xs
xsm
sm
md
lg

รากบุญ ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รากบุญ ตอนที่ 1

ลาภิณ หรือ ต้น ขับรถมาอย่างรวดเร็ว เขาเลี้ยวรถปาดเข้ามาจอดหน้าตัวบ้านอย่างเร่งรีบ ลาภิณในชุดปาร์ตี้ที่สวมตั้งแต่เมื่อคืนชายเสื้อหลุดลุ่ยรีบร้อนลงมาจากรถ ปริม เพื่อนสาวคนสนิทยังอยู่ในชุดเมื่อคืนเช่นเดียวกันและหน้าตายังไม่ตื่นดี ก้าวลงตามมาติดๆ ชูจิตยืนร้องไห้รอลูกชายอยู่หน้าบ้าน เธอเดินถือทิชชูซับน้ำตาอยู่

ชูจิตพูดไปร้องไห้ไปตัดพ้อลูกชาย “ห่วงแต่เที่ยวอยู่นั่นล่ะ ไม่ทันดูใจคุณพ่อแล้วเห็นมั้ยต้น” ชูจิตร้องไห้โฮออกมา
ลาภิณน้ำตาท่วมตา เขารีบวิ่งพรวดพราดขึ้นบ้านไป ปริมรีบเข้ามากอดชูจิตเพื่อปลอบใจ “ทำใจดีๆ เอาไว้นะคะคุณแม่”
ชูจิตร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมทั้งสวมกอดว่าที่ลูกสะใภ้แน่น

ร่างของสารัชนอนสิ้นลมอยู่บนเตียงในห้องหนึ่ง พิสัยน้องชายของชูจิตนั่งหน้าซึมเศร้ามองร่างของเขาอยู่ปลายเตียง ทนายปุ่น หมอและพยาบาลยืนสงบกันอยู่ตรงมุมห้อง
ระหว่างนั้นลาภิณก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้อง เขาน้ำตาท่วมทันทีที่เห็นศพของพ่อนอนซีดอยู่บนเตียง
“คุณพ่อ”
ลาภิณเข้าไปกอดศพพ่อแล้วร้องไห้ พิสัยมีสีหน้าเครียด เขาตบบ่าพร้อมทั้งพูดให้กำลังใจลาภิณ
“คุณพ่อท่านไปสบายแล้วนะต้น”
ชูจิตเดินตามมาทางด้านหลังแล้วยืนอยู่ห่างๆ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากร้องไห้ ลาภิณขยับตัวออกจากพิสัยแล้วไปกราบเท้าสารัสก่อนจะฟุบหน้านิ่งแล้วพยายามกลั้นสะอื้นจนตัวสั่น ชูจิตเห็นลูกชายเศร้าสะเทือนใจก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาอีก
พิสัยรีบเดินไปกอดชูจิตเอาไว้ “ไม่ร้องแล้วครับพี่จิต...วิญญาณพี่รัชจะเป็นห่วงนะครับ”
ชูจิตกอดน้องชายเอาไว้แล้วพยายามสะกดอารมณ์เศร้าเอาไว้

ชูจิตเดินซับน้ำตามานั่งที่โซฟาในห้องทำงานของบ้าน
แล้วชูจิตก็พูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง “เมื่อไรลูกจะจริงจัง ไปทำงานที่บริษัทของเราซะที”
ลาภิณเดินตามมานั่งข้างๆ เหน็บน้าชาย “น้าพิสัยอนุญาตให้ผมไปทำงานได้แล้วเหรอครับ”
ชูจิตตำหนิ “ทำไมลูกต้องพูดแขวะน้าเค้าด้วย พิสัยเป็นน้องชายแท้ๆ ของแม่นะต้น น้าช่วยคุณพ่อดูแลกิจการมาตลอด ลูกตะหากที่กลับมาอยู่บ้านเฉยๆ...เป็นปีแล้วนะ แม่ไม่เคยเห็นต้นเข้าบริษัทเลยซักครั้งเดียว เอาแต่เที่ยวเตร่ ไม่เบื่อชีวิตแบบนี้บ้างรึไงต้น”
ลาภิณน้อยใจ “แม่เชื่อมั้ยว่า ผมอยากช่วยงานคุณพ่อ แต่เค้าไม่อยากให้ยุ่ง”
“พิสัยน่ะเหรอะ” ชูจิตถามอย่างไม่เชื่อ
“จะใครซะอีกล่ะครับ”
ชูจิตมีสีหน้าไม่เชื่อคำพูดลูกชาย ลาภิณเห็นแม่ไม่เชื่อก็ยักไหล่แล้วพูด “ผมพูดไปก็เท่านั้น มันไม่น่าเชื่อถือเท่าคำพูดน้องชายของแม่หรอก”
ชูจิตถอนหายใจออกมา “ถ้าลูกตั้งใจทำงานจริง แม่จะช่วยแก้ไขอุปสรรคของลูกทั้งหมดให้เอง”
ลาภิณยิ้มเหยียด “แม่ไม่รู้จักบริษัทนิราลัยลึกซึ้งพอ ทุกอย่างที่แม่เห็นเป็นภาพที่น้าพิสัยจัดฉากขึ้น อย่ารับปากสิ่งที่แม่ไม่มีทางทำได้เลยครับ”
ชูจิตอึ้งที่ลูกชายพูดแรงขนาดนี้ “ต้น”
ลาภิณยังไม่หยุดพูดโจมตีพิสัย “เค้าเตรียมการใต้ดิน รอจังหวะฮุบบริษัทตอนพ่อตายมานานแล้ว เค้าอยากได้มันมาก ผมก็ขี้เกียจทะเลาะด้วย บางทีผมอาจไปหางานอื่นทำ”
ชูจิตเริ่มไม่สบายใจ “คุณพ่อพยายามรักษาบริษัทของคุณปู่หวังจะให้ลูกสืบทอดงานต่อ พิสัยแค่ช่วยดูแล เขาไม่มีสิทธิ์ยึดบริษัทเรานะต้น”
ลาภิณส่ายหน้าเพราะไม่เห็นด้วย
“ถ้าลูกแสดงความสามารถให้ทุกคนในบริษัทได้เห็น ใครที่ไหนจะมาชิงอำนาจจากลูกไปได้ อย่าลืมซิต้น บริษัทนิราลัยเป็นของตระกูลบูรณินของเรา พิสัยไม่มีทางกีดกันเจ้าของแท้จริงได้หรอก เชื่อแม่สิ”
ลาภิณมองแม่อย่างชั่งใจ ก่อนจะพยักหน้ารับคำ “ผมจะลองดูซักตั้งก็ได้ครับ”
ชูจิตค่อยยิ้มออก “ต้องยังงี้สิต้น” ชูจิตดึงลูกชายเข้ามากอดเอาไว้ทั้งที่น้ำตาคลอ “วิญญาณคุณพ่อรับรู้แล้วต้น ท่านคงจากไปอย่างหมดห่วงแล้วล่ะ”
สองแม่ลูกสวมกอดกัน ชูจิตน้ำตาคลอเบ้า

พิสัยยืนแอบฟังการสนทนาของสองแม่ลูกอยู่ที่หน้าห้องทำงาน เขามีสีหน้าแววตาไม่พอใจกับการตัดสินใจของสองแม่ลูก

ใบหน้าซีดเผือดของร่างไร้วิญญาณของหญิงวัยกลางคน กำลังถูกแต่งหน้าทาปากอย่างบรรจงและตั้งอกตั้งใจโดยเจติยา หรือ เจ

เจติยาตั้งใจแต่งหน้าศพลูกค้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพอใจ

เจติยาพิจารณาผลงานจนพอใจจึงเก็บอุปกรณ์แต่งหน้าแล้วยกมือไหว้ศพก่อนจะหันไปมอง
ทวีที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“เสร็จแล้วค่ะลุง” เจติยายิ้มอย่างภูมิใจเสนอ
ทวีนั่งหน้านิ่งขรึมจ้องมองกล่องรากบุญซึ่งเป็นกล่องไม้สี่เหลี่ยมสีดำซึ่งแกะสลักอักษรบาลีที่เขาอ่านไม่ออก ลวดลวยบนกล่องมีรูปใบหน้ายักษ์อ้าปากกว้างอยู่บนฝากล่อง ทวียังคงนั่งจ้องกล่องรากบุญอย่างใช้ความคิดทำให้ไม่ได้ยินที่เจติยาเรียก
เจติยาเดินมาหา “กล่องอะไรคะลุง”
ทวีหลุดจากความคิดแล้วหันมามองหน้าเจติยา
“เจเห็นคุณลุงจ้องมันมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว” เจติยาบอก
ทวีหน้าสลด “เค้าคืนให้ลุง มันถึงเวลาของเค้าแล้ว”
เจติยางง “เค้านี่ใครเหรอคะ”
“ก็เจ้านายของเราน่ะสิ” ทวีถอนใจออกมา
ทวีมีสีหน้าย้อนคิดถึงเรื่องราวของกล่องลึกลับใบนี้

ย้อนกลับไปในอดีต ทวีดื่มเหล้าอย่างหนักจนฟุบหลับอยู่ข้างถนนในกลางดึกของคืนหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีมือมาเขย่าตัวทวีอย่างแรง ทวีเผยอตาตื่นแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นชายเร่ร่อนนั่งยองๆ เขย่าตัวของเขาอยู่
ทวีแทบหายเมา เขาขยับตัวขึ้นมานั่ง “ไป ฉันไม่มีอะไรจะให้แก ไป”
ชายเร่ร่อนทำหน้าตาตื่น “ฉันไม่ได้มาเอาอะไร ฉันมีของจะให้”
ทวีงง
ชายเร่ร่อนเอากล่องรากบุญที่วางไว้ข้างตัวมายื่นให้ทวี
“ฉันให้” ชายเร่ร่อนจับมือทวีมาถือกล่องเอาไว้
ทวีงง “อะไรของแก”
“กล่องรากบุญ กล่องวิเศษอยากได้อะไรก็ขอ” ชายเร่ร่อนบอก
“ไอ้บ้าเอ๊ย ไปให้พ้น”
ทันใดนั้นฝากล่องก็เปิดออก ชายเร่ร่อนดีใจมาก
“มันเลือกแกแล้ว” พูดจบชายเร่ร่อนก็วิ่งหนีข้ามถนนไปอย่างไม่คิดชีวิต
ทวีงง เขามองเข้าไปในกล่องเห็นเหรียญอยู่ 3 เหรียญ
ทวีพูดด้วยความเสียใจจนเกือบจะร้องไห้ “ถ้าแกเป็นกล่องวิเศษจริง ช่วยเมียฉันสิ เมียฉันเป็นมะเร็ง จะตายอยู่แล้ว”
ทวีโยนกล่องทิ้งไปข้างทางจนกล่องล้มกลิ้ง เหรียญในกล่องกระเด็นออกมาจากกล่อง ทวีเดินเซจากไปโดยทิ้งกล่องประหลาดไว้อย่างไม่แยแส ทันใดนั้น กล่องรากบุญก็พลิกกลับมาตั้ง เหรียญทั้งสามกลิ้งกลับเข้ากล่อง ฝากล่องหน้ายักษ์ก็เลื่อนมาปิดสนิทลงเหมือนเดิม

ทวีเดินเป๋ๆ จะกลับไปที่บ้าน รถร่วมกตัญญูเปิดไซเรนจอดอยู่ข้างทาง ทวีหันไปมองอย่างงงๆ ขณะจะเดินข้ามซอย
เจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญูพูด “ขอทางด้วยครับ”
ทวีหยุดกึกแล้วหันไปมอง
เจ้าหน้าที่แบกเปลใส่ศพคนตายเดินออกมาจากซอยตรงไปที่รถ ทวีมองไปที่ศพ ทันใดนั้นศพผู้ชายในเปลก็ลืมตาโพลงมองลุงทวีแล้วพูดกับเขา
“ช่วยฉันที”
ทวีตกใจจนผงะล้มลงไปนั่งกับพื้นถนน เจ้าหน้าที่แบกเปลผ่านไป ศพผู้ชายนอนหลับตาเป็นปกติเหมือนเดิม ทวีตกใจจนแทบหายเมา เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับไปบ้านพักทันที

ทวีรีบร้อนกลับมาที่บ้านพักซึ่งเป็นบ้านไม้เล็กๆ อยู่ท้ายซอย เมื่อมาถึงหน้าบ้านเขาก็จะไขประตูเข้าบ้าน แต่เมื่อก้มลงมองที่พื้นตรงหน้าทวีก็ตกใจจนแทบช็อคเพราะกล่องรากบุญวางอยู่ที่หน้าประตูบ้านเขา
ทวีตกใจปนกลัว “กูไม่เอา” ทวีเตะกล่องรากบุญสุดแรงจนกระเด็นไป
ทวีหันกลับมาจะเดินเข้าบ้าน ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าศพชายคนนั้นยืนอยู่ข้างๆ เขา
“ช่วยฉันที”
ทวีตกใจจนสติแตก “อย่ามายุ่งกับกู”

ทวีลนลานหนีเข้าบ้านไป

เวลาผ่านไป ทวีนุ่งผ้าขาวม้าตักน้ำจากตุ่มหลังบ้านมาราดรดหัวเพื่ออาบน้ำกลางดึก เขาหวังจะหายเมาเพื่อจะเลิกเห็นผีเสียที ทวีจ้วงตักน้ำขันต่อไปแต่กลับติดอะไรบางอย่าง

ทวีก้มมอง เขาเห็นหน้าศพชายคนเดิมลอยปริ่มน้ำอยู่ในตุ่มและกำลังมองเขาอยู่
ศพชายคนนั้นพูดหน้านิ่ง “ช่วยฉันที”
ทวีทิ้งขันจะวิ่งหนี แต่ศพชายคนนั้นกลับมายืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับดึงแขนทวีเอาไว้
ศพชายคนนั้นพูดหน้านิ่ง “ช่วยฉันที”
ทวีตกใจกลัวมาก “จะให้ช่วยอะไร ฉันยอมช่วยแกแล้ว อย่ามาหลอกฉันเลย ฉันกลัวแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงโอ้เอ้ก็ดังขึ้น “ลุงวีครับ”

ในเหตุการณ์ปัจจุบัน โอ้เอ้ห้อยพระเต็มคอเดินกล้าๆ กลัวๆ เพราะไม่กล้าเข้ามาในห้องแต่งศพ
ทวีเห็นก็รำคาญ “เข้ามาสิ กลัวอะไรอยู่ได้ เดี๋ยวก็ไม่รับเข้าทำงานซะหรอก”
โอ้เอ้ยกสร้อยพระยื่นนำเข้าห้องมาก่อนตัว
“มีอะไรเหรอโอ้เอ้” เจติยาถาม
โอ้เอ้ยังคงหวาดระแวงตลอดเวลา “คุณพิสัยให้มาตามลุงไปห้องประชุมครับ” พูดจบโอเอ้ก็รีบผลุบออกไปจากห้องทันที
ทวีส่ายหน้า “จะรับมันทำงานดีมั้ยเนี่ย” ทวีเก็บกล่องรากบุญไว้ในลิ้นชักพร้อมพูดกับเจติยา “เสร็จรึยัง ขึ้นไปด้วยกันสิเจ”
“เสร็จแล้วค่ะ รอลุงตรวจอีกที” เจติยาเอาผ้าคลุมศพเบาๆ
“ไปกันก่อน เดี๋ยวลุงค่อยลงมาดู” ทวีบอก
ทวีและเจติยาเดินออกไปจากห้องแต่งศพ ทันทีที่ทั้งสองออกไปจากห้อง ลิ้นชักโต๊ะทำงานของทวีก็พุ่งเปิดออกมาอย่างแรง กล่องรากบุญสีดำสนิทวางอยู่ในลิ้นชักนั้น

ทุกคนประชุมอยู่ภายในห้องประชุมบริษัทนิราลัย
“ผมเสนอว่าโทนสีของงานน่าจะออกดำๆ ประดับด้วยเหรียญตามกำแพง อาจจะเป็นเหรียญบาท เหรียญห้า เหรียญสิบ ก็ได้ แขกมาในงานอยากร่วมทำบุญก็เอาเหรียญมาแปะไว้ที่กำแพง” ทวีเสนอ
ชูจิตชอบใจ “ไอเดียไม่เลวนะ”
พิสัยสวนขึ้นมาทันที “ผมว่าประหลาดมากกว่า พี่สารัชเคยบอกลุงไว้เหรอะว่าอยากได้งานสวดศพแบบนี้”
ทวีตอบหน้านิ่ง “เปล่าครับ ผมคิดเอาเอง”
พิสัยถอนใจพลางส่ายหน้า “ไม่เข้าท่า บริจาคทีละห้าบาท สิบบาท จะได้กี่ตังค์กัน โทนงานก็ออกสีหม่นๆ อมทุกข์ชอบกล เสียชื่อบริษัทจัดงานศพครบวงจรอย่างเราหมด”
“พ่อไม่เคยคุยคอนเส็ปท์งานไว้กับแม่เลยเหรอครับ” ลาภิณถาม
ชูจิตส่ายหน้าแล้วน้ำตาก็รื้นขึ้นมาอีก “เคยแต่คิดให้คนอื่น”
“งั้นผมเสนอแบบหรูหรา สีงานออกครีมๆ ทองๆ ให้สมกับเป็นเจ้าของบริษัท น่าจะเหมาะสมที่สุด” พิสัยบอก
ทุกคนในที่ประชุมทำท่าเห็นด้วย
ลาภิณขัดขึ้นมาทันที “แต่ผมไม่ค่อยชอบนะครับ”
พิสัยเหล่มองลาภิณเล็กน้อย
ลาภิณพูดต่อ “ผมอยากให้งานเป็นธีมสีขาวมากกว่า ประดับดอกไม้ขาว แขกทุกคนแต่งชุดขาว”
“ธรรมดาไปมั้ยครับ” พิสัยท้วง
“แต่ผมชอบ...เมื่อคุณพ่อไม่สั่งเอาไว้” ลาภิณจงใจพูดเน้นเพื่อประกาศตัวกลายๆ “ผมในฐานะเจ้าของบริษัทนิราลัยต่อจากคุณพ่อ ขอใช้สิทธิ์สรุปเลยแล้วกัน”
ชูจิตและทวีรู้สึกได้ถึงการงัดข้อกันกลายๆ ของลาภิณกับพิสัย ทั้งสองต่างเหล่มองไปทางพิสัย
พิสัยยิ้มแย้มเป็นปกติ “เมื่อเป็นความต้องการของคุณต้นก็สรุปตามนี้ งั้นเรามาลงรายละเอียดกันต่อเลยแล้วกัน” พิสัยก้มหน้าดูเอกสารในมือพร้อมกับแอบขบกรามไปด้วย

ลาภิณนั่งอมยิ้มพอใจที่เอาชนะพิสัยในยกแรกไปได้

ปริมเดินสำรวจโถงบริษัทที่หรูหราและสวยงามจนแทบดูไม่ออกเลยว่าบริษัทนี้ทำธุรกิจจัดงานศพแบบครบวงจร เจติยายืนหน้าตาเซ็งๆ คอยตามเทคแคร์เธอ แม่บ้านบริษัทเดินถือน้ำตามประกบรอรับใช้อยู่

ปริมรู้สึกชื่นชอบ “ฉันเพิ่งเคยเข้ามาครั้งแรกนะเนี่ย ไม่นึกเลยว่าจะหรูหราโอ่โถงขนาดนี้” ปริมหันมองเจติยา “ไม่บอกไม่รู้เลยนะว่าเป็นบริษัทจัดงานศพ”
เจติยาฉีกยิ้มไปตามมารยาท
ปริมเดินไปนั่งที่โซฟาแล้วเอ่ยถาม “แล้วบริษัททำอะไรมั่งล่ะ” ปริมกวาดตามองไปทั่ว
แม่บ้านเอาแก้วน้ำมาวางให้
“ก็ครบวงจรล่ะค่ะ” เจติยาตอบ “ตั้งแต่รับศพที่ชันสูตรแล้วมาทำความสะอาดแต่งหน้าแต่งตัวให้ใหม่ ทำโรงศพ เชิญแขก ลงข่าว จัดงานสวดศพตามรูปแบบที่ลูกค้าต้องการ ขาดอย่างเดียวคือเรื่องเผา คงต้องไปทำที่วัด แต่ทางเราก็จะเป็นคนจัดการ ประสานงานให้หมด เรียกว่าแค่ลูกค้ายกหูหาเรา ทุกอย่างจบ”
“วัน-สต็อป เซอร์วิส ว่างั้นเถอะ” ปริมมองหน้าเจติยาแล้วยิ้มๆ “เธอนี่พูดจาคล่องแคล่วดีนะ ทำงานมานานแล้วเหรอะ”
“เจเป็นลูกจ้างพาร์ทไทม์มาหลายปีแล้วค่ะ ปีนี้เรียบจบ คงได้ประจำซะที” เจติยายิ้มให้
“ฉันชอบเธอนะ ฉันจะช่วยพูดกับคุณต้นให้ก็แล้วกัน รู้ใช่มั้ย คุณต้นจะมาดูแลกิจการแทนคุณพ่อ” ปริมลุกขึ้นพูด “ฉันเองก็คงต้องเข้าๆ ออกๆ ที่นี่บ่อยขึ้น ในฐานะว่าที่ภรรยาเจ้าของบริษัท” ปริมยิ้มมั่นใจแล้วเดินชมสถานที่ต่อไป
เจติยาและแม่บ้านหันมามองหน้ากัน แม่บ้านเหยียดปากด้วยความหมั่นไส้ปริมเล็กน้อยก่อนจะพูดเบาๆ “คุณลาภิณเพิ่งจะเคยเหยียบเข้าบริษัทวันแรก บริษัททำอะไรมั่งเค้ายังไม่รู้เลยป้าอยากรู้นักจะทำงานได้ซักกี่น้ำกัน” แม่บ้านส่ายหน้าแล้วเดินไป
เจติยาได้แต่ถอนใจแล้วส่ายหน้า

มยุรีนั่งขายข้าวแกงอยู่ที่หน้าตลาด โดยกำลังตักกับข้าวใส่ถุงให้ลูกค้าคนหนึ่ง ป้านิภายืนรออยู่กับสาวใช้ที่ถือตระกร้าจ่ายกับข้าว สักพักเจติยาก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหามยุรี
“มาแล้วค่ะแม่” เจติยาเข้ามาช่วยขายของด้วยท่าทียิ้มแย้ม “วันนี้ทานอะไรดีคะป้าภา”
“เอาปลาดุกผัดพริกแกงกะแกงส้มลูก” นิภาตอบ
“ได้เลยค่ะ” เจติยาตักกับข้าวใส่ถุงไปชวนแม่คุยไป “ไปหาหมอรึยังคะแม่”
“ว่าจะไปพรุ่งนี้” มยุรีเอาอาหารใส่ถุงให้ลูกค้าพร้อมรับเงินมา
“เจ้านายเจเพิ่งเสีย ให้เจ้าทีไปเป็นเพื่อนแม่นะคะ” เจติยาบอก
มยุรีมีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ “หมู่นี้แม่รู้สึกว่านทีทำตัวลับลมคมในชอบกล ไม่รู้มีอะไรปิดบังพวกเรารึเปล่า”
เจติยาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะปั้นยิ้มกลบเกลื่อน “แม่คิดมากไปมั้งคะ” เจติยาเอาอาหารใส่ถุงยื่นให้สาวใช้ของนิภา”40 ค่ะป้าภา”
“ขอบใจจ้ะหนูเจ” นิภาจ่ายเงินให้แล้วเดินกลับไปกับสาวใช้
“แม่กลัวนทีจะทำตัวเป็นปัญหาเหมือนลูกเจ๊นง ติดยา ต้องเข้าคุกบ่อยๆ เจก็รู้ว่าฐานะอย่างเรา ไม่มีปัญญาช่วยนทีได้ตลอดหรอก” มยุรีมีสีหน้าหนักใจ
เจติยาตีหน้าขรึม “หนูจะคุยกับทีให้เองค่ะแม่”

นทีนั่งเงียบอยู่บนเตียงนอน สายตาของเขาจ้องมองเสื้อบอลอย่างเครียดๆ ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูพร้อมเสียงเรียกของเจติยาก็ดังขึ้นทำให้นทีมีอาการหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“นที”
นทีหันไปมองประตูตาขวาง “เดี๋ยวผมลงไปกินข้าวเอง พี่ไม่ต้องมาตามหรอก น่ารำคาญ”
เจติยาที่ยืนอยู่หน้าห้องพยายามระงับความไม่พอใจเอาไว้
เจติยาพยายามถามอย่างใจเย็น “เธอมีปัญหาอะไรที่โรงเรียนรึเปล่านที”
นทีกระชากประตูห้องนอนเปิดออกแล้วจ้องหน้าพี่สาวอย่างไม่พอใจ
“ถามทำไม”
“ก็สงสัย เมื่อก่อนเธอร่าเริง ไม่เคยหงุดหงิด อารมณ์เสียตลอดเวลายังงี้ มีปัญหาอะไร น่าจะมาคุยกัน”
นทีถอนใจอย่างเซ็งๆ เจติยาจ้องนทีด้วยสายตาจับผิด “เรื่องเล่นบอลใช่มั้ย”
“พี่อย่าสู่รู้เรื่องของผมหน่อยเลย”
นทีเดินกระแทกไหล่เจติยาหนีไปก่อนจะวิ่งลงบันไดไปชั้นล่าง
เจติยามีสีหน้าโกรธจัด เธอก้าวลงบันไดตามไปติดๆ

“ถ้าเธอไม่บอก พี่จะไปถามที่โรงเรียน”

รากบุญ ตอนที่ 1 (ต่อ)

นทีลงบันไดมาที่โถง แล้วหันกลับไปถามย้อนพี่สาวด้วยหน้าตากวนประสาท

“พี่กล้าเหรอ”
เจติยาตามมาพูดตอบโต้อย่างไม่ลดละ “ทำไมพี่จะไม่กล้า พี่ห่วงน้องชายอยากช่วยแก้ไขปัญหา มันผิดตรงไหน”
นทีทำท่าฮึดฮัด “ครูตัดชื่อผมออกจากทีมบอลแล้ว สะใจมั้ยล่ะ แม่กับพี่ไม่ชอบให้ผมเล่นบอลอยู่แล้วนี่”
มยุรีเดินออกมาจากครัวด้วยสีหน้าไม่สบายใจที่เห็นลูกทั้งสองมีปากเสียงกัน
“เราไม่ได้ขัดขวางเธอเล่นบอล แต่ไม่ชอบให้กลับบ้านค่ำมืดดึกดื่นเกินไป เข้าใจให้ถูกต้องซะด้วย”
“แล้วทำไมทีถึงได้โดนตัดชื่อล่ะลูก”
นทีมีสีหน้าเจ็บใจ “ไอ้เหน่งมันประจบครูเข้าทีม ผมไม่ใช่ศิษย์รักคนโปรดเหมือนมันนี่”
“ทำไมต้องจริงจังกะเรื่องแค่นี้ด้วย เล่นบอลเพื่อสุขภาพ ไม่ติดทีมก็เตะเล่นกับเพื่อนๆ ก็ได้”
นทีหงุดหงิด “มันไม่เท่ พูดไปพี่ก็ไม่เข้าใจหรอก ได้โปรดเลิกเทศนาผมซะที ผมโตแล้ว แล้วผมก็มีแม่แค่คนเดียว” นทีเดินเซ็งหนีออกไปจากบ้าน
เจติยายิ่งไม่พอใจ “นที”
เจติยาจะเดินตามออกไปอีกแต่มยุรีรีบตามมาจับแขนเจติยาเอาไว้ “พอเถอะเจ”
เจติยาต่อว่าด้วยความน้อยใจ “ถือหางมันอีกแล้วนะแม่” เจติยายังโกรธน้องชายไม่หาย “มันมีเวลาว่างมาก เถลไถลไปเรื่อย แม่ต้องให้ช่วยทำงาน ช่วยขายของ มันจะได้รู้ตัวว่าไม่ใช่ลูกเศรษฐี ที่จะได้นั่งกินนอนกินตามใจชอบ” เจติยารีบเดินตามนทีไป
มยุรีที่ยืนหน้าจ๋อยถอนหายใจยาวออกมา

เจติยารีบตามนทีออกมาที่หน้าบ้าน เธอมองซ้ายมองขวาก็เห็นนทีวิ่งหนีไป
เจติยาตะโกนลั่น “นที จะไปไหน กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
นทีวิ่งตะบึงไปอย่างไม่เหลียวหลัง สวนกับหมวดนวัชที่ขี่มอเตอร์ไซค์สวนมาจอดเทียบข้างๆ เจติยา
นวัชถอดหมวกกันน็อคออกแล้วยิ้มให้เจติยา
“แกล้งอะไรน้องอีกล่ะ” นวัชลงจากมอเตอร์ไซค์
เจติยายังหงุดหงิดไม่หาย เธอมองตามนทีไปด้วยสีหน้าโมโห
นวัชยิ้ม “ทะเลาะกันอีกแล้วสิ”
เจติยาระบายความหงุดหงิด “นับวันยิ่งก้าวร้าวขึ้นทุกที พูดจาไม่นับถือว่าเจเป็นพี่เลย”
“ใจเย็นๆน่า เด็กวัยรุ่นก็งี้แหละ...นี่เจ วันนี้พี่มีสมุนไพรบำรุงไตมาฝากคุณแม่ด้วย” นวัชหยิบถุงใส่ของมาจากหน้ารถ “ญาติผู้ต้องหาเค้าแนะนำมา หญ้าไผ่น้ำ เคยได้ยินมั้ย”
เจติยาส่ายหน้า
“พี่จดวิธีต้มวิธีดื่มมาหมดแล้วใครแนะนำอะไรว่าดีก็ต้องลองให้หมด”
เจติยายิ้มอย่างปลื้มใจ “ขอบคุณมากค่ะพี่หมวด”
นวัชยิ้มรับ “เข้าไปหาคุณแม่เจกันเถอะ” นวัชเดินนำเข้าบ้านไป
เจติยามองตามพร้อมยิ้มชื่นชมก่อนจะเดินตามนวัชกลับเข้าบ้านไป

เช้าวันใหม่ เจติยาทำหน้าตาสงสัยเดินคุยกับทวีมาตามทางเดินไปบ้านบูรณิน
เจติยาทั้งงงทั้งสงสัย “เราสองคนเกี่ยวอะไรด้วยคะ จะเรียกเราไปฟังทนายเปิดพินัยกรรมของเจ้านายทำไม”
ทวียิ้มเย็น “เจ้านายอาจจะอยากฝากงานสำคัญให้เจทำก็ได้”
เจติยาชักใจคอไม่ดี “งานอะไรเหรอคะลุง”
ทวีขำเบาๆ “เราจะรู้ในไม่ช้านี่ล่ะ ไม่ต้องใจร้อนไปหรอก” ทวีมีสีหน้ากังวลขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะเดินนำไป
เจติยาเดินตามไปซัก “เดี๋ยวนี้มีความลับกับเจนะลุง”
ทวีเดินนำไปพร้อมกับพูดออกมา “ก็ไม่มีอะไรหรอก เจ้านายเคยปรึกษาลุงเรื่องงานเตรียมศพ ไม่อยากให้คิดเรื่องกำไรมากเกินไป”
“แต่มันก็เป็นรายได้ของบริษัทนะคะ”
“มันก็ใช่ แต่...” ทวีใช้ความคิดจึงหยุดเดิน “หลายอย่างเราจะรู้ด้วยตัวเองว่า เราต้องช่วยเค้า”
“เจไม่เข้าใจ”
ทวีหันมองหน้าเจติยา “วันนึงลุงจะได้เห็นว่าเจเป็นผู้ถูกคัดเลือกจริงมั้ย”
เจติยายิ่งงง “อธิบายให้งงเหรอคะลุง”
ทวียิ้มแล้วรีบตัดบท “รีบไปเถอะ เดี๋ยวคุณๆ จะรอนาน” ทวีชิงเดินนำไปก่อน

เจติยามีสีหน้างุนงง “อะไรของเค้า” แล้วเธอก็รีบเดินตามไปติดๆ

ณ โถงใหญ่ของบ้านบุรณิน ทนายปุ่นเงยหน้าจากพินัยกรรมหลังจากอ่านส่วนแรกเสร็จไปท่ามกลางรอยยิ้มชื่นมื่นของทุกคน

ชูจิตยิ้มแย้มด้วยความพอใจ “ก็เป็นไปตามที่คุณสารัชบอกกับฉันเอาไว้”
“แล้วพินัยกรรมส่วนที่สองล่ะครับ” ลาภิณมีสีหน้าติดใจสงสัย
ทนายปุ่นก้มอ่านพินัยกรรมต่อ
ข้าพเจ้าขอยกหุ้นในบริษัทนิราลัยให้คุณทวี เพื่อนรักของข้าพเจ้าจำนวนสิบเปอร์เซนต์ เป็นการขอบใจที่ช่วยคลายทุกข์และให้ชีวิตใหม่จนกระทั่งข้าพเจ้าพอใจกับวาระสุดท้ายของชีวิต”
ลาภิณมีสีหน้าสงสัย “ชีวิตใหม่อะไรกันเหรอครับ”
“จำตอนที่คุณพ่อป่วยเป็นมะเร็งปอดจนหมอให้ทำใจได้มั้ยต้น” ชูจิตถาม
“จำได้ครับแม่”
“อยู่ๆ เนื้อร้ายก็หยุดลุกลาม ตั้งแต่นั้นมาพ่อก็มีสุขภาพแข็งแรงมาตลอด พ่อบอกแม่บ่อยๆว่า ทวีช่วยชีวิตเอาไว้” ชูจิตชำเลืองมองหน้าทวี “บางทีพ่ออาจถือว่าเป็นการให้ชีวิตใหม่ก็ได้”
ทวียิ้มเย็น “เจ้านายให้เกียรติผมเกินไปแล้วล่ะครับ ที่จริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมาจากความดีที่ท่านสร้างสมมาเองมากกว่า ผมแค่พูดให้ท่านมีกำลังใจเข้มแข็งขึ้นพร้อมเผชิญหน้ากับปัญหาก็เท่านั้นล่ะครับ”
ชูจิตพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เค้าบอกกับฉันเสมอว่า คุณมอบโอกาสมีค่าให้กับเค้านะทวี”
ทวีได้แต่ยิ้มรับแต่ไม่ได้ตอบอะไรอีก
ทนายปุ่นหันไปมองเจติยา “และข้อสุดท้าย คุณท่านมอบหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ให้คุณเจติยา”
เจติยาอึ้งปนงุนงง
ทนายปุ่นพูดต่อ “ท่านกำหนดให้คุณทำงานในแผนกจัดเตรียมศพของบริษัทนิราลัย หากคุณลาออก หุ้นในมือต้องส่งคืนให้กับคุณลาภิณ เงื่อนไขนี้มีกำหนดเวลาสิบปี”
ลาภิณและชูจิตชำเลืองมองเจติยาเล็กน้อยด้วยสีหน้าเคลือบแคลงสงสัยเพราะไม่ค่อยเห็นด้วย
“ท่านบอกย้ำในเอกสารว่า คุณจะเป็นเสาหลักในกิจการนี้ร่วมกับทายาทของท่านเหมือนเช่นที่คุณทวีเคยทำหน้าที่นี้มาก่อน”
ชูจิตกับลาภิณชำเลืองมองหน้ากันด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
“ท่านยังฝากจดหมายให้คุณทวีฉบับนึงด้วยนะครับ” ทนายปุ่นส่งซองจดหมายให้ทวีก่อนถาม “คุณชูจิตมีอะไรจะโต้แย้งมั้ยครับ”
ชูจิตมีสีหน้านิ่งทั้งๆ ที่ไม่เห็นด้วยเรื่องเจติยา “เมื่อคุณสารัชมีความต้องการแบบนี้ก็ต้องว่าไปตามนั้น ถึงฉันจะไม่ค่อยเห็นด้วยในบางอย่างก็เถอะ” ชูจิตเหล่มองไปทางเจติยา
ลาภิณเองเหล่มองเจติยาพร้อมแม่ เขามีสีหน้าระแวงและคลางแคลงใจ เจติยาหลบสายตาเล็กน้อย เพราะรู้สึกอึดอัด
“ผมเชื่อสายตาคุณพ่อ” ลาภิณเหล่มองเจติยา “แต่ยังสงสัยว่าเธอจะเป็นเสาหลักของกิจการเราได้ยังไง” ลาภิณขำเล็กๆ ด้วยอาการดูแคลน
เจติยาเหล่มองลาภิณแบบค้อนๆ
“เจเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำงานกับศพได้ยาวนานที่สุดไงครับ ถ้าเป็นคุณลาภิณ จะทำไหวมั้ย” ทวีถาม
ลาภิณหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย เจติยาอมยิ้มเหยียดๆ ด้วยความสะใจ ทันใดนั้นหมวดนวัชก็วิ่งขึ้นมาถึงหน้าห้องโถง ทุกคนหันไปมอง
นวัชมีสีหน้าร้อนใจ “ขอโทษครับ ผมติดต่อเจไม่ได้เลย” นวัชมองเจติยา “คุณแม่เป็นลมที่ตลาด ตอนนี้อยู่ห้องไอซียู”
เจติยาตกใจมาก “เจขอตัวก่อนนะคะ” เจติยายกมือไหว้ทุกคนแล้วรีบตามนวัชออกไปทันที
ลาภิณเหล่มองตามเจติยาไปด้วยสีหน้าติดใจเพราะยังเคลือบแคลงสงสัยในตัวผู้หญิงคนนี้อยู่

เจติยายืนอยู่กับนวัชโดยกำลังฟังหมออยู่หน้าห้องฟอกไตที่โรงพยาบาล
“ตอนนี้คุณแม่เข้าฟอกไตแล้ว” หมอบอก “ต่อไปต้องมาฟอกไตตามเวลานัดให้สม่ำเสมอนะครับ เดี๋ยวจะช็อคขึ้นมาแบบนี้อีก”
เจติยาหน้าจ๋อย “ช่วงนี้งานเจยุ่งน่ะค่ะคุณหมอ แม่ก็บอกเจว่าจะให้นทีพามา คิดไม่ถึงว่าป่านนี้แล้วยังไม่ยอมมาอีก”
หมอมีสีหน้าตำหนิ “ต่อไปก็เข้มงวดหน่อยแล้วกันทั้งเรื่องอาหารการกินการทำงาน แล้วก็เพิ่มการพักผ่อนให้มากๆ ด้วย ถ้ายังละเลยอยู่แบบนี้ คุณแม่อาจจะต้องเปลี่ยนไตเร็วขึ้น”
เจติยาหน้าแหย “ค่ะคุณหมอ”
“คืนนี้ให้คุณแม่แอดมิทดูอาการหน่อยแล้วกัน”
“ค่ะ”
หมอเดินไป นวัชกับเจติยายกมือไหว้
“คุณน้าคงไม่อยากเสียเงินแน่ๆเลย” นวัชบอก
“เสียน้อยเสียยาก เป็นไงล่ะต้องแอดมิทอีกคืน” เจติยามีสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมา เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก “โทรหาไอ้ตัวแสบหน่อยสิ วันนี้หยุดเรียนทำไมไม่มาช่วยแม่ขายของ” เจติยารอฟังปลายทางรับสาย ด้วยใบหน้าหงิกงอ
“ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดกับน้องล่ะ” นวัชเตือน
เจติยาคุยโทรศัพท์ “แกอยู่ไหน ทำไมเสียงอู้อี้ เป็นอะไรของแกเพิ่งตื่นเหรอะ”

เจติยาหน้าตาโกรธเพราะต้องการเอาเรื่องน้องชายมาก

ลาภิณเดินคุยกับชูจิตมาถึงที่หน้าลิฟท์ของบริษัท เขากดลิฟท์พร้อมบอกแม่

“ผมยังติดใจไม่หายนะแม่ที่พ่อยกหุ้นให้สองคนนั่น ญาติพี่น้องก็ไม่ใช่”
“พ่อเป็นคนมีเหตุผลนะต้น พ่อคงอยากตอบแทนน้ำใจของทวีจริงๆ” ชูจิตว่า
“แต่เด็กผู้หญิงคนนั้น ผมว่าไม่ควรได้ มันมากเกินไปหน่อย”
ชูจิตถอนใจหนักด้วยสีหน้าไม่ค่อยชอบใจนัก “เรื่องยัยเด็กนี่แม่ก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน พูดก็พูดเถอะ จะใช่พวกเด็กใจแตก แอบกิ๊กกั๊กกับพ่อเรารึเปล่าก็ไม่รู้ เห็นว่างเป็นไม่ได้ ต้องขลุกอยู่ในห้องแต่งศพด้วยกันตลอด ใช้นายทวีเป็นไม้กันหมา คิดว่าแม่รู้ไม่ทันเรอะ” ชูจิตมีสีหน้าหึงหวงอยู่ลึกๆ
“นั่นสิครับ ถึงขนาดเขียนพินัยกรรมให้กัน คงกะรวยทางลัด ผมล่ะเกลียดจริงๆ ผู้หญิงแบบนี้”
“แต่ก็เอาเถอะ ถ้าเด็กนั่นลาออก หุ้นก็ต้องส่งคืนให้ลูกตามเงื่อนไขอยู่ดี เลี้ยงมันเอาไว้ใช้ไปก่อน เด็กคนนี้คล่อง ทำศพก็ได้ รับลูกค้า พีอาร์ได้หมด”
“โชคดีที่พ่อกำหนดแผนกให้เธอทำไว้นะครับ ไม่งั้นถ้าเธอโลภอยากเป็นผู้จัดการขึ้นมาจะยุ่ง” ลาภิณส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
“ตอนนี้ต้นก็ขึ้นมาบริหารแทนแล้ว ค่อยรับคนใหม่มาช่วยทวีแล้วหาทางบีบให้มันออกไปแล้วกัน แม่ก็ไม่ชอบขี้หน้ามันนักหรอก พ่อเราอวยจนเกินเหตุ” ชูจิตมีสีหน้าอิจฉาและหมั่นไส้
แล้วสองแม่ลูกก็เดินเข้าไปในลิฟท์ ในขณะที่พิสัยค่อยๆ เดินออกมาจากมุมตึกหลังจากแอบฟังการสนทนาของทั้งคู่มาตลอด
พิสัยมีสีหน้าแววตาไม่พอใจมาก “พวกมันสมควรได้กว่าฉันตรงไหน” พิสัยมีแววตาโกรธแค้น “ที่นี่จะเป็นของลูกแกได้อีกไม่นานหรอก”
สีหน้าพิสัยคล้ายกำลังมีแผนการร้าย

เจติยานั่งอยู่บนเตียงของนทีด้วยสีหน้าท่าทางอ่อนใจเพราะน้องชายไม่อยู่บ้าน สักพักประตูห้องก็เปิดเข้ามา เจติยาเงยหน้ามองเห็นนทีกำลังจ้องหน้าเอาเรื่อง
นทีตะคอกด้วยความไม่พอใจ “ใครอนุญาตให้พี่เข้ามาในห้องผม”
เจติยาลุกเดินเข้าไปหาแล้วได้กลิ่นเหล้า “แกดื่มเหล้ามาใช่มั้ย”
นทีทำท่าโมโหกลบเกลื่อน “ผมไม่ใช่นักโทษของพี่นะพี่เจ ออกไปจากห้องผมได้แล้ว”
เจติยาระงับอารมณ์เดือดพล่านเอาไว้ “แกรู้มั้ยว่าแม่ช็อคหมดสติอยู่ที่ตลาด โดนหามเข้าไอซียูไปแล้ว”
นทีตกใจมากจนแทบหายมึน
เจติยาผลักไหล่น้องชาย “แกน่าจะอยู่เป็นเพื่อนแม่มากกว่าไปกินเหล้ากับเพื่อน”
นทีรู้สึกผิดจึงเดินเบี่ยงตัวไปกระแทกก้นลงนั่งที่เตียงด้วยใบหน้าหงิกงอ
เจติยาหันไปมองตามน้องชายขณะบอก “แกก็รู้ว่าแม่ต้องฟอกไต ค่าใช้จ่ายรักษาแม่ไม่ใช่น้อย ถ้าแกไม่ทำตัวให้ดีกว่านี้ คนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือแกนะนที”
นทีทำหน้าตากวนพร้อมจ้องหน้าพี่สาว
เจติยาพูดต่อ “ถ้าบ้านเราไม่มีเงินพอใช้ จะเอาเงินที่ไหนส่งแกเรียน”
นทีใจเสีย “ผมไม่ยอมเลิกเรียนเด็ดขาด”
เจติยาจ้องหน้า “แล้วแกจะยอมเห็นแม่ตาย เพื่อให้แกได้เรียนต่อแบบไม่เอาไหนยังงี้น่ะเหรอ” นทีนั่งเงียบไปเพราะเถียงไม่ออก
“พอพี่จบ ได้งานทำประจำ รายได้พี่จะเอามารักษาแม่เป็นหลัก เพื่อตอบแทนที่ท่านอดทนเลี้ยงดูพวกเรามาอย่างยากลำบาก ส่วนแกถ้าไม่ตั้งใจเรียนพี่จะให้ออกมาทำงาน เพราะที่ผ่านมา พี่เห็นแล้วว่ามันไม่คุ้มค่า ถ้าพี่จะต้องเหนื่อยเพื่อแก”
นทีลุกพรวดขึ้นมาจ้องหน้า “พี่ไม่ต้องมาขู่ผมหรอก”
เจติยาจ้องหน้ากลับ “ฉันพูดจริง ถ้าแกเป็นคนหาเงิน แล้วมีพี่คอยผลาญเงิน แกจะเก็บพี่ไว้บูชามั้ยล่ะ”เจติยาจ้องหน้าน้องด้วยสายตาเหยียดๆ ก่อนจะเดินออกไปแล้วปิดประตูกระแทกดังโครม

นทีขบกรามแน่นกับคำขู่ของพี่สาว เขาใช้ความคิดเพื่อหาทางให้ตัวเองได้เรียนต่อให้ได้

บรรยากาศงานสวดศพของสารัชถูกประดับประดาตกแต่งเป็นสีขาวสะอาดทั้งงานอย่างที่ลาภิณต้องการ แขกเหรื่อที่ทยอยกันมาต่างอยู่ในชุดสีขาวบริสุทธิ์

ลาภิณ พิสัย และชูจิตกำลังช่วยกันพูดคุยต้อนรับแขกและพามานั่ง โอ้เอ้และพนักงานของบริษัทอยู่ในชุดขาวคอยเสิร์ฟน้ำกับของว่างให้แขก
เจติยาในชุดขาวสะอาดเรียบหรูเดินเข้างานมาดูความเรียบร้อย ลาภิณที่พาแขกมานั่งเหลือบไปเห็นเจติยาก็เหล่มองด้วยสีหน้าไม่ค่อยชอบใจนัก
ลาภิณพูดกับแขก “ขอตัวเดี๋ยวนะครับ” ลาภิณเดินตรงเข้ามาหาเจติยา
เจติยาไม่ทันได้สังเกตเพราะมัวแต่มองความเรียบร้อยภายในงาน ลาภิณเดินมาขวางหน้า เจติยาตกใจเล็กน้อย
ลาภิณแขวะ “แค่ได้หุ้น 10 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้หมายความเธอจะอัพเกรดตัวเองขึ้นมาเป็นญาติกับฉันได้หรอกนะ”
เจติยาไม่พอใจแต่ก็เก็บอาการ เธฮพูดด้วยน้ำเสียงแดกดันอยู่ในที “เจก็ไม่กล้าคิดอาจเอื้อมขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“เหรอะ แล้วดูเธอแต่งเนื้อแต่งตัวเข้าสิ”
“ก็คอนเส็ปท์งานเป็นสีขาวไม่ใช่เหรอคะ”
“เธอนี่เถียงเก่งจริงๆ นะ”
“เจไม่ได้เถียง เจพูดตามเหตุตามผล”
“แต่ฉันชอบคนเงียบแล้วฟังมากกว่า” ลาภิณจ้องหน้าด้วยสายตาข่มขู่ “สงสัยเราจะทำงานด้วยกันลำบาก”
เจติยาชะงักไปเล็กน้อย เพราะเธอจำเป็นต้องพึ่งงานและรายได้จากที่นี่เพื่อไปรักษาแม่
ทันใดนั้นเสียงปริมก็ดังขึ้น “ต้นคะ”
ลาภิณหันไปมองปริมที่ใส่ชุดขาวหรูหราราคาแพงกำลังยิ้มแย้มให้เขา เจติยาฉวยโอกาสเดินเลี่ยงหนีไปทันที
ลาภิณหันไปมองตามเล็กน้อยก่อนเดินยิ้มไปจูงมือแฟนสาวให้เข้ามาไหว้ผู้ใหญ่ในงาน

เจติยามีสีหน้าเซ็งปนหมั่นไส้ เธอเดินออกมาจากห้องจัดงานก็เจอทวีเข้าพอดี
“ไงเจ งานเรียบร้อยมั้ย” ทวีถาม
“งานน่ะเรียบร้อยดีค่ะลุง แต่คนน่ะสิ ไม่เข้าท่า” เจติยาบอก
ทวียิ้มๆ “ใครทำให้อารมณ์เสียอีกล่ะ”
“เจ้านายคนใหม่น่ะสิลุง เจก็แต่งตัวให้เข้าคอนเส็ปท์ของงาน ถือว่าให้เกียรติคุณสารัช มันผิดตรงไหนคะ หาเรื่องกันชัดๆ”
ทวียิ้มใจเย็น “งั้นไปช่วยลุงที่ห้องเตรียมศพดีกว่ามั้ย”
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ” เจติยาเดินคู่กันไปกับทวีแล้วก็นึกได้ “อ้อ ลุงอ่านจดหมายเจ้านายแล้วรึยัง ท่านเขียนอะไรถึงเจมั่งมั้ยคะ”
ทวีหันมามอง “ทำไมถึงคิดว่าเจ้านายจะเขียนจดหมายถึงเธอด้วยล่ะ”
“ก็ท่านเขียนพินัยกรรมให้เจทำงานที่แผนกลุง ก็น่าจะเขียนสั่งอะไรลุงไว้มั่ง” เจติยาติดใจสงสัย “นี่เจทำงานเก่งขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
ทวียิ้ม “แผนกลุงหาคนทำงานยาก เจตั้งใจทำงานดี หนักเอาเบาสู้ ท่านคงเห็นแวว”
เจติยายังคาใจ “แต่เจก็ยังรู้สึกแปร่งๆ อยู่ดีแหละค่ะลุง” เจติยาถอนใจแล้วเดินนำไป
ทวีมองตามเจติยาไปก่อนจะพึมพำด้วยความสงสัย “ทำไมคุณถึงแน่ใจนัก ว่าเจจะสืบทอดงานของคุณได้”
ทวีถอนใจยาวออกมา ท่าทีชายชราเหนื่อยใจ
เจติยาเดินหน้าเซ็งเข้ามาในห้องแต่งศพ ทันใดนั้นลิ้นชักโต๊ะทำงานก็ค่อยๆ เปิดออกมาเองโดยที่กล่องรากบุญอยู่ภายใน เจติยาเห็นด้วยหางตา เธอค่อยๆ หันไปมองกล่องรากบุญ แล้วเดินเข้าไปดูกล่องรากบุญด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ทวีที่เดินมาหยุดมองเจติยาอยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าติดใจสงสัยอะไรบางอย่าง

รากบุญ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ปริมจูงมือลาภิณพาออกมาคุยที่หน้าห้องจัดงานศพ

“อะไรครับปริม ผมต้องช่วยคุณแม่รับแขก” ลาภิณบอก
ปริมดึงลาภิณมาหยุดที่มุมปลอดคน “ปริมมีเรื่องคุยด้วยแป๊บเดียว...พอพระสวดเสร็จ คุณต้นก็ฟรีแล้วใช่มั้ยคะ”
“ก็ไม่น่ามีอะไรแล้วมั้ง”
“งั้นไปปาร์ตี้กับเพื่อนปริมต่อนะคะ”
“ไม่ค่อยดีมั้งปริม คุณพ่อผมเพิ่งเสีย”
ปริมเกาะแขนอ้อน “แวะไปโชว์ตัว 15 นาทีก็ได้ค่ะ เพื่อนปริมเพิ่งกลับมาจากออสเตรเลีย อยากเจอคุณมาก” ปริมเกาะแขนออดอ้อน “นะคะคุณต้น ไปกับปริมนะคะ”
ลาภิณใจอ่อนจึงพยักหน้ารับ
ปริมหอมแก้มลาภิณฟอดใหญ่ “น่ารักที่สุดเลย”
“ผมเข้าไปรับแขกต่อได้รึยัง”
“ได้สิคะ ปริมพาไปส่ง” ปริมเกาะแขนลาภิณแล้วพาเดินกลับไปอย่างอารมณ์ดี
ลาภิณยิ้มด้วยความเอ็นดูแฟนสาว

เจติยานั่งจ้องมองกล่องรากบุญอยู่ตรงข้ามทวี
“มันเป็นกล่องที่มอบความปรารถนาให้คนที่ขอจากมันได้” ทวีบอก
เจติยาเลื่อนสายตาจากกล่องรากบุญมามองทวีด้วยสีหน้าสงสัย
ทวีย้ำเสียงจริงจังพร้อมทั้งจ้องหน้าเจติยา “ถ้าเจมีความทุกข์หนักที่อยากให้มันคลายทุกข์ให้ กล่องใบนี้มอบให้ได้ทุกอย่าง”
เจติยาขำ “มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะลุง”
“จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก มีสองคนพิสูจน์ความจริงข้อนี้แล้ว พวกเค้าสมหวังทุกอย่าง แต่ก็ต้องมีของแลกเปลี่ยน”
เจติยาสงสัย “สองคนนั่นคือใครคะ”
“ลุงคนนึงล่ะ เมียลุงเคยป่วยเป็นมะเร็งรังไข่ ลุงขอให้เมียลุงหายเป็นปกติ เธอหายป่วยอย่างน่าอัศจรรย์ มีอายุยืนยาวอย่างแข็งแรงจนกระทั่งถูกรถชนตาย หมอยังแปลกใจที่ก้อนมะเร็งหดเล็กหายไปได้ยังไง”
เจติยามีสีหน้าอยากรู้ “แล้วลุงแลกกับอะไรคะ”
ทวีนิ่งไปอึดใจก่อนตอบ “เลิกเหล้ากับดูแลศพตลอดชีวิต ลุงทำตามสัญญาอย่างเคร่งครัดจนเมียลุงตายจากไป ลุงเลยส่งมอบกล่องให้อีกคนซึ่งมีความทุกข์แสนสาหัส”
“ใครคะ”
“คุณสารัช” ทวีหน้าเครียด เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินเล่าไปรอบๆ “เจ้านายต้องลาออกจากงานผู้พิพากษาที่ตัวเองรัก หลังจากประสบอุบัติเหตุรถชนและพบว่าตนป่วยเป็นมะเร็ง”
เจติยาจับตามองตามลุงทวีพร้อมทั้งฟังอย่างตั้งใจ
“คุณสารัชซึมเศร้าและหมดอาลัยกับชีวิตทั้งที่อยากอยู่ดูแลครอบครัว เจ้านายเลยใช้กล่องใบนี้ยืดชีวิตออกไป”
เจติยาดึงสายตากลับมามองที่กล่องรากบุญอีกครั้งด้วยสีหน้ากังขา
ทวีเดินมาหยุดด้านหลังเจติยาพร้อมถอนใจ “แต่ถึงจะยืดชีวิตได้ครั้งนึง ก็ยังหนีความตายไปไม่พ้น เมื่อคุณสารัชได้ทุกสิ่งที่ต้องการครบถ้วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่แข็งแรง ธุรกิจประจำตระกูลมีคนสืบทอด เค้าก็เลยคืนกล่องนี้ให้ลุง เพราะมันถึงเวลาของเค้าแล้ว”
เจติยาหันมามองหน้าลุงด้วยสีหน้าขรึม “เจอยากขอพรจากกล่องนี้บ้างจังเลยลุง เจอยากให้แม่หายป่วยจากโรคไตซะที” เจติยาน้ำตารื้นขึ้นมา “เจยอมแลกได้ทุกอย่าง”
ทวีวางมือลงบนไหล่ของเจติยา “กล่องนี้ไม่ใช่ของทุกคน แต่มันเลือกเจ้าของด้วยนะเจ”
เจติยาเหลือบมองหน้าทวี
“กล่องจะส่งสัญญาณให้รู้เองว่าใครคือเจ้าของคนใหม่”
ทวีนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตต่อจากตอนที่ชายเร่ร่อนนำกล่องมาให้เขา
“ฉันให้” ชายเร่ร่อนจับมือทวีมาถือกล่องเอาไว้
ทวีงง “กล่องอะไรของแก”
“กล่องรากบุญ อยากได้อะไรก็ขอ”
“ไอ้บ้าเอ๊ย ไปให้พ้น”
ทันใดนั้นฝากล่องก็เปิดออก

ชายเร่ร่อนดีใจมาก “มันเลือกแกแล้ว” ชายเร่ร่อนวิ่งข้ามถนนไปอย่างไม่คิดชีวิต

ทวีหันไปมองรถร่วมกตัญญูอย่างงงๆ ขณะจะเดินเข้าซอยบ้าน เสียงเจ้าหน้าที่ดังขึ้น

“ขอทางด้วยครับ”
ทวีหยุดกึกแล้วหันไปมอง เจ้าหน้าที่แบกเปลใส่ศพคนตายเดินออกมาจากซอยจะไปที่รถ ทวีมองไปที่ศพทันใดนั้นศพผู้ชายในเปลก็ลืมตาโพลงมองทวี
“ช่วยฉันที” ศพผู้ชายพูดกับทวี

ทวีก้มมองเห็นหน้าศพชายคนเดิมลอยปริ่มน้ำอยู่ในตุ่มและกำลังมองเขาอยู่
ศพชายคนนั้นพูดหน้านิ่ง “ช่วยฉันที”
ทวีทิ้งขันจะวิ่งหนี ทันใดนั้นศพชายคนนั้นก็มายืนอยู่ข้างๆ และดึงแขนทวีเอาไว้
ศพชายคนนั้นพูดหน้านิ่ง “ช่วยฉันที”
ทวีตกใจกลัวมาก “จะให้ช่วยอะไร ฉันยอมช่วยแกแล้ว อย่ามาหลอกฉันเลย ฉันกลัวแล้ว”

ที่สวนบ้านหลังหนึ่ง ทวีมีสีหน้าลุ้นปนกลัวในขณะที่ยืนดูญาติผู้ตายทั้งชายและหญิงกำลังขุดดินที่มุมรั้วบ้านใต้ต้นไม้ใหญ่
ญาติผู้หญิงตื่นเต้น “เดี๋ยวพี่ เหมือนฝาเหล็กนะพี่ เบาๆหน่อย”
ทวียื่นหน้าไปดูลุ้นๆ
ญาติผู้ชายขุดระมัดระวังขึ้น อึดใจเดียวทั้งคู่ก็ช่วยกันยกลังเหล็กขนาดย่อมขึ้นมาจากหลุม ญาติผู้ชายเอาจอบกระแทกกุญแจจนแตกออก พอเปิดดูก็พบทองแท่งและทองรูปพรรณวางเรียงอยู่มากมาย
“ทองจริงๆ ด้วยพี่”
ญาติผู้ชายน้ำตาคลอยกมือไหว้ทวี “ขอบคุณครับพี่”
ทวียิ้มดีใจไปด้วยพอเหลือบตามองไปข้างๆ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นศพชายคนเดิมอยู่ในสภาพสวยแลดูไม่น่ากลัวกำลังยิ้มขอบใจทวี

ทวีเล่าให้เจติยาฟังถึงเหตุการณ์ต่อไป “เมียลุงหายดีเป็นปกติ ลุงก็ยังรักษาสัญญา เลิกเหล้าและทำงานแต่งศพให้คุณสารัชมาตลอด”
เจติยานั่งกำลังฟังทวีบรรยาย
ทวีพูดถึงเหตุการณ์ต่อไป ขณะที่เขากำลังแต่งหน้าศพผู้หญิงเพลินๆ ศพหญิงคนนั้นก็ลืมตาโพลงแล้วพูดกับเขา
“ช่วยฉันที”

เจติยาที่นั่งฟังมานานเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “นานมั้ยคะกว่าเราจะได้สิ่งที่เราขอ”
ทวียิ้มๆ “ใจเย็นๆ รอให้กล่องรากบุญ เลือกเจก่อน แล้วเราค่อยมาคุยกันต่อ”
เจติยาชะงักไปเล็กน้อย “กล่องรากบุญ ลุงตั้งชื่อเองเหรอคะ”
“เปล่าหรอก ชายแปลกหน้าที่เป็นคนให้กล่องนี้กับลุง เป็นคนบอกไว้”
เจติยามองกล่องอย่างพิจารณา “กล่องรากบุญ”

กล่องรากบุญ สีดำสนิท แกะสลักฝากล่องเป็นรูปยักษ์อ้าปากใบนี้ทั้งดูลึกลับและน่าหวาดกลัว

ดึกสงัด กล่องรากบุญตั้งอยู่กลางโต๊ะทำงานในห้องนอนเจติยา แสงสว่างที่สาดเข้ามาจาก

นอกหน้าต่างกระทบกับกล่องรากบุญสีดำให้ความรู้สึกอึมครึมและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก เจติยานอนหลับใหลอยู่บนเตียง
ทันใดนั้นเสียงไซเรนก็ดังขึ้นจนเจติยาสะดุ้งตื่น เจติยาในชุดนอนทะมัดทะแมงลุกมาดูที่หน้าต่าง เธอเพ่งมองลงไปจากหน้าต่างด้วยสีหน้าสงสัยอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เจติยาเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เดินออกมาหานวัชที่อยู่ในชุดนอกเครื่องแบบและกำลังดูเหตุการณ์อยู่ ชาวบ้านกลุ่มใหญ่มามุงดูเหตุการณ์ เจติยาเดินไปหานวัช
“เกิดอะไรขึ้นเหรอพี่หมวด”
“ป้านิภากินยาฆ่าตัวตาย” นวัชตอบ
เจติยาตกใจ “อะไรกันคะ วันก่อนยังมาซื้อกับข้าวที่ร้านดีๆ อยู่เลย”
นายตำรวจเดินตามเจ้าหน้าที่ขนศพนิภาที่อยู่บนเปลหามออกมา
นวัชจับเจติยาให้หันหลังไปอีกทาง “อย่าดูเจ”
นวัชเดินเข้าไปคุยกับนายตำรวจ ขณะที่เปลหามศพนิภาจะผ่านตัวเจติยาไป เจติยาก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง จังหวะที่เจติยาหันมอง เปลหามศพก็ผ่านข้างตัวพอดี เจติยาเห็นหน้านิภาซีดขาวนอนหลับตานิ่งอยู่ในเปล
ทันใดนั้นศพนิภาก็เด้งขึ้นมานั่งลืมตาโพลงและพูดกับเจติยา
“บอกความจริง”
เจติยาร้องลั่นด้วยความตกใจ เธอผงะถอยไปหลายก้าวพร้อมกับก้มหน้าก้มตา นวัชรีบวิ่งกลับมาหา
“เป็นอะไรเจ”
เจติยามองตามศพนิภาไป ก็เห็นว่าศพนิภายังนอนสงบอยู่บนเปล
เจติยายังตกใจจนเนื้อตัวสั่น “เปล่าค่ะ”
“แอบดูศพใช่มั้ย” นวัชถาม
เจติยายิ้มแหยๆ
“เห็นมั้ยล่ะพี่เตือนไม่ฟัง เข้าบ้านไปนอนได้แล้ว”
“ค่ะ”
เจติยาใจเต้นไม่เป็นส่ำ เธอรีบเดินเร็วกลับเข้าบ้านไป นวัชมองตามแล้วส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มเอ็นดู

เจติยาเดินเข้าบ้านมาด้วยท่าทางหน้าซีดปากสั่น เธอรีบเข้ามาล็อคประตูโถงบ้านด้วยมือที่ยังสั่นเทาด้วยความตกใจกลัวอยู่ ขณะล็อคประตูบ้าน ชายแขนเสื้อนอนของนิภาก็โผล่มาข้างๆ แต่เจติยายังไม่เห็น
เจติยาล็อคประตูโถงเสร็จก็เป่าปากพร้อมบ่น “คนกันเองแท้ๆ ไม่น่าหลอกกันเลยป้า”
เจติยาหันกลับมาจะเดินไปขึ้นบันได ทันใดนั้นเธอก็เห็นนิภายืนหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษอยู่ข้างๆเจติยากรีดร้องลั่นบ้าน เธอวิ่งขึ้นบันไดบ้านไปแล้วสะดุดตกบันไดเล็กน้อย แต่ก็ยังตะเกียกตะกายวิ่งหนีไป
นิภามองตามเจติยาไปด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ก็ยังแอบมีความหวังบางอย่างอยู่

เจติยาวิ่งหน้าตาตื่นหนีขึ้นมาชั้นบน ทันใดนั้นมยุรีก็เดินมาขวางหน้าพอดี เจติยาตกใจจนแทบช็อค จึงร้องเสียงดัง
“ร้องเอะอะอะไรเจ” มยุรีว่า
“โอ๊ย...ตกใจหมดเลยแม่” เจติยาหันไปมองทางบันไดด้วยสีหน้ากลัวๆ
“มีอะไร”
“เจเห็นมีรถตำรวจมาหน้าบ้านเลยออกไปดู ป้านิภาตายแล้วนะแม่”
มยุรีตกใจมาก “คุณพระช่วย เป็นไปได้ยังไง ยังเห็นกันอยู่หลัดๆ”
“หมวดบอกว่าป้าแกกินยาฆ่าตัวตาย”
“แม่ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้”
“เป็นไปแล้วล่ะค่ะ เค้าเอาศพไปแล้วหล่ะ แม่เข้านอนเถอะ ห่วงสุขภาพตัวเองก่อน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีก” เจติยาพาแม่ไปส่งที่ห้องนอน
มยุรีเดินตามลูกสาวไปด้วยสีหน้างงๆ เพราะไม่เชื่อเรื่องที่นิภาฆ่าตัวตาย
“เอาพระติดตัวไว้นะแม่ ป้าเฮี้ยนเอาเรื่องเลยล่ะ”
 
เจติยาปิดประตูส่งแม่แล้ววิ่งอ้าวไปห้องนอนตนทันที

เจติยาวิ่งมาเปิดประตูเข้าห้องนอนแต่ยังไม่ทันตั้งตัวก็เผชิญหน้ากับนิภาที่ยืนนิ่งรออยู่แล้ว นิภาอยู่ในสภาพเดียวกับศพที่ตาย

นิภาจ้องเจติยาแล้วพูดเสียงเย็น “บอกความจริง”
เจติยาร้องลั่นวิ่งกระโจนขึ้นไปนั่งกลางเตียงก่อนจะดึงผ้าขึ้นมาคลุมโปง
“ฉันกลัวแล้วป้า อย่ามาหลอกฉันเลย อยากกินอะไร พรุ่งนี้ฉันทำบุญไปให้”
เสียงนิภายังดัง “บอกความจริง”
เจติยารู้สึกเหมือนถูกกระซิบที่ข้างหูจึงผวาถอยหลบไปอีกทาง
“หนูเจไม่ต้องกลัวป้า ป้าไม่ทำอะไรหนูหรอก ป้าต้องการความช่วยเหลือ” เสียงนิภาดัง
เจติยาหวาดระแวง “ป้าอยู่ไหน”
นิภาพูดต่อ “ข้างหลังหนู”
เจติยาตาเบิกโพลงแล้วขนลูกวูบด้วยความกลัว “ป้าไปอยู่ไกลๆเจก่อนได้มั้ย ชิดหน้าต่างไปเลยนะป้า”
“ได้จ้ะหนูเจ”
เจติยากลอกตามองไปรอบๆ ผ้าห่ม “ป้าไปแล้วแน่นะ ห้ามมาปรากฏตัวต่อหน้าเจเด็ดขาดนะป้า”
เจติยาขยับตัวหันหลังให้หน้าต่างแล้วค่อยๆ ลดผ้าห่มคลุมโปงออก
เจติยานั่งหันหลังหลังตรงแน่วอยู่บนเตียง ส่วนนิภาอยู่ในสภาพสวยงามแต่หน้าซีดๆ กว่าคนปกติกำลังยืนชิดหน้าต่างแล้วมองมาทางเจติยา
“ช่วยป้าด้วยเจ”
เจติยาพูดโดยไม่หันไปมองเพราะยังกลัวอยู่ “ป้าจะให้หนูช่วยอะไร”
“ป้าไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
เจติยาตกใจมาก ถามพร้อมหันไปมองอย่างลืมตัว “แล้วใครฆ่าป้า”
เจติยาเห็นนิภายืนหน้าซีดอยู่ริมหน้าต่างจะๆ ก็แหกปากร้องลั่นแล้วถอยหนีจนตกเตียงจนต้องลงมานอนเดี้ยงเจ็บตัวงออยู่กับพื้น

เจติยาเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่จนดูกระฉับกระเฉงมายืนกดกริ่งหน้าบ้านนวัชอย่างร้อนใจ สักพักนวัชก็เปิดหน้าต่างชั้นบนออกมาดูด้วยหน้าตาง่วงเล็กน้อย

“อ้าว เจ”
“พี่หมวดนอนรึยัง” เจติยาถาม
“เพิ่งจะหัวถึงหมอน ก็ถูกปลุกมานี่ล่ะ”
เจติยาหน้าแหยเล็กน้อย “ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ตื่นแล้ว มีอะไรเหรอ”
“ออกไปข้างนอกกับเจเดี๋ยวได้มั้ยคะ”
นวัชงง “ไปไหน”

นวัชเปลี่ยนชุดใหม่แล้วยื่นหมวกกันน็อคให้เจติยาด้วยสีหน้าที่ยังคาใจ
นวัชถามด้วยความสงสัย “เจรู้ได้ยังไง”
เจติยาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะตอบแบบไม่สู้ตา “ป้าภาเข้าฝันเจ”
นวัชอึ้ง เขาจ้องหน้าเจติยา “ตกลงที่เล่ามาเป็นเรื่องเป็นราวนี่เจฝันเอาเองเหรอ”
เจติยายิ้มแหยๆ “เจไม่ได้อยากฝันเลยนะหมวด ป้าแกมาเข้าฝันให้เจช่วยเองบอกว่าแกไม่ได้ฆ่าตัวตาย ให้รีบไปที่ท่ารถจะเจอคนที่ฆ่าแก”
“ท่ารถไหน”
“เจก็ไม่รู้เหมือนกัน เราไปที่ท่ารถที่ใกล้ที่สุดก่อนแล้วกัน”
“ท่ารถคนตั้งเยอะแยะ จะรู้ได้ไงว่าคนไหน”
เจติยาชักหงุดหงิด “พี่หมวดไม่เชื่อ ก็ไม่ต้องไปแล้วกัน” เจติยาสวมหมวกกันน็อคเดินนำไป
“งอนอีกแล้ว...รอเดี๋ยวสิเจ” นวัชขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วสตาร์ทเครื่อง

นวัชขี่มอเตอร์ไซค์ให้เจติยาซ้อน นวัชขี่ไปตามถนนที่สวยงาม เจติยาชะเง้อมองทางด้วยสีหน้าร้อนใจ ขณะที่นวัชแอบมองเจติยาทางกระจกแล้วก็อมยิ้มปลื้มๆ ที่ได้ออกมาด้วยกันเช่นนี้

เจติยากึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่ท่าจอดรถ เธอหมุนรอบตัวพร้อมกับกวาดตามองไปทั่ว นวัชเดินตามมาห่างๆ พร้อมถอนใจส่ายหน้าก่อนจะกอดอกมอง เจติยามองซ้ายขวาเพื่อหาคนต้องสงสัย ทันใดนั้นนิภาก็ยืนอยู่ข้างหลังเจติยา
“ซ้ายมือ” นิภาบอก
เจติยาตกใจมากหันขวับมามองด้านหลังแต่ก็ไม่เห็นนิภาแล้ว เธอรีบหันไปมองทางซ้ายมือทันที
เจติยาอึ้งที่เห็นสาวใช้ของนิภาหอบข้าวของพะรุงพะรังด้วยหน้าตาตื่นจะเดินไปขึ้นรถ
“เมี่ยง” เจติยาไม่อยากจะเชื่อ
เมี่ยงหันมาเจอเจติยา “คุณเจ”
นวัชเดินตามมาประกบเจติยา “เจอใครมั้ยล่ะ”
เมี่ยงตกใจมาก “หมวด” เมี่ยงวิ่งหนี
นิภากระซิบข้างหูเจติยา “มันหนีแล้ว”
เจติยารีบชี้ “จับเมี่ยงไว้พี่หมวด”
นวัชรีบวิ่งไปขวางหน้าเมี่ยงเอาไว้ เมี่ยงตกใจหน้าตื่นกลัว เธอกอดถุงใบหนึ่งไว้แนบอก พอหันกลับมาอีกทางก็เห็นเจติยายืนขวางเอาไว้ นิภาในสภาพเหมือนคนปกติปรากฏตัวขึ้นข้างๆ เมี่ยง เจติยาตกใจเล็กน้อย
นิภาบอกเจติยา “มันวางยาป้า”
เจติยาจ้องสาวใช้แล้วพูด “เธอวางยาคุณป้า”
“หนูเปล่าค่ะ หนูไม่รู้เรื่อง วันนี้หนูลากลับบ้าน ออกมาตั้งแต่กลางวันแล้ว”
นิภามีสีหน้าโกรธ “มันโกหก ทองหยองป้าอยู่ในนั้น” นิภาชี้ไปที่ถุงที่สาวใช้กอดเอาไว้
“เธอขโมยของคุณป้ามา ฉันขอค้นตัว” เจติยาบอก
เมี่ยงจะหนี “อย่ามายุ่งกับฉัน”

เมี่ยงจะวิ่งหนีแต่เจติยากระชากถุงจนของต่างๆ ในถุงหกกระจายออกมา มีทั้งทองหยอง เครื่องประดับหลายต่อหลายชิ้น
เมี่ยงตกใจมากจึงจะหนีแต่โดนนวัชจับตัวเอาไว้ทัน เจติยาหันไปมองทางนิภาที่ยิ้มอย่างหมดห่วงก่อนที่นิภาจะค่อยๆ จางหายไป 

เจติยายิ้มแหยๆ ด้วยหน้าซีดๆ ให้นิภา เธอกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอเพราะยังเตรียมใจรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้

รากบุญ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ที่ลวกก๊วยเตี๋ยวถูกเขย่าเพื่อลวกเส้นในหม้อต้ม เจติยาและนวัชกำลังยืนสั่งก๊วยเตี๋ยวอยู่ข้างๆ พ่อค้า

“แล้วก็เกาเหลาลูกชิ้นอีกชามนะคะ”
“น้ำเปล่า 2 ครับ” นวัชสั่ง
ทันใดนั้น ลาภิณที่ขับรถพาปริมนั่งมาด้วยกำลังกลับมาจากงานปาร์ตี้ เขาตีรถเข้าซ้ายเพื่อจะเลี้ยวเข้าซอย ลาภิณเห็นเจติยากับนวัชพอดีในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินไปหาโต๊ะนั่ง ลาภิณชะลอรถแล้วจับตามอง
“มีอะไรคะ” ปริมถาม
“เจอพนักงานคนโปรดของคุณพ่อน่ะสิ” ลาภิณพูดด้วยสีหน้าเขม่น
“แม่คนที่คุณพ่อแบ่งหุ้นให้น่ะเหรอคะ” ปริมถามด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ
ลาภิณพยักหน้ารับ “ปริมรอในรถเดี๋ยวนะ” ลาภิณขับตรงไปหาที่จอดรถ
เจติยานั่งคุยกับนวัช
“ไม่น่าเชื่อว่าป้าภาจะเข้าฝันเจทันทีทันควันขนาดนี้นะ” นวัชบอก
เจติยาพูดหน้าขรึม “เจก็ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกันค่ะ”
“เพื่อนพี่เลยปิดคดีได้ชิลล์ๆ ไปเลย ทีหลังขอเลขเด็ดป้าภาด้วยสิ” นวัชยิ้มๆ
“เจไม่จับไข้หัวโกร๋นก็บุญเท่าไหร่แล้วพี่หมวด”
ทันใดนั้นลาภิณก็เดินลากเก้าอี้มานั่งร่วมโต๊ะ เจติยาตกใจเพราะนึกไม่ถึง
ลาภิณยิ้มกวน “ดึกดื่นป่านนี้ยังสวีทกันไม่เลิกอีกเหรอ”
เจติยาจะอ้าปากเถียงแต่ลาภิณ ไม่เปิดช่องให้เธอพูด
“พรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า นี่มันตีอะไรเข้าไปแล้ว เดี๋ยวก็เสียงานกันพอดี เนี่ยเหรอะพนักงานดีเด่นของคุณพ่อ”
เจติยาพูดหน้านิ่ง “เจคงเข้านอนก่อนคุณลาภิณล่ะค่ะ บ้านอยู่แค่นี้เอง ถ้าคุณไปประชุมทัน เจก็ไปทันค่ะ”
ลาภิณหน้าม้านไปเล็กน้อย นวัชแอบอมยิ้ม
เจติยาพูดแขวะหน้าตาย “ยังไม่ทันออกทุกข์ก็ออกเที่ยวแล้วเหรอคะ เจว่าเจ้านายเปลี่ยนเวลาเข้างานใหม่ก็ดีนะคะ เป็นซัก 11 โมง เลิกงาน 3 ทุ่ม จะได้เที่ยวต่อพอดีเลย”
ลาภิณลุกพรวดด้วยความเจ็บใจแล้วก็ยืนจ้องหน้า “หวังว่าพรุ่งนี้เธอคงไม่เลทก็แล้วกัน ระวังตัวให้ดี ฉันจับตาดูเธออยู่” ลาภิณเดินกลับไปอย่างหัวเสีย
เจติยายิ้มๆ
“หาเรื่องใส่ตัวไปมั้ยเจ เค้าเป็นเจ้านายใหม่นะ เดี๋ยวก็โดนไล่ออกหรอก” นวัชเป็นห่วง
“ตอนนี้เค้ายังไม่กล้าไล่เจหรอกพี่หมวด เจออก เค้านั่นแหละจะเดือดร้อน จะหาพนักงานที่ไหนอึดถึกอย่างเจได้”
นวัชเตือนด้วยความหวังดี สีหน้าของเขาดูจริงจังจนเกือบดุ “ยังไงเจก็ยังต้องพึ่งรายได้จากเค้ามารักษาแม่อยู่นะ รอให้ได้งานใหม่ก่อนเถอะค่อยไปงัดข้อกับเค้า”
เจติยาจ๋อยไปเล็กน้อย “ค่ะพี่หมวด”

เจติยาเดินกลับเข้ามาในห้องนอน ทันใดนั้นกล่องรากบุญสีดำที่มีลวดลายใบหน้ายักษ์อ้าปากกว้าง
ซึ่งวางไว้บนโต๊ะทำงานก็ขยับเคลื่อนเพื่อให้เจติยาเห็น เจติยาอึ้งปนตกใจก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามาดูใกล้ๆ จึงเห็นดาวโลหะสีดำวางอยู่ในปากยักษ์
เจติยามีสีหน้าสงสัย เธอค่อยๆ หยิบดาวโลหะออกมาจากปากยักษ์แล้วพิจารณาก็เห็นว่ากลางดาวโลหะมีลวดลายบางอย่างดูเป็นลายเส้นหลายๆ ลายทั้งโค้งทั้งตรง ไม่ใช่รูป ไม่ใช่อักษร
ขณะมองดูเหรียญ อยู่ดีๆ เหรียญก็ลอยขึ้นจากมือเจติยาแล้วลอยไปติดที่ฝากล่องด้านข้างพร้อมกับมีแสงสีทองสว่างวูบมาจากดาวโลหะสีดำนั้น

เจติยาตกใจมาก เธอถอยกรูดหนีไปยืนมองจากมุมห้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว

เช้าวันใหม่ ชูจิตนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะอาหาร ลาภิณแต่งตัวหล่อพร้อมไปทำงานในชุดโทนสีเทาเพื่อไว้ทุกข์ให้พ่อก็เดินมาหอมแก้ม

ลาภิณหอมแก้มชูจิต “มอร์นิ่งครับ”
ชูจิตอึ้ง “นี่แม่ตาฝาดไปรึเปล่าเนี่ย”
ลาภิณยิ้ม “ไม่หรอกครับ ผมรับปากแม่แล้วไงว่าจะตั้งใจทำงานแทนพ่อ ไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
ชูจิตยิ้มปลื้ม “ชื่นใจจริงๆลูกแม่...อ้ะ งั้นก็รีบทานข้าวซะ”
ลาภิณนั่งลง สาวใช้รีบเดินมาตักข้าวให้
“เอ้อ แล้วน้าพิสัยรู้รึยังว่าลูกจะเข้าไปทำงานวันนี้” ชูจิตถามลูกชาย
“ยังครับ ผมตั้งใจไม่บอกใคร” ลาภิณมีสีหน้านิ่งคล้ายอยากจะจับผิดพิสัย “แม่อย่าเพิ่งบอกเค้านะครับ”
ชูจิตพยักหน้ารับก่อนจะยิ้มด้วยความปลื้มใจ “รีบทานเถอะจ้ะ”
ลาภิณมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

ทวีเดินออกมาจากบ้านพักพร้อมจะไปทำงาน เขาตกใจเล็กน้อยที่เห็นเจติยายืนรออยู่ด้วยหน้าตาที่มีแต่คำถาม เจติยาสะพายเป้ที่มีกล่องรากบุญติดตัวมาด้วย
“อ้าวหนูเจ”
เจติยาพูดละล่ำละลักเป็นชุดด้วยความกลัวและสงสัย “ลุงคะ ศพพูดกับเจ ตามเจไปทุกที ให้เจช่วยบอกความจริง แล้วกล่องก็เปิด เหรียญลอยไปติดฝากล่อง นี่มันอะไรกันคะลุง เกิดอะไรขึ้นกับเจ เจฝันไปหรือเป็นเรื่องจริงคะ”
“ใจเย็นๆ เจ” ทวีมีสีหน้านิ่งขรึม “กล่องรากบุญ ได้เลือกเจ้าของใหม่แล้ว” ทวีมองหน้าเจติยา
เจติยาผงะไปเล็กน้อย เธอรู้สึกทั้งดีใจทั้งหวาดกลัว

เจติยาจิบน้ำเต้าหู้นั่งคุยกับทวีอยู่ที่โต๊ะหนึ่งของร้านขายน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋กลางซอย มีลูกค้า
นั่งอยู่หลายโต๊ะ
ทวีมีสีหน้าสงสัย “คำพูดที่ลุงกับเจ้านายได้ยินคือ ช่วยฉันที ส่วนเจคือบอกความจริง ครั้งนี้กล่องบอกผ่านศพถึงงานที่เจต้องทำเพื่อแลกเปลี่ยนกับความปรารถนาของเจ”
“แสดงว่าเจทำงานให้ป้านิภาสำเร็จ เลยได้เหรียญติดฝากล่อง”
ทวีพยักหน้ารับ “เจยังไม่ได้ขออะไรจากกล่องใช่มั้ย”
“ยังค่ะ”
ทวีเป็นห่วง “ใครยอมรับงานที่มันเสนอไว้ ถือว่าทำสัญญาต่อกันหากละเลยสัญญา เจ้าของกล่องต้องให้ค่าชีวิตแก่มัน นั่น หมายความว่าเจจะต้องตายก่อนเวลาจริง”
เจติยาชักกังวล “มันจะทิ้งเจ้าของเองได้มั้ยคะลุง”
“มีเงื่อนไขข้อเดียว คือ เจละเลยหาคำตอบตามคำขอจากศพครบหนึ่งเดือน”
เจติยาเงียบไปอย่างใช้ความคิด
“ตอนนี้มันยังไม่ได้ผูกพันให้รับข้อเสนอนี้ เพราะเจยังไม่ได้ขออะไรจากกล่อง เจจะไม่สนใจแล้วใช้ชีวิตตามปกติไปก็ได้”
“ถ้าเจทำคำขอของศพไม่สำเร็จล่ะคะ”
ทวียิ้มขรึมแล้วส่ายหน้า “หน้าที่ของลุงกับคุณสารัชคือช่วยเหลือคนที่ร้องขอให้พ้นทุกข์ ณ.เวลาที่เค้าขอ จะทำด้วยวิธีไหน ไม่มีกำหนดแน่ชัดไว้ มันก็หมดพันธะกัน”
เจติยามีสีหน้าเคร่งเครียด “ส่วนของเจ กล่องให้ทำงานชี้แจงความจริง”
ทวีพยักหน้ารับ “งานน่าจะหยุดแค่บอกความจริง กล่องคงตัดสินเองว่าพอใจงานชิ้นนั้นมั้ย” ทวีจ้องหน้าแล้วพูดเน้น “มันเป็นคำตัดสินที่ไม่มีการอุทธรณ์”
“เจอยากให้แม่หายป่วยจากโรคไตวาย กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม” เจติยาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “งานบอกความจริง มันอาจจะยากมากสำหรับเจ แต่ถ้าแลกกับชีวิตแม่ เจก็ต้องทำให้ได้ค่ะ” เจติยามีสีหน้าเอาจริง
ทวีมองเจติยาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและเป็นห่วง “ก่อนจะตกลงกับมันต้องคิดให้ดีซะก่อนนะเจ เพราะความผูกพันนี้ยาวนานและสิ้นสุดลงด้วยชีวิตของเจเท่านั้น”
เจติยารับฟังอย่างตัดสินใจ
“เจ้าของต้องส่งมันให้ผู้สืบทอดคนต่อไป ถึงจะหมดภาระผูกพัน ไม่งั้น คำสัญญายังคงอยู่ ถ้าเจไม่ยอมทำตามคำขอ พ้นหนึ่งเดือน เจจะต้องตาย มันเป็นเงื่อนไขมรณะ เจต้องคิดทบทวนให้ดีก่อนเข้าใจมั้ย”

เจติยานั่งนิ่งเงียบ เธอเครียดไปเพราะกำลังใช้ความคิดหนัก

พิสัยเดินนำเข้ามาในห้องทำงานใหญ่ที่เคยเป็นห้องทำงานของสารัช เลขาเดินตามมาติดๆ

“เดี๋ยวเธอย้ายของฉันมาห้องคุณสารัชเลยแล้วกัน ห้องทำงานเก่าฉันวิวดี ออกแบบทันสมัย น่าจะถูกใจคุณต้นมากกว่า” พิสัยสั่ง
เลขารับคำ “ค่ะ”
เสียงลาภิณขัดขึ้น “แต่ผมอยากทำงานห้องคุณพ่อมากกว่า”
พิสัยและเลขาหันไปมอง ลาภิณเดินกร่างเข้ามาในห้องทำงานของพ่อ
พิสัยยิ้มแย้ม “น้าไม่นึกว่าคุณต้นจะมาเริ่มงานเร็วขนาดนี้”
ลาภิณยิ้มๆ “แค่มาเริ่มงานช้าไปชั่วโมงเดียว ผมเกือบเสียห้องทำงานนี้ไปซะแล้ว” ลาภิณพูดหน้าตาย เขาเดินกวาดตามองดูห้องทำงาน
พิสัยพยักหน้าให้เลขาออกไปก่อน ก่อนจะยิ้มแย้มแล้วทำใจดีสู้เสือ
“สงเสียอะไรกันครับคุณต้น น้าเห็นว่าห้องทำงานคุณสารัชยังไม่ได้ตกแต่งใหม่ให้ดูทันสมัยน่าอยู่เหมือนห้องทำงานน้า คนหนุ่มอย่างคุณต้นไม่น่าจะชอบ น้าก็เลยจะเสียสละยกห้องทำงานของน้าให้”
ลาภิณยิ้มๆ ก่อนจะหันมามองหน้าพิสัย “แต่ห้องนี้เป็นห้องประธานบริษัท คนที่มานั่งทำงานต่อ ก็น่าจะเป็นประธานคนต่อไปมากกว่าไม่ใช่เหรอครับ”
พิสัยขำกลบเกลื่อน “คุณต้นก็คิดไปนั่น มันแค่ห้องทำงาน คุณต้นเป็นลูกชายคนเดียวของพี่สารัช ทุกคนก็รู้ ใครจะเป็นประธานคนใหม่ไปได้ ถ้าไม่ใช่คุณต้น” พิสัยยิ้มแย้มอย่างใจเย็น “ถ้าคุณต้นชอบห้องนี้ก็โอเคครับ” พิสัยมองหน้าลาภิณแล้วพูดจริงจัง “น้าพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้คุณต้นมีความสุขกับการทำงานที่นี่ เพราะคุณต้นคือขวัญและกำลังใจของพนักงานทุกคนแทนพี่สารัช” พิสัยตบบ่าต้นยิ้มๆ “อย่าเสียสมองกับเรื่องไร้สาระเลยครับ แฮปปี้จะทำงานห้องนี้ก็ดีครับ เอาล่ะ น้าไม่กวนเวลาทำงานของต้นแล้วดีกว่า” พิสัยจะเดินออกไป
“อีก 5 นาทีมีประชุมนะครับ ผมให้เลขาทำหนังสือเวียนแล้ว หวังว่าทุกคนคงตรงเวลา” ลาภิณบอก
พิสัยหยุดกึกหน้านิ่งก่อนจะหันมายิ้มให้ลาภิณด้วยใจลึกๆ ที่อยากงัดข้อกับเขา “น้ามีนัดกับลูกค้าวีไอพีของเราไว้แล้วซะด้วยสิ สงสัยที่ประชุมวันนี้ต้องขาดน้าแล้วล่ะ” พิสัยปั้นสีหน้าหนักใจ
“ขาดน้าพิสัยคนนึงก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะงานในหน้าที่เรามันซ้ำซ้อนกันอยู่” ลาภิณยิ้มมั่นใจ “ผมดูแลแทนน้าได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว เพราะถึงยังไงซะ อำนาจการตัดสินใจเด็ดขาดก็ต้องอยู่ที่ผมอยู่ดี”
พิสัยยิ้มแย้มอย่างสบายใจ “งั้นน้าก็สบายใจหายห่วง ฝากด้วยนะคุณต้น” พิสัยยิ้มใจดีส่งท้ายให้ก่อนจะหันกลับไปปรับสีหน้าเป็นเกลียดชัง พิสัยขยับปากด่าคำหยาบๆ แบบไม่ออกเสียง พร้อมเดินออกไปจากห้องทันที
ลาภิณมองตามพิสัยแล้วยิ้มอย่างรู้ทันและสะใจที่ขวางพิสัยได้สำเร็จ

กล่องรากบุญวางอยู่บนโต๊ะในห้องแต่งศพ เจติยาและทวีนั่งมองกล่องรากบุญด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ตัดสินใจแน่แล้วเหรอเจ” ทวีถาม
“เจอยากให้แม่หายทรมานจากโรคไตวายค่ะลุง ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน เจยอมทุกอย่าง ขอให้แม่มีชีวิตยืนยาว” เจติยาน้ำตาคลอขึ้นมา “เจจะได้มีเวลาทำให้ท่านได้มีความสุขกะเค้าซะที”
ทวียิ้มชื่นชม “หากเป็นคนอื่น คงขอให้ร่ำรวยเงินทอง แต่เจแค่อยากให้แม่มีอายุยืนขึ้นเท่านั้น” ทวีผลักกล่องรากบุญไปให้ใกล้เจติยามากขึ้น
เจติยาเหลือบตามองกล่องรากบุญตรงหน้า
“เจสามารถขอกี่ครั้งก็ได้ตลอดวาระของการเป็นเจ้าของ” ทวีบอก “แต่เจต้องทำตามคำขอให้สำเร็จสามครั้งต่อหนึ่งความปรารถนา เหรียญโลหะสีดำในกล่องเป็นสัญลักษณ์แทนงานแต่ละชิ้น นำไปติดที่ข้างกล่อง เมื่อครบจำนวนที่กำหนด สิ่งที่ขอไว้ก็จะปรากฏผล”
เจติยามีสีหน้าติดใจสงสัย “ถ้าเกิดเจไม่อยากได้อะไรอีกนอกจากให้แม่หายป่วย แล้วเจต้องทำยังไงคะ”
“เมื่อก่อนนี้ลุงทำงานตามคำขอจากศพโดยไม่สนใจความต้องการใดๆ กล่องปิดไว้ตลอดเวลา ลุงเลยไม่ได้สังเกตว่าการไม่ขอ จะต้องพบเรื่องดีหรือร้าย”

เจติยามีสีหน้าตัดสินใจแน่วแน่ เธอวางมือลงบนกล่องรากบุญ
“ฉันยอมทำตามคำขอที่ได้รับฟังจากศพ เพื่อบอกความจริงตามที่เค้าต้องการ”
ทวีจ้องมองเจตนาของเจติยาด้วยสีหน้านิ่งขรึมจนแทบจะหยุดหายใจ
“ส่วนความปรารถนาของฉันก็คือ ขอให้แม่มยุรีหายเจ็บป่วยจากโรคร้ายและมีชีวิตยืนยาวเพื่อเห็นความเจริญพัฒนาของลูกคนนี้” เจติยาน้ำตารื้นขึ้นมา
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวูบฉาบที่มือเจติยาเหมือนตอบรับคำขอ
“สิ่งที่เจต้องจำไว้อย่างนึงก็คือ ชะตาชีวิตของแต่ละคนถูกกำหนดไว้แล้ว นี่เป็นแค่การต่อรองชั่วคราว แม่ของเจอาจตายช้าไปเท่านั้น แต่ไม่ใช่ยืนยาวเป็นอมตะ” ทวีบอก
เจติยาพยักหน้ารับ
ทวีมีสีหน้าซีเรียสขึ้นมา “สิ่งที่เจใช้แลกเปลี่ยนกับกล่องใบนี้ คือกำหนด เวลาตายของตัวเจเอง”
“เจเข้าใจดีแล้วค่ะลุง เจแค่ขอเวลาที่ยาวนานขึ้น สวรรค์รู้ดีว่าเจต้องการแค่ไหน” เจติยามีสีหน้ามุ่งมั่นเพราะตัดสินใจแล้ว
ทวียิ้มเย็นๆ อย่างให้กำลังใจ ทันใดนั้นเจติยาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้

เจติยามีสีหน้าตื่นตกใจมากขณะบอกชายชรา “ตายแล้ว เจมีประชุมค่ะลุง”

เจติยารีบวิ่งมาหยุดหน้าห้องประชุมด้วยสีหน้ากลัวๆ เธอเคาะประตูเบาๆ ก่อนเปิดเข้าไป ลาภิณและทุกคนในห้องประชุมหันมามองเจติยาเป็นตาเดียว

เจติยายิ้มแหยๆ “ขอโทษค่ะ ติดธุระนิดหน่อย”
ลาภิณถามเสียงแข็ง “มีธุระอะไรสำคัญกว่าประชุมกับฉันอีกเหรอะ”
เจติยาจ๋อยไป
ลาภิณจ้องหน้า “หรือไม่อยากเป็นพนักงานของที่นี่แล้ว”
เจติยาชักหงุดหงิดจึงพูดหน้านิ่ง “ตกลงจะไม่ให้เจเข้าประชุมใช่มั้ยคะ”
ลาภิณตบโต๊ะพร้อมกับลุกขึ้นยืน “นี่เธอรู้สึกผิดมั่งมั้ย”
พนักงานคนอื่นๆ มีสีหน้าหวาดกลัว
“คุณลาภิณคะ” เลขากลัว “เอ่อ ความจริงน้องเจยังไม่ได้เป็นพนักงานของเรานะคะ น้องเป็นลูกจ้างชั่วคราว มาช่วยงานหลังเลิกเรียนน่ะค่ะ”
“เหรอ” ลาภิณยิ้มกวน “งั้นยิ่งดี จะได้ไม่ต้องชดเชยอะไรมากมาย” ลาภิณนั่งลงอย่างอารมณ์ดี
เจติยาเดินหน้านิ่งกลับออกไปจากห้องประชุมทันที
ลาภิณมีสีหน้าไม่พอใจ “อวดดี”
เลขาเกรงๆ แต่ก็จำต้องพูด “คุณลาภิณคะ น้องเจทำงานเก่งมากนะคะ เป็นกำลังสำคัญของลุงทวี ถ้าขาดน้องซักคน...”
“ผมรู้หรอกน่ะ ว่าเราต้องยืมจมูกเค้าหายใจ” ลาภิณขัดขึ้น “คุณก็รีบประกาศหาพนักงานใหม่มาช่วยลุงทวีด้วยแล้วกัน เค้าจะได้เลิกทะนงตัวซะที”
เลขาหน้าแหย “ค่ะคุณลาภิณ”
“งั้นเรามาประชุมกันต่อ” ลาภิณก้มอ่านเอกสารตรงหน้า
พนักงานทุกคนประชุมต่อ ลาภิณอดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองไปทางประตูห้องประชุมด้วยสีหน้าเขม่นเจติยายังไม่หาย

เจติยาเดินหน้าหงิกงอพร้อมบ่นกระปอดกระแปดมาที่หน้าคอนโดของนิษฐา
“ได้งานใหม่ ฉันไม่ง้อหรอก”
นิษฐาวิ่งรีบร้อนออกมาจากคอนโดแบบหน้าตาตื่น
เจติยาแปลกใจ “อ้าวฐา ไปไหน นัดเพื่อนแล้วเบี้ยวเหรอ”
“โทษทีแก งานด่วน เด็กที่มูลนิธิโดดตึกฆ่าตัวตาย”
เจติยาตกใจ “ใครเหรอ”
“แป้ง...ฉันต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวโทรคุย” นิษฐารีบวิ่งไปขึ้นรถทันที
เจติยากำลังเซ็งจึงบอกเพื่อน “ฐาไปด้วย” เจติยาวิ่งตามเพื่อนไปที่รถ “กำลังเซ็ง ไม่อยากอยู่คนเดียว”

เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ นิษฐารีบวิ่งพาเจติยาฝ่ากลุ่มไทยมุงเข้าไปยังจุดที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยและเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเก็บศพ ศพหนุงหนิงนอนตายคอหักอยู่ที่หน้าตึก เจติยาเห็นศพหนุงหนิงเต็มตาจึงเบือนหน้าหนีนิษฐาเห็นศพหนุงหนิงก็ยกมือขึ้นปิดปากและจมูกเพราะช็อค เธอพยายามตั้งสติก่อนจะเดินไปหานวัชที่กำลังสอบปากคำเจ้าของอพาร์ทเมนท์อยู่
นวัชได้ข้อมูลจนพอใจก็กล่าวกับเจ้าของอพาร์ทเมนท์ “ขอบคุณมากครับ”
นิษฐาเข้าไปหาพร้อมยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”
นวัชหันมามองนิษฐา นิษฐาผงะเล็กน้อยเพราะเห็นว่าหมวดคนนี้หล่อ เท่ และตรงสเป็คแต่เธอก็เก็บอาการมิดเพราะอยู่ในหน้าที่ตัวแทนมูลนิธิ
นิษฐาพูดแบบประหม่าเล็กน้อย “เอ่อ ดิฉันเป็นตัวแทนของมูลนิธิเพื่อนแท้ที่ดูแลน้องหนุงหนิงอยู่น่ะค่ะ” นิษฐายื่นบัตรประจำตัวให้นวัชด้วยมือไม้สั่น
นวัชดูบัตร “น้องเค้ากำลังมีปัญหาอะไรอยู่รึเปล่าครับ”
“ไม่น่ามีแล้วนะคะ น้องเค้ารื่นเริงมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะคิดสั้นแบบนี้ได้”
นวัชคิดตามเพื่อเก็บข้อมูล
เจติยาเหล่มองเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ยกเปลหามศพผ่านทางตนด้วยอาการกลัวๆ แหยงๆ เพราะกลัวศพจะพูดกับเธออีก เจติยาก้มหน้าหลบตาแล้วเบี่ยงหน้าไปอีกทาง ทันใดนั้นศพหนุงหนิงที่คอหักเอียง และมีเลือดอาบในสภาพเหมือนที่ตายก็มายืนนิ่งอยู่ข้างๆ เจติยา เจติยากรีดร้องลั่นด้วยความตกใจจนทุกคนหันมามอง
นวัชประหลาดใจ “เจ...” นวัชรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง
นิษฐามองตามอย่างงงๆ ที่เห็นเจติยารู้จักกับนวัช
“เป็นอะไร” นวัชถาม
“เปล่าค่ะ” เจติยาฝืนยิ้มแหยๆ
“มารับศพเหรอ”
เจติยางง “รับศพ”
“เดี๋ยวชันสูตรเสร็จ เค้าจะส่งศพไปที่นิราลัย”
“เหรอคะ” เจติยาหวั่นใจ

โอ้เอ้มีหน้าตาร้อนใจกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่หน้าห้องแต่งศพเพราะกลัวผี เขากลั้นใจยกสร้อยพระขึ้นแล้วเปิดประตูเข้าไปด้านใน ทวีกำลังทำความสะอาดเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับแต่งศพอยู่พอดี
โอ้เอ้ร้อนใจ “ลุง รีบหนีไปเร็ว”
ทวีงง “อะไรของเอ็ง หนีไปไหน”
ทันใดนั้นพิสัยก็เปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างหัวเสีย
“ไม่ทันแล้ว” โอ้เอ้หน้าแหย
ทวีถอนใจแล้วเตรียมตั้งรับ
พิสัยเจอหน้าทวีก็ใส่ไม่ยั้ง “ใครอนุญาตให้รับทำศพอนาถา”
ทวีตอบหน้านิ่ง “ผมเอง”
พิสัยจ้องหน้า “คิดว่าตัวเองเป็นใคร เจ้าของบริษัทรึไง”
“ผมทำทุกอย่างตามเจตนารมณ์ของคุณสารัช”
“พี่สารัชเสียชีวิตไปแล้ว นโยบายหลายๆ อย่างของบริษัทก็ต้องเปลี่ยน”
“เหรอครับ คุณต้นไม่เห็นบอกผม”
“ก็ฉันกำลังบอกอยู่นี่ไง”
“แต่ผมไม่เห็นด้วยว่านโยบายดีๆ เพื่อผู้ยากไร้ของคุณสารัชจะต้องตายไปพร้อมกับท่านด้วย ท่านคงไม่ต้องการแบบนั้น”
“ตกลงแกจะทำศพฟรีให้ได้ แล้วทิ้งรายได้บริษัทใช่มั้ย”
“คิวไหนจองมาก่อน ก็ต้องคิวนั้นล่ะครับ” ทวียืนยัน
พิสัยโกรธ “แกไม่เห็นรึไงว่าห้องสวดศพมันเต็มหมดแล้ว”
“เห็นครับ แล้วก็เห็นกำไรมากมายที่บริษัทรับมาแล้ว เราหากินกับศพ มันสมควรที่เราจะยอมขาดทุนกำไรทำบุญให้กับศพยากไร้ซักศพ ซึ่งน้อยไปด้วยซ้ำ”
พิสัยจ้องหน้าทวี “อวดดีให้ตลอดเถอะ อีกไม่นานหรอก”
พิสัยเดินกลับออกไปอย่างหัวเสีย โอ้เอ้ยืนก้มหน้าอย่างกลัวๆ ทวีได้แต่ถอนใจออกมาด้วยความหนักใจ

พิสัยเดินหัวเสียกลับมาที่ชั้นทำงานของตน เลขารีบเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าร้อนใจ
พิสัยดูสีหน้าท่าทางของเลขาก็พอเดาออก “มีอะไรอีกล่ะ”
“คุณลาภิณเรียกหัวหน้าฝ่ายคุยเรียงตัวเลยนะคะ ขอเอกสารย้อนหลังวุ่นวายไปทั้งบริษัทแล้วล่ะค่ะ”
พิสัยหน้าเครียดเพราะระแวงขึ้นมา สักพักหัวหน้าฝ่ายบัญชีก็เดินหน้าตื่นนำพนักงานหอบแฟ้มเอกสาร 2-3 แฟ้มตามหลังมาก่อนจะเคาะประตูเปิดเข้าห้องลาภิณไป
พิสัยมีสีหน้ากังวล “เดี๋ยวเธอไปกระซิบพวกนั้นให้ทำโอที พอลาภิณกลับให้มาพบฉันทีละคน”
“ค่ะคุณพิสัย”
พิสัยจะเดินไป
ทันใดนั้นเสียงปริมก็ดังขึ้น “สวัสดีค่ะคุณน้า”
พิสัยชะงักหันมามองแล้วปั้นยิ้มให้ปริม
“มารับแฟนไปทานข้าวเหรอครับคุณปริม”
“ค่ะคุณน้า ไม่รู้คุณต้นยุ่งอยู่รึเปล่า ไม่รับสายปริมเลย”
“เค้ากำลังไฟแรง รีบลากตัวไปทานข้าวเลย เที่ยงกว่าแล้วน้าเป็นห่วง”
ปริมยิ้ม “เดี๋ยวปริมจัดการเองค่ะ”
ปริมเดินไปเคาะประตูห้องทำงานลาภิณแล้วเปิดเข้าไป ลาภิณที่กำลังคุยงานอยู่เงยหน้ามองแล้วก็ยิ้มให้ พิสัยลอบมองเข้าไปก็เห็นปริมเข้าไปนวดไหล่ลาภิณจากข้างหลังแล้วชวนกินข้าว ลาภิณก็ยิ้มแย้มคุยด้วย

พิสัยทำสีหน้าแววตาชิงชังลาภิณเหมือนก้างขวางคอที่ต้องกำจัดทิ้งให้เร็วที่สุด

โปรดติดตาม "รากบุญ" ตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น