บ่วงรัก ตอนที่ 9
ค่ำนั้นภายในห้องพักโรงพยาบาลซึ่งเป็นห้อง suite วีไอพีกว้างขวาง มีห้องรับแขกด้วย ธานินทร์นอนอยู่บนเตียง สายน้ำเกลือระโยงระยาง พยาบาลกำลังให้ออกซิเจนแก่ธานินทร์ ใช้หลอดเสียบจมูกไว้
ชนะศึกนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียง มองพ่อที่นอนหลับอยู่ด้วยความเป็นห่วง จังหวะหนึ่งชนะศึกเอื้อมมือไปจับมือพ่อไว้ น้ำตาไหลออกมา
“ทำไมครับ ทำไมไม่บอกอะไรผมเลย ทำไมไม่บอกผม ว่าพ่อป่วยหนักขนาดนี้ ผมเป็นลูกชายของพ่อนะ ทำไมพ่อไม่บอกผม”
ชนะศึกก้มหน้าร้องไห้
ครู่หนึ่งธานินทร์ค่อยๆ รู้สึกตัว ลืมตาตื่นขึ้นมา ได้ยินเสียงสะอื้นอยู่ ธานินทร์เหลือบมองไป เห็นเป็นชนะศึก จึงพูดปลอบออกมาเสียงแผ่วเบา
“ชนะ อย่าร้องลูก อย่าร้องไห้”
ชนะศึกได้ยินจึงเงยหน้าขึ้นมา ยกมือเช็ดปาดน้ำตา “พ่อครับ พี่หมอบอกผมหมดแล้วครับ” ธานินทร์นิ่งไป “ว่าอาการพ่อร้ายแรงขนาดไหน ทำไมพ่อไม่บอกผมล่ะครับ ทำไม”
“มันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่ลูกคิดหรอก” ธานินทร์ถอนใจปลงๆ “จะสองปี สองเดือน หรือว่าสองอาทิตย์ สุดท้ายทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย”
ชนะศึกน้ำตาไหล “คุณพ่อ”
“คนเราจะมีชีวิตอยู่นานแค่ไหนมันไม่สำคัญหรอก สำคัญว่าเราได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือยัง” น้ำเสียงธานินทร์เศร้า “พ่อแค่เสียดายว่า พ่ออาจจะต้องตายไป ทั้ง ๆ ที่ยังทำมันไม่สำเร็จ” มองชนะศึกสายตาเว้าวอน “ชนะช่วยพ่อได้ไหม”
“พ่อบอกผมมาเลยครับ ผมทำได้ทุกอย่าง”
“พ่ออยากเจอเพชรแท้” ธานินทร์บอก
ชนะศึกลุกขึ้นหันหลังให้ธานินทร์อย่างไม่พอใจ
“ทำไมล่ะชนะ ลูกสัญญากับพ่อแล้ว ว่าลูกจะทำให้พ่อทุกอย่าง”
“ทำไมครับพ่อ ที่พ่อป่วยหนักขนาดนี้ก็เพราะไปหามันมาไม่ใช่เหรอ พ่อบอกเหตุผลของพ่อมาสิ ทำไม”
ธานินทร์ตัดสินใจบอกความจริง “เขาเป็นลูกของพ่อ”
ชนะศึกชะงัก ตกตะลึง “พ่อว่าไงนะครับ”
“เขาเป็นลูกของพ่อกับพรรณี ลูกชายอีกคนของพ่อ” ธานินทร์ย้ำคำ
ชนะศึกว้าวุ่น สับสน ทั้งตกใจ ทั้งโกรธ ทั้งไม่อยากเชื่อ
“เป็นไปได้ยังไง”
“พรรณีท้องก่อนที่พ่อจะมาแต่งงานกับแม่ของลูก” ธานินทร์บอก
คืนนั้นอังคณา เดินนำหน้าชนกนันท์มาตามทางเดินในโรงพยาบาลอย่างรีบร้อน
“คุณพ่อนะคุณพ่อ...เป็นหนักถึงขนาดนี้แล้วยังจะปิดกันอยู่ได้” ชนกนันท์บ่นตามประสา
“เขาคงไม่อยากให้พวกเรารับรู้เรื่องอะไรของเขาแล้วล่ะมั้ง” อังคณาประชด
“แล้วเป็นไงล่ะคะ...พอเป็นหนักขึ้นมา คนที่คอยมาดูแลก็หนีไม่พ้นคุณแม่”
ระหว่างนั้นชนะศึกยืนพิงประตูหน้าเครียดอยู่หน้าห้องพักฟื้นของธานินทร์
อังคณากับชนกนันท์เดินมาถึงพอดี
ชนกนันท์แหวใส่ชนะศึก “อะไรกันคะพี่ชนะ โรงพยาบาลก็ใหญ่โตขนาดนี้ มาปกปิดกันได้ยังไงว่าคุณพ่อเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย”
“หมอบอกว่าคุณพ่อท่านขอเอาไว้ไม่ให้บอกใคร”
“คุณพ่อนะคุณพ่อ แล้วนี่จะทำยังไงกันคะ จะทำยังไง”
ชนกนันท์ทั้งเสียใจทั้งเป็นห่วงพ่อ อังคณาที่ฟังอยู่นิ่งๆ พูดด้วยเสียงเยียบเย็นกับชนกนันท์
“หยุดโอดครวญได้แล้วยัยนก เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว จะทำยังไงได้” หันมาทางชนะศึก “แล้วพ่อแกไปทำอะไรที่ท่าเรือนั่นตาชนะ”
ชนะศึก อึกอักลำบากใจที่จะบอก แต่ต้องพูด “ไปหานายเพชรแท้ครับคุณแม่”
อังคณาอึ้ง สายตาวาววาม เดินเข้าไปในห้องพักฟื้นของธานินทร์ทันที
ในห้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล ธานินทร์นอนหลับอยู่บนเตียง อังคณาเปิดประตูห้องเข้ามา ยืนมองทั้งโกรธทั้งแค้น
ครู่หนึ่งธานินทร์ลืมตาขึ้นมาแต่ต้องชะงัก อังคณายืนอยู่ข้างเตียง จ้องมองมาที่ธานินทร์พูดแดกดัน
“เป็นไง...จะตายอยู่แล้วยังไปหาไอ้เพชรแท้มันอีก สมบัติก็แบ่งให้มัน นี่จะตายก็ยังอยากอยู่กับมันจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตเลยสินะ”
ธานินทร์เบือนหน้าไปทางอื่น อังคณาเอื้อมไปจับหน้าของธานินทร์ให้หันมาทางตัวเอง
“ฉันพูดด้วย ต้องมองหน้าฉันซี”
อังคณายอมปล่อยมือออก ธานินทร์จ้องหน้า “ผมจะทำอะไรก็เรื่องของผม คุณมาที่นี่ทำไม”
“ก็แค่มาเยี่ยม...คนอยู่ด้วยกันมาสามสิบปี อีกไม่นานก็จะไม่ได้เห็นหน้ากันแล้ว ก็ต้องมาเยี่ยมกันหน่อย”
ธานินทร์มองมาอย่างชิงชัง “ผมดีใจ ดีใจที่ตายจากคุณไปได้เสียที”
อังคณามองธานินทร์ด้วยสายตาเกลียดชังไม่แพ้กัน ก่อนจะก้มลงไปกระซิบเสียงเหี้ยม
“ต่อให้คุณตายไป อีบ้านนั้นก็ไม่มีทางได้อยู่อย่างสงบสุขหรอก ฉันจะตามรังควาน จนกว่าฉันกับพวกมันจะตายจากกัน”
รุ่งเช้าเพชรแท้อยู่หลังบ้าน กำลังใช้ขวานผ่าฟืน ปอกมะพร้าว เพชรแท้ฟันมีดลงอย่างแรง เพื่อระบายอารมณ์ พรรณีเดินออกมาจากในบ้าน
“เพชร”
“แม่ไม่ต้องมาพูดอะไรหรอก ยังไงเพชรก็ไม่ยอมรับว่ามันเป็นพ่อ”
“แต่เราก็หนีความจริงไปไม่ได้หรอกลูก”
“เพชรไม่สน ทำไมแม่ต้องมาคาดคั้นเพชรด้วย เพชรเกลียดมัน เพชรเกลียดพวกมันทั้งบ้าน พวกมันทำกับเพชรไว้มากขนาดไหนแม่ลืมได้ยังไง อย่ามาพูดเรื่องนี้กับเพชรอีก เพชรไม่มีพ่ออย่างมัน”
พรรณีนิ่งงันไป รู้สึกไม่สบายใจเอามากๆ
เวลาผ่านไป พิณทองได้รู้ทุกอย่างแล้ว นั่งลงข้างๆ พรรณี
“อะไรนะคะแม่ พี่เพชรเป็นลูกของท่าน”
“พิณ แม่มีลูกกับท่าน ก่อนที่แม่จะมาเจอกับพ่อของพิณ แต่ว่าท่านไม่รู้หรอก”
“แล้วท่านว่ายังไงบ้างจ๊ะ”
“พอท่านรู้ ท่านก็อยากทำดีกับเพชร ความจริงที่เพชรหลุดคดียาบ้านั่นน่ะ ก็เพราะท่านช่วย ท่านอยากจะเจอกับเพชรในฐานะพ่อ แต่ว่าเพชรก็ไม่ยอม”
พิณทองเข้าพี่ชาย “พี่เพชรคงจะช็อคที่อยู่ดี ๆ คนที่เคยเป็นพ่อกลับไม่ใช่ แล้วกลายเป็นคนอื่นที่มาเป็นพ่อ เป็นใครเจอแบบนี้ก็ทำใจยาก พิณว่าให้เวลาพี่เพชรหน่อยเถอะนะแม่”
พรรณีมองผ่านประตูออกไป เห็นเพชรแท้ฟันฟืนระบายอารมณ์ ก็ได้แต่นึกว่าคงต้องรอเวลาต่อไป
ตอนกลางวันในวันเดียวกัน พิณทองกำลังเดินออกไปปากซอยเพื่อซื้อของ ชนะศึกขับรถมาจอดตรงหน้า แล้วลงมาจากรถ ทั้งคู่สบตากันแวบหนึ่ง
“คุณมาทำอะไรที่นี่ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากเจอหน้าคุณอีก”
“ผมไม่ได้มาหาคุณ ผมมาหาพี่ชายคุณ”
“มาหาเขาทำไม”
“ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา”
“จะมาหาเรื่องอะไรพวกเราอีก”
“มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับเขา เราต้องคุยกันตัวต่อตัว”
ชนะศึกเดินไปทางหน้าบ้านทันที พิณทองตามไปขวาง
“เดี๋ยว หยุดนะ...ฉันไม่ให้คุณไป”
ชนะศึกเดินเข้าไปประชิดตัว พิณทองเชิดหน้าสู้ ชนะศึกขยับเดินเข้ามาจนชิดตัวพิณทอง
พิณทองชักสู้ไม่ไหว จำต้องถอยไปอีกนิดหนึ่ง ชนะศึกยิ้มเย็นชา
“พิณทอง คุณขวางผมไม่ได้หรอก ไม่ต้องห่วง ผมไม่ทำอะไรพี่ชายคุณหรอก รับรอง”
พูดจบชนะศึกก็เดินเลี่ยงไปเร็วรี่ พิณทองได้สติ รีบวิ่งตามไป
ขณะที่เพชรแท้กำลังซ่อมมอเตอร์ไซค์อยู่ที่หน้าบ้าน ใกล้ๆ กันนั้นมีกระเป๋าเป้ของเพชรแท้แขวนไว้ ครู่หนึ่งชนะศึกก้าวเข้ามาทางด้านหลัง
“คุณเพชรแท้”
เพชรแท้ชะงักลุกขึ้น
“มึงมาที่นี่ทำไม”
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
“กูไม่มีอะไรจะคุยกับมึง” เพชรแท้ไล่ ชี้ไปที่ประตู “มาทางไหนมึงไปทางนั้น ออกไป” เห็นชนะศึกนิ่งยิ่งโมโห “จะเดินกลับไปเองดี ๆ หรือจะต้องให้หามออกไป”
ชนะศึกพูดดีๆ ด้วย “ผมไม่ได้มาหาเรื่อง” เพชรแท้เมินหน้าหนี “ฟังผมก่อน ผมไม่ได้อยากมาด้วยซ้ำ แต่ผมต้องมาหาคุณเพราะว่า...”
เพชรแท้สวนคำทันควัน
“พ่อมึงสั่งให้มาใช่ไหม นึกว่าให้ลูกชายมาพูดแล้วกูจะฟังเหรอ กูไม่ฟัง มึงกลับไปได้แล้ว...ไป”
“คุณพ่อกำลังป่วยหนัก ตอนนี้ท่านอยู่ที่โรงพยาบาล ท่านอยากเจอคุณ”
“แต่กูไม่อยากเจอ กูไม่ไปไหนทั้งนั้น มึงมาทางไหนออกไปทางนั้นเลย”
“คุณพ่อป่วยหนัก ท่านอยากพบคุณ ท่านกำลังจะ...ตาย”
เพชรแท้ไม่ใส่ใจ “เหรอ แล้วไง ตายก็ตายไปสิ เกี่ยวอะไรกับกูล่ะ”
ชนะศึกโกรธกรุ่นๆ “พูดออกมาได้ยังไง คุณยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า ผู้ชายที่กำลังจะตาย เป็นพ่อแท้ๆ ของคุณนะ”
เพชรแท้เยาะหยัน “พ่อเหรอ สามสิบปีที่ผ่านมา กูไม่เคยเห็นหน้ามันเลย อยู่ดี ๆ มาบอกว่าเป็นพ่อกู มาอ้างความเป็นพ่อเป็นลูกกับกู มันไม่ง่ายอย่างงั้นหรอก มึงกลับไปได้แล้ว ไป”
“ผมไม่กลับ” ชนะศึกตัดสินใจเข้าไปหาเพชรแท้
“ไอ้นี่ยังไง ก็บอกไม่ไปไง”
ชนะศึกเข้ามาดึงตัวเพชรแท้ “คุณต้องไป”
“อะไรของมึงวะ กูไม่ไป”
“ต้องไป”
เพชรแท้ทนไม่ไหวผลักชนะศึกจนหงายหลังไป ชนะศึกลุกขึ้นสู้
“ออกไปได้แล้ว กูไม่ไป”
“คุณต้องไป”
ชนะศึกยืนกราน แล้วเข้าไปหาอีกครั้ง เพชรแท้ผลักชนะศึกออก จนชนะศึกล้มลงอีก จังหวะนั้นพิณทองเดินเข้ามาเห็นก็ตกใจ แต่ไม่รู้จะทำยังไง
“พี่เพชร”
ชนะศึกไม่ยอมแพ้เดินเข้าไปอีก
“คุณต้องไปกับผม”
เพชรแท้ชกเข้าที่ท้องของชนะศึก จนล้มลงไป แต่ชนะศึกก็ลุกขึ้นอีกครั้ง
“คุณต้องไปกับผม”
เพชรแท้โมโหชกที่ท้องชนะศึกอีก
พิณทองยิ่งตกใจ “พี่เพชร”
ชนะศึกเดินเข้ามาหาอีก “ผมรับปากพ่อไว้แล้ว ผมจะเอาตัวคุณไปให้ได้”
“พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องใช่ไหม งั้นพูดกับไอ้นี่”
ว่าแล้วเพชรก็เดินไปเปิดกระเป๋าเป้ แล้วหยิบปืนออกมา จ่อปืนมาที่ชนะศึก
“พี่เพชรอย่านะ”
พิณทองเดินไปกดปืนลง ก่อนจะหันไปพูดกับชนะศึก
“คุณกลับไปซะ แล้วอย่ามายุ่งกับพวกเราอีก”
ชนะศึกมองหน้าเพชรแท้ ที่เล็งปืนขู่อยู่
“มึงกลับไปซะ แล้วฝากไปบอกพ่อมึงด้วย” น้ำเสียงเจ็บแค้น “กูมีพ่อคนเดียว แล้วเขาก็ตายไปแล้ว ส่วนมัน ถึงมันจะทำให้กูเกิด แต่กูก็ไม่ยอมเรียกมันว่าพ่อ ไม่มีทาง มึงกลับไปได้แล้ว”
เพชรแท้เล็งปืนตาไม่กระพริบ
“พี่เพชรอย่า”
ชนะศึกรู้ว่าพูดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ตัดสินใจจะกลับ แต่ก่อนไป ชนะศึกหันมาทิ้งท้าย
“ไม่ว่าคุณจะบอกตัวเองยังไง ความจริงก็คือความจริง เขาเป็นพ่อคุณ เขาป่วยหนักมาก และเขาก็อยากเจอคุณ คุณจะยอมรับความจริงหรือไม่ก็ได้ แต่คุณมีเวลาตัดสินใจ อีกไม่เกินสองอาทิตย์”
ทั้งเพชรแท้ และพิณทองต่างชะงักงันกันไป ชนะศึกหันหลังเดินออกไป พูดเน้นทุกคำ
“พ่อแท้ ๆ ของคุณจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินสองอาทิตย์ คุณจะทำยังไงก็คิดดูเอาเองก็แล้วกัน”
ชนะศึกเดินลับตัวออกจากบ้านไป
เพชรแท้อึ้ง ลดปืนลง
พรรณีกำลังตากผ้าอยู่กับพิณ
“สองอาทิตย์เหรอ” ตกใจ “เป็นไปได้ยังไง”
“คุณชนะศึกเขาบอกอย่างนั้นน่ะค่ะ เขาว่าท่านป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย”
“ทำไมโชคร้ายเหลือเกิน” พรรณีใจหาย “เพิ่งจะได้เจอหน้ากันแท้ๆ แล้วนี่เพชรเขาว่ายังไง”
“พี่เพชรยืนยันว่ายังไงก็ไม่ไป”
พรรณีถอนใจ แล้วนิ่งงันไป
“พิณก็ไม่รู้จะพูดกับพี่เพชรยังไง มันเรื่องส่วนตัวของเขากับท่าน” พิณทองถอนใจ “แต่ก็น่าสงสารท่านนะแม่ ไหนๆ ท่านก็แก่แล้วป่วยขนาดนั้น จะไปโกรธแค้นอะไรกันนักหนา”
พรรณีตัดสินใจ จะไปคุยกับเพชรแท้
ชนะศึกเดินมาที่ข้างเตียงพ่อ ยังไม่พูดอะไร สีหน้าหนักใจ
“เป็นไงมั่งชนะ เจอไหม...เขาว่ายังไงมั่ง”
ธานินทร์ถามชนะศึกเร็วๆ
“ว่าไง เจอเขาไหม เขายอมมาหาพ่อหรือเปล่า บอกเขาหรือเปล่าว่าพ่อเป็นยังไง เขาจะมาเมื่อไหร่”
“คุณพ่อหลับสบายดีไหมครับ” ชนะศึกอึดอัดใจ
“พ่อถามลูกไงชนะ บอกพ่อมาซี เพชรว่ายังไงบ้าง”
เห็นชนะศึกนิ่งไป ธานินทร์เหมือนจะรู้ว่าคำตอบ
“เขาไม่ยอมมาใช่ไหม”
ชนะศึกพูดอะไรไม่ออก
“เขายังโกรธพ่อใช่ไหม เขาถึงไม่ยอมมาหาพ่อ บอกเขาหรือเปล่าว่าพ่ออยากเจอเขาเป็นครั้งสุดท้าย ลูกขอร้องเขาหรือเปล่า บอกเขาหรือเปล่า...ว่าพ่อกำลังจะตาย...”
ธานินทร์ร้องไห้พยายามลุกขึ้นนั่ง ชนะศึกเข้าไปกอดพ่อไว้
“คุณพ่ออย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องนี้เลยครับ นอนพักก่อนดีกว่า”
ธานินทร์น้ำตาไหลริน “เขาเกลียดพ่อ ขนาดพ่อจะตาย เขายังไม่ยอมมาดูใจ พ่อคงทำผิดร้ายแรงเหลือเกินชนะ” ธานินทร์สะอื้น “พ่อ...พ่อ...”
ชนะศึกสงสารพ่อ ตัดสินใจโกหก “พ่อครับ ผมไม่เจอเขา”
ธานินทร์อึ้ง “อะไรนะ”
“ผมตามหาเขาไม่เจอครับ แต่ผมจะหาเขาจนพบ ผมจะพาเขามาหาพ่อให้ได้ครับ...เขาต้องมา พ่อต้องได้เจอเขา เชื่อผมซีครับ”
ธานินทร์ค่อยคลายโศกเศร้า แววตามีความหวังขึ้น
“ลูกต้องพาเขามาให้ได้นะลูก” ธานินทร์ปาดน้ำตาขณะกำชับลูกชาย “ตามหาเพชรแท้ให้เจอ พาเขามาหาพ่อให้ได้นะลูกนะ”
ชนะศึกกอดธานินทร์อยู่อย่างนั้น รู้สึกเจ็บปวด และแค้นเพชรมากขึ้นไปอีก
เย็นนั้น อังคณากับชนกนันท์รู้เรื่องที่ชนะศึกจะไปตามเพชรแท้แล้วไม่พอใจ
“แกจะไปตามมันมาทำไม”
“มันเป็นความต้องการของคุณพ่อ”
“แล้วแกก็โง่ทำตามงั้นเหรอชนะ ลองนึกดูซี พ่อแกเขาจะอยากคุยกับมันเรื่องอะไร ก็ไม่พ้นเรื่องมรดกที่เขาจะยกให้มันน่ะซี”
“ไอ้กุ๊ยนั่นมันกำลังจะมาแย่งทรัพย์สมบัติของเราไปนะ พี่ชนะพี่จะไปช่วยมันทำไม” ชนกนันท์แหว
“พี่บอกแล้วไง ถ้าพ่อต้องการ พี่ก็ต้องทำให้พ่อสมหวัง”
“แต่มันสมบัติของเรานะพี่ ไอ้เพชรแท้มันไม่ควรจะได้”
ชนะศึกอึ้งไป ลังเลว่าจะบอกดีไหม
“แม่ว่าแกอยู่เฉย ๆ อีกไม่กี่วัน พ่อแกก็โวยวายอะไรไม่ได้แล้ว เรื่องมันก็จบไปเอง...คิดดูซีชนะ มันเรื่องอะไรจะเอาของที่ควรจะเป็นของเราไปยกให้คนอื่น ไอ้เพชรแท้มันเป็นใคร มันมีสิทธิ์อะไร”
ชนะศึกสวนออกมา “เขามีสิทธิ์”
“สิทธิ์อะไร” อังคณาแปลกใจ
“เขาเป็นลูกของคุณพ่อ”
อังคณา และชนกนันท์อึ้ง ตกตะลึงแทบช็อค
“อะไรนะ” อังคณาไม่เชื่อ
“ลูกของคุณพ่อ พี่พูดเรื่องบ้าอะไร”
“พ่อเพิ่งบอกกับพี่” ชนะศึกหันมาทางอังคณา “เพชรแท้ เป็นลูกของพ่อกับคุณพรรณี”
อังคณาผงะไป “เป็นไปได้หรือนี่”
“พ่อบอกว่า เรื่องทั้งหมดนี่ เกิดขึ้นก่อนที่พ่อจะแต่งงานกับแม่ ท่านเชื่อว่าเพชรแท้เป็นลูกของท่าน และท่านต้องการพบเขา และผมก็จะทำทุกอย่างให้พ่อสมหวัง”
อังคณาช็อคสุดขีด พึมพำกับตัวเองอย่างคั่งแค้น
“นี่มันมีลูกด้วยกันเหรอนี่...มันมีลูกด้วยกัน ก่อนที่จะแต่งงานกับฉันงั้นเหรอ”
บ่วงรัก ตอนที่ 9 (ต่อ)
ตอนค่ำคืนของวันนั้น เพชรแท้กำลังรื้อค้นหาของบางอย่างอยู่ในบ้าน แล้วในที่สุดก็หาจนเจอ เพชรแท้หยิบรูปภาพใบหนึ่งขึ้นมานั่งเพ่งมองรูปนั้น ซึ่งเป็นภาพเพชรแท้ตอนเด็กนั่งอยู่บนตักพ่อ
สักครู่หนึ่งพรรณีก็เดินเข้ามาในห้อง เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“เพชร...”
“จะมาพูดให้เพชรไปหามันใช่ไหม ยังไงเพชรก็ไม่ไป”
“แต่เพชรก็รู้แล้วนี่ เวลาของเขาเหลือไม่มากแล้ว”
เพชรแท้ไม่แยแส “ก็ช่างมัน”
“แต่เขาเป็นพ่อของเพชรนะ”
“เพชรบอกแม่แล้วไง ว่าเพชรมีพ่อเพียงคนเดียว แล้วเพชรก็รักพ่อของเพชร” พลางยื่นรูปในมือให้พรรณี “นี่ไงพ่อเพชร แม่จะให้เพชรลืมพ่อ แล้วยอมให้คนอื่นมาแทนที่พ่อของเพชรเหรอ”
พรรณีหยุดไปนิดหนึ่ง พอจะเข้าใจแล้วว่าเพชรแท้กำลังคิดอะไร “เพชรทำถูกแล้วที่รักพ่อที่เลี้ยงดูเพชรมา แม่ไม่เคยขอให้เพชรรักคุณธานินทร์ แต่แม่อยากให้เพชรไปหาเขา เขากำลังจะตายนะเพชร เขาอยากเห็นหน้าเพชร อยากเห็นหน้าลูกของเขา...ถึงเพชรไม่เห็นว่าเขาเป็นพ่อ อย่างน้อยก็เห็นแก่คนที่กำลังจะตาย ได้ไหมเพชร”
เพชรแท้สับสน นิ่งคิดครู่หนึ่ง “หมดหรือยังแม่ พูดหมดหรือยัง”
“เพชร แม่ขอร้อง”
“เพชรบอกแล้วไง แม่ เพชรทำไม่ได้ เพชรทำใจไม่ได้”
พูดเพชรแท้ก็เดินหนีไปเลย พรรณีได้แต่นิ่งงันไป ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เวลานั้น อังคณานั่งหน้าเครียด ขณะที่ชนกนันท์โมโหโวยวาย สองแม่ลูกอยู่ในห้องรับแขก
“นกก็ทำใจไม่ได้เหมือนกันคะ คุณแม่ ถ้าจะให้ไปนับญาติกับไอ้สารเลวนั่น นกตายซะดีกว่า แค่นึกก็...” ชนกนันท์ทำท่ารังเกียจ “ขนลุกขนพองไปหมดแล้ว”
อังคณายังคงนิ่ง หน้าเคร่งเครียด ชนกนันท์โวยวายต่อไป
“ไม่อยากจะเชื่อว่าคุณพ่อจะลดตัวไปยุ่งกับผู้หญิงชาวบ้านต่ำๆ พรรค์นั้นได้ นี่เท่ากับมันก็กลายมาเป็นทายาทที่จะได้รับส่วนแบ่งมรดกของนกกับพี่ชนะ นกไม่ยอมนะคะ คุณแม่”
อังคณาตวาดเบาๆ “เงียบก่อนเถอะน่ะ...ใครบอกว่าแม่จะยอม”
“แต่คุณพ่อก็แบ่งให้มันไปแล้ว เราจะทำยังไงล่ะคะ...” ชนกนันท์คิด ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม “ให้ใครอุ้มมันไปทิ้งที่ไหนเลยดีไหม จะได้หมดปัญหาไป”
“พ่อแกทำพินัยกรรมแบ่งมรดกให้มัน...ถ้าไอ้เพชรแท้มันเป็นอะไรไป นังพรรณีกับลูกสาวมันก็รับช่วงต่อไป...แกไม่เจ็บใจยิ่งกว่าเรอะ”
“แล้วจะทำยังไงล่ะคะ แม่...ของของเราแท้ๆ นะคะ จะให้มันไปได้ยังไง”
“มันต้องมีวิธีที่ดีกว่านั้น เชื่อแม่เถอะยัยนก...มันต้องมีวิธี” สีหน้าอังคณานิ่ง แต่แววตาวาวโรจน์
วันต่อมาภายในห้องพักฟื้นคนไข้ ธานินทร์กำลังดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด หมอ และพยาบาลกำลังช่วยกันจับธานินทร์ฉีดยาระงับปวด ชนะศึกเปิดประตูห้องเข้ามา เดินก้าวไวๆ ไปที่เตียง
“คุณพ่อ!”
ระหว่างนั้นธานินทร์ออกอาการเพ้อ ดิ้นทุรนทุราย
“เพชร เพชรแท้ ฉันจะไปหาเธอ เพชรแท้”
ชนะศึกเห็นพ่อเจ็บปวด ก็ยิ่งเสียใจ
หมอฉีดยาเสร็จ ธานินทร์สงบลง คล้ายจะหลับ ชนะศึกถามหมอ
“อาการทรุดลงอีกแล้วหรือครับนี่”
หมอท่าทางหนักใจมาก “อาการคุณอาทรุดเร็วกว่าที่คิดเอาไว้มาก ท่านไม่มีกำลังใจจะรักษาตัวเองเลย แถมยังมีเรื่องกลุ้มใจสารพัด ถ้ายังเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หมอก็ช่วยอะไรไม่ได้”
ชนะศึกขอร้อง “แต่พี่หมอต้องพยายามให้ถึงที่สุดนะครับ”
“ผมทำอยู่แล้ว แต่คนอื่นก็ต้องช่วยท่านด้วย”
ยินเสียงธานินทร์เพ้อออกมาอีกเบาๆ หมอกับชนะศึกหันไปดู
“เพชรแท้”
หมอสงสารยิ่งนัก “เวลาไหนที่เจ็บจนขาดสติ คุณอาจะเพ้อถึงแต่คนชื่อนี้ ท่าทางท่านคงจะอยากเจอเขามาก” พลางถอนหายใจ “เพราะไอ้ความผิดหวัง และความกังวลนี่แหละ อาการของท่านถึงได้ทรุดหนักลงทุกทีๆ”
ชนะศึกสะท้อนใจมองดูพ่อที่นอนมีสายระโยงระยาง ปากยังเพ้อถึงเพชรแท้ ชนะศึกเอามือทุบผนังด้วยความเจ็บใจ ร้องไห้ แล้วผลุนผลันออกจากห้องไป
ชนะศึกเดินไปตามทางเดิน เข้าลิฟต์ ด้วยอาการโกรธจัด ต่อมาไม่นานชนะศึกขับรถมาด้วยความเร็วและแรงในอาการโกรธแค้น
ชนะศึกขับรถมาจอดที่ริมถนนแถวนั้น เห็นเพชรแท้กับสมภพกำลังเดินออกจากซอยมาด้วยกัน
“ไอ้เพชรแท้!”
ชนะศึกพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะลงมาจากรถ ท่าทางเอาเรื่อง มุ่งตรงไปที่เพชรแท้อย่างเอาเรื่อง เพชรแท้ และสมภพหันมา เห็นชนะศึกท่าทางโกรธ
ชนะศึกเดินเข้าไปชกเพชรแท้เข้าเต็มแรง จนร่างเพชรแท้หงายหลังเซไป
สมภพตกใจ จะตรงเข้าทำร้ายร่างกายชนะศึก
“เฮ้ย! อะไรกันวะ”
“ไม่ต้อง”
เพชรแท้ร้องห้าม มองชนะศึก เห็นชนะศึกท่าทางโกรธจัด และเหมือนจะร้องไห้ ก็ชะงักไป
เพชรแท้ยกมือบอกสมภพ “ขอกูคุยกับมันก่อน” หันมาทางชนะศึก “มึงเป็นบ้าอะไรของมึง”
ชนะศึกไม่ตอบ ชกอีกเปรี้ยงระบายความโกรธ เพชรแท้ปากแตก เลือดไหลตรงมุมปาก เพชรแท้เห็นเลือด ก็นึกโกรธ เลยชกชนะศึกกลับบ้าง ชนะศึกถูกหมัดของเพชรแท้หงายเงิบไป ทั้งสองชกต่อยกันนัวเนีย ในที่สุดเพชรแท้ก็จับชนะศึกกระแทกดันเข้ากับรั้วสังกะสี
“มึงมาชกกูทำไม”
ชนะศึกแค้นจัด “พ่ออาการทรุดหนักลงทุกวัน วันนี้เขาเจ็บจนช็อก เกือบตาย...ไอ้เพชรแท้ แกเป็นลูกประสาอะไร พ่อเจ็บจนจะตายอยู่แล้ว แกยังไม่สำนึกอีกเรอะ”
“กูเกี่ยวอะไร กูไม่ได้ทำให้ใครตาย”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว ที่พ่อฉันเจ็บหนักขนาดนี้ก็เพราะแก!”
ชนะศึกผลักเพชรแท้เซไป เพชรแท้เป็นฝ่ายโดนกดกับรั้วบ้าง ชนะศึกระบายอารมณ์ใส่เพชรแท้
“ความจริงฉันน่าจะต่อยแกให้ตาย ให้สมกับที่แกทรมานพ่อฉัน” ทั้งคั่งแค้น และอัดอั้นจนแทบร้องไห้ “แต่ถ้าแกเป็นอะไรไป พ่อฉันคงขาดใจ...ให้ตายสิ ฉันไม่รู้ว่าพ่อฉันมีกรรมอะไรถึงต้องมารักคนอย่างแก แกไม่คู่ควรเลย พ่อฉันไม่ควรจะมีลูกชั่วๆ อย่างแกเลย”
ชนะศึกผลักเพชรแท้ออก จนเพชรแท้เซไป ชนะศึกมองตามอย่างโกรธแค้น
ชนะศึกชี้หน้าด่า “แกฟังไว้ ถ้าพ่อฉันตายไป ก็เป็นเพราะแกเป็นคนทำ ชาตินี้ทั้งชาติ ฉันจะไม่มีวันให้อภัยแกเลย”
ชนะศึกเดินกลับไปแล้ว เพชรแท้ได้แต่นิ่งอึ้ง สับสนว้าวุ่นใจอย่างหนัก
เย็นนั้นศักดานั่งอ่านหนังสือพิมพ์เฝ้าไข้ธานินทร์อยู่ในส่วนห้องรับแขก สักครู่หนึ่งชนะศึกเดินเข้ามาในสภาพมอมแมม ศักดาเห็นก็แปลกใจ อ้าปากจะถาม
“คุณชนะ...”
ชนะศึกตัดบท “คุณพ่อหลับอยู่ใช่ไหม”
“ครับ...แต่ว่าคุณชนะ”
ชนะศึกยกมือห้ามแล้วเดินเข้าห้องไป ศักดาเห็นท่าทีแล้วไม่กล้าถามอะไรอีก ชนะศึกเดินไปหยุดที่ริมเตียง เห็นธานินทร์หลับอยู่ ธานินทร์มีสภาพเป็นชายแก่ที่ดูอ่อนแอน่าสงสาร ชนะศึกเบือนหน้า น้ำตาคลอ
“ผมขอโทษครับพ่อ ผมทำให้เขามาหาพ่อไม่ได้ ผมขอโทษจริงๆ”
ชนะศึกนั่งลงข้างเตียง จับมือพ่อไว้ ซบหน้าร้องไห้กับมือธานินทร์
ธานินทร์ลืมตาขึ้นมาดวงตาเศร้าสลด ที่หางตามีน้ำตาซึมออกมา ก่อนจะปิดเปลือกตาคู่นั้น หลับลงอีกครั้ง ที่แท้ธานินทร์ไม่ได้หลับ และได้ยินทุกอย่าง
เพชรแท้ผ่าฟืนอย่างหนักหน่วง พยายามทำงานเพื่อให้ตัวเองเลิกคิดฟุ้งซ่าน แต่ไม่สำเร็จ เสียงของชนะศึกยังดังก้องอยู่ในหัว เพชรแท้โยนมืดที่ฝ่าฟืนทิ้ง นั่งลง ใคร่ครวญครุ่นคิดหนัก
“พ่อฉันเพ้อถึงแต่แก อาการพ่อฉันทรุดลงทุก ๆ วัน เขากำลังจะตาย แกได้ยินไหม! เขากำลังตรอมใจตาย เพราะ คิดถึงไอ้ลูกนอกคอกอย่างแก...ถ้าพ่อฉันตายไป ก็เป็นเพราะแกเป็นคนทำ!”
เพชรแท้ทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม
ธานินทร์นอนอยู่บนเตียง คิดตริตรอง ตัดสินใจดึงสายน้ำเกลือออก ค่อยๆ ลุกขึ้น ก่อนจะยกหมอนที่หนุนนอน หยิบห่อผ้า เอานาฬิกาพกออกมาดู ใช้มือลูบคลำนาฬิกาเรือนนั้นรำพึงเบา ๆ
“เวลาของฉันกำลังจะหมดลงแล้ว...ฉันรอไม่ได้แล้ว”
ในที่สุดธานินทร์ก็ปลดสายเครื่องช่วยต่างๆ ที่ตัวออกจนหมด และลงจากเตียง กระย่องกระแย่งไปเปิดตู้หยิบเสื้อผ้าของตัวเองออกมาเปลี่ยน
เวลาต่อมาธานินทร์ซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาจากห้องพัก เห็นพยาบาลเดินผ่านมา เลยหลบฉากจนพยาบาลเดินผ่านไป ธานินทร์จึงเดินต่อด้วยอาการอ่อนแรงเต็มที
ธานินทร์จะเดินไปที่ลิฟต์ แต่ต้องผ่านเคาน์เตอร์พยาบาล เมื่อเห็นว่าพยาบาลกำลังก้มหน้าก้มตาตรวจดูบันทึก ธานินทร์รีบเดิน บังเอิญพยาบาลเงยหน้าขึ้นมาเห็น ร้องเรียก
“คุณธานินทร์ คุณธานินทร์คะ”
ธานินทร์หยุดเดิน
“จะไปไหนคะคุณธานินทร์ ไปไม่ได้นะคะ”
“ผมต้องไปหาเขา” ธานินทร์บอก
“แต่ท่านป่วยอยู่นะคะ”
“ไม่ต้องมายุ่งกับผม ผมต้องไป”
ธานินทร์เดินต่อไปอย่างหมายมาดและมุ่งมั่น
พยาบาลพยายามโทร.หาหมอ
“ตามคุณหมอพงษ์ชัยให้ทีค่ะ”
ธานินทร์ไปถึงลิฟต์แล้ว กดเรียกลิฟต์ ลิฟต์เปิดออก ธานินทร์เข้าไป ประตูลิฟต์ปิด
ธานินทร์ประคองตัวเองออกมาที่หน้าโรงพยาบาล พอดีมีรถแท็กซี่แล่นเข้ามาจอดส่งผู้โดยสาร ธานินทร์ขึ้นแท็กซี่คันนั้น แล้วบอกที่หมาย แท็กซี่เคลื่อนออกไป
แท็กซี่ลับตาไปแล้ว หมอกับพยาบาลเพิ่งวิ่งออกมาที่หน้าโรงพยาบาล ไม่ทันเสียแล้ว
ชนกนันท์ขับรถเข้ามาจอดที่กลุ่มของหมอ และพยาบาลที่พยายามร้องเรียกธานินทร์อยู่ ชนกนันท์ลงมาจากรถ ตรงมาถาม
“ขอโทษนะคะ..ไม่ทราบว่า ธานินทร์ ไหนคะ”
“คุณธานินทร์ เลิศชัยวัฒน์ ค่ะ” พยาบาลบอก
ชนกนันท์ชะงัก ก่อนจะรีบขึ้นรถแล้วขับตามออกไปทันที
ภายในรถแท็กซี่ ธานินทร์นั่งอยู่ในรถ แม้จะเหนื่อยจากอาการป่วย แต่ในใจก็รู้สึกมีความสุข รำพึง เบาๆกับตัวเอง
“ก่อนฉันจะตาย ฉันต้องเจอเธอให้ได้ เพชรแท้”
คืนเดียวกันนั้นพรรณีกับพิณทองเดินกลับมาที่บ้าน เห็นไฟข้างในมืดๆ ก็รู้สึกแปลกใจ
“เพชรทำอะไรอยู่นี่ ทำไมไม่เปิดไฟ”
พิณทองเดินเข้าไปในบ้านเรียกหา “พี่เพชร พี่เพชร”
พิณทองเปิดสวิชท์ไฟ มองไปรอบๆ บ้านแต่ไม่เห็นพี่ชาย ก็ยิ่งแปลกใจ
“แม่จ๋า พี่เพชรไปไหนไม่รู้”
พรรณีมองหาเพชรแท้ เห็นเพชรแท้เดินถือกระเช้าส้มเยี่ยมผู้ป่วยมาจากหน้าบ้าน พรรณีรู้ทัน ยิ้มทักทาย
“ไปไหนมาลูก”
เพชรแท้พูดเสียงอุบอิบ “ไปซื้อของน่ะแม่”
พิณทองออกมาหน้าบ้านพอดี
“พี่เพชร” เห็นกระเช้าส้มในมือพี่ชายก็แปลกใจ “ส้ม...จะซื้อไปให้ใครน่ะ”
เพชรแท้รีบกลบเกลื่อน “ทำไมต้องซื้อไปให้ใคร”
“อ้าว” พิณทองชี้ที่กระเช้า “ก็ถ้าซื้อกินเองแล้วทำไม...” พรรณีทำหน้าปรามไม่ให้พูดต่อ พิณทองจึงเงียบไป
ส่วนเพชรแท้วางกระเช้าลง แล้วเดินเลี่ยงไป หลบหน้าหลบตา
“ไปอาบน้ำก่อนดีกว่า เหนียวตัว”
เพชรแท้เดินเข้าบ้านไป พิณทองแซวตามหลัง พรรณีเดินไปหยิบกระเช้าส้มขึ้นดู ยิ้มออกมาอย่างสุขใจ
“แม่จ๋า แม่คิดว่าพี่เพชร...”
“พิณเดาไม่ผิดหรอก เพชรทำเป็นปากแข็งไปยังงั้นเอง จริง ๆ ก็ใจอ่อนเหมือนพ่อของเขานั่นแหละ”
พรรณียิ้มกับพิณทอง สองคนต่างดีใจ ที่ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี
รถแท็กซี่คันนั้นยังแล่นมาบนท้องถนนเรื่อยๆ ธานินทร์รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์ แต่หน้าตามุ่งมั่นมาก
ห่างออกไปด้านหลัง รถของชนกนันท์ขับตามมาอยู่
บ่วงรัก ตอนที่ 9 (ต่อ)
กระเช้าส้มยังวางอยู่ที่หน้าบ้าน เพชรแท้อาบน้ำเสร็จแล้ว อยู่ในชุดเสื้อกล้ามเตรียมเข้านอน แต่ยังคงนั่งคิดอะไรอยู่ ระหว่างนั้นพรรณีเดินออกมา มองเพชรแท้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วนั่งลงข้างๆ
“คิดอะไรอยู่หรือ เพชร”
เพชรแท้ดูเป็นกังวล “ไม่รู้ว่าเพชรคิดถูกหรือเปล่า”
พรรณีสอนสั่ง “ถูกซี...การทำสิ่งดีๆ ให้กับคนที่เป็นบุพการีของเรา มันก็ต้องถูกอยู่แล้ว”
เพชรแท้กังวลไม่หาย “ที่ดีของเพชร อาจจะไม่ดีสำหรับเขา...เพชรไม่ใช่คนดีอะไร ถ้าเขาได้เจอเพชร มันอาจจะไม่ดีอย่างที่คิดก็ได้”
“กลัวไปทำไม ทุกอย่างที่เพชรคิด และทำ แม่เชื่อว่าต้องเป็นสิ่งที่ดีเสมอ เดี๋ยวเจอกัน เพชรก็รู้เอง” พรรณีลุกขึ้น “สามทุ่มแล้วนะลูก เข้าบ้านเถอะ”
“ครับ” เพชรแท้ลุกขึ้น เดินตามพรรณีเข้าบ้าน “แม่นอนเถอะครับ เดี๋ยวเพชรปิดประตูหน้าต่างเอง”
พรรณีพยักหน้า แล้วเดินเข้าห้องไป
เพชรแท้เดินไปจะปิดประตู ระหว่างนั้น มองไปเห็นกระเช้าส้ม ชายหนุ่มชะงักนิดหนึ่ง ครุ่นคิด แล้วหยิบกระเช้าส้มขึ้นมาดู สีหน้าลังเลใจ พึมพำกับตัวเอง
“ยังไงดีวะ...”
เพชรแท้ถือกระเช้าเดินออกไปนอกบ้าน
เพชรแท้เดินตรงไปยังถังขยะที่ปากทางเข้าบ้าน ชั่งใจอยู่ว่าจะทิ้งส้มดีหรือไม่ ระหว่างกำลังลังเลใจอยู่นั้น ก็มีเสียงเรียกจากข้างหลัง
“เพชรแท้”
เพชรแท้หันไปช้าๆ เจอธานินทร์ยืนอยู่ ถึงกับตะลึง คาดไม่ถึง
“คุณ”
“ฉันเอง...เธอไม่ยอมมาหาฉัน ฉันเลยมาหาเธอเอง”
เพชรแท้อึ้งไปนิดหนึ่ง
“ไหนๆ ฉันก็มาแล้ว คุยกับฉันซักคำได้ไหม” ธานินทร์ข่มความเจ็บป่วย เอ่ยออกไปเสียงนุ่มนวล
เพชรแท้หันหลัง เดินกลับเข้าบ้าน ไม่พูดอะไร
“เดี๋ยวก่อน เพชร”
เพชรแท้หันมาหา บอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เข้ามาคุยกันข้างในเถอะ”
เพชรแท้หันหลัง เดินนำไป ในมือยังถือกระเช้าส้มอยู่ ธานินทร์เดินตาม สีหน้าดีใจ
เพชรแท้เดินนำธานินทร์เข้ามาที่หน้าบ้าน
“นั่งสิ” ธานินทร์นั่งลง ส่วนเพชรแท้ยืนอยู่ “คุณมีอะไรก็ว่ามา”
ธานินทร์ยิ้มเก้อๆ กระดากปาก “ความจริง ฉันมีอะไรอยากคุยกับเธอเยอะแยะ แต่พอได้เจอหน้าเข้าจริงๆ มันตื้อไปหมด ไม่รู้จะพูดอะไรก่อนดี”
เพชรแท้มองหน้าธานินทร์ เห็นแววตารักใคร่จริงจังในสายตาคู่นั้น เพชรแท้จึงเมินหน้าหลบ อึดอัดเหมือนกัน
ธานินทร์ยิ้มแย้มพยายามหาเรื่องคุย
“เล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเธอให้ฉันฟังหน่อยซี”
“เรื่องอะไร”
“อะไรก็ได้ ที่เกี่ยวกับเธอ...เธอเกิดวันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร เรียนจบที่ไหน เธอชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ฉันอยากรู้”
“จะอยากรู้ไปทำไม”
“ฉันอยากรู้จักเธอ ฉันอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเธอ ทุกอย่างที่พ่อคนนึงควรจะรู้”
เพชรแท้หันมามองหน้าธานินทร์ เห็นแววตาคู่เดิมเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก จึงเมินหน้าหนีอีก
ธานินทร์เห็นกระเช้าส้มที่เพชรแท้วางไว้ “เธอไม่ชอบกินส้มเหรอ”
“เปล่า” เพชรแท้ขัดเขินไปหมด จึงตอบห้วนสั้น
“ถ้างั้น เธอจะเอาไปทิ้งเสียทำไมล่ะ ส้มยังดีๆ แท้ๆ”
เพชรแท้รู้สึกดีใจที่ธานินทร์ชอบ แต่ไว้ฟอร์ม “คุณชอบ...ก็เอาไปซี” เลื่อนกระเช้าส้มให้
ธานินทร์ยกขึ้นมาดู “ฉันเอาไปก็ทิ้งเปล่า ๆ
ธานินทร์หมายถึงตัวเองป่วยมาก กินอะไรไม่ค่อยได้แล้ว แต่เพชรแท้ไม่รู้ จึงน้อยใจ
“เรอะ...ถ้างั้นก็ทิ้งไปเลย”
เพชรแท้กระชากกระเช้ามาจากมือธานินทร์ โยนทิ้ง ส้มหกกระจาย ธานินทร์ตกใจ
“เพชร”
เพชรแท้มองธานินทร์ด้วยความน้อยใจ
“ผมก็ไม่รู้ว่าคุณชอบหรือไม่ชอบอะไร ผมไม่รู้จักคุณ เหมือนที่คุณไม่รู้จักผม...ยอมรับซะเถอะ เราเป็นคนไม่เคยรู้จักกัน มันไม่มีประโยชน์หรอกที่จะมาทำดีใส่กันตอนนี้ มันสายไปแล้ว”
เพชรแท้เดินหนีเข้าบ้านไป ธานินทร์อึ้ง มองส้มที่กระจายอยู่บนพื้น
เพชรแท้หนีเข้ามาในบ้านอย่างคับข้องหมองใจ ธานินทร์หยิบส้มที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา เพชรยืนมองอยู่ในบ้าน
สักครู่หนึ่งธานินทร์เดินตามเข้ามาในมือถือส้มที่แตกเละมาด้วย ธานินทร์มองเพชรอย่างเข้าใจ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ส้มนี่...เธอซื้อมาให้ฉันใช่ไหม”
เพชรแท้ไม่ตอบ เมินหน้าหนีไป
“จริงๆ ฉันชอบกินผลไม้มากเลยนะ...น่าเสียดาย หลังๆ นี่ร่างกายของฉันมันไม่ยอมตามใจฉันเอาซะเลย...แต่วันนี้คงต้องยกเว้นซักวัน”
เพชรแท้หันมามอง เห็นธานินทร์พยายามแกะส้มออกมากิน ทั้งๆ ที่กลืนไม่ค่อยจะไหว
“หวานดีนะ” ธานินทร์ฝืนกินส้มต่อไปเรื่อยๆ สีหน้าสุขเหลือแสน
เพชรแท้ทนดูธานินทร์พยายามกินส้มไม่ไหว เข้ามาดึงมือไว้ “หยุดเถอะ ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้”
“ไม่...ฉันอยากกิน ฉันอยากกินส้มนี่ ฉันไม่เคยอยากกินอะไรมากขนาดนี้มาก่อนเลย แค่ได้กินฉันก็มีความสุขแล้ว” ธานินทร์กินส้มต่อ แต่เกิดปวดท้องรุนแรง จนทรุดลง “โอ้ย”
เพชรแท้ตกใจ “คุณ คุณเป็นอะไร”
พรรณีกับพิณทองได้ยินเสียง โผล่พรวดออกมาจากห้อง สองคนตกใจที่เห็นธานินทร์
“คุณธานินทร์”
“ท่าน...ท่านเป็นอะไรคะ”
เพชรแท้ประคองธานินทร์ลุกขึ้นนั่ง ธานินทร์พยายามพูด พรรณีกับพิณทองชะงักอยู่ ห่างออกไป
“ไม่ ไม่เป็นอะไร ฉันแค่...ปวดท้อง”
เพชรแท้สงสารปนโมโห
“คุณกินอะไรไม่ได้แล้วใช่ไหม คุณไม่สบายมากแล้วนี่ แล้วยังจะกินเข้าไปทำไม คุณจะฆ่าตัวตายเหรอ”
ธานินทร์น้ำตาคลอ จับมือเพชรแท้กุมไว้แน่น พูดออกมาอย่างตื้นตัน
“ฉันอยากกินส้มที่ลูกชายของฉันซื้อให้...มันเป็นของขวัญชิ้นแรก และอาจจะเป็นชิ้นสุดท้ายในชีวิต ที่ฉันจะได้รับจากเธอ...ฉันต้องกินส้มนี่ให้ได้ ต่อให้กินแล้วฉันต้องตาย ฉันก็ยอม”
“อย่า...อย่ากินเลย” เพชรแท้ดึงมือธานินทร์ออก
ในที่สุดเพชรแท้ทนใจแข็งต่อไปไม่ไหว กอดธานินทร์เอาไว้ แล้วร้องไห้ออกมา ธานินทร์เองก็ร้องไห้เหมือนกัน
“เพชร เพชรแท้...ให้ฉันเรียกเธอว่าลูกได้ไหม”
เพชรแท้ชะงักลุกเดินหนี ธานินทร์พยายามลุกตาม พรรณีกับพิณทองช่วยประคอง เพชรแท้ยืนหันหลังให้ น้ำตาไหลริน
“พ่อดีใจ ที่เราได้เจอกัน...พ่อรักลูกนะ เพชรแท้”
เพชรแท้หันกลับมา ทรุดตัวลง ร้องไห้โฮอย่างสุดกลั้น
“พ่อ...” ธานินทร์นั่งลงตาม ร้องไห้โฮเช่นกัน สองพ่อลูกกอดกันกลม ธานินทร์ยิ้มทั้งน้ำตา
พรรณี และพิณทองมองภาพตรงหน้า อดร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจไม่ได้
รถแท็กซี่ยังจอดรอธานินทร์อยู่ ทุกคนในบ้านเดินออกมาส่งธานินทร์ เพชรแท้ช่วยประคอง หน้าตาธานินทร์มีความสุขมาก ลูบเนื้อลูบตัวเพชรแท้อย่างรักใคร่ตลอดเวลา พิณทองกับพรรณีอยู่ด้วย เป็นภาพครอบครัวที่ดูมีความสุขมากๆ
“ส่งฉันแค่นี้ก็พอ ไม่ต้องห่วง ฉันกลับเองได้” มองหน้าเพชรแท้อย่างเต็มตื้น “แค่นี้ฉันก็มีความสุขแล้ว” พลางตบไหล่ “ขอบใจมากนะลูก” กอดเพชรแท้แน่น
เพชรแท้ยิ้มให้ขณะที่ธานินทร์ขึ้นแท็กซี่ และแท็กซี่แล่นออกไป
ห่างออกมาไม่ไกลนักในมุมมืด ชนกนันท์แอบซุ่มดูอยู่ในรถ กดมือถือโทร.ออก
“ฮัลโหล คุณแม่คะ นกมีเรื่องจะบอกคุณแม่ค่ะ”
อังคณาอยู่ที่บ้านเลิศชัยวัฒน์ รับสายชนกนันท์ด้วยหน้าตาถมึงทึง โกรธมากกับสิ่งที่ได้ฟัง
“อะไรนะ! พ่อแกไปหามันที่บ้านเชียวเรอะ”
อังคณาโกรธแค้นขึ้นมาทันที
ครู่ต่อมาอังคณาเดินเข้ามาในห้องทำงานธานินทร์ตามลำพัง ยังโกรธกรุ่นๆ อยู่ อังคณาระบายอารมณ์ใส่ข้าวของธานินทร์ จนในที่สุดไปถึงกรอบรูปภาพของธานนิทร์ อังคณาหยิบรูปมามอง รำพึงอย่างแค้น ๆ
“ฉันจะทำยังไงกับคุณดี หือ...ธานินทร์ ฉันจะทำยังไงกับคุณดี”
อังคณาพูดกับรูปของธานินทร์
“คุณบอกว่าตลอดสามสิบปีที่เราอยู่ด้วยกันมา คุณไม่รักฉัน...ไม่เป็นไร” อังคณาแค่นยิ้ม “กระทั่งวาระสุดท้าย ก่อนจะตาย คุณยังใจร้ายกับฉัน...ไม่เป็นไร แต่นี่คุณถึงกับตะกายไปหาเมียเก่า” ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น “คุณคิดจะไปสร้างครอบครัวสุขสันต์ก่อนตายหรือไง ธานินทร์! คุณเห็นฉันเป็นอะไร คิดว่าฉันจะยอมง่าย ๆ งั้นหรือ...ธานินทร์!”
อังคณาขว้างรูปธานินทร์ลงกับพื้น กระจกแตกรอยร้าวกระจายไปทั่วใบหน้าธานินทร์ในรูป ส่วนใบหน้าของอังคณายามนี้โหดเหี้ยม และเลือดเย็น น่ากลัวยิ่งนัก
รุ่งเช้าชนกนันท์ และอังคณากำลังดื่มกาแฟยามเช้าด้วยกัน อังคณาดูนิ่งขรึมกว่าทุกวัน ท่าทางเหมือนใช้ความคิดตริตรองอยู่
ชนะศึกในชุดทำงานเดินเข้ามานั่ง ที่มุมปากยังมีรอยช้ำจากการต่อสู้กับเพชรแท้ น้อยรินกาแฟให้
“ทานอาหารเช้ามั้ยคะพี่ชนะ”
“ไม่ล่ะ กาแฟก็พอ พี่ต้องรีบเข้าไปทำงาน...” ชนะศึกสังเกตุเห็นชนกนันท์แต่งตัวเตรียมไปข้างนอกก็แปลกใจ “แล้วเราล่ะ จะไปไหนรึ”
“ว่าจะไปเยี่ยมคุณพ่อค่ะ”
“ดี ถ้านกไม่มีธุระอะไรล่ะก็ ช่วยอยู่เฝ้าคุณพ่อเอาไว้ด้วย เห็นป่วยหนักอย่างนั้นเถอะ ไว้ใจไม่ค่อยได้” คิดขึ้นมาเริ่มหงุดหงิด “เมื่อคืนก็หนีออกจากโรงพยาบาลกลับมาเกือบสี่ทุ่ม อาการแย่มากเลย...พี่หมอถามก็บอกว่าไปเดินเล่น”
ชนกนันท์มองหน้าอังคณา รู้กันว่าเมื่อคืนธานินทร์หายไปไหนมา
ชนะศึกเห็นสองคนมองสบตากัน ทำหน้าสงสัย ระหว่างนั้นน้อยเดินเข้ามาพอดี
“คุณเรืองโรจน์มาขอพบคุณผู้หญิงค่ะ”
อังคณาลุกขึ้น เรืองโรจน์เดินเข้ามาพอดี ชนะศึกมองเรืองโรจน์อย่างเกลียดชัง
เรืองโรจน์ทักทาย “สวัสดีครับ คุณอังคณา”
“ไปคุยกับฉันข้างล่าง”
อังคณาเดินนำลงไป ชนกนันท์กับชนะศึกมองตาม
ชนะศึกตั้งข้อสังเกต “พี่ว่าวันนี้คุณแม่ดูแปลกๆ ไปนะปกติได้ยินเรื่องคุณพ่อก็อารมณ์เสียขึ้นมาทันที แต่วันนี้ดูคุณแม่เงียบๆ เฉยๆ ยังไงก็ไม่รู้”
ชนะศึกสงสัย ชนกนันท์คิดตาม
บ่วงรัก ตอนที่ 9 (ต่อ)
เรืองโรจน์ถามอังคณาทันทีที่ประตูห้องเต้นรำภายในบ้านเลิศชัยวัฒน์ปิดลง
“คุณผู้หญิงจะให้ผมทำอะไร”
“งานใหม่ สำคัญมาก” อังคณาเน้นคำ
เรืองโรจน์ยิ้มกริ่ม “แปลว่า...ค่าจ้างก็น่าจะสูงกว่าเดิม”
“ฉันไม่เกี่ยง งานเสร็จเมื่อไหร่ แล้วอยากได้อะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ต้องทำให้เรียบร้อย แนบเนียนที่สุด”
“คนอย่างผม ไว้ใจได้อยู่แล้ว” เรืองโรจน์คุยโอ่
“เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเรา เรารู้กันสองคน จะให้ใครรู้ไม่ได้เป็นอันขาด...โดยเฉพาะลูก ๆ ของฉัน”
เรืองโรจน์ยิ้มร้ายพยักหน้ารับคำ ขณะอังคณาหน้าตาเหี้ยมเกรียมดวงตาวาวโรจน์
ที่หน้าปากซอยบ้านพรรณีเช้านั้น พรรณีพาพิณทองไปทำงานด้วย เพชรแท้ช่วยหิ้วถุงใส่ชุดหลายใบและสะพายเป้ใส่ปืนของเขามาด้วย เพชรแท้ช่วยยกถุงขึ้นแท็กซี่ไปจนหมดแล้ว
“ขอบใจมากจ้ะ...แล้วนี่เดี๋ยวเพชรไปไหน” พรรณีสงสัย
“เพชรจะไปหาไอ้สมภพ” เพชรแท้พูดพลางตบเป้ “จะเอาของไปคืนมัน แล้วก็ไปถามเรื่องงานหน่อย”
“แล้วพี่เพชรจะไปหาท่านอีกมั้ย”
เพชรแท้อึ้งไปนิดหนึ่ง
“มีอะไรเหรอ เพชร”
“เพชรก็อยากไปนะแม่ แต่เพชรไม่อยากเจอพวกนั้น พวกบ้านของ...” เพชรแท้ออกอาการเก้อๆ เขินๆ นิดหนึ่งขณะพูดประโยคต่อมา “...พ่อเขาน่ะ”
“แม่เข้าใจ แต่คุณธานินทร์ป่วยมาก เขามาหาเพชรไม่ได้ เพชรก็ควรจะไป...นึกว่าเห็นแก่เขานะลูก”
“จ้ะ...เพชรจะลองดู”
พรรณีกับพิณทองขึ้นรถ เห็นรถแล่นออกไป
เพชรเดินออกมาที่ป้ายรถเมล์แล้ว ใจยังครุ่นคิดเรื่องที่พรรณีพูด เพชรปลดกระเป๋าเป้วางไว้บนตัก
จู่ๆ ชาย 2 คนท่าทางมีพิรุธ เดินตรงเข้ามาที่ป้ายรถเมล์ เหล่มองกระเป๋าเป้เพชรแท้ และทำทีเป็นรอรถ ทันใดนั้นชายคนหนึ่งก็เข้ามากระชากเป้ของเพชรแท้ทันที และวิ่งหนีไป
เพชรแท้ตกใจร้องลั่น “เฮ้ย...”
เพชรแท้วิ่งตาม แต่ถูกชายอีกคนหนึ่งยืนขวางทางเพื่อถ่วงเวลา เพชรแท้ชนชายคนนั้นจนมันเซไป แล้ววิ่งตามคนที่กระชากกระเป๋าเป้ไป
ชายคนนั้นวิ่งหนีไปอย่างว่องไว เพชรแท้วิ่งตามไปอีกครู่หนึ่ง ชายคนนั้นวิ่งเลี้ยวตรงมุมถนน เพชรแท้วิ่งเลี้ยวตามไล่กวดมาติดๆ จนสามารถดึงกระเป๋าเป้ไว้ได้ แต่ชายคนนั้นสะบัดเพชรแท้จนหลุดออก และวิ่งหนีเข้าไปที่ตึกร้างใกล้ๆ
ชายคนนั้นวิ่งเข้ามาแล้วแอบหลบอยู่ที่มุมหนึ่งลับตา เพชรแท้วิ่งตามมา แต่ไม่ได้มอง เลยวิ่งเลยไป เพชรแท้มองซ้ายมองขวา ไม่เห็นวี่แววของชายคนนั้นแล้ว รู้สึกโมโหมาก
ชายคนนั้น แอบอยู่ที่มุมตึกที่เดิม เปิดกระเป๋าเป้ดู เห็นว่ามีปืนอยู่ ก็ยิ้มอย่างพอใจ
สองสาวนั่งอยู่ในร้านอาหารตามสั่ง พิณทองกับผึ้งกำลังนั่งกินข้าวกลางวัน บนโต๊ะมีข้าวกล่องวางอยู่ 1 ถุง พิณทองนั่งเหม่อ กินอะไรไม่ลง
“ตกลงอีตาเศรษฐีนั่นยังตามราวีเธออยู่อีกหรือเปล่า” ผึ้งเอ่ยขึ้น...หมายถึงชนะศึก
“เปล่า...เขาไม่มาอีกเลย”
ผึ้งมองพิณทองอย่างจับอาการ “ทำไมทำหน้ายังงั้น เสียใจที่เขาไม่มาหรือยังไง”
“บ้า...คนพรรค์นั้น มาทีไรก็มีแต่ทำให้คนอื่นเขาเจ็บช้ำน้ำใจ เขาไม่มาก็ดีแล้วล่ะ เขากับฉันยังไงมันก็ไปกันไม่ได้อยู่แล้ว ฉันควรจะเชื่อแม่กับพี่เพชรตั้งแต่แรก”
ผึ้งมองพิณทองอย่างเข้าใจความรู้สึก
“แต่มันก็หักใจไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
พิณทองถอนหายใจ “ฉันรู้นะผึ้งว่าเขาเป็นคนใจร้าย ฉันรู้ทุกอย่าง...ขอแค่ไม่เห็นกันซักวัน ฉันก็ทำใจได้เองแหละ” พิณทองดื่มน้ำ พูดตัดบท “กินอิ่มแล้วรีบไปกันเถอะ” แล้วคว้าถุงข้าว “แม่ฝากซื้อป่านนี้รอแย่แล้ว อย่าเสียเวลาพูดเรื่องคนอื่นเลย”
พิณทองลุกไป ผึ้งลุกตาม
ชนกนันท์ขับรถคุยกับโสภิตามาด้วย โสภิตารู้เรื่องเพชรแท้ ก็แปลกใจ
“ตกลงว่านายคนนั้นเขาเป็นลูกของพ่อเธอจริงๆ เหรอ”
ชนกนันท์ตอบเชิดๆ “ก็คงงั้น...ไม่งั้นพ่อฉันจะไปยกมรดกให้มันทำไม”
โสภิตาขำหัวเราะคิกคัก “ถ้าจริงก็เท่ากับว่านายนั้นเขาเป็นพี่ชายของเธอน่ะสิ”
ชนกนันท์ฉุนตีแขนโสภิตาดังเผียะ ไม่พอใจมาก
“นี่หยุดเลยนะ งั้นฉันโกรธเธอจริงๆ ด้วย ฉัน...ชนกนันท์ เลิศชัยวัฒน์...ไม่มีทางนับญาติกับไอ้เศษสวะอย่างนั้น อย่ามาเรียกมันว่าเป็นพี่ฉันอีกเป็นอันขาด”
“โอเคๆ โทษที” โสภิตาคลำแขนป้อยๆ เจ็บไม่น้อย “มือหนักชะมัด”
รถชนกนันท์เลี้ยวเข้ามาในมาสเตอร์ สปอร์ตคลับ แล้วจอดที่ด้านหน้าตึก จังหวะนั้นโสภิตาเห็นเพชรแท้กำลังยืนคุยอยู่กับสมภพ ก็ตกใจ
“อุ๊ย! นัดกันมาหรือเปล่าเนี่ย”
“อะไรของเธอ” ชนกนันท์งวยงง
“ก็พี่ชายสุดที่รักของเธอไง”
ชนกนันท์มองตามโสภิตา พอเห็นเพชรแท้ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แววตาวาววับ
ชนกนันท์รีบบอกโสภิตา “ลงไปก่อน เดี๋ยวฉันหาที่จอดรถเอง”
โสภิตาลงจากรถไป ชนกนันท์มองเพชรแท้ด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย
เพชรแท้เสร็จธุระแล้ว กำลังล่ำลาสมภพ และขอโทษเรื่องปืนโดยคิดแค่ว่าเป็นการฉกชิงวิ่งราวธรรมดา
“ขอโทษอีกทีนะโว้ยเรื่องปืนน่ะ ซวยจริง ๆ มันเชิดเอาไปทั้งกระเป๋าเลย เอาไว้กูมีงาน หาตังค์ได้ แล้วกูจะซื้อมาใช้ให้”
“เฮ้ยไม่เป็นไร เรื่องงานน่ะ พี่เกียรติเขาบอกว่าเขาจะช่วยๆ ดูที่อื่นให้ อย่างเป็นโค้ชสอนเด็กตามสระแบบนั้นน่ะเอาไหม”
“อะไรก็ได้ กูอยากทำงานหาเงินให้เร็วที่สุด สงสารแม่กับพิณ...ไปละ” เพชรแท้เดินออกมา
สมภพเรียกไว้ “เออ...เพชร” ส่งมือถือให้ “เอานี่ไป เผื่อมีงานจะได้เรียกตัวกันได้ แล้วอย่าทำหายอีกล่ะ”
“ขอบใจมากเพื่อน”
จากนั้นเพชรแท้ก็แยกจากสมภพเดินมาคนเดียว
เพชรแท้เดินออกมาช้าๆ ทันใดนั้นเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม พร้อมๆ กับที่รถคันหนึ่งพุ่งเข้าหาเพชรแท้ทางด้านหลังด้วยความเร็วสูง
เพชรแท้ได้ยินเสียง หันไปดู จังหวะที่รถยนต์คันนั้นกำลังพุ่งมาหาเขา ระยะห่างไปไม่เกินสามเมตรแล้ว เพชรแท้ตกใจมากร้องลั่น
“เฮ้ย!”
ไวเท่าความคิด เพชรแท้กระโดดหลบเข้าข้างทางได้อย่างหวุดหวิด
ชนกนันท์ขับรถเลี้ยวตาม ตั้งใจจะพุ่งชนเพชรให้ได้ เพชรวิ่งหนีอุตลุดอยู่ในลานจอดรถ ชนกนันท์ขับไล่จี้
เพชรแท้หลบหลีกพัลวันพลางตะโกนด่า “อะไรกันวะ! บ้าไปแล้วหรือยังไง”
ชนกนันท์หัวเราะลั่นสะใจอยู่ในรถ
เพชรแท้หลบรถได้ ยืนนิ่งเพ่งมองดูคนขับ เมื่อเห็นว่าเป็นชนกนันท์ก็ยิ่งแค้น
“หนีเข้าไป นึกเรอะว่าจะรอด” ชนกนันท์คำรามในลำคอ
ชนกนันท์ขับรถพุ่งเข้ามากะจะชนเพชรแท้ ทว่าเพชรกลิ้งตัวหลบได้อย่างเฉียดฉิว
“เฮ้ย!”
ชนกนันท์ตกใจ เบรครถกึกนึกว่าชนถูกเพชรแท้ พอชนกนันท์เปิดประตูรถลงมาดู มองใต้ท้องรถไม่เห็น พอจะหันตัวกลับขึ้นรถ ก็เจอเพชรแท้ยืนอยู่ในระยะประชิดมองหน้านิ่งสีหน้าแค้นจัดและเอาเรื่อง สาวขาวีนตกตะลึง เพชรแท้เข้าไปกระชากตัวชนกนันท์ กดตัวลงกับรถ
“ปล่อยนะ แกจะทำอะไรฉัน”
“จะทำอะไรดีล่ะ กับคนที่มันคิดจะขับรถชนฉันให้ตาย ฉันควรจะทำอะไรมันดีมันถึงจะสาสม” บีบคอชนกนันท์ขู่เล่น “ฆ่าซะดีไหม”
ชนกนันท์กลัวแต่ยังปากดี “เอามือสกปรกของแกออกไปจากตัวฉันนะ ไม่งั้น ฉันจะ...”
พูดเท่านั้นชนกนันท์ก็เหยียบเท้าเพชรแท้สุดแรง เพชรแท้เจ็บจึงยอมปล่อย
พอเป็นอิสระชนกนันท์รีบหนีขึ้นรถ ปิดประตู แต่เพชรแท้ตามขึ้นไปนั่งเบาะหลังคนขับ เอื้อมมือไปใช้สายเซฟตี้เบลท์รัดคอนก
“จะหนีไปไหน”
“แกทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
เพชรแท้ตวาดเยาะเย้ย “ลืมไปแล้วเรอะว่าฉันเป็นใคร ฉันเป็นลูกชายคนโตของคุณธานินทร์ เลิศชัยวัฒน์ นะครับ หรือถ้าจะพูดให้ถูก ฉันเป็นพี่ชายของแก”
“ไม่! ฉันไม่ยอมนับคนอย่างแกเป็นพี่”
“ต้องยอม! เรียกฉันว่าพี่เดี๋ยวนี้”
“ไอ้บ้า!”
“เรียกฉันว่าพี่!”
ชนกนันท์ด่ารัวเร็ว “ไอ้เลว ไอ้เดนนรก ไอ้เศษขยะ ไอ้หมาวัด...ไอ้....”
เพชรแท้รัดคอชนกนันท์แรงขึ้นอีก แล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มที่จุดบุหรี่ในรถ
ชนกนันท์ตกใจกลัว “แกจะทำอะไรฉัน”
“ก็จะทำให้หน้าสวยๆ นี่กลายเป็นรอยไหม้ทุเรศไปทั้งหน้า ให้มันสาสมกับจิตใจเลวๆ ของแก แกคิดว่าแกจะทนได้ไหม”
ว่าแล้วเพชรแท้ก็หยิบที่จุดบุหรี่ร้อนๆ ขึ้นมาชูตรงหน้า ชนกนันท์หน้าซีดเป็นกระดาษ เพชรแท้ค่อยๆ จ่อเข้าไปใกล้หน้าชนกนันท์อีก จนในที่สุดชนกนันท์ทนไม่ไหวร้องกรี๊ด
“อย่า อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวแล้ว”
คุณหนูขาวีนร้องไห้โฮด้วยความกลัว เพชรแท้ตะคอก
“เรียกฉันว่าพี่”
ชนกนันท์ร้องไห้สะอึกสะอื้น “พี่...พี่...”
“พี่ชื่ออะไร”
“พี่เพชร พี่เพชรแท้”
“ไม่ได้ยิน ดังๆ” เพชรแท้ตะคอก
ชนกนันท์ตะโกนเสียงดัง “พี่เพชรแท้”
จากนั้นชนกนันท์ก็ร้องไห้โฮอย่างหมดฤทธิ์ เพชรแท้คลายมือออก แล้วยิ้มเยาะ
“ก็แค่นี้...แต่จำไว้นะ ถึงเราจะมีพ่อคนเดียวกัน ฉันก็ไม่เคยคิดจะมีน้องเลวๆ อย่างพวกแก...ฉันไม่คิดจะนับญาติกับพวกแกทั้งนั้น จำเอาไว้!”
เพชรแท้ลงจากรถไปปิดประตูรถดังปัง ชนกนันท์ซบหน้าร้องไห้กับพวงมาลัยรถทั้งเจ็บทั้งอาฆาตแค้น
โปรดติดตาม "บ่วงรัก" ตอนที่ 10