัยแก ไม่มีวัน!”
ชนะศึกโกธแค้นและอาฆาตพยาบาท
วันต่อมา อังคณากำลังแต่งตัวแต่งหน้าเพื่อเตรียมตัวไปงานสวดศพ ท่าทางราวกับนักแสดงที่กำลังจะแต่งตัวไปงานพรมแดง อังคณาสวมเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายเสร็จ มองดูเงาตัวเองในกระจก ยิ้มน้อยๆ อย่างพึงพอใจ พึมพำออกมา
“เหลือแค่อีกเปลาะเดียว ทุกอย่างก็จะจบ ฉันจะได้สบายใจซักที”
อังคณาหยิบโทรศัพท์มากดโทร.หาเรืองโรจน์
“เป็นไงบ้าง”
เรืองโรจน์อยู่ในสูทชุดดำ กำลังขับรถมาตามถนน
“เรียบร้อยดีครับ...ตำรวจไปที่บ้านหลังนั้น แล้วก็ได้หลักฐานไปแล้ว”
“ดี!..เดี๋ยวฉันจะไปรอที่วัด แกช่วยจัดการทุกอย่างให้เป็นไปตามแผน ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยภายในวันนี้”
อังคณาวางสาย ยิ้มเหี้ยมเกรียมระบายทั่วใบหน้างามนั้น
ภายในศาลาสวดพระอภิธรรมศพภายในวัดแห่งหนึ่ง รูปธานินทร์ตั้งเด่นอยู่หน้าโลงศพ ซึ่งข้างในบรรจุศพของธานินทร์ในโลงแล้ว
ที่ด้านนอก บรรดาคนรับใช้ในบ้านเลิศชัยวัฒน์ ต่างมาช่วยกันต้อนรับแขกอยู่ เริ่มมีแขกมาบ้างนิดหน่อย ชนะศึกยืนต้อนรับแขกอยู่มุมหนึ่ง และพาแขกเดินเข้ามานั่งในศาลา
ที่โซฟารับแขกในศาลา อังคณากับชนกนันท์นั่งเศร้าอยู่ อังคณาร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เสียใจด้วยนะครับ คุณอังคณา คุณธานินทร์ไม่น่าอายุสั้นเลย” แขกคนรู้จักกันเอ่ยขึ้น
อังคณาพูดไปร้องไห้ไป “ที่เป็นแบบนี้ เพราะตัวเขาเองนั่นแหละ” หยุดนิดหนึ่ง “ถ้าเขาไม่ไปที่นั่น”
“นั่นซีครับ ได้ทราบข่าวผมยังแปลกใจ คุณธานินทร์ไปทำอะไรแถวนั้น” แขกสงสัย
“ก็เรื่องงานนั่นแหละค่ะ แกไปตามงานลูกน้อง คุณธานินทร์น่ะ แกทำงานหนัก ไม่คิดถึงอะไรอย่างอื่น นอกจากงาน”
ชนกนันท์ฟังอยู่เหลือบมองแม่ เห็นแม่ร้องไห้ฟูมฟายมาก และอดแปลกใจไม่ได้ที่แม่โกหกได้เนียนขนาดนั้น
อีกมุมหนึ่ง ชนะศึกยืนคุยกับศักดา สองคนมองไปทางอังคณา
“น่าสงสารคุณอังคณานะครับที่ต้องคอยตอบคำถามทุกคนว่า...คุณท่านไปทำอะไรที่นั่น”
“ก็ไม่รู้จะไปปิดบังเขาทำไม น่าจะบอกไปเลยว่าพ่อไปหาลูกเมียเก่า” ชนะศึกประชด
“คุณอังคณาก็คงจะอายน่ะครับ” ศักดาว่า
“ทำไมต้องอาย ก็มันจริง ถ้าคุณพ่อไม่ไปที่นั่น ทุกวันนี้คุณพ่อก็ยังอยู่กับฉัน”
เวลาเดียวกันที่นอกศาลา พรรณี พิณทอง และเพชรแท้ เดินเข้ามา ศักดามองเห็นก่อนเดินพุ่งเข้าไปต้อนรับ ชนะศึกเมินมองและเดินหนีไปทางอื่น
ศักดาเข้าไปไหว้ทักทาย “สวัสดีครับคุณพรรณี”
พรรณีรับไหว้ พิณทองไหว้ศักดานอบน้อม
“สวัสดีค่ะ”
เพชรแท้มองเข้าไปในศาลา รู้สึกเศร้า ศักดาตามสีหน้าเป็นกังวล “เชิญข้างในครับ”
ทันใดนั้น อังคณา ก็เดินออกมาหพร้อมกับชนกนันท์ อังคณาแหวใส่
“พวกแกมาทำไม”
แขกเหรื่อในงานทุกคนหันมามองที่อังคณากับกลุ่มของพรรณี งงกันไปเป็นแถบ
“ฉันจะมาไหว้ศพคุณธานินทร์” พรรณีบอกเสียงเรียบ
“ฉันไม่ให้แกไหว้ กลับไปซะ” ชนกนันท์แว้ดขึ้น
“ฉันขอร้องเถอะ” พรรณีพูดด้วยดีๆ
“พวกแกเป็นต้นเหตุทำให้พ่อฉันต้องตาย ยังจะหน้าด้านมาที่นี่อีกเหรอ” ชนกนันท์ด่า
“เราไม่ได้ทำนะคะ”
ชนกนันท์สวนออกมาไม่ไว้หน้า “ทำไมจะไม่ได้ทำ พ่อฉันต้องตาย เพราะไปหาพวกที่บ้าน” แล้วหันมาทางเพชรแท้ “แกพาพ่อฉันไปตาย”
เพชรแท้ก้มหน้านิ่ง ไม่ต่อคำ ชนกนันท์ปราดเข้าไปตบหน้าสุดแรง แต่เพชรแท้ก็ไม่โต้ตอบอะไร
“ไม่ว่าคุณจะคิดยังไง แต่เพชรเป็นลูกชายของคุณธานินทร์ ลูกควรจะได้ไหว้พ่อของเขา” พรรณีบอก
“เลิกพูดได้เลย เรื่องพ่อลูกเนี่ย แกเอาอะไรมาพิสูจน์ ถ้ายังไม่มีหลักฐาน ฉันไม่ถือว่าพวกแกเกี่ยวข้องอะไรกับเขา ออกไปให้พ้นจากที่นี่ได้แล้ว” อังคณาไล่ตะเพิด
“คุณคะ ขอร้องเถอะ”
อังคณาขึ้นเสียง “ไม่” เข้ามาผลักพรรณีทันที “ออกไป”
พรรณีซวนเซล้มลงไป เพชรแท้ และพิณทองตกใจรีบเข้ามาประคองแม่
“แม่”
ชนกนันท์ด่าทอต่อว่าเพชรแท้ “ไอ้เลว แกฆ่าพ่อฉันแล้ว คิดจะมาขออโหสิกรรมจากเขาใช่ไหม” สาวขาวีนระงับอารมณ์ไม่อยู่ตบหน้าเพชรแท้ฉาดใหญ่ “ไม่มีทางหรอก อย่างแกมันต้องตกนรกหมกไหม้” ตบหน้าอีกฉาด และอาละวาดทุบตีเพชรแท้ไม่ยอมหยุด จนพรรณีต้องเข้าไปห้าม จังหวะนั้นเสียงชนะศึกดังขึ้น
“คุณแม่ครับ...ปล่อยเข้าไปเถอะครับ”
ทุกคนหันไปมอง ชนะศึกเดินเข้ามา
อังคณาไม่ยอม “ชนะ ไม่ได้นะ”
“เขามีสิทธิ์จะไหว้พ่อของเขา” ชนะศึกบอก
พิณทองมองจ้องหน้าชนะศึก สองคนสบตากันนิดหนึ่ง ยังมีแววตาโกรธเคือง และน้อยใจกันและกัน ชนะศึกเมิน มองไปทางอื่น
พรรณีพยักหน้าให้เพชรแท้เข้าไปไหว้ศพ เพชรแท้นิ่งไปนิด แล้วเดินเข้าไปในศาลา
ครู่ต่อมา เพชรแท้ยืนร้องไห้อยู่ที่หน้าโลงศพธานินทร์ จนพรรณีต้องเรียกบอกให้ไหว้ ทั้งสามคนนั่งคุกเข่า พิณทองหยิบธูปมา 3 ดอก จุดแล้วส่งให้แม่กับพี่ เพชรแท้พนมมืออยู่หน้าโลง จดสายตามองไปที่รูปธานินทร์ไม่วางตา เพชรแท้ร้องไห้ครวญคร่ำไม่หยุด
“ในชีวิตของผม ผมไม่เคยคิดเลยว่า ผมจะได้มากราบศพ คนที่ผมเรียกว่าพ่อถึงสองครั้ง ผมคงเป็นคนบุญน้อย ที่ไม่มีโอกาสทดแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่ที่พ่อมีให้กับผม...พ่อครับ ถ้าพ่อได้ยิน ผมอยากให้พ่อรู้ว่าผมดีใจที่ได้เจอพ่อ ได้กอดพ่อ แม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม ...ผมรักพ่อนะครับ”
เพชรแท้มองรูปธานินทร์สีหน้าเศร้าโศก พิณทองรับธูปมาปักลงที่กระถาง
เพชรแท้กราบเคารพศพพ่อแล้วสะอื้นร้องไห้อยู่หน้าโลงศพอย่างน่าเวทนา
อังคณา ชนกนันท์ และชนะศึก พากันมายืนมองอยู่ข้างหลัง ชนะศึกอึ้งไปกับภาพที่เห็น แต่อังคณากับชนกนันท์ไม่พอใจ เพชรแท้ลุกออกมาจากหน้าโลงศพ เช็ดน้ำตา
ชนะศึกพูดกับเพชรแท้ “รู้ไหม ทำไมฉันถึงยอมให้แกไหว้พ่อ
เพชรแท้มองหน้าชนะศึกนิ่งไม่พูดไม่จา ก่อนที่ชนะศึกจะพูดใส่หน้า
“ฉันอยากเห็นว่าไอ้คนที่ทำให้พ่อต้องตาย มันรู้สึกยังไง เวลาที่มันอยู่ต่อหน้าเขา”
เพชรแท้นิ่งไปอีก ด้วยรู้สึกว่าตัวเองก็มีส่วนทำให้ธานินทร์ต้องตายจริงๆ
ขณะเดียวกันที่ด้านนอกศาลาสวดพระอภิธรรมศพ รถตำรวจคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด นายตำรวจคนหนึ่งลงจากรถ พร้อมกับเรืองโรจน์ และตำรวจชั้นประทวนลูกน้องอีกคน ทั้งหมดเดินเข้ามาในศาลา
ตำรวจกับเรืองโรจน์เดินตรงเข้ามาหาอังคณา
“คุณอังคณาครับ”
อังคณาหันมาทางตำรวจ ชะงักนิดหนึ่ง “คะ”
“ผมต้องขอโทษอย่างสูงครับ เราจำเป็นต้องขอนำศพของคุณ ธานินทร์กลับไปชันสูตรอีกครั้ง” นายตำรวจบอก
ชนะศึกงวยงง “ทำไมล่ะครับ”
“เราพบหลักฐานบางอย่างเพิ่มเติมครับ จำเป็นต้องชันสูตรศพอีกครั้ง เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด” นายตำรวจคนเดิมว่า
“ข้อสรุปอะไรครับ” ชนะศึกซักทันที
“คุณธานินทร์อาจไม่ได้เสียชีวิต เพราะเหตุเพลิงไหม้ แต่อาจจะเป็นการฆาตกรรม”
ทุกคนตกตะลึง ชนะศึกมองหน้าเพชรแท้อย่างสงสัย
บ่วงรัก ตอนที่ 10 (ต่อ)
อีก 2-3 วัน ต่อมา ช่วงตอนกลางวัน ตรงบริเวณหน้าห้องพนักงานสอบสวนที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ชนะศึก และชนกนันท์นั่งรอผลชันสูตรศพธานินทร์อย่างกระวนกระวาย ต่างจากอังคณาที่สงบนิ่งและดูเยือกเย็นมาก
“แปลกจริงๆ คุณพ่อเสียชีวิตเพราะไฟไหม้ ทำไมมันกลายเป็นฆาตกรรมไปได้...ถ้ามันจริงก็แปลว่ามีใครตั้งใจฆ่าพ่องั้นเหรอคะ” ชนกนันท์ตั้งข้อสังเกต
“พี่ก็งงเหมือนกัน ความจริงคุณพ่อก็ไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครที่ไหน” ชนะศึกครุ่นคิด ในใจคิดว่าเป็นเพชรแท้ “จะเป็นใครได้ นอกจาก...”
พนักงานสอบสวนออกมาพอดี สามคนลุกขึ้น
“เราได้ผลการชันสูตรออกมาแล้วครับ”
อังคณาถามทันที “ว่าไงคะ สามีดิฉันเสียชีวิตเพราะอะไร”
“เราพบกระสุนปืนในร่างของเขาครับ” พนักงานสอบสวนบอก
ชนะศึกอึ้ง “อะไรนะ กระสุนปืนเหรอ คุณหมายความว่ายังไง”
“คุณธานินทร์ถูกยิงครับ หน่วยพิสูจน์หลักฐานพบปลอกกระสุน และปืนตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เลยนำศพกลับมาชันสูตรใหม่ ผลปรากฏว่าคุณธานินทร์เสียชีวิต เพราะบาดแผลจากกระสุนปืน ก่อนที่จะถูกไฟไหม้” พนักงานสอบสวนย้ำ
อังคณาถามนำทันที “เท่ากับเขาถูกยิงตาย แล้วรู้ไหมคะ ว่าใครเป็นคนยิงเขา”
“เราตรวจพบลายนิ้วมือบนปืนครับ ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานกำลังตรวจสอบอยู่ว่าเป็นลายนิ้วมือของใคร”
ชนะศึกอึ้งไปชั่วขณะ แล้วความโกรธแค้นก็เข้ามาแทนที่
เช้าวันใหม่ พรรณีกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในบ้านด้วยสีหน้าฉงน
“ฆาตกรรมเหรอ เป็นไปได้ยังไง”
เพชรแท้เดินเข้ามาได้ยิน จึงขอหนังสือพิมพ์จากพรรณีมาอ่าน
“ไหนแม่”
พรรณีส่งหนังสือพิมพ์ให้ เพชรแท้เอาไปอ่าน พิณทองกำลังทำงานบ้านอยู่ ชะเง้อถาม
“เขาบอกหรือเปล่าว่าใครยิง”
“เขาว่ารู้ตัวแล้วแต่ยังไม่เปิดเผย” เพชรแท้บอก
“แม่ไม่อยากเชื่อเลย คุณธานินทร์ถูกยิง” พรรณีคิดไปคิดมา “ไฟกำลังไหม้อยู่อย่างนั้น มันไปยิงกันตอนไหน”
เพชรแท้ลดหนังสือพิมพ์ลง “แสดงว่ามันคิดจะทำตั้งแต่ต้นไงแม่ มันหลอกพ่อให้พอหาเพชรที่นั่น แล้วก็เผาบ้าน ฉวยโอกาสช่วงที่กำลังวุ่นวาย มันก็แอบยิงพ่อ”
พรรณีสงสัยหนัก “ใครล่ะลูก ใครทำ...แล้วเขาจะทำทำไม”
สามแม่ลูกไม่รู้ว่ายามนี้ที่ซอยหน้าบ้าน มีรถตำรวจแล่นมาจอดตรงหน้าบ้าน ตามมาด้วยรถของชนะศึก ตำรวจ 2-3 คน ลงจากรถ ชนะศึกลงตามมาติดๆ ทั้งหมดตรงไปที่บ้านพรรณี พิณทองมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นก็ตกใจ
“แม่มีตำรวจมาเต็มเลย”
ทั้งสามคนออกมาหน้าบ้าน ตำรวจเดินตรงเข้ามาหาเพชรแท้
พรรณีงง “มีเรื่องอะไรกันเหรอคะ”
ตำรวจแจ้งข้อหาเพื่อขอจับกุมตัว “นายเพชรแท้ เราขอจับคุณในข้อหาฆาตกรรม นายธานินทร์ เลิศชัยวัฒน์”
“อะไรกัน จะบ้าเหรอ ผมไม่ได้ทำอะไรพ่อเขา” เพชรแท้โวยลั่น
ตำรวจอีกคนเข้ามาช่วยจับตัวเพชรแท้ให้หันหลังเพื่อให้ตำรวจอีกคนใส่กุญแจมือ
พรรณีตกใจร้องห้าม “หยุดนะ คุณมาจับลูกชายฉันเรื่องอะไร”
“ลูกชายคุณถูกกล่าวหาว่ายิงนายธานินทร์ เลิศชัยวัฒน์ตาย เราพบปลอกกระสุน และปืนที่มีลายนิ้วมือของเขา ตำรวจสันนิษฐานว่า ลูกชายคุณยิงคนตาย แล้วทำไฟไหม้เพื่ออำพรางคดี”
ตำรวจจับเพชรแท้ใส่กุญแจมือ
“คุณมีสิทธิ์จะไม่พูด คำพูดของคุณอาจถูกนำไปใช้ให้การในศาล...”
ตำรวจคุมตัวเพชรแท้ที่อึ้งๆ ไปหน้าบ้าน ชนะศึกยืนรออยู่ ทั้งสองมองหน้ากัน ต่างคนต่างแค้น
“แกคิดว่าฉันฆ่าพ่อยังงั้นเหรอ” เพชรแท้ถามใส่หน้า
ชนะศึกบอกเรียบๆ “ใครทำ มันต้องรับกรรมไป”
พรรณีตามมารีบบอก “เพชรไม่ได้ทำอะไรคุณธานินทร์นะคะ เพชรเป็นลูกนะ เพชรจะฆ่าพ่อได้ยังไง”
“ได้ซีครับ” ชนะศึกมองจ้องหน้าเพชรแท้อย่างแค้นเคือง “เพราะเขารู้ว่าทันทีที่พ่อผมตาย เขาจะได้รับมรดกมหาศาลจากพ่อตามพินัยกรรม เสียแรงพ่อฉันดีกับแก แต่แล้วแกกลับเนรคุณเขา ทรยศเขา...”
เพชรแท้สวนคำ “ฉันไม่ได้ทำ”
ชนะศึกตอกกลับ “แกไปพูดในศาลเถอะ...ถ้าความยุติธรรมมีจริง แกจะต้องชดใช้ในสิ่งที่แกทำ”
ตำรวจพาตัวเพชรออกไปจากบ้าน ชนะศึกตามออกไป
ทุกคนตกตะลึง พรรณีตามเพชรแท้ไป
ชนะศึกและพิณทองมองหน้ากันต่างคนต่างแค้นใจ แล้วพิณทองก็เดินตามพรรณีไป ส่วนเพชรแท้ถูกพาขึ้นไปบนรถกระบะของตำรวจ โดยมีตำรวจสองคนคุมตัวอยู่
พรรณีกับพิณทองวิ่งตามมา ขณะที่รถตำรวจก็แล่นออกไป สองแม่ลูกร้องไห้กอดกันกลม มองรถที่แล่นห่างออกไปทุกทีหัวใจแทบสลาย
ชนะศึกเดินมามองสองแม่ลูก แวบหนึ่งนั้นรู้สึกสงสาร แต่ต้องตัดใจขึ้นรถแล้วขับตามรถตำรวจออกไป
ไม่นานต่อมาภายในห้องสอบสวนสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่เริ่มการสอบสวน พยานและผู้มีส่วนร่วมในคดี ทยอยเข้ามาให้ปากคำ เริ่มจากทนายจรัลกำลังให้การตำรวจเป็นคนแรก
“ใช่ครับ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ท่านสั่งให้ผมทำพินัยกรรมให้ท่าน”
“ในพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้ใครบ้างครับ”
“ท่านยกทรัพย์สินส่วนตัวของท่านให้คน ๆ เดียวเลยครับ...นายเพชรแท้”
ชนกนันท์ให้ปากคำเป็นคนต่อมา ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเพชรแท้แน่นอน
“นายเพชรแท้เขาโกรธแค้นพ่อมาตั้งนานแล้ว เขาเคยมาอาละวาดที่หน้าบ้าน ทำร้ายพ่อด้วย”
“ทำไมเขาต้องแค้นพ่อคุณ”
“ก็พ่อทิ้งแม่เขามาแต่งงานกับแม่ดิฉันน่ะซีคะ เขาเก็บความแค้นมาตั้งหลายปี”
ชนกนันท์บอกอย่างมาดมั่น
การให้ปากคำของอังคณายิ่งมัดตัวเพชรแท้
“เขาไม่เคยบอกฉันหรอกว่าเขาเคยมีลูกมีเมียมาก่อน เขาเองก็เพิ่งมารู้ตอนหลังนี่เอง แม่ของนายเพชรแท้มาเปิดเผยตัวให้เขารู้ แล้วก็บอกว่าเพชรแท้เป็นลูกของเขา คงจะเรียกร้องให้เขาแบ่งมรดกให้ เขาเลยทำพินัยกรรมยกมรดกให้นายเพชรแท้”
มาถึงการให้ปากคำของชนะศึกก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนัก
“ขนาดพ่อจะยกสมบัติให้เขา เขาก็ยังเกลียดพ่อผม ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทั้งๆ ที่พ่อผมก็ดีกับเขามาตลอด”
“รู้ได้ยังไงว่าเขาเกลียดพ่อคุณ”
“เขาพูดคำนี้ออกมาทั้งครั้งที่ผมเอ่ยถึงพ่อ เขาไม่ยอมไปเยี่ยมพ่อผมที่โรงพยาบาล ทั้งๆ ที่พ่อผมใกล้จะตาย ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ เขายังเคยพูดด้วยว่าอยากให้พ่อผมตายเร็วๆ”
“ทำไม”
คำให้การการของชนะศึกต่อคำถามนี้ตรงกับการให้ปากคำของชนกนันท์
“ก็มันรู้แล้วนี่คะ ว่าพ่อทำพินัยกรรมยกสมบัติให้มัน พ่อตายเมื่อไหร่มันก็ได้เป็นมหาเศรษฐี ดิฉันว่ามันคงหลอกให้พ่อไปหา แล้วก็ฆ่าพ่อ” ชนกนันท์สะเทือนใจจน ร้องไห้ออกมา “ไอ้คนใจบาป มันทำกับพ่อนกได้ยังไง”
ตำรวจสอบปากคำเพชรแท้ พร้อมกับเอาปืนของกลางวางบนโต๊ะ
“ปืนนี่ของนายใช่ไหม”
เพชรแท้มองปืนบนโต๊ะ นึกถึงเหตุการณ์ ตอนที่ปืนถูกขโมยขึ้นมาได้
“มันถูกขโมยไป ตอนเช้าวันที่เกิดเรื่อง”
ตำรวจซักอีก “แต่เราเจอในซากบ้านหลังนั้น มันไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง”
“ผมไม่รู้ แต่ผมไม่ได้ทำ” พร้อมกันนั้นตำรวจเอาปลอกกระสุนขึ้นมาวางด้วย “พี่ต้องเชื่อผมนะ ผมไม่ได้ฆ่าเขา เขาเป็นพ่อของผมนะ”
เพชรแท้มองหน้าตำรวจ สายตาวิงวอน
คืนนั้น ทีวีในห้องนั่งเล่นบ้านอังคณา กำลังรายงานข่าวคดีฆาตกรรมธานินทร์ มีรูปธานินทร์ ภาพเหตุการณ์การจับกุมเพชรแท้ประกอบการรายงานของผู้ประกาศข่าว
“จากกรณีการเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาของนายธานินทร์ เลิศชัยวัฒน์ นักธุรกิจหมื่นล้าน ประธากรรมการบริหารบริษัทเบสท์เอนเทอร์ไพร้ส์ จำกัด (มหาชน) ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ระบุสาเหตุการตายอย่างแน่ชัดแล้วว่า เกิดจากการถูกยิงโดยผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ลงมือฆ่า ได้แก่ นายเพชรแท้ มงคลกุล ลูกนอกสมรสของผู้ตายนั่นเอง”
ภาพในจอเป็นการนำตัวเพชรแท้เข้าห้องขัง ขณะที่ผู้ประกาศข่าวรายงานต่อ
“นายเพชรแท้ ได้ล่อลวงนายธานินทร์ไปที่บ้านตน แล้วทำการสังหารโหด ก่อนที่จะเผาบ้านทิ้งเพื่ออำพรางคดี สำหรับสาเหตุที่นายเพชรแท้กระทำฆาตกรรมนายธานินทร์คาดว่าน่าจะมาจากการที่นายเพชรแท้ทราบว่านายธานินทร์ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้ตน จึงตัดสินใจฆ่านายธานินทร์เพื่อหวังทรัพย์มรดก ข่าวคืบหน้า จะได้นำเสนอให้ทราบต่อไป”
อังคณากับชนกนันท์นั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องสองคน
“นกว่าแล้ว ว่าไอ้คนนี้มันไม่ใช่คนดี ดีนะที่ตำรวจเขาพิสูจน์ความจริงจนได้ ใครที่ฆ่าพ่อ...มันต้องรับกรรมในสิ่งที่มันทำ”
อังคณาชะงักไปนิดหนึ่ง “งานนี้ อย่างน้อยก็ติดคุกตลอดชีวิต”
“ไม่พอหรอกค่ะ นกต้องการให้มันตายไปเลย” ชนกนันท์น้ำตาคลอ “พ่ออยู่ได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น มันยังใจร้ายฆ่าพ่อได้ลงคอ ไอ้คนสารเลวแบบนั้น นกอยากให้มันถูกประหารชีวิต ตกนรกหมกไหม้ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด”
อังคณาฟังคำแช่งชักถึงกับหน้าซีดไปเหมือนกัน เรืองโรจน์เดินเข้ามาพอดี
อังคณาหันไปเห็นก็ตกใจ “เรืองโรจน์”
เรืองโรจน์เล่นละครทันที “ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ คุณผู้หญิง คุณนก”
อังคณาตัดบท “มาคุยเรื่องงานกับฉันใช่ไหม”
“ครับ”
“มาทางนี้”
อังคณาลุกขึ้นแล้วเดินนำไป เรืองโรจน์ตาม
สองคนอยู่ในห้องซ้อมเต้นลีลาศ อังคณามีท่าทีหงุดหงิดฉุนเฉียว
“บอกแล้วให้ระวัง ทำไมนึกจะมาก็มา”
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน หลังจากเสร็จงาน”
อังคณาตวัดเสียงใส่ “โทรมาก่อน...ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีก”
“ครับ”
ระหว่างนั้นเรืองโรจน์ถือโทรศัพท์มือถือซ่อนไว้ด้านหลัง กดโทรศัพท์บันทึกเสียงสนทนา
“ตกลงว่าพวกนั้นมันทำงานให้คุณอังคณาได้เรียบร้อย คุณธานินทร์ตายไปแล้ว ตำรวจพบหลักฐานที่เตรียมเอาไว้ ตามที่ตกลงกันไว้ทุกอย่าง ถึงเวลาจ่ายค่าจ้างแล้วล่ะครับ”
อังคณาหยิบกระเป๋าถือขึ้นมา แล้วหยิบซองเงินออกมาวางไว้ที่โต๊ะ
“เอาไปให้มัน”
อังคณาหยิบเงินอีกซองยื่นส่งให้เรืองโรจน์
“อันนี้ของเธอ”
เรืองโรจน์เอามือมาจับข้อมืออังคณาไว้ “ไม่ใช่แค่นี้ครับ” อังคณาชะงัก ชักมือออกจากมือเรืองโรจน์ “ผมต้องการตำแหน่งผู้บริหารเทียบเท่าคุณชนะศึก”
อังคณาขึ้นเสียง “เป็นไปไม่ได้ บริษัทนี้เป็นของตระกูลฉัน ฉันยอมให้คนนอกมาทำไม่ได้หรอก”
“แต่คุณสัญญากับผมไว้แล้ว! จะเบี้ยวหรือไง” เรืองโรจน์ไม่พอใจเช่นกัน
“ฉันไม่เคยสัญญา เธอเป็นใคร ชนะศึกเป็นใคร จะมาตีเสมอลูกชายฉันได้ยังไง” อังคณาเสียงดังขึ้นอีก “เอาเงินไป หรือไม่ก็กลับไปเลย ไม่ต้องเอาอะไรซักอย่าง”
เรืองโรจน์อึ้งไป เจ็บใจระคนแค้นใจ แต่ข่มอาการไว้
“จะเอายังไง ยังคิดจะทำงานกับฉันอยู่ไหม ถ้าคิดจะทำก็อย่ามาพูดแบบนี้กับฉันอีก”
เรืองโรจน์ไม่ตอบ ก้มหน้านิ่ง อังคณาหยิบซองเงินโยนให้เรืองโรจน์พลางบอก
“ตำรวจปิดคดี ไอ้เพชรโดนประหารชีวิตเมื่อไหร่ ฉันจะให้เธออีกก้อนหนึ่ง”
จากนั้นอังคณาเดินหนีไปทันที
เรืองโรจน์มองตามดวงตาวาววับ ก่อนจะกดปุ่มหยุดบันทึกเสียงในโทรศัพท์มือถือเซฟลงเครื่อง แล้วเงยหน้ามองตามอังคณาอย่างแค้นใจ ทีท่าเริ่มไม่ไว้ใจอังคณาแล้ว
โปรดติดตาม "บ่วงรัก" ตอนที่ 11 พรุ่งนี้ เวลา 9.00 น.