บ่วงรัก ตอนที่ 8
ภายในห้องนั่งเล่นบ้านเลิศชัยวัฒน์ค่ำคืนนั้น อังคณา ชนกนันท์ และชนะศึกนั่งอยู่ด้วยกัน อังคณากับชนกนันท์ท่าทางเครียด โกรธขึ้ง และไม่พอใจเอามากๆ แต่ขณะที่ชนะศึกมีท่าทีเฉยๆ หลังฟังความจากผู้เป็นมารดาเรื่องพินัยกรรมที่แอบได้ยิน
“ผมว่าแม่คิดมากไปแล้ว ระยะหลังนี่พ่อไม่ค่อยสบาย พ่ออาจจะเป็นห่วง อยากจัดการอะไรไว้ให้มันเรียบร้อย ผมว่าการที่พ่อทำพินัยกรรมมันไม่เห็นจะแปลกอะไร ใคร ๆ ก็ทำได้”
“มันแปลกซี เพราะปกติถ้าเขาเป็นอะไรไป แม่กับลูกทั้งสองก็ต้องได้มรดกของเขาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำพินัยกรรมก็ได้ นอกจากว่าเขาจะต้องการยกสมบัติของเขาให้คนอื่น” อังคณาว่า
“พ่อจะยกสมบัติให้คนอื่นไม่ได้นะคะ นกไม่ยอมนะ” ชนกนันท์ตีโพยตีพาย
ชนะศึกส่ายหัว “เหลวไหลน่ะ พ่อเป็นพ่อเรานะนก พ่อจะไปยกสมบัติให้ใครได้”
อังคณาเยาะหยัน “นึกไม่ออก หรือแกล้งโง่กันแน่ จะใครล่ะถ้าไม่ใช่นังพรรณี พ่อของแกเขาหลงใหลมันจนแทบจะบ้า เขาต้องยกทุกอย่างให้มันแน่”
ชนะศึกชะงักไปเหมือนกัน “พ่อจะทำขนาดนั้นเลยเหรอครับ
ชนะศึกไม่อยากจะคิดว่าเป็นอย่างนั้นได้
เช้าวันต่อมา ภายในรถของธานินทร์ ที่ศักดาเป็นคนขับ ธานินทร์กับชนะศึกนั่งอยู่ตอนหลัง ธานินทร์เงยหน้าจากการอ่านเอกสาร ขณะเอ่ยขึ้น
“พ่อว่านะ ความจริงประชุมกับลูกค้าวันนี้ ชนะเข้าคนเดียวก็ได้”
“สัญญาตัวนี้เกือบร้อยล้านนะครับ พ่ออยู่ด้วยลูกค้าจะยิ่งมั่นใจ”
“พ่อว่าลูกควรจะเริ่มทำตัวให้ลูกค้าเขามั่นใจในตัวลูกได้แล้ว อีกไม่นานลูกจะต้องทำงานแทนพ่อทั้งหมด” ธานินทร์พูดเป็นนัย
ชนะศึกสะกิดหู “พ่อพูดอย่างกับว่าจะไปไหน”
ธานินทร์ถอนหายใจ “พ่อเหนื่อยน่ะ พ่ออยากจะพักซักที”
“พ่อก็เลยคิดทำพินัยกรรมใช่ไหมครับ” ธานินทร์อึ้ง ชนะศึกเหลือบมองพ่อถามหยั่งเชิง “ก็รอบคอบดีนะครับ พ่อคงอยากให้แน่ใจว่าทุกอย่างของพ่อจะเป็นของผมกับนก”
พูดแล้วชนะศึกหันมามองธานินทร์ถามย้ำ “ใช่ไหมครับ”
ธานินทร์อึ้งไม่พูดอะไรอีก ชนะศึกเองก็ไม่กล้าถามอะไรต่อ
ภายในห้องทำงานของจรัล ที่สำนักงานทนายความ โทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้น จรัลรับสาย
“สวัสดีครับ ผมจรัลพูดครับ”
เรืองโรจน์พูดโทรศัพท์อยู่ที่ภายในห้องนั่งเล่นบ้านเลิศชัยวัฒน์
“คุณจรัลเหรอครับ ผมเรืองโรจน์เลขาฯคุณธานินทร์นะครับ ท่านให้โทรมาถามเรื่องพินัยกรรมน่ะครับ”
“พินัยกรรมอะไรกันครับ”
“ก็ที่ท่านคุยกับคุณจรัลเมื่อวานนี้ไงครับ ท่านให้ผมตามว่าไปถึงไหนแล้ว” เรืองโรจน์สวมรอย
จรัลหลงกล “ร่างเสร็จแล้วครับ ท่านบอกว่ารีบผมก็สั่งให้ลูกน้องจัดการเลย แต่ยังไม่ได้ตรวจทานเลยนะครับ”
เรืองโรจน์หันมาทางอังคณาที่นั่งอยู่ในนั้นด้วย แล้วทำเป็นพูดทวนประโยคของจรัลให้อังคณาฟัง
“ร่างเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ได้ตรวจทานเลยเหรอครับ”
เรืองโรจน์พยักหน้าให้อังคณาจะบอกว่าเสร็จแล้ว อังคณาพยักหน้ายืนยันให้เรืองโรจน์พูดต่อ
เรืองโรจน์พูดต่อ “ไม่ทราบว่าให้ใครส่งมาให้ท่านดูก่อนได้ไหมครับ ที่บ้านครับ ท่านกำลังรออยู่ ขอบคุณมากครับ ผมจะได้ไปเรียนให้ท่านทราบ”
เรืองโรจน์วางหูโทรศัพท์ แล้วหันมายิ้มให้อังคณา
“เอกสารจะมาถึงภายในหนึ่งชั่วโมงครับ”
อังคณาพอใจมาก
ภายในห้องทำงานจรัลที่สำนักงานทนายความ จรัลยื่นซองเอกสารซองหนึ่งให้แมสเซ็นเจอร์ของบริษัท
“รีบเอาไปส่งให้คุณธานินทร์ด่วนเลย”
แมสเซ็นเจอร์รับคำ แล้วออกไป ส่วนจรัลยกหูโทรศัพท์ กดเบอร์โทร.ออกทันที
รถของธานินทร์มาจอดที่ตึกบริษัทลูกค้าแล้ว ชนะศึกกับธานินทร์ลงจากรถ ทั้งสองกำลังจะเดินเข้าไปในตึก
โทรศัพท์มือถือธานินทร์ดังขึ้น ธานินทร์หยิบมาดูเบอร์ แล้วรับสาย
“ว่าไงคุณจรัล”
“ผมให้เด็กเอาร่างพินัยกรรมไปให้ท่านแล้วนะครับ”
ธานินทร์ตกใจ มองชนะศึกแวบหนึ่ง แล้วเดินเลี่ยงออกมา ชนะศึกมองตามแปลกใจ “อะไรนะ ใครสั่ง”
จรัลงง “ก็ท่านสั่งไม่ใช่เหรอครับ”
“ไม่ ผมยังไม่ได้สั่ง”
“เอ๊ะ แต่คุณเรืองโรจน์เลขาฯ ของท่านโทรมาบอกว่าท่านอยากดู ให้รีบเอาไปให้ที่บ้านน่ะครับ”
“ที่บ้านเหรอ” ธานินทร์ตกใจมาก รู้ทันที กดวางสาย แล้วหันมาหาชนะศึกท่าทีร้อนใจเอามากๆ “ชนะขึ้นไปประชุมแทนพ่อเลยนะ พ่อต้องรีบกลับบ้านแล้ว”
ชนะศึกงวยงง “อ้าว ทำไมละครับ จะกลับไปทำไม”
“พ่อมีธุระสำคัญ”
“ธุระอะไรครับ”
ธานินทร์ไม่ตอบลูกชาย เดินกลับไปที่รถ เปิดประตูเข้าไปนั่งด้านหลัง แล้วสั่งศักดาเสียงเข้ม
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้”
ศักดาเคลื่อนรถออกไปเลย ชนะศึกมองรถที่แล่นออกไปแล้วยิ่งสงสัย
เวลาเดียวกัน รถมอเตอร์ไซค์แมสเซ็นเจอร์ที่จรัลจ้างวานแล่นไปเรื่อยๆ บนท้องถนน
ศักดาขับรถมาเรื่อยๆ ธานินทร์นั่งอยู่ด้านหลังรู้สึกร้อนใจเหลือเกิน จนบ่าวและคนขับรถคู่ใจอดสงสัยไม่ได้
“ท่านครับ มีอะไรเหรอครับ”
“มีคนหลอกดูพินัยกรรมของฉัน ต้องเป็นอังคณาแน่ๆ” ร้อนใจยิ่งขึ้น “ขับให้มันเร็วกว่านี้ได้ไหม”
ศักดาจัดให้ “ได้ครับ”
ธานินทร์รู้สึกร้อนใจเหลือแสน
รถมอเตอร์ไซค์ของแมสเซ็นเจอร์แล่นซิกแซกหลบหลีกรถติดไปเรื่อยๆ
บนถนนอีกสายรถธานินทร์แล่นมา แล้วมาต่อท้ายรถติดยาว ธานินทร์หงุดหงิด
“มีทางลัดไหม หาทางลัดไปเลย”
“ครับท่าน”
ศักดาหักรถออกจากแนวรถที่ติดอยู่ แล้วขับเลี้ยวเข้าซอยหนึ่งไป
รถมอเตอร์ไซค์แมสเซ็นเจอร์แล่นเข้ามาจอดที่ประตูรั้วหน้าบ้านเลิศชัยวัฒน์ แมสเซ็นเจอร์ลงจากรถ แล้วเดินไปกดกริ่ง ครู่หนึ่งสาวใช้ออกมา
“เอกสารของคุณธานินทร์ครับ” แมสเซ็นเจอร์บอก
หน่อยสาวใช้รับเอกสารมา แมสเซ็นเจอร์กลับขึ้นรถแล้วขับบึ่งออกไป หน่อยถือเอกสารนั้นเดินเข้าไปในบ้าน
ไม่นานนัก ที่ถนนหน้าบ้านเลิศชัยวัฒน์ รถของธานินทร์แล่นมาแต่ไกล พอรถเข้ามาจอดชะลอ ประตูค่อยๆ เปิดออก แล้วรถของธานินทร์ก็แล่นเข้าไปจอดที่ตัวบ้าน
ธานินทร์รีบลงจากรถ ตรงดิ่งเข้าไปในบ้านในอาการร้อนใจ
ธานินทร์เข้ามาในห้องรับแขก หน่อย สาวใช้ออกมาพอดี
“นี่ ๆ มานี่ซี มีคนเอาเอกสารมาส่งให้ฉันหรือเปล่า”
“ค่ะ มีค่ะ” หน่อยบอก
“แล้วอยู่ที่ไหน”
“อยู่บนโต๊ะนั่นน่ะค่ะ”
ธานินทร์มองไป เห็นซองเอกสารวางอยู่บนโต๊ะในห้องรับแขก ก็รู้สึกโล่งใจ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะนั่น ธานินทร์เดินมาถึงโต๊ะแล้วหยิบซองเอกสารขึ้นมา แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักซองเอกสารถูกแกะออกแล้ว
ธานินทร์หันมาถามสาวใช้ “ซองนี่เปิดแล้วนี่ ใครเป็นคนเปิด”
เสียงอังคณาดังเข้ามา
“ฉันเอง”
ธานินทร์หันไปที่ประตู อังคณายืนอยู่ที่นั่นกับชนกนันท์ หน้าตาเอาเรื่องทั้งคู่
ธานินทร์ยืนนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก
“ทำไมถึงต้องเป็นมัน ทำไมคุณถึงคิดยกทรัพย์สมบัติให้มัน”
ธานินทร์บอกชนกนันท์ “นก ออกไปก่อนไปลูก”
อังคณาห้ามลูกสาว “ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น อยู่นี่แหละ จะได้รู้พร้อม ๆ กัน” อังคณาเดินมากระซากซองเอกสารออกจากมือธานินทร์ “ว่าทำไมเขาถึงทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ไอ้บ้านั่น”
ธานินทร์ฉุน บอกใส่หน้าอย่างมีอารมณ์ “คุณไม่มีสิทธิ์มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของผม”
“นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของคุณ มันเรื่องของพวกเราทุกคน คุณเห็นคนอื่นดีกว่าลูกๆ ของคุณได้ยังไง”
“พ่อไม่รักนกแล้วหรือคะ พ่อทำกับนกอย่างนี้ได้ยังไง” ชนกนันท์ครวญคร่ำ
“พ่อไม่ได้แตะต้องส่วนที่เป็นของลูกหรือของแม่เลยนะ” ธานินทร์บอก
“ฉันไม่ได้สนหรอก เงินฉันมีเป็นร้อยล้านพันล้าน แต่ที่ฉันทนไม่ได้ก็คือ คุณเห็นไอ้ลูกเมียเก่านั่นดีกว่าลูกแท้ ๆ ของคุณเองได้ยังไง” อังคณาขึ้นเสียง
เสียงชนะศึกแทรกเข้ามา “แม่หมายถึงใคร”
ธานินทร์ชะงักหันไปมอง ชนะศึกยืนอยู่ที่ประตู ธานินทร์อึดอัด
“มาก็ดีแล้ว ดูเอาให้เห็นกับตาซี ว่าพ่อแกทำอะไรลงไป”
อังคณาส่งซองพินัยกรรมให้ชนะศึกอ่าน ชนะศึกเปิดซองแล้วเอาเอกสารออกมาดู อ่านช้าๆ
“เมื่อข้าพเจ้าถึงแก่กรรมให้แบ่งทรัพย์สินของข้าพเจ้าทั้งหมด ให้แก่บุคคลที่มีชื่อต่อไปนี้ คนละหนึ่งส่วนเท่า ๆ กันคือ 1. นายชนะศึก เลิศชัยวัฒน์ 2. นางสาวชนกนันท์ เลิศชัยวัฒน์ และ 3. นายเพชรแท้ มงคลกุล” ชนะศึกตกใจ หันมาทางธานินทร์ “นี่มันอะไรครับพ่อ”
“จะอะไรล่ะพี่ชนะ พ่อจะยกสมบัติที่ควรเป็นของเราให้กับลูกเมียเก่านะซี” ชนกนันท์แหวขึ้น
“แม่ว่าจริงๆ แล้ว เขาไม่ได้คิดจะยกให้ไอ้เพชรหรอก แต่เขาอยากยกให้นังพรรณีนั่นต่างหาก ให้ลูกก็เหมือนให้แม่” อังคณาเยาะหยัน
ชนะศึกตกตะลึง ถามทันที “จริงเหรอครับพ่อ”
อังคณาใส่ไฟต่อ “มันจริงอยู่แล้ว พ่อแกน่ะคงจะอายถ้าเราจับได้ว่าเขาแอบเอาเงินให้เมียเก่า ก็เลยแกล้งยกมรดกให้ลูกมันแทน ตอบมาซีว่ามันจริงใช่ไหม คุณธานินทร์”
ธานินทร์เสียงดัง “พอแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องอธิบาย สิ่งที่ผมยกให้เขามันเป็นสิทธิ์ของผม ผมอยากจะทำอะไรผมก็จะทำ ไม่มีใครมาห้ามผมได้ ได้ยินไหม”
พูดจบธานินทร์ก็เดินเข้ามาดึงพินัยกรรมจากมือชนะศึกไป แล้วเดินออกจากห้องไป
อังคณากับชนกนันท์เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น อังคณาท่าทางคิดหนัก ชนกนันท์นั้นเข้ามาก็โวยวายลั่น
“แล้วแม่จะอยู่เฉย ๆ แบบนี้เหรอคะ จะยอมให้พ่อทำพินัยกรรมไปแบบนี้เหรอ”
อังคณาพูดปัดๆ ไป เสียงขุ่น เพราะกำลังใช้ความคิด “ไม่ได้ยินที่เขาพูดหรือไง มันเป็นสิทธิ์ของเขา”
“แต่มันจะไปกันใหญ่นะคะแม่ ถ้าไอ้บ้านั่นมันได้สมบัติของพ่อไป มันคงจะเหลิงลำพอง”
อังคณาตวาดอย่างฉุนเฉียว “เลิกโวยวายซักทีได้ไหม มันได้อะไรขึ้นมา” ชนกนันท์เงียบกริบ “เรื่องนี้ แม่ว่าต้องมีอะไรมากกว่าที่เราเห็น”
“หมายความว่ายังไงคะ”
อังคณาคาใจมาก “มันต้องมีอะไรบางอย่างที่เขาปิดบังเราไว้ ต้องมีความลับอย่างอื่นที่เราไม่รู้”
ตอนกลางวันนั้นเอง รถของสมภพจอดอยู่ที่ลานจอดรถในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง สมภพนั่งรอเพชรแท้อยู่ในรถ
ครู่หนึ่งเพชรแท้เดินมาถึง ก็เข้าไปนั่งเบาะข้างคนขับ
สมภพเอาซองกระดาษส่งให้ เพชรแท้แกะซองกระดาษนั้นออก ปรากฏว่ามีปืนลูกโม่กระบอกหนึ่งอยู่ในซองนั้น
“แกแน่ใจนะว่าอยากได้”
“อืม ฉันว่าตอนนี้ฉันจำเป็นต้องมีไว้แล้ว”
สมภพเตือนอย่างเป็นห่วง “คิดดูให้ดีนะเว๊ย แกเพิ่งรอดจากคุกมา ถ้าคราวนี้แกถูกจับได้พร้อมปืนนี่ ติดยาวแน่”
“ฉันไม่อยากจะพกหรอก แต่ไอ้บ้านนั้นน่ะ ฉันว่ามันต้องมากวนแม่กับพวกฉันอีกแน่ๆ คราวนี้ถ้ามันเห็นฉันมีปืน มันจะได้รู้ว่าฉันเอาจริง เลิกตอแยกับพวกฉันซักที”
“ก็ระวังด้วยก็แล้วกัน อย่าให้มันเดือนร้อนมาถึงฉัน”
“ไม่อยู่แล้ว ขอบใจนะ”
เพชรแท้เก็บปืนไว้ตามเดิม แล้วเอาปืนเก็บใส่กระเป๋าเป้ของตัวเอง เปิดประตูลงจากรถไป
ชนกนันท์ขับรถอยู่โดยมีอังคณานั่งอยู่ข้างๆ ทั้งคู่กำลังเดินทางไปสำนักงานทนายของจรัล เพื่อถามความจริงเรื่องพินัยกรรม
“แม่ต้องรู้ความจริงให้ได้ว่าทำไมพ่อแกถึงยกสมบัติให้ไอ้พวกบ้านนั้น”
“แล้วทนายจะยอมบอกความจริงเหรอคะ นกว่าคุณพ่อคงสั่งให้ปิดปากเงียบ”
“สั่งปิดปาก เราก็หาวิธีที่ทำให้ทนายนั่นเปิดปากมาซี”
ชนกนันท์เหลียวไปมองหน้าแม่ ยิ้มเหมือนรู้ทันความคิดของอังคณา
ในขณะที่เพชรแท้เดินมาตามทางเดินริมฟุตบาท เป็นเวลาเดียวกับที่รถชนกนันท์กำลังจอดติดไฟแดงอยู่ ชนกนันท์หันไปเห็นเพชรเดินอยู่ใกล้ ๆ
“ไอ้เพชรแท้” ชนกนันท์ยิ้มร้ายกาจออกมา
อังคณามองเห็นเพชรแท้เช่นกัน
“ตามมันไปเลยยัยนก แม่มีอะไรสนุก ๆ ให้แกเล่นแล้วล่ะ”
เป็นจังหวะที่ไฟเขียวพอดี ชนกนันท์ขับรถเลี้ยวตามหลังเพชรแท้มาอย่างช้าๆ
เพชรแท้รู้สึกเหมือนมีรถขับตามมา ยิ่งระวังตัว เดินต่อไปว่องไว และเดินหลบเข้าไปในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
ชนกนันท์ขับรถตามเพชรแท้เข้าไป
บ่วงรัก ตอนที่ 8 (ต่อ)
เพชรแท้ยังคงเดินมาอย่างระแวดระวัง และรู้สึกว่ามีรถขับตามมาอยู่ เพชรแท้ฉากหลบที่หลังเสาต้นหนึ่ง ชนกนันท์ซึ่งขับรถตามมาติดๆ งงมากเมื่อเห็นว่าเพชรแท้หายไปกับตา
“มันหายไปไหนแล้วคุณแม่” ชนกนันท์มองหารอบๆ
“นั่นน่ะสิ เร็วจริงๆ”
ชนกนันท์จอดรถ อังคณาเปิดประตูรถลงมาก่อนที่ชนกนันท์จะลงตามมา
เพชรแท้แอบอยู่หลังเสาต้นที่ลับตาคน มองเห็นเป็นอังคณากับชนกนันท์ที่ตามมา และกำลังมองหาตนอยู่ หน้าตาเพชรแท้เวลานี้เอาเรื่องมากๆ
อังคณา กับชนกนันท์ยังมองหาเพชรแท้ และเดินไปรอบๆ จนมาใกล้กับเสาต้นที่เพชรแท้แอบอยู่
“มันไปไหนไม่ไกลหรอก ต้องอยู่แถวๆ นี้แหละ” อังคณามองหา
ทันใดนั้น เพชรแท้ก็ก้าวออกจากหลังเสา มายืนตรงหน้าอังคณากับชนกนันท์ สองแม่ลูกตกใจมาก
“พวกแกตามฉันมาทำไม อยากจะมีเรื่องใช่ไหม”
ชนกนันท์อวดดีวางอำนาจใส่ตามเคย “ก็เอาซี แกจะทำอะไรฉันได้ อยากเข้าไปนอนในคุกอีกหรือไง”
เพชรแท้โกรธจัด “ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีเรื่องที่แล้ว วันนี้...คิดทั้งต้นทั้งดอกเลยแล้วกัน” ปราดเข้าไปจะทำร้ายชนกนันท์
อังคณาเข้ามาขวางไว้ จ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
“อย่าคิดนะว่ามีคนให้ท้าย แล้วจะทำอะไรพวกฉันได้”
ชนกนันท์ทำหน้าเยาะเย้ยเพชรแท้
“คุณพ่อไม่มีทางช่วยแกได้ตลอดหรอก”
“ไม่มีใครช่วยฉันทั้งนั้น ฉันไม่ผิด” เพชรแท้มองจ้องหน้าอังคณา “คนที่ทำผิดสักวันมันต้องได้รับโทษ”อังคณายิ้มร้าย “แต่คราวนี้ฉันไม่ปล่อยให้แกลอยนวลออกมาอีกหรอก”
“ก็ลองดูซี...ถ้าแกทำอะไรครอบครัวฉันอีก ฉันไม่ปล่อยพวกแกไว้แน่”
เพชรแท้หยิบปืนขึ้นมาจากกระเป๋าเป้ เล็งขู่ไปที่อังคณา
สองนางมารร้าย อังคณากับชนกนันท์เห็นปืนก็ตกใจ ชะงักงัน พูดอะไรไม่ออก
“จำไว้...” ถือปืนเข้าไปใกล้หน้าอังคณา เน้นทุกคำพูด “อย่ามายุ่งกับครอบครัวฉันอีก แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือน
เพชรลดปืนลงเก็บใส่กระเป๋าเป้ตามเดิม มองสองแม่ลูกอย่างเอาจริง และเดินจากไป”
อังคณาเจ็บใจ แค้นใจ ที่โดนเพชรแท้ใช้ปืนขู่ จึงทำอะไรไม่ได้
เวลาเดียวกันขณะที่พิณทองเดินมาตามทาง กำลังจะกลับเข้าบ้านหลังจากออกไปจ่ายตลาดมา ในมือมีถุงใส่ผักใส่หมูมาด้วย
ชนะศึกเดินมาขวางไว้ พิณทองตกใจชะงักกึก
“พิณทอง”
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ผมมีอะไรจะถามคุณหน่อย”
“พิณไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ”
พิณทองเดินเลี่ยงจะกลับบ้าน ชนะศึกคว้าแขนไว้
“คุยก่อนได้ไหม”
“นี่ปล่อยนะ ไม่ปล่อยพิณร้องจริงๆ ด้วย”
ชนะศึกยังไม่ปล่อย “ร้องแล้วคิดว่าใครจะได้ยิน”
พอพิณทองมองไปรอบๆ แถวนั้น เห็นว่าไม่มีใครอยู่จริง ๆ จึงชักกลัว
“อย่าทำอะไรพิณอีกนะ”
“ไม่ทำหรอก ผมแค่อยากถามอะไรหน่อย”
“คุณจะถามอะไร”
“เรื่องพินัยกรรมของพ่อผม”
“พินัยกรรมอะไร” พิณทองง
“พินัยกรรมที่พ่อยกสมบัติให้พี่ชายคุณน่ะซี”
พิณทองอึ้ง “นี่คุณพูดเรื่องอะไร”
“ไม่ต้องมาทำหน้าซื่อ ตอบความจริงผมมา พวกคุณรู้เรื่องนี้ใช่ไหม” ชนะศึกคาดคั้น
“ฉันไม่รู้เรื่อง”
“ไม่จริง เงินพ่อผมเป็นพันๆ ล้าน อยู่ดีๆ เขาจะให้พี่ชายคุณทำไม”
“พวกเราไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
“โกหก บอกความจริงมาดีกว่า อย่าให้ผมต้องใช้กำลังกับคุณ”
“ต่อให้คุณตีฉันให้ตาย ฉันก็จะพูดเหมือนเดิม ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
“ปากแข็ง”
ชนะศึกจับแขนแน่นขึ้น พิณทองดิ้นรนจะหนี จึงผลักชนะศึกออก แต่ชนะศึกกลับดึงตัวพิณทองมากอดไว้ พิณทองดิ้นรนเป็นการใหญ่
“ปล่อยนะ” พิณทองทุบแขนชนะศึก “ปล่อยฉัน”
จังหวะนั้นเสียงเพชรดังแทรกเข้ามา
“ปล่อยน้องฉันเดี๋ยวนี้”
ชนะศึกหันตัวมองไปทางด้านหลัง เห็นเพชรแท้ถือปืนจ้องมาที่เขา
“ได้ยินไหม”
ชนะศึกยอมปล่อย พิณทองวิ่งมาหลบหลังเพชรแท้
“พี่เพชร”
เพชรแท้โมโห “พวกแกนี่มันยังไง พ่อแกก็มายุ่งกับแม่ฉัน แกก็มายุ่งกับน้องฉันอีก จะต้องให้ฉันทำยังไง ต้องให้ฉันยิงกบาลหมดทั้งบ้านหรือยังไง”
“พี่เพชร อย่านะ”
ชนะศึกพยายามพูดดีๆ ด้วย “ผมมีเรื่องจะถามคุณ”
“ฉันไม่มีอะไรจะตอบ กลับไปซะ”
ชนะศึกมองเพชรแท้นิ่ง รู้สึกไม่พอใจ แล้วมองมาที่พิณทอง พิณทองมองตอบ สีหน้าไม่พอใจที่ชนะศึกมาหาเรื่อง ในที่สุดชนะศึกก็เดินจากไป
เย็นนั้น พรรณีตกใจมากเมื่อได้ยินเรื่องพินัยกรรม
“อะไรนะพิณ คุณชนะศึกเขาบอกว่าคุณธานินทร์ทำพินัยกรรมยกสมบัติให้เพชรงั้นเหรอ”
ทั้งพิณทองทั้งเพชรแท้อยู่ในบ้านด้วย
“จ้ะ แม่รู้เรื่องนี้บ้างไหม” พิณทองถาม
“ไม่ แม่ไม่รู้เรื่อง” พรรณีคิดไปคิดมาด้วยความสับสนใจ
เพชรแท้ฉุน “มันปั้นเรื่องขึ้นมา เพื่อจะมาหาเรื่องพวกเราต่างหาก อยู่ดีๆ พ่อมันจะมายกสมบัติให้พี่ทำไม ไอ้พวกนี้เมื่อไหร่มันจะหยุดซักที เจอกันครั้งหน้าพี่ไม่เอาไว้แน่”
จากนั้นเพชรแท้ก็เดินออกไป
“แม่ว่ามันจริงหรือเปล่า แต่พิณว่าเขาดูจริงจังมากเลย เหมือนท่านทำจริงๆ แต่ท่านจะทำทำไมล่ะแม่ พี่เพชรไม่ได้เป็นอะไรกับท่านซักหน่อย”
พรรณีนิ่งคิดไปด้วยความหนักใจ
คืนนั้นพรรณียืนอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะใกล้บ้านเช่า หยิบกระเป๋าเงินออกมา แล้วหยิบกระดาษชิ้นหนึ่งออกมา ในกระดาษแผ่นนั้นมีเบอร์โทรศัพท์สายในบ้านเลิศชัยวัฒน์ที่เคยได้มาจากพิณทองนั่นเอง พรรณีหยอดเหรียญ แล้วกดเบอร์โทร.ออก
เวลาเดียวกันที่ห้องทำงานของธานินทร์ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ครู่หนึ่งธานินทร์จึงเดินเข้ามารับโทรศัพท์
“สวัสดีครับ”
“คุณธานินทร์หรือเปล่า”
“พรรณี” ธานินทร์ดีใจมาก “ใช่ นี่ผมเอง”
“พิณบอกฉันว่า คุณทำพินัยกรรมยกสมบัติให้เพชร มันจริงหรือเปล่า”
ธานินทร์หยุดไปนิดหนึ่ง “คุณรู้ได้ยังไง”
“ตอบฉันมา มันจริงหรือเปล่า”
“จริง”
“คุณทำทำไม คุณไม่ควรทำอย่างนี้ อยากให้พวกเราต้องเดือดร้อนกันอีกหรือไง”
“พรรณี ผมมีเหตุผลของผม ขอให้ผมอธิบายได้ไหม”
“ว่ามาซี”
“พรุ่งนี้เก้าโมงเช้า คุณไปพบผมที่” ธานินทร์บอกชื่อสถานที่ “ได้ไหม แล้วผมจะบอกให้คุณฟังทุกอย่างที่คุณอยากรู้”
“ก็ได้ ฉันจะไป”
พรรณีรับปาก แล้ววางหู หยิบกระดาษเบอร์โทร.จะออกจากตู้โทรศัพท์ แต่ต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นเพชรแท้ยืนอยู่หน้าตู้โทรศัพท์
“โทร.หาใครเหรอแม่”
พรรณีเก็บกระดาษเบอร์โทรศัพท์ใส่กระเป๋าสตางค์ เพชรแท้มองอยู่ พรรณีคิดหาคำตอบ
“เรื่องงานที่ร้านน่ะ แล้วเพชรล่ะไปไหนมา”
เพชรแท้ยกถุงข้าวสารขนาดห้ากิโลกรัมให้ดู แต่ติดใจคำพูดแม่ “ข้าวสารหมด พิณมันให้ออกมาซื้อ เอ๊ะแม่ ค่ำขนาดนี้ที่ร้านยังมีคนอยู่อีกเหรอ”
พรรณีชะงัก แล้วเดินไป “มีซี บางคนเขาทำงานไม่เสร็จก็ต้องอยู่ทำให้เสร็จ”
“แล้วงานอะไรถึงขนาดต้องรีบออกมาโทร.หากันเหรอแม่”
“งานด่วนน่ะ ลูกค้าเขาจะตัดชุด นัดให้ไปวัดตัวพรุ่งนี้”
พูดเท่านั้นพรรณีก็เดินออกไปหน่อย ทำให้เพชรแท้ยิ่งสงสัย
รุ่งเช้าอังคณาเดินเข้ามาที่สำนักงานทนายความของจรัล โดยมีเรืองโรจน์มาด้วย
จรัลนั่งทำงานอยู่ อังคณาเปิดประตูเข้ามา จรัลเงยหน้ามอง เห็นอังคณา ยืนขึ้นต้อนรับ
“เชิญนั่งครับ...คุณอังคณา”
อังคณาเข้ามานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับจรัล เรืองโรจน์ยืนอยู่ด้านหลังอังคณา
“คุณอังคณามีธุระด่วนอะไรหรือครับ ถึงมาหาผมที่นี่ ที่จริงเรียกให้ผมไปพบที่บ้านก็ได้นะครับ”
“ฉันไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่โต” อังคณานิ่งไปนิด “เข้าเรื่องเลยดีกว่า คุณธานินทร์ทำพินัยกรรมยกสมบัติให้คนอื่นได้ยังไง ในเมื่อทรัพย์สินครึ่งหนึ่งก็เป็นของฉัน”
“ผมก็ค้านท่านแล้ว แต่ท่านก็ยังยืนยันที่จะทำให้ได้”
“เรื่องนี้มันต้องมีอะไรมากกว่านี้ คุณบอกความจริงมาดีกว่า”
จรัลยืนกราน “ผมไม่ทราบจริง ๆ ครับ ผมทำตามความต้องการของท่าน”
อังคณาชักเริ่มโมโห “แต่ปิดบังไม่ให้ฉันรับรู้ คุณอย่าลืมซี...ฉันเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตราบใดที่ฉันยังไม่เซ็นใบหย่า ทรัพย์สมบัติก็ยังเป็นของฉันด้วย”
“ผมเข้าใจครับ ถึงอย่างไรผมก็ต้องทำตามหน้าที่”
“ได้! อยากทำอะไรก็ทำไปเลย แต่เรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ ฉันไม่ยอม และฉันจะฟ้อง” อังคณาเน้นคำ “คุณคอยดูก็แล้วกันว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ”
จรัลเอาแต่นั่งนิ่งเงียบกริบ
อังคณาโกรธจัด ลุกเดินออกจากห้องไป เรืองโรจน์มองหน้าจรัลอย่างท้าทาย ก่อนจะเดินตามอังคณาออกไป
อังคณาเดินโมโหออกมาที่หน้าสำนักงาน เรืองโรจน์เดินตามมา
“ฉันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
เรืองโรจน์ยุส่ง “คุณอังคณาอย่ายอมนะครับ”
“ฉันไม่มีวันให้ไอ้พวกนั้นได้เสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองของฉันหรอก”
“แต่ที่สำคัญ คุณอังคณาอย่าเพิ่งเซ็นใบหย่า เพราะจะทำให้คุณธานินทร์จัดการเรื่องทุกอย่างได้ง่ายขึ้น”
อังคณานิ่งคิด เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น อังคณากดรับ
“มีอะไร”
ชนกนันท์โทร.มา โดยยืนอยู่หน้าบ้าน มองรถของธานินทร์ที่ศักดาขับแล่นออกจากบ้านไป
“คุณแม่คะ คุณพ่อออกไปไหนอีกแล้วก็ไม่รู้ค่ะ”
อังคณายิ่งโมโหมากขึ้น
บ่วงรัก ตอนที่ 8 (ต่อ)
ในขณะที่เพชรแท้กำลังเช็ดรถมอเตอร์ไซค์อยู่ พรรณีออกมาจากห้องนอน แต่งตัวเตรียมจะออกไปข้างนอก พรรณีชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นเพชรแท้
“ไปแล้วเหรอแม่”
“อืม” พรรณีระมัดระวังคำพูด “เฝ้าบ้านดีๆ ล่ะ
พรรณีเดินจะออกจากบ้าน
“เดี๋ยวแม่”
พรรณีหยุด หันมาหา “อะไร”
“ก็ไหนว่าจะไปวัดตัวลูกค้า” เดินไปหยิบสายวัดที่ตะกร้าเครื่องเย็บจักร “สายวัดไม่เห็นเอาไป”
“อ้อ” พรรณีเข้ามาเอา “ขอบใจ”
แล้วพรรณีก็เลี่ยงออกมาจากบ้านไป เพชรแท้มองตามนึกสงสัยว่าทำไมแม่ทำตัวแปลกๆ
รถของธานินทร์ก็แล่นเข้ามาจอดในสวนที่นัดหมาย ศักดาเป็นคนขับรถมาให้ ธานินทร์ลงจากรถ
“รอที่รถเนี่ย ไม่ต้องตามมา”
“ครับท่าน”
ธานินทร์หันไปมองที่ซุ้มม้านั่ง เห็นพรรณีรออยู่ก็ดีใจ แล้วรีบเดินไปหา พอพรรณีเห็นธานินทร์ก็ลุกขึ้น
“ผมดีใจมากเลยรู้ไหม ที่คุณยอมมาพบผม พรรณีผมอยากเจอลูก”
พรรณีไม่พอใจ “หยุดพูดเรื่องนี้ได้ไหม พูดเรื่องพินัยกรรมดีกว่า ฉันอยากให้คุณยกเลิกมันไปซะ พวกเราไม่ต้องการ”
“แต่ผมอยากให้ ผมอยากทำอะไรดีๆ ให้ลูกของผม”
“แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับเพชรอีก เมียคุณเขาก็จะมาหาเรื่องพวกเราไม่เลิก ที่ผ่านมาเพชรมันยังทุกข์ทรมานไม่พออีกเหรอ คราวนี้เขาเอาเราถึงตายแน่ๆ”
“ผมไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นหรอก”
“คุณธานินทร์ ความหวังดีของคุณมันทำร้ายพวกเรามาตลอด ขอให้เชื่อฉัน หยุดทำอะไรเพื่อพวกเราได้แล้ว”
“ผมไม่ได้ทำเพื่อคุณ แต่ผมทำเพื่อตัวผมเอง”
“คุณหมายความว่ายังไง” พรรณีงง ธานินทร์เงียบ “เมื่อกี๊คุณบอกว่าอยากทำเพื่อลูก พอฉันปฏิเสธ คุณก็มาบอกว่าอยากทำเพื่อตัวเอง คุณจะเอายังไงกันแน่”
“ผมกำลังจะตาย”
พรรณีชะงัก
“ผมเป็นมะเร็งที่ลำไส้ หมอบอกว่าผมอยู่ได้อีกแค่สองเดือน”
พรรณีนิ่งงันอยู่อย่างนั้น พูดไม่ออก
“ขอให้ผมทำสิ่งดี ๆ ให้ลูกได้ไหม ก่อนที่มันจะสายเกินไป”
พรรณีน้ำตาไหลออกมา
ธานินทร์ขยับเข้ามาใกล้ แล้วจับมือพรรณีขึ้นมา “ให้ผมได้ทำหน้าที่ของพ่อเป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะพรรณี ผมจะได้นอนตายตาหลับ”
“คุณ คุณ” พรรณีร้องไห้สะอึกสะอื้น
“อย่าร้องไห้ อะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิด ผมขอเพียง ขอเพียงได้พบลูกเท่านั้น อย่าร้องนะ อย่าร้อง”
ธานินทร์ยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้พรรณี ทั้งสองคนกอดกันร้องไห้
พอพรรณีกลับเข้ามาในบ้าน ก็มีท่าทางเหม่อลอยสับสน ขณะเดินมานั่งลงตรงมุมหนึ่งในบ้าน พรรณีร้องไห้ออกมา พรรณีนึกถึงเรื่องที่พูดกับธานินทร์ เมื่อรู้ว่าธานินทร์กำลังจะตาย
ระหว่างนั้นเพชรแท้เดินเข้ามา มองมาที่แม่เห็นพรรณีร้องไห้
“แม่ แม่”
พรรณีลุกหนีเข้าห้องไป เพชรแท้เดินตาม
“แม่เป็นอะไร”
พรรณีเข้าห้องไป ปิดประตูไม่ยอมเปิด ไม่ว่าเพชรแท้จะเคาะประตูห้องเรียกอย่างไร
“แม่ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรแม่ บอกเพชรมาเดี๋ยวนี้นะแม่”
เพชรแท้คาใจมาก หันไปมองเห็นกระเป๋าเงินของพรรณีวางอยู่ รีบตรงไปที่กระเป๋าเงิน พอเปิดออกเห็นกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์จึงเอามาดู ก่อนจะถือกระดาษแผ่นนั้นออกไปจากบ้าน
เพชรแท้กดเบอร์ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วรอสาย ครู่หนึ่งมีเสียงผู้หญิงรับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ บ้านเลิศชัยวัฒน์ค่ะ ต้องการพูดสายกับใครคะ” เป็นสาวใช้บ้านธานินทร์รับสายในห้องรับแขก
เพชรแท้ชะงักถามย้ำ “ที่ไหนนะ”
“บ้านเลิศชัยวัฒน์ค่ะ”
เพชรแท้นิ่งไปนิดหนึ่ง ระหว่างนั้นชนะศึกเดินมาพอดี ได้ยิน
“ใคร”
“ไม่ทราบค่ะ”
ชนะศึกรับโทรศัพท์จากสาวใช้มาฟัง
“คุณธานินทร์อยู่ไหม ขอพูดกับคุณธานินทร์หน่อย”
“ใครต้องการพูดด้วยครับ”
“บอกว่าเพชรแท้โทร.มา”
ชนะศึกอึ้งเมื่อได้ยินชื่อเพชรแท้ ก่อนกดโอนสายไปที่ห้องทำงานพ่อ
ส่วนที่ห้องทำงานธานินทร์ยามนั้น ธานินทร์เข้ามารับและพูดโทรศัพท์ น้ำเสียงอ่อนโยน
“เพชรเหรอ”
“ใช่ ผมเอง วันนี้แม่ผมไปพบคุณเหรอ”
“ใช่ ฉันดีใจมากเลยที่เธอโทรมา ฉัน...ฉันอยากคุยกับเธอ”
“ผมก็อยากคุยกับคุณ บ่ายนี้เลยดีไหม”
“ดี แล้วเราจะเจอกันที่ไหนดี”
คุยกับเพชรแท้เสร็จ ธานินทร์เดินลงบันไดมาถึงห้องโถง เห็นสาวใช้กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่
“ไปบอกให้ศักดาเอารถออก ฉันมีธุระไปพบคนข้างนอก”
“ค่ะ”
สาวใช้ลุกออกไป ธานินทร์เดินออกไปหน้าบ้าน ชนะศึกแอบดูอยู่ที่อีกมุมหนึ่ง
ขณะที่พรรณีกับพิณทองกำลังช่วยกันเก็บกวาดห้องนอนอยู่ พิณทองสังเกตเห็นแม่ท่าทางไม่ดีนักจึงถามอย่างห่วงใย
“แม่เป็นอะไรไปจ๊ะ ท่าทางไม่ค่อยสบายใจ”
“แม่มีเรื่องต้องคิดน่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอแม่”
“เรื่องเพชร”
“พี่เพชรไปทำอะไรอีกล่ะคราวนี้”
“ไม่ ไม่ได้ทำ แต่มีคนเขาอยากให้เพชรทำอะไรบางอย่าง แม่ไม่รู้ว่าเพชรจะยอมทำหรือเปล่า”
พรรณีปัดฝุ่นที่ฝาผนัง ไปถูกกรอบรูปของครอบครัวตกลงมา พรรณีตกใจ รีบเข้าไปหยิบกรอบรูปอันนั้นขึ้นมา ดูกระจกกรอบรูปแตก พรรณีใจคอไม่ดี
“เพชร”
“แม่! ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวพิณเก็บเอง”
“ระวังนะลูก”
พิณทองเก็บเศษกระจกที่แตก พรรณีหยิบกระเป๋าเป้เพชรแท้ขึ้น เป็นเหตุให้ปืนที่เก็บไว้ในเป้หล่นออกมา
พรรณีตกใจมาก “ปืนนี่”
พรรณีนั่งลงมองดู พิณทองเข้ามาดูด้วย
“ปืนใคร”
“ก็ของพี่เพชรนั่นแหละ เมื่อวันก่อนใช้ขู่คุณชนะศึกด้วย พิณไม่ได้บอกแม่”
เพชรแท้กลับเข้ามาในห้อง สีหน้าไม่พอใจนัก
“แม่ ยุ่งอะไรของเพชร”
เพชรแท้เดินเข้ามาแล้วหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมา
“เพชรเอาปืนมาจากไหน แล้วเอามาทำไม” พรรณีถามคาดคั้น
“ของเพื่อน เพชรเอามาไว้ป้องกันตัว”
เพชรแท้เดินถือเป้ออกจากห้องนอนไป พรรณีร้อนใจเดินตามมาเรียกไว้
“เดี๋ยวเพชร”
เพชรแท้เดินออกมาหน้าบ้าน ทำกระดาษที่จดเบอร์โทรศัพท์บ้านธานินทร์ตกโดยไม่รู้ตัว พรรณี และพิณทองเดินตามออกมา
“เอาไปคืนเขาซะ”
พรรณีสั่งเพชรแท้เดินไปที่มอเตอร์ไซค์ “แล้วค่อยคุยกันนะแม่”
“แล้วจะไปไหนล่ะเนี่ย”
“ไปหาเพื่อนหน่อย”
เพชรแท้ติดเครื่องรถมอเตอร์ไซค์ และขับออกไป
พรรณีวิ่งตาม “เดี๋ยวเพชร เพชรจะไปหาใคร”
เพชรแท้ไม่ฟัง ขับมอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างเร็ว
“พี่เพชร จะรีบไปไหนแม่”
พิณทองเห็นกระดาษที่ตกอยู่ที่พื้น จึงเก็บขึ้นมา แล้วเปิดดู
“กระดาษอะไรเนี่ย”
พรรณีเข้ามาดูด้วย
พิณทองง “นี่มันเบอร์ของท่านนี่”
“คุณธานินทร์”
พรรณีใจหล่นวูบ รู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาทันควัน
บ่วงรัก ตอนที่ 8 (ต่อ)
รถของธานินทร์แล่นมาตามถนน โดยมีศักดาเป็นคนขับรถให้ ธานินทร์นั่งอยู่ที่เบาะหลังกำลังเดินทางไปพบเพชรแท้ตามที่นัดกันไว้ ธานินทร์รู้สึกตื่นเต้นดีใจมากๆ ที่จะได้พบเพชรแท้และบอกความจริงว่าตนเป็นพ่อ
ห่างออกไปทางด้านหลัง รถของชนะศึกขับตามมาติดๆ ศักดามองกระจกหลังด้วยท่าทีแปลกใจ จนธานินทร์สงสัย
“มีอะไรเหรอศักดา”
“นั่นรถคุณชนะศึก ตามมานี่ครับ”
ธานินทร์หันหลังไปมอง เห็นรถของชนะศึกขับตามมาจริงๆ
“หมดกัน...ตามมาได้ยังไงเนี่ย” ธานินทร์คิดไปคิดมาหาทางออก “เดี๋ยวเลี้ยวเข้าซอยหน้าเลย ฉันไปเองปลอดภัยกว่า”
“ครับ” ศักดาขับรถเลี้ยวเข้าซอยไป
ชนะศึกขับรถมาหน้าตามุ่งมั่น และเลี้ยวเข้าซอยตามรถธานินทร์ แต่โชคร้ายจังหวะนั้นมีรถคันใหญ่ ขับออกมาจากซอยย่อยขวางหน้ารถชนะศึก และบังรถธานินทร์ไว้จนมองไม่เห็น ชนะศึกจึงต้องหยุดรถ
ศักดาจอดรถ ธานินทร์เปิดประตูรถลงมาพลางบอกกำชับคนรถผู้ซื่อสัตย์
“นายถ่วงเวลาให้ชนะไปทางอื่นก่อนนะ แล้วไปคอยฉันที่ท่าเรือ”
ศักดารับคำ “ครับๆ”
ธานินทร์รีบปิดประตูรถ และเดินหายไป ศักดาขับรถไปต่อ
เมื่อรถคันใหญ่ขับผ่านไปแล้ว ชนะศึกจึงมองหารถของธานินทร์ และเห็นว่ารถของธานินทร์กำลังแล่นไปข้างหน้า ชนะศึกจึงขับรถตามไป
ขณะเดียวกัน เพชรแท้ขับมอเตอร์ไซค์มาตามถนน
ส่วนพรรณีอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะสีหน้าท่าทางร้อนใจมาก ขณะพูดสาย
“บ้านคุณธานินทร์ใช่ไหมคะ ขอเรียนสายกับคุณธานินทร์หน่อยค่ะ”
ภายในห้องรับแขกบ้านเลิศชัยวัฒน์ยามนั้น สาวใช้รับโทรศัพท์อยู่
“คุณธานินทร์ออกไปแล้วค่ะ”
“เขาไปไหนรู้ไหม”
“ไม่ทราบค่ะ ทราบแต่ว่านัดคนไว้” สาวใช้บอก
พรรณีแน่ใจว่าคนที่ธานินทร์นัดต้องเป็นเพชรแท้ “ฉันมีเรื่องด่วน จะติดต่อเขาได้ยังไง คือ เขาอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย”
สาวใช้ตกใจไปด้วย “เอ่อ ลองติดต่อมือถือคนขับรถท่านดูไหมคะ ที่ชื่อศักดาน่ะค่ะ”
“เดี๋ยวนะ” พรรณีเอาปากกาออกมา “เบอร์อะไร”
พรรณีจดเบอร์โทรศัพท์ใส่กระดาษ
เพชรแท้ขับมอเตอร์ไซค์มาจอดบริเวณท่าเรือแห่งนั้น แล้วลงจากรถ ถอดหมวกกันน็อค มองไปยังท่าเรือ
เพชรแท้เตรียมปืนเรียบร้อย เหน็บเอาไว้ด้านหลัง
ธานินทร์มาถึงท่าเรือ และยืนรอเพชรแท้อยู่
ส่วนศักดาที่กำลังขับรถถ่วงเวลาชนะศึกอยู่ เสียงมือถือดังขึ้น ศักดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ
“ฮัลโหล”
“คุณศักดาเหรอ ดิฉันพรรณีพูดนะ”
“ครับ คุณพรรณี มีอะไรเหรอครับ”
“คุณอยู่กับคุณธานินทร์หรือเปล่า”
“ครับ...แต่ตอนนี้ท่านแยกกับผมแล้วครับ”
“ฉันอยากคุยกับเขา”
“ท่านไปที่ท่าเรือแล้วครับ ให้ผมขับรถถ่วงเวลาคุณชนะศึกไว้”
เสียงสัญญาณเตือนว่าเงินหมดดังขึ้น
“ท่าเรือไหน”
ศักดาบอกชื่อท่าเรือ
พรรณีจะหยิบเหรียญมาหยอดเพิ่ม แต่เหรียญหมดเสียแล้ว
“คุณศักดา คุณต้อง...”
เสียงสัญญาณสายหลุดดังเข้ามา
“ฮัลโหล คุณพรรณีครับ ฮัลโหล” ศักดาวางโทรศัพท์ ขับรถไปต่อ พลางมองที่กระจกหลัง เห็นรถชนะศึกขับตามอยู่
“คุณศักดา คุณศักดา”
พรรณีวางสาย ออกมาจากตู้ แล้วรีบวิ่งไปเรียกแท็กซี่ รีบขึ้นไปทันที
เพชรแท้เดินตรงดิ่งมาถึงตัวธานินทร์แล้ว
ธานินทร์ยิ้มทักทาย “เป็นยังไงบ้าง”
“แกต่างหากที่เป็นยังไง มีความสุขไหมที่ได้ทำร้ายแม่ฉัน”
“พูดเรื่องอะไร”
“เมื่อเช้าแกนัดเจอแม่ฉันไม่ใช่เหรอ แกทำอะไรแม่ฉัน”
เพชรแท้ตรงเข้ามาเอาเรื่อง ผลักธานินทร์จนเซถอยหลัง
“แม่เธอยังไม่ได้บอกเหรอ”
“ไม่ต้องบอกเหรอก ฉันเห็นแม่ร้องไห้ ฉันก็รู้แล้วว่าเป็นเพราะแก เมื่อไหร่วะ เมื่อไหร่แกถึงจะเลิกยุ่งกับพวกเราซักที เมื่อไหร่จะไปให้พ้นๆ จากชีวิตพวกเรา”
“เธอยังไม่เข้าใจ”
“ฉันไม่อยากเข้าใจ” เพชรแท้ผลักธานินทร์จนล้มลง “ฉันแค่อยากให้แกเลิก...เลิกยุ่งกับแม่ฉัน เลิกยุ่งกับบ้านฉัน แค่นี้เอง ทำไม่ได้เหรอ”
“ฉันทำไม่ได้ ฟังนะเพชรแท้ ฉันแค่ต้องการจะ...”
ธานินทร์พูดพลางลุกขึ้น เห็นเพชรแท้ชักปืนเล็งมาทางคน ก็ชะงักไป
“จะต้องให้เจ็บตัวก่อนใช่ไหม แกถึงจะเลิกได้”
ธานินทร์บอกอย่างจริงจัง “ถึงฉันจะตาย ฉันก็ไม่เลิก”
เพชรแท้ยิ่งโกรธ “แกเลือกเองนะ ถ้าแกต้องตายถึงจะเลิกยุ่งกับแม่ฉัน” เล็งปืนไปที่ธานินทร์ “ฉันจะให้แกตายสมใจ” จ่อปืนเข้าไปใกล้อีก “ไง กลัวไหม”
ธานินทร์บอกท่าทีเรียบเฉย “ไม่”
เพชรแท้ยิ่งโกรธหนัก ขยับเข้าไปใกล้อีก “แกนึกว่าฉันไม่กล้าใช่ไหม ฉันจะฆ่าแกเดี๋ยวนี้แหละ แม่ฉันจะได้พ้นทุกข์ซะที ได้ยินไหม ฉันจะฆ่าแก”
จังหวะนั้นเสียงพรรณีดังขึ้น “เพชร อย่านะ”
เพชรแท้หันไปมอง
“อย่ายิงเขานะ”
เพชรแท้ชะงัก พรรณีวิ่งเข้ามา
“แม่อย่ายุ่ง เพชรจะฆ่ามัน ให้มันจบๆ กันไปเสียที มันทำกับแม่ขนาดนี้ มันสมควรตาย”
“อย่า เพชร” พรรณีวิ่งเข้าไปกันธานินทร์ ร้องไห้โฮ “แม่ไม่ยอมให้เพชรทำอย่างนั้นหรอก แม่ไม่ยอมให้ลูกของแม่ต้องทำบาป ต้องตกนรกหมกไหม้ เพราะยิงเขา”
เพชรแท้งวยงง “แม่พูดอะไร” พรรณีแย่งปืนมาได้แล้ว “เอาปืนเพชรคืนมา”
พรรณีไม่ยอม “ไม่”
พรรณีเดินหนีไป เพชรแท้วิ่งตาม ยื้อยุดเอาไว้
“เอาปืนเพชรคืนมานะแม่”
“ไม่ แม่ไม่ให้ แม่จะเอาไปทิ้ง”
“อย่านะแม่”
เพชรแท้ตัดสินใจเข้าแย่งปืนจากมือ พรรณีไม่ยอมปล่อย สองแม่ลูกแย่งปืนกัน เพชรแท้กระชากปืนสุดแรงเกิด จนพรรณีเสียหลักล้มลง
“เพชรอยากเป็นลูกอกตัญญู ตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดหรือไง”
เพชรแท้ไม่ฟัง “ถ้าฆ่ามันแล้วตกนรก เพชรก็จะยอม”
เพชรแท้เดินดิ่งเข้าไปหาธานินทร์ ท่าทางโกรธจัด
“ฉันอยากรู้นักว่าแกมันมีดีตรงไหน ทำไมแม่ถึงไม่ยอมให้ฉันทำอะไรแก”
เพชรแท้ผลักธานินทร์จนเซล้มลงไป แล้วเอาปืนจ่อธานินทร์
พรรณีใจจะขาด ร้องไห้ ตะโกนลั่น “อย่า เพชร อย่า”
เพชรแท้ยิ่งโกรธธานินทร์มากขึ้น “ทั้งๆ ที่แกทำเขาเจ็บสารพัด เขายังปกป้องแก ทำไม”
ว่าแล้วเพชรแท้ก็เอานิ้วสอดเข้าไปในโกร่งปืน เตรียมยิง
“ฉันไม่เข้าใจเลย แกเป็นใคร สำคัญยังไงวะ ทำไมฉันถึงจะฆ่าแกไม่ได้” จี้ปืนไปที่ธานินทร์อีก “ทำไม ทำไม”
พรรณีที่ล้มอยู่ห่างออกไป ตะโกนลั่นสุดเสียง
“เพราะเขาเป็นพ่อของลูก”
คำพูดนั้นกระแทกเข้าหน้าเพชรแท้จนยืนตะลึง พรรณีร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้น ส่วนธานินทร์ก็รู้สึกว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินสำหรับเขา
พรรณีร่ำไห้บอกลูกชายเลือดร้อน “เขาเป็นพ่อของลูก อย่าทำอะไรเขา”
เพชรแท้ถอยห่างออกจากธานินทร์ ในอาการช็อค จังหวะนั้นธานินทร์ค่อยๆ ลุกขึ้น
“แม่พูดเรื่องอะไร”
“ฟังดีๆ นะเพชร ผู้ชายคนที่เพชรกำลังจะฆ่า เขาคือพ่อแท้ ๆ ของลูก”
เพชรแท้หันมามองจ้องหน้าธานินทร์ ปฏิเสธเสียงดัง
“ไม่จริง”
“แม่พูดเรื่องจริง เพชรเป็นลูกของแม่กับเขา ก่อนที่แม่จะแต่งงานกับพ่อของพิณ”
เพชรแท้รับไม่ได้ “ไม่จริง แม่โกหก” หันมาทางธานินทร์อีก “แกไม่ใช่พ่อฉัน พ่อฉันมีคนเดียวเท่านั้น แล้วเขาก็ตายไปแล้ว ฉันไม่มีพ่อที่ไหน”
พรรณีใจหาย พยายามจะอธิบาย “เพชร...”
“พอแล้วแม่ เพชรไม่ต้องการฟังอีกแล้ว เพชรไม่มีพ่ออย่างมัน ไม่มี” พูดใส่หน้าธานินทร์ “ได้ยินไหม ฉันก็ไม่มีวันถือว่าแกเป็นพ่อ”
จากนั้นเพชรแท้วิ่งเตลิดหนีไป
พรรณีเรียกตามหลัง “เพชร เพชร”
ทว่าเพชรแท้ไม่ยอมหันหลังกลับมาอีก ธานินทร์เดินเข้ามาหาพรรณีที่ลุกขึ้นยืนแล้ว
“ขอบใจนะ ที่คุณบอกความจริงกับเขา”
พรรณีมองหน้าธานินทร์รู้สึกสงสารจับใจ ธานินทร์ดึงตัวพรรณีเข้ามากอด สักครู่หนึ่งพรรณีจึงเดินจากไป
จังหวะนั้นเองธานินทร์รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมา
เพชรแท้วิ่งมาถึงรถมอเตอร์ไซค์ คำพูดของพรรณีผู้เป็นแม่ก้องอยู่ในหัว
“ฟังดีๆ นะเพชร ผู้ชายคนที่เพชรกำลังจะฆ่า เขาคือพ่อแท้ๆ ของลูก”
เพชรแท้รับไม่ได้ อาละวาดทำลายข้าวของรอบๆ ตัว
“ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง”
เพชรแท้ล้มลงนอนร้องไห้ ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ไม่....” เพชรแท้ตะโกนเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ
ด้านธานินทร์กำลังกดโทรศัพท์หาศักดา รู้สึกเจ็บหน้าอก จนล้มลง
ศักดาขับรถเข้ามาจอดที่ท่าเรือ เสียงมือถือดังจึงรีบกดรับ
“ฮัลโหล ท่านครับ ผมมาถึงท่าเรือแล้วครับ ท่านครับ มีอะไรครับ ท่านครับ ท่านครับ”
ชนะศึกขับรถเข้ามาจอดตามศักดา เวลานั้นธานินทร์นอนอยู่ที่พื้นไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดตอบได้
“ท่านครับ ท่านครับ ท่านครับ”
ศักดาเรียกแต่ปลายสายเงียบจึงเอะใจเริ่มสงสัย รู้ทันทีว่าธานินทร์ต้องเป็นอันตราย รีบลงจากรถ วิ่งไปบนท่าเรืออย่างรวดเร็ว
ชนะศึกเห็นก็วิ่งตามศักดาไป
ไม่นานต่อมารถของชนะศึกแล่นเข้ามาจอดที่หน้าโรงพยาบาลประจำของครอบครัว ศักดาขับรถธานินทร์ตามมาอย่างรีบร้อน ชนะศึกลงจากรถ ตะโกนเรียกบุรุษพยาบาลที่อยู่แถวนั้น
“ช่วยด้วยครับ คนเจ็บหนัก”
ศักดาลงจากรถ วิ่งไปเปิดประตูรถชนะศึกที่นั่งด้านหลัง
เสียงพยาบาลบอก “ชีพจรไม่มีแล้ว เตรียมซีพีอาร์”
บุรุษพยาบาลรีบเข็นเตียงของธานินทร์เข้าไปในโรงพยาบาลทันที
ตรงทางเดินหน้าห้องฉุกเฉิน บุรุษพยาบาลเข็นเตียงพยาบาลของธานินทร์มาอย่างเร็ว ชนะศึกวิ่งตามมา
“พ่อครับ พ่ออย่าเป็นอะไรนะครับ”
ทั้งหมดพาธานินทร์เข้าไปในห้องฉุกเฉิน ชนะศึกต้องรออยู่ข้างนอก
ภายในห้องฉุกเฉิน บุรุษพยาบาลรีบเอาร่างธานินทร์ขึ้นเตียง หมอกับพยาบาลเข้ามา
“ไม่มีชีพจรแล้วค่ะ” พยาบาลรายงาน
“ทำซีพีอาร์”
พยาบาลเอาเครื่องปั๊มหัวใจมาส่งให้หมอ พยาบาลอีกคนถอดเสื้อของธานินทร์ออก หมอฉีดยาเข้าที่หัวใจ พยาบาลอีกคนทาเยลที่หน้าอก หมอใช้เครื่องปั๊มหัวใจ ปั้มหัวใจธานินทร์ ครั้งที่หนึ่ง ไม่มีผลอะไร หมอสั่งให้เพิ่มระดับไฟฟ้า แล้วปั๊มหัวใจอีกเป็นครั้งที่สอง ที่จอแสดงผลวัดการเต้นหัวใจยังเงียบอยู่อย่างเดิม
ชนะศึกคอยอยู่หน้าห้องอย่างกระวนกระวาย ศักดาก็เป็นห่วงธานินทร์มากเหมือนกัน
“คุณบอกผมมาซิว่าพ่อผมไปที่นั่นทำไม”
ศักดาบอกท่าทีกล้าๆ กลัวๆ “ท่านนัดเจอกับคุณเพชรแท้ครับ”
ชนะศึกกระวนกระวายใจ ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
“คุณชนะครับ”
ขณะที่หมอ และพยาบาลกำลังช่วยกันทำซีพีอาร์ ชนะศึกเข้ามาในห้องฉุกเฉิน เขายิ่งตกใจสุดขีดเมื่อเห็นทั้งหมอ และพยาบาลกำลังรุมอยู่รอบเตียงธานินทร์ หมอกำลังปั๊มหัวใจธานินทร์
“คุณพ่อ คุณพ่ออย่าตายนะครับ คุณพ่อต้องสู้ซี สู้ซีครับคุณพ่อ”
หมอปั๊มหัวใจธานินทร์อีกครั้ง ชีพจรธานินทร์ยังไม่มา
ชนะศึกร้องครวญคร่ำ “กลับมาครับคุณพ่อ สู้ซีครับ คุณพ่อต้องกลับมาซีครับ”
หมอสั่งเพิ่มระดับไฟฟ้า แล้วปั้มหัวใจธานินทร์อีกครั้ง
ชนะศึกร้องไห้ฟูมฟาย ซบหน้าลงข้างเตียง
ทันใดนั้นที่จอมอนิเตอร์ เส้นระดับการเต้นของหัวใจเริ่มขยับขึ้น หัวใจธานินทร์กลับมาเต้นอีกครั้งแล้ว
“คลื่นหัวใจมาแล้วนี่ พยาบาลหยุดปั๊มนะ แล้วเอาเข้าห้องไอซียูก่อน” หมอสั่ง
ชนะศึกหายใจลึก โล่งอกที่พ่อปลอดภัยแล้ว
“คุณพ่อครับ”
ชนะศึกก้มลงกอดธานินทร์
ชนะศึกเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินกับหมอ
“คุณพ่อเป็นอะไรกันแน่ครับ ทำไมคุณพ่อถึงปวดท้อง แล้วทำไมอาการถึงได้หนักขนาดนี้ คุณพ่อไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน”
“คุณอาท่านเป็นมะเร็งในลำไส้ แต่ท่านขอไว้ไม่ให้ผมบอกใคร” หมอบอก
ชนะศึกชะงัก “มะเร็งในลำไส้”
“ใช่...ระยะสุดท้าย หมอคิดว่าท่านอาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
ชนะศึกตกใจมาก “หมายความว่ายังไงไม่นาน อีกกี่เดือน อีกกี่ปี”
หมอลำบากใจพูดออกมาอย่างยากเย็น “ย่างมากก็คงไม่เกิน….สอง…หรือสาม….อาทิตย์”
ชนะศึกตกตะลึง น้ำตาเริ่มเอ่อออกมา
เย็นนั้นชนกนันท์กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับชนะศึก สีหน้าตื่นตระหนกตกใจ
“พี่ชนะว่าไงนะคะ”
อังคณาซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ หันมามองนก
“พี่หมอบอกว่า...คุณพ่อป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย”
ชนกนันท์ตกตะลึง “เป็นไปได้ยังไง...ค่ะ เดี๋ยวนกกับคุณแม่จะรีบไป”
ชนกนันท์วางหู
“มีอะไรยัยนก”
“พี่ชนะโทร.มาบอกว่า ตอนนี้คุณพ่ออยู่โรงพยาบาลค่ะ”
อังคณามีท่าทีไม่ค่อยสนใจ “เป็นอะไรอีกล่ะ”
ชนกนันท์อ้ำอึ้ง “คุณพ่อ...คุณพ่อ พี่ชนะบอกว่าคุณพ่อเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย จะอยู่ได้อีกไม่เกิน สองถึงสาม อาทิตย์ค่ะ”
อังคณาอึ้ง ชะงักงัน ด้วยความตกใจ
โปรดติดตาม "บ่วงรัก" ตอนที่ 9 เวลา 9.00 น.