xs
xsm
sm
md
lg

รากบุญ ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รากบุญ ตอนที่ 11
ทันใดนั้น เจติยาก็ได้ยินเสียงมัจจุราชดังที่ข้างหู
“ตั้งสติให้มั่น เจ้าของกล่องรากบุญ มีอำนาจเหนือกล่องรวมทั้งอำนาจทุกอย่างที่เกิดจากกล่อง”
ปราณตกใจมากจึงตวาดลั่น “แกอีกแล้วเหรอ แกเป็นใครกันแน่”
เจติยาหลับตารวบรวมสมาธิตามที่เสียงลึกลับบอกแล้วเอื้อมมือไปจับตัวลาภิณไว้ ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นทั่วตัวลาภิณพร้อมกับร่างของปราณถูกเปลวไฟลุกท่วม ปราณร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะหายตัวไป ลาภิณสะดุ้งเฮือกแล้วสติก็กลับมาแต่ก็ยังงงๆ เจติยารีบดึงพวงมาลัยหักหลบรถคันนั้นทันที ลาภิณได้สติก็รีบช่วยหักหลบด้วย
ลาภิณแล้วเจติยาหมุนคว้างไปตามแรงเหวี่ยงของรถที่เสียหลักหมุนไปรอบตัว เจติยาหลับตาปี๋แล้วร้องกรี๊ดลั่นรถเหมือนเตรียมตัวเตรียมใจรับความตาย


เวลาผ่านไป ลาภิณขับรถมาจอดหน้าบ้านเจติยา เจติยายังนั่งหน้าซีดๆ เพราะรอดตายมาอย่างหวุดหวิด
ลาภิณหันมองเจติยาด้วยสีหน้าเครียด “ทำไมผมจำอะไรไม่ได้เลย นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก”
เจติยาถอนใจ “ฉันก็ไม่แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณ รู้แต่ว่ามันไม่ใช่คุณ แต่มีบางอย่างครอบงำคุณอยู่”
“ปองกับย้งเหรอ” ลาภิณถาม
“ไม่ใช่” เจติยาหน้าเครียดไป “มันเป็นวิญญาณผู้ชาย ฉันเคยเห็นเค้าแต่ไม่รู้ว่าเค้าต้องการอะไร แต่ที่แน่ๆ ไม่หวังดีกับฉันแน่นอน”
ลาภิณชำเลืองมองเจติยา “ผมเป็นห่วงคุณมากนะ”
เจติยาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันมาสบตากับลาภิณ
ลาภิณมองตาเจติยาด้วยสายตาซึ้งใจ “คุณช่วยชีวิตผมไม่รู้กี่ครั้งแล้ววันนี้คุณก็ต้องมาเสี่ยงตายเพราะเรื่องของผมอีก” ลาภิณมองเจติยา “ผมจนปัญญา ไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณคุณยังไงแล้ว”
เจติยาเขินจึงหลบสายตา “ฉันก็ทำไปตามหน้าที่..” เจติยาตัดบท “คุณรีบกลับบ้านไปเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณท่านจะเป็นห่วง” เจติยาจะลงจากรถ
ลาภิณจับมือเจติยาเอาไว้
เจติยาอึ้งแล้วหันมองลาภิณ
ลาภิณจับมือเจติยาแล้วจ้องตา “ถ้าไม่มีคุณ ผมคงตายไปนานแล้ว” ลาภิณยิ้มๆ แล้วพูดติดตลก “สงสัยผมต้องพกคุณติดตัวไว้ตลอดเวลาซะแล้วล่ะ”
เจติยาเขินแล้วรีบดึงมือออก “ฉันไม่ใช่มือถือคุณนะ” เจติยาค้อนใส่ “อะไรเข้าสิงอีกก็ไม่รู้”
เจติยารีบลงจากรถแล้วรีบเดินก้มหน้าก้มตาเข้าบ้านไปโดยไม่กล้าหันมองอีก พอเข้าพ้นรั้วบ้านไปได้ เจติยาก็หันกลับมามองลาภิณอีกครั้ง ลาภิณยังคงจับตามองตามเจติยาไม่วางตาพร้อมส่งยิ้มหวานให้ เจติยาทั้งอึ้งทั้งเขิน เธอรีบเดินหนีกลับเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว
ลาภิณยิ้มๆ ก่อนเอื้อมไปหยิบกระเป๋าเอกสารที่วางไว้กับพื้นหน้าเก้าอี้ข้างคนขับขึ้นมาวางบนเก้าอี้แล้วถอนใจออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ลาภิณเดินถือกระเป๋าเอกสารของทนายปุ่นเข้ามาในโถงบ้าน ชูจิตที่นั่งอยู่ที่โซฟารับแขกรีบลุกมาหาลูกชายด้วยความเป็นห่วง โดยที่เธอพยายามง้อลูกชาย
ชูจิตมองกระเป๋าเอกสาร “ตกลงใช่เอกสารทนายปุ่นรึเปล่าลูก”
ลาภิณยังคงหน้าบึ้ง “นี่เจคงโทรบอกคุณแม่แล้วสิครับ”
“จ้ะ เจเค้ากลัวว่าแม่จะเป็นห่วง...มีเอกสารอย่างที่เชิดบอกมั้ย”
“มีครับ”
ชูจิตดีใจ “งั้นเดี๋ยวแม่ช่วยเอาไปเก็บในเซฟให้นะ ต้นจะได้ขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อน”
ลาภิณดึงกระเป๋าหนี “อย่าเลยครับ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะจับน้าพิสัยเข้าคุกได้”
ชูจิตเคือง “นี่ต้นไม่ไว้ใจแม่แล้วใช่มั้ย”
ลาภิณไม่ตอบ เขาเดินถือกระเป๋าเอกสารเลี่ยงไปทางห้องทำงาน ชูจิตได้แต่มองตามด้วยความเสียใจที่ลูกยังไม่หายโกรธและยังระแวงตนอยู่

ปราณยืนนิ่งอยู่หน้ารั้วและมองเข้ามาในบ้านของชูจิต พิสัยลงจากรถที่จอดอยู่ข้างรั้วบ้านแล้วเดินมาหาปราณด้วยสีหน้าเจ็บใจ
“มันเก็บหลักฐานเอาไว้ในเซฟ แกรีบเข้าไปเอามันมาทำลายทิ้งซะ” ปราณสั่ง
พิสัยหงุดหงิด “คนในบ้านเต็มไปหมด ฉันจะเข้าไปได้ยังไงล่ะ”
“ฉันช่วยแกได้ แต่แกมีเวลาไม่เกินสิบนาที อย่าพลาดก็แล้วกัน”
“งั้นแกก็จัดการให้ฉันเลยสิ ต้องให้ฉันลงมือเองทำไม”
ปราณหน้าเครียด “วันนี้ฉันเสียพลังไปมาก ช่วยแกได้เท่านี้ล่ะ จำเอาไว้ แกมีเวลาสิบนาทีเท่านั้น”
“ถ้าเกินกว่านั้นจะเกิดอะไรขึ้น” พิสัยอยากรู้
ปราณหน้านิ่งคล้ายกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง “แกรู้เท่าที่ควรรู้ รีบเข้าไปได้แล้ว”
พิสัยชะเง้อมองไปในบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

พิสัยค่อยๆเปิดประตูห้องทำงานลาภิณเข้ามา เขาปิดประตูลงอย่างแผ่วเบาก่อนจะรีบตรงไปที่ตู้เซฟทันที
พิสัยหมุนรหัสตู้เซฟแต่ก็เปิดไม่ออก “เปลี่ยนรหัสใหม่ ร้ายนักนะมึง” พิสัยลองป้อนรหัสใหม่
พิสัยหงุดหงิดที่เปิดเซฟไม่ได้ ทันใดนั้นเซฟก็ถูกป้อนรหัสเองก่อนจะเปิดออกมา
พิสัยยิ้มพอใจ “ก็ไม่ช่วยแต่แรก”
พิสัยรีบหยิบกระเป๋าเอกสารของทนายปุ่นออกมาจากเซฟ แล้วเปิดดูเอกสารข้างในเพื่อเช็คคร่าวๆ ก่อนจะยิ้มเยาะอย่างสะใจ เขาเก็บเอกสารลงกระเป๋าแล้วรีบปิดตู้เซฟตามเดิม
พิสัยลุกขึ้นยืนแล้วกำลังจะเดินไปเปิดประตู ทันใดนั้นชูจิตก็เปิดประตูห้องเข้ามา
ชูจิตตกใจมากเพราะคิดไม่ถึง “พิสัย”
พิสัยตกใจมากเพราะไม่คิดว่าชูจิตจะโผล่เข้ามาเห็นพอดี

ลาภิณสวมชุดนอนเดินออกมาจากห้องน้ำ หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เขาเดินมาหวีผมอยู่ที่หน้ากระจกในใจก็คิดถึงเรื่องแม่อยู่ตลอดเวลา เสียงเจติยาดังขึ้นในความคิดของลาภิณ
“อย่าเอาแต่อารมณ์หน่อยเลย ลองย้อนนึกถึงตอนวิญญาณคุณออกจากร่างซิ ใครร้องไห้แทบขาดใจจนล้มป่วย ไม่ใช่คุณท่านหรอกเหรอะ แล้ววิญญาณใครไม่ทราบที่ไปนอนร้องไห้กอดคุณท่านบนเตียง ลืมความรู้สึกวันนั้นแล้วรึไง” เจติยาค้อนใส่
ลาภิณถอนใจแรงๆ ด้วยความรู้สึกผิด เขาวางหวีลงแล้วเดินออกไปจากห้อง

ชูจิตพยายามจะแย่งกระเป๋าเอกสารจากพิสัยแต่พิสัยไม่ยอมให้
ชูจิตโมโห “คืนให้พี่นะพิสัย”
พิสัยตะคอก “คืนให้โง่เหรอ พี่จะได้เอาผมเข้าคุกน่ะสิ พี่เคยบอกว่าจะไม่เอาเรื่องผมแล้วไง พี่จะกลับคำเหรอ”
ชูจิตโมโห “ถ้าเธอไม่ทำร้ายต้นจนเกือบตาย พี่ก็คงไม่อยากเอาผิดกับเธอหรอก” ชูจิตน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความเจ็บช้ำ “เพื่อเงินตัวเดียว เธอกลับคิดฆ่าหลานแท้ๆ ของตัวเองได้ลงคอ เธอยังเป็นคนอยู่รึเปล่าพิสัย”
พิสัยโมโห “ผมไม่ได้ทำเพื่อเงิน แต่ผมทำเพื่อนิราลัย พี่รู้มั้ย ว่าผมทุ่มเทให้นิราลัยมากขนาดไหน ถ้าไม่มีผม นิราลัยก็ไม่มีทางเติบโตขนาดนี้หรอก แต่พอไอ้ต้นกลับมา พี่ก็ยกนิราลัยให้มัน”
ชูจิตโมโหมากจึงสวนกลับไป “นิราลัยมันไม่ใช่ของพี่ แต่มันเป็นของครอบครัวคุณสารัชเค้า แล้วจะให้พี่ยกให้เธอได้ยังไง พี่พูดเรื่องนี้กับเธอหลายครั้งแล้วนะพิสัย ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจซะที”
พิสัยโมโหมาก “ผมไม่เข้าใจหรอก ตอนแรกไอ้ต้นมันก็ไม่สนใจนิราลัยอยู่แล้ว พี่ให้ทุนมันไปเปิดผับเปิดบาร์อะไรก็ได้ พี่ช่วยผมได้ แต่พี่ไม่ทำ”
ชูจิตไม่อยากฟังแล้วจึงเข้าไปแย่งกระเป๋า “เอาคืนมานะ”
พิสัยผลักชูจิตออกไปอย่างแรงจนชูจิตเซถลาไปกระแทกกับกำแพง ชูจิตเจ็บแต่ยังมีสติจึงรีบโผเข้าไปที่โต๊ะทำงานเพื่อจะกดออดเรียกคน ชูจิตเกือบจะกดกริ่งได้แล้วแต่พิสัยไวกว่าจึงรีบเข้ามากอดตัวชูจิตจากด้านหลังแล้วล็อคเอาไว้
“มอบตัวซะเถอะพิสัย หนักจะได้เป็นเบา” ชูจิตกล่อม
พิสัยล็อคชูจิตแรงขึ้น
ชูจิตร้องด้วยความเจ็บ
พิสัยเจ็บช้ำใจ “ไหนพี่ให้สัญญากับพ่อแม่ว่าจะดูแลผมอย่างดีไงล่ะ เอาเข้าจริง พี่ก็รักแต่ลูกตัวเอง”
ชูจิตโมโหมาก “ก็เธอมันทำตัวเลวเอง อย่ามาโทษคนอื่นหน่อยเลย” พูดจบชูจิตก็ก้มหน้ากัดต้นแขนพิสัยเข้าเต็มๆ
พิสัยร้องด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย”
ชูจิตฉวยโอกาสสะบัดตัวจนหลุดแล้ววิ่งหนีออกจากห้องไปทันที พิสัยรีบวิ่งตามไปด้วยสีหน้าโกรธจัด


ลาภิณเดินมาเคาะประตูห้องนอนชูจิต
“คุณแม่ครับ”
ไม่มีเสียงตอบออกมา
ลาภิณเคาะซ้ำอีก “นอนรึยังครับแม่”


ชูจิตวิ่งหนีออกมาที่โถงบ้าน
เสียงลาภิณดังมาจากชั้นบน “แม่ครับ”
ชูจิตดีใจจะตะโกนเรียกลูกชาย แต่ยังไม่ทันตะโกนได้เต็มเสียงพิสัยก็พุ่งเข้ามาล็อกคอชูจิต แล้วเอามือปิดปากเธอเอาไว้ ลาภิณเดินกลับออกมาแล้วได้ยินเสียงแว่วๆ
“แม่อยู่ข้างล่างเหรอครับ” ลาภิณเดินลงบันไดมา
พิสัยรีบลากชูจิตมาแอบหลังเสา โดยทั้งล็อกคอทั้งปิดปากปิดจมูกชูจิตแน่นจนชูจิตหายใจไม่ออก เธอพยายามดิ้นแต่พิสัยก็ล็อกตัวไว้แน่นเพราะกลัวลาภิณได้ยินเสียง ลาภิณเดินลงมาที่โถงแล้วมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นใคร
ชูจิต พยายามดิ้นสุดแรงก่อนจะใช้เล็บจิกเข้าไปที่ข้อมือของพิสัยจนเลือดออก พิสัยขบกรามแน่นด้วยความเจ็บแม้จะเจ็บมากแต่ก็ไม่กล้าร้อง แถมเขายังล็อกชูจิตแน่นมากขึ้นไปอีกจนชูจิตตาเหลือกเพราะหายใจไม่ออก ลาภิณมองไม่เห็นใครเลยคิดว่าหูแว่ว เขาเดินกลับขึ้นชั้นบนไป
พิสัยแอบมองจนแน่ใจว่าลาภิณกลับขึ้นข้างบนแล้ว แล้วเขาก็เอะใจว่าทำไมชูจิตเงียบจนผิดสังเกต พิสัยค่อยๆคลายแขนที่ล็อกคอชูจิตออก ชูจิตคอพับห้อยลงมาในสภาพดวงตาเบิกโพลง เธอเสียชีวิตเพราะถูกรัดจนขาดอากาศหายใจ
พิสัยเห็นดังนั้นก็ผงะถอยออกมาด้วยความหวาดกลัวสุดๆ เขาปล่อยให้ศพชูจิตร่วงลงกับพื้น ดวงตาของชูจิตยังจ้องมองมาทางพิสัยอย่างน่าหวาดกลัว พิสัยกลัวจนเหงื่อแตก ตัวสั่น ถึงเขาจะเหี้ยมเกรียม สั่งฆ่าคนมาหลายศพ แต่ก็ไม่คิดว่าจะฆ่าพี่สาวผู้มีพระคุณด้วยมือตัวเองแบบนี้ พิสัยรีบหอบกระเป๋าเอกสาร เตลิดหนีออกไปจากบ้านทันทีปล่อยให้ศพของชูจิตนอนตาเหลือกค้างอยู่ที่มุมโถงบ้าน


ใกล้เช้า เจติยากำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งเอื้อมมาเขย่าขาเจติยา พร้อมกับส่งเสียงเรียก
“หนูเจ ตื่นเถอะ”
เจติยารู้สึกว่าถูกรบกวนก็นอนกระสับกระส่าย ขยับหน้าเอียงมาทางชูจิตที่มีใบหน้าซีดเผือดรออยู่ข้างๆ
ชูจิตพูดที่ข้างหู “ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
เจติยางัวเงียแล้วค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมามองไปข้างๆ แต่ก็ไม่มีชูจิตแล้ว เจติยาขยับตัวขึ้นนั่งด้วย่ทาทางยังงัวเงีย
“แม่เหรอคะ” เจติยากวาดตามองหาแต่ก็ไม่เห็นใคร
ชูจิตนั่งก้มหน้าหันข้างอยู่ข้างเตียง โดยที่ชูจิตแต่งตัวสวยงามคนละชุดกับชุดที่ตาย เจติยาหันมาเห็นก็ถึงกับสะดุ้งโหยงกระโดดตัวปลิวไปยืนที่พื้น ชูจิตค่อยๆ หันหน้ามองเจติยา
เจติยาเห็นหน้าชัดๆ ก็ตกใจมาก “คุณท่าน”

“ขอโทษทีนะ ที่ต้องมาปลุกเธอ” ชูจิตบอก
เจติยารีบนั่ง “ไม่เป็นไรค่ะ แล้วคุณท่านมีธุระอะไรกับเจเหรอคะ”
“ฉันอยากจะมาขอความช่วยเหลือ” ชูจิตหน้าขรึมลง “ไม่มีใครช่วยฉันได้แล้ว นอกจากเธอ”
เจติยาแปลกใจ “คุณท่านจะให้เจช่วยอะไรคะ”
ชูจิตยื่นมือมาจับมือเจติยาไว้
เจติยาสะดุ้งวูบ “คุณท่านมือเย็นเฉียบเลยนะคะ” เจติยาเริ่มรู้สึกแปลกๆ
ชูจิตมีสีหน้าแววตาอ้อนวอน “ต้นกำลังตกอยู่ในอันตราย หมดฉันไปซักคน ต้นก็ไม่เหลือใครแล้ว เธอต้องช่วยดูแลต้นแทนฉันด้วยนะเจ”
“ทำไมคุณท่านพูดแบบนี้ล่ะคะ พูดเหมือนกับว่า...”
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเจติยาก็ดังขึ้น เจติยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนจะหันมองซ้ายขวาแต่ก็ไม่เห็นชูจิต เสียงโทรศัพท์มือถือดังเตือนซ้ำ เจติยากดรับสาย
“ฮัลโหล...อ้าว คุณลุง โทรมาแต่เช้าเลย มีอะไรรึเปล่าคะ” เจติยาฟังอีกฝ่ายแล้วก็ตกใจมาก “คุณท่านตายเมื่อไหร่คะลุง”
เจติยาหน้าซีดเผือดเพราะรู้ทันทีว่านั่นคือวิญญาณของชูจิตที่มาหาตน

รถตำรวจจอดอยู่หน้าบ้านของชูจิตในยามเช้า ตำรวจจำนวนหนึ่งคอยเก็บหลักฐานต่างๆ รอบบ้าน เจติยาเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นวัชกับตำรวจกลุ่มหนึ่งกำลังสอบปากคำคนรับใช้อยู่ โดยมีทวีและโอ้เอ้ ยืนหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
“พี่เจมาแล้วลุง” โอ้เอ้บอกทวี
เจติยามีสีหน้าร้อนใจพร้อมกับมีน้ำตาคลอ เธอรีบเดินเข้าไปหาทวี และโอ้เอ้ “เกิดอะไรกับคุณท่านคะลุง”
“ลุงได้ยินแว่วๆ ว่าถูกรัดคอจนตายนะ”
เจติยาตกใจมาก เธอยกมือขึ้นปิดปากแล้วก็มีน้ำตารื้น
“โหดมากเลยนะพี่” โอ้เอ้บอก
นวัชเดินเข้ามาหาเจติยา
เจติยาร้อนใจ “รู้ผลชันสูตรรึยังคะพี่หมวด”
“ยังไม่สรุปเลย แต่เท่าที่พี่ตรวจดู พี่คิดว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นในบ้านนะ แต่ร่องรอยไม่ชัดเท่าไหร่ แต่แปลกที่ไม่มีของมีค่าอะไรหาย นอกจากกระเป๋าเอกสารที่คุณลาภิณเอากลับมาเมื่อวาน”
เจติยาอึ้งไป ก่อนจะมีสีหน้าโกรธ “งั้นเจก็พอจะเดาได้แล้วล่ะค่ะว่าเป็นฝีมือใคร” เจติยามีสีหน้าชิงชัง
“พี่ว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุปเลยนะเจ รอฟังผลพิสูจน์หลักฐานต่างๆให้ชัดเจนก่อนดีกว่า”
เจติยาได้แต่ถอนใจออกมาก่อนจะมองหาไปรอบๆ “แล้วคุณลาภิณล่ะคะ”
นวัชชะงักไปเล็กน้อยเพราะกำลังอยู่ในช่วงทำใจ
“คุณต้นอยู่ในห้องทำงาน พอตำรวจสอบปากคำเสร็จก็เก็บตัวเงียบเลย” ทวีบอก
“คงยังช็อคไม่หายแหละลุง เพิ่งจะเสียคุณพ่อไปหยกๆ นี่คุณแม่ก็มาเสียไปอีกคน แฟนก็ดันมาทิ้งอีก”
ทวีรีบปราม “ผีเจาะปากมาพูดจริงๆ เลยไอ้เจ้านี่”
นวัชแขวะลอยๆขึ้นมา “สำคัญตรงเลิกกับแฟนนี่ล่ะ กำลังใจไม่เหลือกันพอดี”
เจติยาเหล่มองนวัชเล็กน้อย “เจไปหาคุณลาภิณก่อนนะคะ” เจติยาเดินเลี่ยงไป
นวัชเหล่มองตามก่อนจะถอนใจออกมาแล้วไปทำงานของตนต่อ


ลาภิณนั่งซึมอยู่คนเดียวที่เก้าอี้ทำงาน เขาพิงศีรษะพักไปกับพนักในสภาพตาแดงและเต็มไปด้วยความหดหู่ ทั้งเสียใจและรู้สึกผิดที่ทำเย็นชาและทำร้ายจิตใจแม่ แล้วแม่ก็จากไปโดยที่เขายังไม่ได้ขอโทษแม้แต่น้อย lydrydเจติยาก็มาเคาะประตูห้อง
ลาภิณถามออกไป “ใคร”
“เจเองค่ะ เข้าไปได้มั้ยคะ”
“เข้ามาสิ”
ลาภิณสูดหายใจลึกแล้วนั่งตัวตรง เขาพยายามเก็บอาการเศร้าโศกเอาไว้เพราะไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอ เจติยาเปิดประตูห้องเข้ามาด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“ฉันเสียใจด้วยนะคะ นึกไม่ถึงเลย”
ลาภิณพูดหน้านิ่ง “นั่งก่อนสิ กำลังอยากคุยด้วยอยู่พอดี”
เจติยาเดินหน้าซึมมานั่งตรงข้ามลาภิณ
ลาภิณพูดหน้าเศร้า “เธอพูดถูกแล้วล่ะ ฉันเป็นลูกที่ไม่ได้ความ เอาแต่อารมณ์ ทำให้คุณแม่ต้องเสียใจ” ลาภิณเงียบไปแล้วก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย สักพักน้ำตาของเขาก็รื้นขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “กว่าจะสำนึกตัวได้ก็สายเกินไปแล้ว”
เจติยาเข้าใจและเห็นใจ
ลาภิณน้ำตาคลอขึ้นมาเรื่อยๆ เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาเจติยา ได้แต่ถามเสียงสั่นเครือ “ตอนนี้คุณแม่อยู่ในห้องรึเปล่า”
เจติยากวาดตามองหาไปรอบๆ ห้อง
“ไม่อยู่ค่ะ แต่ฉันมั่นใจว่าวิญญาณคุณท่านต้องทราบแล้วล่ะว่าคุณรู้สึกยังไง อยากพูดอะไรกับคุณท่าน”
ลาภิณยังก้มหน้านิ่งแล้วพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านควรจะได้ยินจากปากฉันตอนยังมีลมหายใจมากกว่า” ลาภิณพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
เจติยาสงสารลาภิณจับใจ เธออดไม่ได้ที่จะลุกไปหาจับไหล่ลาภิณแล้วบีบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ ลาภิณพยายามสะกดกลั้นอารมณ์เพราะอายเจติยาแต่ก็กลั้นไม่ไหว เขาก้มหน้านิ่งเงียบแต่ตัวยังสั่นสะท้าน
ลาภิณพูดเสียงสั่น “ฉันไม่อยากอ่อนแอให้เธอเห็น”
เจติยาสัมผัสความรู้สึกได้ก็น้ำตาคลอขึ้นมา “ไม่เห็นน่าอายตรงไหนเลย แม่คุณเสียทั้งคนนะคะ ไม่มีน้ำตาซักหยดก็ใจยักษ์ใจมารไปหน่อยแล้วล่ะค่ะ”
ลาภิณก้มหน้านิ่งเงียบ
เจติยารู้ว่าลาภิณแอบร้องไห้อยู่จึงตัดสินใจจะเดินเลี่ยงออกไป “ฉันออกไปข้างนอกก่อนดีกว่านะคะ”
เจติยาจะเดินออกไป แต่ลาภิณคว้ามือเจติยาแล้วจับไว้แน่น เจติยาหันกลับมา ลาภิณค่อยๆ เงยหน้าให้เจติยาเห็น น้ำตาของลาภิณค่อยๆไหลซึมออกมา

ลาภิณเงยหน้าสบตาเจติยาด้วยน้ำตาซึมและสายตาอ้อนวอน “กอดฉันไว้ได้มั้ย”
เจติยาใจอ่อนยวบด้วยความสงสารจับใจ น้ำตาของเธอเอ่อตามขึ้นมาก่อนจะตรงเข้าไปสวมกอดลาภิณเอาไว้
ลาภิณกอดเจติยาไว้แน่นแล้วพูดเสียงสั่นเครือ “อย่าทิ้งฉันไปเลยนะ ฉันไม่เหลือใครแล้วจริงๆ”
เจติยาไม่ตอบอะไรได้แต่ร้องไห้ออกมาแล้วสวมกอดลาภิณเอาไว้แน่น
ลาภิณกอดกระชับเจติยาอย่างหวงแหน น้ำตาของเขาไหลต่อเนื่องด้วยความรู้สึกอ้างว้างเหมือนเหลือตัวคนเดียวในโลก


กระดาษเอกสารกำลังถูกไฟเผาในถังปูนจนลุกไหม้เป็นจุล พิสัยมองดูอยู่ด้วยสีหน้าสาแก่ใจ ปราณเดินเข้ามาทางด้านหลัง
ปราณยิ้ม “ต่อไปก็ไม่มีหลักฐานให้ใครมาจับแกเข้าคุกได้อีกแล้ว”
พิสัยเหลือบตามองปราณ
“สบายใจได้แล้ว” ปราณบอก
พิสัยหน้าบึ้งตึงด้วยความไม่พอใจ “แต่ฉันต้องแลกมันด้วยการฆ่าพี่สาวตัวเองกับมือ”
“ช่วยไม่ได้ ฉันเตือนแกแล้วไงว่ามีเวลาแค่สิบนาที แกอยากช้าเอง มันก็เลยต้องเป็นอย่างงี้ แต่แกอย่าคิดมากไปเลย ถ้าแกไม่ทำ ชูจิตก็ต้องเอาแกเข้าคุกแน่ๆ ยังไงเค้าก็ไม่มีวันเห็นแกดีไปกว่าลูกในไส้เค้าหรอก”
พิสัยขบกรามแน่น ตาของเขาแดงกล่ำด้วยความเสียใจ “ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้ต้น ถ้ามันไม่เกิดมา นิราลัยก็ต้องเป็นของฉัน แล้วฉันก็ไม่ต้องถลำลึกจนต้องฆ่าพี่จิตตายกับมือ” พิสัยมีน้ำตาเอ่อท่วมขึ้นมาปราณยื่นมือมาตบบ่าพิสัย “เรื่องมันผ่านไปแล้ว คิดถึงความรุ่งโรจน์ของแก หลังจากได้เป็นเจ้าของกล่องรากบุญจะดีกว่า”
พิสัยเหลือบตามองปราณอีกครั้ง
“แต่แกก็ต้องทำให้เจติยาสละความเป็นเจ้าของกล่องให้ได้อย่างที่แกโม้ไว้ซะก่อน”
“ฉันทำได้แน่ แกคอยดูไปก็แล้วกัน” พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์ด้วยความมั่นใจ
ปราณจับตามองพิสัยแล้วสะแหยะยิ้มร้ายกับเจ้าของกล่องคนใหม่ที่เลวถูกใจเขามากที่สุด


ปริมกำลังอ่านข่าวออนไลน์จากไอแพดอยู่ โดยมีพิสัยนั่งดื่มกาแฟอยู่ใกล้ๆ
ปริมอ่านข่าวชูจิตแล้วยิ้มสะใจ “เสียดาย น่าจะตายเร็วกว่านี้ ไม่งั้นฉันก็ไม่ต้องมีปัญหากับคุณต้นหรอก” ปริมวางไอแพดลง
พิสัยเคือง “พูดอย่างงี้จะดีเหรอ”
ปริมเบะปากไม่พอใจ “ที่คุณต้นไม่พอใจฉัน จริงๆ ก็เพราะพี่สาวคุณนั่นแหละเป็นตัวการ”
พิสัยถอนใจ “คนตายไปแล้วน่า อโหสิให้พี่จิตเค้าเถอะ”
ปริมรำคาญ “มีอะไรก็รีบพูดมา ฉันไม่มีเวลาทั้งวันหรอกนะ”
“ฉันมีเรื่องอยากรบกวนเธอหน่อย พ่อเธอรู้จักนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เยอะไม่ใช่เหรอ”
ปริมระแวง “อย่าดึงพ่อฉันมาเกี่ยวด้วยเลย”
พิสัยเสียงแข็ง “ฟังก่อนได้มั้ย ฉันแค่อยากจะชี้เบาะแสเรื่องยาเสพย์ติดให้ก็เท่านั้นเอง”
“อย่างนายเนี่ยนะอยากจะทำความดี” ปริมยิ้มดูถูก “น่าจะค้ายาซะเองมากกว่า”
พิสัยหงุดหงิด “เลิกกวนประสาทได้แล้วน่ะ ถ้าเธอช่วยฉัน ก็เท่ากับเธอได้เล่นงานเจติยาไปด้วย ไม่ช่วยก็ตามใจ”
ปริมสนใจขึ้นมาทันที “คุณมีแผนการอะไร”
พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์เพราะแค่บอกจะเล่นงานเจติยาเท่านั้นปริมก็กินเหยื่อทันที

นทีขี่รถมอเตอร์ไซค์มาจอดรอที่หน้าบริษัทหนึ่ง สักพักลูกน้องของพิสัยก็เดินเข้ามาหา
ลูกน้องเปิดหมวกกันน็อคแล้วคุย “แกส่งงานครบแล้วเหรอ”
“ครับพี่” นทีตอบ
“ออฟฟิศโทรให้พี่ไปรับงานด่วนเลย แกช่วยเอาของไปส่งต่อแทนพี่ทีสิ ไปตามที่อยู่ในแผนที่นี่แหละ ไม่หลงหรอก” ลูกน้องพิสัยยื่นกล่องกระดาษ กับเศษกระดาษเขียนที่อยู่แผนที่ให้
นทีรับกล่องกับเศษกระดาษมาดู “ได้ครับพี่ เดี๋ยวผมจัดการให้”
ลูกน้องพิสัยตบบ่านที “ขอบใจโว้ย ค่ำๆ พี่เลี้ยงข้าว”
นทียิ้ม “ขอบคุณครับ”
นทีเอากล่องมาผูกเพื่อกันตกอย่างระวัง ลูกน้องพิสัยเหล่มองนทีแล้วก็สะแหยะยิ้มออกมา


นทีขี่มอเตอร์ไซค์มาเจอด่านตรวจของตำรวจ ตำรวจโบกให้นทีจอด
“ขอดูใบขับขี่ด้วยครับ”
นทีหยิบใบขับขี่ยื่นให้ตำรวจ “นี่ครับ”
ตำรวจอีกคนเดินตรวจรถมอเตอร์ไซค์ของนทีไปรอบๆ ก่อนจะพยักหน้าส่งซิกให้ตำรวจคนแรก
ตำรวจคนแรกหันไปพูดกับนทีพร้อมทั้งคืนใบขับขี่ให้ “ขอค้นหน่อยนะน้อง”
“ได้ครับ”
นทีลงจากมอเตอร์ไซค์พร้อมถอดหมวกกันน็อคแล้วปล่อยให้ตำรวจทั้งสองตรวจค้นตัวและค้นรถ
“นี่กล่องอะไร” ตำรวจถาม
“ไม่ทราบครับ ผมไปส่งของให้ลูกค้าแทนพี่ที่ทำงานครับ” นทีบอก
ตำรวจนายนั้นบอกตำรวจอีกนาย “เปิดดูซิ”
ตำรวจหยิบกล่องขึ้นมา พอเปิดกล่องออกก็เป็นหนังสือตำราปกแข็งหนาๆ นทีมองดูก็ยิ้มสบายใจแล้วก็จะสวมหมวกกันน็อค ตำรวจอีกนายเปิดหนังสือออกดูก็ตกใจเมื่อพบว่าหนังสือเล่มหนาถูกเจาะเป็นช่องตรงกลางและใส่ซองยาบ้าซ่อนเอาไว้ ตำรวจรีบล็อคตัวนทีไว้ทันที นทีตกใจมากจนช็อคและงงไปหมด

พิสัยกำลังดูรูปสเก็ตหน้าลูกน้องขงตัวเองอยู่ต่อหน้าตำรวจ โดยมีนทีนั่งอยู่ใกล้ๆ
พิสัยส่ายหน้า “ไม่มีครับ พนักงานในบริษัทผมไม่มีใครหน้าตาแบบนี้เลย”
นทีตกใจมาก “ดูดีๆสิครับคุณพิสัย จะไม่มีได้ยังไง วันนี้ทั้งวันผมทำงานอยู่กับพี่เค้านะครับ”
พิสัยตีหน้าตาย “ก็มันไม่ใช่พนักงานของฉัน จะให้ฉันรับว่าใช่ได้ยังไงล่ะ คุณตำรวจจะไปตรวจดูประวัติพนักงานของบริษัทก็ได้นะครับ บริษัทผมไม่มีพนักงานหน้าตาแบบนี้”
นทีโวยลั่น “ต้องมีสิครับ เค้าเป็นคนให้ผมเอากล่องใบนี้ไปส่งแทน ผมไม่รู้จริงๆนะครับว่าข้างในมีอะไร คุณพิสัยต้องเชื่อผมนะครับ”

รากบุญ ตอนที่ 11 (ต่อ)
พิสัยแกล้งถอนใจแล้วปั้นหน้าเครียด “โดนจับได้คาหนังคาเขาขนาดนี้แล้ว ยอมรับซะเถอะนที”
นทีอึ้งไป
“ฉันผิดหวังกับนายจริงๆ ให้โอกาสคนผิดแท้ๆ” พิสัยส่ายหน้า
นทีสติแตกจึงโวยลั่น “ผมไม่ได้ทำจริงๆ นะครับคุณพิสัย เชื่อผมบ้างสิ ผมไม่ได้ทำ ผมถูกใส่ร้าย”
ตำรวจหันไปสั่งลูกน้อง “พาออกไปสงบสติอารมณ์ก่อนไป”
ตำรวจอีกคนรีบล็อกตัวนทีแล้วพาออกไปจากห้องในขณะที่นทีร้องโวยวาย
นทีร้องโวยวายขณะถูกลากออกไป “ผมไม่ได้ทำ ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่รู้เรื่อง”
พิสัยชำเลืองมองตามไปด้วยสีหน้าแววตาสะใจ

มยุรีกอดประตูห้องขังแล้วร้องไห้ที่ลูกชายโดนขัง เธอจับมือนทีเอาไว้แน่น ส่วนเจติยายืนหน้าเครียดมองดูอยู่ใกล้ๆ
นทีพูดกับแม่ทั้งน้ำตา เขาจับมือแม่แน่น “แม่ต้องเชื่อผมนะครับ ผมไม่ได้ทำจริงๆ ผมถูกพวกมันใส่ร้าย”
มยุรีร้องไห้ก่อนจะพยักหน้ารับ “แม่เชื่อลูกอยู่แล้ว แม่เลี้ยงเรามา ทำไมจะไม่รู้ว่าลูกแม่เป็นคนยังไง มีเรื่องชกต่อยแม่อาจจะเชื่อ แต่ค้ายาเสพย์ติด ไม่มีทางเป็นไปได้” มยุรีร้องไห้ออกมา
นทีก็น้ำตาไหล “ขอบคุณครับแม่”
มยุรีกอดนทีผ่านซี่ลูกกรงห้องขัง
ทันใดนั้นนวัชและนิษฐาก็เดินหน้าเครียดเข้ามาหา
เจติยาร้อนใจ “ได้เรื่องยังไงบ้างคะพี่หมวด”
นวัชหน้าเครียด “ตำรวจเค้าไม่ได้จับนทีได้โดยบังเอิญหรอกนะ แต่มีคนแจ้งเบาะแสไป ทั้งรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ แล้วก็รูปร่างหน้าตา ตรงกับนทีหมด ตำรวจเค้าก็เลยเข้าจับกุม”
นทีโวยลั่น “ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ นะพี่หมวด ผมถูกใส่ร้ายๆ พี่ต้องช่วยผมนะครับ”
นิษฐาปลอบใจ “ใจเย็นๆ นะนที พี่ปรึกษากับทนายของมูลนิธิแล้วเค้ากำลังหาทางช่วยนทีอยู่ นทีไม่ต้องกลัวนะ”
นทีโวยลั่นด้วยความเจ็บใจ “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมถูกพวกมันหลอกใช้”
เจติยาปราม “เลิกโวยวายได้แล้วนที พวกเราทุกคนเชื่อว่าเราไม่ได้ทำ แต่มันก็ต้องมีพยานหลักฐานอะไรไปหักล้าง โวยวายไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก”
นทีจ๋อยไป ทันใดนั้นนทีก็เหลือบไปเห็นพิสัยเดินออกมาจากข้างในโรงพัก
นทีลุกขึ้นมาเขย่ากรงแล้วชี้หน้า “แกใส่ความฉันทำไม”
ทุกคนหันไปก็เห็นพิสัยหยุดมองมาด้วยสีหน้าท่าทางกวนๆ
“อ้าว พูดจากับผู้มีพระคุณยังงี้ได้ยังไงล่ะนที” พิสัยพูด
นทีโมโหมาก “แกหลอกใช้ฉันส่งยา”
“อ้าวไอ้น้อง หาคุกให้ฉันซะแล้ว ชาวนากับงูเห่าแท้ๆ” พิสัยส่ายหน้า “ฉันพยายามจะไม่ถือสาแกก็แล้วกัน แค่คดียาเสพย์ติดก็หมดอนาคตแล้ว อย่าต้องพ่วงคดีหมิ่นประมาทเพิ่มเข้าไปอีกเลย” พิสัยยิ้มเยาะก่อนจะเดินจากไป
นวัชจับตามองพิสัยอย่างจับสังเกต เจติยายิ่งสงสัยหนักเลยเดินตามพิสัยไปทันที
นิษฐาเป็นห่วงเพื่อน “เจ รอด้วย”
นิษฐารีบเดินตามเจติยาไปทันที

พิสัยกำลังจะเปิดประตูรถที่จอดอยู่หน้าโรงพัก เจติยาเดินเข้ามาหาพิสัย โดยมีนิษฐาเดินตามมาติดๆ
เจติยาโกรธจัด “คุณต้องการอะไรกันแน่”
พิสัยปั้นยิ้มแล้วตีหน้าตาย “ทำไมถามฉันแบบนี้ล่ะ”
เจติยาตวาดใส่หน้า “เลิกเล่นละครได้แล้ว คุณก็รู้อยู่แก่ใจ คุณจัดฉากใส่ความนทีทำไม”
นิษฐาจับแขนเจติยาเอาไว้
พิสัยยิ้มกวน “แล้วเธอคิดว่าฉันทำไปทำไมล่ะ”
เจติยาจะพุ่งเข้าไปด้วยความโกรธจัด “ฝีมือคุณจริงๆด้วย”
นิษฐาจับตัวเพื่อนเอาไว้ “อย่าวู่วามสิเจ”
“คุณต้องการอะไร พูดมาตรงๆเลยดีกว่า” เจติยาถาม
พิสัยยิ้ม “อีกไม่นานก็คงมีคนบอกเธอเองแหละ ว่าต้องทำยังไงบ้าง”
เจติยามีสีหน้าสงสัย
พิสัยยื่นหน้ามาใกล้เจติยาแล้วจ้องตา “ถึงตอนนั้น ก็ขอให้เธอคิดให้รอบคอบก็แล้วกัน”
พิสัยสะแหยะยิ้มก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกไป
นิษฐาสงสัย “มันต้องการอะไรของมัน” นิษฐามีสีหน้าหงุดหงิด
เจติยาใช้ความคิดเพราะยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย

ภายในห้องจัดงานสวดศพของชูจิตซึ่งจัดห้องเหมือนงานศพของสารัชไม่มีผิดเพี้ยน แขกเหรื่อมามากมายแต่งชุดขาวมาร่วมงานกัน ลาภิณคอยต้อนรับแขกที่มางานด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ในขณะที่โอ้เอ้และพนักงานคนอื่นๆ คอยเสิร์ฟน้ำและบริการแขกเหรื่อในงาน สักพักทวีก็เดินเข้ามาหาลาภิณ
“เจโทรมาหาผม ฝากขอโทษคุณต้นด้วยที่วันนี้มาช่วยงานไม่ได้ นทีถูกตำรวจจับน่ะครับ” ทวีบอก
ลาภิณมีสีหน้าเป็นห่วง “อ้าว ไปก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ”
“เจบอกว่านทีถูกใส่ร้ายน่ะครับ”
ลาภิณเคืองเพราะเป็นห่วง “ทำไมเค้าไม่โทรหาผมเอง”
“คงเกรงใจเห็นคุณต้นยุ่งเรื่องงานคุณท่านอยู่มั้งครับ”
ลาภิณถอนใจแล้วส่ายหน้า “เกรงใจอะไรไม่เข้าท่า” ลาภิณจะกดโทรศัพท์เพื่อโทรออก
ทันใดนั้นปริมในชุดขาวสะอาดตาก็เดินเข้ามาหาเขา
ปริมปั้นหน้าเศร้า “เสียใจด้วยนะคะคุณต้น”
ทวีล่าถอยแล้วเดินเข้าไปในห้องจัดงาน
ลาภิณปั้นยิ้มรับ “ขอบใจนะปริมอุตส่าห์มา”
“ยังไงปริมก็ต้องมาค่ะ” ปริมมองเข้าไปในงาน “จัดห้องเหมือนตอนงานคุณพ่อเลยนะคะ”
ลาภิณหน้าขรึมลง “ผมคิดว่าคุณแม่คงชอบ”
ปริมจับมือลาภิณ “อะไรที่เป็นการตัดสินใจของคุณท่านต้องชอบอยู่แล้วล่ะค่ะ”
ลาภิณดึงมือออกแล้วตัดบท “ปริมเข้าไปไหว้ศพคุณแม่ก่อนเถอะ”
ปริมแอบชักสีหน้าหมั่นไส้ก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าไปด้านใน ลาภิณยกมือไหว้แขกผู้ใหญ่ที่เพิ่งมาถึงแล้วพาเดินเข้าไปด้านใน ทวีพาปริมไปไหว้ศพ โดยเขาช่วยจุดธูปให้ ปริมรับธูปมาพนมยกมือไหว้ศพชูจิตเพื่อขอขมาศพ ขณะกำลังจะปักธูปอยู่ดีๆ ก็มีมือซีดๆ มือหนึ่งมาจับข้อมือปริมไว้ไม่ยอมให้ปักธูป ปริมเงยหน้าขึ้นมอง ก็ตกใจแทบช็อคเมื่อเห็นผีชูจิตหน้าตาโกรธเกรี้ยวกำลังยืนคร่อมหัวจับมือของเธอไว้
ปริมตกใจสุดขีดจนกรีดร้องออกมาสุดเสียง แขกเหรื่อในงานตกใจ ทุกคนมองมาที่ปริมก็เห็นปริมยกมือถือธูปยื้อไปยื้อมาอยู่คนเดียว
ปริมหวาดกลัวมาก “ไป อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันกลัวแล้ว”
ลาภิณรีบเข้ามาดูทันที
ลาภิณถามด้วยความตกใจ “เป็นอะไรไปปริม”
ปริมเข้าไปกอดลาภิณด้วยความกลัวสุดๆ “ช่วยด้วยค่ะคุณต้น คุณแม่ จับมือปริมไม่ให้ปักธูปค่ะ”
แขกเหรื่อในงานต่างส่งเสียงฮือฮากับความเฮี้ยนของชูจิตแล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์ยกใหญ่
โอ้เอ้รีบเข้ามาเบียดลุงทวีด้วยความกลัวจนจับใจ โอเอ้ทำตาเบิกกว้าง “นี่คุณท่านเฮี้ยนขนาดนี้เลยเหรอลุง” โอเอ้ยกมือท่วมหัว “พุทโธ ธรรมโม สังโฆ”
ทวีดุ “ไอ้โอ้เอ้ พูดมาก แขกเหรื่อกลัวกันหมดแล้วไม่เห็นรึไง”
ลาภิณเห็นแขกกลัวก็หงุดหงิดจึงดึงมือปริมออกไป “ออกมากับผมเลยปริม”
ลาภิณลากแขนปริมพาออกไปจากงานทันที
แขกเหรื่อยังคงนั่งวิพากษ์วิจารณ์กันด้วยสีหน้ากลัวๆ โดยที่ไม่มีใครเห็นว่าวิญญาณชูจิตกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ว่างท่ามกลางแขกพร้อมกับหันไปมองตามลาภิณด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่แววตาโกรธเพราะไม่พอใจปริมมาก


ลาภิณลากปริมออกมาต่อว่าที่ด้านนอกซึ่งลับตาคน
“คุณจะมาสร้างความวุ่นวายอะไรอีก”
“เปล่านะคะ” ปริมปฏิเสธ
“คุณยังกล้าพูดว่าเปล่าอีกเหรอะ คุณกำลังทำให้ทุกคนคิดว่าแม่ผมเป็นวิญญาณผีร้ายไปแล้ว”
“ก็ปริมเห็นจริงๆนี่คะ”
ลาภิณตัดบท “คุณกลับไปซะเถอะ”
ปริมอึ้ง “คุณต้น”
“ถ้าคุณพูดจริงก็แสดงว่าแม่ไม่ต้องการให้คุณอยู่ในงานของท่าน ขอบคุณมากที่มา ผมไม่ส่งนะครับ” ลาภิณเดินหน้าเครียดกลับเข้าไปในงาน
ปริมจิกตามองตามลาภิณไปด้วยสีหน้าแววตาเจ็บใจและอยากเอาชนะ


เจติยา มยุรี และนทีที่เพิ่งได้รับการประกันตัวกลับเข้าบ้านมาตอนกลางคืน
เจติยาพูดเสียงดุ “อย่าไปก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ เก็บตัวอยู่กับบ้านเข้าใจมั้ย”
นทีเดินเลี่ยงขึ้นชั้นบนไปโดยไม่โต้ตอบอะไร
มยุรีมองตามนทีแล้วก็สงสารลูกชาย เธอหันมาพูดกับเจติยา “น้องกำลังขวัญเสีย พูดกับน้องดีๆ หน่อยสิเจ”
เจติยาเซ็ง “เจพูดไม่ดีตรงไหนคะ แค่บอกว่าอย่าออกไปก่อเรื่องอีกก็เท่านั้นเอง”
“เพิ่งโดนตำรวจจับเข้าห้องขังมายังงี้ น้องเข็ดขยาดแล้วล่ะ” มยุรีมีสีหน้าซึมเศร้าขึ้นมา “นี่ถ้าไม่ได้หมวดนวัชช่วยออกหน้า น้องคงต้องนอนในห้องขังแน่ๆ เลย” มยุรีน้ำตาคลอด้วยความสงสารนที
เจติยาเห็นแม่จะร้องไห้ก็สงสารและเข้าใจแม่ จึงยื่นมือไปจับกุมมือแม่เอาไว้

เจติยาเดินกลับเข้าห้องนอนมาสีหน้าเหนื่อยใจ เธอเดินมานั่งที่โต๊ะทำงานแล้วเปิดลิ้นชักหยิบกล่องรากบุญขึ้นมาวางบนโต๊ะทำงาน ขณะที่วิญญาณชูจิตมายืนอยู่ด้านหลังเจติยาแล้ว
“กล่องรากบุญใช่มั้ย” ชูจิตถาม
เจติยาสะดุ้งแล้วหันไปมองด้วยอาการตกใจสุดตัว เธอลุกขึ้นยืนห่างๆ “คุณท่าน”
“ไม่ต้องกลัวฉันหรอก”
เจติยามองไปที่กล่องรากบุญ “นี่ล่ะค่ะกล่องรากบุญ”
“มหัศจรรย์จริงๆ กล่องใบเล็กนิดเดียว แต่กลับบันดาลได้ทุกอย่าง”
“แต่ถ้ามันตกไปอยู่ในมือของคนร้าย ก็จะเป็นโทษนะคะ”
ชูจิตหันมายิ้มบางๆให้เจติยา “คุณสารัชถึงได้ยกกล่องใบนี้ให้เธอเพราะเค้ามั่นใจว่าเธอจะไม่มีวันใช้มันในทางที่ผิดเด็ดขาด”
เจติยายิ้มตอบ

ชูจิตหน้าขรึมลง “ฉันอยากมาขอให้เธอช่วยตาต้น”
เจติยาถอนใจออกมา “ถ้าจะให้คุณลาภิณปลอดภัย ก็ต้องให้คุณพิสัยรับโทษ”
“บอกความจริงกับตำรวจว่าพิสัยเป็นคนฆ่าฉัน” ชูจิตบอก
เจติยาตกใจมาก “เค้าเป็นคนทำจริงๆ เหรอคะ” เจติยาไม่พอใจ “จิตใจเค้าทำด้วยอะไร”
ชูจิตน้ำตาท่วมขึ้นมาด้วยความเจ็บช้ำ
เจติยาพูดหน้าเครียด “แต่ตอนนี้เราไม่เหลือหลักฐานอะไรเล่นงานเค้าได้เลยนะคะคุณท่าน”
“ถึงเค้าจะฆ่าฉัน แล้วก็ทำลายหลักฐานของคุณปุ่นไปแล้ว แต่ก็ยังมีหลักฐานสำคัญอีกอย่างนึงที่เอาผิดเค้าได้แน่นอน”
เจติยาสนใจขึ้นมาทันที “หลักฐานอะไรคะ”
“ศพของฉันยังไงล่ะ” ชูจิตบอก
“ยังไงคะ”
ทันใดนั้นก็มีลมแรงพัดจู่โจมเข้าทางหน้าต่างห้อง วิญญาณชูจิตมีสีหน้าตกใจกลัวแล้วจางหายไป
“คุณท่าน” เจติยากวาดตามองหา
ลมสงบลง เจติยาเดินไปมองทางหน้าต่างก็เห็นปราณยืนอยู่บนกำแพงรั้วบ้าน เขาเงยหน้าจ้องเขม็งมาที่เจติยา ปราณมองมาทางเจติยา แล้วยิ้มร้ายๆ เหมือนรู้ว่าเจติยากำลังมองเขาอยู่เช่นกัน เจติยามีสีหน้าตัดสินใจก่อนจะรีบออกไปจากห้อง


เจติยาวิ่งออกมาจากบ้านแล้วมายืนชะเง้อดูที่กำแพงรั้วแต่ก็ไม่เห็นปราณแล้ว เงาปราณผ่านทางหางตาเจติยาไปที่ถนนหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว เจติยาวิ่งตามออกไปกวาดตามองหาแต่ก็ไม่เห็นใครนอกจากซอยมืดๆ
“แน่จริงอย่าหนีสิ”
เจติยาเห็นหลังปราณเดินพ้นมุมซอยไป เธอวิ่งกวดตามไป พอเลี้ยวหัวซอยก็ต้องเบรกสุดตัวเมื่อเห็นปราณ ยืนจังก้าด้วยใบหน้าดุดันรออยู่แล้ว
เจติยาจ้องหน้า “คุณต้องการอะไรจากฉัน”
ปราณทำสีหน้าดูถูก “เธอน่าจะรู้ดี ว่าคนอย่างเธอครอบครองของมีค่าอะไรไว้ทั้งๆ ที่เธอไม่คู่ควรกับมัน”
เจติยาเดาได้ไม่ยาก “กล่องรากบุญใช่มั้ย”
ปราณเดินเข้าหา “คราวนี้ฉันมีข้อต่อรอง ถ้าเธอยอมสละความเป็นเจ้าของกล่อง ฉันจะช่วยน้องชายเธอ”
เจติยานึกไม่ถึง “คุณรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ” เจติยาฉุกคิด “รึว่าคุณร่วมมือกับคุณพิสัย” เจติยาเริ่มมั่นใจ “ไม่น่าล่ะ เค้าถึงได้บอกฉัน ว่าจะมีคนมาคุยกับฉันเอง ที่แท้ก็คุณนี่เอง”
ปราณยิ้มพอใจ “ฉลาดมากเจติยา ถ้าเธอมีความโลภซักหนึ่งในสิบที่พิสัยมี เธอจะเป็นเจ้าของกล่องรากบุญที่สมบูรณ์แบบที่สุด” ปราณส่ายหน้าช้าๆ “น่าเสียดาย”
เจติยาไม่พอใจ “ไม่ต้องมาเสียดายหรอก ยิ่งรู้อย่างงี้ ฉันยิ่งไม่มีวันยกกล่องรากบุญให้เด็ดขาด ถ้าคนอย่างนายพิสัยได้กล่องไป จะมีแต่คนต้องเดือดร้อน”
“แสดงว่าเธอทนเห็นคนในครอบครัวต้องเดือดร้อนแทนได้งั้นสิ”
เจติยาอึ้ง
“ฉันเคยบอกแล้วไง ว่ายิ่งเธอยื้อกล่องไว้นานเท่าไหร่ คนรอบตัวเธอ ก็ยิ่งเดือดร้อนมากขึ้นเท่านั้น” ปราณบอก
เจติยาโมโหมาก “พวกแกรังแกเด็ก รังแกผู้หญิง รังแกคนแก่ แกยังมีจิตใจเป็นคนอยู่รึเปล่า”
ปราณยิ้มร้าย “แล้วใครว่าฉันเป็นคนล่ะ”
พูดจบปราณก็พุ่งเข้าใส่เจติยาอย่างรวดเร็ว เจติยาตกใจยกมือขึ้นป้องกันจนร่างของปราณแตกกระจายเป็นอณูดำๆ แล้วหายไป เจติยาหน้าตาตื่นตกใจ เธอกวาดตามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นใครนอกจากความมืด


เจติยาเข้ามาคุยกับทวีที่เข้าเวรอยู่ที่บริษัทตอนกลางคืน
ทวีเครียดแทน “ลุงก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย”
“น่ากลัวจังเลยนะคะลุง” เจติยาบอก
“ลุงว่าที่คุณพิสัยแคล้วคลาดมาได้ตลอด นายคนนี้อาจจะอยู่เบื้องหลังก็ได้ หนูเจต้องระวังตัวให้มากขึ้นนะ”
“ค่ะลุง”
ทวีนึกขึ้นได้ “เออ ตั้งแต่ลุงรู้จักกับกล่องรากบุญมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่วิญญาณมาขอความช่วยเหลือพร้อมกันสองเรื่องยังงี้เลยนะ ลุงว่ามันไม่ธรรมดาแล้วล่ะ”
“อาจจะเป็นเพราะมีเป้าหมายเดียวกันก็ได้มั้งคะลุง ทั้งคุณท่านกะปองย้งก็ต้องการจัดการกับคุณพิสัยทั้งนั้น”
ทวีพยักหน้ารับ “ก็เป็นไปได้นะ” ทวีสงสัย “แล้วถ้าหนูเจทำตามคำร้องขอได้ครั้งนี้ จะได้ดาวทุกข์ทีเดียวพร้อมกันสองดวงเลยรึเปล่าก็ไม่รู้นะ”
เจติยาอึ้งไปเพราะเธอก็ไม่ทันได้คิดเหมือนกัน


เจติยากำลังคุยกับนวัชและนิษฐาอยู่ที่โซฟารับแขกบ้านนวัชในช่วงบ่ายวันใหม่
นวัชเล่าให้ทุกคนฟัง “คุณชูจิตคงจะต่อสู้ จนจิกเล็บเข้าไปในตัวคนร้าย ทำให้เศษเนื้อเยื่อติดอยู่ในเล็บ หลักฐานชิ้นนี้ถือว่าสำคัญมาก”
“ถ้าเราพิสูจน์ดีเอ็นเอได้ก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาแล้วนะเจ” นิษฐาบอก
เจติยาดีใจมากจึงพึมพำออกมาเบาๆ “นี่เองที่คุณท่านบอก”
“เจว่าอะไรนะ”
เจติยารีบเปลี่ยนเรื่อง “ไม่มีอะไรหรอก เออ แล้วเรื่องนทีมีความคืบหน้าบ้างรึยังคะพี่หมวด”
“พี่กำลังให้ลูกน้องช่วยตามจับพนักงานที่หลอกนทีส่งยาบ้าอยู่ ถ้ามีตัวตนจริง พี่ว่าน่าจะพอหาตัวได้ไม่ยาก”
“ฐาเชื่อว่านทีไม่ได้โกหกหรอกค่ะ ขอให้หาตัวเจอทีเถอะ สงสารน้อง”
มยุรีเดินหน้าตาตื่นเข้ามาตามทุกคน
“เจ นทีหายไปไหนก็ไม่รู้ เก็บเสื้อผ้าไปหมดเลย น้องต้องหนีไปแน่ๆ” มยุรีหน้ามืด
“แม่” เจติยารีบวิ่งไปประคอง
ทุกคนตามไปช่วยด้วยความตกใจ

ลาภิณขับรถมาหาเจติยา เมื่อขับมาถึงหน้าปากซอยเขาก็เห็นนทีกำลังสะพายเป้ใหญ่ และถือกระเป๋าผ้าใส่ของ สวมหมวกแก๊ป รอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ลาภิณจำได้ก็ปาดรถเข้าเทียบทันที นทีเงยหน้ามองด้วยความตกใจ
ลาภิณกดกระจกลงแล้วถาม “จะไปไหนนที”
นทีตัดสินใจวิ่งเตลิดหนีเข้าซอยถัดไปทันที
ลาภิณงงแต่คิดว่าไม่ดีแน่จึงถอยรถอย่างเร็วให้พ้นป้ายรถเมล์แล้วจอดรถพร้อมเปิดไฟฉุกเฉิน ก่อนจะวิ่งลงจากรถพร้อมกดรีโมทล็อค แล้ววิ่งกวดตามนทีไป นทีหันมามองแล้วก็พยายามวิ่งหนีแต่ไม่ถึงไหนเพราะสัมภาระเยอะ ลาภิณวิ่งกวดไปจนทันแล้วคว้าตัวนทีเอาไว้ได้
นทีเจ็บใจ “ปล่อยผม”
ลาภิณล็อคตัวนทีไว้แน่นจนนทีหนีไม่ได้ นทีเซ็งมาก


นทีนั่งจ๋องอยู่ข้างๆ สัมภาระที่เก้าอี้นั่งเล่นในสวนสาธารณะหลังจากระบายความในใจกับลาภิณจนหมด ลาภิณเดินตามมานั่งข้างๆ
“งั้นพี่จะเล่าเรื่องของพี่ให้ฟังมั่ง” ลาภิณบอก
นทีชำเลืองมองลาภิณเล็กน้อย
ลาภิณหน้าขรึมลง “ตั้งแต่พี่จำความได้ พี่ก็ถูกเปรียบเทียบกับน้าพิสัยมาตลอดเหมือนกัน ไม่ว่าจะเรื่องเรียน กีฬา เรื่องงาน”
นทีไม่เข้าใจ “น้ากับหลานจะเอามาเปรียบเทียบกันทำไม”
“เราอายุไม่ต่างกันเท่าไหร่ แล้วแม่พี่ก็เลี้ยงเค้าเหมือนลูกอีกคน จริงๆ พี่กับเค้าก็ไม่ต่างกับพี่น้องกันซะเท่าไหร่หรอก”
นทีพยักหน้ารับ “แล้วไงต่อครับ”
“น้าพิสัยเค้าทำทุกอย่างได้ดีกว่าพี่มาตลอด”
“เหมือนผมกับพี่เจเลย”
“ใช่ พี่ถึงบอกว่าเราหัวอกเดียวกันไง จะฟังต่อมั้ย”
นทีพยักหน้ารับ
“พี่อดที่จะรู้สึกไม่ได้ ว่าตัวเองเป็นแค่คนห่วยๆ ทำอะไรก็ล้มเหลวไปซะหมด”
นทีถามด้วยสีหน้าเข้าใจและเห็นใจ “แล้วพี่ทำยังไงให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นล่ะครับ”
ลาภิณถอนหายใจออกมา “ที่จริงพี่ก็เป๋ไปอยู่พักใหญ่นะ แต่พอคุณพ่อเสีย พี่ก็เริ่มคิดได้ ถ้าพี่ยังดูถูกตัวเองต่อไป ก็มีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปเรื่อยๆ”
นทีคิดตาม
“ทางเดียวที่จะแก้ปมนี้ให้ได้ ก็คือพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็น ว่าพี่ไม่ใช่คนห่วยแตกอย่างที่เค้าคิด”
นทียิ้มๆ “พี่ไม่ใช่ซะหน่อย ผมว่าพี่เป็นคนเก่งแล้วก็เท่ด้วย ผมยังอยากเป็นแบบพี่เลย”
ลาภิณยิ้มๆ “ขอบใจมาก”
“ผมพูดจริงนะครับ ไม่ได้ยอ”
ลาภิณหน้าเศร้าลง “แต่ถึงพี่จะพิสูจน์ตัวเองได้ ตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่ชื่นชมแล้ว พี่ไม่เหลือทั้งพ่อทั้งแม่ ไม่มีใครซักคน”
นทีเห็นใจและเงียบไปอย่างใช้ความคิด
ลาภิณพยักหน้ารับแล้วตบบ่านที “แต่เรายังมีแม่ ยังมีพี่เจคอยสนับสนุน คอยรอดูความสำเร็จอยู่นะ”
นทีชักคล้อยตามจึงอึ้งไป
ลาภิณมองหน้านที “เรายังมีเวลาแก้ไขนะนที ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อไหร่เราจะเลิกดูถูกตัวเองได้ซะที อย่าให้คิดได้ช้าเกินไปเหมือนพี่อีกคนล่ะ”
นทีมองหน้าลาภิณอย่างเข้าใจความรู้สึก
“ไม่มีอะไรจะทำให้เราภาคภูมิใจ ได้เท่ากับ เวลาที่เราเห็นพ่อกับแม่ภูมิใจในตัวเราหรอกนะนที”
นทีเงียบไปแล้วคิดตามที่ลาภิณพูด ลาภิณลุ้นว่านทีจะรับฟังตนแล้วยอมกลับบ้านหรือเปล่า


มยุรีนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โซฟาบ้านเจติยาโดยมีนิษฐาคอยบีบนวด มยุรีมองไปที่เจติยาที่กำลังโทรไปตามบ้านเพื่อนๆ ของนทีด้วยสีหน้าเครียดๆอยู่ที่มุมห้อง มยุรีหันมองไปอีกมุมก็เห็นนวัชกำลังคุยโทรศัพท์สอบถามจากเพื่อนฝูงอยู่
มยุรีเสียใจ “ทำไมนทีต้องสร้างความวุ่นวายไม่รู้จักจบจักสิ้นซะทีนะ”
“ก็ต้องรอให้พ้นวัยนี้ไปก่อนล่ะค่ะคุณแม่ เด็กที่มูลนิธิแสบยิ่งกว่านี้เยอะค่ะ” นิษฐาบอก
มยุรีถอนใจออกมา ทันใดนั้น
ลาภิณก็เดินเข้ามาที่โถงบ้าน
“ขอโทษที่เข้ามาโดยพลการนะครับ” ลาภิณยิ้มแย้ม
ทุกคนหันไปมองลาภิณด้วยสีหน้าแปลกใจ
ลาภิณยิ้ม “ผมพาเด็กหลงทางกลับมาส่งบ้านครับ” ลาภิณหันมองไปทางหน้าบ้าน
นทีเดินหน้าจ๋อยๆ เข้ามาในบ้าน
มยุรีดีใจมากจนน้ำตาท่วม “นที” นทีรีบลุกไปกอดลูกชายทันที
นทีพูดด้วยสีหน้าเสียใจ “ผมขอโทษครับแม่”
นทีหลับตากอดแม่เอาไว้แน่นด้วยความรู้สึกผิด ลาภิณมองดูสองแม่ลูกแล้วก็ยิ้มดีใจไปด้วยก่อนจะหันมองไปทางเจติยา ลาภิณกับเจติยายิ้มให้กันด้วยความรู้สึกดีๆ นิษฐาชำเลืองมองหน้านวัชที่นิ่งๆ ไปก่อนที่นวัชจะยิ้มคืนมาให้นิษฐา

เช้าวันใหม่ เจติยากำลังใช้ผ้าสะอาดเช็ดโถใส่กระดูกของชูจิตเพื่อเตรียมจะเอาไปลอยอังคาร สักพักปริมก็เดินเข้ามาในโถงบ้าน พอเห็นเจติยา ปริมก็ชักสีหน้าไม่พอใจทันที
เจติยาวางโถลงบนโต๊ะ แล้วหันไปไหว้ปริม “สวัสดีค่ะคุณปริม”
ปริมถามเสียงแข็ง “เธอมาที่นี่ทำไม”
“คุณลาภิณให้มาช่วยงานค่ะ”
ปริมจ้องหน้าด้วยความไม่เชื่อ “เหรอ...” ปริมพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “นอนบ้านเศรษฐีหลับสบายดีมั้ยล่ะ”
เจติยาพยายามสงบสติอารมณ์ “ไม่ทราบค่ะ ต้องไปถามคุณลาภิณ” เจติยาจะเดินหนีเพราะไม่อยากมีเรื่อง
ปริมอึ้งก่อนจะเดินไปกระชากไหล่เจติยา “เธอพูดยังงี้หมายความว่ายังไง”

รากบุญ ตอนที่ 11 (ต่อ)
“ก็หมายความอย่างที่พูด”
“เธอจะกวนประสาทฉันใช่มั้ย” ปริมถาม
“เปล่าค่ะ ก็คุณถามว่าบ้านนี้นอนสบายมั้ยก็ต้องไปถามคุณต้นเอาเอง เพราะฉันไม่เคยนอนค้างที่อื่นนอกจากบ้านตัวเอง”
ปริมยิ้มกวนๆ “อ๋อ ชั่วคราว ไม่ค้างคืนว่างั้นเถอะ”
เจติยารู้นัย “คุณปริม”
ทันใดนั้นเสียงลาภิณก็ดังขึ้น “ไม่มีผู้หญิงคนไหนเคยค้างบ้านนี้ทั้งนั้นล่ะ”
ทั้งสองคนหันไปมอง ลาภิณเดินหน้าบึ้งๆ ลงบันไดมา
ลาภิณจ้องหน้าปริม “ผมสงวนสิทธิ์ไว้ให้เจ้าสาวของผมคนเดียว”
ปริมเสียงแข็ง “ซึ่งไม่ใช่มันแน่ๆ” ปริมจ้องหน้าเจติยา
ลาภิณพูดตอบสั้นๆ “ครับ”
ปริมยิ้มหยันอย่างสะใจ
“ถ้าเจเค้าปฏิเสธ” ลาภิณพูดต่อ
ทั้งเจติยาและปริมต่างอึ้งกับคำพูดของลาภิณ
“ไปเจ เดี๋ยวจะสาย” ลาภิณเดินไปยกโถใส่กระดูกแล้วจะเดินนำออกไปจากบ้าน
ปริมมีสีหน้าเจ็บแค้นมาก เธอผลักเจติยาที่อยู่ใกล้ๆ จนกระเด็น
ปริมเจ็บช้ำมาก “คุณจะทำกับปริมยังงี้ไม่ได้” ปริมพุ่งเข้าไปฟาดลาภิณเต็มแรงไม่ยั้ง ลาภิณไม่ทันระวังตัว ด้วยแรงกระแทกจึงทำให้โถหลุดออกจากมือที่จับอยู่อย่างหลวมๆ ทั้งลาภิณและเจติยาต่างก็ตกใจมาก
ลาภิณอาศัยความไวปาดมือไปจับแต่ก็ไม่ทันทำให้โถกระดูกตกพื้นแล้วแตกกระจายอย่างแรงท่ามกลางความตกใจของทุกคน
ลาภิณโกรธจัดจึงอาละวาดใส่ปริม “ทำอะไรของคุณ”
ปริมหน้าแหย “ปริมขอโทษ”
ลาภิณสวนทันที “ผมไม่รับคำขอโทษ คุณเลิกสร้างความวุ่นวายให้ชีวิตผมซะทีจะได้มั้ย”
ปริมน้ำตาคลอ “คุณต้น”
“ต่อไปอย่ามาที่นี่อีก จะต้องให้บอกซักกี่ครั้ง ว่าบ้านนี้ไม่ต้อนรับคุณแล้ว”
ปริมถึงกับน้ำตาท่วมตาด้วยความช้ำใจมาก
ลาภิณตวาดเสียงดัง “ไปซิ”
ปริมหันไปมองทางเจติยาที่มองมาทางเธอด้วยสีหน้านิ่งๆ แล้วก็ยิ่งเจ็บใจที่สุด ปริมเดินฉับๆ ออกไปอย่างหัวเสีย พอปริมเดินออกไป เจติยาถึงค่อยมานั่งคุกเข่าแล้วยกมือไหว้ก่อนจะเก็บกระดูกที่กระจายออกมาเล็กน้อยใส่ห่อผ้าขาว ลาภิณเข้าไปช่วย
“ระวังเศษกระเบื้องบาดนะเจ” ลาภิณฉวยหนังสือพิมพ์มาแล้วช่วยเก็บเศษกระเบื้องชิ้นใหญ่ๆออกมาใส่หนังสือพิมพ์ไว้ก่อน
“ระวังเหยียบเถ้ากระดูกคุณท่านด้วยค่ะ” เจติยาเตือน
ปริมหยุดยืนที่หน้าประตูโถงแล้วหันไปมองทั้ง 2 คนช่วยกันหากันเก็บเถ้ากระดูกใส่ห่อผ้าขาวแล้วก็ยิ่งเจ็บแค้นใจจนทนดูไม่ได้


ปริมเดินฉับๆ ด้วยความแค้นใจเข้ามานั่งในรถแล้วก็ปิดประตูดังโครม ปริมกำมือแน่นแล้วทุบพวงมาลัยรถโครมๆๆ ก่อนจะแผดเสียงร้องออกมาอย่างระบายความกดดันพร้อมกับร้องไห้ออกมา


เจติยาที่ถือถุงผ้าขาวห่อเถ้ากระดูกไว้ในมือกำลังคุมสาวใช้กวาดเศษกระเบื้องพร้อมกับเช็คดูให้แน่ว่าไม่มีเถ้ากระดูกหลงเหลืออยู่ที่พื้นแล้ว เจติยาอดนึกถึงคำพูดลาภิณเมื่อครู่ไม่ได้
“ไม่มีผู้หญิงคนไหนเคยค้างบ้านนี้ทั้งนั้นล่ะ ผมสงวนสิทธิ์ไว้ให้เจ้าสาวของผมคนเดียว”
เสียงปริมค้าน “ซึ่งไม่ใช่มันแน่ๆ”
“ครับ ถ้าเจเค้าปฏิเสธ” เสียงลาภิณพูดต่อ
สักพักลาภิณก็ถือโถใบใหม่เดินเข้ามาหา
“ได้แล้วครับ”
เจติยาสะดุ้งหลุดจากความคิด สาวใช้กวาดขยะแล้วโกยไปทิ้งทางหลังบ้าน ลาภิณเอาโถมาวางที่โต๊ะกลางโซฟา
เจติยาเดินถือห่อผ้าไปใส่โถใบใหม่ “คิดว่าครบแล้วนะคะ”
ลาภิณจับตามองเจติยาที่บรรจงเก็บผ้าขาวห่อเถ้ากระดูกใส่โถใบใหม่ไม่วางตา
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” เจติยาเหลือบตาเห็นลาภิณที่จับตามองอยู่ก็สะท้านไปเหมือนกัน จึงไม่กล้าสบตาต่อ
“ขอบคุณมากนะเจ” ลาภิณกล่าว
เจติยาปั้นยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ต้องขอบคุณคุณเหมือนกันที่ช่วยพูดแก้สถานการณ์กับคุณปริมให้”
ลาภิณยิ้ม “ฉันพูดสร้างโอกาสให้ตัวเองมากกว่า”
เจติยาอึ้งไป
ลาภิณจ้องตาเจติยาแล้วพูดยิ้มๆ “ก็อยากให้เป็นอย่างที่พูดนะ ไม่รู้จะเป็นจริงได้แค่ไหน” ลาภิณยักไหล่ แล้วยิ้มๆ
เจติยาเขิน “ฉันไปรอที่รถนะคะ” เจติยารีบเดินเลี่ยงออกไปทันที
ลาภิณยิ้มๆ แล้วพูดกับโถกระดูก “ช่วยผมด้วยนะครับแม่”
ลาภิณถือโถกระดูกเดินออกไป วิญญาณชูจิตยืนมองเขาอยู่พร้อมกับส่งยิ้มเย็นๆ ให้ลูกชาย

ลาภิณขับรถที่มีเจติยานั่งมาจอดที่หน้าร้านอาหารติดถนนแห่งหนึ่ง
“ขอบคุณค่ะ”
“ขอบใจเธอมากที่ไปลอยอังคารคุณแม่ด้วยกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เจติยาปั้นยิ้มแบบไม่ค่อยกล้าสู้หน้านักแล้วจะลงไปจากรถ
“เย็นนี้ไปทานข้าวกันมั้ย” ลาภิณทำสายตาอ้อนวอน
เจติยาชะงักไปเล็กน้อย เธอสบตาลาภิณแล้วรีบหลบตา
ลาภิณมีสีหน้าเศร้าๆ “ผมไม่อยากกลับบ้านเร็ว แล้วผมก็ไม่รู้จะไปกินข้าวกับใคร”
เจติยาอึกอักลังเล
“ไม่เป็นไรหรอก เธอคงจะเบื่อ” ลาภิณจ๋อยๆพร้อมยกมือลา
เจติยาเห็นใจ “เอางี้แล้วกัน ถ้าว่างฉันจะโทรหาคุณอีกที”
ลาภิณค่อยยิ้มออก “ฉันจะรอโทรศัพท์” ลาภิณจ้องตาเจติยานิ่งพร้อมส่งสายตาอ้อนวอน

เจติยาฝืนยิ้มเขินๆ แล้วปิดประตูรถก่อนจะรีบเดินเข้าร้านไปด้วยท่าทีที่ยังรับมือไม่ถูกกับความรู้สึกที่พัฒนาไปเร็วกว่าที่คิด ลาภิณมองตามเจติยาแล้วยิ้มมีความหวังก่อนจะขับรถออกไป


เจติยากำลังคุยกับนวัช และนิษฐาอยู่ในร้านอาหาร
เจติยาดีใจ “เจอตัวแล้วเหรอคะพี่หมวด”
นวัชพยักหน้ารับ “ตอนนี้พี่กำลังให้ลูกน้องล้อมจับอยู่ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราน่าจะได้ตัว”
“เห็นมั้ย ฐาบอกแล้วว่านทีต้องไม่โกหก มีคนหลอกให้ส่งยาบ้าจริงๆด้วย” นิษฐารีบบอก
“พี่ว่านายคนนี้มันแค่ปลาซิวปลาสร้อย น่าจะมีตัวใหญ่อยู่เบื้องหลัง แต่พี่ไม่เข้าใจว่านายพิสัยจะแกล้งนทีไปทำไม”
เจติยาหน้าเครียด “แต่เจพอจะเข้าใจค่ะ...เจจะต้องหาทางพิสูจน์ดีเอ็นเอเค้าให้ได้ เพราะเจมั่นใจว่าเนื้อเยื่อที่พบในเล็บของคุณท่าน ต้องเป็นของคุณพิสัยแน่นอน”
นิษฐายังติดใจ “แล้วเจว่ามันต้องการอะไรกันแน่” นิษฐาเป็นห่วง “คงไม่ใช่ตัวแกหรอกนะ”
“ฉันไม่ใช่สเป็คมันหรอกย่ะ” เจติยารีบบอก
“แล้วอะไรล่ะ” นิษฐาสงสัย
เจติยาไม่ตอบแต่แอบอมยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมีแผนการ


กล่องรากบุญวางอยู่บนโต๊ะที่เจติยามานั่งรอพิสัยอยู่ เป็นโต๊ะมุมด้านในของร้านกาแฟเจติยาวางกล่องรากบุญไว้บนโต๊ะที่มีน้ำเย็นรินไว้สองแก้ว สักพักพิสัยก็เดินเข้าร้านมา เขายิ้มแย้มแล้วเข้ามาหาเจติยา
“เห็นเงียบไปนาน นึกว่าเธอจะไม่ติดต่อมาซะแล้ว” พิสัยว่า
เจติยายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดตัดบท “กล่องรากบุญที่คุณต้องการไงคะ คิดว่าคุณคงยังไม่เคยเห็นมันใช่มั้ย”
พิสัยนั่งลงแล้วหยิบกล่องรากบุญขึ้นมาดูด้วยดวงตาลุกวาวเพราะความโลภ “นี่น่ะเหรอะกล่องรากบุญ ก็เหมือนกล่องไม้แกะสลักทั่วๆไป ไม่น่าเชื่อว่ามันจะบันดาลได้ทุกอย่าง”
“คุณต้องทำตามที่วิญญาณขอร้องให้สำเร็จสามครั้งก่อนค่ะ ถึงจะขอพรได้ครั้งนึง” เจติยาบอก
“เรื่องเล็กน้อย อย่าว่าแต่สามครั้งเลย ร้อยครั้งแลกพรข้อนึงได้ฉันก็ยอม” พิสัยมองกล่องด้วยความละโมบ
เจติยาเห็นพิสัยกำลังตื่นเต้นไม่ทันระวังเลยหยิบเข็มขึ้นมาพร้อมกับใช้นิ้วหนีบไว้ไม่ให้พิสัยสังเกตเห็น เพราะกะจะใช้เข็มแทงพิสัยให้เลือดออกนิดหน่อยแล้วเอาเลือดไปตรวจดีเอ็นเอ
พิสัยยิ้มแบบรู้ทัน “เท่าที่ฉันรู้มา ได้กล่องมาอย่างเดียวยังไม่พอ เจ้าของเก่าต้องสละความเป็นเจ้าของด้วย ถูกต้องมั้ย”
เจติยาปั้นยิ้ม “รู้ละเอียดดีนี่คะ ฉันจะยอมสละความเป็นเจ้าของกล่อง ก็ต่อเมื่อแน่ใจว่านทีจะหมดปัญหาเรื่องคดีจริงๆ”
“ไม่ต้องห่วง เล่นงานนทีไป ฉันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรอยู่แล้วฉันจะช่วยให้การเพิ่มเติมว่าไอ้คนนั้นเป็นพนักงานเก่า ลาออกไปนานแล้ว ฉันเลยจำไม่ได้ นทีถูกหลอกใช้ โอเคมั้ย”
“ก็ดีค่ะ นทีพ้นคดีเมื่อไหร่ ฉันจะสละความเป็นเจ้าของกล่องให้คุณทันที” เจติยาจ้องหน้าพิสัย

นวัชและนิษฐานั่งอยู่ในรถของนิษฐาที่จอดซุ่มอยู่ในซอยข้างๆ ร้านกาแฟ
“เค้าจะทำอะไรเจมั้ยคะ” นิษฐาเป็นห่วงเพื่อน
“วันนี้เจจงใจไปทำร้ายเค้ามากกว่า” นวัชบอก
“ยังมีอารมณ์มาพูดเล่นอีก”
นวัชขำๆ “พี่พูดเรื่องจริง เจจะไปเอาเลือดเค้ามานะ”
นิษฐาเหยียดปากใส่พร้อมถอนใจออกมาด้วยความเป็นห่วงเพื่อน
นวัชเหลือบตามองนิษฐา “ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ พี่ไม่ปล่อยให้เพื่อนเราเป็นอันตรายหรอก” นวัชเลื่อนมือไปวางบนมือนิษฐาแล้วตบหลังมือนิษฐาเบาๆ
นิษฐาเหลือบตามองมือนวัชที่ประกบมือตนอยู่แล้วก็แอบอมยิ้มเขินๆ นวัชถอนมือกลับพร้อมทำไม่รู้ไม่ชี้มองไปทางร้านกาแฟแต่ก็แอบอมยิ้มนิดๆ


พิสัยลุกขึ้นยืน พร้อมพูด
“งั้นฉันเอากล่องนี่กลับไปเลยนะ”
เจติยามีสีหน้าลังเล
“จะลังเลอะไรอีก” พิสัยถาม
เจติยาถ่วงเวลาเตรียมเข็มหมุดไว้ในมือที่จะเช็คแฮนด์ส่วนอีกมือก็ถือผ้าเช็ดหน้าขาวเอาไว้
“ถ้าเธอไม่สละความเป็นเจ้าของให้ฉัน กล่องนี่ก็ไม่ต่างจากกล่องใส่ทิชชู่ ได้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร” พิสัยบอก
เจติยาลุกขึ้นยืนแล้วพูดหน้าตาย “ก็จริงค่ะ” เจติยาจ้องหน้า “ขอให้รักษาสัญญา” เจติยายื่นมือไปเช็คแฮนด์ เจติยางอนิ้วโป้งเพื่อจับเข็มหมุดเอาไว้ เธฮรอจังหวะเช็คแฮนด์หมายจะแทงให้เลือดออก พิสัยยิ้มๆ แล้วเลื่อนมือมาหาเจติยา เจติยามีสีหน้าลุ้นๆ เพราะกลัวพลาด ทันใดนั้นพิสัยก็ปาดมือขึ้นตบไหล่เจติยาแทน
“ไม่จำเป็นหรอก ฉันพูดคำไหนคำนั้น” พิสัยเดินถือกล่องรากบุญออกไป
เจติยาเจ็บใจมาก เธอมีสีหน้าใช้ความคิดแล้วรีบเดินตามออกไป

พิสัยเดินถือกล่องรากบุญกลับมาที่รถของเขาที่จอดอยู่ที่จอดรถ เจติยารวบรวมความกล้าเดินสะกดรอยตามออกมา
เจติยาบ่นพึมพำอย่างร้อนใจ “เอาไงดีเนี่ย จิกผมออกมาซักกระจุกดีมั้ย”
พิสัยเดินถึงรถและกำลังจะเปิดประตู
“เอาวะ”
เจติยาตัดสินใจวิ่งเข้าหาพิสัย จังหวะเดียวกันกับที่พิสัยเปิดประตูรถ ทันใดนั้นพิสัยก็เห็นศพชูจิตอยู่ที่นั่งคนขับ พิสัยถึงกับช็อค ศพชูจิตพลิกหน้าหันมามองทางพิสัยด้วยตาเบิกโพลง
พิสัยตกใจกลัวสุดชีวิต “พี่จิต” พิสัยดีดตัวหนีไปกระแทกประตูจนเสียหลักล้มไปกับพื้นทำให้หลังแขนและข้อศอกของพิสัยครูดไปกับพื้นถนนเป็นทาง ส่วนกล่องรากบุญตกอยู่กับพื้น เจติยาวิ่งตามมาถึง
เจติยาก้มไปมองที่แขนพิสัยแล้วก็ดีใจมาก “เลือด”
เจติยารีบเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่เตรียมไว้มาซับเลือดให้พิสัย พร้อมอมยิ้มพอใจ
เจติยาทำเป็นห่วง “เจ็บมากมั้ยคะ” เจติยาแอบอมยิ้มพอใจที่ซับเลือดไปได้ปื้นใหญ่
พิสัยกระชากแขนออกแล้วรีบไปหยิบกล่องรากบุญมาถือเอาไว้เพราะกลัวเจติยามาแย่งคืนไป
พิสัยกระชากแขนออก “เธอไปดูซิ ในรถมีใครมั้ย”
เจติยาชะโงกไปมองอย่างงงๆ
“ไม่มีใครนี่คะ”
“แน่ใจนะ”
“แล้วคุณจะให้มีใครล่ะ”
พิสัยชะโงกไปมองแบบกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ไม่เห็นใครจริงๆ พิสัยรีบเดินไปที่รถก่อนจะยกมือไหว้แล้วขึ้นรถไป เจติยางงๆ แต่ก็ยิ้มดีใจ เธอกำผ้าเช็ดหน้าขาวที่ซับเลือดพิสัยไว้แน่นแล้ววิ่งตะบึงออกไปจากลานจอดรถทันที

ปราณกำลังดูกล่องรากบุญด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยมีพิสัยกำลังทำแผลที่แขนของตนอยู่ในห้องที่คอนโด
ปราณมีสีหน้าครุ่นคิด “คนอย่างเจติยาไม่น่าจะยอมง่ายๆ มันต้องมีแผนการอะไรแน่ๆ”
“คิดมากน่า มันห่วงน้องชายมันมาก ไม่มีอะไรหรอก แต่ถ้ามันตุกติกไม่สละความเป็นเจ้าของกล่องขึ้นมา ฉันก็หยุดช่วยน้องชายมัน ปล่อยให้ติดคุกหัวโตก็เท่านั้น”
“อย่าประมาทเจติยาเกินไป ผู้หญิงคนนี้มีอะไรหลายอย่างที่คาดไม่ถึง”
พิสัยยิ้มดูถูก “เอาซิ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงตัวเท่ามดจะเก่งซักแค่ไหน” พิสัยหน้าเครียด “แต่ตอนนี้แกช่วยฉันเรื่องผีพี่จิตก่อนดีกว่า ฉันเห็นจริงๆ ไม่ได้ตาฝาด ตามมาหลอกกันกลางวันแสกๆเลย”
ทันใดนั้นเสียงกดกริ่งห้องก็ดังขึ้น พิสัยผวาเล็กน้อย
ปราณพูดหน้านิ่ง “ตำรวจอยู่หน้าห้อง”
พิสัยหน้าเสีย “เอาไง”
“ไปเปิดประตู ทำตัวปกติ” ปราณแนะนำ
พิสัยลุกเดินไปเปิดประตูห้องพักแง้มๆ จนเห็นนวัชกับตำรวจกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู
นวัชตะเบ๊ะ “สวัสดีครับคุณพิสัย พอดีผมได้พยานบุคคลเพิ่มเติมเลยอยากจะเชิญคุณพิสัยไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยครับ”
พิสัยรำคาญ “พยานอะไรของคุณอีก”
พิสัยยังพูดไม่ทันจบ ตำรวจก็พาตัวลูกน้องพิสัยคนที่หลอกให้นทีส่งยาออกมา
นวัชยิ้มเล็กน้อย “พอจะคุ้นหน้าบ้างมั้ยครับคุณพิสัย”
ลูกน้องพิสัยจ๋อยๆ กลัวๆ พิสัยหน้าซีดเผือดไปทันทีเพราะไม่คิดว่านวัชจะตามหาตัวลูกน้องคนนี้เจอ

พิสัยกำลังเซ็นรับรองการให้ปากคำของตัวเองอยู่ต่อหน้านวัชในโรงพักตอนหัวค่ำ โดยมีทนายของพิสัยยืนอยู่ใกล้ๆ
พิสัยเซ็นชื่อพร้อมบ่นไปด้วย “คนงานลาออกไปตั้งนานแล้ว ใครจะไปนั่งจำหน้าได้หมด ลูกน้องผมตั้งกี่ร้อยกี่พันคน”
นวัชเหล่ๆ มองพิสัยที่พยายามแถเอาตัวรอดไปอีกจนได้ด้วยความรู้สึกเจ็บใจ
“เสร็จเรื่องแล้ว ลูกความของผมกลับได้รึยังครับหมวด” ทนายถาม
นวัชพูดหน้านิ่ง “เชิญครับ แล้วถ้าผมต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติม จะไปเชิญตัวมาอีกนะครับ”
“ฉันไม่ได้มีเวลาว่างมากนักหรอกนะ” พิสัยบอก
ทันใดนั้นเสียงลาภิณก็ดังขึ้น
“เข้ามานอนในคุก เดี๋ยวก็ว่างเองล่ะ”
พิสัยเหล่ไปเห็นลาภิณเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเขม่นๆ
ลาภิณไม่สนใจ เขาหันไปพูดกับนวัช “ผมมาตามเรื่องคดีของคุณแม่น่ะครับหมวด”
“เชิญเลยครับ คดีคืบหน้าไปเยอะแล้ว” นวัชเหล่พิสัย “บางที อาจจะได้ตัวฆาตกรเร็วๆนี้ล่ะครับ”
“ดีครับหมวด” ลาภิณพูดลอยๆ “คนเนรคุณสมควรจะได้รับโทษซะที”
พิสัยทำไม่รู้ไม่ชี้ ลาภิณเดินตามนวัชเข้าไปข้างใน พอทั้งสองคนเดินพ้นไป พิสัยก็เริ่มมีสีหน้ากังวลขึ้นมา

ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดของพิสัยอยู่ในถุงพลาสติกอย่างดีวางอยู่บนโต๊ะกลางโซฟา เจติยาและนิษฐานั่งคุยกันอยู่ที่โซฟาบ้านเจติยา
“ป่านนี้ทำไมพี่หมวดยังไม่มาอีก” เจติยาหยิบโทรศัพท์มือถือมาเช็คดูอีกที
“ไม่ต้องโทรไปล่ะ พี่เค้าทำงานอยู่” นิษฐารีบบอก
“ฉันรู้หรอกย่ะ ฉันเช็คดูเฉยๆว่าพี่เค้าส่งข้อความมารึเปล่า”
“ฉันไม่เชื่อหรอกนะเจ ว่านายพิสัยจะยอมสารภาพง่ายๆ” นิษฐามีสีหน้าชิงชัง
“ใช่ มันหาทางแก้ตัวเอาตัวรอดไปได้อีกแน่ๆ ก็เหลือแต่ไอ้นี่แหละ” เจติยาเหลือบตาไปมองผ้าเช็ดหน้า “จะมัดตัวเอาผิดมันได้”
“เธอก็น่าจะให้พี่หมวดไปเลย” นิษฐาบอก

“ไปตามจับตัวนายพิสัยก่อนเนี่ยนะ หายขึ้นมาล่ะจบข่าวกันเลย กว่าฉันจะได้มานี่ไม่ใช่ง่ายๆ นะ มันระวังตัวซะขนาดนั้น”
“ฉันอยู่รอจนพี่หมวดกลับมาไม่ไหวหรอกนะเจ”
“เออ ไม่เป็นไรหรอก แค่มาส่งก็ขอบใจแล้ว”
“แล้วชุดที่จะให้ฉันยืมล่ะ” นิษฐาถาม
เจติยากระเซ้าด้วยท่าทียิ้มๆ “บอกมาก่อนจะไปดินเนอร์กับพี่หมวดที่ไหน”
นิษฐาไม่สู้ตาแต่ก็ตอบยิ้มๆ “เปล่า ฉันไปงานของมูลนิธิ”
เจติยากระเซ้า “จริงอ้ะ งานมูลนิธิแต่พี่หมวดไปด้วยล่ะสิ”
นิษฐายิ้มเขินๆ “ขึ้นไปเอาชุดมาเร็วๆ เลย” นิษฐาดันเจติยาออกไป
“คืบหน้านะยะ รอเดี๋ยวย่ะ” เจติยาวิ่งขึ้นชั้นบน
นิษฐามองตามเพื่อนแบบยิ้มๆ พอหันกลับมาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นปราณมายืนอยู่ข้างๆ นิษฐาตกใจ รีบหันกลับไปมอง ปราณยิ้มเยือกเย็นให้นิษฐา นิษฐาจะร้อง แต่แล้วจู่ๆ ก็เหมือนต้องมนต์สะกด นิษฐานิ่งค้างไป และร้องไม่ออกแม้แต่คำเดียว

เจติยาเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดสำหรับใส่ออกงานกลางคืนแบบเรียบๆ ออกมา ทันทีที่ปิดประตูตู้เสื้อผ้าเธอก็ร้องลั่นออกมาด้วยความตกใจเพราะชูจิตมายืนหน้าซีดอยู่หลังประตูตู้เสื้อผ้า
“โอ๊ย คุณท่าน เจเกือบช็อคแน่ะค่ะ”
ชูจิตพูดเสียงดัง “รีบลงไปช่วยเพื่อนเธอเร็วๆ”
เจติยางงๆ
ชูจิตตวาดใส่ “รีบลงไปสิ”
เจติยารีบวิ่งออกจากห้องไปทันที

นิษฐาถูกสะกดจิตจนหมดสติพับไปกับโซฟา ปราณค่อยๆ หยิบถุงพลาสติกใส่ผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาดู
ปราณดูถุงในมือแล้วก็ยิ้มพอใจ “มนุษย์นี่ช่างคิดจริงๆ แค่เลือดไม่กี่หยด ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง” ปราณชะงักเพราะรู้สึกได้ว่าถูกจ้องอยู่ ปราณหันขวับไปมอง
ชูจิตกำลังจ้องปราณเขม็งด้วยสายตาดุดัน
ปราณขำเย้ยหยัน “วิญญาณที่มีอำนาจเพราะกล่องรากบุญ เอาชนะฉันไม่ได้หรอก”
“ทำไมต้องช่วยพิสัยด้วย แกต้องการอะไร” ชูจิตถาม
“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบแก” ปราณเบิกตามองชูจิต
ทันใดนั้นดวงตาของปราณก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานคล้ายสีตาของยักษ์บนกล่องรากบุญแล้วก็ส่งพลังทำร้ายชูจิต ชูจิตกลัวจนรีบหายหนีไปทันที ทันใดนั้นเจติยาก็วิ่งลงมาพอดี
เจติยาตกใจที่เห็นปราณ “คุณ”
“เจอกันอีกแล้วนะเจติยา” ปราณชูถุงใส่ผ้าเช็ดหน้าให้ดู
“เอาของฉันคืนมานะ”
ปราณสะแหยะยิ้มแล้วจะเดินออกจากห้อง
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย” เจติยาออกคำสั่ง
ปราณหยุดชะงักตามคำพูดของเจติยาทันที ปราณตกใจและพยายามจะก้าวขาแต่ก็ทำไม่ได้
ปราณเครียดหนัก “นี่เธอมีอำนาจเหนือกล่องรากบุญขนาดนี้แล้วเหรอ”
เจติยาวิ่งเข้าไปแย่งถุงใส่ผ้าเช็ดหน้าทันที ปราณจับถุงไว้ไม่ยอมปล่อย ทั้งคู่เลยยื้อยุดกัน เจติยาปาดมืออีกข้างไปจับมือปราณแล้วหักข้อมือทันใดนั้นก็เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นที่มือของปราณก่อนจะลามมาที่แขน
เจติยาตกใจสุดๆ ที่เห็นไฟลุกท่วมแขนปราณ ปราณแตกกระจายหายไปปล่อยให้ถุงใส่ผ้าเช็ดหน้าซับเลือดตกลงสู่พื้น เจติยางุนงงและหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอรีบหยิบถุงมากำไว้แน่น แล้วเดินไปหานิษฐา
เจติยาพยายามปลุก “ฐา ฐา เป็นอะไรไป”
นิษฐาคลายจากมนต์สะกดตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้างงๆ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอเจ มึนหัวจังเลย” นิษฐาพิงศีรษะพักไปกับโซฟาอีกครั้งแล้วหลับตา
เจติยาถอนใจยาวออกมาด้วยสีหน้าเครียด

ลาภิณ เจติยา และทวีนั่งดื่มกาแฟและคุยเรื่องปราณอยู่ในห้องโถงของบริษัท
ทวีฟังเรื่องราวจากเจติยาด้วยสีหน้าเครียด “ลุงว่านายปราณนี่คงไม่ใช่แค่คนที่อยากได้กล่องรากบุญธรรมดาๆ แล้วล่ะ”
“ใช่ค่ะลุง เค้าเหมือนมีพลังจิตหรือคาถาอาคมอะไรซักอย่าง คนที่เก่งขนาดนี้ทำไมต้องยอมร่วมมือกับนายพิสัยด้วยก็ไม่รู้” เจติยาว่า
“ข้อนั้นฉันไม่แปลกใจหรอก น่าจะมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง” ลาภิณมีสีหน้าติดใจสงสัย “แต่เรื่องที่เธอเล่าว่าเธอจับตัวเค้าแล้วไฟลุกอะไรเนี่ย แน่ใจนะว่าไม่ได้ฝันไป” ลาภิณทำสีหน้าไม่ค่อยเชื่อ
“เวลายังงี้ใครจะเอาความฝันมาเล่าคะ” เจติยาแอบค้อนใส่ลาภิณเล็กๆ “แต่เจก็แปลกใจนะคะว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง”
ทวีมีสีหน้าใช้ความคิด “ลุงก็รู้เรื่องกล่องรากบุญเท่าที่เคยบอกหนูเจนั่นแหละ แต่ถ้านึกอะไรได้มากกว่านี้ ลุงจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน” ทวีถอนใจออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืน “ลุงไปทำงานต่อก่อนดีกว่า” ทวีเดินเลี่ยงไป
ลาภิณมองตามทวีแล้วรีบพูดกับเจติยา “เดี๋ยวเธอเข้างานสายซักสิบห้านาทีได้มั้ย”
“ทำไมเหรอคะ”
“ฉันมีอะไรอยากจะให้เธอดู” ลาภิณยิ้มๆอย่างภูมิใจ
เจติยาสงสัย

รากบุญ ตอนที่ 11 (ต่อ)
เจติยากำลังนั่งอ่านเอกสารรายงานความคืบหน้าของโปรเจ็คอยู่ในห้องทำงานของลาภิณ โดยมีลาภิณนั่งอยู่ใกล้ๆ
เจติยายิ้มดีใจ “ดีใจด้วยนะคะ”
ลาภิณยิ้มพอใจ “โปรเจ็คเราคืบหน้าไปเยอะเกินคาด” ลาภิณยักไหล่เล็กน้อย “ฉันไม่รู้จะอวดความภูมิใจนี้กับใครดี”
เจติยาชำเลืองมองลาภิณก่อนจะรีบตัดบท “ตอนแรกเจยังนึกว่าโปรเจ็คนี้กว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง ก็คงประมาณปีหน้า”
ลาภิณพยักหน้ารับ “เราโชคดีที่หุ้นส่วนทางโน้นเค้าเก่ง งานก็เลยไปเร็ว ก็เหลือแค่รอธนาคารอนุมัติเงินกู้งวดสุดท้าย ปลายปีนี้คงได้เห็นนิราลัยโกอินเตอร์แน่นอน”
เจติยายิ้มชื่นชม “อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลยค่ะ ไม่ใช่แค่หุ้นส่วนเก่งอย่างเดียวหรอก ตอนที่คุณท่านปลดคุณพิสัยออก แล้วให้คุณทำโปรเจ็คนี้แทน ก็ไม่มีใครคิดว่าคุณจะทำได้ดีขนาดนี้ นี่เท่ากับคุณได้พิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็นแล้วนะคะ ว่าคุณทำได้ คุณเป็นคนมีความสามารถ”
ลาภิณมองหน้าเจติยานิ่ง “เธอก็มีส่วนสำคัญกับความสำเร็จครั้งนี้นะ”
เจติยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะปั้นยิ้มแล้วพูดบ่ายเบี่ยง “ฉันก็แค่ช่วยชีวิตคุณเอาไว้ไม่ได้ช่วยคุณทำโปรเจ็คนี้ซะหน่อย”
“ฉันไม่ได้หมายความถึงเรื่องช่วยชีวิต แต่ฉันกำลังจะบอกว่าเธอเป็นแรงผลักดันให้ฉันตะหาก”ลาภิณพูดจริงจัง
เจติยาหลบสายตาไปเล็กน้อย
“ฉันพูดจริงๆนะเจ ฉันเห็นเธอมีปัญหาหนักๆ เยอะแยะท่วมตัวไปหมด ทั้งเรื่องงาน เรื่องที่บ้าน แล้วไหนจะกล่องรากบุญอีก แต่เธอก็ไม่เคยถอย ไม่เคยท้อเลย”
เจติยาสบตากับลาภิณ
ลาภิณมองเจติยาด้วยความชื่นชม “มองเธอ ทำให้ฉันรู้สึกละอายใจ เข้มแข็งสู้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็ไม่ได้ ถ้าฉันยอมแพ้อะไรง่ายๆ ฉันคงไม่กล้าสู้หน้าเธอ”
ลาภิณสบตาเจติยานิ่งก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือจะไปจับมือเจติยาเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ยัง
ไม่ทันจะจับมือเจติยาโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน ลาภิณเลื่อนมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเบอร์แล้วกดรับ เจติยาถอนใจยาวออกมาอย่างโล่งอก
“ครับ คุณศุภชัย” ลาภิณฟังอีกฝ่ายอย่างดีใจแล้วพูดดักคอ “เงินกู้งวดสุดท้ายอนุมัติแล้วเหรอครับ” ลาภิณฟังอีกฝ่ายแล้วก็ตกใจจนหน้าเสีย “ชะลอไปก่อน ทำไมล่ะครับ” ลาภิณลุกเดินไปคุยด้วยสีหน้าเครียด
เจติยาดูสีหน้าลาภิณแล้วก็พลอยกังวลไปด้วย

ลาภิณเดินคุยกับผู้บริหารคนหนึ่งของธนาคารมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ผมขอโทษจริงๆครับ แต่มันเป็นมติที่ประชุมให้ชะลอไปก่อน ทางฝ่ายบริหารคงต้องการทบทวนให้แน่ใจอีกครั้งน่ะครับ”
ลาภิณเครียดหนัก “จะทบทวนอะไรอีกครับ ทางแบงค์อนุมัติไปสองงวดจนโปรเจ็คผมเดินหน้าไปตั้งเยอะแล้ว มาชะลองวดสุดท้ายแบบนี้ ผมก็เดือดร้อนสิครับ”
ผู้บริหารธนาคารอึดอัดใจ “แค่ชะลอไว้ก่อนแต่ไม่ได้ระงับนะครับ”
“แล้วจะชะลอไปถึงเมื่อไหร่ครับ”
“ผมก็ทราบเท่าที่บอกคุณไปนั่นล่ะครับ เอาไว้มีอะไรคืบหน้า ผมจะรีบโทรบอกละกันนะครับ ขอตัวนะครับ”
ผู้บริหารรีบชิ่งหนีไปด้วยความลำบากใจ ลาภิณยืนหัวเสียอยู่ลำพัง
ทันใดนั้น ปริมก็เดินยิ้มแย้มเข้ามาหาลาภิณ
ปริมปั้นยิ้ม “บังเอิญจังเลยนะคะคุณต้น มาทำอะไรที่นี่เหรอคะ”
ลาภิณเจอปริมก็ยิ่งหงุดหงิดเลยเดินเลี่ยงไปเพราะไม่อยากคุยด้วย
ปริมพูดตามหลัง “น่าเสียดายนะคะ คุณอุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจทำโปรเจ็คนี้ แต่กลับมาตกม้าตายเอาตอนจบ” ปริมขำ
ลาภิณหันกลับมาสวนทันทีด้วยความโมโห เขาเดินตรงเข้าไปกระชากแขนปริม “ฝีมือคุณใช่มั้ย”
ปริมกระชากมือลาภิณออกด้วยสีหน้าเชิดหยิ่ง
ลาภิณจ้องหน้าด้วยความเจ็บใจ “ผมลืมไปสนิทเลยว่าพ่อคุณเป็นเพื่อนรักกับเจ้าของที่นี่ สะใจคุณแล้วใช่มั้ย ที่หาทางกลั่นแกล้งผมได้”
“ปริมไม่ได้ทำเพื่อความสะใจหรอกค่ะ แต่ปริมต้องการแสดงให้คุณเห็น ว่าผู้หญิงคนไหนที่เหมาะสมจะยืนเคียงข้างคุณมากกว่ากัน ปริมสามารถช่วยเรื่องธุรกิจแล้วก็เป็นหน้าเป็นตาให้คุณได้ ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้น ทำได้ดีที่สุดก็แค่ฉีดฟอร์มาลีนกับแต่งหน้าศพ” ปริมทำสีหน้าดูถูก
“ขอบใจมากนะปริมที่ทำให้ผมตาสว่าง จากนี้ไปเราก็ไม่เหลืออะไรติดค้างกันอีกแล้วล่ะ”
ลาภิณจ้องปริมเขม็งก่อนจะเดินเลี่ยงไป ปริมทำหน้าไม่แคร์แต่พอลาภิณเดินผ่านไปเธอก็แอบน้ำตาคลอออกมา

ตอนค่ำ ทวีกำลังทำความสะอาดเตียงทำศพและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ อย่างใช้ความคิด
จู่ๆ คำพูดของเจติยาและลาภิณก็ย้อนกลับมาในหัว
“เค้าเหมือนมีพลังจิตหรือคาถาอาคมอะไรซักอย่าง” เสียงเจติยาพูด
“แต่เรื่องที่เธอเล่าว่าเธอจับตัวเค้าแล้วไฟลุกอะไรเนี่ย แน่ใจนะว่าไม่ได้ฝันไป” เสียงลาภิณถาม
ทวีหยุดกึกเพื่อย้อนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมา

20 ปีที่แล้ว ทวีโยนกล่องรากบุญลงไปในหลุมดินที่เพิ่งขุดเสร็จก่อนจะใช้จอบเกลี่ยดินกลบฝังกล่องรากบุญ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคนดังขึ้นที่ด้านหลัง
“ทำแบบนี้ทำไม”
ทวีตกใจ รีบหันกลับไปมองก็เห็นปราณยืนอยู่ข้างหลัง
ทวีตกใจ “คุณเป็นใคร มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ปราณไม่พอใจ “ฉันถามว่าทำกับกล่องรากบุญแบบนี้ทำไม”
ทวีตกใจมาก “คุณรู้จักกล่องนี่ด้วยเหรอ”
ปราณตะคอก “ฉันบอกให้ตอบมา”
ทวีชักกลัว “ผมกลัวมัน ผมไม่รู้ว่าผมจะต้องตายเพราะมันวันไหน แล้วผมก็ไม่มีอะไรจะขอจากมันอีกแล้ว ผมเลยตัดสินใจฝังมันซะ จะได้จบๆ กันไป”
ปราณตวาด “ไอ้ขี้ขลาด” ปราณชี้หน้าทวี “คนอย่างแก มันไม่คู่ควรที่จะเป็นเจ้าของกล่องรากบุญ หาเจ้าของใหม่ให้กล่องซะ แล้วไปให้พ้น”
ปราณตะคอกใส่ทวี ทวีกลัวจนต้องผงะถอยทำให้ขาไปสะดุดอะไรบางอย่างจนหกล้มก้นจ้ำเบ้า พอหันไปมองทวีก็ต้องตกใจสุดๆ เพราะสิ่งที่สะดุดคือกล่องรากบุญที่เขาเพิ่งฝังดินไปเมื่อครู่ ที่อยู่ๆ ก็กลับขึ้นมาอยู่บนดินได้ ทวีหันกลับไปก็ไม่เห็นปราณแล้ว

พอคิดทบทวนเรื่องราวในอดีตทวีก็ชักเอะใจ เขาขยับตัวยืดจนรู้สึกว่ามีชายสวมเสื้อสีดำมายืนอยู่ข้างๆ ทวีหันขวับไปมองก็เห็นว่าเป็นโอ้เอ้ที่ใส่เสื้อยืดสีดำยืนยิ้มอยู่
ทวีตกใจมากจึงด่าออกไป “ไอ้โอ้เอ้ มาเงียบๆ”
“ก็ไม่เงียบนะลุง”
“ถ้าฉันหัวใจวายตาย จะมาหักคอแกเอาไปอยู่ด้วยกัน..”
“โหลุง กล้าพูดในห้องนี้เลยเหรอ” โอ้เอ้กวาดตามองอย่างหวาดๆ
“เอ็งมาก็ดีแล้ว มาช่วยกันทำความสะอาดเร็วๆ เลย เดี๋ยวจะมีศพเข้า”
โอ้เอ้และทวีช่วยกันทำความสะอาด สักพักโอ้เอ้ก็ทำเครื่องมือตกพื้น
ทวีดุ พร้อมทำความสะอาดไปด้วย “เก็บขึ้นมาทำความสะอาดใหม่เลย มาช่วยให้เร็วรึถ่วงให้ช้าวะเนี่ย”
โอ้เอ้ก้มลงไปเก็บเครื่องมือใกล้ๆ กับเท้าเปล่าของผู้ชายที่ยืนอยู่คนหนึ่งแต่โอ้เอ้ไม่เห็นจึงหยิบเครื่องมือขึ้นมาทำความสะอาดใหม่
ชายคนที่ยืนอยู่ก็คือปราณที่กำลังจ้องเขม็งมาที่ทวีด้วยสีหน้าระแวงระวัง

พิสัยกำลังคุยโทรศัพท์มือถือด้วยความโมโหอยู่ในห้องพักคอนโดของเขา
“ทีคุณขออะไร ผมเคยปฏิเสธบ้างมั้ย พอผมมีเรื่องเดือดร้อน จะทิ้งกันง่ายๆ ยังงี้เหรอ”
เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังแว่วออกมาจากโทรศัพท์มือถือของพิสัย
“ไม่ใช่ผมไม่อยากช่วยคุณ แต่มันมีหลักฐานเป็นดีเอ็นเอของคุณ ขืนผมช่วยคุณต่อ ผมก็ซวยไปด้วยน่ะสิ”
พิสัยคุยมือถืออย่างงงๆ “ดีเอ็นเออะไร ผมไม่เห็นรู้เรื่อง”
“ผมก็เพิ่งรู้เมื่อเช้าเหมือนกัน ที่เล็บของศพคุณชูจิตมีเศษเนื้อติดอยู่ พอเอาไปพิสูจน์ดีเอ็นเอแล้วมันตรงกับดีเอ็นเอของคุณ คราวนี้คุณดิ้นไม่หลุดแน่ๆคุณพิสัย”
พิสัยตกใจสุดๆ และพยายามตั้งสติ “แล้วมันเอาเลือดผมไปตรวจดีเอ็นเอได้ยังไง” พิสัยฉุกคิด

พิสัยนึกถึงตอนที่หลังแขนและข้อศอกของเขาครูดไปกับพื้นถนนเป็นทาง กล่องรากบุญตกอยู่กับพื้น เจติยาวิ่งตามมาและแสดงท่าทางดีใจมากกว่าห่วง
“เลือด”
เจติยารีบเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่เตรียมไว้มาซับเลือดให้พิสัย พร้อมอมยิ้มพอใจ
เจติยาทำเป็นห่วง “เจ็บมากมั้ยคะ” เจติยาแอบอมยิ้มพอใจที่ซับเลือดไปได้ปื้นใหญ่

เมื่อนึกขึ้นมาได้ พิสัยก็มีสีหน้าเจ็บใจมาก แต่ปลายสายวางสายไปแล้ว
พิสัยตกใจ รีบพูดกลับไป “ฮัลโหลๆ” พิสัยโมโหมาก “ไอ้บ้าเอ๊ย” พิสัยมองไปรอบๆ “ปราณ แกมีพลังจิตไม่ใช่เหรอ ได้ยินที่ฉันพูดมั้ย มาช่วยฉันหน่อยสิ”
ทันใดนั้นเสียงปราณก็ดังลั่น “หนีไปเดี๋ยวนี้”
พิสัยตกใจจนหน้าซีดเผือด

รถตำรวจ 2 คันขับมาจอดที่หน้าคอนโดพิสัย นวัชและตำรวจอีกจำนวนหนึ่งลงมาจากรถ

พิสัยรีบตรงไปที่โต๊ะแล้วหยิบปืนกับเงินสดจำนวนหนึ่ง กระเป๋าหนังใส่ของและเอกสารปลอมที่ไว้หลบหนีออกมาอย่างรีบร้อน

นวัชนำตำรวจจำนวนหนึ่งกับพนักงานของคอนโดออกจากลิฟท์ แล้วเดินตรงไปที่ห้องพักของพิสัย

พิสัยวิ่งหนีลงบันไดหนีไฟอย่างเร่งรีบ

นวัชพังประตูห้องพักพิสัยจนเปิดแล้วนำตำรวจกับพนักงานเข้ามาในห้อง
นวัชสั่งตำรวจ “ค้นดูให้ทั่ว”
ตำรวจกระจายกันค้นห้องพิสัย
นวัชหันไปคุยกับพนักงาน “แน่ใจนะครับ ว่าวันนี้คุณพิสัยยังไม่ได้ออกไปข้างนอก”
“แน่ใจค่ะ เมื่อซักพักนี่ยังโทรลงไปสั่งอาหารเช้าขึ้นมาทานบนห้องเลยค่ะ”
นวัชเจ็บใจ “นกรู้จริงๆ” นวัชหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาเพื่อโทรสั่งการ

พิสัยเดินลงมาถึงชั้นล่างก็เห็นตำรวจสองคนยืนคุมเชิงอยู่ห่างออกไปไม่มาก โดยที่คนหนึ่งกำลังคุยวิทยุสื่อสารอยู่ พิสัยกลัวจึงรีบเดินหนีหลบไปทางด้านหลังทันที พอคุยวิทยุสื่อสารกับนวัชเสร็จ ตำรวจทั้งสองนายก็แยกย้ายกันตามหาพิสัยทันที

นิษฐาขับรถพาเจติยามาตามริมถนนเพื่อจะไปคอนโดพิสัย
“แกจะมาทำไมก็ไม่รู้” นิษฐาว่า
“ฉันอยากเห็นพี่หมวดจับนายพิสัยกับตาตัวเอง จะได้มั่นใจว่าฉันทำงานสำเร็จ” เจติยาบอก
นิษฐางงเล็กน้อยแต่ไม่ติดใจ “ป่านนี้จับกลับไปโรงพักแล้วมั้ง”
“ก็เพราะแกนั่นแหละ ชักช้าอยู่ได้”
นิษฐาเพ่งมองตรงไปข้างหน้า
“เจ...นั่นคุณพิสัยใช่มั้ย” นิษฐาชี้ไปข้างหน้า
เจติยามองตรงไปที่ข้างทางเห็นพิสัยกำลังรีบร้อนขึ้นแท็กซี่ไปอย่างลุกลน
“ใช่จริงๆ ด้วย รีบตามไปเร็วฐา ฉันโทรบอกพี่หมวดก่อน”
นิษฐาขับรถตามแท็กซี่ไป เจติยาโทรศัพท์หานวัชพร้อมหันไปมองทางคอนโดพิสัยที่ตำรวจกำลังแยกย้ายกันค้นหาพิสัยตามรถและใต้ตึกอยู่

พิสัยลงจากรถแท็กซี่ แล้วเดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งที่เป็นบ้านเดี่ยวในหมู่บ้าน แท็กซี่วิ่งกลับออกไป นิษฐาและเจติยาจอดรถซุ่มดูอยู่ โดยเจติยากำลังโทรหานวัชไปด้วย
นิษฐามองตามพิสัย ก่อนจะหันมาคุยกับเจติยา “เข้าไปข้างในแล้วแก มันต้องใช้ที่นี่เป็นที่กบดานแน่ๆ”
เจติยาหงุดหงิด “พี่หมวดไม่รับสายเลย” เจติยากดตัดสายแล้วเพ่งมองไป
“เอาไงดี”
เจติยาคิดอยู่อึดใจก่อนตอบ “ฉันว่าหลบก่อนดีกว่า เราแค่สองคนทำอะไรมันไม่ได้หรอก อย่างน้อยเราก็รู้ที่ซ่อนตัวมันแล้ว”
“แกรีบโทรหาพี่หมวดให้ได้เถอะ ฉันจะโทรไปที่โรงพักเอง”
จังหวะที่นิษฐาและเจติยากำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์ก็เกิดเสียงทุบกระโปรงหน้ารถดังโครม เจติยาและนิษฐาสะดุ้งสุดตัว ทั้งสองเงยหน้ามองก็ตกใจแทบช็อคเมื่อเห็นพิสัยทำหน้าตาดุดันกำลังเล็งปืนมาหาทั้งคู่อยู่หน้ารถ เจติยาและนิษฐาหันมาสบตากันด้วยใบหน้าซีดเผือด

นทีกำลังช่วยมยุรีขายของที่ร้านข้าวแกงหน้าตลาด สักพักนวัชก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดเทียบหน้าร้านก่อนจะลงจากรถมายกมือไหว้มยุรี
“แวะมาทานข้าวเหรอครับพี่หมวด” นทีถาม
“พี่ทานแล้ว เจล่ะ” นวัชถามกลับ
“ไปทำงานนี่คะ” มยุรีตอบ
“ผมไปมาแล้ว ลุงทวีบอกเจเข้าเวรเย็นนะครับ”
“สงสัยไปกับพี่ฐาแน่ๆ เลย ทำไมพี่หมวดไม่โทรเข้ามือถือล่ะครับ” นทีแนะ
“ปิดเครื่องทั้งคู่เลย”
“อ้าว...” มยุรีงง
นทียิ้มๆ “งั้นก็แอบไปดูหนังกันชัวร์”
“แต่เจมิสคอลล์พี่ไว้หลายครั้งเลยนะ พี่ทำงานอยู่เลยปิดเครื่องเอาไว้” นวัชมีสีหน้าเป็นห่วง “หวังว่าคงไม่มีเรื่องอะไรอีกนะครับ”
ทุกคนอึ้งๆ กันไปเพราะอดเป็นห่วงเจติยากับนิษฐาไม่ได้

เจติยาและ นิษฐาถูกมัดติดกันไว้กลางโถงบ้าน ทั้งคู่พยายามดิ้นแต่ก็ไม่สำเร็จ พิสัยกำลัง
คุยโทรศัพท์มือถือด้วยความหงุดหงิด
“ใช่ๆ ถึงตรงนั้นแล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้ามาเลย เร็วๆ เข้าล่ะ ฉันต้องการคนช่วย”
พิสัยกดวางสายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ถึงเรียกลูกน้องมาช่วย แกก็ไม่รอดอยู่ดี เดี๋ยวพี่หมวดก็พาตำรวจมาจับแกเข้าคุก” นิษฐาบอก
พิสัยโมโห “ก็มาสิ กล้ามาจับฉัน ฉันจะยิงพวกแกทิ้งทีละตัวต่อหน้ามันเลย”
นิษฐาหน้าแหยไปด้วยความกลัว
เจติยาท้าทาย “ไม่ต้องกลัวหรอกฐา ถ้าเค้าอยากฆ่าพวกเราจริง คงฆ่าไปนานแล้ว ที่เค้าไม่ทำ เพราะอยากใช้พวกเราเป็นตัวประกันมากกว่า”
พิสัยแสยะยิ้ม “เพราะเธอฉลาดอย่างงี้นี่เอง ไอ้ต้นมันถึงได้ทิ้งปริมมาหาเธอ” พิสัยตรงเข้ามาบีบคอเจติยา “แต่คนฉลาดมักจะตายเร็ว โดยเฉพาะคนที่ใช้ความฉลาดมาเป็นศัตรูกับฉัน”
เจติยาโดนพิสัยบีบคอจนหายใจไม่ออก
นิษฐาตกใจ “ปล่อยเพื่อนฉันนะ”
ทันใดนั้นเสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นพอดี พิสัยปล่อยมือจากเจติยาแล้วกระชับปืนก่อนจะเดินไปแหวกม่านดูแล้วเดินออกไป เจติยาไอสำลักออกมาเล็กน้อย
นิษฐาเป็นห่วง “เป็นยังไงมั่งเจ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
พิสัยเดินกลับเข้าบ้านมา
“ผู้ช่วยฉันมาแล้ว” พิสัยมีสีหน้าสะใจ
เจติยาและนิษฐาหันไปมองแล้วก็ตกใจมากที่คนที่เดินตามเข้ามาติดๆ คือปริม ปริมยิ้มเหยียดๆ ด้วยความสะใจปนสมน้ำหน้า

เจติยาและนิษฐาที่ถูกมัดมือถูกเหวี่ยงเข้าไปในห้องจนล้มลงกับพื้น ปริมและพิสัยช่วยกันลากทั้งสองคนขึ้นมา ปริมเข้าไปจับตัวนิษฐาไว้ ส่วนพิสัยไปจับตัวเจติยาแล้วมัดขาจนแน่น ก่อนจะไปมัดขานิษฐาต่อ
พิสัยบอกปริม “เธอช่วยมัดปากมันด้วย เดี๋ยวจะแหกปากเสียงดัง”
ปริมรับผ้าผูกปากจากพิสัยมาถือเอาไว้
พิสัยผูกขานิษฐาเสร็จแล้วก็สั่งปริม “เธอเฝ้ามันไว้ก่อน ฉันจะไปถอยรถพวกมันไปซ่อนให้ลับตาหน่อย”
“เร็วๆ ล่ะ ฉันจะรีบกลับ” ปริมบอก
พิสัยเดินออกไปจากห้อง ปริมกอดอกยืนมองด้วยสีหน้าสมน้ำหน้า
“ทำไมคุณต้องช่วยนายพิสัยด้วย คุณรู้รึเปล่าว่าเค้าเป็นฆาตกรฆ่าคุณชูจิต” เจติยาถาม
ปริมยักไหล่กวนๆ “แล้วไง ฉันไม่สนหรอก ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้ดีอะไรกับฉันนักหนา ตายช้าไปด้วยซ้ำ”
นิษฐาโมโหแทน “ใจร้ายใจดำยังงี้นี่เอง คุณต้นถึงได้ขอเลิกกับเธอ”
ปริมโกรธมากจึงชี้หน้าทั้งคู่ “ปากดีไปเถอะ พรุ่งนี้คนของฉันก็จะพาพิสัยหนีออกนอกประเทศแล้ว” ปริมยิ้มเยาะ “พวกแกหมดประโยชน์เมื่อไหร่ มันก็คงฆ่าหมกแถวชายแดนนั่นล่ะ”
ปริมมีสีหน้าสะใจก่อนจะตรงเข้ามาเอาผ้าปิดปากนิษฐา แม้นิษฐาจะขัดขืนแต่ก็ไม่มีปัญญาสู้ เพราะถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้
เจติยามองปริมด้วยความสงสัย “คุณทำแบบนี้เพื่ออะไร ไปรับใช้คนเลวอย่างมันทำไม คุณกำลังตกเป็นเครื่องมือของมันอยู่ รู้ตัวมั่งมั้ย”
ปริมตวาด “หุบปากซะทีเถอะน่ะ”
เจติยาเดาสุ่ม “มันกุมความลับอะไรคุณอยู่ใช่มั้ย คุณถึงต้องยอมรับใช้มัน”
ปริมอึ้งเพราะเจติยาเดาถูกจนจี้ใจดำ ปริมตวาดสวน “ไม่ใช่เรื่องของแก” ปริมจิกหัวเจติยา “ถึงฉันจะโดนไอ้พิสัยมันหลอกใช้ ฉันก็ยอมโดนหลอก ถ้าแลกกับการได้เห็นแกตาย มันคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม ฉันเกลียดแก ได้ยินมั้ย ฉันเกลียดแก” ปริมมีสีหน้าเคียดแค้น ชิงชัง
ปริมผลักหัวเจติยาจนหน้าคว่ำก่อนจะเอาผ้าไปปิดปากอย่างแรง นิษฐาได้แต่ชำเลืองมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง

เวลาผ่านไป ปริมยื่นกระเป๋าหนังใบย่อมให้พิสัยที่นั่งอยู่ที่โซฟารับแขก
“อ้ะ ทุกอย่างที่นายต้องการ”
พิสัยยิ้มๆ แล้วรับกระเป๋ามาเปิดดู “ขอบใจมากที่รัก”
ปริมทำสีหน้าท่าทางรังเกียจ “เอาซีดีมาให้ฉันซะที แล้วก็หวังว่านายจะเป็นลูกผู้ชายพอ ไม่ก็อปสำรองเอาไว้แบ็คเมล์ฉันอีก”
พิสัยเงยหน้ามองแล้วยิ้ม “ฉันไม่ทำหรอกน่า คำไหนคำนั้น” พิสัยทำหน้ากวนเล็กน้อย “แต่ยังไม่ให้”
ปริมหัวเสีย “เอ๊ะ แกจะเอายังไงกับฉัน”
“รอให้ฉันพ้นชายแดนอย่างปลอดภัยก่อนซี”
ปริมเจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้ “ไม่รู้เวรกรรมอะไรของฉันต้องมาเจอกับแก ชีวิตฉันต้องพังพินาศก็เพราะแกคนเดียว”
พิสัยขำกวนๆ “ชาติก่อนเธอคงเคยทำกรรมไว้กับฉันมั้ง”
ปริมไม่ขำด้วย เธอจ้องหน้าพิสัย “ก็ขอให้จบกันที่ชาตินี้เถอะ ฉันอโหสิให้”
พิสัยหัวเราะชอบใจ ก่อนจะรื้อกระเป๋าเพื่อเช็คของตามที่สั่งไป
ปริมมีสีหน้าชิงชัง “ข้ามชายแดนไปแล้ว นายจะจัดการกับอีสองตัวนั่นยังไง” ปริมรอคำตอบ
พิสัยเงยหน้ามองปริมแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

ลาภิณเดินหน้าเครียดนำนทีเข้ามาในโถงบ้านก่อนจะยกมือไหว้มยุรีที่นั่งหน้าเครียดคุยกับนวัชอยู่ มยุรีเห็นก็รับไหว้
ลาภิณเครียด “ได้ข่าวเจรึยังครับ”
มยุรีเป็นห่วงลูกมาก “ยังเลยค่ะ หนูฐาก็ยังติดต่อไม่ได้เหมือนกัน ตอนแรกน้าก็ยังไม่ได้คิดเอะใจอะไร แต่ตอนนี้น้าว่าชักไม่ดีแล้วล่ะ”
นวัชพูดหน้าเครียด “ผมเช็คดูแล้ว 3-4 ชั่วโมงมานี่ยังไม่มีอุบัติเหตุใหญ่ โรงพยาบาลแถบนี้ก็เช็คแล้วไม่มีเจกับฐาเข้ารักษาแน่นอน”
ลาภิณถอนหายใจยาวออกมา “ก็สบายใจได้ระดับนึง”
“ตอนนี้ผมให้เพื่อนตรวจสัญญาณมือถืออยู่ว่าครั้งสุดท้ายที่เจโทรหาผม เค้าอยู่ที่ไหน” นวัชบอก
“เป็นไปได้มั้ยครับ ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับไอ้พิสัย” นทีถาม
“เดี๋ยวเถอะนที พูดจาให้ดีๆ หน่อย ไม่สุภาพเลย” มยุรีว่าลูกชาย
นทีเจ็บแค้น “คนอย่างมันต้องสุภาพทำไมอีกแม่ มันนั่นแหละจับตัวพี่เจกับพี่ฐาไป”
มยุรีถอนหายใจออกมาด้วยความเครียด
เสียงโทรศัพท์มือถือนวัชดังขึ้น นวัชดูเบอร์โชว์
นวัชรับสายแล้วคุย “เออว่าไง” นวัชดีใจ “แน่ใจนะ ไหนทวนทะเบียนรถมาซิ”
ทุกคนมองนวัชด้วยความสนใจ

กลางดึก พิสัยนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงโดยวางปืนไว้ที่หัวนอนไม่ให้ห่างตัว เขาพลิกตัวกลับไปอีกด้าน จนหน้าไปชนกับหน้าเละๆ ของศพปองที่นอนในสภาพเน่าเฟะอยู่ข้างๆ พิสัยขยับหน้าทำจมูกฟุดฟิดในขณะที่ยังหลับตาอยู่ จมูกของเขาเปื้อนเลือดและหนองจากหน้าปอง พิสัยคันจึงยกมือขึ้นเกาแล้วรู้สึกว่ามือไปชนกับหน้าคนอื่น พิสัยค่อยๆ ขยับมือคลำไปที่หน้าของปอง
พิสัยรู้สึกทะแม่งๆ จึงลืมตาโพลง แล้วเขาก็แหกปากร้องลั่นห้องเมื่อเห็นศพปองนอนอยู่ข้างๆ พอพิสัยจะลุกขึ้นก็ต้องร้องเสียงหลงและมีหน้าตาช็อคอีก เมื่อเห็นศพย้งยืนคร่อมตัวของเขาอยู่ด้วยหน้าตาอาฆาต
ไม่ทันที่พิสัยจะร้อง ย้งก็ถีบยอดอกพิสัยจนล้มไปนอนกับเตียงแล้วขึ้นไปเหยียบกลางตัวของพิสัย พิสัยพยายามแผดเสียงร้องของความช่วยเหลือ แต่เสียงก็ไม่ออกเขามีอาการคล้ายคนถูกผีอำ
กำลังโหลดความคิดเห็น