บ่วงรัก ตอนที่ 3
ค่ำคืนนั้น ภายในห้องทำงานส่วนตัวของธานินทร์ ขณะที่ธานินทร์กำลังเปิดกล่องดูเสื้อที่ปักอักษรคำว่า “รัก พรรณี” แต่ยังไม่ได้เอาเสื้อออกมา หยิบนาฬิกาพกขึ้นมา ในจังหวะที่อังคณาเปิดประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะ ธานินทร์รีบปิดกล่อง เหลียวมามองอย่างไม่พอใจ
“นี่มันห้องส่วนตัวของผม”
อังคณาสวนด้วยคำพูดแรง “แต่นี่มันบ้านของพ่อแม่ฉัน ทุกตารางนิ้วของบ้านนี้ มันเป็นของครอบครัวฉัน รวมถึงไอ้บริษัทยักษ์ใหญ่ที่คุณนั่งเป็นประธานกรรมการนั่นก็ด้วย”
ธานินทร์ชักโกรธ “คุณจะมาไม้ไหนอีกนี่ คุณอังคณา”
“คุณรับผู้ช่วยเลขาฯ คนใหม่ ทำไมไม่บอกฉัน”
“คุณก็ดีแต่ผลาญเงินไปวันๆ ไม่เคยสนใจเรื่องที่ทำงานอยู่แล้ว ผมจะบอกคุณไปทำไม”
อังคณาตวาดแว้ด “ไม่ใช่เพราะคุณรับอีเด็กหน้าใส วัยคราวลูกมานั่งเป็นตุ๊กตาหน้าห้องหรอกเรอะ คุณถึงบอกฉันไม่ได้” อังคณาร้องกรี๊ด “ใช่ไหม ใช่ไหม... ทำไมไม่ตอบล่ะ”
ธานินทร์ลุกขึ้นยืน ไม่อยากอดทนฟังอีกต่อไปแล้ว
“ฟังนะ คุณอังคณา ข้อ 1 ผมเป็นประธานกรรมการบริษัท ผมอยากจะทำอะไร มันก็เรื่องของผม ผมไม่จำเป็นต้องอธิบายกับคุณ” จะเดินออก “ข้อ 2 จริงอยู่ ว่าบ้านนี้กับบริษัท เป็นของครอบครัวคุณ แต่ตลอดเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ถ้าไม่มีผมคอยทำมาหาเลี้ยงมัน ผมว่า... แม้แต่หลังคาก็คงไม่เหลือแล้วล่ะ”
ธานินทร์เดินออกไป ไม่ใยดี โดยไม่ลืมเอากล่องติดมือไปด้วย ทิ้งให้อังคณากรี๊ดอยู่ในห้องลำพัง
อังคณาระบายอารมณ์ด้วยการทำลายข้าวของในห้องไปมา
เช้าวันนี้พิณทองแต่งตัวเตรียมออกไปทำงาน เดินมาดูเสื้อที่ราวตากผ้าใหม่ แต่ไม่เห็น พิณทองหน้าเสีย
“หายไปไหนแล้วล่ะ” หันซ้ายหันขวากังวลหนัก “ตายแล้ว...”
พรรณีเดินออกมาจากในบ้าน ในมือถือเสื้อของชนะศึก
“หานี่อยู่หรือพิณ”
พิณทองตกใจ “แม่”
“เสื้อเชิ้ตผู้ชาย ท่าทางแพงมากด้วย ของใครน่ะพิณ”
“เอ่อ ของเพื่อน...น่ะค่ะ พิณทำของเค้าเปื้อนเลยเอามาซักให้”
พรรณีส่งเสื้อให้
“แม่รีดให้แล้ว”
“ขอบคุณจ้ะแม่..” พิณทองตัดบท “พิณไปทำงานก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวสาย”
พิณทองหันหลังกำลังเดินไป พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“พิณจะคบใครเป็นเพื่อนแม่ไม่ว่า แต่ถ้ามันเกินเลยมากกว่าเพื่อน พิณต้องดูดีๆ”
พิณทองหันมามองพรรณี แล้วอึ้งไป พรรณีพูดต่ออย่างจริงจัง
“เจ้าของเสื้อตัวนี้ แม่ดูแค่เสื้อก็รู้แล้วว่าเค้าไม่ใช่คนอย่างเราๆ เราเป็นคนจนก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวนะ ลูก ยังไงซะคนรวยเค้าก็มองว่าเราน่ะต่ำต้อย ไม่คู่ควรกับเค้า ถ้าพิณคิดกับเค้ามากกว่าเพื่อน พิณเองนั่นแหละที่จะเสียใจ”
“ค่ะแม่” พิณทองรับปาก แต่ดูเหมือนในใจจะไม่ได้เชื่อคำที่แม่บอกนัก
จากนั้นพิณทองเดินออกจากบ้านไป พรรณีมองตาม เป็นห่วง
ที่บริษัทเบสท์เอ็นเตอร์ไพร้ส์ตอนเช้า ยังไม่มีคนมากนัก ที่ชั้นผู้บริหาร เสียงลิฟต์มาถึง ประตูลิฟต์เปิดออก พิณทองเดินออกมา ในมือมีถุงเสื้อของชนะศึกอยู่ด้วย
พิณทองมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร ก็จะเดินไปที่ห้องทำงานชนะศึก ทันใดเสียงเครื่องดูดฝุ่นก็ดังขึ้น พิณชะงัก แม่บ้านเดินดูดฝุ่นเข้ามา
“อ้าว หนู มาแต่เช้าเลย”
ทักเท่านั้น แม่บ้านก็หันไปดูดฝุ่นต่อ พิณทองเดินไปที่โต๊ะของตน ทำเป็นจัดข้าวของ พอแม่บ้านลับตัวไป พิณทองจึงถือถุงกระดาษกลับไปที่ห้องชนะศึกอีกครั้ง มองซ้ายมองขวา แล้วเปิดประตูเข้าไปเลย
พิณทองปิดประตู เดินเข้ามาภายในห้องทำงานชนะศึก เปิดถุงออก แล้วหยิบเสื้อของชนะศึกที่ซักรีดมาอย่างดีวางลงไว้บนโต๊ะทำงาน พิณทองเอากระดาษแผ่นหนึ่งที่เธอเขียนบางอย่างไว้ วางลงบนเสื้อด้วย
ที่กระดาษ เขียนกำกับไว้ว่า “พิณขอโทษสำหรับทุก ๆ อย่างค่ะ”
พิณทองวางเสื้อเสร็จเรียบร้อย จึงหันกลับ เดินไปที่ประตู กำลังจะเปิดออกไป
ทันใดประตูก็เปิดเข้ามา กลายเป็นชนะศึกมาทำงานแต่เช้าเหมือนกัน ทั้งสองนิ่งชะงักเมื่อเห็นกัน
ชนะศึกถามเสียงขุ่น “มาทำอะไรในห้องผม” พิณทองอึกอัก พูดอะไรไม่ออก “จะมาขโมยของเหรอ”
“เปล่าค่ะ”
“งั้นเข้ามาทำอะไร บอกมาซี หรือจะต้องให้ค้นตัว”
ชนะศึกเดินมองไปทั่วห้อง เหมือนจะสำรวจว่าอะไรหาย จากนั้นจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ พิณทอง แล้วดึงถุงกระดาษในมือพิณทองมาเปิดดู แล้วไม่พบอะไร
“บอกมานะเธอมาเอาอะไร ปากกาเหรอ หรือนาฬิกา”
และแล้วสายตาชนะศึกก็มาหยุดอยู่ที่เสื้อเชิ้ตบนโต๊ะ ชนะศึกจำได้ทันทีว่าเป็นเสื้อตัวเมื่อวาน แล้วเขาก็เห็นกระดาษบนเสื้อ ชนะศึกหยิบขึ้นมาอ่าน
พิณทองหันไปมอง ชนะศึกก็มองมา พอทั้งสองสบตากัน พิณทองก็รีบหลบสายตา
“พิณเอาไปซักให้น่ะค่”
ชนะศึกอึ้ง รู้สึกดีเหมือนกัน และรู้ตัวว่าพูดดีไป “มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณ แม่บ้านก็มี เดี๋ยวเขาก็ทำเองแหละ”
“พิณเป็นคนทำให้มันเลอะ พิณก็ควรจะรับผิดชอบ”
“ก็ดี มีอะไรอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีแล้วค่ะ พิณไปนะคะ”
พูดแล้วพิณทองก็เดินออกจากห้องไป เมื่อประตูปิดลง ชนะศึกจึงอ่านข้อความบนกระดาษนั้นอีกครั้ง แล้วหยิบเสื้อของเขาขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะดมกลิ่นหอมจากเสื้อ
ชนะศึกเดินมาที่ประตู ค่อยๆ แง้มประตูเปิดออก แล้วมองออกไปทางโต๊ะของพิณทอง เห็นพิณทองก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ จังหวะนั้นพิณทองก็เงยหน้าขึ้น มองมาที่ห้องชนะศึก
ชนะศึกรีบฉากหลบ แล้วปิดประตู ยิ้มกับตัวเองพร้อมกับมองดูเสื้อในมือ
ที่สปอร์ตคลับ ช่วงตอนกลางวัน ขณะที่เพชรแท้กำลังทำงานอยู่ พอมองออกไปด้านหน้า เห็นกลุ่มเกย์สาวแตก 2-3 คนเดินมา ทั้งหมดกระซิบกระซาบ แล้วชี้ชวนกันมองมาที่เพชรแท้ ทำเอาเพชรแท้แปลกใจ หันไปพูดกับเกียรติงงๆ
“อะไรกันวะเนี่ย”
“มาสมัครเมมเบอร์มั้ง” เกียรติเดินเข้าไปหา “สวัสดีครับ”
ทว่ากลุ่มเกย์พวกนั้นไม่สนใจเกียรติ เดินผ่านเข้ามาหาเพชรแท้ เกย์คนที่หนึ่ง ดูท่าทางเรียบร้อยกว่าคนอื่นถามเพชรแท้
“สวัสดีจ้ะ” ทำท่ากระดากอาย “ชื่อเพชรแท้ใช่ไหมเราน่ะ”
เพชรแท้งงๆ “ครับ”
“ถ้าพวกเราอยากจะใช้บริการ จะต้องทำยังไงเหรอจ๊ะ” เกย์คนเดิมถาม
“ถ้าจะสมัครเมมเบอร์ เชิญที่ทางด้านหน้าเลยครับ”
เพชรแท้ก้มหัวนิด ๆ แล้วจะเดินหนี เกย์อีกสองคนที่ทำท่าทางแรงกว่าขวางไว้
“ไม่ใช่จ้ะ...พี่หมายถึงพี่อยากใช้บริการ...” เอานิ้วจิ้มหน้าอกเพชรแท้ แล้วค่อย ๆ เลื่อนลงมาที่หน้าท้อง “ที่นี่” ลดเสียงลง “น้องจะคิดเท่าไหร่”
เพชรแท้ชักโมโห เสียงเข้ม “คุณพูดบ้าพูดบออะไรของคุณเนี่ย ผมไม่ใช่...”
เกย์อีกนางที่ดูท่าทางวีนเหวี่ยงเจ้าอารมณ์กว่าเพื่อนเสียงดังสวนขึ้นมา
“นี่พ่อคู๊นนนน!! ของของเธอมันไม่มีอันเดียวในโลกนะจ๊ะ ถ้าไม่อยากขาย ฉันก็ไม่ง้อ แต่อย่ามาลงประกาศแบบนี้ มันเสียเวลาคนอื่นเขา”
เกย์คนดังกล่าว ยื่นไอแพดออกมาชูหรา
เพชรแท้มองจ้อง เห็นเป็นข้อความที่มีรูปหน้าของเพชรแท้ จากบอร์ดพนักงาน ตัดต่อกับร่างเปลือยเปล่า พร้อมข้อความโฆษณาวาบหวิวกำกับ
เกียรติ ยื่นหน้ามาแอบอ่าน “บริการเทรนเนอร์ส่วนบุคคล ด้วยลีลาสุดประทับใจ” ตกใจ “เฮ้ย ไอ้เพชร”
เพชรแท้โกรธมาก มองออกไปเห็นชนกนันท์ยืนหัวเราะอย่างสะใจอยู่ โดยมีโสภิตายืนข้างๆ เพชรแท้เดินปรี่เข้าไปหา ถามอย่างมีอารมณ์
“ฝีมือคุณใช่ไหม”
“ชอบโชว์นักไม่ใช่เหรอไง ฉันก็เลยจัดให้ สะใจไหมล่ะ” ชนกนันท์ตอกกลับ
เพชรแท้แค่นยิ้ม แล้วหันไปพูดเสียงดัง
“ขอโทษนะครับ คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะปกติผมบริการเฉพาะลูกค้าประจำ” ชี้ไปที่ชนกนันท์ “คนนี้คนเดียว”
ทุกคนมองเป็นตาเดียว ชนกนันท์ตกใจ
“แก!”
“คุณผู้หญิงคนนี้นะครับ เจอของผมเข้าไปหนเดียว ติดใจจนต้องมาขอดูทุกวัน ถ้าสนองนี๊ดให้ไม่ทันที่คุณเธอต้องการ ก็จะร้องกรี๊ดๆๆ เหมือนคนเป็นฮิสทีเรีย”
ชนกนันท์กรี๊ด กระทืบเท้าเร่าๆ “แก..ไอ้บ้า..ไอ้สารเลว ...ไอ้...”
เพชรแท้หัวเราะอย่างสะใจ บรรดาเกย์ทั้งหลายรุมกันเม้าท์ชนกนันท์
“ตร๊าย..ชะนีโรคจิต”
ชนกนันท์แว้ดกลับ “แกน่ะสิ โรคจิต อีตุ๊ด”
“เอ๊ะ!! นังนี่” เกย์ที่โชว์ไอแพดหันไปบอกเพื่อนสาว “จัดการมันซิ”
บรรดาเกย์จะเข้ามารุมชนกนันท์ โสภิตาเห็นท่าไม่ดี รีบลากสาวขาวีนหนีออกไป ชนกนันท์ยังร้องกรี๊ดๆ เพชรแท้หัวเราะเยาะสะใจ
ที่หน้าตึกบริษัทเบสท์ฯ ตอนค่ำ พิณทองเดินออกมากำลังจะกลับบ้าน มองซ้ายมองขวา รอเพชรแท้มารับ แต่ไม่เห็นวี่แวว
ที่ป้ายรถเมล์หน้าบริษัท ดาวกับนันทนายืนรอรถเมล์กันอยู่ พอดาวเห็นพิณทองก็ตะโกนเรียก
“น้องพิณ น้องพิณจ๋า ทางนี้จ้ะ”
พิณทองเห็นดาวกับนันทนาก็ยิ้มรับ แล้วเดินเข้าไปหา
“กลับบ้านแล้วเหรอจ้ะคุณเลขาฯ” ดาวแซว
“เลขาฯอะไร พิณเป็นแค่ผู้ช่วยพี่ยุ้ย”
นันทนาแซวต่อ “ไม่รู้น้องพิณทำบุญวัดไหนน้า แค่วันเดียวได้เลื่อนไปอยู่ชั้นสูงสุดเลยเนี่ย”
ดาวเสริม “นั่นซี พาพี่ไปด้วย พี่จะได้ไปบนบ้าง... เป็นไงบ้างล่ะ ข้างบนน่ะ”
“ก็ดีค่ะ พี่ยุ้ยใจดี” พิณทองว่า
นันทนาหน้าตาสอดรู้เต็มที่ “แล้วท่านล่ะ”
“ท่านยิ่งใจดีมากเลยค่ะ”
นันทนาเหลือบไปมองดาวอย่างรู้กัน
“ใจดีแค่ไหน...ท่านบอกจะให้อะไรน้องพิณอีกรึเปล่า” ดาวหยั่งเชิง
พิณทองเริ่มเก็ต เข้าใจความหมาย “อะไรน่ะพี่ ทำไมถามแบบนั้น”
“ดาวเขาจะถามว่า ท่านใจดีกับพิณแบบไหน แบบว่า...รึเปล่า”
พิณทองบอกสีหน้านิ่ง “ท่านเป็นคนดี เมตตาพิณมาก พวกพี่อย่าคิดอะไรไม่ดีกับท่านเลยนะคะ ขอร้อง”
ดาวกับนันทนารู้สึกผิดที่คิดไม่ดี
ทันใดนั้น รถของธานินทร์ก็เข้ามาจอดเทียบที่หน้าทั้งสาม แล้วกระจกรถด้านหลังก็เลื่อนลง ธานินทร์มองออกมา
ดาวกับนันทนาไหว้ ธานินทร์รับไหว้ แล้วหันมาทางพิณทอง
“พิณ จะกลับบ้านเหรอ”
“ค่ะ”
“ขึ้นมาซี จะไปส่ง” ธานินทร์บอก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” พิณทองปฏิเสธอย่างเกรงใจ
“ขึ้นมาเถอะ มันทางผ่านของฉันอยู่แล้ว”
มีเสียงรถคันหลังบีบแตรไล่ พิณทองมองดาวกับนันทนานิดหน่อย ทั้งสองพยักเพยิดให้ไป พิณทองจึงเปิดประตูด้านหน้า แล้วเข้าไปนั่ง รถของธานินทร์เคลื่อนออกไป
“นั่นไง” ดาวกับนันทนาประสานเสียง หันมามองกัน
ขณะเดียวกันเรืองโรจน์เห็นธานินทร์พาพิณทองขึ้นรถไป จึงยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทร.ออกทันที
“ฮัลโหล คุณอังคณาเหรอครับ ...อยู่ที่บ้านใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปหา ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง”
ภายในรถ ธานินทร์ และพิณทองนั่งอยู่เบาะหลัง
“ฉันต้องขอโทษหนูด้วยนะที่แยกหนูออกมาจากเพื่อน ๆ เผอิญมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับหนูน่ะ”
“เรื่องอะไรคะ”
“เดี๋ยวแวะไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่า” บอกพิณทอง “ไปกินข้าวกันก่อนนะ”
พิณทองอึกอัก “เอ่อ พิณ”
“มีร้านนึง ที่ฉันพาหนูไป” บอกชื่อร้านกับศักดา “ไปที่...นะ”
ศักดารับคำ พิณทองยังรู้สึกกังวล
ที่ห้องรับแขกบ้านธานินทร์ เย็นนั้น สีหน้าอังคณาตกใจมากพอฟังเรืองโรจน์พูดจบ
“อะไรนะ! แล้วเขาพากันไปไหน”
“เอ่อ ไม่ทราบครับ ผมถามเลขาของท่านดู เขาก็ไม่ทราบ”
อังคณาด่า “โง่! จะพาเด็กไปเลี้ยงดูปูเสื่อ ใครเขาจะบอกเลขา ทำไมไม่หาทางอื่นล่ะ” เรืองโรจน์อึกอัก “เอาโทรศัพท์มานี่ โทร.หาเขาซิ ถามซิว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“ครับ”
เรืองโรจน์เอาโทรศัพท์มือถือออกมา อังคณาสำทับ
“แล้วอย่าโง่ไปบอกว่าฉันถามล่ะ แกล้งโทร.ไปตามเรื่องงาน นัดหมายบ้าบออะไรก็ได้ รู้ไหม”
“ครับ”
เรืองโรจน์กดหาธานินทร์
ที่ร้านอาหารแห่งนั้น ธานินทร์เดินเข้ามากับพิณทอง พามานั่งที่โต๊ะ
“ร้านนี้อาหารไทยเขาขึ้นชื่อมาก”
พิณทองรับทราบ แต่ออกจะประหม่า
จังหวะนั้นโทรศัพท์ของธานินทร์ดังขึ้น ธานินทร์เอาขึ้นมาดู พอเห็นว่าชื่อเรืองโรจน์ จึงกดรับสาย
เรืองโรจน์ พูดโทรศัพท์ โดยมีอังคณาถลึงตาอยู่ใกล้ๆ
“ท่านอยู่ไหนครับ .. คุณผู้หญิงรออยู่ บอกว่าวันนี้มีนัดเลี้ยงที่สมาคมฯ ครับท่าน”
“อ้าว รออยู่เหรอ .. ใช่ เขาบอกแล้ว แต่ผมไม่ได้รับปากว่าจะไปด้วยนี่”
“ท่านคะ” พิณทองเกรงใจ
“เดี๋ยวนะ” ธานินทร์ปิดไม่ให้เสียงเข้า พูดกับพิณทอง “ว่าไง”
“ท่านไปธุระเถอะค่ะ พิณกลับบ้านเองได้”
“เอาเถอะๆ” หันไปพูดโทรศัพท์ต่อ “รถมันติดมากนะ ผมไม่มีทางไปถึงทัน จะทำให้เขาเสียเวลารอเปล่า ๆ เอางี้ คุณไปเป็นเพื่อนคุณอังคณาเลยก็แล้วกัน…โอเค แค่นี้นะ”
ธานินทร์กดวางหู และเพื่อความแน่ใจ ธานินทร์กดปิดเครื่องไปเลย เสร็จแล้วหันมาทางพิณ
“มา สั่งอาหารสิ หนูอยากกินอะไร”
ธานินทร์ส่งเมนูให้พิณทองใบหน้ายิ้มแย้ม พิณทองยิ้มตอบเจื่อนๆ
เรืองโรจน์กดโทรศัพท์ซ้ำ ร้อนใจ อังคณาจิกถาม
“ว่าไง”
“ยังไม่ได้ความอะไร ท่านก็วางสายไปซะก่อนครับ”
อังคณาหงุดหงิด “บ้าจริง ไม่ได้เรื่อง” แย่งโทรศัพท์ “เอามานี่”
อังคณากดโทร. แต่ไม่ติด ยิ่งหงุดหงิด
“ปิดเครื่องไปแล้ว เลยไม่รู้เรื่องกัน” หันมาแหวใส่เรืองโรจน์ “ทำไมถึงได้ไม่ได้เรื่องแบบนี้นะ พอกัน ทั้งคนทั้งโทรศัพท์”
อังคณาปาโทรศัพท์ลงพื้น มือถือกระเด็นแตกเป็นเสี่ยงๆ
“คราวหน้า อย่าให้เป็นอย่างนี้อีก ไม่งั้น เธอจะโดนแบบนั้นเหมือนกัน”
อังคณากระทืบเท้าออกไปอย่างฉุนเฉียว ทิ้งเรืองโรจน์ยืนมองตามท่าทีจ๋อยสนิท
บ่วงรัก ตอนที่ 3 (ต่อ)
ตอนค่ำวันเดียวกันนั้น ชนะศึกเดินมาที่หน้าห้องทำงานธานินทร์ เห็นยุ้ยกำลังเก็บของเตรียมกลับบ้าน
“จะกลับแล้วเหรอ”
“ค่ะ”
ชนะศึกมองไปที่เก้าอี้พิณทอง
“น้องเขาก็กลับแล้วค่ะ” ยุ้ยบอกอย่างรู้ทัน
ชนะศึกพาล “ใครถาม”
“ก็เห็นคุณชนะศึกมองหา”
ชนะศึกชะงักคิดในใจว่า เราแสดงออกขนาดนั้นเชียวหรือ “ผมไม่ได้มองหา” รีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วพ่อล่ะ”
“ท่านออกไปได้พักใหญ่แล้วค่ะ ไปกับศักดา”
ชนะศึกคิดไม่ตก ว่าจะทำยังไงต่อดี
ที่ลานจอดรถของร้านอาหาร ศักดานั่งรออยู่ตรงบริเวณที่พักคนขับรถ เสียงโทรศัพท์มือถือของศักดาดังขึ้น ศักดาหยิบโทรศัพท์ออกมารับสาย
“ฮัลโหล”
ชนะศึกยืนพูดโทรศัพท์อยู่หน้าห้องธานินทร์
“ผมอยากคุยกับพ่อหน่อย มีงานด่วนเข้ามา แต่โทรเข้าเครื่องเค้าไม่ได้เลย เค้าอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า? ขอผมคุยกับพ่อหน่อย”
“ท่านกำลังทานอาหารอยู่ครับคุณชนะศึก”
ชนะศึกงง “อ้าว...ทานกับใคร ลูกค้าเหรอ”
“พิณทองครับ” ศักดาบอกตามตรง
ชนะศึกชะงัก “พิณทอง”
“ครับ เดี๋ยวรอสักครู่นะครับ”
“ไม่ต้อง ไม่ต้องแล้ว ผมไปคุยด้วยตัวเองเลยดีกว่า แค่นี้นะ”
ชนะศึกกดปิดมือถือ รู้สึกไม่พอใจ
ส่วนในร้านอาหาร พิณทองตักอาหารขึ้นกิน
ธานินทร์เอ่ยถาม “อร่อยไหม”
“ค่ะ”
“แล้วเป็นไงวันนี้ งานยากไหม”
“ก็มีที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมค่ะ พิณ เอ่อ ดิฉันห่วงอยู่เหมือนกันว่า จะทำให้ท่านผิดหวัง”
“ฉันหวังเท่าที่หนูทำได้นั่นแหละ ที่ฉันให้เงินเดือนหนูมากขึ้น เพราะเห็นหนูต้องหาเงินช่วยแม่ ต่อจากนี้แม่ของหนูก็จะได้ไม่ต้องเหนื่อย จะได้พักผ่อนมากขึ้น”
พิณทองซาบซึ้ง “หนูขอบพระคุณท่านมากนะคะ แต่แม่ไม่ยอมพักหรอกค่ะ แม่บอกอยู่ว่างๆ ไม่เป็น”
“ฉันรู้” ธานินทร์ลืมตัว พอเห็นพิณทองมอง จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ฉันเลยอยากจะช่วย ฉันมางานงานหนึ่ง ที่แม่ของหนูน่าจะทำได้ดี”
“งานอะไรคะ”
“พวกสมาคมสตรีเค้าอยากได้ของชำร่วยเป็นผ้าเช็ดหน้าผ้าไหม...เค้าอยากได้ช่างเย็บช่างปักที่ฝีมือดี คิดราคาแพงๆ เท่าไหร่ก็ได้ งบไม่อั้น”
พิณทองตื่นเต้น ถามไม่หยุด “จริงเหรอคะ...โอ้ย แม่ต้องดีใจมากเลย แม่พิณเก่งมากนะคะท่าน เย็บก็เก่ง ปักก็สวย ฝีมือเนี๊ยบมากค่ะ รับรอง ท่านจะไม่ผิดหวังเลยค่ะ...แล้วเค้าจะใช้กี่ผืนคะ เยอะไหม แล้วใช้เมื่อไหร่...”
“เดี๋ยว ๆ ใจเย็น ๆ หนู...ค่อย ๆ คุย เดี๋ยวข้าวติดคอตาย”
ธานินทร์ขำที่พิณทองตื่นเต้น ขณะที่พิณทองยิ้มอย่างมีความสุข
ระหว่างนั้นชนะศึกขับรถมาจอดที่หน้าร้าน ครู่ต่อมาตรงบริเวณทางเข้าห้องอาหาร ชนะศึกปรากฏตัวขึ้น แล้วก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง แล้วหยุดชะงักอยู่ที่โต๊ะของธานินทร์
ธานินทร์คุยต่อ “เอาเป็นว่าทำตัวอย่างมาให้เค้าดูซักสิบผืนก่อนนะ ส่วนที่เหลือค่อยทยอยส่งกันก่อนวันงาน”
ทันใดนั้น ชนะศึกก็เข้ามานั่งที่โต๊ะด้วย
“อาหารมื้อนี้ ท่าทางอร่อยนะครับ”
ทั้งธานินทร์ และพิณทองต่างตกใจระคนแปลกใจ
“มาได้ยังไง”
ชนะศึกสัพยอกพิณทอง “จะมาดินเนอร์กับพ่อผมก็ไม่บอก จะได้ติดมาด้วยคน”
“พ่อเป็นคนชวนหนูพิณเขามาเอง”
ชนะศึกเหน็บพ่อแขวะพิณทอง “เหรอครับ ไม่ใช่เขาแกล้งไปยืนดักให้พ่อเจอ แล้วจะได้เรียกเขาขึ้นรถเหรอครับ เขาถนัดอยู่แล้ว เรื่องทำอะไรให้ดูเป็นเรื่องบังเอิญ”
“ลูกพูดเรื่องอะไร หนูพิณเขาไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก” ธานินทร์ปราม
“พ่อรู้ได้ยังไง พ่อไว้ใจคนมากไปรู้ไหมครับ บางคนน่ะ ปากพูดอย่าง ใจเป็นอีกอย่าง ต่างกันจนคิดไม่ถึง”
“ชนะ พอแล้ว” ธานินทร์ชักทนไม่ไหว
“ผมอยากให้พ่อตาสว่าง ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาอย่างที่พ่อคิด เธอร้ายกว่านั้นมาก”
ธานินทร์ตบโต๊ะปัง พูดเสียงดัง
“หยุดได้แล้ว”
“ท่านคะ พิณขออนุญาตนะคะ” พิณทองเห็นบรรยากาศมาคุ จึงขอตัว
“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับหนูหรอก ลูกฉันมันปากไม่ดี”
ชนะศึกพาล “เห็นไหม คุณทำให้พ่อกล้าว่าผมต่อหน้าคนอื่น”
ธานินทร์ด่าซ้ำ “ใช่ แล้วจะด่าแกมากกว่านี้อีก ถ้าแกไม่หยุด”
“ขอร้องเถอะค่ะ อย่าทะเลาะกันเลย” พิณทองหันมาทางชนะศึก “ท่านแค่มาทานข้าวจริงๆ ค่ะ แล้วพิณก็จะกลับแล้วด้วย” แล้วหันมาพูดกับธานินทร์ “ขออนุญาตนะคะท่าน พิณขอกลับก่อน”
“เดี๋ยวหนู ฉันจะ…” เหลือบมองชนะศึกที่จ้องมองอยู่ “เดี๋ยวให้คนรถไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ พิณขอกลับเองดีกว่า ขอบพระคุณมากนะคะ”
พิณทองไหว้ธานินทร์ กับชนะศึก เสร็จแล้วลุกออกไปจากเก้าอี้ทันที ธานินทร์หันมามองชนะศึกอย่างไม่พอใจ
พิณทองเดินออกมาหน้าร้าน ชนะศึกตามออกมา
“นี่คุณ เดี๋ยวก่อน”
พิณทองหยุดอยู่ที่ลานจอดรถ
“ไปขึ้นรถ ผมจะไปส่งคุณเอง”
“ขอบคุณค่ะ แต่พิณกลับเองได้”
ชนะศึกอ้าง “แต่พ่อผมสั่งมา”
พิณทองไม่อยากเชื่อ “ไม่รบกวนหรอกค่ะ” เดินต่อไป
ชนะศึกมาขวางพิณทองไว้ “คุณหาว่าผมโกหกเหรอ”
“เปล่าค่ะ”
“ผมเข้าใจคุณผิด พ่อเลยให้มาทำดีกับคุณเพื่อเป็นการไถ่โทษ ผมจะไปส่งคุณที่บ้าน”
พิณทองยืนนิ่งอย่างสับสน ชนะศึกเดินกลับไปที่รถ แล้วเปิดประตูด้านหน้าข้างคนขับให้ พิณทองลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยอมเดินมาขึ้นรถ
ชนะศึกยิ้มขณะปิดประตู แล้วเดินเข้าไปนั่งในรถ ติดเครื่อง แล้วขับทะยานออกไป
ชนะศึกขับรถแล่นไปด้วยความเร็วสูง และขับไปเรื่อยๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไม่คิดว่า คนที่หลอกคนอื่นเก่งๆ อย่างคุณ จะถูกหลอกได้ง่ายเหมือนกัน”
“คุณชนะศึก” พิณทองตกใจมาก
“ใช่ ผมโกหก ผมหนีพ่อผมออกมา เพื่อจะมาเอาตัวคุณขึ้นรถ”
“คุณทำแบบนี้ทำไมคะ”
“เพราะผมต้องการความจริงจากคุณ คุณพยายามจะทำอะไร แล้วต้องการอะไรจากพ่อผม” ชนะศึกคาดคั้น
“พิณไม่ได้ทำอะไรนะคะ ท่านประธานชวนพิณมาทานข้าวเอง”
ชนะศึกหรือจะเชื่อ “จะให้ผมเชื่ออย่างนั้นเหรอ หรือจะบอกว่าพ่อผมหัวงูไปเอง”
พิณทองยืนยัน “ไม่มีอะไรแบบนั้นนะคะ”
ชนะศึกยอกย้อน “เหรอ แล้วมีแบบไหน”
“ท่านประธานเมตตาพิณค่ะ ท่านแค่สงสารพิณ”
“ถึงพ่อผมจะเป็นคนใจดี พูดดีกับผู้คน แต่ตั้งแต่ผมรู้จักท่านมายี่สิบปี ท่านไม่เคยสงสารอะไรใครมากมายขนาดนี้ คุณเป็นใครกันแน่ แล้วพยายามจะทำอะไร”
พิณทองหวั่นกลัว “พิณ…พิณไม่ได้ทำอะไร”
ชนะศึกโมโห เหยียบคันเร่งเร็วขึ้น
พิณทองขอร้อง “คุณชนะศึกคะ ขอร้องเถอะค่ะ ขอพิณลงเถอะ นะคะ”
ชนะศึกเหยียบคันเร่งเร็วขึ้น “ไม่ จนกว่าคุณจะพูดความจริง”
“พิณไม่มีอะไรจะพูด ขอร้องนะคะ ขอพิณลงเถอะค่ะ พิณกลัวค่ะ”
ชนะศึกยังคงเร่งเครื่องต่อไป ไม่ยอมหยุด รถชนะศึกแล่นไปบนถนนอย่างรวดเร็ว
พิณทองมองหน้าชนะศึก
“ถ้าคุณไม่จอดให้พิณลง พิณจะลงเอง”
พิณทองตัดสินใจจับที่เปิดประตู แล้วดึงออก ประตูด้านพิณเปิดออก
“เฮ้ย เอาจริงเหรอ”
ชนะศึกตกใจเหยียบเบรคทันที แล้วหักรถเข้าจอดริมถนน
ทันทีที่รถจอด พิณทองรีบลงจากรถ แล้ววิ่งหนีไป ชนะศึกก้าวลงมาจากรถ
“ไปไหนน่ะ ไปไหน”
ชนะศึกดึงแขนพิณทองไว้ พิณทองหันมาร้องไห้น้ำตานองหน้า ชนะศึกหน้าเสีย
“เธออย่าคิดว่าจะหลอกทุกคนได้นะ ผมคนนึงล่ะ ที่ไม่มีวันหลงเชื่อคุณ”
พิณทองสะบัดแขนออก และเดินหนีไป ชนะศึกมองตาม
พิณทองเสียใจน้อยใจเดินร้องไห้มาเรื่อยๆ จนถึงหน้าบ้าน และเปิดประตูรั้วบ้านเข้าไปโดยไม่ทันมอง ว่าพรรณียืนอยู่ด้านหลัง
“เป็นอะไรน่ะพิณ ร้องทำไม”
พิณทองตกใจ “แม่...”
“แม่ถามว่าร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรลูก”
“เปล่าค่ะ พิณแค่โดนเจ้านายดุมา” พิณทองบอกไม่หมด
“เจ้านายดุทำไม เราทำอะไรผิดหรือเปล่า”
พิณทองนึกน้อยใจชนะศึกขึ้นมา “พิณก็แค่...พิณไม่รู้จ้ะ แม่... พิณจะทำอะไร จะพูดอะไร มันก็ผิดไปหมด”
“เดี๋ยวพิณ” พรรณีเดินมาขวางไว้ “เจ้านายที่ว่า คือคนที่เป็นเจ้าของเสื้อใช่ไหม”
พิณทองไม่ตอบ ก้มหน้างุด ซ่อนสายตา
พรรณีถอนใจ “แม่บอกพิณแล้วไงว่าเค้ากับเราต่างกัน” ดึงร่างพิณทองมากอด สงสารลูกจับใจ “อย่าเสียใจไปเลยลูก อย่างน้อยเค้าก็สอนให้พิณรู้ว่าความแตกต่างระหว่างคนเรามันมีอยู่จริง พิณเสียใจซะตั้งแต่วันนี้ ดีกว่าปล่อยให้ตัวเองเตลิดไป แล้วจะไปเสียใจมากกว่านี้ในวันข้างหน้า” พรรณรีเช็ดน้ำตาให้ลูกพลางบอก “ร้องไห้แล้วลืมมันไปซะนะลูกนะ
สองแม่ลูกกอดกัน พิณรู้สึกดีขึ้น”
เช้านั้นธานินทร์เดินลงมาที่ห้องอาหาร อาหารเช้ารออยู่บนโต๊ะ อังคณารออยู่ด้วย หน้าตาเอาเรื่อง
“เมื่อคืนคุณไปไหนมา”
ธานินทร์ชะงัก ทำหน้าเอือมระอาสุดขีด เลยจะเดินออกไป อังคณาลุกตาม
“จะไปไหน ข้าวปลาไม่กินแล้วหรือไง”
“ผมเบื่อ ไม่อยากกิน”
ธานินทร์เดินออกไป อังคณาเดินตาม
“ใช่ซี้ ข้าวบ้านมันน่าเบื่อ กินไม่ลง ไม่สดใสซู่ซ่าเหมือนหญ้า อ่อนที่พากันไปเคี้ยวมาเมื่อคืนหรอกใช่ไหม”
“คุณหยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว ผมไม่เคยทำอะไรแบบนั้น”
“แต่คุณพามันออกไปด้วยกัน ไปไหน ไปทำอะไร สนุกมากไหม บอกฉันหน่อยซี อีเด็กนั่นมันมีดีตรงไหน คุณถึงได้มาบ้าเอาตอนแก่แบบนี้”
“คุณนั่นแหละที่บ้า! คิดอะไรบ้าๆ บอๆ ไปเอง ผมบอกกี่หนแล้ว ว่าผมไม่มีอะไรกับเด็กคนนั้น”
ธานินทร์เดินต่อไป อังคณากระชากแขนไว้
“ฉันไม่เชื่อ! ถ้าไม่มีอะไรกัน งั้นคุณพามันออกไปด้วยกันสองต่อสองทำไม อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องงาน เพราะยุ้ย เลขา ของคุณก็ไม่รู้ว่าคุณพามันออกไปไหน”
ธานินทร์อึ้งไป เสียงชนะศึกแทรกมา
“พาไปทานข้าวกับลูกค้าครับ” ธานินทร์และอังคณาหันไปมอง งงทั้งคู่ “ผมสั่งเองให้คุณพ่อพาเด็กไปช่วยจดบันทึกหน่อย ผมขี้เกียจจำเรื่องตัวเลขระหว่างกินข้าว”
“ลูกไปด้วยเหรอ”
ชนะศึกยิ้มประจบแม่ “ผมตามไปครับ แถมยังให้ยัยเด็กนั่นติดรถกลับบ้านด้วย เพราะฉะนั้น สิ่งที่แม่คิดอยู่น่ะ...เป็นไปไม่ได้แน่ๆ วางใจได้”
อังคณามองหน้าธานินทร์กับชนะศึกสลับกัน
“แม่ไม่ใช่คนวางใจอะไรง่ายๆ” พูดกับธานินทร์ “ครั้งนี้ คุณรอดไป แต่อย่าให้ฉันจับได้นะ... ฉันเอาตาย”
อังคณาเดินออกไป ชนะศึกเป่าลมจากปาก โล่งอก
ธานินทร์กลับมานั่งที่โต๊ะทานข้าว ชนะศึกเดินตามมา และนั่งข้างๆ หันมาปล่อยมุข
“ผู้หญิงด่าเขาว่าผู้หญิงรักนะครับคุณพ่อ”
ธานินทร์ไม่ขำ ถอนใจเหนื่อยหน่าย บอกชนะศึก “ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ถือว่าผมไถ่โทษ ที่เข้าใจคุณพ่อผิดเมื่อคืน”
“ลูกก็เหมือนกับแม่ของลูก คิดมากไป”
“ผมคิด คุณแม่คิด คนอื่นก็อาจจะคิดได้ว่าคุณพ่อไม่บริสุทธิ์ใจกับเด็กนั่น”
“แล้วจะให้พ่อทำยังไง ไล่เขาออกไปเพราะแม่ของลูกหึงเขางั้นเรอะ เหลวไหลสิ้นดี”
“ผมมีวิธีอื่นครับคุณพ่อ” ธานินทร์มองหน้ารอฟัง “ถ้าคุณพ่อเชื่อใจผม”
ธานินทร์มองชนะศึกเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในสีหน้า ชักไม่แน่ใจ
ตอนสายวันนั้น ชนะศึกเดินนำพิณทองมาตามทางเดิน
“ต่อจากนี้ไปคุณต้องมาทำงานเป็นผู้ช่วยเลขาของผม และต้องทำให้ดีที่สุดให้สมกับที่พ่อเค้าอุตส่าห์ชมว่าคุณว่าเก่ง ทั้งๆ ที่เรียนไม่สูง แต่ทำงานได้ทุกอย่าง”
“แล้วพิณต้องทำอะไรบ้างคะ”
ชนะศึกเปิดประตูห้องเก็บเอกสาร
ตรงตู้เหล็กเก็บเอกสาร 2 ตู้ ชนะศึกเปิดตู้เอกสารออกทั้งสองตู้ พิณทองยืนนิ่งตะลึง สายตาพิณทองมองกวาดไปที่ตู้ ทุกชั้นทั้งสองตู้ มีแฟ้มเอกสารวางอย่างระเกะระกะอยู่เต็มไปหมด
“เอกสารพวกนี้เป็นของเก่าๆ ของบริษัท ตั้งแต่ยี่สิบปีก่อนจนถึงประมาณ 5 ปีที่แล้ว ก่อนเราจะจัดเก็บด้วยคอมพิวเตอร์ มันเข้าแฟ้มไว้รวก ๆ ปนเปกันไปหมด ผมอยากให้คุณจัดแยกออกมาเป็นเรื่อง ๆ เรื่องสัญญาแฟ้มนึง ใบเสร็จ ใบส่งของ หรือเรื่องอะไรอื่น ๆ ก็แยกเป็นแต่ละแฟ้ม ๆ ไป ทำได้มั้ย”
“ค่ะ” พิณทองพยักหน้า เดินไปที่ตู้เอกสาร มองกวาดสายตาไป สีหน้าเริ่มวิตกกังวล
“เดี๋ยว!! อย่าลืม เรียงตามวันเดือนปี ด้วยนะ”
“ค่ะ”
“คุณคิดว่างานนี้จะเสร็จได้เมื่อไหร่”
“แล้วคุณชนะศึกอยากให้เสร็จเมื่อไหร่ล่ะคะ”
ชนะศึกทำเป็นคิด แล้วยักไหล่ “ภายในวันนี้”
พิณทองตกตะลึง “วันนี้เหรอคะ”
ชนะศึกจ้องหน้า “ทำไม หรือทำไม่ได้”
พิณทองหน้าจ๋อย “ก็...” กัดฟันสู้ พยักหน้า “ได้ค่ะ”
พิณทองเดินเข้าไปจัดเอกสาร ชนะศึกมองอย่างยิ้มๆ ที่ได้แกล้ง
อังคณารื้อข้าวของกระจัดกระจาย อยู่ในห้องของธานินทร์ ชนกนันท์เข้ามาถามอย่างฉงน
“คุณแม่หาอะไร...ทำไมถึงได้รื้อของจนกระจัดกระจายแบบนี้ล่ะคะ”
“หาอะไรก็ได้ บัตรทางด่วน สลิปบัตรเครดิต ใบเสร็จโรงแรม อะไรก็ได้ที่บอกว่าพ่อเขาไปทำอะไร กับใคร ที่ไหนมาบ้าง แม่อยากจะรู้ว่าพ่อของเราเขามีอะไรกับเด็กนั่นหรือเปล่า
“งั้นเดี๋ยวนกช่วยค่ะ..คุณแม่”
ชนกนันท์เข้าไปช่วยอังคณารื้อของ สองแม่ลูกพูดคุยไปด้วย
“พ่อของเราต้องมีอะไรปิดบังแม่แน่ ๆ แม่รู้ ..พ่อของแกเค้าไม่เหมือนเดิม”
“ยังไงคะ”
“เขาเกรงใจแม่น้อยลง เขาเอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น แล้วที่สำคัญ... แกเห็นมั้ย? เดี๋ยวนี้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่รู้มีความสุขเรื่องอะไร ... แม่ถึงได้แน่ใจว่าเขาต้องมีอะไรแน่ ๆ มาช่วยกันหาเถอะเร็ว”
“ค่ะคุณแม่”
ทั้ง 2 คนช่วยกันรื้อค้นห้องทำงานของธานินทร์ โดยทั้งสองคนเกือบจะเจอเสื้อปักคำว่า “รัก...พรรณี” ที่ธานินทร์ซ่อนเอาไว้
บ่วงรัก ตอนที่ 3 (ต่อ)
ส่วนภายห้องเก็บเอกสารที่บริษัทเบสท์ฯ ช่วงตอนกลางวัน พิณทองกำลังยุ่งกับการจัดเอกสารอยู่ หญิงสาวเหลียวไปมองนาฬิกาแขวนบนผนัง เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี
พิณทองเดินไปหยิบปิ่นโตข้าวเข้ามา และนั่งเปิดปิ่นโตเห็นเป็นไข่ต้ม 2 ฟอง พิณทองปอกเปลือกไข่ต้ม และมองออกไปยังทางเดิน เห็นชนะศึกกำลังเดินตรงมา
พิณทองรีบเก็บปิ่นโต ชนะศึกเดินมาถึงหน้าห้องเก็บเอกสารพอดี มองเหล่พิณทอง
“ทำอะไร แอบหลับหรือเปล่า”
พิณทองส่ายหัว “เปล่าค่ะ”
ชนะศึกมองนาฬิกา “นี่ก็เที่ยงแล้ว หิวข้าวหรือยัง”
“เอ่อ...คือ” พิณทองยกปิ่นโตให้ดู “พิณเตรียมมาแล้วค่ะ”
ชนะศึกชะงัก “อ้าว ชอบกินข้าวปิ่นโตเหรอ”
“มันประหยัดดีน่ะค่ะ”
ชนะศึกขัดใจ เสียแผน ไม่รู้จะทำยังไงต่อ
พิณทองถามซื่อ อย่างเจียมตัว “คุณชนะศึกจะเอาอะไรหรือเปล่าคะ”
ชนะศึกเดินมาหาพิณทอง แกล้งหยิบแฟ้มมาเปิดดู ทำเป็นฟอร์มต่อว่าพิณทอง
“จัดช้าจัง ทำงานเป็นหรือเปล่านี่...ก่อนหน้านี้ทำงานอะไรมา”
“พิณเพิ่งมาทำงานที่นี่ที่แรกค่ะ”
“เพิ่งเรียนจบเหรอ?”
“จบมาพักนึงแล้วค่ะ แต่ยังหางานไม่ได้ ช่วงที่รองานพิณก็ช่วยแม่เย็บผ้า แม่พิณเป็นช่างเย็บผ้าค่ะ”
ชนะศึกมองพิณแล้วเผลอยิ้มอย่างลืมตัว พอพิณทองมองกลับ ชนะศึกรีบหยิบแฟ้มขึ้นมาเปิดดูต่อ
“กับคุณพ่อรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า ทำไมดูเอ็นดูเธอเป็นพิเศษนัก”
“ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนหรอกค่ะ แต่พิณดูพิณก็รู้ว่าท่านเป็นคนใจดีกับทุกคน”
พิณทองหันหลังไปจัดเอกสารต่อ
“แล้วเธอมีแฟนหรือยัง”
พิณทองหันกลับมามองชนะศึกงงๆ
“แฟนเหรอคะ”
ชนะศึกทำไก๋ตีสีหน้าจริงจัง “ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ที่นี่น่ะ บางครั้งเราก็ต้องอยู่ทำงานเกินเวลา ฉันกลัวว่าเดี๋ยวแฟนมารอรับ จะทำงานไม่เต็มที่”
พิณทองยิ้มขำ “อ๋อ ปัญหานั้นไม่มีหรอกค่ะ” แล้วก้มหน้าก้มตาจัดเอกสารต่อ
ชนะศึกเริ่มทำหน้าไม่ถูก “หมายความว่ายังไง ตกลงแฟนมีหรือไม่มี”
“ไม่มีค่ะ”
“ดีแล้ว” ชนะศึกรู้ตัว วางฟอร์มต่อ “ถ้างั้นทำงานต่อให้เสร็จก็แล้วกัน”
ชนะศึกเดินออกจากห้องไป แอบยิ้มกับตัวเอง
ในตลาดเก่า ธานินทร์กับศักดามาตามหาร้านข้าวหน้าเป็ดเก่าแก่ที่ตนเคยมากินกับพรรณีในอดีต
“แถวนี้แน่นะครับ ท่าน”
“เออ...ก็ไม่รู้สิจำไม่ค่อยได้ เมื่อกี๊แกขับรถเลยไปหรือเปล่า”
“โธ่ แต่เมื่อกี๊ผมขับรถช้าจริงๆ นะครับ ผมดูทั่วแล้วไม่มีแน่ แล้วท่านคิดดูนะครับท่าน ตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว ป่านนี้อาจเลิกกิจการไปแล้วก็ได้ เพราะไอ้ของขายเนี่ย ถ้าขายดีบางทีก็ขายได้ ถ้าขายไม่ดีมันก็อาจจะปิดกิจการ” ศักดาบ่นเป็นชุด
จู่ๆ ธานินทร์ตะโกนลั่น ดีใจสุด “เดี๋ยวๆ”
ธานินทร์เห็นร้านข้าวหน้าเป็ด ชี้ไม้ชี้มือยกใหญ่
“นี่ไง”
ศักดาอ่านชื่อร้านงงๆ
“อืม” ธานินทร์หัวเราะชอบใจ
ร้านอาหารที่ธานินทร์หา เป็นร้านเก่าแก่ มีป้ายบอกว่าเป็นเป็ดย่างเจ้าอร่อย
ธานินทร์ยิ้มดีใจเหมือนเด็กๆ
ธานินทร์ยืนมองอาแปะสับเป็ดอย่างชำนาญ เอาใส่กล่อง คุยกับศักดาไปด้วย
“เนี่ยของชอบเขาเลยล่ะ ฉันเคยพาเขามากินสองสามครั้งแล้ว มาทีไรเขากินสองจานทุกที”
“ตั้งสองจานเลยเหรอครับ แล้วไม่กลัวอ้วนเหรอครับ” ศักดาสงสัย
ธานินทร์ขำๆ “ก่อนจะเข้ามากินเขาก็บ่นว่ากลัวอ้วน แต่พอกินทีไรก็สองจาน”
“คงอร่อยนะครับ”
ธานินทร์นึกถึงความหลังครั้งนั้นอย่างมีความสุข
ภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งในอดีต ธานินทร์กับพรรณีกำลังนั่งกินข้าวหน้าเป็ดกันอยู่ โดยสองคนสลับกันป้อนให้กันทีละคำ
ธานินทร์ดึงตัวเองกลับมา ยืนยิ้มอย่างมีความสุข
รถคันหรูของธานินทร์แล่นเข้ามาในซอยบ้านพรรณีและพิณทอง
ธานินทร์นั่งอยู่เบาะหลัง ศักดาเป็นคนขับ
“บ้านนี้แหละครับ” ศักดาบอก
“แล้วจอดทำไมเล่า ไป”
“ครับๆ”
ศักดาขับรถเลยหน้าบ้านพรรณีไป
ศักดาจอดรถ ธานินทร์ยกถุงขึ้นมา ภายในมีกล่องโฟมใหญ่พอควร ส่งให้ศักดา
“แกเอาถุงนี้ไปแขวนไว้ที่หน้าบ้านนะ”
ศักดารับถุงมา ทักท้วง “แล้วทำไมไม่ให้เขาออกมาเอาเลยล่ะครับ ถ้าเกิดแขวนไว้แล้วใครผ่านมาหยิบไปเป็นเรื่องเลยนะครับ”
“เอาน่า เราก็คอยดูไว้ซี”
“แหม แต่ผมว่า การที่เราจะให้อะไรใครนะครับ มันมีความสุขตอนที่เราเห็นเขามีความสุขตอนรับนะครับ แล้วอีกอย่างท่านจะต้องไปปิดบังตัวเองทำไมละครับ ก็ลงไปพูดเลยสิว่าเป็นท่าน แล้วท่านก็ลงไปคุยกันให้รู้เรื่องเลยสิครับ” ศักดาพูดเรื่อยเจื้อย
“เอาล่ะๆ ทุกอย่างที่แกพูดนะมันไม่จำเป็นสำหรับฉันหรอก ฉันไม่อยากรื้อฟื้นอดีต เข้าใจมั้ย แค่ฉันเห็นเขามีความสุข ฉันก็สุขพอแล้ว แต่ก็ขอบใจแกที่ช่วยแนะนำ”
“ครับ”
“เอ้า ไปสิ เอาไปแขวนหน้าบ้าน ระวังล่ะ”
ธานินทร์เร่ง ศักดารับคำ แล้วหิ้วถุงลงจากรถ ธานินทร์มองตามไป
ศักดาเอาถุงเป็ดไปแขวนไว้ที่ประตู แล้วเดินออกมา แต่ก่อนจะกลับขึ้นรถศักดาตัดสินใจกดกริ่งบ้านพิณทอง แล้วรีบวิ่งจู๊ดกลับไปขึ้นรถ พรรณียินเสียงกริ่งจึงเดินออกมาดู
ธานินทร์ดุศักดา “ทำอะไรของแก เดี๋ยวเขาก็จับได้พอดี”
“คอยดูครับ ออกมาแล้วครับ”
ธานินทร์หันกลับไปดูด้านหลัง เห็นพรรณียืนอยู่
พรรณีออกมาจากในบ้าน มองหาว่าใครมากดกริ่ง
ธานินทร์เต็มตื้นยิ้มอย่างมีความสุข มองพรรณีไม่วางตา
พรรณียืนมองหาคนกดกริ่ง เห็นถุงแขวนอยู่ พรรณีเดินไปหยิบถุงข้าวหน้าเป็ดมาดูอย่างแปลกใจ และมองกลับไปที่รถของธานินทร์อีกครั้ง รถธานินทร์แล่นออกไปอย่างช้าๆ โดยที่ธานินทร์ยังเหลียวมามองพรรณีไม่ละสายตา
ตัดมาที่มุมหนึ่ง เรืองโรจน์สะกดรอยตามแอบดูตามคำสั่งอังคณา รถธานินทร์กำลังแล่นผ่านหน้าเรืองโรจน์ออกไป
พรรณียืนถือถุงเป็ดอยู่ที่หน้าบ้าน มองตามรถของธานินทร์ไป
ที่มุมลับตาคน เรืองโรจน์แอบโทร.มาฟ้องอังคณาเรื่องที่ได้เห็น
“แปลกนะแล้วเขาเอาอะไรไปแขวนเอาไว้”
“ไม่ทราบครับ คุณผู้หญิง พอแขวนเสร็จ เจ้าของบ้านเขาก็มาหยิบเข้าไป”
อังคณาแปลกใจมาก “แล้วบ้านนั้นมันบ้านใคร”
“ผมถามคนแถวนั้น เขาบอกว่าเจ้าของบ้านชื่อพรรณี เป็นช่างเย็บผ้าจนๆ อาศัยอยู่แถวนั้นมานานแล้วครับ”
อังคณางง “แล้วไง เธอจะบอกว่าสามีฉันกลายเป็นซานตาคลอสไปแล้วหรือไง เที่ยวได้เอาของไปแจกคนจน”
เรืองโรจน์ยิ้มร้าย “คงไม่ใช่หรอกครับ ... ผมถามมาถามไป เลยได้ความมาว่า คนที่ชื่อพรรณีแกมีลูกสาว ทำงานอยู่บริษัทใหญ่โต”
อังคณาเก็ตดวงตาวาววับ
“อย่าบอกนะว่า...”
เรืองโรจน์สวนออกมา “ครับคุณผู้หญิง ลูกสาวของบ้านนั้นทำงานที่เบสท์ เอนเทอร์ไพรส์ เธอชื่อว่าพิณทอง ครับ แล้วก็เป็นผู้ช่วยเลขาฯ ของคุณธานินทร์”
อังคณากำมือแน่น ความโกรธพุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ ในใจ
บ่วงรัก ตอนที่ 3 (ต่อ)
บ่าย 3 โมง แล้วพิณทองกำลังตั้งหน้าตั้งตาจัดเก็บเอกสารอยู่ ชนะศึกเดินมา พิณทองหันไปเห็นชนะศึกแล้วตกใจ
“กำลังทำอยู่ค่ะ คุณชนะศึก”
“ฉันมีประชุมกับลูกค้าข้างนอก เดี๋ยวฉันจะกลับมาตรวจอีกที” วางมาดเข้ม “ถ้าฉันยังไม่กลับมา เธอห้ามกลับ...เข้าใจมั้ย”
พิณทองพยักหน้าเข้าใจ
“เข้าใจค่ะ”
“ดีมาก”
ชนะศึกเดินออกไป พิณทองก้มลงเก็บเอกสารต่อ
เวลาผ่านไป นาฬิกาติดผนังด้านนอกห้อง บอกเวลา 6 โมงเย็นแล้ว
ส่วนในห้องพิณทองกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ ข้าง ๆ ตัวมีกองเอกสารวางรวม ๆ กัน เสียงท้องร้อง พิณทองจับท้องตัวเอง รู้สึกหิวข้าว และลุกขึ้นจะออกไปนอกห้อง มองเห็นเอกสารยังไม่เรียบร้อย
ตอนเย็นๆ อังคณานั่งอยู่อ่านเอกสารในมือ ชนกนันท์อยู่ด้วย เรืองโรจน์ยืนอยู่ห่าง ๆ
“นังเด็กนี่น่ะเหรอที่ชื่อพิณทอง”
อังคณาปากระดาษแผ่นนั้นลงบนโต๊ะ เปิดให้เห็นเป็นเอกสารสมัครงานของพิณทอง มีทั้งที่อยู่ และรูปถ่าย
“ครับ” เรืองโรจน์รับ
ชนกนันท์มองประวัติพิณทอง “อายุยังน้อยอยู่เลยนะคะคุณแม่”
“แบบนี้ไงละพ่อแกถึงได้ติดใจ”
ชนกนันท์แค้นเรืองโรจน์ “มั่วหรือเปล่า ไม่ใช่กุเรื่องขึ้นมา หาความดีความชอบใส่ตัวนะ”
อังคณาปราม “อย่าไปพาลเรืองโรจน์เค้าเลยยัยนก” ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น “พ่อแกกำลังเล่นไม่ซื่อกับแม่ แม่รู้”
ชนกนันท์แก้ตัวแทนพ่อ “นังหน้าใสนี่มันอาจจะหลอกคุณพ่อก็ได้”
อังคณาเพ่งมองไปที่รูปพิณทอง ด้วยแววตาร้ายกาจ “เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับฉัน...”
“คุณแม่จะทำยังไงต่อคะ”
ชนกนันท์กับเรืองโรจน์มองหน้าอังคณา ลุ้นระทึก
ค่ำนั้นพรรณีกำลังเปิดถุงเป็ดจัดใส่จาน ป้าสำอางค์นั่งอยู่ด้วย
“ฮื้อฮือ หอมมาถึงนี่ ได้กลิ่นแล้วน้ำลายไหล...ลูกสาวแม่พรรณีน่ารักจริง ๆ นะ หาเงินหาทองได้ ก็รู้จักซื้อของอร่อย ๆ มาให้แม่กิน...”
พรรณีเดินถือจานเป็ดย่างสีแดงสวยน่ากินจานใหญ่มาวางที่โต๊ะ บนโต๊ะมีอาหารง่าย ๆ วางอยู่ 1-2 อย่าง
พรรณีพูดขำๆ “เป็ดของพิณจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ อยู่ ๆ ก็เอามาแขวนไว้ให้ที่หน้าบ้าน ไม่เห็นได้บอกอะไร”
“อุ๊ย ตัวนึงไม่ใช่ถูกๆ นะ เป็นร้อยเป็นชั่ง ใครมันจะเอามาให้ ถ้าไม่ใช่นังพิณ...เออ แล้วนี่ยังไม่กลับจากทำงานอีกเหรอ ค่ำมืดแล้ว”
“รถคงติดมั้งพี่ เดี๋ยวก็คงกลับมาแล้ว”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พรรณีเดินไปรับ
“ฮัลโหล สวัสดีจ๊ะ”
พิณทองยังอยู่ที่ห้องเก็บเอกสาร
“แม่หรือจ๊ะ นี่พิณเองนะ”
“พิณอยู่ไหนลูก ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก แม่รอกินข้าวอยู่”
“พิณยังทำงานไม่เสร็จน่ะจ้ะแม่ จะโทรมาบอกแม่ว่าให้แม่กินข้าวไปก่อนเลย ไม่ต้องรอพิณหรอกจ้ะ”
“แล้วพิณจะเสร็จกี่โมงล่ะลูก”
ระหว่างนั้นเสียงแบตโทรศัพท์มือถือของพิณทองเตือนว่าแบตกำลังจะหมด
“ยังไม่รู้เลยจ้ะ ต้องรอเจ้านายมาตรวจงานก่อน ถ้าเค้ายังไม่มา พิณก็กลับไม่ได้ แม่กินข้าวเลยนะจ๊ะ ไม่ต้องรอพิณ”
เสียงแบตโทรศัพท์มือถือพิณทองเตือนอีกครั้ง
“เออ...พิณ แล้วเป็ดที่หนู...”
สายโทรศัพท์ตัดไป พิณทองมองดูโทรศัพท์ของตัวเองแบตหมด ถอนใจ และทำงานต่อไป
พรรณีวางหูโทรศัพท์ เดินมานั่งที่เก้าอี้โต๊ะกินข้าว หน้าตากังวล
พรรณีบ่น “พิณนะพิณ เวลากินไม่กิน เดี๋ยวโรคกระเพาะก็กำเริบอีกหรอก”
“อุ๊ย ไม่ต้องห่วงไปหรอกน่ะ นังพิณมันโตแล้ว ถ้ามันหิว มันคงหาข้าวกินเองแหละ” สำอางค์มองเป็ด “ว่าแต่เป็ดนี่เถอะ ขอฉันชิมซักคำนะ น่ากิ๊นน่ากิน”
“รอพิณก่อนเถอะพี่ พิณอุตส่าห์ซื้อมา”
ป้าสำอางค์ไม่ฟัง แอบฉกเป็ดมาชิ้นหนึ่งจนได้ เคี้ยวตุ้ย ๆ
ภายในร้านอาหารญี่ปุ่นสุดหรูซึ่งเป็นห้องส่วนตัว อนุศักดิ์ และชนะศึกนั่งรอฮิโตริอยู่ ซึ่งชนะศึกนั่งรออยู่นานแล้ว เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจ มองดูนาฬิกาของตัวเอง
ชนะศึกกระซิบกับอนุศักดิ์ “นัดทุ่มนึง นี่มันทุ่มครึ่งแล้วนะ อนุศักดิ์”
ผู้ช่วยฮิโตริพรวดพราดเข้ามา หน้าตากังวลมาก ก้มหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
ผู้ช่วยพูดสำเนียงญี่ปุ่น “ต้องขอโทษจริง ๆ ครับ บังเอิญเครื่องบินที่ท่านประธานฮิโตริโดยสารมา เกิดมีปัญหานิดหน่อย”
“แปลว่าจะเลื่อนนัดเหรอครับ”
“มิได้ครับ เรื่องที่ตกลงกันวันนี้สำคัญมาก ผมอยากขอร้องให้คุณชนะศึกรอท่านประธานซักหน่อย คงไม่นาน” ผู้ช่วยเห็นชนะศึกลังเล รีบโค้งคำนับ “รบกวนด้วยครับ”
ชนะศึกจำใจยิ้ม แล้วพยักหน้ารับ อนุศักดิ์กระซิบ
“เอาน่า...รอหน่อย งานนี้มูลค่าหลายร้อยล้านเลยนะ”
จังหวะนั้นผู้ช่วยของฮิโตริรับโทรศัพท์
พูดเป็นภาษาญี่ปุ่น “ไฮ้” ฟังนิดหนึ่ง ก็ออกอาการดีใจ รีบบอกชนะศึก “ท่านประธานฮิโตริกับมาดามมาถึงแล้วครับ”
ประตูห้องเปิดออก ผู้ช่วยพุ่งตัวออกไป ชายญี่ปุ่นท่าทางภูมิฐานกับผู้หญิงญี่ปุ่นท่าทางสง่าเดินเข้ามา
“ท่านประธาน มาดาม” ผู้ช่วยโค้งคำนับ
“ผมต้องขอโทษด้วย” ฮิโตริ เห็นชนะศึก เดินเข้ามาหา “คุณชนะศึกใช่ไหม ผมฮิโตริ ต้องขอโทษเป็นอย่างมากที่ทำให้คุณต้องเสียเวลา”
ชนะศึกยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ”
“งั้นเรามาเจรจาเรื่องสัญญากันเลย เชิญ”
ทั้งหมดพากันนั่งลง ชนะศึกลงนั่ง เริ่มประชุม แต่แอบกังวลถึงพิณทองนิดๆ
เวลาเดียวกันพรรณี นั่งมองเพชรแท้กินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหาร บนโต๊ะยังมีจานเป็ดอยู่
เพชรแท้คีบชิ้นเล็กๆ มาชิม “เป็ดนี่อร่อยดีนะแม่ ซื้อมาจากร้านไหนเหรอ”
“พิณซื้อมาให้น่ะ...” บ่นงุบงิบ “แล้วตัวเองก็ไม่กลับมากิน”
“แม่ก็มากินเถอะ ไม่ต้องไปรอพิณหรอก เดี๋ยวเย็นแล้วไม่อร่อย”
พรรณีมานั่งกิน เพชรแท้คีบเป็ดวางให้ พรรณีตักเป็ดขึ้นใส่ปาก เคี้ยว หยุดชะงัก จำได้ถึงรสชาติเป็ดที่เคยกิน
“มีอะไรเหรอ แม่”
พรรณีรีบเดินมาดูที่ถุงเป็ด หาสิ่งที่สงสัย
“แม่หาอะไรจ๊ะ” เพชรแท้สงสัยหนัก
พรรณีหยิบกล่องใส่เป็ดขึ้นมาดู แต่ไม่เห็นชื่อร้านหรือลวดลายอะไร
“อยากรู้ว่าของร้านไหนน่ะ รสชาติเหมือนเคยกิน”
พรรณีเดินกลับมานั่งลงกินข้าวต่อ เพชรแท้หัวเราะ
“ติดใจล่ะซี๊ เดี๋ยวถามพิณมันให้ก็ได้ ว่าของร้านไหน...เอาไว้เงินเดือนออกเพชรจะไปซื้อมาให้แม่กินอีก” เพชรแท้คีบเป็ดให้ “เอ้า กินเยอะ ๆ แม่ อ้ำ”
เพชรแท้ทำเหมือนจะป้อนพรรณี ถูกพรรณีตี แล้วหัวเราะขำ
พรรณีกินเป็ด แล้วยิ้มอย่างมีความสุข
ห่างออกไป ที่หน้าบ้าน รถธานินทร์จอดอยู่ ธานินทร์มองพรรณีจากในรถ พลอยยิ้มสุขใจไปด้วย
ธานินทร์นั่งอยู่ในรถ โดยมีศักดานั่งตรงที่คนขับ ชวนคุย
“สมัยก่อนนี้นอกจากเป็ดแล้ว คุณพรรณีเค้ายังชอบอะไรอีกหรือเปล่าครับ”
“เขาเป็นคนจนนะ วันๆ หลังจากเขาเลิกงานแล้ว ฉันก็ไม่เห็นเขาทำอะไรเลย พรรณีเขาชอบทำงานฝีมือ เขาชอบปักลวดลาย...ฉันจำได้สมัยก่อนเนี่ยฉันชอบนั่งดูเขาปักผ้า เวลาเขาปักผ้า สีหน้าเขาจะมีความสุขมาก ฉันนั่งดูทุกวันไม่เคยเบื่อเลย”
ศักดาเย้า “ตอนนี้ท่านก็กำลังทำอยู่”
จู่ๆ เสียงเคาะกระจกรถ เป็นสำอางยืนเคาะกระจกรถด้านของศักดา ทำเอาศักดาตกใจ
“ท่าน ๆ มีคนมาเอาไงดีครับท่าน”
“ทำไงดีล่ะ เอ้า เปิดก็เปิด”
ศักดาเปิดกระจกรถ ถาม
“มีอะไรจ๊ะป้า”
“ใครเป็นป้าแก ค่ำ ๆ มืด ๆ ดึกดื่นมาจอดรถอยู่ทำไม” สำอางค์แหวใส่
“ก็แถวนี้ถนนหลวงไม่ใช่เหรอป้า ทำไมจะจอดไม่ได้ล่ะ” ศักดาย้อน
“เออรู้ ถนนหลวง แต่นี่มันหน้าบ้านฉัน มาจอดรถนาน ๆ อย่างนี้ มันก็ต้องถามต้องไถ่กันมั่งสิ ใครอยู่หลังรถเนี่ย”
สำอางค์มองไปที่เบาะหลัง และเดินไปดู ธานินทร์นั่งเอาหนังสือพิมพ์ปิดหน้าไว้
“หรือมาส่งยาบ้า เฮ้ย!!! เรียกตำรวจหน่อย”
ป้าสำอางค์ตะโกนเสียงดัง
ศักดาตกใจ “เดี๋ยวๆ ป้า ฉันไปแล้วๆ ฉันไปเลยจ้าป้า”
ศักดารีบออกรถไป สำอางค์วิ่งตาม
“มีพิรุธว่ะ ส่งยาบ้าแน่ ๆ เลย”
พรรณีเดินออกมาจากในบ้าน
“พี่อางค์ อะไร ตะโกนด่าใครเนี่ย เสียงดังไปถึงในบ้าน”
“ใครก็ไม่รู้มาจอดรถซุ่มอยู่ตรงนี้ รถราคาเป็นล้านเลย แต่คนในรถเนี่ยท่าทางดูดี๊ดี แต่ทำลับ ๆ ล่อ ๆ พิกล มาหาใครก็ไม่รู้”
“ฉันว่าเขาคงหลงทางมามากกว่า แถวนี้นะมีแต่คนจน ๆ ทั้งนั้น เขาจะมาหาใคร”
“อืม...แล้วนี่อยู่คนเดียวเหรอ นังพิณยังไม่กลับเหรอ”
“ยังเลยจ้า นี่ฉันก็เริ่มเป็นห่วงมันแล้วนะ ป่านนี้ทำไมยังไม่กลับก็ไม่รู้”
พรรณีมองไปตามถนนหน้าบ้าน สีหน้ากังวล
คืนนั้น ภายในห้องเก็บเอกสาร อีกมุมหนึ่งพิณทองเอาเอกสารจัดใส่ตู้เหล็ก ปิดปัง พิณทองถอนใจเฮือก
“เสร็จไปอีกหนึ่ง...เหลืออีกแค่สองตู้”
พิณทองปาดเหงื่อ รื้อเอกสารในตู้ใบใหม่ออกมากอง
ส่วนนอกห้อง ไฟชั้นผู้บริหารกำลังปิดลงเรื่อยๆ ที่ละจุด รปภ.กำลังเดินล็อคห้องทีละห้อง
พิณทองเริ่มรู้สึกหิวน้ำ กลืนกินน้ำลายตัวเอง ลุกขึ้นเดิน 2-3 ก้าว รู้สึกหน้ามืด จึงพยายามจับสิ่งของข้างๆ และล้มหมดสติ แฟ้มเอกสารตกใส่ตัวพิณทอง
โปรดติดตาม "บ่วงรัก" ตอนที่ 4