xs
xsm
sm
md
lg

รากบุญ ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รากบุญ ตอนที่ 9 
เจติยารีบเดินเข้าบ้านพร้อมปั้นหน้าปกติ “ฐา กับพี่หมวด มาได้ไงเนี่ย”
“ก็มาหาแกน่ะสิ แล้วนี่แกไปไหนมา” นิษฐายิ้มแซว “แต่งตัวซะหวานเชียว ออกเดทเหรอ”
เจติยาอึกๆอักๆ เพราะร้อนตัว “จะบ้าเหรอ ฉันไปงานกับคุณชูจิตมา”
นวัชมีสีหน้าหึงหวง “ไม่เห็นคุณชูจิตอยู่ในรถนี่”
“คุณท่านคุยกับเพื่อนติดลมก็เลยให้คุณลาภิณมาส่งก่อน” เจติยาอธิบาย
นิษฐากระเซ้า “หยอกเย้ากระเซ้าแหย่กันน่ารักอ่ะ”
เจติยาฟาดแขนนิษฐาแรงจนเพื่อนเกือบปลิวเพื่อกลบเขิน
นิษฐาประชด “โอ๊ย ไม่จับฉันทุ่มเลยล่ะ”
เจติยาพูดเลี่ยง “เปลี่ยนชุดก่อนนะ คันไปหมดแล้ว”
เจติยารีบเดินเลี่ยงเข้าบ้านไป นวัชมองตามเจติยาด้วยสีหน้าหึงหวง นิษฐาเหล่มองนวัชแล้วก็อมยิ้มพอใจอย่างบอกไม่ถูก

เจติยาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ
เสียงนทีกระเซ้า “เลือกไม่ถูกล่ะสิ”
เจติยาหันไปมองตามเสียงด้วยความตกใจ เธอเห็นนทีนั่งสบายอยู่ที่เก้าอี้ทำงานของเธอ
“เข้ามาห้องพี่ทำไม” เจติยาถาม
นทียิ้มกวน “คิดถึง”
“วันนี้เจอแต่คนเพี้ยนๆ” เจติยาค้อนใส่ก่อนจะเดินไปแปรงผมที่หน้ากระจก
“พี่ยังไม่ตอบผมเลย ว่าจะเลือกคนไหน”
“เลือกอะไรของแก พูดจาไม่รู้เรื่อง”
“ไม่ต้องมาทำมึนหรอกพี่เจ ก็พวกหนุ่มๆ ที่ตามจีบพี่อยู่นี่ไงจริงๆผมชอบพี่หมวดกับคุณลาภิณนะ แต่คนเมื่อเช้าก็เปย์ดี น่าสนเหมือนกัน”
เจติยาปราม “เพ้อเจ้อ พี่หมวดกับฉันเหมือนเป็นพี่น้องกัน ส่วนคุณพิสัยเค้ามาคุยธุระ”
นทีขำๆ ก่อนจะลุกขึ้นมาต้อน “แสดงว่าสนคุณลาภิณกว่าเพื่อนล่ะสิ”
เจติยาอึ้งแล้วรีบดุน้องชาย “อย่าไปพูดพล่อยๆ ที่ไหนนะนที เค้ามีแฟนแล้ว แล้วเค้าก็ไม่เคยจีบพี่ด้วย”
นทียิ้มกวน “แปลว่าถ้าไม่มีแฟน แล้วเค้าจีบ ก็โอใช่ม๊ะ” นทีวิ่งออกไปจากห้องทันที
เจติยาโมโหที่โดนต้อน “ไอ้น้องคนนี้นี่” เจติยาฉุกคิดก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงาน เธอเปิดกระเป๋าสตางค์ดู ก็พบว่าเงินหายไปร้อยนึง
เจติยามีสีหน้าเจ็บใจแล้วรีบตามนทีออกไป “นที เอาเงินพี่คืนมานะ” เจติยาเดินออกไปจากห้องทันที

เจติยามานั่งดักรอชูจิตอยู่ที่หน้าห้องทำงานตอนสายวันใหม่ เลขาเดินถือของของชูจิตมาก่อน แล้วตามด้วยชูจิต เจติยาลุกขึ้นยกมือไหว้ชูจิต
ชูจิตสั่งเลขา “เอาของเข้าไปเก็บในห้องแล้วเตรียมเอกสารที่ต้องไปพบลูกค้าให้ฉันเลย”
“ค่ะคุณท่าน” เลขาเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องทำงานชูจิต
“มาดักรอฉันมีเรื่องอะไร” ชูจิตถามเจติยา
“คุณท่านเห็นข่าวที่เขียนแซวหนูกับคุณลาภิณ เรื่องที่ไปกับคุณท่านเมื่อวานรึยังคะ” เจติยาถาม
ชูจิตยิ้ม “เห็นแล้ว ก็น่ารักดี ไม่เห็นมีอะไร อย่าคิดมากไปเลยน่า”
“จะไม่ให้คิดมากได้ยังไงคะ” เจติยาหน้าเครียด “ท่านก็ทราบว่าคุณปริมไม่พอใจหนูเรื่องคุณลาภิณมานานแล้ว หนูไม่อยากมีปัญหากับเธออีก”
“ฉันเข้าใจ แต่ฉันก็อยากให้เธออดทนเอาไว้”
เจติยาแปลกใจ “อดทนเพื่ออะไรคะ”
“เพราะฉันอยากให้เธอทำงานช่วยต้นต่อไปน่ะสิ ตอนนี้เธอเป็นคนที่ฉันไว้ใจมากที่สุดรู้ตัวมั้ย”
เจติยานึกไม่ถึง “หนูเนี่ยนะคะ”
“ใช่ ฉันยอมรับ ว่าเมื่อก่อนฉันอคติกับเธอ แต่ตอนนี้ฉันพอจะมองเธอออกมากขึ้น”
เจติยาได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
“เธอเองก็ทำงานที่นี่มาหลายปี แถมยังมีหุ้นของนิราลัยอีก ฉันเชื่อว่าเธอต้องผูกพันกับที่นี่บ้างล่ะ ถึงเรียนจบ เธอก็คงไม่คิดจะไปทำงานที่อื่นใช่มั้ยล่ะ”
เจติยาอึกๆอักๆ “แต่...”
“คุณสารัชก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน ถึงได้ให้หุ้นกับเธอ แต่มีข้อแม้ว่าเธอต้องทำงานที่นิราลัย” ชูจิตยิ้มสบายใจ “ตอนนี้ฉันเริ่มจะหายข้องใจแล้วล่ะ ว่าทำไมคุณสารัชถึงทำแบบนั้น” ชูจิตมองเจติยาด้วยสายตาเอ็นดู
เจติยายังไม่สบายใจอยู่ดี “แต่คุณปริมเธอคงไม่พอใจมาก”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ขอให้เธอช่วยงานฉันก็พอ” ชูจิตอ้อนวอน “เธอก็เห็นแล้วว่าน้องชายฉันเป็นคนยังไง ถ้าเธอไม่อยู่ช่วยฉันอีกแรง ฉันกับต้นก็คงไม่เหลือใครที่ไว้ใจได้แล้วจริงๆ”
เจติยามีสีหน้าขรึมลง พอชูจิตพูดแบบนี้เธอก็ปฏิเสธไม่ออก ชูจิตแอบยิ้มคล้ายมีแผนเพราะนอกจากจะรั้งเจติยาไว้ช่วยงานแล้ว เธอยังคิดจะใช้เจติยาเป็น
กันชนปริมให้ออกไปจากชีวิตต้นด้วย เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

ปริมกระแทกหนังสือพิมพ์แขวนเก็บที่ในห้องรับรองบริษัทนิราลัยอย่างหัวเสีย
ปริมบ่นด้วยความหงุดหงิด “เขียนข่าวบ้าๆ”
พิสัยยืนกอดอกมองอยู่ไม่ห่าง
“ฉันคิดว่าอ่านเกมพี่จิตออก” พิสัยบอก
ปริมเหลือบตามองพิสัยด้วยตาขวางๆ อย่างอารมณ์เสีย
“พี่จิตไม่อยากทำรุนแรงแตกหักกับคุณตรงๆ ก็เลยใช้วิธีดันเด็กนั่นขึ้นมา ถ้าคุณทนไม่ได้ก็ต้องโบกมือลาไปเอง”
ปริมโมโห “ฉันก็ไม่ได้โง่ ทำไมจะอ่านเกมคุณแม่ไม่ออก” ปริมมีสีหน้าหมั่นไส้ปนเจ็บใจเจติยามาก
“ช่วงนี้คุณก็สงบเสงี่ยมไว้หน่อยแล้วกัน ยิ่งเหวี่ยงมากพี่จิตก็ยิ่งระอาคุณมากขึ้น”
ปริมค้อนขวับใส่ด้วยความไม่พอใจแต่ก็รู้ว่าพิสัยพูดถูก ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของพิสัยก็ดังขึ้น
พิสัยดูเบอร์แล้วกดรับ “ฮัลโหล” พิสัยฟัง “ครับ ใช่ครับ มีอะไรรึเปล่าครับ” พิสัยฟังแล้วก็ตกใจจนหน้าเครียดขึ้นมาทันที
ปริมมองพิสัยด้วยสีหน้าอยากรู้เพราะมั่นใจว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ

พิสัยร้อนใจสุดๆ
“ตำรวจเพิ่งโทรหาผม บอกว่าลูกน้องคุณปุ่นให้การว่าคุณปุ่นกำลังตามสืบเรื่องของผมอยู่ ทำให้การตายของคุณปุ่น ผมน่าสงสัยที่สุด” พิสัยบอกอย่างร้อนใจ
ชูจิตพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ตำรวจเค้าก็สันนิษฐานถูกแล้วนี่ เธอมาบอกพี่ทำไม”
พิสัยมายืนคุยกับชูจิตข้างรถบริเวณลานจอดรถ ขณะที่กำลังจะออกไปธุระข้างนอกพอดี
“ผมอยากให้พี่จิตช่วยยืนยันกับตำรวจ ว่าเรื่องที่คุณปุ่นตามสืบไม่เกี่ยว ข้องกับผม ผมจะได้พ้นข้อสงสัยน่ะครับ”
ชูจิตไม่พอใจ “พี่ปกป้องคนผิดมามากพอแล้วนะพิสัย เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ พี่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก”
“แต่พี่จิตครับ...”
ชูจิตได้แต่ถอนใจแล้วก็ขึ้นรถไปทันที คนขับรถขับรถออกไป พิสัยมองตามด้วยความเจ็บใจ

ตำรวจยศพันตำรวจเอกกำลังสอบปากคำพิสัยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่สถานีตำรวจ
พิสัยเครียดหนักจึงทำเสียงดังข่ม “ก็ผมไม่รู้จริงๆ จะให้ตอบว่ายังไงล่ะครับ แค่ผมเสียเวลามาให้ปากคำก็ดีเท่าไหร่แล้ว อยากรู้อะไรมากกว่านี้คุยกับทนายผมละกัน”
“ถ้าคุณไม่อยากพูดเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไร งั้นเรามาคุยเรื่อง นายปองกับนายย้งแทนดีกว่ามั้ยครับ” นายตำรวจถาม
พิสัยตกใจมากจนหน้าซีดเผือด เขาพยายามข่มอารมณ์และเก็บอาการ “ใครเหรอ ผมไม่รู้จัก”
ตำรวจยิ้มขำ “อะไรกันคุณ ไม่รู้จักพนักงานคนสนิทของตัวเองได้ยังไงครับ”
พิสัยกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ
“สองคนนี้เคยทำงานที่บริษัทนิราลัย หลังจากนั้นก็มาทำงานที่โรงไม้ของคุณ แล้วที่สำคัญ วันที่สำนักงานทนายความปุ่นไฟไหม้ ก็มีพยานเห็นสองคนนี่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆนั้นด้วยขนาดนี้แล้วคุณยังจะ...”
พิสัยกำลังถูกต้อนจนหน้าซีดก็กลัวจนทำอะไรไม่ถูก แต่แล้วจู่ๆตำรวจนายนั้นก็ชะงักค้างตาลอย ตัวแข็งเหมือนหุ่นและไม่พูดไม่จา พิสัยเอะใจจึงเอามือไปโบกเบื้องหน้าตำรวจแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร สักพักปราณก็เดินเข้ามาหาพิสัย
ปราณยิ้มบางๆ “ดูเหมือนว่าฉันจะมาทันเวลาพอดี”
พิสัยสะดุ้งตกใจ “แกเข้ามาได้ยังไง”
“ฉันไปไหนได้ทุกที่ทุกเวลา แม้แต่จะช่วยแกให้พ้นจากคดีนี้ก็ยังทำได้”
พิสัยชักสนใจ “แกจะทำยังไง”
ปราณมองไปที่ตำรวจแล้วสั่งไปที่จิตใต้สำนึกของตำรวจ “ทำลายหลักฐานทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับพิสัยให้หมด แล้วจำไว้ ว่าพิสัยไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้”
ตำรวจนายนั้นพูดช้าๆ เพราะโดนสะกดจิต “พิสัยไม่เกี่ยวข้อง”
พิสัยตะลึง “ง่ายอย่างงี้เลยเหรอ”
“ง่ายสำหรับฉันคนเดียว” ปราณจ้องหน้าพิสัย “อย่าลืมจ่ายค่าตอบแทนให้ฉันด้วยล่ะ”
“ไอ้เรื่องกล่องนั่นใช่มั้ย ฉันก็พยายามอยู่ แต่ยัยนั่นก็ไม่ใช่ง่ายๆ ต้องใช้เวลาหน่อย”
ปราณมีสีหน้าหนักใจ “ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่านั้นต้องทำ ก่อนที่เจติยาจะได้ดาวทุกข์ครบสามดวง แล้วขอพรให้กล่องรากบุญถูกทำลาย” ปราณมีสีหน้าเจ็บใจมาก
พิสัยแปลกใจ “แกจะให้ฉันทำอะไร”
ใบหน้าของปราณเต็มไปด้วยความอำมหิต พิสัยมีสีหน้าสงสัย

เจติยาเพิ่งออกเวร เธอกำลังเดินคุยโทรศัพท์มือถือมาที่หน้าบริษัทนิราลัย
“ฉันเลิกงานแล้วกำลังจะเดินไป แกมาจอดรถรอได้เลย” เจติยาฟังอีกฝ่ายแล้วก็แปลกใจ “พี่หมวดมาด้วยเหรอ มาได้ไงล่ะ” เจติยาฟังอีกฝ่าย
ทันใดนั้นป้อมที่ยืนรออยู่ที่หน้าบริษัทก็เดินกะเผลกเข้ามาหาเจติยา
“น้องเจคะ”
“แค่นี้ก่อนนะฐา เดี๋ยวเจอกัน” เจติยากดวางสาย ก่อนจะหันไปคุยกับป้อม “มีอะไรเหรอคะพี่ป้อม”
“พี่มีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากน้องเจหน่อยน่ะค่ะ น้องเจไปกับพี่แป๊บนึงได้มั้ยคะ”
“เดี๋ยวนี้เลยเหรอคะ”
“ค่ะ”
“เจนัดเพื่อนไว้ต้องรีบไปนะคะ”
“แป๊บเดียวจริงๆค่ะ” ป้อมชี้นำไป “เดินไปที่ท้ายซอยนี่เอง ไม่ไกลหรอกค่ะ”
เจติยามองๆหาแต่ก็ยังไม่เห็นรถนิษฐา “ก็ได้ค่ะ”
ป้อมเดินกะเผลกนำเจติยาไป เจติยาเดินตามไปติดๆ
นิษฐาขับรถพานวัชเข้าซอยมาแต่อยู่ห่างออกไปพอสมควร
นิษฐาเห็นเจติยา “เจอยู่นั่นไง”
นวัชที่อยู่ในชุดนอกเครื่องแบบเพ่งมองตามไป
นิษฐาสงสัย “จะไปไหนของเค้านะ”
“ขับตามไปดูสิ” นวัชบอก
นิษฐาทำหน้าบึ้งตึงเพราะแอบหวง “ทำไมต้องตามด้วยคะ ก็นัดเจอกันที่หน้าบริษัท เจคงไปทำธุระ เดี๋ยวก็มา”
นิษฐาจอดรถรอที่หน้าบริษัทด้วยสีหน้างอนๆ แบบเอาแต่ใจ แต่นวัชกลับมีเซนส์บางอย่างจึงรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
“งั้นพี่เดินตามไปดูเองก็ได้”
นวัชจะลงจากรถ
นิษฐาหมั่นไส้ “ไม่ต้องลงหรอกค่ะ ขับตามไปก็ได้”
นิษฐาสตาร์ทเครื่องรถด้วยใบหน้าหงิกงอ
นิษฐาบ่นพึมพำ “จะห่วงอะไรนักหนา น่ารำคาญ”
นิษฐาขับรถไปทางท้ายซอยด้วยสีหน้าเซ็งๆ นวัชชะเง้อมองตามเจติยาไปอย่างจับตา
นิษฐาเหล่มองแล้วบ่นพึมพำ “เค้าไม่ได้ชอบตัว ดูไม่ออกอีกเหรอะ ซื่อบื้อ” นิษฐาค้อนขวับ

ป้อมเดินกะเผลกนำเจติยามาถึงพงหญ้าท้ายซอย
เจติยาเริ่มแปลกใจ “พี่ป้อมจะพาเจไปไหนคะเนี่ย”
ป้อมไม่ตอบแต่ยังคงเดินกะเผลกนำต่อไป
เจติยางง “แล้วตกลงจะให้เจช่วยอะไรกันแน่คะ”
ป้อมหันมายิ้มบางๆให้เจติยา “ถึงแล้วล่ะค่ะ” ป้อมชี้ไปที่พงหญ้า “น้องเจดูก่อนสิคะ แล้วพี่จะบอกเอง ว่าจะขอให้น้องเจช่วยอะไร”
เจติยามองไปที่พงหญ้าแล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเพราะเธอเห็นศพของป้อมที่ถูกตีจนเลือดโชกเต็มหัว ตาเบิกโพลง นอนตายอยู่ในพงหญ้าอย่างน่าสยดสยอง
เจติยาหันกลับไปมองป้อมก็เห็นวิญญาณป้อมอยู่ในชุดเดียวกับที่ตาย มีเลือดโชกเต็มหัวเพราะถูกตี
จนดูน่าหวาดกลัว เจติยาผงะแล้วร้องออกมาด้วยความตกใจ
“บอกความจริง” ป้อมพูด
เจติยายืนช็อก ทันใดนั้นนิษฐาก็ขับรถมาถึง นิษฐาและนวัช ลงจากรถแล้วเดินเข้ามาหาเจติยา
นวัชยิ้มทักทาย “มาทำอะไรเจ”
เจติยานึกไม่ถึง “ฐา พี่หมวด”
“เป็นอะไรไปยะ ทำหน้ายังกะเห็นผี” นิษฐาหันไปเห็นศพป้อมในพงหญ้าแล้วก็กรี๊ดสุดเสียงด้วยความหวาดกลัวก่อนจะรีบโผเข้าไปกอดนวัช
นวัชเองก็ตกใจที่มาเจอศพคนตายโดยไม่คาดหมายแบบนี้ เจติยาหน้าเครียด เธอหันไปมองวิญญาณของป้อมที่มองเธออยู่ด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ ใบหน้าของป้อมซีดเผือดไร้สีเลือดเหมือนศพคนตายไม่มีผิด

ลาภิณกำลังกดกริ่งหน้าห้องพักคอนโดของปริมอยู่ เขายืนรอสักพักแต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบออกมา ลาภิณหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรหาปริมแต่กลับได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของปริม ดังออกมาจากในห้องพัก ลาภิณแปลกใจเลยหยิบคีย์การ์ดเปิดประตูเข้าห้องของปริมไป
ลาภิณเห็นปริมนั่งซึมอยู่ที่โซฟาปล่อยให้โทรศัพท์มือถือดัง โดยไม่ยอมรับสาย ลาภิณตกใจปนห่วงจึงกดตัดสายแล้วเดินเข้าไปหาปริม
“เป็นอะไรปริม”
ปริมสวมกอดลาภิณไว้แล้วเอาแต่ร้องไห้
ลาภิณตกใจ “เล่าให้ผมฟังซิครับ เกิดอะไรขึ้น”
ปริมน้ำตาคลอเพราะกดดันทั้งเรื่องชูจิต เรื่องพิสัย “เรายังเป็นแฟนกันอยู่รึเปล่าคะคุณต้น”
ลาภิณผละปริมออกมาแล้วมองหน้าเธอ “ทำไมถามผมแบบนี้ล่ะปริม”

ปริมพูดทั้งน้ำตาคลอ “นับวันคุณกับปริมยิ่งห่างกันมากขึ้นทุกที คุณแม่ที่เคยเอ็นดูปริม ก็เห็นคนอื่นดีกว่าไปแล้ว” ปริมน้ำตาไหลซึมออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
ลาภิณยกมือขึ้นซับน้ำตาให้ “ไม่เอาน่าปริม ทุกอย่างก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ แค่คุณแม่เค้าเอ็นดูเจมากขึ้น เพราะเจช่วยชีวิตคุณแม่เอาไว้ ก็เท่านั้นเอง”
ปริมจ้องหน้าลาภิณแล้วน้ำตาก็คลอขึ้นมาอีก “แล้วคุณล่ะคะ ยังเหมือนเดิมรึเปล่า” ปริมจับสังเกตและรอคำตอบ
ลาภิณจ้องหน้าปริม “เราอาจจะทะเลาะกันบ่อยขึ้นนะปริมแต่ผมก็ไม่เคยคิดจะนอกใจคุณเลย”
ปริมถามด้วยสายตาคาดคั้น “แม้แต่กับเจติยาเหรอคะ”
ลาภิณถอนใจ “วนกลับมาเรื่องนี้อีกแล้ว โอเค..ผมยอมรับ ว่าผมสนิทกับเจเค้ามากขึ้น เพราะเค้าทำงานได้อย่างใจ แล้วเราก็มีอะไรหลายๆอย่างคล้ายกัน ก็เลยสนิทกันเร็ว” ลาภิณมีสีหน้าเซ็งๆ ขึ้นมา “แต่ปัญหามันอยู่ที่คนรอบข้างนี่แหละ มานั่งระแวงไม่เข้าท่า ผมหงุดหงิดที่ไม่ไว้ใจกันก็เลยทำอะไรประชดไปบ้าง”
ปริมผละตัวออกห่างแล้วค้อนใส่
“แต่สุดท้าย ผมกับเค้าก็เป็นได้แค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้นล่ะ” ลาภิณพูดเน้นให้ปริมสบายใจ “เพราะผู้หญิงคนเดียวที่ผมเรียกว่าแฟนได้เต็มปาก ก็คือคุณนะปริม”
ปริมน้ำตาคลอด้วยความดีใจ “คุณพูดจริงๆนะคะคุณต้น คุณอย่าหลอกปริมนะ”
ลาภิณยิ้มบางๆ แล้วสวมกอดปริมเอาไว้อีกครั้ง “ผมเคยหลอกปริมด้วยเหรอ”
ปริมที่อยู่ในอ้อมกอดของลาภิณน้ำตาไหลซึมออกมาด้วยความปลาบปลื้มใจ
ลาภิณกระชับกอด “อย่าคิดมากอีกนะครับ”
ปริมฉุกคิดก่อนจะผละตัวออกจากอ้อมกอดอีกครั้ง “แล้วถ้าไม่มีปริมล่ะคะ คุณยังจะมองเด็กนั่นเป็นแค่เพื่อนร่วมงานอยู่อีกรึเปล่า”
ลาภิณชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะปั้นยิ้มกลบเกลื่อน “อย่าพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้หน่อยเลยน่ะปริม” ลาภิณตัดบท “รีบไปแต่งตัวเถอะครับ เดี๋ยวไปงานวันเกิดคุณอาไม่ทันนะ”
ปริมยังมีสีหน้าไม่สบายใจแต่ก็ฝืนยิ้มบางๆ แล้วผละตัวออกไป
“รอซักครู่นะคะ” ปริมลุกเดินไปเข้าห้องนอนแต่สีหน้าของเธอก็ยังกังวลใจมาก
ลาภิณทิ้งตัวนั่งพิงศีรษะไปกับโซฟาด้วยสีหน้าขรึมเมื่อย้อนคิดถึงคำถามปริมอีกครั้ง

ลาภิณเดินคู่กับปริมในชุดใหม่เดินมาที่ล็อบบี้คอนโด
“ปริมรอที่ล็อบบี้ก่อนแล้วกัน ผมจอดรถเกือบถึงทางออกโน่นแน่ะ เดี๋ยววนรถมารับ”
“ค่ะ”
ลาภิณเดินออกไปจากคอนโด ปริมเดินไปหยุดรอที่ประตูทางออกแล้วมองตามลาภิณไปพร้อมถอนใจออกมาอย่างกลุ้มใจ ลาภิณเดินไปทางลานจอดรถหน้าคอนโด
ทันใดนั้นเชิดก็ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาพร้อมกับชักปืนออกมากระหน่ำยิงไปที่ลาภิณ 3-4 นัดก่อนที่เชิดจะเร่งมอเตอร์ไซค์หนีไปอย่างรวดเร็ว ลาภิณล้มลงจมกองเลือด ปริมที่เห็นเหตุการณ์ตกใจจนแทบช็อค
ปริมร้องลั่นด้วยความตกใจ “คุณต้น” ปริมวิ่งตะบึงออกไปจากคอนโดทันที
ผู้คนบริเวณนั้นต่างแตกตื่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เจติยา นวัช และนิษฐากำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ร้านข้างทาง เจติยาเหม่อลอยเพราะเอาแต่คิดเรื่องป้อมตลอดเวลา
นิษฐาสังเกตท่าทางเพื่อน “เส้นอืดหมดแล้วเจ นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดแก้ปมฆาตกรรมนะยะ รีบกินเข้าไปเร็วๆเลย”
เจติยาหน้าเศร้า “ฉันกินไม่ลงหรอกฐา ฉันรู้จักพี่ป้อมมาตั้งแต่เริ่มทำงานที่นิราลัย พี่แกเป็นคนดีมากเลยนะ ไม่น่าโชคร้ายแบบนั้นเลย” เจติยาถอนใจออกมาอย่างเศร้าๆ
นวัชมีสีหน้าใช้ความคิด “พี่สงสัยจริงๆ คนร้ายทำไปเพื่ออะไร เงินทองผู้ตายก็อยู่ครบ สอบปากคำเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน ทุกคนก็รักแกดี ไม่เห็นแกมีปัญหากับใคร”
นิษฐาหน้าบึ้ง “นี่ก็พอกันเลย เลิกพูดเรื่องนี้ซะทีได้มั้ย คนยิ่งอยากจะลืมอยู่” นิษฐานึกถึงภาพศพที่เห็น ก็ทำท่าขนลุกก่อนจะผลักชามอาหารออกไป
นวัชและเจติยาชำเลืองมองหน้ากันด้วยความรู้สึกเห็นด้วยเพราะต่างก็ติดใจสงสัย
นิษฐาหันไปพูดกับเจติยา “แกก็แปลกคนนะเจ ไปไหนก็เจอแต่คนตายตลอด ฉันว่าไปทำบุญสะเดาะห์ซะทีดีมั้ย”
เจติยาหน้าซึมๆ เพราะรู้ว่าเป็นเพราะกล่องรากบุญ “ทำบุญยังไงก็หนีไม่พ้นหรอกฐา”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของนวัชก็ดังขึ้น
นวัชดูเบอร์แล้วกดรับ “ว่าไงจ่า” นวัชฟัง “มีอะไรคืบหน้ามั่ง” นวัชฟังแล้วก็ตกใจมาก “ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลไหนครับ” นวัชฟัง “โอ.เค. ครับ” นวัชกดวางสายด้วยสีหน้าเครียด
นิษฐาเห็นสีหน้านวัชจึงถามขึ้น “มีเรื่องด่วนอะไรอีกเหรอคะ”
นวัชหน้าเครียด แล้วหันไปมองเจติยา “คุณลาภิณถูกยิง”
เจติยาตกใจมากอย่างเห็นได้ชัดเพราะเพิ่งเจอกันมาหยกๆ
“ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล อาการเป็นตายเท่ากัน” นวัชบอก
เจติยายกมือขึ้นปิดปากเพราะตกใจจนแทบช็อค นิษฐายื่นมือมาบีบแขนเพื่อนเพื่อให้กำลังใจ นวัชเหล่ๆ มองเจติยาอย่างลอบสังเกตปฏิกิริยาที่เจติยาเป็นห่วงลาภิณ

รากบุญ ตอนที่ 9 (ต่อ)
ชูจิตร้องไห้สะอึกสะอื้นจนแทบขาดใจเมื่อรู้อาการของลาภิณ โดยมีเจติยา นวัช และนิษฐาอยู่ใกล้ๆ มีเพียงปริมที่เอาแต่มองลาภิณเข้าไปในห้องไอซียูอย่างไม่สนใจใคร ลาภิณนอนสลบไสลในอาการเป็นตายเท่ากันตามตัวเต็มไปด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิต
เจติยานั่งลงจับมือชูจิตไว้แล้วพยายามให้กำลังใจ “เข้มแข็งเอาไว้นะคะคุณท่าน อย่างน้อยคุณลาภิณก็ยังไม่ได้จากเราไปไหน”
ชูจิตร้องไห้เสียใจ “แต่หมอเค้าก็บอกเอง ว่ากระสุนเข้าที่สำคัญ โอกาสจะฟื้นมีไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ”
“ไม่ถึงสิบแต่ก็ยังไม่ศูนย์นี่คะ ถ้าชีพจรคุณลาภิณยังเต้นอยู่ เราต้องไม่สิ้นหวังนะคะ” เจติยาบอก
“จริงด้วยค่ะ หมอเดี๋ยวนี้เก่งจะตายไป วิทยาการใหม่ๆก็มีเต็มไปหมดคุณลาภิณต้องปลอดภัยแน่ๆค่ะ” นิษฐาช่วยพูด
ชูจิตร้องไห้ไม่ยอมหยุดเพราะถึงใครจะปลอบยังไงเธอก็ไม่รู้สึกดีขึ้นเลย
นวัชเดินเข้าไปหาปริม “ขอโทษนะครับ คุณปริมพร้อมจะให้ปากคำเพิ่มเติมได้รึยัง”
ปริมตวาดแว๊ด “แฟนฉันจะตายรึเปล่ายังไม่รู้เลย ฉันไม่มีอารมณ์จะตอบคำถามอะไรทั้งนั้นแหละ” ปริมเดินกลับมาหาชูจิต
นวัชได้แต่ถอนหายใจออกมา ชูจิตหน้าเครียดและไม่อยากคุยกับปริมจึงจะลุกขึ้นเดินหนี แต่เกิดหน้ามืดจนทรุดลงไป
เจติยาตกใจจึงรีบประคองไว้ “คุณท่าน คุณท่านคะ”
นิษฐาเข้าไปช่วยเจติยาก่อนจะหันไปพูดกับปริม “คุณ ช่วยไปตามหมอให้หน่อยสิคะ”
“แกเป็นใคร เรื่องอะไรมาใช้ฉัน” ปริมว่า
นิษฐาสวน “แล้วนี่มันญาติใครล่ะ ว่าที่แม่ผัวคุณไม่ใช่เหรอ”
เจติยาปรามเพื่อน “ฐา”
นวัชเซ็ง “เดี๋ยวพี่ไปตามให้เอง”
นวัชเดินเลี่ยงไป นิษฐามองปริมด้วยความไม่พอใจเพราะไม่อยากคุยด้วย ปริมสะบัดหน้าพรืดเดินไปยืนกอดอกมองชูจิตห่างๆ
ปริมพูดพึมพำ “สลับตัวกันได้ก็ดี” ปริมค้อนใส่ชูจิต
เจติยาและนิษฐาช่วยกันปฐมพยาบาลชูจิตทั้งพัดทั้งบีบนวดให้ ในขณะที่ลาภิณยังนอนอยู่ในห้องไอซียู ในอาการโคม่าถึงขั้นยากที่จะยื้อชีวิตเอาไว้ได้

พิสัยส่งซองใส่เงินให้เชิดที่คอนโดของเขา
พิสัยเครียดหนัก “แกแน่ใจนะ ว่าไม่มีใครจำแกได้”
เชิดยิ้มเล็กๆ “มั่นใจเถอะครับคุณพิสัย ผมมันมืออาชีพ แล้วนี่ก็ไม่ใช่งานแรก” เชิดเปิดซองกะดูคร่าวๆ
“ฉันไม่โกงแกหรอกน่ะ ทีหลังก็ไม่จำเป็นต้องใจร้อนถ่อมารับเงินที่ฉันทันทีหรอก”
“ผมโดนโกงมาเยอะครับ เราเองก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันนักหนา” เชิดเก็บซองเงิน “แต่คุณพิสัยไม่ต้องกลัวจะสาวมาถึงตัวคุณหรอก มอเตอร์ไซค์ที่ผมใช้ไปยิงมันก็ขโมยมา ใส่หมวกกันน็อคปิดหน้าปิดตาขนาดนั้น กล้องวงจรปิดร้อยตัวก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร” เชิดทำสีหน้าเย่อหยิ่งด้วยความมั่นใจสูง
พิสัยพยักหน้ารับ “งั้นแกกลับไปได้แล้ว ถ้ามีงานอะไรจะใช้แกอีก ฉันจะติดต่อไปใหม่”
เชิดยกมือไหว้แล้วเดินออกจากห้องของพิสัยไป
ปราณนั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่ด้านหลังพิสัย
ปราณยิ้มพอใจ “ทำได้ดีมาก ฉันไว้ใจคนไม่ผิดเลยจริงๆ”
พิสัยหันมาพูดกับปราณด้วยท่าทางเคร่งเครียด “ทำไมต้องให้ฉันยิงไอ้ต้นมันด้วย”
ปราณยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วลุกขึ้นเดินมาหา “เจติยาจะได้ขอพรจากกล่องรากบุญเพื่อช่วยชีวิตมัน แทนที่จะขอพรเพื่อทำลายกล่องน่ะสิ” ปราณสะแหยะยิ้ม “คนอย่างเจติยา ห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอ ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ”
“แล้วถ้าเกิดไอ้ต้นมันตายขึ้นมาจริงๆล่ะ”
ปราณยักไหล่ “ฉันก็แค่หาคนใหม่มารับเคราะห์แทนก็เท่านั้น ส่วนแกก็อยากให้มันตายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
พิสัยยิ้มมุมปากแล้วคิดว่าถ้าไม่ต้องติดคุกก็ถือว่าเขาได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง

ชูจิตนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เจติยาเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูชุบน้ำก่อนจะมานั่งลงข้างเตียงแล้วช่วยเช็ดแขนไล่มาถึงมือของชูจิตด้วยสีหน้าเป็นห่วง เจติยาเหลือบตามองไปทางปลายเตียงแล้วก็ตกใจแทบช็อคที่เห็นลาภิณยืนมองชูจิตด้วยสีหน้าเศร้าๆ อยู่ที่ปลายเตียง
ลาภิณสงสารแม่มาก เขายกมือไหว้ชูจิต “ผมขอโทษครับแม่ ผมเสียใจที่ทำให้คุณแม่ต้องเป็นห่วงจนล้มป่วยแบบนี้”
เจติยาตกใจสุดๆ “คุณลาภิณ”
ลาภิณตกใจ เขาหันมามองเจติยาอย่างนึกไม่ถึง “นี่เธอเห็นฉันด้วยเหรอ”
เจติยาตกใจสุดๆ เพราะถ้าเธอเห็นวิญญาณลาภิณก็เท่ากับว่าลาภิณตายไปแล้วนั่นเอง
“นี่คุณตายแล้วเหรอคะ” เจติยาทำหน้าตาตื่นตกใจ

ลาภิณอยู่ในสภาพโคม่ากำลังนอนอยู่บนเตียงโดยมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตติดระโยงระยางเต็มไปหมด เจติยา กับวิญญาณลาภิณกำลังยืนมองร่างของลาภิณอยู่ไม่ไกล
“ถ้าถอดอุปกรณ์ช่วยชีวิตพวกนี้ออก ฉันคงตายโดยสมบูรณ์ไปแล้วล่ะ” ลาภิณบอก
“แต่ถ้ามองในแง่ดี ก็แสดงว่าคุณยังมีโอกาสรอดอยู่นะคะ” เจติยาให้กำลังใจ
ลาภิณยิ้มขำ “ยังเหลือโอกาสอีกเหรอ ก็แค่หัวใจยังเต้น แต่ร่างกายไม่รับรู้อะไรแล้ว มองโลกในแง่ดีเกินไปรึเปล่า” ลาภิณเดินไปมองดูตัวเองรอบๆเตียงก่อนจะหยุดมองหน้าตัวเอง “เพิ่งเคยเห็นหน้าตัวเองจริงๆ กับตาชัดๆก็วันนี้แหละ รู้สึกแปลกดีเหมือนกันนะ” ลาภิณขำ

เจติยามีสีหน้าไม่ค่อยพอใจ “นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะคุณลาภิณ มันชีวิตคุณทั้งชีวิตนะ ยังจะทำเป็นเล่นอยู่ได้”
“ฉันไม่ได้เล่น แต่ฉันไม่รู้จะฟูมฟายไปทำไม ทำแล้วฉันจะฟื้นขึ้นมาได้เหรอ” ลาภิณยักไหล่ถาม
เจติยาหน้าขรึมลง “แต่ถ้าคุณเป็นอะไรไป คุณท่านจะเสียใจมากกว่าใครๆ นะคะ”
ลาภิณชะงักไปแล้วก็มีสีหน้าจ๋อยเพราะห่วงความรู้สึกแม่มากที่สุด
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ” ลาภิณนึกขึ้นได้ก็ลอยมาประชิดตัวเจติยาอย่างรวดเร็ว
เจติยาตกใจจึงถอยห่างไปสองก้าว
ลาภิณจ้องหน้า “เธอยังไม่ได้บอกฉันเลย ว่าเธอมองเห็นวิญญาณฉันได้ยังไง” ลาภิณมีสีหน้ารอคำตอบ


เจติยาเดินคุยกับวิญญาณของลาภิณมาตามทางเดินในโรงพยาบาล
ลาภิณยิ้ม “ปิดซะเงียบเลยนะ มีของดีไม่ยักจะบอกกันมั่ง ไม่น่าล่ะ ถึงได้ชอบทำอะไรพิลึกๆ”
เจติยาทำหน้าเซ็ง “ขนาดไม่บอกใคร ชีวิตฉันยังวุ่นวายซะขนาดนี้ ขืนบอกคงเกิดสงครามแย่งชิงกล่องรากบุญกันแหงๆ” เจติยาหยุดเดินแล้วหันมาจ้องหน้าลาภิณ “กล่องนี่เป็นของพ่อคุณมาก่อน ถ้าพ่อคุณเห็นว่ามันมีประโยชน์กับคุณ คงไม่ยกกล่องให้ฉันหรอก”
ลาภิณเหล่มอง “นี่หลอกด่าฉันรึเปล่า”
“ก็แล้วแต่จะคิด” เจติยาเบ้ปากไม่แคร์
ลาภิณยิ้ม “พอรู้อย่างงี้แล้ว ฉันหมดข้อสงสัยแล้วล่ะว่าทำไมคุณพ่อถึงยกหุ้นให้เธอ”
เจติยาสงสัย “ทำไมคะ”
ลาภิณยิ้มบางๆ “เพราะคุณพ่อกลัวว่าเธอจะใช้กล่องรากบุญไปในทางที่ผิดน่ะสิ ก็เลยให้หุ้นกับเธอ เธอจะได้เงินปันผลมาใช้จ่าย ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทอง”
พยาบาลเดินสวนมาก็เห็นเจติยากำลังเดินพูดอยู่คนเดียว
เจติยามีสีหน้าไม่เห็นด้วย “แล้วไม่คิดบ้างเหรอคะ ว่าคุณพ่อคุณมองเห็นว่าฉันเป็นคนดีจริงๆ”
ลาภิณขำออกมาดังๆ
เจติยาหมั่นไส้จึงแกล้งขู่ “รู้มั้ยว่าฉันมีพลังสะกดวิญญาณไว้เป็นทาสรับใช้ได้นะคะ”
ลาภิณขำค้างทันที
“ทำหัวเราะดีไปเถอะ” เจติยาขำลงคอแบบตัวโกงก่อนเดินนำไป
ลาภิณแอบกลัวก่อนจะรีบเดินตามไป
“เธอจะไปไหนล่ะเจ” ลาภิณเดินตามมาประกบ
“มาตามฉันทำไมล่ะ ไปยืนเฝ้าร่างกายคุณโน่น”
ลาภิณตามติด “ผมกลัว”
เจติยาเดินหนี “งั้นไปนั่งเฝ้าแม่คุณก็ได้”
ลาภิณเดินตามแล้วถามด้วยความสงสัยปนกลัว “แล้วถ้าร่างกายผมตาย วิญญาณผมจะเป็นยังไง จะมีวิญญาณดำๆ มาลากผมไปเหมือนในหนังรึเปล่า”
“ฉันจะไปรู้เหรอ ฉันไม่เคยตาย”
เจติยาเห็นลิฟท์กำลังจะปิดจึงรีบวิ่งสอดตัวหนีเข้าลิฟท์ไปทันที
ลาภิณเรียก “เจติยา”
ลิฟท์ปิดต่อหน้าวิญญาณลาภิณ ลาภิณลืมตัวจึงรีบไปจิ้มที่ปุ่มกดลิฟท์แต่ปรากฏว่าจิ้มไม่ได้เพราะนิ้วทะลุเข้าแป้นกดไป
ลาภิณบ่นกับตัวเอง “จะกดทำไมวะ” แล้วลาภิณก็จางหายไป


กลางดึก เจติยาในชุดนอนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างสบายใจ วิญญาณลาภิณนอนกอดอกอยู่ข้างๆ พร้อมกับเหล่ตามองเจติยาด้วยสีหน้าท่าทางกลัวๆ

ยามเช้า เจติยากำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งพาดมากอดเอวเจติยาไว้ เจติยางัวเงียแต่รู้สึกหนาววูบขึ้นมา เจติยาเลื่อนมือมาสัมผัสกับสิ่งเย็นยะเยือกบางอย่างก็ถึงกับสะดุ้งตื่น แล้วร้องลั่นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นลาภิณกำลังนอนกอดเธออยู่
ลาภิณสะดุ้งตื่นตาม “เกิดอะไรขึ้นเจ”
เจติยาลุกพรวดลงไปจากเตียง แล้วกอดผ้าห่มมาห่อตัวไว้ “ยังจะถามอีก คุณมานอนอยู่นี่ได้ยังไง ไป ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“แล้วเธอจะให้ฉันไปไหนล่ะ นอกจากเธอแล้ว ไม่มีใครเห็นแล้วก็พูดกับฉันได้ซักคน”
“แต่คุณก็ไม่มีสิทธิมาอยู่ในห้องฉัน ฉันเป็นผู้หญิงนะคุณ คุณจะมานอนเตียงเดียวกับฉันได้ยังไง”
ลาภิณยิ้มขำ “โธ่เอ๊ย นึกว่าเรื่องอะไร ฉันเป็นวิญญาณนะเจ จะไปทำอะไรเธอได้”

เจติยาเจ็บใจ “ผีแต่ละตัว ชีกอเหมือนกันหมด” เจติยาเดินปึงปังเข้าห้องน้ำไป
ลาภิณเท้าสะเอวแล้วเดินตามไปพูด “พูดให้ดีนะเจติยา ฉันไม่ใช่ผี”
ลาภิณมีสีหน้าหงุดหงิด พอหันไปมองที่กระจกโต๊ะเครื่องแป้งก็ไม่เห็นเงาสะท้อนของตัวเอง ลาภิณอดมีสีหน้าเครียดปนกลัวขึ้นมาไม่ได้

เจติยาอาบน้ำเปลี่ยนชุดเตรียมออกไปข้างนอก เธอเดินมานั่งที่โต๊ะอาหารที่มยุรีกำลังตักกับข้าวให้นทีกินอยู่
มยุรียิ้มทักทาย “วันนี้มีเวรตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ ทำไมตื่นเช้านักล่ะลูก”
“ตั้งใจจะแวะไปเยี่ยมคุณท่านกะคุณลาภิณที่โรงพยาบาลก่อนน่ะค่ะแม่” เจติยาบอก
“น่าสงสารคุณลาภิณเหมือนกันนะ อยู่ดีๆก็โดนยิงจนโคม่า” นทียิ้มๆ “อย่างงี้ก็เหลือแค่ 2 ช้อยส์แล้วสิพี่เจ” นทีชู 2 นิ้วแล้วยิ้มหน้าเป็น “พี่หมวดกับคุณพิสัย”
เจติยาตวาดแว๊ด “ช้อยส์บ้าอะไรของแก ฉันยังไม่คิดจะชอบใครทั้งนั้นล่ะ”
นทีลอยหน้าลอยตากวนๆ “เหรอ รึว่าไม่ได้ชอบผู้ชาย” นทีแกล้งทำหน้าตาตกใจ
เจติยาหมั่นไส้ปนเจ็บใจ “พูดมากเดี๋ยวจะโดน”
เจติยายื่นเท้าไปเตะใส่ขานทีที่ใต้โต๊ะอาหาร
นทีตวาดใส่พี่สาว “เจ็บนะ”
“พอซะทีเถอะสองคนเนี่ย น่ารำคาญซะจริง ทะเลาะกันได้ตลอดเวลา” มยุรีว่า
นทีแยกเขี้ยวยิงฟันใส่เจติยาก่อนจะตักข้าวกิน เจติยาค้อนใส่นทีแล้วก็ตกใจที่เหลือบเห็นลาภิณมานั่งอยู่ข้างๆ นที
เจติยาถลึงตาใส่ลาภิณ “ยังไม่ไปอีก”
นทีผงะไปเล็กน้อย
มยุรีตำหนิ “อะไรกัน น้องยังกินไม่เสร็จเลย จะไล่น้องไปไหนเจ”
เจติยาจ๋อย “เปล่าค่ะแม่ เจไม่ได้หมายถึงนที”
ลาภิณยิ้มขำ “อย่าโวยวายสิ เดี๋ยวคนอื่นเค้าจะคิดว่าเธอบ้า”
เจติยาหงุดหงิด “ไม่ต้องมาพูดมากเลยนะ”
นทีจ้องหน้า “อะไรอีก ผมยังไม่ได้พูดอะไรซักคำ เป็นไรของพี่หาเรื่องกันนี่หว่า”
มยุรีไม่พอใจ “เจไปอารมณ์เสียใครมาลูก มาลงกับน้องอีกแล้วนะแม่ไม่ชอบเลย”
เจติยาหน้าเสีย “ไม่ใช่ค่ะแม่” เจติยาตัดบท “โอ้ย เจไม่กินข้าวแล้วนะคะ ไปก่อนนะคะแม่”
เจติยาไหว้แม่แล้วรีบชิ่งหนีไปทันที ปล่อยให้แม่กับน้องมองตามด้วยความงุนงง วิญญาณลาภิณตามประกบด้านหลังเจติยาไปติดๆ
เจติยาหันมาโวยวาย “ถ้าคุณไม่เลิกตามกวนประสาทฉัน”
นทีและมยุรีเห็นเจติยาหันมาพูดโวยวายอยู่คนเดียว
“ฉันจะไปขอน้ำมนต์หลวงพ่อมาสาดคุณ” เจติยาเดินฉับๆ อย่างอารมณ์เสียออกไป
นทีและมยุรีหันมามองหน้ากันแบบทั้งอึ้งทั้งงง
“แม่ว่าพี่เจเค้าจะทำงานกับศพมากจนเพี้ยนมั้ย” นทีถาม
“แกไม่ต้องไปว่าพี่เค้าเลย เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีกหรอก รีบกินข้าวไปเลย”
นทีหันมองตามพี่สาวไปอย่างขำๆ

เจติยาเดินลิ่วมาด้วยความหงุดหงิด ทันใดนั้นก็มีลมพัดวูบมาทางด้านหลังของเจติยาจนผมปลิว เจติยาอารมณ์เสียจึงหยุดกึก
เจติยาโกรธจัด “คุณลาภิณ เมื่อไหร่คุณ..” เจติยาหันขวับไปทางด้านหลัง
เจติยาเห็นวิญญาณของป้อมในสภาพที่ตาย ดูสยดสยองกำลังยืนมองเธอเขม็ง เจติยาผงะตกใจจนแทบช็อค เธอยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะร้องเสียงดังออกมา

เจติยากำลังเดินคุยกับป้อมที่อยู่ในสภาพปกติมาตามทางในโรงพยาบาล
“เจไม่ได้นิ่งนอนใจนะคะพี่ป้อม แต่ตอนนี้เราไม่มีเบาะแสอะไรเลย เจก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นหาตัวฆาตกรจากที่ไหน”
“พี่ขอโทษด้วยนะคะน้องเจ พี่จำไม่ได้เลยจริงๆว่าใครฆ่าพี่ ไม่งั้นพี่คงบอกน้องเจไปแล้ว” ป้อมว่า
“แต่เท่าที่ดูจากสภาพศพ พี่ป้อมถูกทำร้ายจากทางด้านหน้านะคะแล้วพี่ป้อมไม่เห็นหน้าคนร้ายเลยเหรอคะ”
ป้อมนิ่งคิดอยู่ครู่นึงก่อนจะส่ายหน้า “พี่จำไม่ได้ค่ะ พี่รู้แต่มีคนฆ่าพี่ แต่เป็นใคร พี่จำไม่ได้จริงๆ”
เจติยาแปลกใจมาก “แปลกจัง แสดงว่าพี่ต้องถูกฆ่าตายแบบเร็วมากๆเลยนะคะ”
เจติยาเปิดประตูห้องพักของชูจิตเข้าไปก็เห็นพยาบาลกำลังเปลี่ยนผ้าปูที่นอนอยู่ โดยที่ชูจิตไม่ได้อยู่ในห้องนี้
เจติยามองหาชูจิต “ขอโทษนะคะ คุณชูจิตกลับบ้านไปแล้วเหรอคะ”
“ยังไม่ได้กลับหรอกค่ะ แต่เห็นว่าลูกชายที่อยู่ห้องไอซียูหัวใจหยุดเต้น ตอนนี้คุณหมอกำลังช่วยชีวิตอยู่ค่ะ” พยาบาลบอก
เจติยาตกใจสุดๆที่รู้ว่าลาภิณกำลังจะตาย เธอรีบวิ่งออกไปจากห้องทันที


ชูจิตกอดตัวเองแน่นพร้อมกับร้องไห้จนตัวสั่น เธอกำลังมองดูหมอและพยาบาลช่วยกันใช้เครื่องช็อตหัวใจช่วยชีวิตลาภิณอยู่ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะกู้ชีพจรลาภิณคืนกลับมาได้ ชูจิตร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด หมอและพยาบาลช่วยกันยื้อชีวิตลาภิณสุดความสามารถ ร่างลาภิณยังแน่นิ่งเหมือนพร้อมจะจากไปได้ตลอดเวลา

เจติยาประคองชูจิตที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นมานั่งลงบนเตียง โดยมีวิญญาณของลาภิณคอยดูอยู่ด้วยความเป็นห่วงแม่จับใจ
“เข้มแข็งไว้นะคะคุณท่าน ยังไงตอนนี้ คุณหมอก็ช่วยคุณลาภิณไว้ได้แล้ว คุณท่านอย่าเพิ่งไปคิดกังวลอะไรล่วงหน้าอีกเลยนะคะ”
ชูจิตร้องไห้ “ครั้งนี้ช่วยได้ แล้วครั้งหน้าล่ะ ให้ฉันตายแทนซะดีกว่าต้องทนเห็นลูกเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้”
ลาภิณสงสารแม่จับใจ “ผมไม่ยอมให้คุณแม่ต้องมาเป็นอะไรแทนผมหรอกครับ”
เจติยาได้ยินหันมองไปทางลาภิณ
ลาภิณมองไปที่ชูจิตแบบรู้สึกแย่ๆ “ลูกอย่างผม ไม่เคยทำอะไรให้คุณแม่ภูมิใจซักอย่าง ผมไม่มีค่าพอให้คุณแม่ต้องเอาชีวิตมาแลกหรอกครับ” ลาภิณหันไปพูดกับเจติยา “เจ บอกคุณแม่ให้หน่อยสิ”
เจติยามีสีหน้าไม่เห็นด้วยจึงส่ายหน้า “ความคิดคุณไม่ถูกต้อง”
ชูจิตกลั้นน้ำตาแล้วถามเจติยาด้วยความสงสัย “เธอว่าอะไรนะ”
เจติยาหน้าแหยเพราะแบ่งสมองแทบไม่ทัน “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เจก็บ่นไปเรื่อยเปื่อย” เจติยาฉีกยิ้มกลบเกลื่อน
ชูจิตทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรงพร้อมกับยกมือไหว้ “ขอให้เกิดอัศจรรย์ขึ้นกับต้นด้วยเถอะ ฉันยอมแลกทุกอย่างแม้แต่ชีวิต” ชูจิตน้ำตาไหลซึมออกมา
ลาภิณมองแม่อย่างซาบซึ้งใจ เขาเดินมานั่งลงข้างๆ ชูจิตด้วยสีหน้าเศร้าซึม
เจติยากระซิบบอกลาภิณ “กล่องรากบุญเท่านั้นที่ช่วยคุณได้”
ลาภิณหน้าขรึมลงพร้อมกับชำเลืองมองแม่อีกครั้ง ชูจิตยังคงร้องไห้ตัวสั่นสะท้านไม่หยุด วิญญาณลาภิณสงสารแม่จับใจ เขาค่อยๆ ขยับตัวลงนอนงอตัวคุดคู้อยู่ข้างๆ แล้วสวมกอดแม่เอาไว้ด้วยน้ำตาคลอ เจติยามองดูแล้วก็รู้สึกตื้นตันใจกับความรักของสองคนแม่ลูกจึงพลอยน้ำตารื้นตามไปด้วย

นวัชเปิดประตูห้องทำงานกว้างออกพร้อมพูดคุยกับเจติยาไปด้วยขณะที่เจติยาเดินนำเข้าห้องทำงานของนวัชมาก่อน
นวัชคุยต่อ “แรงจูงใจแทบไม่มีเลยนะ ผู้ตายเป็นคนนิสัยดี เข้าได้กับทุกคน ไม่มีทรัพย์สินล่อตาล่อใจ แล้วก็ไม่มีการล่วงละเมิดทางเพศด้วย กว่าเราจะคลำหาเบาะแสเจอ ก็คงอีกเป็นอาทิตย์แหละ บางทีอาจจะนานกว่านั้น”
เจติยาหน้าเครียด “เจไม่มีเวลารอนานขนาดนั้นหรอกค่ะพี่หมวด ตอนนี้ทุกวินาทีมีค่าทั้งนั้น”
นวัชแปลกใจ “ทำไมเหรอเจ คลี่คลายคดีป้อมได้จะมีผลอะไรเหรอ เจถึงต้องรีบร้อนหาตัวฆาตกรให้ได้ขนาดนี้”
เจติยาลำบากใจ “แล้วเจจะเล่าให้ฟังก็แล้วกันค่ะ” เจติยารีบตัดบท “เอาเป็นว่า ถ้าเจอยากจะช่วยสืบคดีนี้ พี่หมวดช่วยแนะนำหน่อยสิว่าเจควรเริ่มต้นที่ไหน”
นวัชคิดอยู่ครู่นึง “เท่าที่สอบปากคำจากญาติของป้อมก็ไม่มีพิรุธอะไร พี่ว่าเจลองสืบจากคนที่หอพักหรือที่ทำงานดูอีกทีก็ได้นะ บางทีอาจจะได้ข้อมูลที่แตกต่างจากทางเจ้าหน้าที่ลงสืบไปแล้วก็ได้”
เจติยามีสีหน้าครุ่นคิดตามที่นวัชบอก “ขอบคุณค่ะ”
นวัชเหล่ๆ มองเจติยาด้วยสีหน้าสงสัย

นิษฐากำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่หน้าหอพักของป้อม
นิษฐาเซ็ง “ทำไมต้องเป็นฉันทุกทีเลยนะแก” นิษฐาฟังอีกฝ่าย
ทันใดนั้นก็มีป้าคนหนึ่งเดินออกมาหานิษฐา
“ว่าไงจ๊ะหนู มีอะไรจะคุยกับป้าก็ว่ามา ไม่มีลูกค้าแล้ว” ป้าถาม
“แค่นี้ก่อนนะแก” นิษฐาตัดสายแล้วยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณป้า...นั่งตรงนี้ก่อนค่ะ” นิษฐาพาไปนั่งที่เก้าอี้หน้าหอพักที่มีน้ำดื่มเตรียมพร้อม “โอเลี้ยงโบราณค่ะ”
ป้ายิ้มแย้ม “อุ๊ย ขอบใจจ้ะ ถูกใจป้ามาก” ป้าก้มดูดโอเลี้ยง
พิศยืนแอบมองอยู่ไม่ห่าง พอเห็นนิษฐาคุยกับป้าในหอพักพิษก็มีสีหน้าเคร่งเครียดและกระสับกระส่าย

เจติยากำลังยืนซักถามเรื่องป้อมกับพนักงานคนนึงที่กำลังรินน้ำดื่มอยู่
“พี่เจอพี่ป้อมครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่เหรอคะ”
ทวีเดินถามพนักงานอีกคนผ่านไปก่อนจะตบบ่าแล้วเดินไปนั่งกับพนักงานที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ เพื่อถามข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องป้อม เจติยาเดินไปหาพนักงานที่เคาท์เตอร์ด้วยสีหน้าร้อนใจ ขณะเดินผ่านลิฟท์โอ้เอ้ก็เดินกอดคอเพื่อนรุ่นเดียวกันออกมาจากลิฟท์
“ครั้งสุดท้ายฉันเจอป้าแกด่า ตอนทำกาแฟเย็นหก จัดหนักเลย อายซะ” เพื่อนโอ้เอ้บอก
“มึงเจ็บแค้นมากขนาดตามไปฆ่าป้าแกเลยรึเปล่าวะ” โอ้เอ้ถาม
“ไอ้บ้า หาคุกให้กูซะแล้วไอ้โอ้เอ้ ซี้กันหรอก ป้าแกเลยกล้าด่า”
เจติยาเดินไปนั่งคุยกับพนักงานต้อนรับเพื่อซักไซ้เกี่ยวกับเรื่องป้อม
พิสัยแอบมองอยู่เงียบๆ และมีสีหน้านิ่งๆ

เจติยา ทวี และโอ้เอ้มารวมตัวที่มุมหนึ่งของบริษัท โดยที่เจติยากำลังคุยมือถืออยู่
เจติยาหน้าเครียด “ทางฉันไม่ได้เรื่องเลย แล้วแกล่ะ” เจติยาฟังแล้วก็หน้าจ๋อย “ไม่เลยเหรอ” เจติยาฟัง “ฉันยังบอกอะไรแกตอนนี้ไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าคดีของพี่ป้อม เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของชีวิตคนอื่นด้วย”
โอ้เอ้เหลือบตามองเจติยาที่คุยโทรศัพท์อยู่ด้วยสีหน้าสงสัย

รากบุญ ตอนที่ 9 (ต่อ)

เจติยาคุยโทรศัพท์กับนิษฐาต่อ “ฉันถึงต้องพยายามหาตัวฆาตกรให้ได้เร็วที่สุด” เจติยาฟัง “เออๆ แกยังไม่ต้องเข้าใจหรอก” เจติยาตัดบท “ขอบใจแกมากนะฐา แล้วเจอกัน” เจติยากดวางสายไป
โอ้เอ้สงสัย “คดีพี่ป้อมเกี่ยวพันกับความเป็นความตายของใครอีกเหรอพี่เจ”
เจติยาและทวีสบตากันอย่างรู้กัน ทวีอึกๆอักๆ เพราะไม่รู้จะตอบแทนยังไง
เจติยารีบตอบมั่วๆไป “ก็พวกเราๆนี่แหละ” เจติยาตัดบท “ยังไงพี่ป้อมก็เป็นเพื่อนร่วมงานเรา จะปล่อยให้ตายฟรีรึไง”
เสียงพิสัยดังขึ้น “ฉันอาจจะมีข้อมูลที่เธอต้องการก็ได้นะ”
ทุกคนหันไปมองพิสัย
พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่ก่อนป้อมจะตายไม่กี่ชั่วโมง ฉันเจอกับเค้านะ เรื่องนี้ฉันไม่เคยบอกใครด้วย แต่ถ้าเป็นเธอ ฉันก็เต็มใจจะเล่าให้ฟัง”
เจติยามองพิสัยด้วยความสนใจขึ้นมาทันที
โอ้เอ้แอบส่ายหน้าห้ามเจติยาด้วยความเป็นห่วงเพราะระแวงพิสัย
ทวีช่วยเจติยาเพราะกลัวตกหลุมพราง “พวกเราขอตัวไปทำงานต่อนะครับคุณพิสัย ไปเจ”
ทุกคนลุกขึ้นรวมทั้งเจติยาด้วย
พิสัยเดินมาขวางหน้าเจติยา “ฉันไม่ได้บังคับเธอนะเจ แต่ถ้าเธออยากรู้ว่าป้อมตายเพราะอะไร ฉันคิดว่าฉันช่วยเธอได้ อย่างน้อยก็ดีกว่าเที่ยวไล่ถามพนักงานแบบไร้จุดหมายยังงี้ เสียเวลาเปล่า”
เจติยามีท่าทางลังเลขึ้นมาแม้รู้ว่าพิสัยไม่น่าไว้ใจ แต่ถ้าพิสัยพูดจริงก็น่าเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ทวีและโอ้เอ้พยายามส่งสายตาเตือนว่าอย่าไปหลงคารมพิสัย แต่เจติยามีสีหน้าบอกว่าตัดสินใจบางอย่างแล้ว

เจติยารีบร้อนเดินเข้ามาในห้องน้ำ เธอจะเปิดเข้าห้องส้วมแต่ก็ต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นวิญญาณลาภิณยืนดักรออยู่ในห้องส้วม
เจติยาตกใจมาก พอได้สติก็เฉ่งลาภิณทันที “นี่มันห้องน้ำหญิงนะคุณ คิดจะถ้ำมองรึไง อ๋อ เป็นวิญญาณเลยถือโอกาสใช่มั้ย ที่แท้ก็พวกจิตวิตถารนี่เอง”
ลาภิณเดินออกมาเผชิญหน้า “พูดงี้ดูถูกกันเกินไปหน่อยแล้ว คนอย่างฉันมีแต่ผู้หญิงต่อคิวอยากมาถอดให้ดู ไม่ต้องเสียเวลามานั่งถ้ำมองหรอก”
“แหวะ...” เจติยามีสีหน้าหมั่นไส้
ลาภิณยิ้มๆ “ฉันดูแล้วว่าไม่มีใครเข้าห้องน้ำ ถึงได้เข้ามารอเธอ แต่ถ้าคนเค้าจะสงสัย ก็เพราะเธอแหกปากโวยวายนี่ล่ะ”
เจติยาหน้าบึ้ง “มีธุระอะไรก็รีบๆพูดมาเลย ฉันจะทำธุระส่วนตัว”
ลาภิณทำสีหน้าจริงจัง “เธอไม่ควรไปกินข้าวกับน้าพิสัย”
เจติยาถอนใจ “ฉันตัดสินใจแล้ว ถ้าคุณพิสัยมีข้อมูลจริง มันก็คุ้มที่จะเสี่ยง ไหนจะได้ตัวฆาตกร แล้วก็ยังจะได้ช่วยคุณอีก”
“แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ฉัน...”
เจติยายกมือห้าม “ฉันดูแลตัวเองได้”
ลาภิณมองเจติยานิ่งๆ แล้วพูดจริงจัง “แต่ฉันทนเห็นเธอต้องไปเสี่ยงอันตรายเพราะฉันเป็นต้นเหตุไม่ได้หรอกนะ”
เจติยาจ้องหน้าลาภิณ “ฉันจะระวังตัวให้ดีที่สุด ไม่ว่าคุณพิสัยจะมาไม้ไหนฉันรับมือได้อยู่แล้ว”
ลาภิณแอบแขวะ “ฉันรู้ว่าเธอเก่ง” ลาภิณมีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ “แต่ถึงยังไงฉันก็อดเป็นห่วงเธอไม่ได้อยู่ดี” ลาภิณมองตาเจติยาด้วยความรู้สึกเป็นห่วงอย่างจริงใจ
เจติยาหลงมองเข้าไปในดวงตาของลาภิณแล้วก็แพ้ความจริงใจจนนิ่งไป
“อย่าไปเจอเค้าเลยนะ” ลาภิณมีสีหน้าอ้อนวอน
เจติยาแพ้ทางจึงรีบแก้เกม “เรื่องนั้นค่อยว่ากัน แต่ถ้าห้ามฉันเข้าห้องน้ำตอนนี้ ฉันตายแน่ๆ หลีกไป”
ลาภิณกางแขนยิ้มๆ “ฉันขวางเธอไม่ได้อยู่แล้วนี่”
เจติยาเหยียดปากใส่ก่อนจะเดินทะลุลาภิณเข้าห้องน้ำแล้วปิดประตูโครม ลาภิณหันมองไปที่ประตูห้องน้ำก่อนจะถอนใจหนักๆออกมาด้วยสีหน้าเป็นห่วงมาก
เจติยาตะโกนออกมาด้วยความเขินอาย
“อย่าแอบดูนะ หายตัวไปเลย ไม่งั้นฉันโกรธจริงๆ ด้วย”
ลาภิณได้แต่ยิ้มๆ แล้วก็ส่ายหน้าไปมาด้วยท่าทางขำปนเอ็นดู


บริกรที่ยืนรับออร์เดอร์อยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง บริกรรับออเดอร์แล้วถอยออกไปจากโต๊ะที่พิสัยและเจติยานั่งอยู่
“ครั้งสุดท้ายที่เจอพี่ป้อม พี่เค้าพูดอะไรบ้างคะ” เจติยาถาม
พิสัยยิ้มๆ “ใจคอจะไม่ถามสารทุกข์สุขดิบอะไรกันก่อนเลยเหรอ”
“ไม่จำเป็นอะไรนี่คะ ก็เจอกันอยู่แทบทุกวัน”
พิสัยยิ้มกวนๆ “ทานข้าวให้เสร็จก่อนดีมั้ย ฉันหิว ไม่ค่อยมีแรงเล่า”
เจติยาไม่พอใจ “งั้นคุณทานให้อิ่มก่อนเดี๋ยวฉันค่อยมาใหม่” เจติยาจะลุก
พิสัยคว้าแขนเจติยาไว้ เจติยาสะบัดแขนออกแล้วทำหน้าตาหงุดหงิดไม่พอใจ
พิสัยยิ้มๆ “เล่าก็ได้ ใจร้อนซะจริง”
เจติยาหน้าหงิกงอด้วยความหงุดหงิดก่อนจะนั่งลงฟัง
“วันก่อนฉันไปเข้าห้องน้ำ ก็เลยได้ยินป้อมเค้าคุยโทรศัพท์อยู่พอดี” พิสัยเริ่มเล่า

สามวันก่อน ป้อมกำลังคุยโทรศัพท์มือถือด้วยความตื่นเต้นอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ
ป้อมดีใจสุดๆ “ฉันตื่นเต้นไปหมดแล้ว เกิดมาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะโชคดีอย่างงี้เลย” ป้อมฟัง “ยังๆ ฉันไม่ได้ บอกใคร กะจะชวนแกไปขึ้นเงินด้วยกันนี่แหละ” ป้อมฟังอีกฝ่ายแล้วก็แปลกใจ “แล้วทำไมต้องห้ามบอกด้วยล่ะ แกกลัวญาติๆจะมารุมขอเงินฉันเหรอ”
ทันใดนั้นพิสัยก็เดินออกมาจากข้างในห้องน้ำพอดี
พิสัยหงุดหงิด “จะคุยหรือจะทำงานก็เลือกเอาซักอย่าง มันเกะกะฉันเห็นมั้ย”
ป้อมตกใจกลัว “ขอโทษค่ะคุณพิสัย ขอโทษค่ะ” ป้อมหันไปพูดโทรศัพท์ “แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเจอกัน”
ป้อมรีบกดวางสาย แล้วเข็นอุปกรณ์ทำความสะอาดเลี่ยงไปทันที พิสัยมองตามด้วยความหงุดหงิด

บริกรเริ่มทยอยเอาอาหารมาเสิร์ฟให้โต๊ะของพิสัยกับเจติยา
“ถึงฉันจะไม่ได้ยินทั้งหมด แต่ก็พอจับใจความได้ ว่าป้อมคงถูกรางวัลอะไรซักอย่าง แล้วกำลังจะไปขึ้นเงิน ถ้าเช็คดูว่าตอนนั้นป้อมคุยกับใคร ก็คงสาวถึงตัวฆาตกรได้ไม่ยากหรอก” พิสัยบอก
เจติยาพยักหน้ารับช้าๆ “เพราะถูกรางวัลไม่มีใครรู้นี่เอง ถึงได้หาเบาะแสอะไรไม่ได้เลย”
พิสัยยิ้มกรุ้มกริ่ม “ฉันเล่าเรื่องให้เธอฟังหมดแล้ว เราจะทานอาหารกันได้รึยังล่ะ”
เจติยาระแวง “เชิญคุณพิสัยเถอะค่ะ เจยังไม่ค่อยหิวเลย”
“อ้าว เธอนี่ไม่รักษาคำพูดเลยนะ ได้ข้อมูลสมใจก็คิดจะชิ่งกันล่ะสิ” พิสัยตัดพ้อ “ดวงฉันนี่ ถูกผู้หญิงหลอกใช้ซะเรื่อย”
เจติยารู้สึกผิดขึ้นมา พิสัยยิ้มแบบรู้ทันก่อนจะตักอาหารทุกจานที่บริกรมาเสิร์ฟชิมทีจานให้เจติยาดู
พิสัยยิ้ม “ทีนี้สบายใจขึ้นรึยังล่ะ” พิสัยจะหยิบแก้วน้ำของเจติยามาสลับกับของตัวเอง
เจติยาจับแก้วของเธอยึดเอาไว้ “ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกค่ะ”
เจติยาหน้าเจื่อนที่พิสัยรู้ทันเลยตักอาหารกินอย่างเสียไม่ได้ พิสัยสะแหยะยิ้มพอใจแล้วก้มหน้ากินอาหารไป เจติยาเหลือบตามองพิสัยแล้วก็ตกใจเล็กน้อยที่เห็นวิญญาณลาภิณยืนอยู่ด้านหลังพิสัย
ลาภิณพูดกับเจติยา “ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่กับเธอ”
เจติยาพยักหน้ารับ
ลาภิณมีสีหน้าเป็นห่วง “หาจังหวะหนีไปให้เร็วที่สุด คนอย่างมันไว้ใจไม่ได้หรอก”
เจติยามองหน้าลาภิณ พิสัยเหลือบตาขึ้นมองเธอ เจติยารีบก้มหน้าก้มตากินอาหารทันที พิสัยอมยิ้มร้ายๆ เพราะมั่นใจว่าถึงเจติยาจะระวังตัวแค่ไหนแต่ก็ไม่พ้นมือเขาแน่ พิสัยก้มกินอาหารต่อไปอย่างอารมณ์ดี เจติยากวาดตามองหาวิญญาณลาภิณแต่ก็ไม่เห็นแล้ว


เจติยาย่องออกมาจากห้องน้ำแล้วมองไปทางโต๊ะอาหารก่อนจะรีบวิ่งหนีออกไปทางด้านหลังร้าน
เจติยาบ่นกับตัวเอง “รีบหนีก่อนจะหมดโอกาส” เจติยาเลี้ยวมุมตึกแล้วไปชนคนคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
เจติยาตกใจมากเมื่อเงยหน้าแล้วพบว่าคนที่เธอชนคือพิสัยนั่นเอง
“คุณพิสัย”
พิสัยยิ้มร้าย “นี่คิดจะไปโดยไม่ร่ำลากันเลยเหรอ”
เจติยาถอยห่างแล้วกวาดตามองหาทางหนี พิสัยสืบเท้าเข้าหาเจติยา
“เธอรู้จักฉันน้อยไปแล้วถึงกล้าทำแบบนี้” พิสัยจ้องหน้าเจติยา แววตาร้ายกาจฉายชัดขึ้นมาในดวงตา
เจติยาตัดสินใจแหกปาก “ช่วย...”
พิสัยชักปืนพกขนาดเล็กออกมาจ่อขู่ เจติยาหยุดทันที
พิสัยขู่เสียงนิ่ง “เดินไปที่จอดรถกับฉันดีๆ”
เจติยากลัว “คุณจะพาฉันไปไหน”
“เดินไปเถอะน่ะ อย่าทำพิรุธ”
เจติยามีสีหน้ากลัวๆ แต่ก็ยอมเดินไปที่จอดรถพร้อมทั้งกวาดตามองหาลาภิณ
เจติยาพูดเบาๆ ระหว่างเดินนำไปที่รถพิสัย “คุณลาภิณ คุณอยู่ไหน”
ทันใดนั้นพิสัยก็ใช้ด้ามปืนและสันมือฟาดเข้าใส่ที่ก้านคอเจติยาเต็มแรงจนเจติยาเสียหลักล้มคว่ำหน้าผากฟาดกับตัวรถจนหมดสติไป พิสัยหันมองซ้ายมองขวาก่อนจะรีบกดรีโมทเปิดประตูรถ
วิญญาณลาภิณปรากฎขึ้นด้านหลังพิสัยด้วยสีหน้าชิงชังและโกรธจัด ลาภิณปาดมือไปจะกระชากคอเสื้อพิสัยแต่ก็คว้าไม่ติด พิสัยเปิดประตูรถออกแล้วหันมามองทางเจติยา ลาภิณรวมแรงฮึดพุ่งหมัดเข้าชกหน้าพิสัยสุดแรงเกิดแต่หมัดของลาภิณกลับทะลุร่างพิสัยไป
พิสัยย่อตัวลงนั่งข้างๆ เจติยาพร้อมกับมองเจติยาที่หมดสติ
พิสัยพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าสะใจ “อีกเดี๋ยวเธอก็จะยอมรับใช้ฉันอย่างว่าง่าย” พิสัยสะแหยะยิ้มพร้อมเลื่อนมือไปเชยคางเจติยา
ขณะที่พิสัยกำลังเชยคางเจติยา เจติยาก็ลืมตาโพลงขึ้นมาทันที พิสัยตกใจจนผงะไป เจติยาพุ่งหมัดเต็มแรงเข้าหน้าพิสัยจนเขาล้มหงายไป เจติยาลุกพรวดขึ้นยืนแล้วเตะเสยคางพิสัยอย่างทะมัดทะแมง พิสัยหน้าหงายหัวกระแทกประตูรถแล้วสลบเหมือดไปทันที เจติยายืนตาแข็งก่อนจะหันหลังแล้ววิ่งตะบึงหนีไปโดยไม่เหลียวหลัง

เจติยาเดินกลับเข้าโถงบ้านมาด้วยท่าทางสะบักสะบอมก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งแผ่ที่โซฟา แล้ววิญญาณลาภิณก็ออกจากร่างเจติยามาด้วยสภาพอ่อนแรงก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าก้มหน้ากับพื้น โดยที่วิญญาณลาภิณดูจางลงกว่าเดิม เจติยาค่อยๆ ได้สติ เธอลืมตาขึ้นมาในสภาพยังเจ็บๆ มึนๆ
ลาภิณหันไปมอง “เธอเป็นยังไงบ้าง”
“เกิดอะไรขึ้นคะ ฉันทั้งเจ็บทั้งมึนเลย” เจติยามองลาภิณด้วยความสงสัยปนห่วง “คุณเป็นอะไรของคุณ ดูคุณจางๆ ชอบกล”
ลาภิณค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างเหนื่อยอ่อน “ฉันไม่นึกเลยว่าเข้าสิงเธอ จะเสียพลังมากขนาดนี้”
เจติยาเพิ่งเข้าใจ “นี่คุณเข้าสิงร่างฉัน เพื่อช่วยฉันเหรอ”
ลาภิณพยักหน้ารับ
เจติยาซึ้งใจ “ขอบคุณมากนะคะที่เสี่ยงช่วยฉัน” เจติยาไม่สบายใจเพราะเป็นห่วงลาภิณ “ไม่รู้ว่าคุณทำยังงี้แล้วมันจะมีผลต่อการกลับเข้าร่างของคุณรึเปล่า”
“ช่างมันเถอะ” ลาภิณมองหน้าเจติยา “ฉันมากกว่าที่ต้องขอบคุณเธอ” ลาภิณถอนใจออกมา “ที่ต้องเกิดเรื่องกับเธอวันนี้ ก็เพราะเธอหาทางช่วยชีวิตฉันต่างหาก” ลาภิณซาบซึ้งใจ
ทั้งคู่สบตากันนิ่งเพราะต่างก็ซึ้งในน้ำใจของกันและกัน ทันใดนั้นนทีก็เดินลงมาจากชั้นบน
“อ้าว พี่เจ เพิ่งกลับเหรอ”
เจติยาสะดุ้งเล็กน้อย วิญญาณลาภิณหันไปมองนที แต่นทีมองไม่เห็น
นทีแซว “ไปเที่ยวกะหนุ่มคนไหนมาเนี่ย” นทีเห็นหน้าพี่สาวแล้วก็ชะงักเพ่งมองหน้าจนเห็นรอยช้ำแดงที่หน้าผาก “น่าจะไปตบกะใครมามากกว่า”
เจติยารีบปัดผมหน้าม้ามาปิดรอย “ไม่ใช่เรื่องของแก” เจติยารีบเดินเลี่ยงขึ้นบ้านไป
นทีเบ้ปากใส่ “โธ่ ทีเรื่องของผมยังเป็นเรื่องของพี่ได้เลย ไม่แฟร์นี่หว่า”
ลาภิณขำปนเอ็นดูก่อนจะยกมือขยี้หัวนที
นทีรู้สึกขนลุกวูบและหนาวสะท้านขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “ใครวะ” นทีกวาดตามองไปรอบๆ แล้วก็ชักกลัวนทีวิ่งไปหยิบนมจากตู้เย็นแล้ววิ่งตะบึงอย่างไม่คิดชีวิตขึ้นบันไดบ้านไป วิญญาณลาภิณเงยหน้ามองตามขึ้นไปแล้วก็ขำออกมา

เช้าวันใหม่ นวัชช่วยถือถาดใส่ของใส่บาตรเดินคุยกับมยุรีกลับเข้าซอยมา
นวัชหน้าเครียด “แล้วเจไม่เล่าให้คุณน้าฟังเลยเหรอครับ ว่าเค้าไปไหนมา”
มยุรีหน้าเครียด “ไม่เลยจ้ะ ไม่ยอมพูดถึงเลย ก่อนไปตักบาตรน้าเห็นแอบทายาที่หน้าผาก ช้ำเป็นปื้นเลยนะ พอเห็นน้าก็รีบเอาผมหน้าม้ามาปิด หนีเข้าห้องไปเลย”
นวัชฟังอย่างเก็บข้อมูล
มยุรีส่ายหน้าด้วยความหนักใจ “พักหลังมานี่ เจมีลับลมคมในกับน้ายังไงไม่รู้ ตั้งแต่ทะเลาะกันบ่อยๆ เรื่องนทีอย่างที่หมวดรู้นั่นล่ะ” มยุรีมีสีหน้าไม่สบายใจ “เค้าคงฝังใจคิดว่าน้าลำเอียง รักนทีมากกว่า ก็เลยทำตัวห่างๆไป” มยุรีถอนหายใจออกมา “ถ้าหมวดชวนคุย ตะล่อมถามดู เค้าอาจจะยอมพูดก็ได้นะคะ”
นวัชยิ้มดีใจที่มยุรีให้ความสำคัญกับเขา “ผมจะพยายามครับ แต่ก็ไม่รับปากว่าจะสำเร็จนะครับ” นวัชมีสีหน้าหนักใจ “เพราะระยะหลังมานี่ เจก็แปลกๆไปกับผมเหมือนกัน ไม่ใช่แต่เฉพาะกับคุณน้าหรอกครับ” นวัชหน้าขรึมลงด้วยความรู้สึกน้อยใจก่อนจะปั้นยิ้ม “วันนี้ผมนัดกับเจเอาไว้ แล้วผมจะลองถามเค้าดูครับ”
“ขอบใจมากจ้ะ” มยุรีจับมือนวัช “นี่ถ้าได้หมวดมาช่วยน้าดูแลเจอีกคน น้าก็คงสบายใจหายห่วง นอนตายตาหลับแล้วล่ะ” มยุรียิ้มให้
นวัชยิ้มแย้มปลาบปลื้มเพราะเหมือนมยุรีไฟเขียวให้เขาเป็นนัยๆ

นวัชกำลังคุยโทรศัพท์พร้อมกับจดรายละเอียดไปด้วยอยู่ในห้องทำงาน
“ชื่ออะไรนะ โอเคๆ” นวัชฟังอีกฝ่าย “พักอยู่ที่ไหน” นวัชฟังอีกฝ่าย “แล้วที่ให้เช็คกับกองสลากล่ะ” นวัชฟังอีกฝ่ายก่อนจะพยักหน้ารับ “ขอบใจมากนะ เจอกันเมื่อไหร่ ขอฉันเป็นเจ้ามือเลี้ยงแกเอง” นวัชฟังอีกฝ่าย “เออ เออ ขอบใจมาก”
เจติยาและนิษฐากำลังนั่งรอฟังผลจากนวัชอย่างใจจดใจจ่อ
เจติยาลุ้นๆ “ได้เรื่องมั้ยคะพี่หมวด”
“ได้สิ วันที่ป้อมตาย ป้อมโทรหาเพื่อนที่ชื่อพิศ ตามเวลาที่เจบอกเลย แล้ววันรุ่งขึ้น พิศก็เอาล็อตเตอรี่ไปขึ้นเงินเพราะถูกรางวัลที่สอง”
นิษฐาคิดทบทวนก่อนจะพึมพำ “พิศ...พิศ” นิษฐาฉุกคิดขึ้น “ใช่คนที่อยู่หอพักเดียวกับพี่ป้อมรึเปล่าคะ”
“ใช่”
“ว่าแล้วเชียว คนนี้ท่าทางแปลกๆ ฐาไปขอคุยด้วยแต่เค้าไม่ยอม แถมยังตีหน้ายักษ์ใส่ให้อีก เพราะอย่างงี้นี่เอง” นิษฐาบอก
“เป็นไปได้ว่าแรงจูงใจในการฆ่า ก็คือล็อตเตอรี่ที่พี่ป้อมถูกรางวัล” นวัชพูด
เจติยาถอนใจ “พี่ป้อมโทรบอกเรื่องสำคัญอย่างงี้กับเค้า แสดงว่าต้องไว้ใจเค้ามาก แต่กลับกลายเป็นว่าตัวเองต้องมาตาย เพราะคนที่ไว้ใจ” เจติยามีสีหน้าเศร้าใจ
ทุกคนมองมาที่เจติยาที่มีสีหน้าเศร้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนวิญญาณของป้อมมีสีหน้าโกรธจัด จนดูน่ากลัว

ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน ป้อมเดินกะเผลกผ่านพิศกับสามีพิศที่กำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรงที่ทางเดินหอพัก
พิศโมโหมากจึงดึงแขนสามีไว้ “จะหนีไปไหน ตอนมีเงินก็ช่วยกันใช้ พอมีหนี้จะทิ้งเอาตัวรอดเหรอวะ”
สามีพิศตะคอก “ก็ใครใช้ให้แกไปกู้เงินนอกระบบมาล่ะ ข่าวออกทุกวัน ไม่เห็นรึไงอีพิศ ติดแต่ละครนั่นล่ะ”
พิศโมโหมาก “แล้วที่ต้องกู้มันเพราะใครล่ะวะ ถ้าแกทำงานไม่เอาแต่เกาะฉันกิน ฉันจะเป็นหนี้มั้ย”
สามีพิศโมโหมากจึงเหวี่ยงพิศล้มลง
สามีพิศโมโห “มึงกล้าด่ากูเหรอะ กูยอมเป็นผัวมึงก็บุญเท่าไหร่แล้ว” สามีพิศจะเข้าไปทุบตีพิศ
ป้อมเห็นพิศถูกสามีทุบตีก็รีบเข้าไปห้ามทันที
“ว๊าย หยุดๆ จะตีกันให้ตายรึไง พอได้แล้ว”
สามีพิศเห็นป้อมเข้ามาขวางก็ยอมหยุด แต่ก็ยังผลักหัวพิศหนึ่งทีก่อนเดินเลี่ยงไป
ป้อมเข้าไปปลอบพิศ “นี่ทะเลาะกันเรื่องเงินอีกแล้วเหรอ”
พิศร้องไห้เสียใจ “ก็มีเรื่องเดียวนั่นแหละ”
ป้อมถอนใจส่ายหน้าแล้วกอดเพื่อนปลอบใจ เธอสงสารเพื่อนแต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง

หลายวันต่อมา พิศยินรออย่างกระวนกระวายในซอยเปลี่ยวที่ใกล้พงหญ้ารก สักพักป้อมก็เดินกะเผลกเข้ามาหาพิศด้วยความดีใจ
ป้อมถามด้วยท่าทางดีใจ “รอฉันนานมั้ยแก”
“ไม่นานหรอก แล้วแกเอาล็อตเตอรี่มารึเปล่า” พิศถาม
“เอามาสิ” ป้อมเปิดกระเป๋าหยิบล็อตเตอรี่ออกมา “นี่ไง แกไม่ต้องห่วงนะพิศ เรื่องหนี้แก ฉันจะช่วย...”
ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งมาจับบ่าป้อมไว้ ป้อมสะดุ้งตกใจ พอหันกลับไปมองสามีพิศที่ถือไม้หน้าสามขนาดใหญ่ก็ฟาดลงที่ศีรษะของป้อมเต็มแรงทันที

ในที่สุด พิศกับสามีก็ถูกตำรวจจับใส่กุญแจมือแล้วคุมตัวออกมาจากหอพัก พิศร้องห่มร้องไห้ทะเลาะกับสามีตลอดเวลา โดยมีชาวบ้านคอยมุงดูเต็มไปหมด นวัชเป็นคนควบคุมการจับกุม โดยมีนิษฐายืนอยู่ใกล้ๆ ส่วนเจติยาและวิญญาณป้อมยืนดูอยู่ห่างออกไป
“เพราะมึงคนเดียว เข้าคุกกันหมดเลยเห็นมั้ย ไอ้ผัวชั่ว” พิศถีบใส่สามี

สามีพิศชักจะเหลืออดจึงจะฟาดมือไปทุบเมีย ตำรวจจึงต้องคอยแยกสองสามีภรรยาออกจากกัน
สามีพิศตะคอก “แล้วตอนได้เงินมา ใครวะที่ช็อปปิ้งยังกะผีปอบ ซื้อของยังกะคนตายอดตายอยาก”
“มึงสิผีปอบ” พิศจะฟาดสามี
นวัชปราม “เอ้าๆ ไม่ต้องตีกัน โดนทั้งคู่นั่นแหละ ไปได้แล้ว”
ตำรวจพาตัวพิศกับสามีไป เจติยากับป้อมยังคงยืนมอง
“ทีนี้ก็หมดห่วงแล้วใช่มั้ยคะพี่ป้อม” เจติยาถาม
“ค่ะ” ป้อมเศร้าใจ “แต่มันน่าเสียใจมากนะน้องเจ พี่โดนเพื่อนสนิทที่สุดหักหลังกันได้ลงคอ”
เจติยาพยักหน้าบอกว่าเข้าใจ “แต่เค้าก็ได้รับกรรมที่เค้าก่อแล้วนี่คะ”
ป้อมพยักหน้ารับ “ขอบคุณน้องเจมากนะคะที่ช่วยพี่ น้องเจได้ดาวทุกข์ดวงที่สามแล้ว รีบไปช่วยคนตามที่น้องเจต้องการเถอะค่ะ”
เจติยายิ้มบางๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ
ป้อมเอื้อมมือมาแตะแขนเจติยาเบาๆ “พี่ต้องลาน้องเจตรงนี้แล้วล่ะ”
เจติยายิ้มรับ “โชคดีนะคะพี่ป้อม หวังว่าเราคงจะได้เจอกันอีกนะคะ”
ป้อมยิ้มรับก่อนจะเลือนหายไป เจติยาจะรีบไป แต่นวัชเดินเข้ามาเรียกเจติยาก่อน
“เดี๋ยวเจ”
เจติยาหยุดแล้วหันไปมอง
“เจจะรีบไปไหนต่อรึเปล่า” นวัชถาม
“ว่าจะไปเยี่ยมคุณลาภิณที่โรงพยาบาลหน่อยน่ะค่ะ”
นวัชชะงักเพราะหึงหวงแต่ก็เก็บอาการ
“พี่หมวดมีอะไรเหรอคะ” เจติยาถาม
นิษฐาหันมามองเจติยาและนวัชด้วยความสนใจ

เวลาผ่านไป นวัชนั่งคุยกับเจติยาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดโดยมีนิษฐาร่วมวงสนทนาอยู่ด้วยในร้านกาแฟข้างทางที่บรรยากาศดี มีเค้กก้อนหนึ่งวางอยู่กลางโต๊ะ
นวัชเคืองเพราะเป็นห่วง “เจทำยังงี้ได้ยังไง มันอันตรายมากรู้มั้ย”
เจติยาจ๋อย “เจรู้ค่ะพี่หมวด แต่มันจำเป็นจริงๆ เจอยากได้ข้อมูลการตายของพี่ป้อมเพิ่มเติม”
“ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจำเป็นขนาดต้องเอาตัวไปเสี่ยงขนาดนั้นเลย” นิษฐามีสีหน้าสงสัย “พี่ป้อมเค้าเป็นญาติฝ่ายไหนของเธอเหรอยะ”
เจติยาใช้หางตาค้อนใส่เพื่อน
“นั่นน่ะสิ แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย ที่เจทำเรื่องบ้าบิ่นแบบนี้” นวัชมีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
“เจรู้ค่ะว่าทำให้ทุกคนเป็นห่วง แต่ถ้าเจไม่ทำ ชีวิตคุณ...เอ่อ” เจติยาไม่รู้จะอธิบายเรื่องกล่องรากบุญยังไง เลยตัดบท “พี่ป้อมก็ต้องตายฟรีน่ะสิคะ”
นิษฐามองหน้าเจติยาอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจเพื่อนนัก
นวัชเคร่งเครียด “ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีกนะ พี่เป็นห่วงเรามากรู้มั้ย” นวัชห่วงจนออกนอกหน้า “นี่โชคดีแค่ไหนแล้วที่เอาตัวรอดมาจากนายพิสัยนั่นได้”
เจติยาเบือนหน้าไม่กล้าสู้ตา เธอหยิบแก้วกาแฟเย็นของตัวเองมาจิบ
“สงสัยพี่ต้องไปเยี่ยมนายพิสัยที่บริษัทมั่งแล้วล่ะ ต่อไปจะได้ไม่กล้า” นวัชบอก
นิษฐาเหล่มองนวัชเพราะชักหมั่นไส้ที่เขาห่วงเจติยาเกินไป
นิษฐาแขวะด้วยความหมั่นไส้ “ไปแสดงตัวให้เค้ารู้ ว่าเจมีแฟนเป็นตำรวจเหรอคะ”
นวัชอึ้งไปแต่ก็แอบพอใจ ส่วนเจติยาถึงกลับสำลักกาแฟเย็นก่อนจะรีบวางแก้วลงแล้วต่อว่าเพื่อนทันที
“เมื่อไหร่เธอจะเลิกพูดจาไร้สาระซะทีฐา”
นิษฐาทำเหยียดปากใส่อย่างไม่แคร์แล้วก็จิบชาเย็นของเธอไป
“พี่คงต้องบอกเรื่องนี้ให้คุณน้าทราบ” นวัชเป็นห่วงมากจนเผลอออกคำสั่ง “แล้วเจก็ไปลาออกจากที่นิราลัยซะเถอะ”
เจติยาหยุดกึกก่อนจะหันมามองหน้านวัชเพราะเริ่มไม่ถูกใจที่นวัชล้ำเส้นไปหน่อย
“อย่าไปเสียดายเรื่องเงินปันผลนั่นเลย คิดถึงความปลอดภัยของชีวิตเราไว้ก่อนดีกว่า เอาเวลามาเรียนให้จบ พี่เชื่อว่าเจหางานทำได้ดีกว่าที่นั่นเยอะ” นวัชพูดต่อ
เจติยาชักไม่พอใจ “เจรู้นะคะว่าทำให้ทุกคนเป็นห่วง แต่นี่คือชีวิตของเจ พี่หมวดไม่มีสิทธิมาบังคับเจให้ทำโน่นไม่ทำนี่” เจติยาทำหน้าตากวนและเอาแต่ใจขึ้นมา “จะว่าไปพี่หมวดก็ไม่ได้ต่างอะไรจากพี่ป้อม เราไม่ใช่ญาติพี่น้องกันซะหน่อย”
นวัชอึ้งไป
แม้จะแอบชอบนวัชอยู่ แต่นิษฐาก็ตกใจที่เห็นเพื่อนแรงไป “เจ น้อยๆหน่อย พูดจาไม่มีรักษาน้ำใจกันเลย”
“แกเฉยเหอะน่ะ” เจติยาหันไปจ้องหน้านวัช “ที่เจไม่เล่าให้แม่ฟัง เพราะไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ แล้วเจก็เอาตัวรอดมาได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้นอีก ที่จริงเจจะโกหกพี่หมวดก็ได้ แต่เจไม่ทำ”
นวัชพูดไม่ออก เขาจ๋อยซีดเจ็บแปลบไปตั้งแต่คำพูดประโยคก่อนแล้ว
“ส่วนเรื่องนิราลัย เจรักงานที่นี่มาก ถึงไม่มีเงินปันผล เจก็จะทำต่อค่ะ ไม่ว่าพี่หมวดหรือใครๆ ก็มาสั่งให้เจลาออกไม่ได้ ชัดเจนมั้ยคะ เจไปได้แล้วนะคะ” เจติยาลุกขึ้นด้วยหน้าตาหงุดหงิด
นวัชน้อยใจ “พี่ขอโทษที่วุ่นวายกับเจมากไปหน่อย”
เจติยาหยุดฟัง นวัชตัดพ้อแล้วพูดพร้อมหลบตา “พี่มันก็แค่ไอ้คนข้างบ้านที่แอบรักเจอยู่ข้างเดียว ช่างหัวมันเถอะ”
คำพูดซื่อๆ จากหัวใจนวัชทำเอาสองสาวอึ้งไป
“แต่จะให้พี่ทนเห็นเจต้องเสี่ยงอันตราย โดยไม่พูดไม่เตือนอะไรเลย พี่ทำไม่ได้หรอก เจจะโกรธพี่ก็โกรธเลย” นวัชก้มหน้านิ่ง
นิษฐาชำเลืองมองนวัชด้วยความสงสารและเห็นใจมาก
เจติยาอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก็ตัดใจพูด “ขอบคุณนะคะพี่หมวด แต่เจนับถือพี่หมวดอย่างพี่ชาย มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอกค่ะ”
นวัชและนิษฐาเหวอไปเพราะไม่คิดว่าเจติยาจะพูดเคลียร์ชัดขนาดนี้
“พี่หมวดอย่ามาเสียเวลากับเจอีกเลย” เจติยาเดินเลี่ยงออกไปจากร้าน

รากบุญ ตอนที่ 9 (ต่อ)
นวัชนิ่งสนิทและกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ
นิษฐาพึมพำ “เพื่อนใจร้าย” นิษฐาหันไปมองนวัชด้วยความสงสารและพูดอะไรไม่ออก แต่เธอก็อยากแก้บรรยากาศ เลยฝืนยิ้มแล้วปล่อยมุกหวังผลไป “กาแฟเย็นหมดก็ยังมีชาเย็นอยู่นะคะ”
นวัชหันมาจ้องหน้านิษฐา
“อร่อยไม่แพ้กัน” นิษฐาฉีกยิ้มหวานให้
นวัชพูดหน้านิ่ง “กลับกันเถอะ”
นิษฐายิ้มแห้งไปทันที
นวัชลุกเดินไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ นิษฐาเหยียดปากใส่ด้วยใบหน้าเซ็งเพราะหมดอารมณ์ ก่อนจะหยิบเค้กก้อนโตที่อยู่กลางโต๊ะยัดใส่ปาก

พิสัยกำลังจัดดอกไม้ใส่แจกัน โดยมีชูจิตกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลด้วยท่าทีเซื่องซึมเพราะทุกข์ใจเรื่องลาภิณจนไม่มีกะใจทำอะไร
พิสัยปั้นยิ้ม “อยู่โรงพยาบาลนานๆ จะซึมเศร้าได้นะครับพี่จิต ถ้าพี่จิตไม่เป็นอะไรแล้ว ผมว่ากลับไปอยู่บ้านเราดีกว่านะครับ”
ชูจิตส่ายหน้า “พี่อยากอยู่ใกล้ต้นมากกว่า ถ้าต้นไม่หาย พี่ไม่อยากไปไหนทั้งนั้นล่ะ”
วิญญาณของลาภิณยืนมองชูจิตอย่างซึมๆ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาตนเอาแต่น้อยใจว่าแม่เข้าข้างพิสัยตลอด เขาเพิ่งจะรู้ใจว่าแม่รักเขามากก็ตอนนี้เอง
พิสัยยิ้มเอาใจ “ถ้าพี่จิตสบายใจแบบนี้ ผมก็ไม่ขัดใจหรอกครับ” พิสัยมีสีหน้าเจ้าเล่ห์เล็กน้อย “แต่ช่วงนี้คงมีคนมาเยี่ยมพี่จิตหลายคน พี่คงไม่เหงาเท่าไหร่”
ลาภิณจับตามองพิสัยอย่างสงสัยว่าเขาจะมาไม้ไหน
“ก็มีมาไม่กี่คนหรอก มีแต่หนูเจนั่นแหละที่มาประจำ” ชูจิตบอก
พิสัยชะงักไปก่อนจะฝืนยิ้ม “ก็ดีครับ เจช่างคุย คงเป็นเพื่อนคุยที่ดีให้พี่ได้” พิสัยถามหยั่งเชิง “นี่คงเอาเรื่องที่บริษัทมาเล่าให้ฟังสิครับ”
ลาภิณขำๆ อย่างรู้ทัน “ถามอ้อมไปมา กลัวเจจะมาฟ้องเรื่องเมื่อคืนล่ะสิ”
“เจเค้าไม่พูดเรื่องที่ทำให้พี่ไม่สบายใจหรอก เค้าคอยปลอบใจพี่มากกว่า” ชูจิตบอก
พิสัยยิ้มโล่งอกเพราะเท่ากับว่าเจติยายังไม่ได้ฟ้องอะไร “เอ่อ แล้วคุณปริมล่ะครับ มาเยี่ยมเอาใจพี่วันละกี่ครั้งครับเนี่ย” พิสัยทำเป็นขำๆเอ็นดู
ชูจิตหงุดหงิด “รายนั้นน่ะเหรอะ ไม่มาก็ดีแล้วล่ะ มาก็สร้างความรำคาญให้มากกว่า”
พิสัยหน้านิ่งไปอย่างเก็บข้อมูล
“เห็นมาสติแตกวันที่ต้นโดนยิงวันเดียว หลังจากนั้นก็ไม่เคยโผล่มาอีกเลย ช่างเหอะ พี่ก็ไม่ได้หวังอะไรกับเค้าอยู่แล้ว”
พิสัยหน้าเครียดเพราะไม่พอใจที่ปริมไม่มาหาชูจิต เขาเบือนหน้าไปทางวิญญาณลาภิณแต่มองไม่เห็น พิสัยแอบบ่นพึมพำ
“ไม่ได้เรื่อง”
ลาภิณเห็นและได้ยินชัดเจน เขาก็จ้องหน้าพิสัยจนเห็นว่าสีหน้ามีพิรุธเลยชักเอะใจ

เวลาผ่านไป พิสัยกำลังยืนกดกริ่งหน้าห้องพักของปริม วิญญาณลาภิณยืนมองพิสัยเขม็งอยู่ทางด้านหลังด้วยสีหน้าเป็นห่วงปริม ปริมเปิดประตูห้อง พอเห็นว่าเป็นพิสัยก็ชักสีหน้าเซ็ง
ปริมเซ็ง “มาทำไม”
พิสัยหงุดหงิด “ก็มาลากตัวเธอไปหาพี่จิตน่ะสิ เวลาแบบนี้แทนที่จะรีบทำคะแนน กลับมาหมกตัวอยู่แต่ในห้อง”
ปริมเดินกลับเข้าข้างในด้วยความหงุดหงิด พิสัยเดินตามไปพร้อมกับปิดประตูใส่ลาภิณที่กำลังเดินตามเข้ามา ลาภิณเลยเดินทะลุผ่านประตูเข้ามาแทน
ปริมหงุดหงิด “คุณต้นนอนพะงาบๆ จะตายแหล่ไม่ตายแหล่อยู่แล้ว ยังจะให้ฉันไปดูให้ช้ำใจตายก่อนรึไง ฉันรับไม่ได้หรอก”
วิญญาณลาภิณอ้อมมามองหน้าปริมด้วยความรู้สึกสงสารและเห็นใจ
พิสัยโมโหจึงกระชากข้อมือปริม “จะได้หรือไม่ได้ ก็ต้องไป”
ลาภิณเห็นพิสัยเล่นงานปริมก็โมโห “ปล่อยมือปริมเดี๋ยวนี้นะ”
พิสัยไม่ได้ยินจึงพูดใส่ปริมเป็นชุด “ถ้าไอ้ต้นเป็นอะไรขึ้นมา พี่จิตก็ยิ่งเคว้ง ถ้าเธอไม่ฉวยโอกาสตอนนี้ เกิดพี่จิตบ้าจี้ยกหุ้นนิราลัย ให้เด็กนั่นอีกคนจะว่ายังไง”
ปริมโมโหมาก “จะยกให้ใครก็ยกไปซิ ฉันไม่สนหรอก” ปริมกระชากมือออก
พิสัยตะคอก “แต่ฉันสน แล้วก็มีเธอคนเดียวเท่านั้นที่ช่วยฉันได้ โอเค ถึงพี่จิต จะไม่เอาเรื่องที่ฉันจับตัวเค้าไป แต่เค้าก็ไม่ได้ พิศวาสฉันเหมือนเดิมแล้ว”
ลาภิณอึ้งไปแล้วเริ่มลำดับเรื่องราวที่ได้ยิน
ลาภิณมีสีหน้าไม่พอใจ “นึกแล้วไม่มีผิด” ลาภิณมีสีหน้าชิงชัง
ปริมหัวเราะเยาะตัวเอง “เค้าก็ไม่ได้พิศวาสฉันมากไปกว่าคุณนักหรอก ฉันสวมเขาให้ลูกชายเค้า ยังคิดว่าฉันจะเข้าหน้าเค้าได้ อีกเหรอ”
ลาภิณช็อกกว่าเดิม เขาหันไปมองปริมอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
พิสัยพูดแบบปัดๆ “พี่จิตอาจจะไม่รู้ก็ได้ อย่าระแวงไปหน่อยเลยน่า”
“เค้ารู้อยู่เต็มอก แต่ขาดหลักฐานเท่านั้นเอง”
พิสัยถอนใจออกมาอย่างหนักใจ ลาภิณรู้สึกเหมือนกับตายไปแล้วจริงๆ เขามองหน้าปริมด้วยสายตาผิดหวังที่สุด
“ทั้งคำพูด ทั้งการกระทำของคุณแม่ที่พยายามดันนังเจขึ้นมาแทนแล้วถีบฉันให้ไปพ้นๆ ทาง ขนาดนี้ยังดูไม่ออกอีกเหรอ” ปริมเดินไปกระแทกตัวนั่งที่โซฟาอย่างหัวเสีย
“เอาน่า ใจเย็นๆ” พิสัยเดินไปหา “เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว มาช่วยกันคิดหาทางแก้ไขก่อนที่จะสายเกินแก้ดีกว่า” พิสัยนั่งลงข้างๆปริมแล้วเลื่อนมือไปตบขาให้กำลังใจ
ปริมปัดมือพิสัยออกไปแรงๆ ก่อนจะขยับห่างด้วยท่าทางรังเกียจ
ลาภิณยืนนิ่งงัน เขาช็อคจนสติแตกนัยน์ตาแดงกล่ำเพราะเสียใจอย่างที่สุด

หมอและพยาบาลกำลังช่วยกันปั๊มหัวใจให้ลาภิณที่หัวใจหยุดเต้นไปอีก สถานการณ์ตึงเครียด ความเป็นความตายของลาภิณกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย

ในขณะที่วิญญาณลาภิณกำลังยืนงงเพราะตั้งหลักไม่ทันกับเหตุการณ์ที่ได้เห็นและได้ยินในคอนโดของปริม ทันใดนั้นวิญญาณของลาภิณก็มีแสงสว่างขึ้นรอบตัวก่อนจะถูกดูดหายวับไปในแสงสว่างนั้น

วิญญาณลาภิณถูกดูดมาโผล่ในห้องไอซียู ลาภิณมีสีหน้าทั้งงงทั้งสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะหันไปมองทางเตียงผู้ป่วยจึงเห็นหมอและพยาบาลกำลังช่วยกันปั๊มหัวใจให้ร่างของเขาอย่างขมักเขม่น

ชูจิตกำลังยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่หน้าห้องไอซียู เจติยาเห็นก็รีบเดินเข้ามาหาชูจิต
เจติยาร้อนใจสุดๆ “เกิดอะไรขึ้นคะคุณท่าน”
ชูจิตร้องไห้โฮ “ต้นหัวใจหยุดเต้นอีกแล้ว ฉัน...ฉันทนไม่ไหวแล้วนะเจ ฉันรับไม่ไหวแล้ว”
เจติยาสวมกอดชูจิตเพื่อให้กำลังใจ ชูจิตยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วก็กอดเจติยาเอาไว้แน่น เจติยาชะเง้อมองไปในห้องไอซียูก็เห็นวิญญาณลาภิณกำลังมองร่างของเขาที่หมอกำลังพยายามช่วยอยู่ วิญญาณลาภิณค่อยๆ เดินเข้าใกล้เตียงไปเรื่อยๆ เจติยารีบประคองชูจิตไปนั่งพัก
“คุณท่านนั่งพักตรงนี้ก่อนนะคะ คุณท่านตั้งสมาธิอธิษฐานสิคะ ขอผลบุญที่คุณท่านเคยทำมาช่วยให้คุณลาภิณปลอดภัย” เจติยาบอก
ชูจิตซับน้ำตาพร้อมพยักหน้ารับแล้วก็พยายามรวบรวมสติ เจติยาเดินเลี่ยงออกมากดโทรศัพท์มือถือหานิษฐาทันที
“ฐา ตอนนี้แกอยู่ไหน” เจติยาฟัง “อย่าเพิ่งถามอะไรทั้งนั้น แกรีบไปบ้านฉันเดี๋ยวนี้เลย แล้วบอกแม่หรือนทีก็ได้ ให้ไปหยิบกล่องตรงโต๊ะเขียนหนังสือให้แก แล้วแกรีบเอากล่องมาให้ฉันที่โรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเลยนะ” เจติยาฟัง “แกยังไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งนั้น เร็วที่สุด เข้าใจมั้ยฐา” เจติยากดวางสาย
เจติยาเดินไปชะโงกมองที่ห้องไอซียูด้วยสีหน้าร้อนใจมาก

เจติยาเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล สักพักรถของนิษฐาก็เลี้ยวปาดเข้าโรงพยาบาล
ยังไม่ทันหาที่จอดดีเจติยาก็วิ่งไปประชิดรถ
เจติยารีบเคาะกระจกหน้าต่างรถแล้วเอ่ยถาม “ได้มั้ย”
นิษฐากดกระจกลงมา
“อะไรจะรีบร้อนขนาดนั้น” นิษฐาว่า
“กล่องล่ะ”
นิษฐาหยิบกล่องรากบุญยื่นให้ “ใช่มั้ย”
เจติยาเห็นกล่องรากบุญก็ดีใจมาก
นิษฐาสงสัย “นี่มันกล่องอะไรของแก”
เจติยาฉวยกล่องรากบุญไปแล้ววิ่งเข้าโรงพยาบาลไปทันที นิษฐายืนงง
“เจ เดี๋ยวสิ” นิษฐางง “อะไรของมันเนี่ย”

เจติยาถือกล่องรากบุญวิ่งมาที่มุมลับตาคน เธอมองไปรอบๆ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครเห็น เธอก็มองกล่องรากบุญนิ่งๆ บนกล่องมีเหรียญ “ดาวทุกข์” ติดอยู่ครบสามดวงหมายความว่าอยู่ในสถานะที่พร้อมจะขอพรได้แล้ว

หมอและพยาบาลกำลังช่วยกันปั๊มหัวใจลาภิณเต็มที่โดยที่วิญญาณลาภิณยืนมองร่างตัวเองอยู่ใกล้ๆ ด้วยสายตาสงบนิ่งเพราะทำใจได้แล้ว
หมอใช้เครื่องช็อตหัวใจปั๊มหัวใจลาภิณ “เคลียร์”
ร่างลาภิณสะดุ้งเฮือกขึ้นมาตามแรงช็อต

เจติยาตั้งสติ รวบรวมสมาธิ แล้วพูดอธิษฐานขอพรต่อกล่อง “กล่องรากบุญ ฉันขอให้แก”

หมอยังคงใช้เครื่องช็อตหัวใจปั๊มหัวใจให้ลาภิณ “เคลียร์” ร่างลาภิณสะดุ้งเฮือกขึ้นมาตามแรงช็อต แต่เส้นสัญญาณชีพที่จอมอนิเตอร์ยังราบเรียบไม่กระตุกเลยแม้แต่น้อย หมอและพยาบาลหันไปมองหน้ากัน ก่อนจะทำใจยอมแพ้ด้วยการเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ เพราะคิดว่าช่วยชีวิตลาภิณไม่ได้แล้ว

เจติยาตั้งสติ รวบรวมสมาธิแล้วพูดอธิษฐานขอพรต่อกล่องอย่างต่อเนื่อง “ช่วยคุณลาภิณ ให้รอดพ้นจากความตาย”

วิญญาณลาภิณเดินเข้าไปหาร่างของตัวเองที่นอนนิ่งสนิทเพราะหมดลมหายใจไปแล้ว ลาภิณมองดูตัวเองเหมือนต้องการบอกลาร่างกายของเขา
ลาภิณพูดหน้าเศร้า “ตายซะก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องบ้าๆอีก ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไปเลย”
ทันใดนั้นร่างกายลาภิณก็สั่นไหวเหมือนถูกแรงบางอย่างมากระทำ วิญญาณลาภิณงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน

เจติยาตั้งสติ รวบรวมสมาธิ แล้วพูดอธิษฐานขอพรต่อกล่องต่อ “ขอให้หายเป็นปกติเดี๋ยวนี้”
สิ้นคำขอพรของเจติยา กล่องรากบุญก็เปิดออกพร้อมแสงสว่างจ้าทั่วบริเวณ

วิญญาณของลาภิณถูกดูดกลับเข้าไปในร่างทันที เส้นสัญญาณชีพที่จอมอนิเตอร์กระตุกขึ้นมา ก่อนจะเริ่มส่งสัญญาณเป็นปกติ
พยาบาลหันไปดูมอนิเตอร์แล้วก็ตกใจมาก “คุณหมอคะ”
หมอกำลังจะเดินออกไปนอกห้อง พอได้ยินพยาบาลเรียกก็รีบกลับมาดูและตรวจอาการลาภิณทันที ลาภิณค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างอ่อนแรงและมีสีหน้าแววตางงๆ

ลาภิณกำลังนอนอยู่บนเตียงให้หมอตรวจอาการโดยมีชูจิตคอยดูแลด้วยความห่วงใยอยู่ไม่ห่าง
หมอตรวจอาการเสร็จก็หันมาคุยกับชูจิต “ตั้งแต่ผมเป็นหมอมา ไม่เคยเห็นคนไข้เฉียดตายที่ไหนฟื้นตัวเร็วเท่านี้มาก่อนเลยนะครับ”
ชูจิตยังขวัญผวาไม่หายถึงกับน้ำตาคลอและจับมือลูกชายเอาไว้ตลอดเวลา ลาภิณยิ้มบางๆ ให้ชูจิต
“ถ้าอยากจะกลับบ้านจริงๆ ก็คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะครับ” หมอบอก
ชูจิตยิ้มดีใจ “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”
ชูจิตและลาภิณหันมายิ้มให้กัน
“งั้นหมอขอไปเยี่ยมไข้ห้องอื่นต่อก่อนนะครับ” หมอบอก
ลาภิณ ชูจิตและหมอยกมือไหว้ร่ำลากันก่อนที่หมอและพยาบาลจะเดินออกไปจากห้อง

ชูจิตพูดหน้านิ่ง “เมื่อกี๊หนูปริมโทรมา บอกว่าเดี๋ยวจะมาเยี่ยม” ชูจิตไม่พอใจนัก “หายหัวไปเลย ไม่เคยมาดูดำดูดี พอรู้ว่าต้นอาการดีขึ้นหน่อยล่ะรีบมาทันทีเลย”
ลาภิณพูดหน้าเครียด “คุณแม่ครับ เดี๋ยวพอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมขอไปที่บริษัทเลยนะครับ”
“อะไรกันจ๊ะต้น เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลก็จะทำงานเลยเหรอ”
ลาภิณหน้าเครียด “ผมมีหลายเรื่องที่ต้องรีบสะสางน่ะครับแม่ ไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว”
“เรื่องอะไรให้แม่ไปจัดการแทนก็ได้ ต้นพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนดีกว่านะลูก”
ลาภิณหน้าเครียดขึ้นมา “เรื่องนี้ผมต้องจัดการด้วยตัวเองครับแม่” ลาภิณนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนใจหนักๆ แล้วตัดใจพูด “คุณแม่รู้เรื่องปริมกับน้าพิสัยมานานรึยังครับ”
ชูจิตตกใจเพราะไม่คิดว่าลูกชายจะรู้เรื่องนี้ด้วย

ลาภิณเปิดประตูรถให้ชูจิตเข้าไปนั่งก่อน ใขณะที่ปริมขับรถมาที่ลานจอดรถของโรงพยาบาลพอดี เธอเห็นลาภิณและชูจิต ปริมจึงรีบขับรถไปขวางหน้ารถชูจิตเอาไว้ คนขับรถรีบเดินไปบอก
“รถกำลังจะออกครับคุณ”
ปริมที่แต่งตัวสวยเดินลงจากรถมาหาลาภิณทันที
ปริมดีใจมาก รีบเดินเข้าไปหาทันที “คุณต้นหายแล้วจริงๆ ด้วย ไม่น่าเชื่อเลย”
ลาภิณยิ้มเย็นชา “ดวงผมคงยังไม่ถึงที่”
ปริมดีใจมากจึงเข้าไปกอดลาภิณ “ปริมดีใจที่สุดเลยค่ะ”
ลาภิณขยับตัวห่างไม่ยอมให้ปริมกอด
“ไม่เหมาะสมมั้งครับ”
ปริมหน้าเสีย “นี่คุณต้นโกรธปริมที่เพิ่งจะมาเยี่ยมใช่มั้ยคะ”
ลาภิณหน้านิ่ง
ปริมออดอ้อนเต็มที่ “ไม่ใช่ว่าปริมไม่ห่วงคุณนะคะ แต่ปริมทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นคุณในสภาพแบบนั้น”
ชูจิตเดินลงมาจากรถ หลังจากนั่งเงียบอยู่นาน
ชูจิตพูดหน้านิ่ง “มาได้แล้วเหรอจ๊ะหนูปริม”
ปริมยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณแม่”
ชูจิตรับไหว้ตามมารยาท
ลาภิณพูดสวนขึ้น “ไปกันเถอะครับคุณแม่ วันนี้ผมมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ”
“คุณต้นจะไปไหนคะ” ปริมถาม
“ธุระส่วนตัวครับ” ลาภิณจะเดินอ้อมไปขึ้นรถ
ปริมเดินไปขวางหน้า “ปริมจะไปด้วยค่ะ”
“ต้นเค้าพูดชัดถ้อยชัดคำแล้วว่าจะไปทำธุระส่วนตัว ยังไม่เข้าใจอีกรึไง” ชูจิตว่า
ปริมไม่สนชูจิตและไม่พอใจลาภิณ “คุณต้นไม่เคยเย็นชากับปริมแบบนี้มาก่อนนี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ”
“คนเราลองตื่นจากความตายมาได้ ก็ต้องหลุดพ้นจากความโง่งมงายได้เหมือนกัน” ชูจิตบอก
“คุณแม่พูดเหมือนปริมเป็นคนหลอกลวงยังงั้นแหละ”
“หรือว่าไม่จริงจ๊ะ” ชูจิตจ้องหน้า
ปริมรีบหลบสายตา ลาภิณหน้านิ่งและมีแววตาเจ็บช้ำ
ปริมบีบน้ำตา “คุณต้นคะ” ปริมเน้นเสียง “เราเป็นแฟนกันนะคะ”
ลาภิณพูดหน้านิ่ง “ลาภิณที่เป็นแฟนคุณตายไปแล้ว”
ปริมอึ้งแล้วก็น้ำตาท่วม “คุณต้น”
“ผมไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้ สิ่งที่ผมเห็น ผมได้ยิน มันมากเกินจะต้องฟังคำอธิบายอะไรอีกแล้ว เราจบกันแค่นี้นะปริม”
ปริมน้ำตาร่วงทันที ลาภิณไม่มองหนาปริมแต่เดินเลี่ยงไปขึ้นรถทันที
“เดี๋ยวสิคะต้น คุณไปเห็นไปได้ยินอะไรมา บอกปริมก่อนสิคะ” ปริมจะตามไป
ชูจิตปาดมาจับแขนปริมเอาไว้ทำให้ลาภิณเดินเลี่ยงขึ้นรถไปได้
ปริมบีบน้ำตา “คุณแม่คะ ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันซักอย่างแน่ๆ”
ชูจิตมองหน้าปริม “หนูปริมจ๊ะ”
ปริมปาดน้ำตาแล้วมองหน้าชูจิตแบบแอบมีความหวัง
ชูจิตหน้านิ่ง “ช่วยเลื่อนรถด้วยจ้ะ”
ปริมอึ้งไป
ชูจิตเดินไปขึ้นรถที่คนขับรถรอเปิดประตูให้อยู่แล้วเข้าไปนั่งคู่กับลาภิณที่เบาะหลัง ปริมน้ำตานองหน้าเดินกระแทกปึงปังไปขึ้นรถขับแล้วออกไปอย่างเร็ว ชูจิตเลื่อนมือไปกุมมือลูกชายที่นั่งก้มหน้านิ่งแล้วบีบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ ลาภิณมีสีหน้าเศร้าซึม เขาเจ็บช้ำเพราะยังทำใจไม่ได้ แต่ก็ต้องตัดใจ

พิสัยเดินกลับเข้ามาในบริษัทตอนบ่าย เขาเห็นพนักงานกลุ่มนึงกำลังมุงที่บอร์ดพร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก
พิสัยไม่พอใจ “นี่จะรวมกลุ่มประท้วงกันเหรอ”
กลุ่มพนักงานหันไปเห็นพิสัยก็กระอักกระอ่วนและทำท่าทางแปลกๆ ก่อนจะพากันเดินออกไป
“มีอะไรน่าดูนักรึไง”

พิสัยเดินเข้าไปดูที่บอร์ดแล้วก็ต้องช็อกสุดๆ เมื่อเห็นประกาศปลดเขาจากทุกตำแหน่งในของบริษัทนิราลัย ติดอยู่กลางบอร์ด ทันใดนั้นเสียงลาภิณก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของพิสัย
“ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ ก็ถามผมได้เลย”
พิสัยรีบหันกลับไปมองอย่างตกใจสุดๆที่ลาภิณเป็นปกติดีทุกอย่าง “คุณต้น”
ลาภิณยิ้มเย็นชาและมีสายตาแข็งกร้าวเพราะคราวนี้เขาไม่มีทางยอมพิสัยอีกแน่

ลาภิณมานั่งคุยกับพิสัยอยู่ในห้องทำงาน
ลาภิณพูดหน้านิ่งและทำสายตากวน “ผมก็ไม่คิดเหมือนกันครับว่าจะมีโอกาสหาย พอสวรรค์เมตตาผมก็ต้องรีบมาจัดการทุกอย่างให้มันเรียบร้อยก่อนจะหมดโอกาสอีก”
พิสัยแค้นใจ “ด้วยการไล่น้าออกอย่างงั้นเหรอะ คุณต้นลืมไปแล้วรึไง ว่าน้ามีโปรเจ็คที่ยังต้องรับผิดชอบอยู่” พิสัยยิ้มเยาะ “แล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ดีเท่าน้าด้วย”
“ผมทราบครับ แต่บริษัทควรจะเลี้ยงคนเนรคุณที่แม้แต่พี่สาวแท้ๆของตัวเอง ยังจับไปขัง เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ได้ เอาไว้อีกมั้ยครับ” ลาภิณย้อนถาม
พิสัยอึ้ง ลาภิณพูดต่อ
“ผมว่าสู้ตัดนิ้วร้ายทิ้งซะ ดีกว่านิราลัยต้องเสียหายมากกว่านี้”
พิสัยพยายามระงับสีหน้า “เรื่องนี้น้าคุยกับพี่จิตแล้ว”
ลาภิณพูดสวนขึ้น “ผมก็คุยกับคุณแม่แล้วเหมือนกัน ผมบอกกับคุณแม่ตามตรง ว่าผมทนเล่นละครทำงานร่วมกับคนทรยศไม่ได้ คุณแม่ก็เลยให้ผมจัดการไปตามที่ผมเห็นควร” ลาภิณจ้องหน้าพิสัย “แล้วผมก็เห็นควรแล้วว่าการให้น้าพิสัยอยู่ห่างจากนิราลัย เป็นวิธีที่ดีที่สุด”
พิสัยพยายามระงับอารมณ์ “เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ น้าเองก็สำนึกผิดแล้ว จะไม่ให้โอกาสกันบ้างรึไง”
“ให้โอกาสน้ากลับมาทำร้ายผมกับคุณแม่อีกน่ะเหรอครับ ความโง่เง่าตายไปพร้อมกับลาภิณคนเก่าแล้ว” ลาภิณมีสีหน้าแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“แล้วคุณต้นไม่คิดถึงนิราลัยบ้างรึไง ถ้าไล่น้าออกตอนนี้ นิราลัยต้องเสียผลประโยชน์เท่าไหร่ อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานสิครับ มืออาชีพหน่อย”
ลาภิณจ้องหน้าแบบรู้ทัน “มันเป็นเรื่องเดียวกันตะหาก ที่น้าจับตัวคุณแม่ไป ก็เพราะอยากได้นิราลัยไม่ใช่เหรอ ผมว่าน้าออกไปดีๆ จะดีกว่า ถ้ารื้อฟื้นเป็นคดีความกันขึ้นมา น้าพิสัยก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ ว่าใครจะเดือดร้อนที่สุด”
พิสัยโมโหมากจึงชี้หน้าลาภิณ “แกจะมาทำกับฉันอย่างงี้ไม่ได้ ฉันอยู่นิราลัยมาก่อนแก รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับที่นี่...”
ลาภิณไม่สนใจ เขากดสายภายในเพื่อต่อไปยังเลขาหน้าห้องแล้วพูด “เรียกฝ่ายรักษาความปลอดภัยเข้ามาห้องผมเดี๋ยวนี้เลย”
พิสัยขบกรามจนขึ้นสันก่อนจะชี้หน้าลาภิณ ลาภิณจ้องหน้าพิสัยแบบไม่เกรงกลัว พิสัยหันหลังกลับด้วยสีหน้าโกรธจัดแล้วเดินไปเปิดประตูก่อนจะปิดกระแทกโครมแล้วเดินออกไป ลาภิณมองตามแล้วอมยิ้มสะใจ กับการเปิดศึกซึ่งๆ หน้าอย่างเป็นทางการแบบนี้

พิสัยเดินลิ่วมาด้วยความโกรธ ทันใดนั้นเขาก็เห็นปราณยืนรออยู่
พิสัยโมโหมาก “ทำไมแกถึงไม่ช่วยฉัน ไหนแกรับปากว่าฉันจะได้อยู่นิราลัยต่อไงล่ะ”
ปราณยิ้มเล็กน้อย “แกก็ได้อยู่ต่อจริงๆ ไม่ใช่เหรอ แต่เรื่องคราวนี้มันนอกเหนือข้อตกลง ฉันไม่เกี่ยว”
พิสัยโมโหมาก “งั้นแกก็ทำให้ฉันได้กลับเข้าไปซิ ให้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนนั่นมาคุกเข่า อ้อนวอนฉันกลับไปทำงาน”
“แกก็รีบเป็นเจ้าของกล่องรากบุญซะซิ อย่าว่าแต่จะได้กลับไปทำงานเลย เป็นเจ้าของนิราลัยซักสิบแห่งก็ยังได้” ปราณจ้องหน้า “ขนาดคนกำลังจะตายยังฟื้นขึ้นมาได้เลย แกก็เห็นกับตาแล้วนี่”
พิสัยอึ้งไปนิดนึงก่อนจะหงุดหงิดขึ้นมาอีก “ก็เงื่อนไขของแกมันวุ่นวายซะเหลือเกิน นังเด็กนั่นก็ฉลาดเป็นกรด คงไม่หลงกลฉันง่ายๆ แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ” พิสัยมีสีหน้าหงุดหงิด
“จะวุ่นวายยังไง แกก็ต้องทำให้ได้ ถ้าแกอยากเป็นเจ้าของกล่องรากบุญ”
“ก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันมีเรื่องที่จะต้องสะสางก่อน” พิสัยมีสายตาเหี้ยมเกรียม “คนอย่างฉันไม่มีวันยอมให้ไอ้ต้นมาไล่เหมือนหมูเหมือนหมาได้ตามใจชอบหรอก”พิสัยมีสีหน้าอาฆาต
ปราณจับตามมองพิสัยแล้วยิ้มพอใจที่จะได้มนุษย์ที่จิตใจอำมหิตเช่นนี้เป็นเจ้าของกล่องรากบุญคนต่อไป

ที่โถงบ้านเจติยา นิษฐาเดินตามมาขอร้องเจติยาอย่างไม่ลดละ
เจติยาหนักใจจึงเดินหนี “ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับพี่หมวดแล้ว หน้าเค้ายังไม่กล้าเจอเลย”
นิษฐาเดินตามเจติยาเพราะเป็นห่วงนวัช “แล้วแกไม่สงสารพี่เค้าบางเหรอ”
“เค้าไม่ใช่คนอ่อนแออย่างงั้นหรอกน่า กะอีแค่อกหัก พี่หมวดไม่ฆ่าตัวตายหรอก”
นิษฐาแขวะเพื่อน “กะอีแค่อกหัก ผู้หญิงใจโหด” นิษฐาค้อนใส่
เจติยาถอนใจออกมา
“เจ พี่หมวดเค้าแอบชอบแกมานานมากแล้วนะ”
เจติยาอ่อนใจ “เอาล่ะ สมมุติว่าฉันไปคุยกับพี่เค้า แล้วแกจะให้ฉันพูดอะไร” เจติยาแกล้งดัดเสียงและทำท่า “พี่หมวดคะ เลิกอกหักเถอะค่ะ เราเป็นพี่เป็นน้องกันได้ไม่ใช่เหรอคะ หรือจะให้บอกว่า เจเปลี่ยนใจแล้ว เพราะเจสงสารพี่หมวดค่ะ เรามาเป็นแฟนกันก็แล้วกัน แกจะเอาแบบไหน”
นิษฐาหงุดหงิด “แกไม่ต้องมาประชดฉันเลยนะ ฉันก็แค่สงสารพี่หมวดเค้า”
“ฉันรู้ แต่ความสงสารมันแก้ปัญหาไม่ได้หรอกนะ ให้เวลาพี่หมวดเค้าทำใจไม่ดีกว่าเหรอ” เจติยาจ้องหน้า “ช่วงนี้แกก็หมั่นไปดูแลเค้าหน่อย มัวแต่แอบรัก แอบห่วงเค้าลับหลังยังงี้ ใครเค้าจะเห็น”
นิษฐาอึ้งปนอาย “เจ”
“กล้าๆ หน่อย” เจติยาเดินหนีขึ้นบ้านไปเลย
นิษฐาค้อนตามใส่เพื่อน แต่ก็ค่อยคิดตามที่เจติยาพูด ยอมรับว่าที่เจติยาพูดก็ถูก
กำลังโหลดความคิดเห็น