ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 5
ปลายฟ้านึกถึงเหตุการณ์ในอดีต วันที่ไทให้สายเชลโล่เธอ วันนั้นไทยืนมองแม่น้ำบนสะพานข้ามแม่น้ำแคว ปลายฟ้าเดินเข้ามาหา
“นายจะไปไหน”
“ฉันยังไม่รู้เลย” ปลายฟ้านิ่งไป “แต่มันต้องไป บางทีฉันอาจจะเจอจุดหมายของฉันก็ได้”
“ฉันเข้าใจ ทุกคนต้องมีจุดหมาย ต่างกันที่ว่า ใครจะอยู่ใกล้หรือไกล ฉันขอให้นายโชคดีนะ”
“เธอด้วย เอ้า”
ไทยื่นซองสายเชลโล่ชุดใหม่ให้ปลายฟ้า ปลายฟ้ารับไปดู
“สายเชลโล่”
“เธอต้องใช้มันพาไปสู่จุดหมาย”
ปลายฟ้ารู้สึกดี
“ขอบใจนะ ฉันต้องไปแล้วล่ะ โชคดีนะ” ปลายฟ้ายิ้มสดใส แล้ววิ่งจากมาเธอหยุด ไทหันมามองเธอ “สู้เขานะ”
ปลายฟ้าวิ่งจากไป ไทมองตามยิ้มๆ รู้สึกชอบความสดใสและติงต๊องปลายฟ้า
ปลายฟ้าอมยิ้มกับเรื่องราวในอดีต
“มันยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องใช้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร ฉันไปเบิกหัวหน้าก็ได้”
ปลายฟ้าเก็บกระเป๋าข้าวของต่างเตรียมไปทำงาน ในใจนึกถึงไท
ช่วงสายวันเดียวกันนั้น บุ๊นเดินดูท่าเรือที่เป็นกิจการของเขาไปเรื่อยๆ อาฮวดเดินตาม ผู้จัดการคอยรายงานและตอบคำถามบุ๊น
“นี่หรือท่าที่เราจะเช่าขยายเพิ่ม”
“ครับ ผมเสนอราคากับเงื่อนไขให้การท่าเรือเขาไปแล้วคิดว่าไม่มีปัญหาครับ”
“ดี จะได้เพิ่มระวางมากขึ้น ท่านี้เอาเป็นส่วนส่งออก แล้วเพิ่มคอนเทรนเนอร์ด้วยนะ”
“ครับ”
“อืม ไปทำงานเถอะไป ฉันไม่มีอะไรแล้ว” ผู้จัดการเดินจากไป บุ๊นบอกอาฮวด “โทรตามตาพีทมากินข้าวเย็นที่บ้านด้วย”
“ผมว่าผมไปตามให้ดีกว่า”
บุ๊นมองอาฮวด
“ตามใจ”
บุ๊นพูดจบแล้วเดินจากไป อาฮวดมีสีหน้าคิดนิดแล้วเดินตามไป
ส่วนที่สวนสัตว์ ไทนั่งลูบแมวน้ำแล้วให้อาหารมันอย่างเหงาๆ เมื่อคิดถึงเรื่องที่อาจจะต้องจากมันไป
“พวกแกจะเป็นยังไงบ้างนะ”
แมวน้ำทำท่าน่ารักแบบไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของมันจะเป็นยังไง ปลายฟ้าเข้ามาอย่างหน้าตื่นเพราะว่าสายแล้ว แล้วทำเป็นเร่งจะไปเปลี่ยนชุดฝึกซ้อมแมวน้ำ
“โทษทีหัวหน้า สายไปหน่อย มา มา ซ้อมกันเลยฉันไปเปลี่ยนชุดนะ”
ปลายฟ้ามีท่าทางกระตือรือร้นทำท่าจะวิ่งไปเปลี่ยนชุด แต่ไทนิ่งแล้วพยักหน้าแทนที่จะต่อว่าหรือเหน็บแนม
“อืม”
ปลายฟ้าวิ่งไปแล้วแต่ต้องถอยหลังกลับมาสีหน้าฉงน
“ไม่สบายหรือเปล่า ปวดหัว ปวดท้อง ปวดใจ อกหักแล้วหรือ”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“ไม่จริง ไม่อย่างนั้นหัวหน้าต้องเหน็บแนม ประชด ประชัน เย้ยหยัน และต้องขู่ว่าจะหาพนักงานใหม่”
ปลายฟ้าเล่นเป็นชุด ไทหัวเราะเบาๆ แล้วต่อล้อต่อเถียง
“นี่ฉันร้ายขนาดนั้นเลยหรือ”
“เปิดวงจรปิดดูไหม”
ไทส่ายหน้าแล้วคิดว่าจะบอกเรื่องนี้กับปลายฟ้าดีหรือเปล่า
“ไม่มีอะไรหรอก ไปกันดีกว่า”
ปลายฟ้าไปเปลี่ยนชุดด้วยท่าทางร่าเริง
ทางด้านแป้งเมื่อมาถึงที่ทำงานเธอรีบเข้ามาทางหลังร้านแล้วคว้าผ้ากันเปื้อนมาสวมแล้วจะเริ่มทำงาน เพื่อนร่วมงานกำลังจะเตรียมเอาครัวซองแซนวิชใส่จานเพื่อเอาไปเสิร์ฟ แป้งถามไปเรื่อยเปื่อย
“ใครสั่งครัวซองแต่เช้าเลย”
“โน่น มารอตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด”
แป้งยังก้มหน้าก้มตา เพื่อนกำลังจะยกจานครัวซองออกไป แป้งลองมองออกไปดูหน้าไอ้หมอนั่นแล้วต้องปากอ้า ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อเห็นพีทนั่งจิบกาแฟอยู่
“เฮ้ย คุณพีท มาฉันเอาไปเอง”
แป้งรีบแย่งจานออกไป
จานครัวซองถูกวางลงข้างหน้าพีท พีทอ่านหนังสืออยู่แล้วถามแบบไม่มองหน้า
“คุณแป้งมาหรือยังครับ”
แป้งใจตกไปที่ตาตุ่มแล้ววิ่งขึ้นมาขึ้นสมองเลือดฉีดซ่านด้วยความตื่นเต้นดีใจแล้วส่งเสียงอย่างดัดจริต
“แป้งเองค่ะ”
“อ้าวคุณแป้ง เมื่อคืนเป็นยังไงบ้างครับ”
“ก็มึนนิดหน่อยค่ะ”
พีททำหน้าเบ้แล้วแอบพูดเบาๆ
“มึนหรือ ยายซกมกเอ๊ย เอ่อ แล้วเพื่อนคุณล่ะครับ”
“ก็ดีค่ะ”
“เขาทำงานที่ไหนหรือครับ”
แป้งนึกถึงคำพูดปลายฟ้า
“โอ๊ย ยายคนนี้ทำงานไม่เป็นที่หรอกค่ะ แบบว่าไม่เป็นหลักแหล่ง”
“เหรอครับ เอ ผมขอเบอร์มือถือคุณแป้งได้ไหมครับ เอ่อ แล้วก็เพื่อนคุณด้วยก็ได้”
“เอ่อ ได้ค่ะ แต่ของยายฟ้าเอ่อ ไม่มีค่ะ”
พีทกำลังจะถามต่อ แต่พลันสายตาเหลือบไปเห็นอาฮวดยืนที่หน้าร้านมีลูกน้องอาฮวดอีกสองคนยืนประกบ พีทมีสีหน้าสงสัย
“ไม่เป็นไรครับ คุณไปทำงานเถอะครับ”
พีทบอกแป้งแล้วจ้องไปที่อาฮวด
รถเก๋งคันหรูของโอตี่เลี้ยวเข้ามาในโกดังเก็บสินค้า มีคนติดตามและเบ็ตตี้มาด้วย รถจอดสนิทโอตี่ก้าวลงมาตามด้วยคนติดตาม พี่ฮุยกับลูกน้องออกมาต้อนรับ
“พี่โอคงใจร้อน มาแต่เช้าเลย”
โอตี่ไม่ตอบแล้วถามแบบใจร้อน
“ของฉันอยู่ไหน”
“อยู่นี่ครับ ผมไปเอามาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” พี่ฮุยเดินนำโอตี่มาที่โต๊ะตัวใหญ่กลางโกดัง เมื่อมาถึงโต๊ะมีลังกระดาษบรรจุของแช่แข็งบางอย่าง “นี่ครับ”
โอตี่พยักหน้าให้ลูกน้องแกะออกแล้วเอาแช่น้ำเห็นเป็นเครื่องในวัว
“นี่มันเครื่องในวัวนี่”
“เดี๋ยวมันจะกลายเป็นทองคำขาว”
โอตี่บอก พี่ฮุยมีสีหน้าแปลกใจ
สักพักลูกน้องเอาผ้าขี้ริ้วที่แช่น้ำแล้วยกขึ้นมาเห็นว่ามียาโคเคนบรรจุถุงพลาสติกอย่างดี เขาเอามันโยนลงบนโต๊ะ
“นี่มัน...”
“โคเคน”
โอตี่เพยิดหน้าให้เบ็ตตี้กับพี่ฮุยลองชิม เบ็ตตี้เอามีดพับเจาะถุงแล้วชิม
“ใช่ ใช่เลย ของดีชั้นเยี่ยม”
“จริงด้วย พี่โอคิดได้ไงเนี่ย”
“เครื่องในวัวพวกนี้ พวกฝรั่งแถวออสเตเรีย และอเมริกากลางมันไม่กินกัน คนไทยก็สั่งเข้ามาฉันเลยถือโอกาสให้พวกมันทดลองยัดใส่คอนเทรนเนอร์ปนๆ กันมาค้นยังไงก็ไม่เจอ ดมยังไงก็ไม่ได้กลิ่น รสชาติดีเหมือนเดิม งวดหน้าจะมาเต็มพิกัด”
“ผมจองไว้สองตู้ ผมเจรจากับไอ้พีทหน้าโง่เมื่อวันก่อนแล้ว”
“ดี แล้วของเอามาจากท่าเรือหมดหรือยัง”
“หมดแล้วครับพี่โอ”
“เอาพวกนี้ไปเปิดตลาดบอกว่าเป็นโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1” โอตี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ในใจนึกหยามพีท “ไอ้สวะพีทเอ๊ย”
เจียงอาบน้ำเสร็จ สวมเสื้อคลุมแล้วมานั่งจิบกาแฟที่โซฟา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นลูกน้องที่อยู่อีกห้องเอาเข้ามาให้แล้วรายงาน
“เสี่ยมังกรครับ”
เจียงนึกสงสัยและระวังตัวก่อนจะรับสายมังกร
“เจียงพูด”
“อรุณสวัสดีครับคุณเจียง สบายดีนะครับ”
“ยังสบายดีอยู่ คุณมังกรมีอะไรหรือ”
“ดีใจ ที่ได้ยินคุณพูดอย่างนั้น”
“ผมว่าเราอย่ามาเสียเวลาเลย บอกธุระของคุณมาดีกว่า”
“ผมพอรู้มาว่าพี่ใหญ่ไม่ได้ตั้งใจขายโรงแรม”
“คุณรู้ได้ยังไง”
เจียงมีสีหน้าแปลกใจแต่คุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ
“คนของผมบอกว่า พี่ใหญ่ได้พูดคุยกับสองพี่น้องเอียนกับรอยหลายครั้งแล้ว”
“พี่บุ๊นเขากำลังจะทำอะไรกับโรงแรมอย่างนั้นหรือ”
“ผมไม่ทราบ ผมยอมรับกับคุณเจียงตรงๆ นะว่าในตอนแรกผมก็อยากได้และคิดว่าจะปั่นราคามาขายต่อ แต่...”
เจียงเข้าใจแล้วพูดแทรกเข้ามาอย่างใจร้อน
“ผมนึกอยู่แล้วว่าพี่บุ๊นไม่ได้จริงใจที่จะขาย แล้วคุณมาบอกผมทำไม”
“คนมันหัวอกเดียวกัน ก็แค่ส่งข่าวให้กันไม่มีอะไรหรอก”
“แต่ผมอาจจะเจรจากับพี่บุ๊นดูอีกสักครั้ง”
มังกรยิ้ม ในใจลิงโลดเพราะเจียงติดกับแล้ว
หลังจากวางหูจากมังกร เจียงยืนมองทะเลสีหน้าครุ่นคิดแล้วรำพึงออกมา
“ที่แท้มันก็เคาะกะลาให้หมาดีใจ ทำเป็นบอกขายเพื่อให้ไอ้ฝรั่งนั่นเห็นว่ามีคนสนใจ คงดึงราคาได้อีกเยอะสินะแต่ดึงไปก็เท่านั้น” เจียงหันไปถามลูกน้อง “พี่น้องที่ให้รวบรวมไปถึงไหนแล้ว”
“พร้อมแล้วครับ”
“ดี” เจียงพยักหน้า
นันณภัสนั่งทำงานอยู่ในห้องท่าทางเคร่งเครียด สักพักเลขาเข้ามาบอก
“พวกผู้บริหารของธนาคารมารอที่ห้องประชุมแล้วค่ะ”
“โอเค เอกสารที่ให้เตรียมพร้อมไหม”
“พร้อมแล้วค่ะ ฝ่ายวิเคราะห์สินเชื่อของเราเตรียมไว้ที่ห้องประชุมแล้วค่ะ”
นันณภัสเก็บเอกสาร แล้วรีบออกไปนอกห้อง เรียวรออยู่ที่หน้าห้อง ทำเหมือนกับว่าจะไปด้วย
“ฉันไปประชุม”
เรียวรับรู้ ลิลลี่เดินเข้ามาหาท่าทางสดชื่น
“เจ๊พัด”
“ลิลลี่ พี่รีบจ้ะ เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ”
นันณภัสรีบเดินไปที่ห้องประชุมทันที
“อ้าว” ลิลลี่หันมามองเรียว “นายเรียวนายไม่ใส่ไทด์ที่ฉันซื้อให้หรอกหรือ”
“ขอโทษครับ ผมว่ามันแพงเกินไปไม่เหมาะกับผมหรอกครับ”
“เหมาะไม่เหมาะ นายว่าขึ้นอยู่กับอะไร คนที่ให้หรือตำแหน่งหรือฐานะหรือ...นายรู้จักคำว่าน้ำใจบ้างไหม”
ลิลลี่ยิ้มให้เรียวแล้วเดินจากไปพร้อมพูดไปด้วย “พรุ่งนี้ใส่มานะ”
เรียวมองตามลิลลี่อย่างไม่เข้าใจ
ที่สวนสัตว์ ไทเดินมาดูบริเวณกรงนกเพื่อเอาอาหารมาให้และดูจุดต่างๆ ที่ต้องซ่อมบำรุง ปลายฟ้าลากอุปกรณ์ต่างๆ เดินตามมาท่าทางเหนื่อย
“เอาของวางไว้ตรงนี้แหละ “ ไทตรงไปดูตาข่ายข้างๆ มันชำรุดเล็กน้อยแล้วบอกปลายฟ้า “เชื่อมเป็นรึเปล่า”
ปลายฟ้ากำลังดื่มน้ำแก้กระหายแล้วยอกย้อน
“สอนสิสอน ถ้าไม่สอนแล้วจะเป็นมั้ย”
“มานี่เลย ก่อนอื่นก็เอาสาย ไว้ที่เหล็ก หลังจากนั้นก็เอาหัวอ็อกคีบลวดเชื่อมแล้วก็จี้ให้เหล็กมันติดๆ กัน”
“ครับผม”
ปลายฟ้าลงมือทำไท อยู่ไม่ห่างกันนัก เขามองไปรอบๆ ท่าทางสลดใจที่บางทีอาจจะต้องจากพวกมันไป ปลายฟ้าหันมาแซว
“คิดถึงแฟนหรือไง”
“แฟนอะไร”
“อ้าว แหม ทำเป็นลืม เดินชมนกชมไม้กะหนุงกะหนิงกัน หัวเราะต่อกระซิก ระริกระรี้”
ปลายฟ้าทำท่าและน้ำเสียงล้อ
“พอ พอ จะบ้าเหรอ ฟงแฟนที่ไหน ทำงานไป”
“ไปก็ได้ เขินอะเด่ะ” ปลายฟ้าเราะ “เออ นี่หัวหน้าฉันขอเบิกเงินพี่ธงก่อนสักพันนึงได้ไหม จะเอาไปทำเชลโล่น่ะ จะเริ่มซ้อมแล้ว ปีนี้กะจะเอาให้ได้”
ไทอึกอักใจถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแต่เก็บอาการเอาไว้
“โธ่ เงินแค่พันเดียว ไม่ต้องไปรบกวนพี่ธงหรอก เอาที่ฉันก็ได้ เอ้อ”
ไทล้วงกระเป๋าสตางค์แล้วหยิบเงินให้
“หัวหน้าใจดีจัง ขอบใจนะ แหมทำงานที่นี่ดีจังเลย มีเอทีเอ็มเคลื่อนที่ด้วย อย่างนี้รักกันตาย”
ปลายฟ้าเก็บเงินใส่กระเป๋าท่าทางดีใจ แล้วทำงานต่อไปไทมองปลายฟ้าอย่างเอ็นดูแต่ในใจเศร้า ไม่รู้ว่าต่อไปปลายฟ้าจะไปทำงานอะไร
ฉัตรนั่งรถที่คู่หูขับไปตามถนนทั้งคู่ตั้งใจจะไปหาเจียง ฉัตรอ่านประวัติเจียงในแฟ้ม
“เจียง ป้า หวัง นักธุรกิจใหญ่ ในเซี่ยงไฮ้ ถือสองสัญชาติซะด้วย แม่เป็นไทย พ่อเป็นจีน อดีตเจ้าของโรงแรม เลคกาซี่ ภายหลังถูกซื้อกิจการไป ให้แกทายว่าใครซื้อไป”
“ป้าผมซื้อไปมั้ง โธ่ ใครจะไปรู้ไม่ใช่คนในวงการ ถามผมว่าใครจะโดนย้ายบ้างสิ พอจะเดาได้บ้าง”
“นายบุ๊น”
“ไม่เห็นแปลก คนมีเงินก็ซื้อได้”
ฉัตรไม่ฟังคู่หู แต่กำลังคิดอะไรบางอย่าง
โจนั่งดูลิสรายชื่อลูกค้าและสินค้าอยู่บนโต๊ะทำงาน พีทเดินเข้ามาท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยจะดี
“เช็ดรถให้หน่อยดิ”
“ว่าไงพ่อรูปหล่อ เด็ดดอกฟ้าของแกได้หรือยัง” โจแซว
“ทำงานไปเลย คนยิ่งเซ็งๆ อยู่”
“เรื่องหัวใจหรือ”
“เปล่า เย็นนี้ป๊าให้ไปกินข้าวเย็นด้วย”
โจก้มหน้าก้มตาทำงานแล้วคุยไปด้วย
“ก็ดีแล้วไง กินข้าวกับครอบครัวเสียบ้าง ครอบครัวจะได้ดูอบอุ่น แกยิ่งเป็นเด็กขาดความอบอุ่นอยู่ไม่ใช่หรือ”
“แกรู้ได้ไง”
“ก็เห็นแกโหยหาความรักไปเรื่อยนี่”
พีทยิ้มได้กับประโยคนี้แล้วนึกถึงปลายฟ้า
“เออ กินกับครอบครัวน่ะมันก็ดีแต่ ป๊าฉันน่ะสิ ช่างมันเถอะ”
“ฉันเพิ่งรู้มาจากแก๊งค์ลูกเต๋าว่า ไอ้โอตี่เพื่อนรักเพื่อนแค้นของแกน่ะ เป็นแบล็คให้แก๊งค์พี่ฮุย” โจบอก พีททำหน้าเยาะพี่ฉุย
“นึกอยู่แล้วว่าคนอย่างมันจะมีปัญญาอะไร”
“ของล๊อตแรกที่มันสั่งมากับคอนเทรนเนอร์เรามาแล้วนะ มันเช็กเอาท์ไปแล้ว”
“มันสั่งอะไรเข้ามานะ”
“เครื่องในวัว” พีทมีสีหน้าประหลาดใจ
“เครื่องในวัวนี่นะ มันจะเปิดร้านลาบหรือไงวะ”
ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 5 (ต่อ)
นันณภัสเดินออกมาจากห้องประชุมพร้อมกับเจ้าหน้าที่ธนาคาร ตามด้วยเลขา ทั้งหมดหยุดคุยกัน
“โครงการน่าสนใจมากครับ ผมคิดว่าบอร์ดของเราน่าจะอนุมัติ ว่าแต่วงเงินที่จะขอกู้น่ะพอหรือครับ เพิ่มวงเงินเผื่อไว้อีกก็ได้นะครับ”
“ตอนนี่ที่ประชุมหุ้นส่วนเห็นว่าเท่านี้ก็พอแล้วค่ะ แต่ในอนาคตอาจจะได้ใช้บริการกันอีก”
“ครับ ผมชอบคอมเพล็กซ์นี้นะครับยังไงจะช่วยพรีเซนต์กับบอร์ดให้เต็มที่ แหมคิดได้ยังไงเอาสวนนกมาไว้ในห้าง ไอเดียดีมาเลย”
“ก็เพราะนกนี่แหละค่ะ ยุ่งกว่าอะไรอีก นี่กำลังติดต่อหาที่ซื้ออยู่เลย”
เจ้าหน้าที่ธนาคารแนะนำ
“ตามสวนสัตว์ก็น่าจะมีนะครับ แต่เอผมได้ยินมาว่าตอนนี้จะมีทุนต่างชาติกำลังจะเข้ามาเทคโอเวอร์สวนสัตว์”
นันณภัสรู้สึกตกใจ เธอไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย
“เหรอคะ ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะคะ”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ”
“งั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” นันณภัสหันไปบอกเลขา “ช่วยส่งแทนด้วยนะ”
“ค่ะ”
นันณภัสเดินกลับห้อง ในใจคิดเรื่องสวนสัตว์แต่ไม่ได้กังวลอะไรมาก
ฉัตรกับคู่หูเดินเข้ามาในสปอร์ตคลับของโอตี่ แล้ววางมาดที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ บรรยากาศภายในทำให้คู่หูจรรโลงใจ โดนเฉพาะเมื่อสาวเสิร์ฟเดินผ่าน ฉัตรสอบถามบาร์เทนเดอร์
“คุณโอตี่อยู่ไหม”
“นัดไว้หรือเปล่า”
“นัดสิ นี่ไงใบนัด”
ฉัตรเผยตราตำรวจให้ดู บาร์เทนเดอร์เข้าใจ
“รอเดี๋ยว”
บาร์เทนเดอร์จากไป คู่หูสั่งเครื่องดื่มโดยพลการกับบาร์เทนเดอร์อีกคนหนึ่ง
“เอาอะไรนุ่มๆเย็นๆ มาดื่มสักสองแก้วซิ”
บาร์เทนเดอร์รับคำ ฉัตรหันมามองคู่หูตาขวางในฐานะจัดการงานนอกคำสั่ง
บาร์เทนเดอร์เดินเข้ามาที่ส่วนออฟฟิศแล้วบอกกับบอดี้การ์ดของโอตี่
“มีตำรวจมาขอพบนาย”
บอดี้การ์ดรับรู้แล้วดูที่กล้องวงจรปิดส่วนด้านหน้าจึงเห็นฉัตรกับคู่หูอยู่ที่เคาน์เตอร์
“ไอ้สองตัวนี่หรือ”
บาร์เทนเดอร์พยักหน้า
ฉัตรกับคู่หูยังนั่งรออยู่ที่เคาน์เตอร์ คู่หูสาดเครื่องดื่มลงคอรวดเดียว
“เอามาอีกแก้ว”
บาร์เทนเดอร์รับคำ ลูกน้องของโอตี่เดินมานั่งข้างๆ กระหนาบทั้งสองคน ฉัตรมองซ้ายขวาระวังตัว เสียงโอตี่ดังขึ้น
“มีอะไรหรือครับคุณตำรวจ ส่วยก็จ่ายตามปกติ นี่จะมาไถรอบพิเศษหรือไง ค่าเทอมลูก หรือ ค่าไพ่เมียล่ะ”
ฉัตรเหมือนโดนตบหน้า โอตี่ทำท่าทางยียวน
“แหม นายคงไม่รู้สินะว่าข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานเนี่ยติดคุกได้นะ”
“ก็ลองดูสิ ฉันอยากจะลองเข้าไปนอนเล่นเหมือนกัน มีธุระอะไรว่ามาเวลาฉันเป็นเงินเป็นทอง”
“คุณรู้จักอาชางไหม”
“ชางไหน วันหนึ่งๆ ผมเจอคนเยอะแยะไปหมด มีอะไรหรือ”
“เขาตายแล้ว”
โอตี่หน้าเฉยทำท่าว่าเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย ฉัตรใจเย็นซักต่อ
“วันที่คุณกลับมาจากเมืองนอกหลังจากออกจากสนามบินแล้วคุณไปไหน”
“ไปหาเพื่อน”
“ในกล้องวงจรปิดเห็นว่าคนที่ชื่ออาชาง คอยสะกดรอยตามคุณ”
“เหรอครับ โชคดีจริงๆ ที่มันตายไปก่อน ถ้าจะมาด้วยเรื่องไร้สาระพวกนี้ผมว่าผมขอตัวไปทำงานดีกว่า” โอตี่เดินจากไปกับลูกน้องแล้วสั่งไล่หลัง “เครื่องดื่มพวกนั้นผมเลี้ยง”
“ไม่จำเป็น ผมมีเงินเดือน”
โอตี่มีสีหน้าไม่พอใจแล้วกระซิบกับลูกน้อง
“ว่างๆ ช่วยเอาอาจารย์ไปติววิชามรรยาทให้มันหน่อย”
ลูกน้องรับคำแววตาเข้ม ฉัตรหยิบกระเป๋าเงินออกมาแล้วถามบาร์เทนเดอร์ บาร์เทนเดอร์ยื่นถาดใสบิลให้
“เท่าไหร่”
“1,750 บาท ครับ”
“โธ่นึกว่าจะเท่าไหร่ หาว่าไงนะ”
“1,750 บาท ครับ”
ฉัตรใจอยู่ที่ตาตุ่มสีหน้าตระหนก มองหน้าคู่หู คู่หูรีบออก
“เค้า ไปรอที่รถนะ”
ฉัตรเปลี่ยนใจหยิบบัตรเครดิตมาวางให้ แล้วส่ายหน้าพร้อมกับบ่น
“ขาดทุนทุกรอบ ค๊อกเทลอะไรวะแก้วตั้ง 350 บาท เบิกหลวงได้ไหมเนี่ย”
บุ๊นมารับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งในโรงแรม เขานั่งอยู่ที่ล๊อบบี้ อ่านหนังสือพิมพ์จีน ตรงที่นั่งไม่ห่างกันนัก สายสืบของมังกรนั่งลอบมองอยู่ สายสืบใช้กล้องขนาดเล็กที่ติดกับกล่องใส่บุหรี่ถ่ายภาพบุ๊น อาฮวดเดินออกมาจากร้านอาหารแล้วตรงมาหาบุ๊น
“อาหารเรียบร้อยแล้วครับท่านประธาน”
“เขามากันหรือยัง”
อาฮวดมองนาฬิกาแล้วรายงาน
“จะได้เวลาแล้วครับ” อาฮวดมองไปที่ทางเข้าเห็นรถของท่านเอกอัครราชทูตวิ่งเข้ามาจอด แล้วลงรถเดินเข้ามา มีผู้ติดตามคุ้มกัน “มากันแล้วครับ”
บุ๊นวางหนังสือพิมพ์ลุกขึ้นเตรียมต้อนรับ สายสืบกดชัตเตอร์เป็นระยะ ท่านทูตเดินเข้ามาหาบุ๊นแล้วทักทาย
“สวัสดี สบายดีนะคุณบุ๊น”
“สบายดีครับท่าน เชิญ เชิญ อาหารพร้อมแล้ว กินกันไปคุยกันไปก็ได้”
“ดี ไป”
บุ๊นประคองท่านทูต อย่างเป็นกันเองทั้งคู่มีสีหน้ายิ้มแย้มมีไมตรี สายสืบถ่ายรูปไว้ตลอด ท่านทูตกับบุ๊นเข้าไปในห้องอาหาร มีอาฮวดนำไป บอร์ดี้การ์ดสองคนยืนรอหน้าห้อง
ฉัตรนั่งในรถ คู่หูขับให้นั่งแต่คู่หูนั่งเงียบอย่างรู้สึกผิด ฉัตรรอฟังว่ามันจะพูดอะไรบ้างแต่ก็ไม่พูดจนฉัตรทนไม่ไหว
“นี่แกจะไม่พูดอะไรบ้างหรือ เล่นคอกเทลไปเป็นพัน”
“ขอบคุณครับ”
ฉัตรถึงกับเซ็ง จังหวะนั้นรถวิ่งผ่านร้านขายเครื่องดนตรี
“จอดก่อนซิ รอแป๊ปเดี๋ยวมา”
ฉัตรรีบบอก คู่หูจอดรถหน้าร้านขายเครื่องดนตรี ฉัตรเปิดประตูลงไปแล้วเข้าไปในร้าน ซักพักก็ออกมา คู่หูมองฉัตรงงๆ ฉัตรเข้ามาในรถแล้วบ่น
“ผู้กองไปทำอะไรน่ะ”
“ไปดูอากูเลเล่ให้ลูกน่ะ”
“แล้วต่อเขาหรือเปล่า”
“ต่อ เขาลดให้เหลือ 5,000 เอง”
“โห ลดให้เยอะนี่ แล้วทำไมไม่ซื้อล่ะ”
“กูไม่มีตังค์ ไป ออกรถ”
ฉัตรนั่งเซ็งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในร้านตอนเข้าไปถามราคาอากูเลเล่
“น้องครับ อันนี้เท่าไหร่”
“8,000 บาทค่ะ”
“โอ้โห แล้วอันนี้ล่ะ”
“หมื่นสองค่ะ”
ฉัตรถอนหายใจ คู่หูขับรถออกไป
ไทกับปลายฟ้าอยู่ที่โรงเก็บของ ไทเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ ปลายฟ้าเก็บพวกไม้กวาดและอุปกรณ์ของเธอ
“ไปพักกินข้าวเที่ยงกัน” ไทหันไปบอกปลายฟ้า
“ฉันจะไปเอาเชลโล่ที่ร้าน หัวหน้าไปด้วยกันหน่อยสิ”
“แล้วรถเธอล่ะ”
“ทิ้งไว้ที่ร้านเมื่อเช้า น่านะ ไปกินข้าวข้างนอกก็ได้ ฉันเลี้ยงเอง”
ไทมีสีหน้าแปลกใจ
“เฮ้ย เธอไปเอาเงินมาจากไหน เมื่อเช้าเพิ่งยืมฉันไปอยู่หยกๆ”
“อ้าว ก็ฉันเลี้ยง หัวหน้าก็ออกเงินสิ แบบนี้แฟร์ที่สุดแล้ว”
“แฟร์ตรงไหนเนี่ย ไป ไปก็ไป”
ทั้งคู่เดินมาที่มอเตอร์ไซค์ของไท ระหว่างนั้นนันณภัสเดินมาตามทางแล้วเห็นไทกับปลายฟ้ากำลังขึ้นมอเตอร์ไซค์ ไทขี่มอเตอร์ไซด์ออกไป ปลายฟ้าเกาะเอวแน่น นันณภัสเดินกลับออกมาด้วยสีหน้าผิดหวังนิด แต่เก็บอาการ นันณภัสเดินมาที่เรียวแล้วเดินนำไปเรียวเดินตาม
อีกด้านหนึ่งแป๊ดกำลังวุ่นวายกับการทำพิซซ่า หนูเอมรวบรวมพิซซ่าที่เสร็จแล้ว ไปด้วยอ่านออเดอร์ไปด้วย
“อันนี้พิซซ่าร้านหัวมุม แล้วนี่ก็พิซซ่าร้านเครื่องดนตรี”
หนูเอมเรียงพิซซ่าเต็มไปหมด แป๊ดบ่น
“เฮ้อ หมดหรือยังหนูเอม”
“ยังค่ะ นี่อีกยาวเฟื้อยเลย”
หนูเอมชูกระดาษ ออเดอร์ ยาวเฟื้อย
“โอ้โห นึกว่ากระดาษทิชชู่ นี่งานเราเยอะหรือคนเราน้อยเนี่ยทำไม่ค่อยทันเลย”
“หนูเอมว่าทั้งสองอย่างเลยค่ะ”
“เอาอย่างนี้นะ หนูเอมเอาไปส่งเที่ยวนึงก่อนแล้วแม่แป๊ดจะรีบจัดให้เสร็จ หนูเอมกลับมาก็พอดีอีกชุด ชุดหลังนี่แม่แป๊ดโซโล่เอง โอเค๊ะ”
“โอเค” ทั้งคู่เอามือตบกันหนูเอมรวบรวมพิซซ่า “หนูเอมไปนะคะ”
“ขี่รถดีๆ ล่ะ”
หนูเอมเดินออกไป แป๊ดมองตานิดหนึ่งแล้วก้มหน้าทำงานต่อ
ที่หน้าร้านเครื่องดนตรี มีรถเวสป้าของปลายฟ้าจอดอยู่และรถของไทจอดคู่กัน ภายในร้านขณะนั้นปลายฟ้ากำลังลองเชลโล่อยู่ที่เก้าอี้ด้วยท่าทางทะทัดทะแมง เจ้าของร้านยืนอยู่ข้างๆ ไทยืนอยู่ห่างออกมา ปลายฟ้ายังเล่นเพลงต่อไปอีกท่อน ทุกคนยืนฟังอย่างตั้งใจ
ไทฟังด้วยสีหน้ามีความสุข ปลายฟ้าควักเงินให้เจ้าของร้านพันบาทเจ้าของรับไปแล้วเดินไปหยิบเงินทอนด้านใน ปลายฟ้าเล่นเพลงต่อไปอีกสองท่อนด้วยท่าทางมีความสุข
ขณะนั้นหนูเอมขี่จักรยานมาจอดที่หน้าร้านเครื่องดนตรีเพื่อเอาพิซซ่ามาส่ง แล้วหนูเอมก็ได้ยินเสียงเชลโล่
“เพราะจัง” หนูเอมเดินเข้ามาในร้านจึงเห็นปลายฟ้าเล่นอยู่จึงทัก “พี่ปลายฟ้า โห เล่นเพราะจังเลย”
“หนูเอม”
“อ้าว หนูเอม”
“พี่ไทก็มาด้วยหรือคะ” หนูเอมทักไท “หนูเอมอยากเล่นมานานแล้ว แต่ป๋ากับแม่ไม่ซื้อให้ซักที”
“เอาไว้ซื้อเมื่อไหร่แล้วบอกพี่นะพี่สอนให้ก็ได้ ฟรี ไม่มีชาร์จ”
“ขอบคุณมากนะคะ”
ปลายฟ้าหยุดเล่นสีหน้าดีใจแล้วกอดเชลโล่ พร้อมกับหอมเชลโล่ไปฟอดใหญ่
“แกหายป่วยแล้ว ดีใจจัง”
เจ้าของร้านยิ้มแล้วก้มลงมาอธิบาย เขาจับที่อกของเชลโล่
“อกมันเริ่มจะร้าวนิดๆ ดีที่เอามาซ่อมก่อน แล้วผมก็เปลี่ยนสายชุดใหม่ให้”
ไทหูผึ่งเมื่อได้ยินคำว่าสาย
“เท่าไหร่คะ”
“เอาเก้าร้อยละกัน คิดถูกๆ เห็นเป็นนักศึกษา”
“ขอบคุณค่ะ”
เจ้าของร้านเดินเอาเงินมาทอนปลายฟ้า หนูเอมเอาพิซซ่าให้เจ้าของร้าน
“พิซซ่าที่สั่งค่ะ 850 บาท”
เจ้าของควักเงินให้หนูเอม
“พอดีคืนนี้ลูกสาวรับปริญญาน่ะ มีงานฉลองรับปริญญา”
ปลายฟ้าถือเชลโล่เดินออกจาสกร้านแล้ววางเชลโล่ลงในไซด์คาร์ ไทกับหนูเอมตามออกมา
“น่าอิจฉาจังเลยรับปริญญากันแล้ว ไม่ได้เราต้องสู้ ออสเตรียกำลังรอแกกับฉันอยู่”
ปลายฟ้ามองไปที่เชลโล่คู่ใจ หนูเอมลูบคลำเชลโล่
“ไปส่งพิซซ่าก่อนค่ะ แล้วเจอกันนะคะ”
หนูเอมแยกจากไป ไทถามปลายฟ้าแบบเหน็บแนมนิดๆ
“โอ้โห สอนฟรีเลยหรือ เห็นงกๆ แบบนี้ ก็ใจดีเหมือนกันนี่”
ปลายฟ้าหรี่ตามองไทหน้าเซ็งแล้วเดินงอนไป
“อีกละ ไม่เคยดีในสายตาเลย นี่หัวหน้าเลี้ยงข้าวฉันเลยนะ ไม่มีตังค์ติดตูดสักบาทเลย ตังค์น่ะหมดแล้ว”
ไทยิ้มแล้วเดินตามไป
ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 5 (ต่อ)
นันณภัสเดินถือไอศกรีมเดินกินมาอย่างสบายๆ เรียวเดินตามมาด้วย นันณภัสมองไปรอบๆ กรงนกแล้วนึกเสียดาย
“น่าเสียดายนะ ถ้าต้องมาเปลี่ยนเจ้าของ สงสารสัตว์พวกนี้จังจะอยู่ดีเหมือนเดิมหรือเปล่านะ”
“ผมคิดว่าเขาก็ต้องเลี้ยงดูอย่างดีน่ะครับ แต่เรื่องระบบพนักงานอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงก็ได้” นันณภัสฟังเรียวพูดแล้วรู้สึกวิตกเรื่องคนงานโดยเฉพาะไท “จริงๆ แล้วมันก็เป็นโอกาสดีของคุณพัดนะครับ คือผมหมายถึง บางทีคุณพัดอาจจะซื้อนกพวกนี้ได้ในราคาถูก ถ้าติดต่อซื้อตอนนี้”
นันณภัสหันขวับ
“ฉันไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน ฉันไม่อยากให้เขามองว่าฉันเป็นนักฉวยโอกาส แต่ฉันไม่ได้ตำหนินายนะ ถ้าเป็นเรื่องการแข่งขันทางธุรกิจน่ะใช่ แต่สำหรับเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องธุรกิจ” นันณภัสยิ้มอย่างมั่นใจในใจคิดถึงไทแล้วเดินจากไปแล้วพูดทิ้งท้าย “ฉันหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
เรียวหน้านิ่งแต่ในใจนึกอิจฉาไท
ไทกับปลายฟ้ามานั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้านข้างทางแต่มีคนกินเยอะ ไทมองไปรอบๆ เห็นคนเข้าคิวกันรอกิน
“นี่เขาขายหรือแจกเนี่ย”
“ร้านนี้อร่อยแล้วก็ถูกด้วย เป็นที่พึ่งทางกระเพาะของฉันมาช้านานแล้ว”
เด็กในร้านยกก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟ ดูน่ากิน
“น่ากินแฮะ”
“ไหมล่ะ กินนะคะ”
ปลายฟ้าลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย ไทนึกขึ้นได้
“ฉันจำได้ว่าเคยให้สายเชลโล่เธอไว้ชุดนึงนี่”
“ใช่ ฉันก็จำได้ แต่หัวหน้าให้มาปีกว่าแล้วนะ ฉันใช้ไปแล้ว สายเชลโล่อายุมันไม่กี่เดือนมันก็ยืดแล้ว สายของหัวหน้าป่านนี้ไปเกิดใหม่แล้วล่ะ” ไทนึกขำในคำพูดและกินก๋วยเตี๋ยวอย่างเอร็ดอร่อย “เจ๊ เล็กยำรวมอีกชาม”
ผิดกับอีกด้านหนึ่งในร้านอาหารหรู อาหารบนโต๊ะของนันณภัสมีแต่อาหารแพงๆ นันณภัสนั่งทานอย่างเรียบร้อย ตรงข้ามเรียวนั่งทานอย่างเรียบร้อยกว่าเพราะเขาไม่ได้แตะต้องอะไรเลย
“นายไม่ทานอะไรเลยหรือ” นันณภัสถามอย่างแปลกใจ
“ผมไม่หิวครับ”
“นายตามฉันตั้งแต่เช้าฉันยังไม่เห็นนายกินอะไรเลย จะมาบอกไม่หิวได้ยังไง เอ้ากินซะ”
นันณภัสตักอาหารใส่จานเรียว เรียวมีท่าทางเกรงใจ
“คุณพัดครับ”
“ทำไม นายรังเกียจฉันหรือ”
“ปะ เปล่า ครับ แต่ผมคิดว่ามันไม่เหมาะสม”
“ไม่เหมาะสมตรงไหน เจ้านายกินข้าวกับผู้ร่วมงาน เอ้า กินซะ ห้ามเหลือด้วยเห็นใจคนยากคนจนที่ไม่มีโอกาสได้กินอย่างเรา”
“ครับ”
เรียวรู้สึกดีที่พัดเป็นห่วงแต่ใจเจ็บแป๊บตรงคำว่าผู้ร่วมงาน แล้วลงมือกินอย่างเรียบร้อย นันณภัสมองเรียวแล้วยิ้มออกมา
“เป็นไง อร่อยใช่ไหม”
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ชามก๋วยเตี๋ยวที่วางหน้าปลายฟ้ามีสามชามแต่ละชามเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำ “โอ๊ย อิ่มจัง เอ ตังค์ยังจะอยู่ครบไหมน้า”
“ตามสนธิสัญญา เธอเลี้ยง ฉันจ่าย”
“แหม แค่นี้เองฉันออกก็ได้ ยังพอมีเหลือ อีกไม่กี่วันเงินเดือนก็ออกแล้ว เจ๊ เอาตังค์ไปเก็บ”
ไทอยากจะบอกปลายฟ้าว่าเงินเดือนคงอาจจะออกเป็นเดือนสุดท้ายแต่ก็นิ่งไว้ พยายามจะจังหวะบอก
เจียงแต่งตัวดีมีระดับเดินออกมาจากลิฟต์ของโรงแรมที่พัก เจียงกำลังจะไปข้างนอก มีลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลังเดินมาตามทางในโรงแรม ห่างออกไปที่โต๊ะรับแขกบริเวณล๊อบบี้ ฉัตรกับคู่หูนั่งอยู่ คู่หูเห็นเจียงเดินออกมาแล้วตรงเข้าไปคุยด้วย ฉัตรหยุดตรงหน้าเจียงแล้วแนะนำตัว
“เดี๋ยวครับ ขอคุยด้วยหน่อยสิครับคุณเจียง”
เจียงมีท่าทางงง ลูกน้องจะเข้ามากันฉัตรออกไป ฉัตรหยิบตราตำรวจออกมาแล้วรีบแนะนำตัวก่อนจะโดนรุม
“ผมผู้กองฉัตร จากหน่วยสืบสวนกลาง”
เจียงหรี่ตามองฉัตรแล้วนึกออก
“อืม ผมเคยเห็นคุณในทีวี ตัวจริงดูแย่กว่าในทีวีตั้งเยอะ”
“ขอบคุณ ระดับผมมันหล่อขั้นเฒ่าอยู่แล้ว”
เจียงทำตัวสบายๆ แต่ระวังตัว
“คุณมีอะไรรีบว่ามา ผมไม่มีเวลามาชมความหล่อของคุณทั้งวันหรอก”
ฉัตรมองลูกน้องเจียงทุกคนแล้วพูด
“ผมว่าลูกน้องคุณหายไปคนนึงนะ”
เจียงเหลือบมองลูกน้อง
“เอ ก็ครบนี่”
“แล้วอาชางล่ะ” เจียงแว่บนิดหนึ่งและคุมสถานการณ์ “เรามีข้อมูลว่าอาชางเป็นลูกน้องคุณ”
“ต้องพูดว่า เคยเป็น เพราะอาชางไม่ได้ทำงานให้ผมเป็นปีแล้ว ทำไมมาถามผมเรื่องนี้ล่ะ”
“เพราะอาชางตายแล้วไง ผมคิดว่าคุณอาจจะมีข้อมูลอะไรให้ผมบ้าง แต่ถ้าไม่ได้เจอกันนานแล้วก็เชิญ ขอบคุณที่สละเวลา”
“ยินดีครับ ผมขอตัว เออ หัดหวีผมหวีเผ้าซะบ้างนะ”
เจียงพูดแล้วเดินจากไปทันที ฉัตรเหมือนโดนตบหน้า รีบเอามือปาดผมให้เข้าที่แล้วถามคู่หู
“มีกระจกไหม”
เจียงกับลูกน้องเดินออกมาที่หน้าโรงแรมเพื่อรอรถมารับ ทั้งหมดไม่ได้ระวังตัวสักเท่าไหร่ รถลีมูซีนวิ่งเข้ามาเทียบ ลูกน้องเปิดประตูรถให้ เจียงกำลังจะก้าวขึ้นรถ จังหวะนั้นมีรถมอเตอร์ไซค์วิ่งมาอย่างรวดเร็ว คนขับแต่งชุดดำพรางตัวทั้งชุด แล้วโยนระเบิดควันเข้าหากลุ่มเจียงห่างจากเจียงไม่กี่นิ้ว
ลูกน้องดึงเจียงหลบลงกับพื้นแล้วชักปืนส่ายไปรอบทิศเกรงว่าจะมีอะไรตามมา
“นาย หมอบลง” ลูกน้องรอสักพักเห็นว่าเงียบแล้วจึงบอกอาเจียง “ไม่มีอะไรแล้วครับนาย คงแค่ขู่น่ะครับ รีบไปเถอะครับ”
เจียงรีบขึ้นรถ รถแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว ฉัตรกับคู่หูเดินออกมาหน้าโรงแรมเห็นคนมุงกันมีควันพวยพุ่งแล้วพึมพำ
“หน้าโรงแรมเขาให้ขายหมูปิ้งด้วยหรือวะ”
ฉัตรกับคู่หูเดินฝ่าฝูงชนออกไป
ปลายฟ้ากับไทกลับมาทำงานตามปกติ มีคนงานเดินไปเดินมา ปลายฟ้าเดินมาเอาอาหารสัตว์แล้วเห็นว่าอาหารสัตว์ยังไม่มาส่งเธอจึงถามไท
“เมื่อไหร่อาหารจะมานะ”
ไทเดินมาดูเห็นว่ายังไม่มาส่งจริงๆ
“ทำไมยังไม่มาส่งนะ อ๋อ สงสัยคงจะรอเปลี่ยนเจ้าของใหม่มั้ง”
“หา อะไรนะ เปลี่ยนเจ้าของ”
ไทหลุดปากจึงต้องปล่อยเลยตามเลยแล้วบอกความจริง
“โทษทีนะ ที่ชั้นยังไม่ได้บอกเธอ คือว่าจะมีพวกฝรั่งมาเทคโอเวอร์สวนสัตว์เราน่ะ”
ปลายฟ้าตกใจแล้วขึ้นเสียงด้วยความตระหนก
“หา อะไรกัน แล้วพวกเราจะตกงานไหมเนี่ย”
ไทรีบเอามือปิดปากปลายฟ้าแล้วลากไปที่อื่นเพราะกลัวคนงานได้ยิน
“เฮ้ย จะประกาศทำไม มา มานี่เลย”
ปลายฟ้าดิ้นแต่ก็ไปตามไท
ปลายฟ้ากับไทนั่งกอดเข้าคู่กันที่บ่อปลาปลายฟ้าโยนอาหารให้มันอย่างเซ็งๆ
“หมดกัน อุตส่าห์ทนเหม็นจนชินแล้ว เฮ้อ สวนสัตว์ต้องเปลี่ยนเจ้าของจริงๆ หรือหัวหน้า”
ไทพยายามปลอบและมองในแง่ดี
“มันก็ไม่แน่ ถ้าเจ้าของเขาหาเงินเพิ่มทุนได้”
“พวกฝรั่งมันจะจ้างเราต่อหรือเปล่า หรือว่าเขาต้องขนคนของเขามา”
“ก็เป็นไปได้”
“แล้วเจ้าพวกนี้จะเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“พวกมันก็จะกินดีอยู่ดีขึ้นน่ะสิ ของพวกนี้ฝรั่งเขาใส่ใจมาก เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอกห่วงแต่พวกเราเถอะ”
ไทรู้สึกเศร้าไม่อยากคิดหรือพูดต่อ
“จะทำยังไงดีล่ะหัวหน้า”
ปลายฟ้าหมดหนทางเสียงอ่อย แล้วซบศีรษะลงที่ไหล่ของไทอย่างหมดหวัง ไทหันไปมองรู้สึกสงสารแล้วปล่อยให้ปลายฟ้าซบอยู่อย่างนั้น
มังกรกับโอตี่เดินมาตามทางในสนามกอล์ฟ จากอีกหลุมไปอีกหลุม แล้วมาหยุดใต้ต้นไม้
“ป๊าคุยกับเจียงแล้ว” โอตี่มองพ่อ “มันเชื่อว่าพี่ใหญ่ไม่ขายจริง แกว่ามันจะทำยังไงต่อไป”
“ป๊าก็รู้ว่าอาเจียงจะทำยังไง เราควรไปถามลุงบุ๊นดีกว่าว่าลุงบุ๊นจะทำยังไงต่อไป”
โอตี่กับมังกรรู้ความหมายกันสองคนแล้วเดินหัวเราะด้วยความพอใจ
ไทขับรถเอาอุปกรณ์มาลงที่โรงเก็บ ปลายฟ้าช่วยเอาของลงแล้วเดินมากับไท
“วันนี้ไม่มีอะไรแล้วเธอกลับบ้านก็ได้นะ”
“หา กลับได้เลยหรือนั่นแน่ หาเรื่องตัดเงินเปล่าเนี่ย”
ไทนึกขันในท่าทางปลายฟ้า
“จะบ้าหรือ ไม่มีใครยิวขนาดนั้นหรอก เห็นว่าวันนี้จะซ้อมดนตรีไม่ใช่หรือ”
ปลายฟ้าถามเพื่อความแน่ใจ
“ก็ใช่น่ะสิ ไปได้แน่นะ”
ไทยิ้มแล้วพยักหน้า ปลายฟ้ากำลังจะไปแต่พี่ธงเดินเข้ามาพอดี
“ไชโย อ้าวพี่ธง”
“ว่าไง”
ปลายฟ้ามีสีหน้าเห็นใจแล้วตบไหล่พี่ธงเบาๆ แบบปลอบใจ
“สู้ สู้ นะพี่ธง”
ปลายฟ้าเดินจากไป พี่ธงมองตามงงๆ สีหน้าถามว่ามันบ้าหรือเปล่าวะ ไทหัวเราะ
“มีอะไรหรือพี่”
“ไม่มี เหตุการณ์เหมือนเดิม เออนี่ไทพักนี้ได้เจอคุณพัดบ้างหรือเปล่า”
“เปล่าพี่ ไม่ได้เจอเลย”
“ถ้าเจอก็ลองถามนะว่าเขาจะซื้อนกหรือเปล่า ท่านประธานกำลังจะขายสัตว์บางส่วนที่มันแออัด”
“ดีครับ ผมจะรีบติดต่อคุณพัดดู”
ไทเดินไปที่รถ พี่ธงถาม
“ไทจะไปไหน”
“ไปขนผักที่ชาวบ้านเขาตัดทิ้งไง ประหยัดไว้ก่อน”
“เออ เดี๋ยวพี่ไปช่วย”
ทั้งคู่เดินไปด้วยกัน
เย็นวันนั้น รถของบุ๊นแล่นมาจอดหน้าบ้าน มีรถโอตี่จอดอยู่ บุ๊นกับอาฮวดลงจากรถแล้วมองรถโอตี่อย่างสงสัย
บุ๊นเดินเข้าไปในบ้านอาฮวดเดินตามไปติดๆ แม่บ้านเดินมารับหน้าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่บุ๊นถามก่อน
“ใครมา”
“คุณชายโอครับ เอ่อ อยู่ในห้องทำงานค่ะ”
บุ๊นกับอาฮวดมีสีหน้าตกใจ โดยเฉพาะอาฮวด บุ๊นเก็บอารมณ์
“เอ่อ ผมจัดที่ให้แล้วแต่...”
“ไม่เป็นไร ไปทำงานเถอะ”
แม่บ้านจากไป บุ๊นเดินไปที่ห้องทำงานกับอาฮวด
พอเข้ามาในห้องทำงานก็เห็นโอตี่ที่นั่งไขว่ห้างดื่มไวน์อยู่ เขารีบทักทาย
“สวัสดีครับ ลุงบุ๊น” บุ๊นมองไวน์ของเขาในใจไม่ค่อยพอใจแต่เก็บอารมณ์ “รสชาติเยี่ยมเลย”
“ชาล์โต ปี 618 เมืองไทยมีอยู่สองขวด”
โอตี่มองไปที่ขวดไวน์ที่ถูกรินไปแล้วครึ่งขวด
“ตอนนี้เหลือขวดครึ่งแล้ว”
“นายมีธุระอะไรหรือโอตี่”
“พอดีผมนึกขึ้นได้ว่า ตั้งแต่กลับมาจากเมืองนอกผมยังไม่ได้มาเยี่ยมลุงบุ๊นเลยก็เลยเอาของมาเยี่ยม”
โอตี่ยื่นของขวัญให้บุ๊น อาฮวดรับแทน บุ๊นรู้สึกดีที่โอตี่ยังมีสัมมาคารวะ
“แกะดูสิครับ ว่าชอบหรือเปล่า”
อาฮวดแกะของขวัญออกแล้วเห็นว่าเป็นตุ๊กตาไขลาน สีหน้าอาฮวดเปลี่ยนไปทันที
“เล่นอะไรไม่ทราบคุณชายโอ”
อาฮวดแววตาเข้ม โอตี่ไม่กลัวแสดงสายตาว่าคนละรุ่น บุ๊นมองหน้าอาฮวดแล้วปรามด้วยสายตา
“คงถูกใจนะครับ ผมกลับก่อนล่ะ”
“ขอบใจ”
โอตี่เดินออกจากห้องไปดื้อๆ บุ๊นมองตามแววตาอาฆาตและคิด เช่นเดียวกับอาฮวด
นันณภัสขับรถเข้ามาจอดที่จอดรถแล้วลงจากรถ เธอจึงเห็นรถของโอตี่จอดอยู่
“หวัดดีพัด”
นันณภัสหันไปมองโอตี่พร้อมกับยิ้มให้
“หวัดดีโอตี่”
นันณภัสจะพูดต่อ แต่โอตี่คว้ามือนันณภัสไปจูบแบบธรรมเนียมสเปน
“ซินญอริต้า ไปก่อนนะแล้วเจอกัน”
โอตี่ขึ้นรถขับออกไป นันณภัสมองตามงงๆ ในใจคิดว่ามันบ้าหรือเปล่า
นันณภัสเดินเข้าไปในบ้านเห็นบุ๊นนั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขก มีตุ๊กตาไขลานที่โอตี่ให้มาตั้งอยู่บนโต๊ะ บุ๊นมองตุ๊กตาแล้วคิด
“อ้าว พัด”
“ของเล่นใหม่หรือคะ”
“โอตี่เขาซื้อมาฝาก”
นันณภัสมีสีหน้าแปลกใจ
“จริงหรือคะ แปลกจัง นายคนนี้เขาชอบทำอะไรแปลกๆ”
“พ่อก็ว่าอย่างนั้น”
ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 5 (ต่อ)
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ห้องซ้อมดนตรีของมหาวิทยาลัย ปลายฟ้าสีเชลโล่ในห้องซ้อมดสนตรีคนเดียว ปลายฟ้าเล่นเพลงคลาสสิคที่ฟังดูเหงาๆ อารมณ์เธอรู้สึกห่วงใยสวนสัตว์และไท หากต้องจากกันอีกเธอจะมีโอกาสพบเขาอีกไหม
ที่หน้าห้องพีทยืนเฝ้ามองดูปลายฟ้าและฟังเพลงอย่างซึ้ง เขาพินิจดูปลายฟ้าอย่างหลงใหลในใจคิดว่าผู้หญิงคนนี้ช่างไม่เหมือนใครจริงๆ ปลายฟ้าเล่นดนตรีจนจบเพลงพีทเดินปรบมือเข้ามาหาอย่างถือดี ปลายฟ้าหันมามองจึงเห็นว่าเป็นพีท
“นี่นายเข้ามาได้ยังไงเนี่ย”
“อ้าว ที่นี่มีป้ายห้ามเข้าด้วยเหรอ”
“อย่ามายุ่งกับฉันเลย วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ค่อยดี”
ปลายฟ้าไม่สนใจพีทหันมาเก็บเชลโล่
“มองหน้าผมสิ แล้วคุณจะรู้สึกดีทันทีเลย แต่ถ้าไปกินข้าวกับผมนะ คุณจะมีความสุขสุดซึ้ง แต่ถ้าอยากขึ้นสวรรค์ล่ะก็...”
“ไอ้ลามก” ปลายฟ้าเดินออกจากห้องทันที
“อะไร เป็นแฟนกับผมนี่มันลามกตรงไหน”
พีทรีบเดินตามปลายฟ้าออกมา เมื่อถึงหน้าห้องพีทแทบร้องไห้เพราะแป้งเดินมาพอดี แป้งจะมาซ้อมเหมือนกัน
“ฟ้า เอ๊ะ คุณพีท เจอกันอีกแล้วนะคะ”
แป้งรีบเข้าไปหาพีท พีททำท่าทางรังเกียจเล็กๆ ก่อนที่พีทจะพูดอะไรปลายฟ้าชิงพูดขึ้นมา
“คุณพีทเขามารอแกตั้งนานแล้ว ฉันไปก่อนนะ”
พูดจบปลายฟ้าเดินจากไปทันที แป้งดีใจละล่ำละลักถามพีท
“จริงหรือคะ น่ารักจังเลย เดี๋ยวคุณพีทรอแป้งแป๊บเดียวนะคะ แป้งสอนรุ่นน้องอีกสิบห้านาทีก็เสร็จแล้ว เดี๋ยวเราค่อยไปทานข้าวใต้แสงเทียนกัน”
แป้งเดินเข้าไปในห้องซ้อมท่าทางระริกระรี้ พีทเซ็งเมื่อเห็นแป้งไปพ้นแล้วจึงรีบเดินจากไป
“อยู่เลี้ยงข้าวเธอก็ปัญญาอ่อนแล้ว ยายเชื้อราในร่มผ้าเอ๊ย”
ที่ร้านพิซซ่า แป๊ดเปิดแผ่นเสียง เพลงบรรเลงไวโอลินคลาสสิคดังขึ้น แป๊ดเคลิ้มตามเสียงเพลง หนูเอมทำท่าสีไวโอลินไปตามเพลง ไทนั่งฟังอยู่ด้วยแล้วอมยิ้มในความน่ารักของหนูเอมและความปัญญาอ่อนของแป๊ด ฉัตรเปิดประตูร้านเข้ามาแล้วงง
“อ้าว ป๋าฉัตร”
ฉัตรเอาเสื้อมาฝากหนูเอม
“เอ้า หนูเอม ป๋าเอาเสื้อมาฝาก”
“ขอบคุณค่ะ”
ฉัตรนั่งลงที่เก้าอี้แล้วเอาปืนออกจากเอววางไว้ข้างตัวบนเก้าอี้
“เพิ่งเลิกหรือครับ”
“งานข้ามีเวลาเลิกด้วยหรือวะ นี่หนูเอมมีอะไรให้ฟังด้วย เดี๋ยวนี้ฟังเพลงอะคูสติกด้วยเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“หนูเอมเขาจะเริ่มเรียนดนตรีแล้ว”
“พี่ปลายฟ้าบอกว่าจะสอนให้ฟรีด้วยนะคะ แต่ยังไม่มี...” ฉัตรรู้หน้าที่
“เดี๋ยวเงินเดือนออกป๋าซื้อให้เลย”
“ไชโย ป๋าฉัตรน่ารักที่สุดในโลกเลย”
หนูเอมโดดกอดฉัตร ฉัตรมีสีหน้าปลื้มใจสุดซึ้ง แป๊ดมองฉัตรแบบเห็นใจ
“มาฉัตร กินข้าวกันดีกว่า”
“ดูสิ วันนี้มีไรกินก็ไม่เอา วันนี้อยากกินพระรามลงสรงเว้ย เดี๋ยวโซโล่เอง”
แป๊ดเดินไปหลังบ้าน
“ไอ้ไทเอ็งนั่งเป็นเพื่อนหนูเอมเถอะ”
แป๊ดกับฉัตรเข้ามาช่วยกันยกอาหารในครัว แป๊ดถามด้วยความห่วงใย
“เฮ้ย ไอ้ฉัตร เอ็งมีเงินซื้ออาคูเลเล่ให้ลูกสาว”
ฉัตรก็สะอึกในใจรู้ว่ามันยากที่จะหาเงินมาแต่ก็กลบเกลื่อน
“ทำไมวะ ไม่มีแล้วเอ็งจะช่วยออกหรือ”
“ก็ เอ่อ ก็ได้นะ”
ฉัตรรู้ว่าแป๊ดไม่ค่อยจะมีเงินจึงตบไหล่แป๊ดแสดงความมั่นใจ
“น่า ข้าจัดการเอง เอ็งไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
ฉัตรยกอาหารออกไป แป๊ดมองตามสายตาซึ้งเพื่อน
ต่อจากตอนที่แล้ว
ที่โต๊ะทานข้าวบ้านบุ๊นเวลานั้น บุ๊นนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ นันณภัสนั่งอีกข้างหนึ่ง ขณะที่พีทยังไม่มา
“ตาพีทยังไม่มาอีกหรือ”
นันณภัสมองหน้าบุ๊น แบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยเลี่ยงไป
“คงกำลังมามั้งคะ” พีทเข้ามาพอดี “อ้าว พีท มากำลังรออยู่เลยมานั่งนี่”
พีทมานั่งข้างนันณภัส บุ๊นมองลูกชายนิ่งไม่มีคำพูด
“ป๊า”
“งานยุ่งหรือ”
“นิดหน่อยครับ”
บุ๊นมีสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วสั่งแม่บ้าน
“เอ้า เสิร์ฟได้เลย”
แม่บ้านเริ่มเสิร์ฟอาหาร
คืนนั้นหลังจากกินข้าวบ้านแป๊ดเสร็จ ฉัตรขับรถมาตามถนนมุ่งหน้ากลับสถานีตำรวจเพื่อไปเข้าเวร มาถึงทางเปลี่ยวก็มีรถเก๋งสองคันจอดปิดถนนอยู่ ฉัตรระวังตัว
“ใครมาจอดรถตรงนี้วะ”
ฉัตรจอดรถห่างจากรถสองคันนั้นพอสมควร ฉัตรยังกำลังใจดีเขามองออกด้านหน้าเห็นคน 7- 8 คนเดินเรียงหน้าเข้ามาแล้วหยุดห่างจากแกไปพอสมควร ฉัตรตัดสินใจลงจากรถท่าทางไม่กลัวแล้วชูบัตรแสดงตัว
“ตำรวจ ช่วยเอารถออกไปหน่อย”
“รู้แล้วว่าเป็นตำรวจ แต่คงเอารถออกไปไม่ได้”
“กุญแจหายหรือ”
“เปล่า ฉันต้องติววิชาสมบัติผู้ดีให้แกก่อน จะได้ไม่ไปเที่ยวสอดแส่เรื่องของใคร” ฉัตรระวังตัว “เอาสอง สามบทก่อน”
ฉัตรชักปืนออกมาแล้วยิงทันที
“มาเข้ามา” พวกลูกน้องหลบกันพัลวัน แต่ปืนฉัตรเกิดขัดลำกล้อง “โธ่เว้ย”
ลูกน้องเข้าตะลุมบอนกับฉัตรทันที ฉัตรต่อสู้เก่งพอตัวแต่ฝ่ายตรงข้ามคนมากกว่า เขาจึงเริ่มแย่ และโดนซ้อมกองอยู่กับพื้น ฉัตรเจอเหล็กแป๊บฟาดเข้าที่ท้ายทอยค่อยๆ รูดลงไปกองกับพื้น
“ถ้ายังไม่เข้าใจล่ะก็วันหลงจะมาติวให้อีกนะ ไปกลับ”
ทั้งหมดพากันกลับ
ขณะนั้นที่บ้านบุ๊น บุ๊น นันณภัส และพีท ยังนั่งทานข้าวกันอยู่ทุกคนใกล้จะอิ่ม พีทรีบกินเสร็จแล้วบอกทุกคน
“ผมอิ่มแล้ว”
“ท่านรับอะไรเพิ่มไหมครับ”
“ไม่ล่ะ ช่วงนี้งานยุ่งรึ”
“ก็นิดหน่อยครับ” นันณภัสกับบุ๊นมองพีทแบบไม่เข้าใจ “ผมกลับล่ะ”
พีทยืนขึ้นจะกลับ อาฮวดถือเค็กวันเกิดพร้อมจุดเทียนเดินเข้ามาที่โต๊ะแล้ววางลง ทุกคนร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์
“อธิษฐาน สิพีท”
นันรภัสบอกน้องชาย พีทงงๆ แล้วทำตามที่นันณภัสบอก
“สุขสันต์วันเกิด พีท”
พีทรู้สึกแปลกใจแล้วประชด
“นี่ป๊ายังจำวันเกิดผมได้หรือ นึกว่าลืมไปแล้ว”
“พีท พีททำไมพูดอย่างนั้นล่ะ”
นันณภัสปรามน้องชาย
“หรือว่าไม่จริง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ป๊าเคยสนใจผมหรือเปล่า”
“ฉันยอมรับ ว่าก็มีบ้าง แต่แกต้องเข้าใจว่าฉันกำลังสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว”
“ครอบครัวหรือผมคิดว่าทำเพื่อความยิ่งใหญ่ของพ่อเองมากกว่า” อาฮวดมองพีทแบบปรามแต่พีทไม่สน “ป๊าเกลียดผม เพราะผมมันแย่ ไม่เก่งเหมือนเจ๊พัด”
นันณภัสมีสีหน้าตกใจ
“พีท ป๊าไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะ”
“พีท แกเข้าใจผิดแล้ว ในบ้านนี้ฉันเป็นห่วงแกมากที่สุด”
“ก็อาจจะจริงที่ป๊าเป็นห่วง เป็นห่วงว่าผมจะไปทำอะไรแย่ๆ ทำให้เสื่อมเสียป๊าใช่ไหม”
บุ๊นเริ่มมีอารมณ์แต่ยังพูดสอนพีทด้วยน้ำเสียงอย่างนิ่งๆ แววตาแข็ง
“มันจะมากไปแล้วแกนี่มันไม่เคยเข้าใจอะไรเลยนะ ไม่เคยเข้าใจแม้แต่แกตัวเอง ฉันพยายามดูแล ประคอง แกให้ยืนได้แต่แกไม่เคยเห็น แกคิดอย่างเดียวคือตัวเอง คิดแต่ตัวเอง ใครจะเป็นยังไงก็ช่าง คนอีกเป็นหมื่นเป็นแสนอยากมีแบบแก แต่แกกลับไม่เห็นค่าของมัน”
บุ๊นพูดจบพีทก็ลุกขึ้นแล้วเอามือตบลงไปที่กลางเค้กด้วยแววตาน้อยใจ
“ป๊าต่างหากที่ไม่เคยเข้าใจผม”
พีทเดินออกไปจากโต๊ะอาหาร บรรยากาศเงียบและแย่ อาฮวดมองนิ่งๆ ในใจนึกเสียดายบรรยากาศ ขณะที่บุ๊นมีแววตาเสียใจแล้วทรุดนั่งลงไตร่ตรอง นันณภัสรีบตามพีทไป
“พีท พีท”
พีทเดินออกมาพลางเช็ดมือแล้วยืนมองทะเลในความมืดบริเวณที่จอดรถ นันณภัสเดินเข้ามาหาพีท
“ผมนี่มันไม่ได้เรื่องใช่ไหมเจ๊”
นันรภัสปลอบใจน้องชาย
“ไม่หรอก เจ๊ว่าพีทก็ต้องมีแนวทางของพีทเอง วันนี้อาจจะยังหาไม่เจอ หรือยังไม่มีแรงบันดาลใจแต่ต่อไป วันหน้าอาจจะประสบความสำเร็จก็ได้”
พีทรู้สึกดีขึ้นแต่ยังติดใจที่บุ๊น
“แต่ป๊า”
“ช่างป๊าเถอะ ไม่มีพ่อคนไหนที่ไม่รักลูกหรอก พีทไปตามหาแรงบันดาลใจให้เจอดีกว่า”
พีทยิ้มมีกำลังใจแล้วกอดนันณภัส ก่อนจะผละเดินจากไป
“พีท พีท”
“พัด”
นันณภัสชะงักหันมามองบุ๊น
ที่โรงพยาบาล พยาบาลกำลังทำแผลให้ฉัตรอยู่ในห้องทำแผล ไทนั่งดื่มเครื่องดื่มอยู่ข้างๆ เขารู้สึกแปลกใจเมื่อมองปืนของฉัตร
“เป็นยังไงบ้างน้าฉัตร”
“ก็ไม่เท่าไหร่ เสียดายถ้าปืนไม่ขัดลำซะก่อนข้าเป่ามันดิ้นไปแล้ว”
ไทมองปืนฉัตรแล้วส่ายหน้า
“ปืนเก่าขนาดนี้น้ายังใช้อยู่อีกหรือ”
“เฮ้อ ปืนหลวงมันก็อย่างนี้แหละ ใช้มาไม่รู้กี่ปีกี่รุ่น ก็ซ่อมๆ ใช้ไป”
“แต่มันเป็นอาวุธประจำกายนะน้า มันต้องคุ้มครองชีวิตเรา”
คู่หูแทรกเข้ามา
“ผมบอกพี่เขาแล้ว ว่าให้ซื้อใหม่ ผ่อนสวัสดิการก็ได้ ก็ไม่ยอมทีตุ๊กตา เสื้อผ้าลูก โน่นนี่ซื้อแทบทุกวัน”
ไทมองฉัตรและเข้าใจว่าฉัตรรักหนูเอมมาก
“ผ่อนทำบ้าอะไร กระบอกละตั้ง 6 - 7 หมื่น นี่ขนาดลดราคาแล้วนะ คิดดูสิราคาปกติไม่ปาไปเป็นแสนหรือ รู้ไหมว่าประเทศเราเนี่ยปืนแพงที่สุดในโลก”
“เอาน่า ยังไงมันก็ต้องใช้ เกิดวันไหนเป็นแบบนี้อีกมันจะไม่คุ้ม”
“เออ เออ เดี๋ยวงวดนี้ข้าจะซื้อ” ฉัตรตัดบทแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ข้าสงสัยจังว่าไอ้พวกนั้นมันใคร”
“มีใครน่าสงสัยเป็นพิเศษหรือเปล่า แบบว่าน้าไปเหยียบหางใครบ้าง”
“โอย พี่เขาเหยียบไปหมดทุกคนนั่นแหละ ยอมใครที่ไหน ยิ่งตอนนี้เข้าไปจับตาดูพวกนายบุ๊นกับนายมังกร เจ้าพ่อระดับอินเตอร์ด้วย ไม่แน่ว่าอาจจะส่งลูกน้องมาชิมลางก่อนก็ได้” ไทหูผึ่ง
“ไหนบอกว่านายบุ๊นเป็นนักธุรกิจไง”
“ตอนนี้น่ะใช่ แต่เส้นทางที่ผ่านมามันก็ไม่สะอาดนักหรอก โดยฉพาะนายมังกรน้องร่วมสาบานล่าสุดโดนลอบยิงที่ทำงาน ลูกสาวนายบุ๊นโดนดักยิงที่โรงแรม วุ่นวายไปหมด”
ไทรับรู้แล้วเตือน
“ยังไงน้าก็ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี”
“รู้แล้ว ข้าเป็นตำรวจมา 30 กว่าปี ไม่ต้องมาสอนข้า ข้าน่ะเก๋าพอ เออ แต่เรื่องนี้เอ็งอย่าไปเล่าให้ที่บ้านข้าฟังนะ ข้ากลัวไอ้แป๊ดกับหนูเอมเป็นห่วง”
ไทพยักหน้ารับคำแต่สีหน้ากังวลและเป็นห่วง
วันต่อมาปลายฟ้าขี่มอเตอร์ไซด์ที่ไซด์คาร์มีเชลโล่ใส่มาด้วย เธอขับมาตามถนนมุ่งสู่ที่ทำงาน ผ่านเพื่อนร่วมงานที่กำลังทำตามหน้าที่ ในใจรู้สึกหดหู่
“ก็ทำกันไป ไม่รู้จะอยู่ได้อีกกี่วัน” ปลายฟ้าเลี้ยวรถเข้ามาจอดในโรงรถ ไทกำลังจะเอารถของสวนสัตว์ออก “หัวหน้า จะไปไหนหรือ อย่าบอกนะว่าจะออกไปสมัครงาน”
“ใช่ฉันจะไปสมัครงาน”
ปลายฟ้าแปลกใจและตกใจ
“ได้ไงล่ะ ไหนหัวหน้าบอกว่ามันยังไม่ถึงที่สุดไง”
ไทยิ้มแล้วรู้สึกตื้นตัน
“เธอว่าฉันจะทำอย่างนั้นจริงๆ หรือ ฉันจะไปเอายาและวัคซีนมาฉีดเจ้าพวกนี้”
“โธ่ นึกว่าจะไปสมัครงาน จะได้ขอพ่วงไปด้วย...ล้อเล่นน่ะ”
“ดูงานให้เรียบร้อยล่ะ เที่ยงๆ ฉันจะกลับ”
“ครับผม”
อีกด้านหนึ่งที่ในโกดังของโอตี่ โอตี่นั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องสักครู่เบ็ตตี้ก็ขับรถเข้ามาจอดข้างรถโอตี่ แล้วก้าวลงเดิมมา
“นึกว่าจะไม่มา”
“ระดับโอตี่เรียกทั้งทีจะไม่มาได้ยังไง มีอะไรด่วน”
ทั้งคู่นั่งลงที่โต๊ะกลางห้อง
“ฉันอยากให้เธอมาทำงานกับฉันแบบเป็นชิ้นเป็นอันสักที”
“อย่างไหนถึงเรียกว่าเป็นชิ้นเป็นอัน”
“ทุกอย่าง”
“ยกเว้นบนเตียง”
โอตี่ยิ้มพอใจ
“ทำไมนายถึงเลือกฉัน”
“อดีตหน่วยจู่โจมและทำลายใต้น้ำ อดีตหน่วยปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย อดีตทหารรับจ้างในแองโกล่า กัวเตมาลา พายุทะเลทรายที่อีรัก”
เบ็ตตี้รู้สึกทึ่งที่โอตี่หาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเธอ
“เอาล่ะ พอแล้ว ฉันไม่เคยมีชีวิตอยู่กับอดีต บอกค่าตอบแทนมา”
“ฉันจ่ายให้เธอเดือนละล้าน ค่าหัว เปอร์เซ็นต์ยา กับอาวุธจ่ายต่างหาก”
“ไม่เลว ตกลง”
โอตี่เปิดรูปในโน๊ตบุ๊ค แล้วหันให้เบ็ตตี้ดู ที่โน๊ตบุ๊คเห็นเป็นรูปเจียง
“งานแรก ฉันไม่ต้องการเห็นหน้ามันอีก”
โอตี่มองหน้าเบ็ตตี้ เบ็ตตี้พยักหน้าแล้วเอื้อมือกดปิดโน๊ตบุ๊คที่จอโน๊ตบุ๊คดับวูบลง
“แค่นี้ก็ไม่เห็นแล้ว”
เบ็ตตี้ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่รถระหว่างทางหันหลังมาส่งจูบให้โอตี่ โอตี่ยิ้มอย่างพอใจ รถของเบ็ตตี้ขับออกไป
เช้าวันต่อมา มังกรนั่งจิบกาแฟดูหนังสือพิมพ์จีนอยู่ที่สโมสรกอล์ฟ อาเพียวเดินถือโน๊ตบุ๊คเข้ามาแล้วรายงาน
“สายสืบของเราส่งรูปมาครับนาย”
อาเพียวเปิดฝาโน๊ตบุ๊คขึ้นเห็นรูปบุ๊นช่วงที่กินข้าวกับท่านทูต
“ไอ้ดำนี่ใครกัน”
“เอกอัครข้าราชทูต ประเทศมากันดี ประจำประเทศไทยครับ”
“ประเทศอะไร ไม่เคยได้ยิน”
“อยู่ในแอฟริกาครับ”
มังกรพอจะเข้าใจและรู้เรื่องบ้างอาเพียวเปิดผ่านไปหลายรูปมังกรมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“พี่ใหญ่กำลังจะทำอะไรกันแน่”
ติดตาม "ดุจตะวันดั่งภูผา" ตอนที่ 6