รากบุญ ตอนที่ 3
เจติยารีบร้อนวิ่งเข้ามาในห้องนอน เธอมองไปที่โต๊ะเขียนหนังสือก็เห็นกล่องรากบุญตั้งอยู่บนโต๊ะ โดยที่บนฝากล่องตรงบริเวณปากยักษ์แกะสลักมีเหรียญๆหนึ่งวางอยู่ เหรียญนั้นส่งประกายวูบเหมือนรับรู้ความรู้สึกของเจติยาในตอนนี้
เจติยาดีใจมาก เธอเดินเข้าไปหยิบเหรียญขึ้นมา “แกเป็นความหวังสุดท้ายของฉันแล้วนะ”
เจติยาเอาเหรียญไปติดที่กล่องเป็นเหรียญที่สาม เหรียญนั้นติดแน่นสนิททันที ทันใดนั้น กล่องรากบุญก็ส่องประกายเรืองรองขึ้นพร้อมกับเกิดลมพัดรุนแรงในห้อง เจติยากวาดตามองไปรอบห้องด้วยความตกใจ
ดวงตาของรูปยักษ์แกะสลักบนฝากล่องส่องประกายสีแดงสดขึ้น ทันใดนั้นฝากล่องก็เปิดออกพร้อมกับมีแสงสว่างจ้าออกมาจากในกล่อง
เจติยาเอามือบังตาจากแสงสว่างที่พุ่งออกมาจากกล่องแล้วพูด “กล่องรากบุญ ฉันต้องการให้แม่หายป่วย แกช่วยบันดาลความปรารถนาของฉันให้เป็นจริงด้วย”
สิ้นคำของเจติยาเหรียญทั้งสามที่ติดอยู่บนกล่อง ก็หายวับไป ฝากล่องปิดสนิททุกอย่างคืนสู่ความสงบ กล่องรากบุญกลายเป็นเพียงกล่องไม้แกะสลักสีดำธรรมดาๆเท่านั้น เจติยายืนอึ้งอยู่ครู่นึง พอตั้งสติได้เธอก็รีบวิ่งออกไปจากห้องนอนทันที
เจติยาเดินลิ่วนำมาด้วยความเป็นห่วงแม่ตามทางเดินในโรงพยาบาลตอนหัวค่ำ โดยมีลาภิณเดินตามหลังมาติดๆ ด้วยสีหน้าติดใจสงสัย นิษฐาและนทีเดินสวนมาพอดี เจติยาเลยรีบเดินเข้าไปหาทั้งสองทันที
“ฐา แม่เป็นไงบ้าง” เจติยาหันไปมองนที
นทีทำท่าเซ็งไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น
นิษฐาไม่รู้จะอธิบายยังไง “คุณป้า...”
เจติยาร้อนใจจึงชิงพูดตัดด้วยน้ำตาคลอ “แม่จะไม่ไหวแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่ยังงั้นเจ” นิษฐายังงงๆอยู่ แต่ก็พูดไปตามที่เห็น “ตอนแรกแม่อาการทรุดลงเรื่อยๆ แต่อยู่ดีๆ แม่ก็ดีขึ้นเฉยเลย”
เจติยาค่อยยิ้มออก
“หมอเค้าเลยพาแม่ไปตรวจอย่างละเอียดอีกที ปรากฏว่าแม่ร่างกายแข็งแรงเป็นปกติทุกอย่าง แล้วก็ไม่มีอาการของโรคไตด้วย” นิษฐาเล่า
ลาภิณงงสุดๆ “เป็นไปได้ยังไง โรคไตนะครับไม่ใช่โรคหวัดจะได้หายเองได้”
นทีจ้องหน้าลาภิณ “ก็มันเป็นไปแล้ว ไม่เชื่อก็ไปถามหมอดิ” นทีถอนใจอย่างเซ็งๆ ปนรำคาญแล้วก็เดินไป
ลาภิณอึ้งไปเล็กน้อย เขามองตามนทีไปพลางคิดในใจว่าเด็กคนนี้กวนประสาทเอาเรื่อง
“คุณหมอก็งงมาก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นยังงี้ได้ยังไง” นิษฐาจับมือเจติยาเอาไว้ด้วยความดีใจ “เหมือนมีปาฏิหาริย์เลยนะเจ”
เจติยายิ้ม เธอดีใจจนน้ำตาคลอที่คำอธิษฐานเป็นจริง “มันคือปาฏิหาริย์จริงๆ ฐา” เจติยาสวมกอดเพื่อนเอาไว้แน่นแล้วร้องไห้ออกมา
นิษฐากอดตอบแล้วก็น้ำตารื้นตามเพราะรู้สึกอินกับเพื่อนรัก “ฉันดีใจด้วยนะเจคุณแม่ไม่ต้องทรมานอีกต่อไปแล้ว”
เจติยาร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เธอกอดเพื่อนเอาไว้แน่น ลาภิณรู้สึกเห็นใจ เขาเลื่อนมือมาบีบไหล่เจติยาเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ เจติยาชะงักไปเล็กน้อย เธอเหล่มองมือลาภิณที่แตะไหล่ตนแล้วก็รู้สึกเสียฟอร์มที่เขาได้เห็นเธออ่อนแอ เจติยาเบี่ยงตัวออกแล้วพยายามสะกดน้ำตาไม่ให้ร้องไห้ เธอยกมือขึ้นปาดน้ำตาไปมา
รถลาภิณจอดอยู่ที่หน้าบ้านเจติยายามค่ำคืน เจติยาและนทีกำลังลงจากรถของลาภิณ โดยมีลาภิณลงตามมาส่ง
เจติยายกมือไหว้ “ขอบคุณมากนะคะ”
ลาภิณรับไหว้เจติยา ส่วนนทีไม่ได้ใส่ใจจะขอบคุณแต่กลับเดินเข้าบ้านไปก่อน
เจติยาเซ็งน้องชาย “อย่าถือสาเด็กงี่เง่าเลยค่ะ” เจติยาถอนใจแล้วจะเดินกลับเข้าบ้าน
“ฉันยังไม่หายข้องใจเรื่องคุณปรียานะ” ลาภิณบอก
เจติยาชะงัก เธอหยุดเดินแล้วหันมามอง “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ มันก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นเอง ลืมมันไปซะเถอะค่ะ”
“เธอมีอะไรปิดบังฉันอยู่ใช่มั้ย”
เจติยาตอบหน้านิ่ง “ใช่ค่ะ”
ลาภิณตั้งใจฟังอย่างอยากรู้ เจติยาพูดต่อ
“ฉันกำลังเริ่มรำคาญคุณ เพราะฉันเพลียมาก อยากพักผ่อน”
ลาภิณหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย เจติยารีบชิงเดินกลับเข้าบ้านไปเพราะกลัวลาภิณจะซักไซ้ไม่เลิกแล้วตัวเองจะจนมุม ลาภิณมองตามด้วยสีหน้าติดใจสงสัยไม่หาย
ลาภิณเดินกลับเข้ามาในโถงบ้านแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นพิสัย ชูจิต และปริมกำลังรอเธออยู่ที่โถงบ้าน
ลาภิณปั้นยิ้ม “มีประชุมรึเปล่าครับเนี่ย อยู่กันพร้อมหน้าเลย”
ชูจิตหน้าเครียด “ต้นไปไหนมา”
“ผมไปเยี่ยมแม่เพื่อนที่โรงพยาบาลมาน่ะครับ”
ปริมหึงหวง “อ๋อ นี่คุณยอมรับยัยเด็กแต่งศพนั่นเป็นเพื่อนแล้วเหรอคะ”
ลาภิณชะงักไปเล็กน้อย
พิสัยปั้นหน้าเครียด “ตอนแรกที่น้ารู้เรื่อง ก็ไม่อยากพูดอะไรมากเพราะเห็นเป็นเรื่องส่วนตัวของต้น แต่คิดไปคิดมา ยังไงเด็กคนนั้นก็เป็นพนักงานในบริษัทของเรา แถมยังมีอดีตบางอย่างคลุมเครือ ไม่รู้ว่าจะเป็น...” พิสัยแกล้งเหล่ไปทางชูจิต
ชูจิตมีสีหน้าเคือง “จะรื้อฟื้นอีกทำไมพิสัย”
“ขอโทษครับพี่จิต ผมอยากเตือนสติคุณต้น”
ลาภิณถอนใจ “ก็ผมโทรบอกปริมแล้วไงว่าจะไปตามสืบประวัติเด็กคนนี้”
ชูจิตหน้าบึ้งก่อนจะตัดบท “เอาล่ะ ต่อแต่นี้ไป แม่ขอห้ามไม่ให้ต้นยุ่งเกี่ยวอะไรกับเด็กนั่นอีก แม่คงรับไม่ได้ ถ้าพ่อกับลูกจะ...” ชูจิตจะพูดก็อายปากจึงถอนใจออกมาแรงๆ พร้อมกับค้อนใส่
ลาภิณถอนใจ “ไปกันใหญ่แล้วครับแม่ ผมไม่ได้คิดอะไรกับเจติยาเลยนะครับ ที่ผมตามเค้าไป ก็เพราะอยากจะสืบว่าเค้าเป็นอย่างที่แม่สงสัยรึเปล่า แล้วทำไมคุณพ่อถึงต้องยกหุ้นให้เด็กคนนี้ด้วย”
ปริมแขวะ “ข้ออ้างสิไม่ว่า”
พิสัยเหล่มองปริม เขาอ่านท่าทีก็รู้ว่าปริมหึงลาภิณ พิสัยจึงนิ่งไปอย่างใช้ความคิด
“หึงไม่เข้าท่าน่าปริม จะลดตัวไปเทียบกับเด็กนั่นทำไม” ลาภิณว่า
ปริมค้อนใส่ลาภิณ
ลาภิณทำสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับมองหน้าชูจิต “แม่ครับ ผมว่าเจติยาคงไม่ได้กิ๊กกั๊กอะไรกับคุณพ่อแบบที่แม่ระแวงหรอกครับ”
ชูจิตยังเจ็บใจไม่หาย “ถ้าไม่ใช่ พ่อเราจะเขียนพินัยกรรมให้มันทำไม ดูพิสัยสิ ทำงานหลังขดหลังแข็งให้บริษัทขนาดนั้น เงินซักบาทก็ไม่ได้”
“ผมไม่ได้หวังอะไรอยู่แล้วล่ะครับพี่จิต เท่าที่พี่รัชให้โอกาสผมจนมีวันนี้ได้ ผมก็ไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณยังไงได้หมดแล้ว” พิสัยแสร้งพูด
ชูจิตยิ้มปลื้มใจน้องชายตัวเอง
ปริมใช้หางตามองพิสัยด้วยความรำคาญปนหมั่นไส้ก่อนจะกอดอกแล้วจ้องหน้าลาภิณ “แล้วอะไรทำให้คุณต้น คิดยังงั้นคะ”
“ครอบครัวเค้าฐานะไม่ค่อยดีน่ะสิ เด็กคนนี้ต้องทั้งเรียนทั้งทำงานเพื่อหารายได้รักษาแม่ที่ป่วยเป็นโรคไตและส่งน้องชายเรียน”
ปริมเหยียดปากด้วยความหมั่นไส้
“แล้วยังไง แม่ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหน” ชูจิตถาม
“เกี่ยวสิครับแม่ ถ้าพ่อเลี้ยงเด็กคนนี้จริง เค้าคงมีเงินมากกว่านี้ ไม่ต้องปล่อยให้แม่เค้าป่วยเรื้อรังอยู่แบบนี้หรอกครับ”
พิสัยยิ้ม “คุณต้นมองโลกชั้นเดียวเกินไปรึเปล่า ถ้าเป็นเด็กเสี่ยเลี้ยงจริง เด็กก็ต้องโกหกแม่อยู่แล้ว ต้องทำเป็นไม่มีเงินยังงี้แหละ แต่จริงๆแล้วแอบใช้เงินมือเติบ ใช้เสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าแบรนด์เนม ระวังเถอะ คุณต้นจะหลงกลเด็กนี่เข้าให้อีกคน”
ชูจิตมีสีหน้าไม่พอใจมาก “เหมือนที่พ่อเราเคยหลงกลมันมาแล้ว” ชูจิตรู้สึกชิงชัง
ปริมเองก็หึง “ปริมว่าเพื่อความสบายใจของทุกคน คุณต้นอยู่ห่างๆ แม่นั่นไว้จะดีกว่าค่ะ”
ลาภิณถอนใจด้วยความเซ็งที่ไม่มีคนเข้าใจ
“แม่ว่าต้นว่างเกินไปแล้วล่ะ เอางี้ แม่จะให้ต้นดูแลงานทั้งหมดแทนแม่เพิ่มอีกก็แล้วกัน คราวนี้ต้นจะได้ไม่มีเวลาไปทำเรื่องอะไรไร้สาระอีก”
พิสัยตกใจมาก เพราะถ้าต้นรับผิดชอบงานกว้างขึ้นอีกก็จะตัดช่องทางทำมาหากินของเขา เขาจึงรีบพูดขึ้น “แต่พี่จิตครับ คุณต้นยังไม่มีประสบการณ์มากพอ ให้รับผิดชอบงานมากขนาดนี้ ผมเกรงว่า...”
ลาภิณรู้ใจพิสัยจึงสวนขึ้นทันที “ก็ได้ครับแม่”
พิสัยเหล่มองลาภิณ
“มีงานทำเยอะๆ ผมจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน” ลาภิณเหล่มองพิสัยแล้วยิ้มหยันอยู่ในที
พิสัยเจ็บใจแต่ไม่กล้าแสดงออก เขารู้สึกว่าในที่สุดตัวเองก็ถูกลดบทบาทลงไปเรื่อยๆ
พิสัยเดินหงุดหงิดกลับมาที่รถของตน เขาตบหลังคารถเพื่อระบายอารมณ์
“ไอ้ตัวมาร มึงเกิดมาเพื่อแย่งทุกอย่างไปจากกู”
สีหน้าแววตาของพิสัยเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ย้อนกลับไปเมื่อ 28 ปีก่อน ชูจิตเปิดประตูพาพิสัยในวัย 6 ขวบเข้ามาในห้อง โดยมีสารัชเดินตามหลังมา
ชูจิตยิ้ม “นี่ห้องของเรานะ ชอบมั้ย”
พิสัยมองไปรอบๆ จึงเห็นว่าเป็นห้องที่ตกแต่งไว้สำหรับเด็ก มีตุ๊กตายอดมนุษย์ รถบังคับ และของใช้สำหรับเด็กตกแต่งอยู่เต็มห้อง
พิสัยยิ้มแย้มดีใจ “ชอบครับ” พิสัยยกมือไหว้ “ขอบคุณครับ”
ชูจิตยิ้มพร้อมกับลูบหัวพิสัยด้วยความเอ็นดู “ไปดูสิจ๊ะว่าในห้อง มีของเล่นอะไรบ้าง”
“ครับ”
พิสัยวิ่งไปหยิบจับเปิดโน่นเปิดนี่ในห้องอย่างสนุกตามประสาเด็ก
“เอาน้องมาเลี้ยงแทนลูกอย่างงี้จะดีเหรอคุณ เกิดวันนึงเรามีลูกของเราเองขึ้นมา เด็กจะไม่ทำตัวมีปัญหาเหรอ” สารัชถาม
“คิดมากจังเลย คงไม่หรอกค่ะ จิตอยากช่วยแบ่งเบาคุณพ่อคุณแม่ มีลูกหลงตอนอายุขนาดนี้มันลำบากพวกท่านมากเลยนะคะ”
สารัชถอนใจพร้อมพยักหน้ารับเพราะไม่อยากขัดใจ “ก็ตามใจคุณ”
ทั้งคู่หันไปมองพิสัยที่หยิบของเล่นมาเล่นอย่างสนุกสนานตามประสาเด็ก
หนึ่งปีต่อมา พิสัยกำลังเอาปืนเด็กเล่นไล่ยิงคนรับใช้ บนพื้นมีของเล่นวางเกลื่อนเต็มไปหมด พิสัยไล่ยิงอย่างสนุกสนาน แต่พวกคนรับใช้โดนยิงจนเจ็บเลยหนีกันจ้าล่ะหวั่น สารัชเดินโอบชูจิตที่กำลังตั้งท้องด้วยท่าทางประคับประคองพาเดินออกไปจากบ้านโดยไม่เหลียวแลพิสัยเลย พิสัยมองตามไปด้วยสายตาอิจฉาเด็กในท้อง แล้วก็ปาปืนของเล่นใส่คนรับใช้ด้วยสีหน้าแววตาอิจฉาแล้วก็วิ่งขึ้นชั้นบนไป
พิสัยในปัจจุบันยืนขบกรามแน่นด้วยความเคียดแค้นริษยาลาภิณที่เก็บกดไว้มานาน
“ถ้ามึงไม่เกิดมา ทุกอย่างก็ต้องเป็นของกู” พิสัยทำสีหน้าริษยาชิงชัง
พิสัยเดินอย่างหัวเสียไปขึ้นรถแล้วปิดประตูกระแทกดังโครม
บรรยากาศในผับเต็มไปด้วยความคึกคักสนุกสนาน ปองและย้งเดินเข้ามาในผับแล้วมองหาพิสัย พิสัยกำลังนั่งคุยและคลอเคลียกับเด็กสาวอยู่ พอเห็นทั้งคู่มาพิสัยก็บอกให้เด็กสาวไปก่อน ปองและย้งเดินเข้ามาไหว้พิสัย
“คุณพิสัยมีอะไรจะใช้พวกผมเหรอครับ” ปองถาม
“มีแน่ ถ้าพวกแกทำสำเร็จ ฉันมีเงินให้ใช้ แถมจะเลื่อนตำแหน่งให้ด้วย” พิสัยบอก
ปองและย้งหันมายิ้มให้กัน
ย้งดีใจมาก “คุณพิสัยสั่งมาได้เลยครับ พวกผมพร้อมทำทุกอย่าง” ย้งพูดเบาลง “หรือถ้าอยากจะสั่งเก็บใคร ผมก็รู้จักมือดีที่ไว้ใจได้นะครับ”
“โดยเฉพาะไอ้คนที่มาแย่งห้องทำงานคุณไป ก็ไม่น่าเอาไว้นะครับ” ปองทำสีหน้าเจ้าเล่ห์
พิสัยยิ้ม “ยังไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก เอาแค่สั่งสอนก็พอ” พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมีแผนการ
เช้าวันหนึ่งที่บริษัทนิราลัย เจติยาสะพายเป้เดินเข้ามาในห้องแต่งศพด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะลุง” เจติยาทักแล้วก็ชะงักไป
เจติยาเห็นทวีกำลังคุยกับโอ้เอ้อยู่ในห้อง โดยที่โอ้เอ้ยิ้มแป้นให้
เจติยาแปลกใจ “พี่ตาฝาดไปรึเปล่าเนี่ย โอ้เอ้กล้าอยู่ในห้องแต่งศพด้วย ไม่กลัวผีแล้วเหรอ”
โอ้เอ้ยืด “คนอย่างโอ้เอ้เนี่ยนะกลัวผี”
ทวีแกล้งตบโต๊ะ โอ้เอ้ร้องลั่นแถมกระโดดตัวลอยไปมุมห้อง
“โห ลุงอ้ะ เสียฟอร์มหมดเลย”
“อย่างเอ็งยังมีฟอร์มอะไรเหลือไอ้โอ้เอ้” ทวีว่า
เจติยายิ้มๆ แล้วเดินเอาเป้มาวางก่อนจะนั่งคุย “งั้นเดี๋ยวมีศพเข้ามา โอ้เอ้ลองอยู่ช่วยพี่มั้ยล่ะ”
“อย่าเลยพี่เจ ผมกลัวพี่จะตกงาน” โอ้เอ้ว่า
เจติยาเหยียดปากด้วยความหมั่นไส้ “ย่ะ”
ทวีหน้าขรึมลง “คงจะอีกหลายวันเลยล่ะเจ กว่าจะมีศพเข้ามาให้เราทำอีก”
เจติยางง “ทำไมล่ะคะลุง”
ทวีถอนใจออกมาด้วยความหนักใจ เจติยามองหน้าทวีด้วยสีหน้าสงสัย
ชูจิตเดินนำปริมเข้ามาที่โถงบริษัทด้วยความร้อนใจ โดยมีพิสัยเดินตามหลังมาติดๆ พอทั้งสามเดินเข้ามาก็เห็นโถงบริษัทว่างเปล่าเพราะไม่มีพนักงานสักคน นอกจากนั้นก็ยังไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว
“ไม่มีพนักงานมาทำงานจริงๆ ด้วยค่ะคุณแม่” ปริมบอก
ชูจิตร้อนใจ “พนักงานมีปัญหาอะไรกันเหรอพิสัย”
พิสัยปั้นหน้าเครียด “เท่าที่ผมคุยกับพวกพนักงาน ส่วนใหญ่ไม่พอใจที่คุณต้นเข้ามาบริหารงานต่อ พวกเค้าก็เลยรวมตัวกันประท้วงเงียบ เข้าเกียร์ว่างไม่ยอมมาทำงานน่ะครับ”
ปริมไม่พอใจ “มีอย่างงี้ด้วยเหรอคะ คุณต้นเป็นเจ้าของบริษัทแท้ๆแต่กลับบริหารบริษัทตัวเองไม่ได้” ปริมแสดงสีหน้าและน้ำเสียงดูถูกพนักงาน “เพราะพนักงานระดับล่างไม่ยอมรับ ตลก”
“พนักงานที่นี่ส่วนใหญ่ทำงานกันมานานน่ะครับคุณปริม เค้าก็เลยผูกพันกับบริษัทมาก พอเห็นว่าคุณต้น...” พิสัยเหล่ชูจิต “เอ่อ ยังไม่พร้อมบริหารงาน เค้าก็เลยไม่ยอมรับ”
ปริมไม่พอใจ “ไม่ยอมก็ขู่ไล่ออกให้หมดเลยสิคะ จะต้องไปง้อทำไม มีคนอยากทำงานกับเราเยอะแยะ” ปริมหันไปพูดกับชูจิต “จริงมั้ยคะคุณแม่”
ชูจิตหน้าเครียด “แล้วนี่ต้นอยู่ไหน”
“ยังไม่เข้ามาทำงานเลยครับ” พิสัยตอบ
ชูจิตหงุดหงิด “เวลายังงี้ยังจะเหลวไหลอีก อุตส่าห์ให้รับผิดชอบงานมากขึ้นแล้ว แทนที่จะตั้งใจทำงาน นี่อะไร”ชูจิตถอนใจแล้วเดินไปทางห้องทำงานตัวเองอย่างอารมณ์เสีย
ปริมหน้าเสียที่ชูจิตไม่พอใจลาภิณ เธอจึงรีบเดินตามไปช่วยแก้ตัวให้ พิสัยได้แต่สะแหยะยิ้มอย่างสะใจ
ลาภิณกำลังกดปุ่มปรับเตียงให้มยุรีที่กำลังนอนอยู่ให้กลายเป็นนั่งพิงหลัง ส่วนนทีกำลังเลือกดูของจากกระเช้าเยี่ยมไข้ของลาภิณอยู่ด้วยสีหน้าถูกใจเพราะมีแต่ของดีๆทั้งนั้น
มยุรียิ้มรับ “ขอบใจจ้ะ แล้วนี่คุณรู้จักกับเจมานานแล้วเหรอจ๊ะ”
“ก็ซักพักแล้วล่ะครับ” ลาภิณตอบ
นทีเห็นขนมกับของฝากจากกระเช้าน่ากินและมีราคาราคาแพงเลยหยิบมากิน
“แม่ ผมขอนะ”
มยุรีปราม “นที เกรงใจพี่เค้าบ้างสิ พี่เค้าซื้อมาฝากแม่นะ เราหยิบไปทานต่อหน้าพี่เค้าอย่างงี้มันเสียมารยาท”
นทียักไหล่ว่าไม่แคร์ก่อนจะเดินกินขนมออกจากห้องไปหน้าตาเฉย
ลาภิณยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณน้า”
มยุรีเกรงใจมาก “ขอโทษนะคะคุณ เด็กวัยรุ่นก็ยังงี้” มยุรีมีสีหน้าซึมไป “ถ้าพ่อแกยังอยู่ คงปรามได้ดีกว่าฉัน”
ลาภิณอยากรู้จึงถามเลียบๆเคียงๆ “คุณน้าผู้ชายเสียนานแล้วเหรอครับ”
“ก็หลายปีแล้วล่ะค่ะ ตอนนั้นเจยังอยู่ม.ปลายอยู่เลย” มยุรีหน้าเศร้าลง “ตั้งแต่พ่อเสีย เจเค้าลำบากมากเลยนะคะ ทั้งทำงานทั้งเรียน แล้วยังต้องดูแลน้ากับน้องอีก”
“แต่เจเค้าก็ได้หุ้นบริษัทมาตั้งสิบเปอร์เซ็นต์นี่ครับ แค่เงินปันผลประจำปี ก็สบายแล้ว” ลาภิณบอก
มยุรีมีสีหน้าติดใจสงสัยขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “เรื่องนี้น้าก็ยังแปลกใจไม่หาย ทำไมเจ้าของบริษัทถึงยกหุ้นให้เจก็ไม่รู้ ถามเจเค้า เค้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำงานมาตั้งหลายปี เจอหน้ากันนับครั้งได้ จู่ๆก็มายกหุ้นให้เฉยเลย” มยุรีทำหน้างงๆ
ลาภิณนิ่งเพราะเก็บข้อมูลเนื่องจากเขาก็อยากรู้เหตุผลเหมือนกัน
ทันใดนั้นเจติยาก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับนิษฐาและนวัช นวัชชะงักไปทันทีที่เห็นลาภิณอยู่ในห้องด้วย
เจติยาหน้าตาตกใจเพราะนึกไม่ถึงว่าลาภิณจะอยู่ที่นี่
นิษฐายิ้มทักทาย “มาเยี่ยมคุณน้าเหรอคะ”
ลาภิณยิ้มรับ “ครับ” ลาภิณหันไปทักนวัช “สวัสดีครับหมวด”
นวัชตอบกลับหน้านิ่งๆ “สวัสดีครับคุณลาภิณ” นวัชแอบเขม่น
“ลาภิณ” มยุรีนึกขึ้นได้ “เอ๊ะ ชื่อเหมือนเจ้าของบริษัทที่เจทำงานอยู่เลย” มยุรีตกใจ “อย่าบอกนะคะ”
ลาภิณยิ้มรับ “คนเดียวกันล่ะครับ”
มยุรีตกใจมาก “ตายจริง” มยุรียกมือไหว้ “ขอโทษนะคะถ้าดิฉันพูดอะไรล่วงเกินคุณไป”
“ไม่เป็นไรครับ” ลาภิณรีบจับมือมยุรี “อย่าไหว้ผมเลยครับ”
เจติยาเหล่มองลาภิณด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะไม่เข้าใจว่าลาภิณมาหาแม่ของตนทำไม
เวลาผ่านไป ลาภิณกำลังเดินกลับออกมา ในขณะที่เจติยากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา
“คุณลาภิณ รอก่อนค่ะ”
ลาภิณหันกลับมา
“คุณมาทำไมคะ” เจติยาถาม
ลาภิณตอบหน้าตาย “ก็มาเยี่ยมแม่เธอไง ฉันเป็นคนมีน้ำใจกับพนักงานอยู่แล้ว”
เจติยาเบ้ปากใส่เล็กน้อย “แล้วไม่คิดจะเข้าบริษัทบ้างเหรอคะ”
“เข้าไปทำไม เข้าไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำ”
เจติยาไม่พอใจ “คุณก็รู้ว่าบริษัทกำลังมีปัญหา แล้วทำไมผู้บริหารอย่างคุณถึงไม่อยู่แก้ไขล่ะคะ”
ลาภิณยิ้มขำ “ดูเธอจะห่วงบริษัทมากกว่าฉันซะอีกนะ” ลาภิณพูดกวน “อ้อ ลืมไป เธอมันหุ้นส่วนหย่าย”
เจติยาประชด “แน่นอนค่ะ ฉันยังไม่อยากตกงาน แล้วก็ยังอยากได้เงินปันผลตอนปลายปีด้วย คุณบริหารงานอย่างงี้ แล้วฉันจะเหลืออะไร”
“ถ้าห่วงแค่เนี้ย ก็สบายใจได้เลย ยังไงเธอก็มีงานทำ ได้รับเงินปันผลแน่ๆ เพราะบริษัทฉันคงยังไม่เจ๊งไปตอนนี้หรอก มีอะไรอีกมั้ย ฉันนัดเพื่อนเอาไว้ จะรีบไป”
เจติยาทำหน้าบึ้งตึง “เชิญค่ะ”
ลาภิณเดินลอยชายไปโดยไม่สนใจ
เจติยาบ่นเบาๆตามหลัง “ลูกเศรษฐีเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ” เจติยาส่ายหน้าพร้อมทำสายตาดูถูก
นิษฐาเดินถือจานข้าวแกงกลับมาที่โต๊ะซึ่งมีนวัชนั่งหน้าหงิกรออยู่โดยไม่ยอมทานข้าว
นิษฐาเห็นท่าทางของนวัชก็แปลกใจ “อาหารไม่ถูกปากเหรอพี่หมวด ไม่เห็นทานเลย”
นวัชหน้าเครียด “พี่ยังอิ่มอยู่เลย เอ่อ ฐา พี่ถามอะไรหน่อยสิ”
“อะไรคะ”
นวัชถามหน้าจริงจัง “ฐาว่าที่คุณลาภิณเค้ามาวนเวียนอยู่ใกล้ๆเจ เค้าคิดอะไรรึเปล่า”
นิษฐาชะงักไปเล็กน้อยแล้วปั้นยิ้มกลบ “ฐาถามจริงๆ นะคะ ที่พี่หมวดถามแบบนี้เพราะเห็นเค้ามาแล้วอารมณ์เสีย หรือว่ารู้สึกวูบวาบอะไรแปลกๆ รึเปล่าคะ”
นวัชงง “ทำไมพี่ต้องรู้สึกยังงั้นด้วยล่ะ”
นิษฐายิ้มๆ “ไม่รู้สึกยังงั้นก็แล้วไป ถ้ารู้สึกก็แสดงว่าหึง”
นวัชชะงักแล้วทำฟอร์ม “หึงอะไรกัน พี่ก็แค่เป็นห่วงเจเค้าเท่านั้นเอง” นวัชทำหน้าบึ้งตึง “ผู้ชายอย่างคุณลาภิณ ดูปาดด้วยก็รู้แล้ว ว่าเป็นพวกคาสโนว่า พี่กลัวว่าเจเค้าจะถูกหลอก”
นิษฐายิ้มแบบรู้ทัน “แต่ฐาว่าเพื่อนฐาไม่ใช่คนโง่นะคะ คงไม่ถูกใครหลอกง่ายๆหรอกค่ะ แต่ถ้าพี่หมวดไม่แน่ใจ” นิษฐายื่นหน้ามาจ้องตานวัชใกล้ๆ “ก็บอกเจเค้าไปเลยสิคะ ว่าพี่หมวดไม่ชอบให้เค้าใกล้ชิดกับคุณลาภิณ”
นวัชอึกอัก “พี่จะไปพูดอย่างงั้นได้ยังไงล่ะ เจเค้าไม่ใช่เด็กๆแล้ว” นวัชถอนใจแล้วตัดบท “ทานข้าวเถอะ พี่ต้องรีบไป” นิษฐาเหล่มองนวัชแล้วอมยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมีแผนการ
หัวค่ำ พิสัยวางซองใส่เงินต่อหน้าปอง และย้ง
ปองดีใจมากรีบยกมือไหว้ “ขอบคุณครับคุณพิสัย”
ปองและย้งรีบหยิบซองใส่เงินออกมานับด้วยความดีอกดีใจ
พิสัยยิ้มพอใจ “นี่แค่รางวัลเล็กๆน้อยๆ ถ้าพวกแกกดดันจนไอ้ต้นเด้งจากเก้าอี้ได้ ฉันจะให้พวกแกมากกว่านี้อีก”
ย้งดีใจมาก “ไม่ต้องห่วงเลยครับคุณพิสัย อีกไม่นานไอ้คุณต้นมันต้องพ้นเก้าอี้ประธานแน่ๆครับ”
พิสัยยิ้มพอใจ “ขัดแข้งขัดขาฉันดีนัก มันต้องเจอยังงี้ล่ะ” พิสัยทำสีหน้าแววตาร้ายขึ้นมา
เช้าวันต่อมา ปองวางกระดาษเขียนรายชื่อพนักงานปึกหนึ่งกระแทกลงบนโต๊ะในห้องแต่งศพต่อหน้าเจติยา ทวี และโอ้เอ้ โดยมีย้งยืนอยู่ใกล้ๆ
ปองตะคอก “เอ้า เซ็นซะ ทุกคนเค้าเซ็นกันหมดแล้ว เหลือแต่ห้องแต่งศพนี่แหละ”
ทวีหยิบกระดาษรายชื่อขึ้นมาดู “นี่ล่ารายชื่ออะไรกัน”
“ก็รายชื่อคนที่ไม่พอใจให้คุณลาภิณบริหารงานน่ะสิ เค้าเซ็นกันแทบทั้งบริษัทแล้ว” ย้งบอก
“ถามมากจริงลุง รีบๆเซ็นซะเถอะน่ะ” ปองเร่ง
ทวีถอนหายใจหน้าเครียดๆ “ฉันคงเซ็นให้ไม่ได้หรอก คุณลาภิณเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่วัน ฉันยังไม่เห็นว่าเค้าจะสร้างความเสียหายอะไรเลย แล้วจะไปไล่เค้าออกได้ยังไง”
ย้งตะคอกและข่มขู่ “ลุงพูดอย่างงี้ คิดจะเป็นศัตรูกับพวกฉันเหรอ”
“พวกเราไม่อยากเป็นศัตรูกับใคร แต่ก็ไม่อยากเป็นเครื่องมือให้ใครด้วย” เจติยาบอก
ปองและย้งหันไปจ้องหน้าเจติยา
เจติยาทำสีหน้าจริงจัง “พวกพี่ไปล่ารายชื่อที่อื่นเถอะ ที่ห้องแต่ศพ ไม่มีใครเซ็นให้หรอก”
ย้งยิ้มเยาะอย่างกวนประสาท “อ๋อ ลืมไป ว่าที่แผนกนี้มีกิ๊กของท่านประธานคนเก่าอยู่ด้วย ไม่น่าถึงต้องปกป้องลูกเลี้ยงจนสุดตัว” ย้งหัวเราะกวนประสาท
เจติยาโมโหมากจนฟิวส์ขาดเลยตบหน้าย้งจนหน้าหัน
ย้งโมโหมาก “อีนี่...”ย้งจะเข้าไปเล่นงานเจติยา
โอ้เอ้โผเข้าไปกอดย้งเพื่อไม่ให้ทำร้ายเจติยา “พี่เจ ลุง หนีเร็ว”
ย้งพยายามจะสะบัดตัวโอ้เอ้ออกแต่ก็ไม่สำเร็จ ปองเข้าไปกระชากโอ้เอ้ออกมาแล้วต่อยโอ้เอ้จนร่างผอมโย่งของโอ้เอ้ล้มหงายไปกระแทกตู้
ทวีตกใจมากรีบเข้าไปห้าม “หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ปองผลักทวีกระเด็นล้มก้นกระแทกพื้น ทันใดนั้นเจติยาก็หันไปหยิบน้ำยาฆ่าเชื้อมาพ่นใส่หน้าปองกับย้ง ปองกับย้งโดนน้ำยาสาดใส่หน้าเข้าไปเต็มๆ ก็แสบจนร้องลั่น
เจติยารีบเข้าไปช่วยดึงทวีขึ้นมา “หนีเร็วค่ะ”
ทั้งสามคนรีบวิ่งหนีออกไป ปองและย้งแสบหน้าแสบตาไปหมด พอเห็นทั้งสามคนหนีไปก็แค้นจัดจึงรีบวิ่งตามไปทันที
เจติยา โอ้เอ้ และทวีวิ่งหนีโดยมีปองและย้งวิ่งไล่กวดมา ปองกับย้งแค้นจัดเลยวิ่งมาดักหน้าดักหลังพวกเจติยาไว้
ปองแค้นมาก “พวกมึงไม่รอดแน่”
เจติยาจ้องกลับแบบไม่กลัว “พวกแกตะหากที่จะไม่รอด”
ย้งยิ้มเหี้ยม “มึงรู้จักพวกกูน้อยไปซะแล้ว”
เสียงลาภิณดังขึ้น “งั้นช่วยแนะนำตัวหน่อยสิ”
ทุกคนตกใจรีบหันมองไปทางต้นเสียง ลาภิณเดินหน้านิ่งออกมาเผชิญหน้ากับปองกับย้ง
“ฉันจะได้รู้จักพวกนายมากขึ้น” ลาภิณบอก
ปองกับย้งจ๋อยสนิท โอ้เอ้รีบวิ่งไปหลบหลังลาภิณทันที เจติยาและทวีค่อยยิ้มออก ลาภิณจ้องปองและย้ง ด้วยสีหน้าเอาเรื่องเพราะไม่พอใจมาก
พิสัยกำลังคุยกับลาภิณ โดยมีเจติยา ปอง และย้งอยู่ในห้องด้วย
“ก็แค่พนักงานทะเลาะกัน ปรับความเข้าใจกันได้ก็ดีแล้วนี่คุณต้น น้าไม่เห็นว่าต้องลงโทษถึงขั้นไล่ออกเลย” พิสัยบอก
ลาภิณหันไปพูดกับเจติยา “เธอว่ายังไง”
“ฉันไม่ได้ทะเลาะกับพวกเค้าค่ะ แต่พวกเค้าจงใจมาข่มขู่พวกเรา แล้วยังทำร้ายร่างกายลุงทวีกับโอ้เอ้อีก ฉันก็เลยต้องป้องกันตัว” เจติยาเล่า
“โกหก แกเอาอะไรไม่รู้มาสาดใส่ฉันจนแสบไปหมด ดูสิหน้ายังเป็นรอยแดงอยู่เลย” ปองโวยวาย
ย้งรีบสนับสนุน “ใช่ แกนั่นแหละที่ทำร้ายร่างกายพวกเราก่อน ฉันตะหากที่ต้องเอาเรื่องพวกแก”
พิสัยยิ้มเล็กน้อย “อย่าให้ถึงขั้นนั้นเลยน่า จบกันแค่นี้ดีกว่า คนบริษัทเดียวกันทั้งนั้น ถือว่าฉันขอเถอะ”
เจติยาทำหน้ากวน “ใครจะจบก็จบไป แต่ฉันไม่จบ”
รากบุญ ตอนที่ 3 (ต่อ)
พิสัยชะงักแล้วเหล่มองเจติยา ลาภิณอมยิ้มพอใจที่เจติยาใจสู้และไม่ยอมคน
“ที่ห้องแต่งศพมีกล้องวงจรปิดอยู่ ตรงทางเดินก็มี ถ้าเปิดดูก็จะรู้เองว่าใครพูดความจริง” เจติยาจ้องหน้าปองกับย้ง
ปอง กับย้งจ้องหน้าเจติยาด้วยสายตาอาฆาต ลาภิณอมยิ้มพอใจก่อนที่เสียงเคาะประตูอย่างรู้คิวของโอ้เอ้จะดังขึ้น โอ้เอ้เปิดประตูห้องเข้ามา
โอ้เอ้เหล่ปองกับย้งแบบยังกลัวๆ เขาเดินเบี่ยงอ้อมมาหาลาภิณพร้อมซองใส่แผ่นดิสก์ในมือ “ได้แล้วครับ”
ลาภิณยิ้มๆ ก่อนจะหยิบแผ่นซีดีมาจากโอ้เอ้ “นี่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิด”
ปองและย้งหน้าแหย ทั้งสองหันมองพิสัยที่ปั้นหน้านิ่งเพื่อเก็บอาการ
เจติยารีบเสริม “ส่วนหลักฐานรายชื่อที่สองคนนี่ไปล่ามาเพื่อหวังจะปลดคุณลาภิณ ลุงทวีเอาไปเก็บซ่อนไว้แล้ว” เจติยายิ้มเย้ยหยัน
ปองฉุกคิดแล้วพูดแก้ตัว “ก็ผมเห็นว่าคุณลาภิณยังไม่พร้อมจะบริหารงาน แล้วมันผิดเหรอครับ ที่ผมจะคิดต่าง”
“ผมว่าคุณจะฉวยโอกาสนี้ไล่พวกเราออกมากกว่า คิดเหรอครับว่าทำแบบนี้แล้วพนักงานคนอื่นจะยอมรับคุณ” ย้งรับเสริม
ลาภิณยิ้มเล็กน้อย เขาเปิดลิ้นชัก หยิบแฟ้มเอกสารออกมาแฟ้มหนึ่งพร้อมกับลุกขึ้นยืน “แล้วหลักฐานทุจริตพวกนี้ล่ะ พอที่ไล่พวกนายออกได้รึยัง” ลาภิณโยนแฟ้มลงกลางโต๊ะ
ทุกคนพากันอึ้งไปหมดเพราะไม่มีใครคิดว่าลาภิณจะมีไม้เด็ดเช่นนี้
“ช่วงที่ฉันไม่เข้าบริษัทมาสองสามวัน ก็เพราะมัวแต่ยุ่งหาหลักฐานพวกนี้อยู่” ลาภิณเปิดแฟ้มออกดู “ทั้งเบิกค่าโอทีเกิน สั่งของผิดสเป็ก แล้วก็เอาของบริษัทไปใช้ส่วนตัวอีก ทุกอย่างมีหลักฐานแล้วก็พยานครบถ้วน”
ปองและย้งหน้าซีดเผือด ทั้งสองกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ
ลาภิณยิ้มแบบคนถือไพ่เหนือกว่า “ทีนี้ก็เลือกเอาแล้วกัน ว่าจะยอมโดนไล่ออกดีๆ หรือจะให้ฉันแจ้งตำรวจ”
ปองและย้งทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่เหล่ไปทางพิสัย พิสัยมองกลับด้วยสายตาถมึงทึงเพราะเจ็บใจที่ลูกน้องโกงแล้วทิ้งหลักฐานให้ลาภิณจับได้ขนาดนี้ เจติยามองลาภิณด้วยความทึ่งเพราะคิดไม่ถึงว่าลาภิณจะจริงจังหาหลักฐานมาเล่นงานคนพวกนี้ได้
เวลาผ่านไป พิสัยโกรธจัด
“แทนที่จะเด้งมัน กลับโดนถีบหัวส่งซะเอง พวกแกนี่มันไม่ได้เรื่องเลย”
ปองและย้งได้แต่ยืนจ๋อย
“ก็ใครจะไปคิดล่ะครับคุณพิสัย เห็นไอ้ลาภิณมันเอาแต่เที่ยวเหมือนพวกลูกเศรษฐีสมองกลวง ที่ไหนได้ ขนาดเรื่องที่ผมโกงค่าธูปเทียน มันยังหาใบเสร็จมาได้เลย” ปองแค้น “อย่าให้จับได้แล้วกัน ว่าใครเป็นสายให้มัน” ปองเจ็บใจมาก
พิสัยตบโต๊ะโครมด้วยความโมโหจนทั้งสองหัวหด
“ก็เพราะพวกมึงทำตัวกร่างจนคนเค้าเหม็นขี้หน้าไปทั่ว ไอ้ต้นมันถึงได้หาพวกมาเล่นงานเอาได้”
ย้งจ๋อย “คุณพิสัยอย่าทิ้งพวกผมนะครับ ถ้าพวกผมตกงานตอนนี้ต้องอดตายแน่ๆ”
“คนอย่างฉันไม่เคยทิ้งลูกน้องอยู่แล้ว เดี๋ยวพวกแกไปทำงานที่โรงไม้ของฉันแทนก็แล้วกัน”
ปองกับย้งดีใจรีบยกมือไหว้ “ขอบคุณครับคุณพิสัย”
พิสัยถอนใจ “ไอ้ต้นมันไม่ใช่กระดูกอ่อนอย่างที่ฉันคิด ท่าจะประมาทไม่ได้ซะแล้ว” พิสัยมีสีหน้าเจ็บแค้นเพราะกำลังหาทางเอาชนะลาภิณให้ได้
บริกรกำลังเสิร์ฟอาหารให้ลาภิณ ปริม และชูจิตที่โต๊ะอาหารในร้านแห่งหนึ่ง เสร็จแล้วบริกรก็เดินเลี่ยงออกไป
ชูจิตยิ้มภูมิใจ “ตอนแรกแม่ก็ห่วงว่าต้นจะเหลวไหลตามเคย แต่ที่ไหนได้ จัดการทุกอย่างซะเรียบร้อยเลย”
ลาภิณยิ้มรับ “ตั้งแต่ที่คุณแม่มอบงานให้ผมเพิ่มขึ้น ผมก็กะแล้วล่ะครับว่าต้องมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นกับผม ผมก็เลยเตรียมการรับมือไว้ประมาณหนึ่ง”
ปริมยิ้มแย้มเพราะภูมิใจในตัวแฟนมาก “เก่งที่สุดเลยค่ะคุณต้น ทีนี้คนอื่นจะมาว่าคุณทำงานไม่เป็นไม่ได้แล้วนะคะ ที่ผ่านมา เป็นเพราะคุณต้นยังไม่มีเวทีให้แสดงฝีมือตะหาก”
ลาภิณทำสีหน้านิ่งขรึม “นี่แค่เริ่มต้นจ้ะปริม ผมมั่นใจว่าน้าพิสัยเค้าคงไม่หยุดแค่นี้หรอก”
ชูจิตหน้าเสียเพราะไม่สบายใจ “เอาอีกแล้วต้น ชอบมองน้าเค้าในแง่ร้ายซะเรื่อยเลย แม่ว่าจริงๆ น้าเค้าไม่ได้หวังร้ายอะไรกับลูกหรอก เค้าคงช่วยงานพ่อมานาน จนเผลอคิดไปว่าบริษัทนิราลัยเป็นของเค้าซะเอง ต่อไปแม่จะช่วยกระตุกน้าเค้าให้ก็แล้วกัน”
“กระตุกท่าจะไม่รู้สึกนะคะคุณแม่ ระดับนี้ต้องกระชากค่ะ” ปริมแขวะ
ลาภิณยิ้มถูกใจจึงยื่นมือไปทำท่าคลิ๊กเม้าส์ที่แขนปริม “กดไลค์”
ปริมขำก่อนจะตีมือลาภิณเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“เอาน่ะ เรื่องพิสัยปล่อยให้เป็นหน้าที่แม่เอง” ชูจิตตัดบท “ทานกันได้แล้ว...ทานเยอะๆนะหนูปริม แม่ว่าช่วงนี้ซูบไปหน่อยนะ” ชูจิตตักกับข้าวให้
“ขอบคุณค่ะคุณแม่”
ลาภิณแอบถอนใจออกมาเพราะเขารู้ดีว่าพิสัยเป็นคนยังไง เขามั่นใจว่าพิสัยไม่ฟังคำพูดของชูจิตอย่างแน่นอน
ร้านขายก๋วยเตี๋ยวข้างทางมีผู้คนมานั่งกินมากมาย เจติยา นิษฐา และนวัชที่อยู่ในชุดเครื่องแบบกำลังกินก๋วยเตี๋ยวไปคุยกันไป
“เจ้านายแกนี่สุดยอดไปเลยเจ ไม่ได้มีดีแค่หล่อนะเนี่ย ยังมีสมองด้วย” นิษฐาชม
“ฉันก็ยอมรับว่าผิดคาดเหมือนกัน แต่ก็ดีแล้วล่ะ ขืนทำงานห่วยๆ เดี๋ยวฉันก็อดเงินปันผลกันพอดี” เจติยาว่า
นิษฐาเหล่นวัชแล้วจงใจพูดยุ “แหม คุณต้นเนี่ย ทั้งหล่อ รวย ทั้งทำงานเก่ง เพอร์เฟกต์กว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว”
นวัชทำหน้าบึ้งตึงเพราะแอบหมั่นไส้ “ต้นทุนเค้ามีมาสูงก็ธรรมดาล่ะ”
นิษฐาพูดกวนๆ “น้ำเสียงเหมือนอิจฉาเลยเนอะ”
“พี่จะไปอิจฉาเค้าทำไม พี่ภูมิใจที่พี่เป็นแบบนี้แหละ” พูดจบนวัชก็ก้มหน้าก้มตากินแต่ก็แอบน้อยใจอยู่เหมือนกัน
นิษฐาเหล่มองเขาแล้วอมยิ้มเพราะสนุกที่ได้แกล้งนวัช เจติยามองทั้งคู่สลับกันไปมาแล้วก็อมยิ้ม เพราะดูท่าทางเพื่อนจะแฮปปี้ไม่น้อยที่ได้แหย่นวัช
ทันใดนั้นเอง เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น นวัช เจติยา และนิษฐาตกใจ นวัชรีบลุกเดินตามเสียงกรีดร้องไปทันทีตามวิสัยของตำรวจ นิษฐาตามไปติดๆ ตามวิสัยนักสังคมสงเคราะห์ ส่วนเจติยาที่ถูกทิ้งไว้คนเดียวถอนใจแล้วลุกเดินตามไป
นวัชวิ่งนำตามเสียงกรีดร้องมาก็เห็นแม่น้องออยกำลังนั่งร้องไห้กอดศพน้องออย เด็กผู้หญิงวัย 7 ขวบที่ถูกรถชนจนเลือดท่วม โดยมีคนมุงอยู่ 3-4 คน เจติยาและนิษฐาเดินตามมาถึง
แม่น้องออยร้องไห้ด้วยความเสียใจสุดๆ “ออยลูกแม่ พูดกับแม่สิลูก ออย..”
นิษฐารีบเข้าไปดูศพน้องออยทันทีพร้อมกับจับชีพจรน้องออย
เจติยาเป็นห่วงเด็ก “เป็นไงบ้างฐา”
นิษฐาส่ายหน้าอย่างเศร้าๆ
“เกิดอะไรขึ้นครับ” นวัชถาม
ชาวบ้านคนหนึ่งตอบ “ชนแล้วหนีครับคุณตำรวจ”
“แล้วมีใครเห็นรถที่ชนมั้ยครับ สีอะไร ยี่ห้ออะไร เลขทะเบียนอะไร” นวัชซักต่อ
พวกชาวบ้านต่างหันไปถามกันเองแต่ทุกคนกลับส่ายหน้าเพราะไม่มีใครเห็นอะไรเลย เจติยาเดินเข้าไปหาศพน้องออยด้วยความสงสารจับใจ ทันใดนั้นเองศพน้องออยก็หันมามองเจติยาตาเขม็ง
“บอกความจริง” ศพน้องออยพูดกับเจติยา
เจติยาผงะด้วยความตกใจสุดๆที่รู้ว่างานต่อไปของกล่องรากบุญคือการค้นหาความจริงให้กับวิญญาณน้องออย
วิญญาณของน้องออยหน้าเศร้าเสียใจกำลังยืนจับชายเสื้อเจติยาพร้อมกับมองร่างไร้ลมหายใจของตัวเองอยู่
ยามค่ำ กล่องรากบุญวางอยู่บนโต๊ะในบ้านเจติยา สีดำของกล่องและลายแกะสลักบนกล่องทำให้กล่องรากบุญดูลึกลับน่าสะพรึงกลัวอย่างบอกไม่ถูก เจติยายืนมองกล่องด้วยสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะหยิบกล่องรากบุญขึ้นมาถือไว้ เจติยามองและใช้มือลูบคลำกล่องอย่างพิจารณาพร้อมกับคิดย้อนไปถึงสิ่งที่ตนได้คุยกับทวีเมื่อ
ตอนเย็น
เจติยานึกย้อนถึงเหตุการณ์ตอนที่เธอคุยกับทวีอยู่ในห้องแต่งศพ
“เราหลีกเลี่ยงคำขอร้องของวิญญาณพวกนั้นไม่ได้หรอกหนูเจ เพราะถ้าเราไม่ทำ หรือทำไม่สำเร็จภายในหนึ่งเดือน เราก็จะต้องตาย” ทวีบอก
“ถ้าอย่างงั้น มันก็ไม่ต่างจากเราตกเป็นทาสของกล่องรากบุญสิคะลุง ต้องทำไปเรื่อยๆตามที่กล่องต้องการ จนกว่าจะตาย หรือไม่ก็หาเจ้าของใหม่ให้กล่องได้”
ทวียิ้มรับ “นั่นแหละ ลุงถึงได้ให้กล่องกับคุณสารัช ทันทีที่รู้ว่าคุณสารัชเป็นมะเร็ง เพราะลุงเองก็กลัวเหมือนกันว่าซักวันต้องตายเพราะกล่องใบนี้”
เจติยามีสีหน้าคิดตาม
“ถ้าหนูเจเริ่มกลัว ก็มองหาเจ้าของคนใหม่สิ เลือกคนที่มีความปรารถนาแรงกล้า แล้วก็เป็นคนดีพอที่จะไม่ใช้กล่องใบนี้ไปในทางที่ผิด” ทวีแนะนำ
เจติยาคิดทบทวน “แต่ถ้าเจหาเจ้าของคนใหม่ ก็เท่ากับมีทาสเพิ่มขึ้นอีกคนนึงสิคะ”
ทวียิ้ม “เจพูดเหมือนคุณสารัชเลยนะ คุณสารัชก็คิดอย่างงี้ถึงไม่ได้ยกกล่องให้ใครซะที จนเวลาของเค้าใกล้จะหมดลง ถึงได้ยกให้กับหนู”
เจติยาหน้าเครียด “แต่เจไม่อยากทำอะไรแบบนี้แล้วนี่คะ”
“ลุงเข้าใจว่าหนูเครียด ยังไงก็นึกซะว่าสิ่งที่กล่องให้ทำเป็นสิ่งที่ดีก็แล้วกัน แถมยังได้อธิษฐานขออะไรก็ได้เป็นรางวัลอีก”
“ลุงเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ เจไม่ได้เครียดที่ต้องช่วยเหลือวิญญาณพวกนั้น แต่ที่เจไม่อยากทำ เพราะเจคิดว่าการทำความดีต้องมาจากใจจริง ไม่ใช่การบังคับ หรือการเอาพรวิเศษมาล่อแบบที่กล่องรากบุญทำอยู่”
ทวีอึ้งไป “ลุงไม่เคยเห็นใครคิดแบบหนูเลย”
เจติยามีสีหน้าสงสัย “ลุงคะ แล้วถ้าเจจะช่วยเหลือวิญญาณพวกนั้นต่อไป แต่ไม่ขอพรอะไรจากกล่องรากบุญอีกล่ะคะ จะเป็นอะไรรึเปล่า”
ทวีคิดทบทวนอยู่ครู่นึง “ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน ขนาดคุณสารัชที่ท่านมีพร้อมทุกอย่างจนไม่รู้จะขออะไรอีกแล้ว ก็ยังขอในสิ่งเล็กๆน้อยๆ ไปเรื่อยเปื่อย เพื่อให้กล่องมันทำหน้าที่ของมันต่อไป”
เจติยามีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิดว่าจะทำยังไงกับกล่องใบนี้ดี
เจติยามองกล่องรากบุญในมือของตัวเอง เธอมีสีหน้าขรึมลงก่อนจะพูดบอกกล่องรากบุญ
“ฉันจะไม่ยอมตกเป็นทาสของแกหรอก แม่ฉันหายป่วย ฉันก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว สิ่งอื่นที่ฉันอยากได้ ฉันจะหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของฉันเอง ไม่มีอะไรที่ฉันจะขอจากแกอีกแล้ว เข้าใจซะด้วย”
เจติยาวางกล่องลงบนโต๊ะแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ สักพักก็เกิดเงาดำทะมึนไหววูบวาบอยู่บนกล่อง รูปยักษ์แกะสลักบนฝากล่องเปล่งแสงสีแดงฉานจากนัยน์ตาเหมือนไม่พอใจความคิดของเจติยา
เช้าวันใหม่ มยุรีและนทีที่สวมชุดนักเรียนกำลังนั่งกินข้าวต้มกุ้งกันอยู่ เจติยาในชุดนักศึกษาสะพายเป้เดินลงมาที่โต๊ะอาหาร
เจติยายิ้มแย้ม “กลิ่นข้าวต้มหอมไปถึงข้างบนเลยค่ะแม่”
มยุรียิ้มรับ “หอมขนาดนั้นก็ต้องทานเยอะๆ ล่ะ เดี๋ยวแม่ตักให้เลยนะ”
มยุรีลุกไปตักข้าวต้มให้ลูกสาว
จู่ๆ นทีก็ลุกขึ้น “ผมไปโรงเรียนนะครับแม่”
“เดี๋ยวนที ไปล้างจานก่อน ใครกินใครก็ล้าง” เจติยาว่า
นทีมองแบบท้าทาย “ผมรีบไปเรียน”
เจติยาโมโห “เอ๊ะแกนี่ ล้างจานใบเดียวจะเสียเวลาซักเท่าไหร่กัน”
“อยากล้างก็ล้างเองสิ ล้างให้ผมอีกใบเดียว พี่ก็คงไม่เสียเวลาเพิ่มขึ้น เท่าไหร่หรอก” นทีบอก
“ไอ้นที”
นทีคว้ากระเป๋านักเรียนวิ่งเผ่นแน่บออกไปจากบ้านทันที
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวแม่ล้างเอง” มยุรีบอก
เจติยาหงุดหงิด “แม่ให้ท้ายมันอีกแล้ว นทีมันจะทำอะไรไม่เป็นอยู่แล้ว”
“น้องเป็นเด็กผู้ชาย จะไปเอาอะไรกับน้องนักล่ะลูก” มยุรีเอาข้าวต้มมาให้เจติยา
“มันจงใจกวนประสาทเจ แม่ดูไม่ออกรึไง”
มยุรีตัดบท “เอาน่ะ ทานข้าวเถอะ”
เจติยาหงุดหงิดแต่ก็ไม่อยากเถียงกับแม่ให้เสียบรรยากาศจึงได้แต่ถอนใจออกมา ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มของตัวเองไป
ทันใดนั้นก็มีลูกบอลยางแบบที่เด็กเล่นกระเด้งผ่านหลังเจติยาไป เจติยาได้ยินเสียงและเห็นอะไรแวบๆ จึงหันไปมองตามแต่ก็ไม่เห็นอะไร แล้วเจติยาก็ได้ยินเสียงเด็กวิ่งซนอยู่ที่ชั้นบนพร้อมเสียงหัวเราะใสๆ
เจติยาเงยหน้ามองไปที่ชั้นบนด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหันไปพูดกับมยุรี “แม่ได้ยินเสียงเด็กวิ่งเล่นมั้ยคะ”
มยุรีงง “ไม่เห็นได้ยินนี่ลูก ทำไมเหรอ”
เจติยางง “สงสัยเจจะหูแว่วไปเอง”
สองแม่ลูกนั่งกินข้าวกันต่อไป
ลูกบอลยางลูกเดิมกลิ้งช้าๆ มาใต้โต๊ะอาหาร ลูกบอลลูกนั้นกลิ้งไปชนขาเจติยา เจติยาตกใจเล็กน้อย เธอรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกลิ้งมาชนขาตัวเอง เจติยาเอื้อมมือลงไปขวานหาโดยไม่ได้ก้มลงไปมอง เธอควานหาแต่ก็ไม่เจอลูกบอลเพราะไม่มีลูกบอลอยู่เลยซักลูก
มยุรีถาม “หาอะไรลูก”
เจติยาไม่ทันตอบ เธอเปิดผ้าปูโต๊ะแล้วเอนตัวเพื่อสอดสายตามองไปลงไปใต้โต๊ะจึงเห็นลูกบอลยางวางอยู่ข้างเท้าตัวเอง เจติยาก้มลงไปเก็บลูกบอล ทันใดนั้นเธอก็เห็นวิญญาณน้องออยในสภาพเลือดโทรมกายกำลังนั่งกอดเข่ากับพื้นอยู่ที่ใต้โต๊ะและกำลังจ้องมองมาทางเจติยา
เจติยาตกใจสุดขีด เธอดีดตัวลุกขึ้นไปชนโต๊ะและชนเก้าอี้จนเก้าอี้ล้ม มยุรีตกใจกับท่าทางลูกสาว
“เป็นอะไรเจ”
เจติยากลัวจนเสียงสั่น “ไม่มีอะไรค่ะแม่ จิ้งจกน่ะค่ะ”
“จิ้งจกอะไร” มยุรีก้มมองดูใต้โต๊ะ
ทันทีที่มยุรีก้มลงมองใต้โต๊ะอาหาร วิญญาณน้องออยก็มายืนอยู่หลังเก้าอี้ของมยุรี เจติยาตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเล็กน้อยเพราะน้องออยมาในสภาพที่สวยงามแล้ว
“พี่สัญญากับหนูแล้ว ว่าจะบอกความจริงให้ทุกคนรู้ ว่าใครเป็นคนขับรถชนหนู” น้องออยบอก
เจติยากลัวผีมากจึงพูดเบาๆ “พี่รู้แล้ว”
น้องออยบอกใบ้ “รถสีดำคันนั้น”
เจติยามีสีหน้าสงสัย
มยุรีเงยหน้ากลับขึ้นมาแล้วถาม “ว่าอะไรนะลูก”
วิญญาณน้องออยหายไปแล้ว
เจติยากวาดตามองเล็กน้อย “เจถามว่าเจอมั้ยคะ ไม่รู้เจเหยียบตายรึเปล่า”
“ไม่มีนี่ลูก โตจนป่านนี้แล้วกลัวอะไรกับจิ้งจก” มยุรีว่า
เจติยายิ้มแหย
“มานั่งทานข้าวต่อสิ” มยุรีชวน
“ค่ะแม่”
เจติยาจับเก้าอี้ลากมานั่งก่อนจะกลอกตามองไปรอบๆ เพราะยังหวาดหวั่นไม่หาย
เจติยามายืนกดกริ่งหน้าบ้านนวัช สักพักนวัชก็เปิดประตูออกมา
นวัชยิ้มด้วยความดีใจที่เห็นเจติยา “มีอะไรให้พี่รับใช้อีกครับ”
“เจจะมาถามพี่หมวดเรื่องรถชนแล้วหนีเมื่อวานน่ะค่ะ พอจะได้เบาะแส อะไรบ้างรึยังคะ”
“ยังเลย ไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์ซักคน”
เจติยาคิดตามก่อนจะถามด้วยความอยากรู้ “แถวนั้นพอจะมีกล้องวงจรปิดรึเปล่าคะ”
“ก็พอมี แต่ไม่มีกล้องตัวไหนจับภาพรถที่ชนเด็กได้เลย”
“แล้วช่วงเวลาที่เกิดเหตุ มีรถสีดำวิ่งผ่านไปบ้างรึเปล่าคะ”
นวัชแปลกใจ “ทำไมต้องรถสีดำด้วยล่ะ เจรู้อะไรมาเหรอ”
เจติยาไม่รู้จะอธิบายยังไง “เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็แค่เดาเอาเท่านั้นเอง” เจติยาตัดบท “เจไปเรียนก่อนนะคะพี่หมวด” เจติยาทำท่าจะเดินไป
“เดี๋ยวเจ พี่ไปส่ง”
เจติยาชะงักไปหันมองแล้วก็ฝืนยิ้มให้นวัชเพราะกลัวนวัชจะซักไซ้เรื่องรถสีดำอีก
นวัชขี่มอเตอร์ไซค์ให้เจติยาซ้อนท้ายมาส่งที่หน้าคณะนิติศาสตร์ พอรถจอดเข้าที่ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่นิษฐากับกุลธิดาถือหนังสือเรียนเดินพูดคุยกันมาด้วยท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส
เจติยาหันไปเห็นกุลธิดาก็ดีใจ “อ้าวเอียด กลับจากสวิสตั้งแต่เมื่อไหร่”
กุลธิดายิ้มแย้ม “เมื่อคืนนี้เอง ยังไม่ทันจะหายเหนื่อย ฐาก็โทรจิกฉันมาเรียนเลย”
“ไปเที่ยวซะเกือบ 2 อาทิตย์ จะพักอะไรอีกล่ะ เวลาเรียนจะไม่พออยู่แล้ว เดี๋ยวก็ไม่จบหรอก”
กุลธิดาเบ้ปากใส่นิษฐา เธอเหล่ๆ มองนวัชก่อนจะกระเซ้าเจติยา “ฉันไม่อยู่แป๊บเดียว มีคนตามรับตามส่งแล้วเหรอเจ ก้าวหน้านะยะ”
นวัชแอบอมยิ้มชอบใจ
เจติยาโวยวาย “จะบ้าเหรอแก นี่พี่หมวดนวัช เพื่อนบ้านฉันเอง” เจติยายิ้มขี้เล่น “ที่เคยเล่าให้ฟังไง ว่ามีเพื่อนเราบางคนเค้าแอบปลื้มอยู่ จำไม่ได้เหรอ” เจติยาชายตามองนิษฐา
นิษฐาถลึงตาดุใส่เจติยาเพราะไม่อยากให้เพื่อนพูด เจติยาจึงได้แต่อมยิ้ม
นวัชยิ้ม “ใครแอบปลื้มพี่เหรอเจ”
นิษฐาร้อนตัวจึงรีบตัดบท “เอียด แกรีบไปเรียนเลยไป” นิษฐาผลักกุลธิดาให้เดินไป “เจ ฉันมีของฝากแกจากสวิส”
นิษฐากระชากแขนเจติยาแล้วลากออกไปก่อนจะแอบหยิก นวัชมองตามสีหน้าสงสัย
เวลาผ่านไป กุลธิดาเดินมาคนเดียว ทันใดนั้นภัสสรก็โผล่ออกมาจากมุมตึกแล้วคว้าข้อมือกุลธิดาไว้ กุลธิดาตกใจและกำลังจะโวยวายแต่ภัสสรชักมีดคัตเตอร์ออกมาขู่ กุลธิดาตกใจจนหน้าซีดเผือดและกลัวจับใจจนทำอะไรไม่ถูก
เจติยา นวัช และนิษฐามานั่งดื่มกาแฟกันในร้านกาแฟที่มหาวิทยาลัย
นิษฐาเหล่นวัชแล้วกระเซ้า “น่าอิจฉาจังเลยเน๊อะ วันหยุดแทนที่จะพักยังอุตส่าห์มาส่งน้องเจเรียนอีก”
นวัชเขิน “พี่ต้องออกมาทำธุระพอดี”
นิษฐายังกระเซ้าไม่เลิก “ทางเดียวกันซะด้วยสิ บังเอิญจังเลยนะคะ”นิษฐายิ้มแซว
เจติยาเหล่มองนิษฐาแล้วด่าด้วยสายตา
ทันใดนั้นเอง ลาภิณก็เดินเข้าร้านมาทั้งนวัชและเจติยาต่างประหลาดใจมาก ลาภิณเหลือบตาเห็นเจติยาอยู่กับนวัชจึงจงใจเดินเข้าไปทักทาย
ลาภิณยิ้มกวน “อยู่กันพร้อมหน้าเลย” ลาภิณแกล้งแซว “ที่เค้าพูดว่าตัวติดกัน มันเป็นยังงี้นี่เอง”
เจติยาจ้องหน้าลาภิณด้วยสายตาแข็งเพราะไม่ชอบใจ
นิษฐายิ้มแย้ม “คุณลาภิณ มาได้ยังไงคะเนี่ย” นิษฐาเหล่ๆเจติยา “จะมาตามตัวพนักงานกลับไปทำงานรึเปล่าคะ”
นวัชทำหน้านิ่ง เขาจับตามองลาภิณอย่างไม่ชอบใจนัก
ลาภิณยิ้ม “เปล่าหรอกครับ วันนี้ผมมาบรรยายเรื่องธุรกิจเกี่ยวกับศพให้นักศึกษาฟัง พอดียังไม่ถึงเวลา ก็เลยแวะมาหากาแฟดื่มแก้ง่วงซักแก้ว”
เจติยาขยับปากพูดพึมพำด้วยความหมั่นไส้ “ถอนเมาค้างซะมากกว่า”
ทันใดนั้นก็มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งเดินหน้าตาตื่นเข้ามาในร้าน แล้วรีบตรงเข้ามาหาเจติยากับนิษฐาทันที
“เธอสองคนเป็นเพื่อนสนิทกับเอียดใช่มั้ย”
“ใช่ มีอะไรเหรอ” นิษฐาถาม
“ภัสเพื่อนฉันมันสติแตก หาว่าเอียดแย่งพี่บอย มันก็เลยเอามีดขู่เอียดให้ไปกับมัน เธอรีบตามไปดูหน่อยเถอะ”
นวัชเป็นห่วงความปลอดภัยของเพื่อนเจติยา “แล้วเค้าพาตัวเพื่อนคุณไปไหนครับ”
นักศึกษาคนนั้นตอบอย่างร้อนใจ “ที่ดาดฟ้าคณะค่ะ”
เจติยาหน้าเครียด “ฐารู้จักพี่บอยอะไรนี่มั้ย”
“รู้จัก อยู่คณะถาปัตย์” นิษฐาบอก
“งั้นแกรีบไปตามพี่บอย ฉันกับพี่หมวดจะไปช่วยเอียดก่อน” เจติยาหันไปพูดกับนวัช “ไปค่ะพี่หมวด”
นิษฐาบอกกับนักศึกษาคนนั้น “เธอไปตามอาจารย์มาเร็วๆเลย”
ทุกคนรีบแยกกันออกไปอย่างรวดเร็วทิ้งลาภิณให้ยืนงงอยู่คนเดียว ลาภิณยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเขาเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือเลยเดินตามออกไปอีกคน
กุลธิดายืนร้องไห้อยู่บนดาดฟ้าพร้อมกับถอยหลังกรูดด้วยความหวาดกลัว ในขณะที่ภัสสรกำลังถือมีดคัตเตอร์เดินเข้ามาหาด้วยหน้าตาถมึงทึงแววตาและเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
กุลธิดาร้องไห้ “ฉันกลัวแล้ว อย่าทำอะไรฉันเลยภัส”
ภัสสรตะคอก “ถ้างั้นแกก็เลิกยุ่งกับพี่บอยสิ ถ้าแกไม่ให้ท่าเค้า เค้าก็คงไม่ทิ้งฉันยังงี้หรอก”
“ฉันไม่ได้ให้ท่าพี่เค้า เค้ามาจีบฉันเอง ฉันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย”
“โกหก เค้าหลงแกก็เพราะแกอ่อยเค้า ผู้หญิงหน้าด้านอย่างแก มันสมควร ต้องเสียโฉม จะได้สำนึก” ภัสสรเงื้อคัตเตอร์จะฟันลงไป
กุลธิดากรี๊ดลั่นด้วยความกลัวสุดขีด ทันใดนั้นประตูดาดฟ้าก็ถูกเปิดออก เจติยา นวัช อาจารย์วิเชียร และนักศึกษาที่เป็นเพื่อนภัสสรอีก 2-3 คนรีบวิ่งเข้ามา โดยมีลาภิณวิ่งตามมาเป็นคนสุดท้าย
เจติยาตะโกนห้าม “เธออย่าทำอะไรเอียดนะ”
ภัสสรเห็นคนมากันเยอะก็ตกใจกลัวจึงรีบเข้าไปล็อกแขนกุลธิดาไว้ทันที
ภัสสรกลัวเลยแกล้งตะโกนเสียงดังเพื่อกลบเกลื่อน “อย่าเข้ามานะ ถ้าใครเข้ามา ฉันกับนังนี่จะตกลงไปตายพร้อมกันให้ดู”
วิเชียรเป็นห่วง “ฟังอาจารย์ก่อนภัสสร ค่อยๆคิด เธอยังมีอนาคตอีกไกล จะมาตัดอนาคตตัวเองทำไม”
นวัชกระซิบบอกเจติยา “เจถ่วงเวลาดึงความสนใจไว้ก่อน”
“ค่ะพี่หมวด”
กุลธิดายังคงกลัวสุดๆ “เจ ช่วยฉันด้วย”
นวัชถอยหลังออกมาแล้วเดินอ้อมเพื่อให้พ้นสายตาของภัสสร เจติยาคิดหาเรื่องคุยถ่วงเวลาแต่เธอไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลยไม่รู้จะทำยังไงดี
ลาภิณเห็นท่าทางกังวลของเจติยาเลยเดินเข้ามาหา “บอกเค้าไป ว่าอีกเดี๋ยวแฟนเค้าจะมา อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม”
เจติยาตั้งสติได้จึงเรียก “ภัสสร”
ภัสสรหันขวับมาจ้องหน้าเจติยา
“แฟนเธอกำลังจะมาแล้ว” เจติยาบอก
ภัสสรหน้าเสีย “นี่พวกแกไปตามพี่บอยมาเหรอ”
“ใช่ มีปัญหาอะไรจะได้เคลียร์กันให้รู้เรื่องไปเลย”
“น้องจะได้ไม่ต้องทำร้ายคนอื่นเพราะความเข้าใจผิด เดี๋ยวจะติดคุกเพราะอารมณ์ชั่ววูบนะครับ” ลาภิณเสริม
ภัสสรเริ่มสับสนและกลัว
เจติยาเห็นสีหน้าของภัสสรดูกังวลๆ จึงรีบยุลาภิณ “พูดอีกสิคุณ พูดอะไรก็ได้”
ลาภิณเหล่มองเจติยาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ชีวิตน้องนอกจากแฟนแล้ว ไม่รักใครอีกเลยเหรอ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ไม่มีเลยรึไง น้องคิดว่าทำแบบนี้แล้ว คนที่รักน้องเค้าจะไม่เสียใจเหรอครับ”
ภัสสรโดนกดดันจนสับสนหนัก “พวกแกเป็นใคร มายุ่งกับฉันทำไมออกไปให้หมดเลยนะ”
“ฉันสนิทกับเอียดมานาน ฉันยืนยันได้ว่าถึงเอียดจะชอบบริหารเสน่ห์ แต่เอียดไม่มีทางแย่งแฟนของใครเด็ดขาด เธอคิดมากเกินไป” เจติยาบอก
ทันใดนั้นนิษฐาก็พาบอยเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
นิษฐาเป็นห่วงเพื่อนสุดๆ “เอียด”
บอยทั้งโกรธทั้งอาย “ปล่อยเอียดเดี๋ยวนี้นะภัส เอียดเค้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ไปยุ่งกับเค้าทำไม”
ภัสสรโมโหหึง “พี่บอยปกป้องมันเหรอ รักมันมากใช่มั้ย ดี งั้นภัสจะให้มันตายพร้อมกับภัสไปเลย”
ภัสสรพยายามจะลากกุลธิดาไปโดยจะกระโดดตึกลงไปด้วยกัน
กุลธิดาพยายามขืนตัวไว้ด้วยความกลัวสุดๆ “ช่วยด้วย”
ทันใดนั้นนวัชก็กระโจนเข้าล็อกตัวภัสสรจากทางด้านหลัง นวัชบิดมือภัสสรจนคัตเตอร์หล่นลงพื้นแล้วก็จับตัวภัสสรเอาไว้ กุลธิดารีบวิ่งเข้าไปกอดเจติยากับนิษฐาทันทีด้วยความตื่นตระหนก ท่ามกลางความโล่งอกของทุกคน
ภัสสรนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อหน้าทุกคน เนื่องจากภัสสรเริ่มกลัวขึ้นมา
บอยรำคาญ “หยุดร้องซะทีเถอะภัส ก่อเรื่องจนคนเค้าเดือดร้อนไปกันหมดแล้ว”
นิษฐาไม่พอใจ “ก็ต้องโทษความเจ้าชู้ของพี่น่ะแหละ อุตส่าห์ไปตามพี่มาช่วยพูด กลับทำให้แย่หนักเข้าไปอีก”
บอยจ๋อย
“เอาเถอะ เมื่อเคลียร์กันได้แล้วก็ดี” นวัชบอก
กุลธิดาโมโห “เคลียร์กันได้ตรงไหนคะพี่หมวด เมื่อกี๊เอียดกลัวแทบตาย ถ้าพี่หมวดช่วยไว้ไม่ทัน ป่านนี้เอียดอาจจะตกลงไปคอหักตายไปแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้น ยังไงเอียดก็จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด” กุลธิดาจ้องหน้าภัสสร ด้วยสีหน้าเจ็บแค้นใจ
ภัสสรกลัวจนหน้าแหย “ฉันขอโทษ ฉันยอมรับผิดทุกอย่าง แต่ฉันไม่ได้คิดจะทำร้ายเธอจริงๆ หรอกนะเอียด ฉันก็แค่ต้องการขู่ให้เธอเลิกกับพี่บอยเท่านั้นเอง ถ้าฉันคิดจะทำร้ายเธอจริงๆ ฉันทำไปนานแล้ว ไม่พาเธอขึ้นไปถึงบนดาดฟ้าให้เสียเวลาหรอก”
กุลธิดาตวาดแว๊ด “ตอนนี้เธอจะพูดยังไงก็พูดได้ กลัวขึ้นมาล่ะสิ”
“เอียด ยกโทษให้ภัสเค้าเถอะนะ” เจติยาบอก
กุลธิดาโมโห “เจ นี่แกเพื่อนใครกันแน่”
“เพื่อนแกนั่นแหละ แต่ฉันไม่อยากให้เรื่องบานปลายไปใหญ่โต เห็นแก่อนาคตของภัสเค้าบ้างเถอะ”
รากบุญ ตอนที่ 3 (ต่อ)
กุลธิดาขำแบบหยันๆ
เจติยาพยายามหว่านล้อม “ที่เค้าทำไปก็เพราะอารมณ์ชั่ววูบ เมื่อเข้าใจกันแล้ว ก็ให้มันจบไปเถอะนะเอียด”
“พี่ขอร้องเอียดด้วยคนนะ” บอยบอก “จะให้พี่ไหว้พี่ก็ยอม แต่อย่าเอาเรื่องภัสเลย ทั้งหมดเป็นความผิดของพี่เอง ต่อไปพี่จะไม่ยุ่งกับเอียดอีกแล้ว”
ภัสสรมองหน้าบอยด้วยสายตาซาบซึ้งเพราะดีใจที่บอยปกป้องเธอ
“ไม่ใช่ว่าอาจารย์เข้าข้างภัสสรมากกว่าเธอหรอกนะกุลธิดา แต่ถ้าสถานการณ์กลับกัน อาจารย์ก็ไม่อยากให้เธอต้องมีประวัติด่างพร้อยเพราะเรื่องแบบนี้เหมือนกัน” วิเชียรหน้าเครียดไปอย่างผิดสังเกตหลังพูดประโยคนี้จบดูเหมือนเขามีเรื่องไม่สบายใจอยู่มาก
ภัสสรหน้าเจื่อน เธอชำเลืองมองกุลธิดาเพื่อขอความเห็นใจ กุลธิดาปั้นหน้าปั้นปึงและนั่งเงียบไป ทุกคนมองไปที่กุลธิดาอย่างลุ้นๆ ว่าเธอจะเอายังไง
เวลาผ่านไป เจติยาเดินออกมาจากตึกเรียน จังหวะเดียวกับที่ลาภิณเดินเลี้ยวมาพอดี
“เจติยา” ลาภิณเรียก
เจติยาหันไปมอง
“ตกลงเพื่อนแจ้งความเอาเรื่องมั้ย” ลาภิณถาม
“ไม่ค่ะ ภัสเค้าสำนึกผิด เอียดก็เลยไม่เอาเรื่อง” เจติยาทำหน้าเซ็ง “แต่ฉันสิ เรียนวิชาแรกไม่ทันเลย แล้วนี่คุณลาภิณบรรยายเสร็จแล้วเหรอคะ”
“เพิ่งเสร็จเมื่อกี๊เอง” ลาภิณยิ้ม “จะว่าไปเธอนี่ก็เก่งนะ ฉันเจอเธอทีไรมีแต่เรื่องตลอด แต่เธอก็เอาตัวรอดมาได้ทุกที”
เจติยายิ้มบาง “เป็นคำชมที่ดูทะแม่งๆนะคะ แต่ก็ขอบคุณค่ะ ความจริงงานนี้ฉันมัวแต่ห่วงเพื่อน ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ถ้าไม่ได้คุณช่วยก็คงแย่”
ลาภิณยิ้มรับ
ทันใดนั้นก็มีมือเด็กผู้หญิงที่เย็นเฉียบเอื้อมมาจับมือของเจติยาไว้จนเจติยาสะดุ้งเฮือกแล้วหันไปมองตาม เจติยาเห็นวิญญาณน้องออยกำลังจับมือเธออยู่
“รถคันนั้นไงคะพี่เจ รถสีดำคันนั้นที่ชนหนู” น้องออยชี้นิ้วให้ดู
เจติยามองตามจนเห็นรถสีดำคันหนึ่งจอดอยู่หน้าตึก
ทันใดนั้นอาจารย์วิเชียรก็เดินออกมาจากตึกเรียนแล้วกดรีโมทปลดล็อกรถสีดำคันนั้นก่อนจะเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งแล้วขับออกไป
เจติยาตกใจมากที่ฆาตกรที่ขับรถชนน้องออยคืออาจารย์วิเชียร “อาจารย์”
ตกเย็น นวัชกำลังคุยกับเจติยาและนิษฐาอยู่ในห้องทำงาน
นวัชแปลกใจ “พี่ไม่เข้าใจเลยเจ ทำไมต้องเป็นรถสีดำด้วย แล้วเจไปได้เลขทะเบียนรถมาจากไหน”
เจติยาหนักใจ “เจก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงจริงๆ ค่ะพี่หมวด แต่เชื่อเจเถอะค่ะ ว่ารถคันนี้เป็นคันที่ชนเด็กผู้หญิงคนนั้นจริงๆ”
“แกบอกแต่ให้เชื่อ แต่ไม่อธิบายอะไรเลย พี่หมวดจะเอาหลักฐานอะไรไปจับเค้า” นิษฐาว่า
นวัชจ้องหน้าเจติยา “อย่าบอกนะว่าผีเด็กนั่นมาเข้าฝันเจเหมือนกับป้านิภาอีกคน”
เจติยาชะงักไปเล็กน้อย
นิษฐาได้ยินก็หน้าเสียเพราะกลัว “ผงผีอะไรกันพี่หมวด ไม่เอาไม่พูดค่ะ”
เจติยาไม่รู้จะพูดยังไง “ก็ทำนองนั้นแหละค่ะ”
นิษฐางง “เธอฝันเหรอเจ”
“ใช่ ฉันฝันเห็นว่ารถคันนี้ชนเด็ก แล้วก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย ฉันเคยฝันแล้วช่วยพี่หมวดคลี่คลายคดีมาตั้งหลายครั้งแล้ว”
นิษฐาไม่เชื่อจึงหันไปมองหน้านวัช “จริงเหรอคะพี่หมวด”
นวัชพยักหน้ารับอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก
“นี่ฉันมีเพื่อนเป็นมนุษย์พลังจิตซิกเซนต์เหรอเนี่ย” นิษฐางง
เจติยาได้ทีก็ทำฟอร์มขึงขัง “ก็เพราะฉันไม่อยากเป็นตัวประหลาดแบบนี้ไง ถึงไม่เล่าให้ใครฟัง แกกับพี่หมวดก็บังคับฉันอยู่ได้”
นวัชเครียด “นี่เจจะให้พี่สืบโน่นสืบนี่ตามความฝันของเจตลอดเวลาไม่ได้หรอกนะ พี่ต้องเห็นหลักฐานที่เป็นรูปธรรมก่อน”
“พี่หมวดก็อย่ามองว่าเป็นเรื่องงมงายอย่างเดียวสิคะ ลองมองผลประโยชน์ที่ผู้เสียหายจะได้รับบ้าง เพราะถ้าสิ่งที่เจฝันเป็นจริง ก็เท่ากับว่าเราจับตัวคนผิดมารับโทษได้เร็วขึ้นนะคะ” เจติยาบอก
นวัชยอมรับว่าเจติยาพูดถูกแต่ก็เป็นเรื่องเหนือจริง เขาจึงได้แต่ถอนใจด้วยความหนักใจ
นิษฐาชักอยากรู้ “แล้วแกรู้รึเปล่า ว่าใครเป็นเจ้าของรถคันนี้”
เจติยาหน้าขรึมลงเพราะไม่สบายใจมาก “รู้...พี่หมวดกับฐาก็รู้จัก”
นวัชและนิษฐายิ่งงง ทั้งสองรอฟังคำตอบจากเจติยาด้วยความอยากรู้
บรรยากาศหัวค่ำหน้าบ้านเจติยามีเสียงหมาหอนชวนให้วังเวง เจติยากำลังเดินขึ้นบันไดมาห้องนอน เธอต้องชะงักไปกับเสียงหมาหอนที่ยาวต่อเนื่อง
เจติยาบ่นกับตัวเอง “จะหอนไปเพื่อ...”
เจติยาถอนใจส่ายหน้าแล้วก้าวขึ้นบันไดชั้นบนสุดพอเบี่ยงตัวจะเลี้ยว น้องออยก็มายืนเงยหน้ามองตามเจติยาอยู่ที่ขั้นบันได น้องออยจ้องเขม็งด้วยสีหน้าแววตาไม่พอใจมาก
น้องออยเรียกเสียงห้วนแข็ง “พี่เจ”
เจติยาหันไปเห็นก็ผงะไป “น้องออย”
น้องออยทำหน้าตาโกรธจัด เธอก้าวเท้าขึ้นบันไดแล้วเดินตรงเข้าหาเจติยา
เจติยาชักหวั่นใจและรู้สึกไม่ดี “ทำไมมองพี่อย่างงั้นล่ะน้องออย”
น้องออยโมโหมาก “พี่ผิดสัญญา”
น้องออยพูดจบก็มีลมพายุหมุนกระหน่ำกลางโถงบันไดจนเจติยาแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ข้าวของในห้องปลิวว่อน กรอบรูปที่แขวนอยู่และของตั้งโชว์หล่นเกลื่อนกลาด เจติยาเห็นท่าไม่ดีก็รีบวิ่งหนีเข้าห้องนอน น้องออยหันมองตามด้วยสีหน้าแววตาโกรธจัด
เจติยาเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าหวาดกลัว เธอรีบล็อคประตูห้องทันที
เจติยาได้สติก็ฉุกคิด “ล็อคประตูแล้วจะหนีผีพ้นรึไงเจ คิดอะไรของแก”
เสียงน้องออยดังขึ้น “พี่ผิดสัญญา”
เจติยาตกใจ เธอหันมองไปรอบห้องแต่ก็ไม่เห็นน้องออย โต๊ะ ตู้ ชั้นวางของในห้องนอนเลื่อนไปจากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่ง ส่วนเก้าอี้ก็หมุนรอบตัวเอง เจติยามีสีหน้าหวาดกลัว
“พี่ผิดสัญญา” เสียงน้องออยดังขึ้นอีก
ประตูตู้เสื้อผ้าเปิดกระแทกออก เสื้อผ้าในตู้พุ่งใส่เจติยาเหมือนถูกปาออกมา น้องออยสีหน้าโกรธจัดปาเสื้อเหล่านั้นใส่เจติมา
“หยุดนะน้องออย อย่าทำแบบนี้นะ โกรธอะไรพี่ พี่ทำผิดตรงไหน” เจติยาถาม
น้องออยหยุดเขวี้ยงปาเสื้อผ้าแต่ยังมีหน้าตาโกรธจัด เธอเลื่อนตัวพุ่งเข้าหาเจติยา
“พี่รู้ตัวคนที่ชนหนูแล้ว ทำไมยังไม่บอกความจริง”
พูดจบสภาพน้องออยก็เริ่มเปลี่ยนจากเด็กหน้าตาน่ารักกลายสภาพเป็นเลือดท่วมน่าสยดสยองเหมือนตอนที่เธอตายไม่มีผิด
เจติยาตกใจกลัวจนถอยกรูดไปชนผนัง “มีเหตุผลหน่อยสิออย ตำรวจจะจับใครก็ต้องรอให้ได้หลักฐานมัดตัวเค้าก่อน จะไปกล่าวหาเค้าลอยๆ ได้ยังไง”
น้องออยโมโหมากจึงตะคอกใส่เจติยา “หนูไม่รอแล้ว”
ทันใดนั้นน้องออยก็พุ่งเข้าใส่เจติยา พร้อมทั้งกางแขนขาแปะติดผนังเหมือนจิ้งจกประชิดตัวเจติยา
เจติยาตกใจจนแทบช็อค แต่แล้วเธอก็ฮึดสู้ด้วยการตวาดใส่ด้วยอารมณ์โกรธ “หยุดเดี๋ยวนี้นะออย ถ้าไม่มีเหตุผลแบบนี้ ต่อไปพี่จะไม่ช่วยเหลืออะไรอีกแล้ว”
น้องออยตกใจมากเหมือนเด็กถูกดุจึงกลัวแล้วหายวับไปทันที
เจติยาเห็นวิญญาณน้องออยกลัวจนหนีไปจึงเป่าปากโล่งอก เธอเลื่อนตัวลงมานั่งอย่างหมดแรง เจติยายกมือขึ้นกุมหัวเพราะกลัวจนจะประสาทเสียอยู่แล้ว
สายวันต่อมา เจติยากำลังใส่รองเท้า เตรียมจะออกไปเรียนที่มหาวิทยาลัย มยุรีเดินออกมาจากข้างในพร้อมกล่องใส่กล้วยบวชชี
“เดี๋ยวเจ เอาไปฝากหนูฐาด้วย” มยุรีบอก
เจติยายิ้มขี้เล่น “เจจะแกล้งคิดตังค์ฐา”
มยุรียิ้ม
เจติยารับถุงมาแล้วมองแม่ด้วยความเป็นห่วง “วันนี้ห้ามลืมชั่งน้ำหนักอีกนะคะ”
“แม่หายแล้ว” มยุรีบอก
“ยังไงก็ชะล่าใจไม่ได้นะคะแม่ ปุบปับหายได้ เกิดปุบปับกลับมาเป็นอีกจะยุ่งนะคะ”
มยุรียิ้มแย้ม “จ้ะ”
เจติยาจับมือแม่เอาไว้ “ยังไงก็คุมเรื่องการกินอาหารไว้สม่ำเสมอก็ดีนะคะแม่” เจติยามีสายตาเป็นห่วง
มยุรียิ้มปลื้มใจ “จ้ะ ไปเรียนได้แล้ว”
ทันใดนั้นเสียงกริ่งหน้าบ้านเจติยาก็ดังขึ้น
เจติยาสงสัย “ใครมาแต่เช้าเลย” เจติยาเดินออกไปดู
เจติยาเดินออกมาหน้าบ้านจนเห็นอาจารย์ของนทีกำลังยืนรออยู่
เจติยาเดินเข้าไปหา “มาหาใครคะ”
“ที่นี่ใช่บ้านของนทีรึเปล่าคะ” อาจารย์ถาม
“ใช่ค่ะ”
“ดิฉันเป็นครูประจำชั้นของนทีนะคะ ไม่ทราบว่านทีอยู่บ้านรึเปล่าคะ”
“นทีไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ”
อาจารย์หน้าเครียด “วันนี้ไม่ได้ไปเรียนนะคะ ที่ครูมาที่นี่ ก็เพราะนทีขาดเรียนติดต่อกันบ่อยมากจนจะหมดสิทธิ์สอบแล้วนะคะ ไม่ทราบว่านทีมีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ”
เจติยาหน้าตาโกรธจัดขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าน้องตัวเองโดดเรียนอีกแล้ว
นทีกำลังนั่งเล่นเกมส์ฟุตบอลกับเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่ห้องพักของเพื่อนที่หอพัก เพื่อนอีกคนเดินเข้ามาหานที พร้อมกับหยิบเงินยื่นให้นทีจำนวนหนึ่ง
“อ้ะ ส่วนแบ่งของมึง”
นทีรับเงินมา “ขอบใจโว้ย”
เพื่อนคนนั้นตบบ่านที “ยังไงเสาร์นี้ก็อย่าลืมให้ทีเด็ดกูอีกนะโว้ย มึงนี่มันเจ๋งจริงๆว่ะ เข้าทุกคู่เลย”
นทียิ้มพอใจ “มันแน่อยู่แล้ว กูข้อมูลแน่น”
“แมทช์หน้าเล่นเองเลย กลัวอะไรวะ” เพื่อนบอก
“ก็กะอยู่ อยากถอยมือถือใหม่อยู่เหมือนกัน” นทีว่า
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูเสียงดังรัวขึ้นมาขัดจังหวะ
เพื่อนคนนึงหงุดหงิด “ใครวะ เคาะแบบนี้มันว๊อน” เพื่อนเดินท่านักเลงกวนๆไปเปิดประตู พอประตูเปิดออกก็ถึงกับชะงักแล้วหน้าเจื่อน เขายกมือไหว้ประหลกๆ เมื่อเห็นเจติยายืนหน้าถมึงทึงอยู่หน้าห้อง
เจติยาโกรธจัด เธอมองไปเห็นนทีอยู่ในห้อง “นที”
นทีตกใจมาก “พี่เจ”
เจติยาผลักอกเพื่อนคนที่มาเปิดประตูออกแล้วตรงเข้าไปหานทีทันที “กลับไปกับฉันเดี๋ยวนี้” เจติยากระชากแขนนที
นทีตกใจปนโกรธ “ปล่อยนะพี่เจ”
เจติยาไม่ฟังเสียง เธอกระชากนทีออกจากห้องไปพร้อมตนทันที ท่ามกลางความตกใจของเพื่อนๆ
เจติยากระชากแขนนทีให้เดินมากับตนด้วยความโกรธจัด นทีทนไม่ไหวจึงกระชากแขนตัวเองออกมาแรงๆ
นทีโมโห “ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะพี่ พี่จะมาทำกับผมแบบนี้ไม่ได้นะ”
เจติยาโมโหมาก “ไม่ใช่เด็กเหรอ แล้วที่แกหลอกแม่หลอกฉันว่าไปเรียน แต่กลับมามั่วสุมอยู่ที่นี่ล่ะ เค้าเรียกว่าอะไร นี่ถ้าอาจารย์ประจำชั้นของแกไม่ไปหาที่บ้าน ฉันกับแม่ก็ยังโง่ถูกแกหลอกไปเรื่อยๆ”
นทีหน้าเสียแต่ก็ไม่ยอมแพ้ยังเถียงข้างๆคูๆ “พี่ไม่มีวันเข้าใจผมหรอก ผมเป็นตัวเต็งที่จะได้รับเลือกเข้าทีมฟุตบอล แต่อยู่ๆก็วืด ผมอายจนไม่อยากสู้หน้าใครแล้ว พี่จะให้ผมไปโรงเรียนอีกเหรอ”
เจติยาส่ายหน้า “นี่น่ะเหรอเหตุผลของแก เอาสีข้างเข้าถูชัดๆ ฉันกับแม่เหนื่อยสายตัวแทบขาดเพื่อหาเงินส่งแกเรียน แต่แกกลับไม่ไปเรียนเพราะเหตุผลงี่เง่า ไม่มีสมองยังงี้ก็อย่าเรียนมันเลย”
“เอะอะก็ขู่ไม่ให้เรียน เอาซี แน่จริงก็เอาผมออกมาเลยสิรับรองว่าแม่ไม่มีทางยอมให้พี่ทำหรอก”
เจติยาโมโหมาก “แกทำผิดขนาดนี้ ยังกล้ามาท้าทายฉันอีกเหรอะ ก็ได้ เมื่อแกไม่รักดียังงี้ ต่อไปนี้ฉันก็จะไม่ยุ่งกับแกอีก สตางค์แดงเดียว ฉันก็จะไม่มีวันให้แก”
นทีโมโหจึงตะคอกใส่หน้า “ไม่ให้ก็ไม่เอา คิดว่ามีเงินแล้วคนอื่นต้องง้อเหรอ ผมหาเงินใช้เองก็ได้ จะได้ไม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณ ให้พี่มานั่งทวงได้ทุกวัน” นทีจ้องหน้าเจติยาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ก่อนจะเดินกลับเข้าหอพักเพื่อนไป เจติยามองตามด้วยความโกรธจัด เธอทั้งโกรธทั้งผิดหวังในตัวน้องชายเป็นอย่างมาก
ชูจิตกำลังอ่านเอกสารอยู่ในห้องทำงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พิสัยยืนหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่ไม่ห่าง ในขณะที่ลาภิณ และปริมยืนอยู่ใกล้ๆ ชูจิตอ่านเสร็จก็ปิดแฟ้มลงแล้วมองน้องชายด้วยความโมโห
พิสัยกลัว “พี่จิตฟังผมก่อนนะครับ อย่าเพิ่งฟังความฝ่ายเดียว” พิสัยเหล่มองลาภิณอยู่ในที “โอเคถึงโรงงานผมจะส่งไม้ทำโลงศพทั้งหมดให้บริษัท แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดอะไรนี่ครับ” พิสัยยักไหล่แบบไม่แคร์ “ที่ไหนๆ เค้าก็ทำกันทั้งนั้น บริษัทในเครือ บริษัทลูก ไม่เห็นแปลก”
“ใช่ ไม่แปลก แต่โรงไม้ของน้าไม่ใช่บริษัทลูกของเรา และไม่มีใครรู้ว่าน้าเป็นเจ้าของกิจการ” ลาภิณจ้องหน้า “ทำไมน้าพิสัยถึงต้องปิดเรื่องนี้ด้วยล่ะครับ” ลาภิณมีสีหน้าแววตาจับผิด
พิสัยพูดสวน “ก็เพราะน้าไม่อยากให้พวกไม่หวังดีกับครอบครัวเรา เอาไปพูดให้กินแหนงแคลงใจกันน่ะสิ...แล้วมันก็เป็นจริงๆ อย่างที่น้ากลัว” พิสัยถอนใจแล้วส่ายหน้าด้วยความรู้สึกแย่ๆ
ลาภิณหน้านิ่งเพราะไม่เชื่อ “เหรอครับ ผมสืบมาหมดแล้ว ว่าน้าอยู่เบื้องหลังประมูลงาน โรงไม้ของน้าประมูลงานได้ทั้งที่โรงไม้เจ้าอื่นให้ราคาต่ำกว่า”
“คุณภาพไม้มันต่างกัน” พิสัยสวน
“ใช่ครับ ไม้จากโรงงานของน้าผิดสเป็คตลอด ยังดีที่ลูกค้าไม่รู้ ไม่อย่างงั้นเราถูกฟ้องร้องเสียชื่อบริษัทไปนานแล้ว...ผมไม่ได้กล่าวหาลอยๆ ผมมีหลักฐานยืนยันคำพูดทุกอย่าง”
พิสัยพยายามเก็บอาการ เขาจ้องหน้าลาภิณนิ่งๆ
ปริมมีสีหน้าดูถูกพร้อมทั้งมองพิสัย “คุณน้าทำแบบนี้ได้ยังไงคะ บริษัทเราเองแท้ๆ” ปริมส่ายหน้า
พิสัยหน้าซีดเผือดเพราะเจอต้อนจนจนมุม
ชูจิตสงสารพิสัยเลยช่วยพูดแก้ให้ “เรื่องไม้ไม่ตรงตามสเป็คแม่จะจัดการเองแล้วกัน ส่วนเรื่องที่น้าพิสัยเค้าเป็นเจ้าของโรงไม้ แม่รู้อยู่แล้วล่ะ”
พิสัยอึ้งไปเพราะนึกไม่ถึงว่าชูจิตจะเข้าข้างตนเพราะจริงๆชูจิตไม่รู้อะไรด้วยเลย ลาภิณแอบถอนใจเซ็งๆ ที่แม่เข้าข้างน้องชายตัวเองอีกแล้ว
ชูจิตพูดต่ออย่างแนบเนียน “ตอนจะเปิดกิจการพิสัยเค้าก็มาปรึกษากับแม่ตลอด”
ลาภิณเครียด “ขนาดนี้แล้ว คุณแม่ยังจะเข้าข้างน้องชายอีกเหรอครับ”
“แม่ไม่ได้เข้าข้างใครทั้งนั้นล่ะ คิดดูสิต้น ยังไงซะเราก็ต้องสั่งไม้มาทำโลงศพอยู่แล้ว แล้วจะเอาเงินไปให้คนอื่นทำไม สู้อุดหนุนคนกันเองไม่ดีกว่าเหรอจ๊ะ”
พิสัยอมยิ้มสะใจปนเย้ยลาภิณอยู่ในที
ลาภิณโกรธมาก “ถ้าคุณแม่เห็นดีด้วยแบบนี้ก็แล้วไป” ลาภิณหันไปพูดกับปริม “ไปกันเถอะปริม”
ลาภิณเดินหัวเสียนำออกไป ปริมเหยียดปากพร้อมใช้หางตามองพิสัยก่อนเดินตามแฟนหนุ่มออกไป
พิสัยยิ้มดีใจ “ขอบคุณมากครับพี่จิต”
ชูจิตจ้องหน้าพิสัย “เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันต่อนะพิสัย”
พิสัยหน้าเจื่อนไป เขาหลบสายตาแต่ยังแอบมองตามลาภิณด้วยสายตาเกลียดชังจับใจ
ลาภิณและปริมกำลังเดินคุยกันมาตามทางเดินในบริษัท
ปริมรู้สึกไม่พอใจแทน “แม่คุณต้นนี่รักน้องจังเลยนะคะ หลักฐานจะๆอย่างงี้แล้ว ยังกางปีกปกป้องกันอีก”
ลาภิณเคือง “คุณแม่เค้าเลี้ยงน้าพิสัยเหมือนลูกน่ะปริม พอคุณตาคุณยายเสีย คุณแม่ก็ยิ่งสงสารน้องเข้าไปใหญ่จนตามใจทุกอย่าง”
ปริมแปลกใจ “จริงๆ คุณต้นกับน้าพิสัยน่าจะสนิทกันนะคะ อายุก็ไล่เลี่ยกันแถมยังเป็นน้าหลานแท้ๆกันอีก ไม่น่าไม่ลงรอยกันแบบนี้เลย”
ลาภิณถอนใจ “เรื่องนี้ต้องไปถามน้าพิสัยเค้าดู ว่าทำไมเค้าถึงได้จงเกลียดจงชังผมนัก”
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา ถ้วยรางวัลถูกเหวี่ยงลงบนพื้นอย่างแรงจนแตกหักโดยพิสัยในวัย 15ปีซึ่งเป็นคนเหวี่ยงถ้วยรางวัลลงพื้นแล้วยังตามไปตามกระทืบจนแตกยับไม่มีชิ้นดี ลาภิณในวัย 10 ปีเดินผ่านมาเห็นเข้าก็ตกใจ
“ทำอะไรครับน้า”
ลาภิณรีบเข้าไปดูถ้วยรางวัลของตัวเองซึ่งถูกทำลายจนแตกหักไปหมด
ลาภิณโมโห “นี่มันถ้วยรางวัลของต้น ทำไมน้าทำแบบนี้ล่ะครับต้นจะฟ้องคุณพ่อคุณแม่”
พิสัยกระชากคอเสื้อลาภิณขึ้นมาแล้วตะคอก “แกกล้าเหรอไอ้ต้น ถ้าแกฟ้องพี่จิตกับพี่รัชล่ะก็ ฉันจะอัดแกให้น่วมเลย” พิสัยเงื้อหมัดจะชก
ลาภิณกลัว “ต้นไม่ฟ้องแล้วครับ”
พิสัยผลักลาภิณจนล้มลงกับพื้น
ทันใดนั้นเอง ชูจิตก็เดินผ่านมา
ชูจิตเห็นถ้วยรางวัลแตกก็ตกใจ “ตายจริง นี่มันถ้วยรางวัลของต้นนี่ลูก ทำไมแตกละเอียดยังงี้ล่ะ”
พิสัยปั้นหน้าลำบากใจ “ก็ต้นน่ะสิครับพี่จิต ไม่พอใจที่ได้แค่รองแชมป์ เค้าก็เลยพังมันทิ้ง” พิสัยจ้องหน้าต้นเพื่อข่มขู่
ชูจิตหนักใจ “โธ่ต้น ทำไมทำแบบนี้ล่ะลูก” ชูจิตเข้าไปโอบบ่าลูก “ฟังแม่นะจ๊ะ ถึงได้รองแชมป์ก็ไม่เห็นน่าเสียใจตรงไหนเลย ลูกน่าจะภาคภูมิใจถึงจะถูก”
ลาภิณมองไปที่พิสัยที่ยืนอยู่ด้านหลังชูจิต พิสัยยิ้มเยาะสะใจที่ได้แกล้งลาภิณโดยไม่มีใครทำอะไรตนได้
อีกห้าปีต่อมา พิสัยวัย 20 ปีกำลังจะออกไปเที่ยวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทันใดนั้นลาภิณในวัย 15 ปีก็เข้ามาขวางหน้าพิสัยไว้
พิสัยปั้นยิ้ม “มีอะไรเหรอ”
ลาภิณมีสีหน้าบึ้งตึง “ทำไมน้าต้องยุให้คุณแม่ส่งผมไปเรียนต่อไฮสคูลที่อเมริกาด้วย”
พิสัยตีหน้าตาย “ยุที่ไหนกัน น้าเห็นแก่อนาคตของเราตะหาก อยากให้เราได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ ได้เรียนสูงๆไม่ดีตรงไหน”
ลาภิณโมโห “น้าเลิกตีสองหน้าซะทีเถอะ น้าเกลียดผมทำไมผมจะไม่รู้ น้าทำอย่างงี้ เพราะต้องการแกล้งผม อยากให้ผมไปให้พ้นๆ บ้าน”
พิสัยยิ้มขำ “ถ้าการส่งต้นไปเรียนต่ออเมริกาเป็นการกลั่นแกล้งกัน คงมีคนอยากถูกแกล้งอย่างต้นกันทั้งประเทศล่ะ” พิสัยตบบ่าลาภิณ “เชื่อน้าเถอะนะต้น ไปเรียนซะ จะได้หายเป็นลูกแหง่ซะที”
ลาภิณปัดมือพิสัยที่จับบ่าตนออก “น้าจำไว้เลย ผมรู้ว่าน้าคิดจะทำอะไร ผมไม่มีวันยอมให้น้าทำสำเร็จหรอก”
พิสัยขำหยันๆ แล้วก็ส่ายหน้าดูถูกลาภิณ ลาภิณเดินเลี่ยงไปอย่างหัวเสีย
ที่เหตุการณ์ปัจจุบัน ลาภิณกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องแต่เขายังยังใจลอยคิดถึงเรื่องพิสัยที่เล่าให้ปริมฟังอยู่ เลขาเคาะประตูห้องก่อนเปิดเข้ามา ลาภิณค่อยหลุดจากคิดเหล่านั้น
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ” เลขาบอก
ลาภิณดูนาฬิกา “ทุ่มนึงแล้วเหรอ ขอโทษทีนะ ผมทำงานเพลินไปหน่อย คุณเลยต้องเลทไปด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
ลาภิณฉุกคิด “ปกติฝ่ายตกแต่งศพ ต้องคอยแสตนด์บายทั้งคืน ใช่มั้ย”
“ค่ะ ลูกค้าบางคนถือเรื่องฤกษ์ยาม หรือไม่ก็มีข้อจำกัดทางศาสนาเราก็เลยต้องเตรียมพร้อมไว้ยี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อให้ได้ทุกอย่างตามที่ลูกค้าต้องการค่ะ”
ลาภิณพยักหน้ารับทราบ
“ไม่ทราบว่าคุณลาภิณมีธุระกับฝ่ายตกแต่งศพเปล่าคะ ดิฉันจะได้ไปตามให้”
“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่ถามดูเฉยๆ คุณกลับเถอะ”
เลขายิ้มรับก่อนเดินออกไป ลาภิณนึกถึงเจติยาขึ้นมาและอยากรู้ว่าค่ำมืดอย่างนี้เจติยาอยู่เวรคนเดียวหรือเปล่า
โอเอ้เดินเอาชามก๋วยเตี๋ยวกับขวดใส่น้ำเย็นมาให้เจติยาที่กำลังแกะถุงก๋วยเตี๋ยวอยู่ในห้องแต่งศพ
โอ้เอ้กลัวผีจับใจ “อ้ะพี่เจ เอาชามไปเลย แกะเองแล้วกัน ผมกลับแล้วนะ”
“อ้าว ไม่กินก๋วยเตี๋ยวด้วยกันก่อนเหรอ พี่อุตส่าห์ซื้อมาฝาก”
“กินคนเดียวเหอะพี่ กินกับศพ ผมกินไม่ลงหรอก ค่ำมืดป่านนี้แล้วด้วย อึ๊ย” โอ้เอ้ขนลุก
เจติยาขำ “เมื่อไหร่จะชินซะทีนะโอ้เอ้ ทำงานมาตั้งนานแล้ว”
โอ้เอ้กวาดตามองรอบๆห้อง “ทำจนแก่ก็ไม่ชินพี่”
เจติยายิ้ม “พี่จะบอกอะไรให้ ผีหลอกน่ะไม่น่ากลัวเท่ากับโดนคนหลอกหรอก คนเรานี่แหละน่ากลัวที่สุดแล้ว” เจติยาหันไปพูดกับน้องออยที่ยืนอยู่ข้างๆโอ้เอ้ “จริงมั้ย”
วิญญาณน้องออยที่มาในสภาพน่ารักยืนพยักหน้ายิ้มรับอยู่ข้างๆโอ้เอ้ โดยที่โอ้เอ้ไม่เห็นแม้แต่น้อย
โอ้เอ้เสียววูบ “พูดกับใครน่ะพี่เจ”
เจติยายิ้มแกล้ง “ก็พูดกับเด็กที่ยืนอยู่ข้างๆเราไง”
โอ้เอ้หน้าซีด “พี่เจ มุกนี้ไม่เอาเลยนะ มืดแล้วไม่ตลกนะพี่”
น้องออยแกล้งกระตุกชายเสื้อโอ้เอ้
โอ้เอ้ตาเบิกโพลงแล้วพูดเสียงสั่น ตัวเกร็ง “พี่เจ ใครกระตุกชายเสื้อผม” โอ้เอ้ไม่กล้าก้มมอง
น้องออยรีบยกมือขึ้นปิดปากขำ
โอ้เอ้ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กก็ตาแทบออกมาจากเบ้า “อยู่ไม่ได้แล้วกู”
โอ้เอ้วิ่งออกไปจากห้องแต่งศพทันทีด้วยความหวาดกลัว น้องออยหัวเราะชอบใจแล้ววิ่งตามโอ้เอ้ก่อนจะหายวับไป
เจติยารีบเตือน “น้องออยอย่าแกล้งพี่เค้านะ มันบาปกรรม”
พูดไม่ทันขาดคำเสียงโอ้เอ้แหกปากลั่นก็ดังขึ้น
เจติยาได้แต่ถอนใจส่ายหน้าก่อนจะไปหยิบเครื่องปรุงมาปรุงรสก๋วยเตี๋ยว ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินเข้ามาหายังไม่ทันจะหันกลับไปเสียงลาภิณก็ถามขึ้นมาก่อน
“ยังทำงานอยู่เหรอ”
เจติยาหันมองด้วยความแปลกใจ “เปล่าค่ะ วันนี้ยังไม่มีศพเข้ามา”
“งั้นไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
เจติยาอึ้งไปเล็กน้อย
“ฉันทำงานเพลินไปหน่อย ยังไม่ได้กินอะไรเลย แล้วก็ไม่อยากกินข้าวคนเดียวด้วย”
เจติยาชูชามก๋วยเตี๋ยวให้ดู “ฉันมีก๋วยเตี๋ยวแล้ว คุณลาภิณจะกินด้วยกันมั้ยคะ ยังเหลืออีกถุงนึง”
ลาภิณมีสีหน้าเหยเก “กินในห้องแต่งศพเนี่ยนะ”
เจติยายิ้มกวน “กลัวเหรอคะ”
ลาภิณรีบรักษาฟอร์ม “เปล่า แต่บรรยากาศมันไม่ค่อยเหมาะสมกับการกินอาหารเท่าไหร่”
“รับรองว่าห้องนี้คลีนนิ่งสะอาดปราศจากเชื้อโรคทุกวัน..ตกลงไม่เอาใช่มั้ยคะ”
ลาภิณยิ้มแหยๆเล็กน้อย “ถ้าไม่รบกวนเธอจนเกินไป ไม่อยากเสียเวลาออกไปข้างนอกเหมือนกัน มีงานอยากเคลียร์ต่อให้เสร็จ”
เจติยามองหน้าลาภิณแบบไม่อยากจะเชื่อก่อนจะหยิบก๋วยเตี๋ยวอีกถุงไปใส่ชามให้
ลาภิณมองเจติยาแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ “เธอนี่เก่งดีนะ เป็นผู้หญิงแท้ๆ กลับกล้าทำงานกับศพ”
“ถ้าเทียบกับคุณปริมก็คงแปลก แต่ความจริงมีผู้หญิงเก่งๆ และกล้ากว่าฉันอีกเยอะแยะ” เจติยาเหลือบตามองลาภิณ “คุณเองก็แปลกเหมือนกันแหละ”
“ตรงไหน”
“ก็เจ้าของบริษัทที่ไหน เค้าจะมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวกับลูกจ้างในห้องแต่ศพบ้างล่ะคะ”
ลาภิณมีสีหน้าขรึมลง “คงเพราะฉันเพื่อนน้อยล่ะมั้ง”
เจติยาแอบอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะชำเลืองมองลาภิณ
“ฉันถูกส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็กจนจบปริญญาโท ไม่เคยได้กลับ มาเมืองไทยเลย” ลาภิณยิ้มสงสารตัวเอง “เอาเข้าจริงๆ นอกจากปริมแล้วฉันก็ไม่มีเพื่อนสนิทกับเค้าเลยซักคนเดียว” ลาภิณยักไหล่ “สงสัยฉันจะนิสัยไม่ดี เลยไม่มีใครอยากคบ”
เจติยาชำเลืองมองลาภิณแล้วก็รู้สึกได้ถึงความว้าเหว่ของลาภิณ ที่เธอไม่เคยคิดว่าคนอย่างลาภิณจะมี
เจติยารีบพูดกลบเกลื่อนเพราะไม่อยากเผลออินไปด้วย “ไม่ต้องแต่งเรื่องเลยค่ะ จะลงมาจับผิดกันก็บอกมาตรงๆเลยดีกว่า” เจติยาจ้องหน้าลาภิณแล้วยื่นชามก๋วยเตี๋ยวให้ “ได้แล้วค่ะ”
ลาภิณรับไว้ “ขอบใจนะ”
“ปรุงเอาเองนะคะ อย่าบอกว่าปรุงไม่เป็นอีกล่ะ” เจติยาชักหน้าเซ็งๆ แล้วเดินไปหาที่นั่งกินของตัวเอง
ลาภิณมองตามเจติยาไปแล้วก็มีสีหน้าอยากแกล้ง เลยเดินไปนั่งเผชิญหน้ากินด้วยกันเลย เจติยาเบะปากก่อนจะเบี่ยงตัวไปอีกทาง แล้วเธอก็ก้มหน้าก้มตากินแบบไม่อยากจะสนใจ
เช้าวันต่อมา ภาพรถสีดำของอาจารย์วิเชียรซึ่งกำลังวิ่งอยู่บนถนนแล้วเลี้ยวเข้าอู่ซ่อมรถไป เจติยาและนิษฐากำลังดูภาพนั้นจากคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของนวัชอยู่
“ผมรวบรวมภาพจากกล้องวงจรปิดในวันที่เกิดเหตุได้เท่านี้แหละ ไม่มีภาพไหนชี้ชัดว่ารถคันนั้นชนเด็ก บอกได้แค่ว่ารถคันนั้นอยู่ในบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุก็เท่านั้น” นวัชบอก
“งั้นอาจารย์อาจจะเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ได้ใช่มั้ยคะ” เจติยาถาม
“ถ้าไม่มีหลักฐานอะไรเพิ่ม ก็ต้องสันนิษฐานแบบนั้นไว้ก่อน”
เจติยามองภาพในคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมา “ทำไมรถถึงเลี้ยวเข้าไปในอู่ล่ะคะ”
“รถเสียก็ไปซ่อมน่ะสิ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”
เจติยาคิดต่อ “แล้วถ้ารถไม่ได้เสียล่ะ”
นวัชเสริมต่อทันทีอย่างรู้ใจกัน “แต่มีร่องรอยจากการชนเด็ก”
เจติยาหันมองหน้านวัชแล้วยิ้มดีใจอย่างมีความหวัง “ก็เลยต้องรีบเอาไปซ่อมเพื่อทำลายหลักฐาน”
นวัช เจติยา และนิษฐายิ้มออกเริ่มมองเห็นจุดหาหลักฐานต่อได้
ช่างซ่อมรถกำลังดูรูปรถของวิเชียร โดยมีเจติยา นิษฐา และนวัชที่ไม่ได้สวมเครื่องแบบตำรวจยืนอยู่ใกล้ๆ
“ใช่ครับ รถของอาจารย์วิเชียร แกเป็นลูกค้าประจำที่นี่” ช่างบอก
“รถไปชนมาเหรอคะ” เจติยาถาม
“ครับ อาจารย์แกเป็นคนขับรถเร็ว เฉี่ยวชนประจำล่ะครับ เมื่อไม่กี่วันก่อนรถแกก็เพิ่งไปชนมา ผมเป็นคนซ่อมให้เองครับ”
เจติยา นิษฐา และนวัชหันไปมองหน้ากันเพราะเริ่มรู้สึกเข้าเค้า
“แต่เครื่องยนต์โอเคอยู่นะครับ ขับไม่เยอะด้วย อาจารย์แกขายคุณเท่าไหร่เหรอครับ” ช่างถาม
เจติยายิ้ม “ยังไม่ได้คุยราคากันน่ะค่ะ”
“อาจารย์เค้าทำประกันไว้กับบริษัทไหนครับ” นวัชถาม
“ปกติแกจะมีประกันชั้นหนึ่ง แต่วันก่อน ทำไมไม่ยอมใช้ประกันก็ไม่รู้ รูดบัตรเองเฉยเลย”
นวัชหยิบบัตรตำรวจให้ช่างดู “ขอโทษนะครับ ผมเป็นตำรวจ อยากขอดูหลักฐานการรูดบัตรเครดิตแล้วก็รายละเอียดการซ่อมรถจะได้มั้ยครับ”
ช่างหน้าเสียที่รู้ว่านวัชเป็นตำรวจ เขาตกใจก่อนตอบ “ครับ ได้ครับ”
ช่างหน้าแหยก่อนจะเดินนำนวัชไป
นิษฐาเครียดหนัก “เจ ถ้าอาจารย์เค้าชนเด็กคนนั้นตายจริง แกจะพาพี่หมวดไปจับอาจารย์จริงๆเหรอ”
เจติยาเครียดหนักที่จะต้องทำอะไรแบบนี้
รากบุญ ตอนที่ 3 (ต่อ)
เวลาต่อมา วิเชียรฟังเรื่องจากเจติยาก็ทำสีหน้างงๆ
วิเชียรปั้นสีหน้าแปลกใจ “เธอพูดอะไรของเธอ อาจารย์ไม่รู้เรื่องด้วยเลยนะ”
เจติยาอยู่ในห้องพักอาจารย์กับวิเชียรแค่สองคน เธอมีสีหน้าเคร่งเครียด
เจติยาหน้าขรึม “อาจารย์ยอมสารภาพซะเถอะค่ะ ตอนนี้ทางตำรวจมีหลักฐานครบหมดแล้ว ทั้งภาพจากกล้องวงจรปิด รายละเอียดการจ่ายเงินซ่อมรถของอาจารย์ แล้วก็ยังพยานแวดล้อมอีก หนูนับถืออาจารย์นะคะ ถึงได้อยากให้อาจารย์มอบตัวกับตำรวจเอง”
วิเชียรหน้าเครียด “เธอต้องการอะไรกันแน่เจติยา คิดจะใส่ร้ายเพื่อแบล็กเมล์อาจารย์อย่างงั้นเหรอะ” วิเชียรลุกพรวดขึ้นยืนแล้วพูดเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ขับรถชนใคร ไม่ได้ฆ่าใครทั้งนั้น เธอออกไปได้แล้ว”
ทันใดนั้นร่างของน้องออยในสภาพตอนตายก็ร่วงตกลงมากระแทกกลางโต๊ะทำงานวิเชียร เจติยาตกใจ จนสะดุ้งโผยง แต่วิเชียรไม่เห็น น้องออยมีสีหน้าแววตาโกรธจัดจนตาเบิกโพลง น้องออยเอียงหน้าหันไปจ้องวิเชียรด้วยสายตาอาฆาตแค้น
เจติยากลัวอาจารย์จะเป็นอันตราย “อย่านะออย” เจติยาจ้องไปที่โต๊ะทำงานด้วยสายตาดุ
วิเชียรตกใจว่าเจติยาพูดกับใครที่โต๊ะทำงานของเขาเพราะเขามองไม่เห็นใคร
นิษฐายืนรออยู่หน้าห้องพักอาจารย์วิเชียรด้วยความกระวนกระวาย โดยมีนวัชยืนอยู่ใกล้ๆ
นวัชเห็นนิษฐากระวนกระวายก็ชักรำคาญ “อยู่นิ่งๆ เป็นมั้ยเนี่ย พี่เวียนหัวไปหมดแล้ว”
นิษฐาร้อนใจ “ก็ฐาเป็นห่วงเจนี่คะ”
“เพื่อนเราเก่งขนาดนั้น เอาตัวรอดได้อยู่แล้วล่ะ”
นิษฐายังกังวล “อาจารย์จะฆ่าปิดปากเจมั้ยคะ”
“เค้าไม่ใช่ฆาตกรโรคจิตนะครับคุณนิษฐา” นวัชถอนใจแล้วส่ายหน้า ก่อนจะเดินไปแนบหูฟังที่ประตูห้อง
นิษฐาค้อนใส่นวัชขวับใหญ่
น้องออยดีดตัวขึ้นนั่งจ้องหน้าวิเชียรด้วยสีหน้าดุดัน
เจติยาตกใจกลัวน้องออยทำร้ายอาจารย์จึงรีบห้าม “อย่านะน้องออย”
วิเชียรประหลาดใจ “เธอพูดกับใคร”
“วิญญาณเด็กที่อาจารย์ขับรถชนตายไงคะ”
วิเชียรกวาดตามองหาแต่ก็ไม่เห็นใคร “เพ้อเจ้อ”
“หนูพูดจริงๆ นะคะ วิญญาณเค้าโกรธมากต้องการทำร้ายอาจารย์ อาจารย์รีบสารภาพซะเถอะค่ะ”
วิเชียรโมโห “ฉันไม่มีอะไรจะสารภาพทั้งนั้น ฉันสั่งให้เธอออกไปจากห้องฉันได้แล้ว”
ทันใดนั้นโต๊ะทำงานก็เลื่อนไปดันวิเชียรเข้าไปติดผนังหมายจะอัดให้วิเชียรตายคากำแพง
เจติยากลัวบาปจะติดตัวน้องออยจึงพูดเสียงดัง “ออย พี่บอกให้หยุดเดี๋ยวนี้”
วิเชียรกระโดดขึ้นโต๊ะทำงานจึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะกระโดดลงมาที่พื้นห้อง
วิเชียรตกใจมาก “เธอทำอะไรของเธอ จะฆ่าฉันรึไง”
“หนูไม่ได้ทำนะคะ วิญญาณเด็กคนนั้นทำ”
“โกหก ฉันไม่เชื่อเธอหรอก”
น้องออยใช้พลังจิตกระแทกวิเชียรจนล้มลงก่อนจะจับขาลากไปกับพื้น วิเชียรมองไม่เห็นอะไรแต่ตัวเขายังถูกลากไปรอบๆห้องเลยยิ่งหวาดกลัวสุดๆ
“ช่วยฉันด้วย”
“หนูบอกแล้วเห็นมั้ยคะ” เจติยาบอก
วิเชียรกลัวจึงตะโกนสั่งเจติยา “ฉันเชื่อแล้ว บอกให้มันหยุดสิ”
เจติยาตวาด “หยุดเดี๋ยวนี้นะน้องออย พี่บอกให้หยุดไงล่ะ”
วิญญาณน้องออยค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นในท่าที่ยังจับขาอาจารย์วิเชียรอยู่ หน้าตาของเธอโกรธจัด วิเชียรหันไปมองที่ปลายเท้าทำให้เห็นน้องออยเต็มตาจึงแทบช็อครีบดีดตัวหนีด้วยความตกใจกลัว
น้องออยตะคอก “บอกความจริง บอกมาเดี๋ยวนี้”
วิเชียรกลัวสุดขีดจึงรีบยกมือไหว้ “ฉันขอโทษ ฉันเป็นคนชนเธอเอง ฉันขอโทษ” วิเชียรยกมือไหว้วิญญาณเด็กพร้อมหลับตาปี๋
น้องออยยิ้มพอใจก่อนจะหันกลับไปมองเจติยา จากร่างโชกเลือดค่อยๆเปลี่ยนเป็นเด็กน่ารักตามปกติ น้องออยส่งยิ้มให้เจติยาก่อนจะทำหน้าเศร้าๆประสาเด็กที่ต้องจากกัน น้องออยยกมือบ๊ายบายให้เจติยาก่อนจะเลือนหายไป เจติยาถอนใจยาวออกมา จากนั้นภายในห้องก็เป็นปกติทุกอย่าง ไม่มีร่องรอยใดใดเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเลย มีแต่วิเชียรที่กำลังสติแตกนั่งชิดกำแพงห้อง
“ฉันชนเธอเอง ฉันกลัวแล้ว ฉันจะอุทิศส่วนกุศลไปให้เธอ” วิเชียรยกมือไหว้ท่วมหัวและหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว
ตกกลางดึก เหรียญวางอยู่ในปากยักษ์ที่อยู่บนกล่องรากบุญ เจติยายื่นมือไปหยิบเหรียญขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์
เจติยามีสีหน้าครุ่นคิด “ทุกอย่างเป็นเพราะแก แกบันดาลให้มันเกิดขึ้นใช่มั้ย”
เจติยาเอาเหรียญไปติดที่กล่อง
“แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเพราะแกหรือเพราะอะไรก็ตาม ฉันก็จะไม่ขออะไรจากแกอีกแล้ว”
แล้วเจติยาก็เดินออกจากห้องไป
นัยน์ตาของภาพแกะสลักยักษ์บนกล่องมีสีแดงเรืองแสงขึ้น แล้วก็มีเงาดำทะมึนลอยออกมาจากกล่อง ก่อนจะขยายใหญ่ขึ้นเป็นเงาดำรูปคนนัยน์ตาสีแดงฉานมองตามเจติยาไปอย่างน่าหวาดกลัว
นทีกำลังดูทีวีและเชียร์บอลอย่างเอาเป็นเอาตาย
นทีลุ้นสุดๆ “ส่งสิวะ ยิง ยิงเลย” นักฟุตบอลยิงไม่เข้า นทีเสียดายสุดขีด “โอ๊ย” นทีกุมหัวเพราะเครียดยิ่งกว่าผู้จัดการทีม เขาจ้องเขม็งไปที่จอแล้วก็ตกใจมาก “เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย” นทีแทบจะหยุดหายใจเมื่อเจอบอลสวนกลับเร็ว
เสียงเฮลั่นสนั่นสนามเพราะบอลถูกยิงเข้าประตูพร้อมเสียงเป่าหมดเวลาดังตามมาทันที นมีล้มหงายไปกับเตียง เขากำมือแน่นและตัวเกร็งเหมือนจะตายเสียให้ได้
พอได้ฟังนทีพูด มยุรีก็ตกใจ
“สองหมื่น จะเอาไปทำอะไรลูก”
มยุรีกำลังนั่งคุยกับนทีที่โถงบ้าน
นทีร้อนใจมาก “แม่อย่าเพิ่งถามเลย เอามาให้ผมยืมก่อนเถอะ”
“เงินมากมายขนาดนั้น แม่จะไปเอามาจากไหน แม่ป่วยมาตั้งหลายปี ใช้เงินไปตั้งเยอะ นี่ก็เพิ่งจะเริ่มเก็บเงินได้เอง”
นทีร้อนใจมาก “แม่ขายของดีจะตายไป ขายหมดเกลี้ยงทุกวัน เงินแค่สองหมื่นจะไม่มีได้ยังไง”
“ขายดีก็จริง แต่แม่ก็ไม่ได้ขายแพงนะลูก กำไรมันไม่ได้มากมายอะไรนักหนาหรอก ถ้าไม่ได้เจช่วย ค่าใช้จ่ายในบ้านจะพอรึเปล่ายังไม่รู้เลย แล้วนี่ตกลงทีจะเอาเงินไปทำอะไรเหรอลูก ยังไม่ได้บอกแม่เลย”
นทีโมโห “แม่จะรู้ไปทำไม รู้แล้วจะหาเงินมาให้ผมได้รึไง”
นทีเดินออกจากบ้านไปอย่างหงุดหงิด มยุรีได้แต่มองตามไปด้วยความเป็นห่วงปนสงสัย
นทีเดินอย่างหงุดหงิดมาตามทางเดินในละแวกบ้าน พอมาถึงทางเปลี่ยวก็มีนักเลงคนหนึ่งโผล่มาขวางหน้านทีไว้ นทีตกใจจะหันหลังกลับแต่พอหันไปก็มีนักเลงอีกคนมาขวางไว้อีก
นักเลงคนแรกยิ้ม “ว่าไงครับเซียน เงินน่ะ จะจ่ายได้รึยังครับ”
นทีกลัว แต่ทำฟอร์ม “เพิ่งวันเดียว จะรีบมาทวงอะไรกันนักวะไ
นักเลงคนนั้นเข้ามากระชากคอเสื้อนทีแล้วตะคอก “แล้วทีพวกเอ็งเล่นได้ พวกข้าเคยบอกให้มาเอาวันหลังมั้ยล่ะ”
นักเลงอีกคนพูด “เพื่อนเอ็งเผ่นแน่บไปคนนึงแล้ว”
นทีหน้าเสียที่รู้ว่าเพื่อนเอาตัวรอดไปแล้ว
“มึงอย่ามาลูกเล่น พวกมึงรู้จักเฮียโชคน้อยไปซะแล้ว”
นทีกลัว “ฉันกับเพื่อนจะรีบหามาใช้ให้ พวกแกใจเย็นๆก่อนสิ”
“เฮียโชค ฝากมาบอกว่ามีเวลาให้พวกแกสามวัน ถ้าพวกแกหาเงินมาใช้ไม่ได้ล่ะก็” นักเลงคนนั้นเอานิ้วทำท่าเชือดคอนทีเป็นการขู่ แล้วนักเลงคนนั้นก็ผลักนทีไปให้นักเลงอีกคนชกอัดท้องนทีเต็มแรงไปหลายหมัดจนนทีตัวงอล้มไปกับพื้น
“เฮียฝากมาคิดดอกสำหรับวันนี้”
นักเลงอีกคนหันมองไปทางหน้าปากซอยแล้วรีบบอกเพื่อน “มีคนมา”
นักเลงทั้ง 2 คนรีบหลบไปอย่างรวดเร็ว
นทีกองอยู่กับพื้นด้วยความจุก คนที่เดินผ่านมาที่หน้าปากซอยคือเจติยา เจติยาเพ่งมองมาทางน้องชายแล้วก็จำได้จึงตกใจ
“นที...” เจติยารีบวิ่งเข้ามาหาน้องชายทันที
มยุรีทายาให้นทีอย่างประคบประหงมขณะที่ลูกชายนั่งอยู่ที่โซฟา เจติยายืนมองด้วยสีหน้าจับผิด
“แกไปมีเรื่องกับพวกมันได้ยังไง” เจติยาถาม
นทีตอบแบบไม่กล้าสู้ตา “ผมก็ไม่รู้ มันคงจะชิงทรัพย์ผมมั้ง”
“ชิงทรัพย์เด็กนักเรียนเนี่ยนะ จะได้ซักเท่าไหร่กัน”
“เกี่ยวกับเงินสองหมื่นที่ลูกขอแม่เมื่อเช้ารึเปล่า” มยุรีถาม
นทีหน้าเสียไปทันที เขาทำสีหน้าดุแม่ที่หลุดพูดออกมา
เจติยาจ้องหน้านที “สองหมื่นอะไร”
นทีอึกอักเพราะพูดไม่ออก
เจติยาถามต่อ “แกจะเอาเงินไปทำอะไรนที บอกพี่มาเดี๋ยวนี้นะ”
นทีก้มหน้านิ่งเพราะกลัวความผิด
เจติยาคาดคั้นเสียงดัง “พวกมันทำร้ายแกเพราะเงินก้อนนี้ใช่มั้ย”
“ค่อยๆ พูดก็ได้เจ น้องกลัวหัวหดแล้ว” มยุรีว่า
“ค่อยไม่ได้แล้วค่ะแม่ พวกมันฆ่านทีตายได้นะคะ สารภาพความจริงมาเดี๋ยวนี้ ถ้าอยากให้พี่ช่วย”
“พูดมาเถอะลูก เราจะได้ช่วยกันแก้ปัญหานะ”
นทีเห็นสายตาเจติยาแล้วก็รู้สึกกลัว “ผมกับเพื่อนเล่นพนันบอลแล้วเสียน่ะครับแม่ นัทมันหนีไปแล้ว พวกมันก็เลยมาซ้อมเอากับผม”
มยุรีหน้าเสียไป
เจติยาโกรธจัด “นี่แกไม่เคยดูข่าวมั่งรึไงไอ้ที ตัวอย่างก็มีให้เห็นเยอะแยะ ทำไมไม่จำ ยิ่งเรียนยิ่งโง่ เรื่องตื้นๆ แค่นี้ก็คิดไม่แตก แล้วแกจะมีปัญญาไปทำอะไรได้” ยิ่งพูดเจติยาก็ยิ่งโกรธ
นทีก้มหน้างุด
“น้องพลาดไปแล้วน่ะเจ ช่วยกันคิดหาทางแก้ไขดีกว่า” มยุรีเป็นห่วงนทีมาก “พวกมันจะเอาเงินเมื่อไหร่ลูก”
นทีเหลือบตามองหน้าแม่ด้วยสีหน้าแววตากลัวมาก “ภายในสามวันถ้าหาเงินไปให้พวกมันไม่ได้ มันจะฆ่าผมกับเพื่อน”
มยุรีตกใจ เธอเป็นห่วงลูกจนหน้าถอดสี
เจติยาโมโหมากจึงเข้าไปกระชากคอเสื้อนทีแล้วเขย่าแรงๆ “ต่อไปแกก็เล่นยาเสพย์ติดแล้วก็เป็นสายส่งยาซะเลยซิ” เจติยาประชดด้วยความเป็นห่วง
นทีสำออย “โอ๊ย ผมเจ็บนะพี่เจ”
มยุรีดึงมือเจติยาออกแล้วตวาด “พอแล้วเจ น้องเจ็บขนาดนี้ยังจะรุนแรงกับน้องอีกเหรอ ใจคอจะฆ่าน้องให้ตายเลยรึไง”
เจติยาเห็นแม่เข้าข้างน้องก็ยิ่งโกรธ “ให้มันตายคามือเรา ดีกว่าตายเพราะอันธพาลพวกนั้น” เจติยาจ้องหน้านทีด้วยสีหน้าแววตาเจ็บช้ำมาก น้ำตาของเจติยาคลอขึ้นมา
นทียิ้มเย้ยกวนประสาทแบบไม่ได้สำนึกผิดแม้แต่น้อย เจติยาเจ็บใจมากจึงสะบัดหน้าพรืดแล้วเดินออกจากบ้านไป
มยุรีหันมาพูดกับนทีแบบโอ๋สุดๆ “ไม่เป็นไรแล้วนะ”
“ครับแม่”
มยุรีดึงลูกชายเข้ามาสวมกอดเอาไว้ “ไม่ต้องกลัวนะลูก แม่ต้องหาเงินไปใช้หนี้พวกมันให้ได้” มยุรีน้ำตาคลอขึ้นมา “แม่จะไม่ยอมให้พวกมันมาทำร้าย”
นทียิ้มสบายใจ “ขอบคุณครับแม่”
“พลาดคราวนี้ถือเป็นบทเรียน อย่าผิดซ้ำสองอีกนะลูก”
“ครับแม่...” นทีแอบถอนใจยาวออกมาอย่างโล่งอก
เจติยา ทวี และโอ้เอ้กำลังคุยกันอยู่ที่โถงบริษัทด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เจติยาเครียดหนัก “อีกไม่นาน เจคงต้องได้แต่งศพน้องชายตัวเอง”
“ทำไมพูดจาแช่งชักหักกระดูกน้องยังงั้นล่ะ” ทวีว่า
เจติยาถอนใจยาวด้วยความเซ็ง “ได้โอ้เอ้เป็นน้องชายยังจะดีซะกว่า”
โอ้เอ้หน้าแหยเพราะกลัว “ไม่เอาครับ”
เจติยาคว้าอะไรใกล้มือปาใส่โอ้เอ้ทันที
ทวียิ้ม “เดี๋ยวนทีอายุมากขึ้นก็คิดได้เองแหละ สมัยหนุ่มๆลุงเองก็ใช่ย่อยเหมือนกัน พอแก่ตัวก็กลับตัวได้”
“ผมก็เหมือนกัน ไม่ทันแก่ก็คิดได้แล้ว” โอ้เอ้ยิ้มภูมิใจตัวเอง
เจติยาถอนใจ “กว่ามันจะกลับตัวได้ เจคงตายหรือไม่ก็หมดตัวก่อนล่ะลุง”
ทวียิ้มๆ “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกหนูเจ เออ ถ้าเดือดร้อนอยากได้เงินไปช่วยนที ก็บอกลุงได้นะ ลุงพอมีเงินเหลือเก็บอยู่”
เจติยานึกอยากให้บทเรียนแก่น้องชาย “ช่วยกันง่ายๆ มันก็ไม่หลาบจำสิคะลุง” เจติยามีสีหน้าบึ้งตึง “ปล่อยให้มันโดนซะบ้าง จะได้ดัดนิสัย”
“จะดีเหรอพี่เจ ไอ้พวกมาเฟียโต๊ะบอลมันโหดนะพี่ ไม่เคยดูข่าวเหรอ ฆ่าโหดยกครัวก็มีนะพี่”
“ไอ้ปากเสีย” เจติยาว่า
ทันใดนั้นลาภิณเดินเข้ามาหาพวกเจติยา
“ลุงทวีครับ เดี๋ยวจะมีโลงศพมาส่ง ลุงช่วยไปเช็คดูด้วยนะครับ”
“ได้ครับ” ทวีรับคำ
เจติยาดูนาฬิกาข้อมือ “หมดเวลาพักแล้ว งั้นเจกลับไปทำงานก่อนนะคะลุง”
เจติยาเดินหน้าเครียดเลี่ยงไป ลาภิณมองตามด้วยความแปลกใจ
ลาภิณหันไปถามโอ้เอ้ “เค้าเป็นอะไร หน้าเครียดเชียว”
“กลุ้มเรื่องเงินมั้งครับ” โอ้เอ้เย้า
ทวีปราม “โอ้เอ้”
โอ้เอ้จ๋อยไป
ลาภิณยิ่งอยากรู้มากขึ้น “บอกผมเถอะลุง ถ้าเป็นแค่ปัญหาเรื่องเงิน ผมช่วยเหลือลูกน้องได้อยู่แล้ว”
ทวีลังเล โอ้เอ้ลุ้นให้พูดออกไป ส่วนลาภิณรอฟังอย่างอยากรู้
เจติยากำลังกดน้ำจากตู้กดน้ำ พอเธอดื่มน้ำเสร็จแล้วหันกลับไปก็เห็นลาภิณยืนมองอยู่
ลาภิณยิ้มเล็กๆ “ฉันรู้เรื่องน้องชายเธอแล้วนะ มีอะไรจะให้ช่วยรึเปล่า”
เจติยาทำหน้าบึ้งตึง “ปากบอนจริงๆ เลยไอ้โอ้เอ้”
“ลุงทวีเป็นคนเล่า” ลาภิณบอก
เจติยาหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย
“ฉันเป็นคนขอร้องให้เล่าเองแหละ ทั้งโอ้เอ้กับลุงทวีเค้าห่วงเธอมากนะ”
“ขอบคุณนะคะ แต่เรื่องในครอบครัวฉัน ฉันจัดการเองได้”
“อย่าหยิ่งนักเลยน่ะ เงินสองหมื่นสำหรับฉันมันเรื่องเล็ก” ลาภิณหยิบกระเป๋าเงินออกมา แล้วหยิบเงินยื่นให้เจติยา “มีเมื่อไหร่ค่อยใช้”
เจติยาไม่ยอมรับ “ไม่ค่ะ ขอบคุณ”
“ที่ให้เนี่ย ไม่ได้พิศวาสอะไรเธอหรอกนะ แต่กลัวเธอเครียดๆ ไม่มีกะใจทำงานให้ฉัน งานแต่งศพเป็นงานศิลปะ ต้องประณีต พนักงานมีปัญหาหนักอกอยู่แบบนี้ ไม่มีทางทำงานออกมาได้ดีหรอก”
เจติยายังลังเล
ลาภิณจับมือเจติยาแล้วยัดเงินใส่มือ “ไม่ต้องลังเลหรอกน่ะ เอาไปก่อนเถอะ มีเมื่อไหร่ค่อยเอามาใช้”
เสียงปริมพูดอย่างโมโหหึงดังขึ้น “ทิปหนักจังเลยนะคะ”
ทั้งคู่ตกใจก่อนจะหันไปมองตามเสียง ปริมยืนมองทั้งคู่ด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ปริมจ้องเจติยาด้วยสีหน้าชิงชัง “ไปปรนนิบัติกันอีท่าไหนคะ ถึงได้ถูกอกถูกใจ ให้เงินเป็นปึกขนาดนี้”
เจติยายัดเงินคืนใส่มือลาภิณด้วยความหงุดหงิด “ฉันบอกแล้วใช่มั้ยคะ ว่าไม่เอา อย่ามายุ่ง” เจติยาเดินเลี่ยงไปด้วยความรำคาญ
ปริมยืนกอดอกและมีสีหน้าไม่พอใจมาก เธอจ้องหน้าลาภิณเหมือนรอคำตอบ ลาภิณได้แต่ถอนหายใจยาวออกมา
ปริมเดินงอนนำมาตามทางเดินของบริษัท โดยมีลาภิณรีบเดินตามมาง้อ
“ปริม...ไม่เอาน่า มีเหตุผลหน่อยสิครับ”
ปริมหยุดเดินแล้วหันกลับมาจ้องหน้าลาภิณ
“ถ้าอยากได้เหตุผลก็ไปหาเอากับคนอื่น คุณต้นก็รู้จักปริมดี” ปริมมีสีหน้าเสียใจปนน้อยใจ
“แล้วต้องให้ผมทำยังไง ปริมถึงจะหายโกรธ”
ปริมจ้องหน้า “คุณต้นต้องเลิกสุงสิงกับแม่นั่น บอกตามตรงว่าปริมไม่ไว้ใจ ประวัติมันไม่ดี” ปริมมีสีหน้าเขม่นด้วยความหมั่นไส้
“เจติยาเป็นพนักงานเก่ง ผมก็แค่อยากจะซื้อใจให้ได้ จะได้อยู่ช่วยงานเราไปนานๆ ผมไม่ได้คิดอะไรกับเค้าจริงๆ”
“ตอนนี้ไม่คิด แต่พอใกล้ชิดกันนานๆ เข้าก็ไม่แน่ หน้าตาเด็กก็ไม่ใช่ขี้ริ้วขี้เหร่” ปริมเจ็บใจและหมั่นไส้ “ลูกกับพ่อ เทสต์คงไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก”
“ปริม..”
ปริมสะบัดหน้าพรืดแล้วจะเดินกลับไปแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นชูจิตยืนมองด้วยสีหน้าเครียด
“คุณแม่” ปริมตกใจ
ชูจิตได้ยินทุกอย่างจึงมีสีหน้าไม่พอใจ เธอจ้องหน้าลาภิณเขม็ง
เจติยาและทวีกำลังช่วยกันทำความสะอาดศพผู้ชายคนหนึ่งอยู่ สักพักโอ้เอ้ก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง
“พี่เจ..”
จังหวะเดียวกับที่เจติยาและทวีช่วยกันขยับศพชายคนนั้นขึ้นนั่งขึ้นเพื่อขยับเสื้อ
โอ้เอ้ร้องเสียงหลงแล้วผงะถอยไป
ทวีรำคาญ “อะไรของเอ็งวะ”
เจติยายิ้มๆ
โอ้เอ้เบือนหน้าไปอีกทางก่อนพูด “เอาพี่เค้านอนก่อนได้มั้ย”
“เอ็งมีอะไรก็รีบพูดมาเร็วๆเลย งานยิ่งเร่งๆอยู่” ทวีเร่ง
“คุณชูจิตเรียกพี่เจไปพบ บรรยากาศไม่ค่อยดีเลยนะพี่”
เจติยาและทวีกำลังเอนตัวศพลงนอน เจติยาคิดทบทวนว่าตนไปทำผิดอะไรมา
“รีบไปเถอะเจ” ทวีบอก
“ค่ะลุง” เจติยาถอนใจพร้อมเดินไปถอดถุงมือเตรียมล้างมือด้วยยาฆ่าเชื้อ
ลาภิณกำลังอธิบายให้ชูจิตฟัง โดยมีปริมและเจติยานั่งอยู่พร้อมหน้า ปริมใช้หางตาค้อนเจติยาเป็นระยะๆ
ลาภิณหงุดหงิด “ผมบอกแล้วไงครับ ว่าเจเค้าเดือดร้อนเรื่องเงินนิดหน่อย ผมก็เลยให้ยืม ก็แค่นั้นเอง ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตด้วยก็ไม่รู้” ลาภิณชักรำคาญ
ปริมโมโหหึง “แล้วคุณสนิทกับเค้า ถึงขนาดให้หยิบยืมเงินกันได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ”
ลาภิณหงุดหงิด “เงินแค่สองหมื่นเองนะ ผมไม่ได้ให้เจเค้าเป็นแสนเป็นล้านซะหน่อย”
“เริ่มต้นก็แค่นี้” ปริมปรายตามองเจติยา “อีกหน่อยก็คงประเคนให้ไม่อั้น เหมือนที่คุณพ่อคุณยกหุ้นให้ไงคะ”
เจติยาชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที
ลาภิณชักโมโห “เลิกลามปามถึงพ่อผมซะทีเถอะปริม”
ชูจิตตัดบท “พอได้แล้ว ทั้งคู่นั่นแหละ” ชูจิตหันไปพูดกับเจติยา “เธอล่ะจะแก้ตัวว่ายังไง”
“ดิฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัวค่ะ ทุกอย่างคุณต้นพูดไปหมดแล้ว” เจติยาบอก
ชูจิตพูดหน้านิ่ง “ฉันขอพูดตรงๆ เลยแล้วกัน เธอคงพอจะรู้ว่าที่เธอได้หุ้นจากพินัยกรรมของคุณสารัช มันมีเสียงซุบซิบอะไรตามมาบ้าง”
เจติยาแอบถอนใจออกมาอย่างเซ็งๆ
“แล้วยิ่งมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก มันทำให้ฉันไม่สบายใจมากกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย...ฉันจึงเห็นว่าควรตัดไฟเสียแต่ต้นลม ฉันอยากให้เธอลาออกจากนิราลัย ปัญหาทุกอย่างจะได้จบ”
ลาภิณตกใจ “คุณแม่...”
ปริมอมยิ้มอย่างสะใจ เธอใช้หางตามองไปที่เจติยา