ไฟมาร ตอนที่ 3
คืนเดียวกันนั้น ภายในร้านอาหารแห่งหนึ่งสรวงนั่งหน้าเครียด ในขณะที่สุขฤทัยจีบปากจีบคอพูด ให้สรวงหาทางจัดการกับภาพิศ
“สรวงจะนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้วนะคะ”
“หมายความว่ายังไง?”
“เราก็รีบแต่งงานกันสิคะ...แล้วก็รีบมีลูก ชิงมีก่อนนังภาพิศไปเลย คุณปู่จะได้รักหลาน หลงหลาน ยกสมบัติให้หลานแค่คนเดียว” สุขฤทัยเพ้อ
โดยไม่รู้ว่าที่โต๊ะด้านหลัง นิคกับมะยมนั่งทานข้าวกันอยู่ ถึงกับชะงัก ส่วนอีกฝั่งโต๊ะติดกัน เป็นกาวินทร์นั่งหันหลังให้โต๊ะสรวงอยู่ ยินสรวงเอ่ยขึ้นว่า
“เพ้อเจ้อ”
มะยมกะนิคแอบกลั้นหัวเราะ กาวินทร์เองก็ยิ้มเยาะ
สุขฤทัยเหวอ แต่ยังแถต่อ “เพ้อเจ้อตรงไหน? คนแต่งงานกัน ก็ต้องมีลูก มีทายาทเป็นเรื่องธรรมดา”
สรวงพูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ “แต่ผมไม่คิดจะแต่งงานกับคุณ”
สุขฤทัยหน้าคว่ำ “สรวง”
“ที่ผ่านมา” สรวงเน้นคำต่อมา “เราเป็นแค่เพื่อนกันนะฤทัย ผมไม่อยากให้คุณคิดอะไรอย่างนี้
หวังว่าคุณคงเข้าใจ” ลุกขึ้นเดินหนีไป
สุขฤทัยหน้าซีด มะยมกับนิคยังกลั้นหัวเราะกันอยู่ แต่กาวินทร์หัวเราะดังลั่น สุขฤทัยหันขวับไปมอง และจำได้
“แก”
กาวินทร์ยียวน แนะนำตัวเอง “ผมชื่อแก้ว”
“บอกทำไม? ฉันไม่ได้อยากรู้จัก” สุขฤทัยแว๊ด
“แต่ผมอยากให้คุณรู้จักไว้....เพราะยังไงเราต้องได้เกี่ยวพันกันแน่นอน” กาวินทร์บอก มองจ้องหน้า
สุขฤทัยเยาะเย้ย “แสดงว่ายังไม่เข็ด”
กาวินทร์หัวเราะเยาะ “หมาลอบกัด กระจอก มาอีกครั้งสิจะได้เตะปากหมา”
สุขฤทัยโกรธจันตัวสั่น “ไอ้บ้า...ฉันไปทำอะไรให้แก...อย่ามาตามหาเรื่องฉันนะ”
“ผมไม่ได้ตามหาเรื่อง แค่อยากแนะนำตัว ผม...พี่ชายของกาว กรรณรี...พี่ชายนักข่าวที่คุณด่าไงล่ะ อย่ามีเรื่องกับน้องผม” เปิดกระเป๋าตังค์หยิบเงินมาวาง แล้วเดินออกไป
สุขฤทัยหน้าเหวอไปเลย นิคกับมะยมเอาเงินวางบนโต๊ะ เดินผ่านเมียงมองขำๆ สุขฤทัยแว๊ดใส่
“มองทำไม? อยากมีเรื่องกับฉันเหรอ?”
“ไม่อยากมี แค่อยากถาม ไหวป่ะ?” นิคทำท่าล้อเลียนไปด้วย กิริยาเหมือนที่สุขฤทัยทำใส่นิค
กับมะยมที่ออฟฟิศ แล้วนิคก็เดินออกไป
“คืนเดียวมีผู้ชายเดินหนีตั้งสามคน” มะยมยั่วล้ออีกคน “ไหวป่ะคะ คุณฤทัย” วิ่งตามนิคไป
สุขฤทัยได้แต่ร้องกรี๊ดๆ
นิคเดินนำมะยมมาที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ สองคนหัวเราะ นิคเปรยขึ้น
“โลกกลมชะมัดเลย”
“เค้าถึงบอกไง ว่าอย่าเกลียดอะไร เพราะเกลียดอย่างไหน จะได้อย่างนั้น...” มะยมบอก
“งั้น...ฉันไม่เกลียดเค้าแล้วดีกว่า” นิคว่า
“ฉันก็ไม่เกลียด....เพราะฉันกลัวเจอเค้าอีก...”
“โอ้! ถ้าเจออีก ไม่ไหวแน่ๆ เลยแก”
สองคนหัวเราะกันสนุก ก่อนที่นิคจะขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ มะยมกระโดดซ้อนท้ายหมับ
นิคว่าขำๆ “มอเตอร์ไซค์นังเจ้ ขี่ดีชะมัด เดี๋ยวยึดมันซะเลย”
ภายในห้องนอน สรวงนอนไม่หลับ เอาแต่ตำหนิตัวเองเรื่องล่วงเกินกรรณนรี
“ไม่เป็นลูกผู้ชายเลยสรวงเอ๊ย...ต่อให้ฉันจะโกรธเกลียดแม่เธอแค่ไหน? ฉันก็ไม่ควรระบายอารมณ์ใส่เธอ”
สรวงกังวลจนนอนไม่หลับทั้งคืน
เช้าตรู่ สรวงขับรถมาจอดที่หน้าปากซอยบ้านกรรณนรีก่อนเดินเข้าไป
ภายในบ้านยามนั้น เกริกกอดกรรณนรีที่มีหน้าหมองเศร้า ขณะเดินออกมา บอกอย่างอ่อนโยน
“ดูแลตัวเองด้วยนะลูก ช่วงนี้กาวหมองๆไปเยอะเลย”
“พ่อก็เหมือนกันนะคะ...กาวรักพ่อค่ะ” กรรณนรีกอดและหอมพ่อ
เกริกก็กอดและหอมลูกสาว สรวงยืนมองภาพความอบอุ่น สายตาสรวงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเดินกลับออกไป
กรรณนรีเดินมาถึงที่หน้าปากซอยบ้าน หญิงสาวจะเดินต่อ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นสรวงยืนอยู่ พอกรรณนรีเลี่ยงไปอีกทาง สรวงขยับขวางทุกที่
“อย่าคิดว่าจะใช้ไม้เดิมได้นะ”
“ไม้ไหน” สรวงเน้นคำ “ตบ” ยิ้มยั่ว “จูบ”
กรรณนรีทั้งโกรธทั้งอายแต่ทำเสียงเข้มใส่ “พิศวาสฉันล่ะสิ”
สรวงตอบหน้าตาเฉย แกล้งเล่น “คงงั้นมั้ง”
กรรณนรีตกใจ คาดไม่ถึง “คุณ”
สรวงอมยิ้ม พูดยั่ว “แน่ะ! ดีใจ จนเนื้อเต้น” พร้อมกับทำท่าเอามือชี้ตามแขนกรรณนรี
“อย่ามาทำหมาหยอกไก่กับฉันนะ ฉันมันไก่เดือยแข็ง เดี๋ยวมีเจ็บ”
“ก็อยากจะรู้เหมือนกัน....ว่าจะเจ็บขนาดไหน?” เดินเข้ามาให้อย่างไม่กลัว
“คุณ” กรรณนรีตกใจถอยหลังกรูด
ระหว่างนั้นภรตขับรถมาจอด ก้าวลงมาทันที เดินมาคั่นกลาง “มีอะไรกาว”
กรรณนรีไม่ตอบ ภรตจ้องหน้าสรวงแทน ท่าทางเอาเรื่อง “มีปัญหาอะไร...คุยกับผมได้”
สรวงมองไปยังกรรณนรี “แน่ใจเหรอ? จะให้ผมคุยเรื่องของ...เรา”
“อย่านะ” กรรณนรีร้องลั่น
ทำเอาภรตตกใจ “กาว”
กรรณนรีตัดรำคาญคว้ามือภรตไว้ “ไม่ต้องสนใจคนบ้าหรอกค่ะพี่ภรต ไปกันดีกว่า”
กรรณนรีจูงมือภรตตรงไปที่รถ สรวงมองตามอย่างไม่พอใจ
ภรตขับรถอยู่ มีกรรณนรีนั่งข้างๆ แต่กรรณนรี จ้องกระจกมองหลังตลอดว่าสรวงจะตามมาหรือเปล่า
ภรตมองตามสายตากรรณนรี “กาวมีเรื่องอะไรกับเค้าเหรอ?”
“เปล่าค่ะ”
“แล้วทำไม...เค้าถึงได้กล้าพูดกับกาวว่า...เรื่องของเรา”
กรรณนรีนิ่งไปไม่รู้จะตอบยังไง ได้แต่ถอนหายใจ ภรตถามย้ำ
“ตกลงเค้าเป็นใคร บอกพี่ได้มั้ย”
“เค้าชื่อสรวง อริยะวรรต ลูกชายของพลตรีอารักษ์ ค่ะ”
ภรตตกใจรีบจอดรถทันที หันไปถาม “เค้ามาทำไม”
“เค้าคิดว่ากาว สมคบกับแม่ ไปปอกลอกสมบัติเค้า”
“ในเมื่อกาวไม่ได้ทำ ไม่เห็นต้องแคร์” ภรตบอกเชิงปลอบ
“กาวก็ไม่ได้แคร์ค่ะ” กรรณนรีบอก
“แต่สายตากาวบอกว่าแคร์” ภรตทักท้วง
กรรณนรีซ่อนน้ำตา “กาวถูกตราหน้าตลอด ว่าลูกเมียเก็บ ลูกเมียน้อย กาวเป็นคนเลวร้าย ถึงจะบอกว่าไม่แคร์...แต่กาวเจ็บค่ะ”
ภรตทอดสายตามองกรรณนรีด้วยความเห็นใจ
กรรณนรีเดินเข้ามาในออฟฟิศ มะยมหันมาเห็นก็ถามขึ้นทันที
“กาว...พี่จ๋าฝากถาม เรื่องสัมภาษณ์คุณสรวง”
“ฉันสัมภาษณ์เค้าไม่ได้”
นิคงง “อะไร โทร. คุยกันขนาดนี้ เค้าไม่ให้สัมเหรอ” นิคใช้สัมฯ แทนคำว่าสัมภาษณ์ ภาษานักข่าว
“ฉันนี่แหละ ไม่อยากไป” กรรณนรีบอกอีก
“ทำไมล่ะกาว เดี๋ยวพี่จ๋าก็โกรธหรอก” มะยมท้วง
“ฉันเกลียดเค้า ฉันไม่อยากเห็นหน้าเค้า ต่อให้ฉันขอคุยกับเค้าดีๆ เค้าก็คงไม่คุยกับฉันอยู่ดี” กรรณนรีเดินเลี่ยงไป ด้านในเลยทันที
นิคเกาหัวแกรกๆ “คราวก่อนก็คุณภาพิศ มันเรื่องอะไรวะ กาวถึงสัมภาษณ์คนในครอบครัวนี้ไม่ได้ ปกติ กาวกัดไม่ปล่อยนี่หว่า”
“นั่นน่ะสิ...เอางี้...เดี๋ยวฉันจะขอสัมภาษณ์คุณสรวงเอง ก่อนพี่จ๋าจะมา” มะยมบอก
ที่นพ คุยงานอยู่กับสรวง เห็นภาพแปลนงานวางอยู่ตรงหน้า
“ปีนี้ไม่แน่ใจว่าน้ำจะท่วมหรือเปล่า ผมเลยออกแบบ สู้น้ำไว้เลย เผื่ออนาคตด้วย
“ดี เรื่องผนังกั้นน้ำ เดี๋ยวเราคุยกับวิศวกรอีกที”
เลขาเดินเข้ามา “คุณสรวงคะ..นักข่าวจาก สตาร์ อินเทรนด์ มาขบพบค่ะ”
สรวงหน้าตึง เหตุการณ์ตอนกรรณนรีไปกับภรตแวบเข้ามา สรวงโกรธขึ้นมาทันทีทันควัน
“บอกว่าฉันไม่ว่าง”
นพท้วงเบาๆ “เฮ้ย! มีเรื่องอะไรไปคุยกันดีกว่า...นายเป็นผู้ชาย หลบหน้าพี่ว่าไม่ดี”
สรวงเสียงเข้มพาล “ไม่ได้หลบ แต่ผมไม่อยากเจอ”
“โอเคๆ เดี๋ยวพี่ออกไปเอง”
นพเดินออกไปกับเลขา สรวงเงยหน้ามองด้วยความอยากรู้
มะยม...ยืนหันหลังอยู่ นพเดินยิ้มอย่างเป็นมิตรเข้าไปหา พลางเอ่ยทักเสียงสุภาพ
“สวัสดีครับคุณกรรณรี”
มะยมหันไปมอง เบื้องแรกที่เห็นคือรอยยิ้มของนพ พอนพเห็นว่าไม่ใช่กรรณนรี ก็หน้าเจื่อน
มะยมยิ้ม “ไม่ใช่กาวค่ะ ฉันชื่อมะยม”
ในร้านกาแฟเล็กๆ ใกล้ออฟฟิศ นพกับมะยมนั่งคุยกันตรงโต๊ะที่มุมหนึ่ง นพเอ่ยขึ้น
“ปกติ...สรวงก็เป็นคนน่ารักนะครับ แต่กับคุณกาวผมไม่รู้เหมือนกัน ทำไมสรวงถึงเหมือนตั้งแง่ตลอดเวลา”
“ยังไงรบกวนคุณนพด้วยนะคะ...เพราะถ้ากาวสัมภาษณ์คุณสรวงไม่ได้” พูด
เวอร์ๆ ให้น่าสงสารเข้าไว้ “กาวถูกไล่ออกแน่ๆ เลยค่ะ”
นพยิ้มใจดี “ยินดีครับ”
“งั้นฉันไม่รบกวนแล้วค่ะ ขอบคุณคุณนพมากนะคะ” มะยมจะเดินไปจ่ายเงิน
“คุณผู้ชายจ่ายแล้วครับ” พนักงานบอกมะยม
มะยมหันมามองนพ นพยิ้มเยื้อนมาให้อย่างอบอุ่น และเป็นมิตร
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณมะยม”
“เช่นกันค่ะคุณนพ” ยิ้ม เดินถอยหลังออกไป เป็นจังหวะเดียวกับมีลูกค้าเปิดประตูเข้ามา ชนมะยมจังๆ มะยมร้อง “โอ๊ย”
“เจ็บมั้ยครับ”
“ไม่ค่ะ...ขอบคุณอีกครั้งค่ะ”
มะยมหน้าเสีย อายเล็กๆ รีบเดินออกไป นพมองตามยิ้มขำอย่างเอ็นดู
สรวงนั่งทำงานอยู่ พลางมองดูนาฬิกา เห็นว่าเย็นมากแล้ว
“ทำไมพี่นพ คุยกับยัยนั่นนานจัง”
สรวงเดินออกมาหน้าห้องทำงาน ถามหานพกับเลขา
“พี่นพล่ะ ยังไม่กลับมาอีกเหรอ?”
“คุณนพบอกว่า ไม่กลับเข้ามาแล้วค่ะ” หันไปทำงานต่อ
สรวงหน้าหงิก บ่นเบาๆ “ไม่กลับเข้ามาแล้ว กรรณรีต้องพาพี่นพไปไหนต่อแน่ๆ ไวไฟเหมือนแม่ไม่มีผิด” ไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว “ฉันไม่ให้เธอทำลายครอบครัวพี่นพ เหมือนที่แม่เธอทำลายครอบครัวฉันแน่ กรรณรี”
กรรณนรีนั่งทำงาน ปิดต้นบับอยู่ที่โต๊ะในออฟฟิศ พลางหาวหวอดๆ นิคมองมาพลางเอ่ยขึ้น
“กาว..ง่วงก็กลับไปนอนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยกลับมาทำต่อก็ได้”
“ไม่ได้ พรุ่งนี้ถ้าไม่ส่งงาน ถูกพี่จ๋าด่าแน่”
นิคยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ “ฉันแอบได้ยินมาว่า พรุ่งนี้พี่จ๋ามีประชุมข้างนอก กว่าจะเข้าก็บ่ายโน่นแกกลับไปนอนก่อนเถอะ เช้าค่อยมา”
“ก็ดีเหมือนกัน” กรรณนรีเผลอหลุดปาก “ไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า? ช่วงนี้ฉันเห็นแกเครียดๆ ไปนะ” นิคถามอย่างเป็นห่วง
กรรณนรียิ้มเศร้า “ไม่มีอะไร”
“โอเค..ตอนนี้แกอาจจะไม่อยากพูด อยากบอกอะไร...ไว้ตอนไหน แกพร้อม...” กอดไหล่กรรณนรีแบบเพื่อน “นึกถึงฉันเป็นคนแรกแล้วกัน”
“ขอบใจมากนิค ขอบใจจริงๆ”
ระหว่างนั้นมะยมเดินเข้ามา เห็นนิคกอดกรรณนรี ก่อนที่กรรณนรีจะจับมือนิคออก แล้วเดิน
ออกไป มะยมหน้าเศร้า อย่างไม่เข้าใจตัวเอง ก่อนพูดเบาๆ เชิงปลอบใจ
“นิคกับกาว ก็แค่เพื่อนกันน่า...มะยม”
กลางดึกคืนนั้น ขณะที่กรรณนรีเดินหาวหวอดๆ และกำลังจะเข้าบ้าน จู่ๆ สรวงเดินออกมาจากมุมมืด ทักยียวน
“กลับมาซะดึกเลยนะ”
“แล้วมันเรื่องอะไรของคุณ”
“ใช่...ไม่ใช่เรื่องของฉัน...แต่ฉันจำเป็นต้อง เผือก” สรวงจงใจใช้ ‘เผือก’ แทน ‘เสือก’ ที่กำลังฮิต “เพราะเธอกำลังทำลายครอบครัวคนอื่น”
กรรณนรีงง “ฉันทำลายครอบครัวใคร?”
สรวงกระชากกรรณนรีเข้ามาหา “ก็คนที่เธอไปกับเค้าไง...รู้ไว้ด้วย พี่นพมีลูกมีเมียแล้วนอกซะจากเธอตั้งใจเป็นเมียน้อยเค้า เพราะเธอได้นิสัยแม่เธอ”
กรรณนรีบันดาลโทสะตบเข้าที่หน้าเสียงดังเผียะ สรวงมองจ้องหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว
“ฉันไม่ให้เธอทำลายครอบครัวคนอื่นเป็นอันขาด กรรณรี
สรวงกระชากกรรณนรีเข้ามาจูบอีก จักจั่นเดินออกมาจากซอยเห็นสะดุ้งโหยง ป้าขาเม้าท์ขยี้ตามองอีก เห็นสรวงจูบกรรณนรีคาตา
“บร๊ะเจ้า” ป้าจั๊กจั่นอุทาน
กรรณนรีตบหน้าสรวงอย่างแรงพร้อมกับร้องไห้ออกมา จากนั้นก็วิ่งหนีเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว สรวงมองตามไม่รู้ตัวเลยว่าหึงกรรณนรีเข้าให้แล้ว
คืนนั้น พอกรรณนรีเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน ก็ทุ่มตัวลงบนเตียงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความคับแค้นใจ หญิงสาวกำมือแน่นทุบๆๆ ลงที่เตียงระบดระบายอารมณ์
“ฉันเกลียดคุณ คุณสรวงเกลียดๆๆ” ทุบแล้วทุบอีก “ชาตินี้อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย”
กรรณนรีทุบๆๆ มือที่กำทุบค้างไว้ นึกถึงวินาทีที่ถูกสรวงจูบขึ้นมาอีก กรรณนรีค่อยๆ เอามือ
มาแตะที่ริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะเช็ดออกแรงๆ อย่างรังเกียจ ก่อนจะหยุด ใบหน้าสรวงลอยมา
“คนบ้า! เมื่อไหร่จะไปให้พ้นจากหน้าฉันซักที”
กรรณนรีเอามือแตะริมฝีปากค้างอยู่อย่างนั้น
ทางด้านสรวงนั่งเอามือกุมขมับอยู่บนเตียงนอนในห้อง สีหน้าเครียดจัด เสียงของกรรณนรีดังก้อง
“ฉันเกลียดคุณๆๆๆๆ”
สรวงพ่นลมหายใจยาว เอามือลูบหน้าตัวเองท่าทีเครียดไม่หาย ตำหนิตัวเอง
“ทำไมไม่เป็นสุภาพบุรุษอย่างนี้วะสรวง” สรวงเอามือออก ครุ่นคิด “โทร.ไปขอโทษดีกว่า”
สรวงหยิบมือถือมา ทำท่าจะกด แล้วค้างเอาไว้ ถามใจตัวเอง
“แล้วจะโทร.ไปบอกว่าอะไรล่ะ ขอโทษ..ไม่ได้ตั้งใจ...” สรวงครุ่นคิด “ไม่ใช่...เราตั้งใจ
นี่หว่า” นึกแล้วนึกอีก “แต่ถ้าโทร.ไปบอก ขอโทษ..ผมตั้งใจ โอ” สรวงเอามือลูบผมอย่างสับสนและหนักใจ “คงถูกเค้าด่าว่าหื่น โทร.ไปยังไงก็ถูกด่าอยู่ดี เอาไงดีสรวง?” เครียดหนักกว่าเดิม “แล้วต่อไปจะสู้หน้าเค้าได้ยังไงเนี่ย”
สีหน้าสรวงเครียดเคร่งสุดแสนจะหนักใจ
คืนเดียวกันนั้น ประตูบ้านป้าตั๊กแตนถูกทุบปังๆๆๆๆ
ป้าจักจั่นเรียกด้วย น้ำเสียงตื่นเต้น “ป้าตั๊กแตนๆ”
ป้าตั๊กแตนเปิดประตูในอาการงัวเงียออกมา “อะไร...มาเคาะประตูอะไรดึกดื่นป่านนี้?”
“มีเรื่องเด็ด” ป้าจักจั่นยิ้มกริ่มบอก
ป้าตั๊กแตนตาเหลือก “มีเลขเด็ด”
ป้าจักจั่นหน้ามุ่ย “เรื่องเด็ด”
“บ๊ะ! ไอ้ฉันก็นึกว่ามีเลขเด็ด”
ป้าจักจั่นยิ้ม พูดเป็นนัย “ป้าตั๊กแตนฟังเรื่องนี้ แล้วจะไปตีเป็นเลขเด็ดก็ได้”
ป้าจักจั่นยกสองมือไขว้กัน เอานิ้วชี้สองนิ้วมาเกี่ยวกัน
“อะไรวะฉันแปลไม่ออก? เกี่ยว เป็นเลขแปด” ป้าตั๊กแตนเริ่มตีเลข
จักจั่นเซ็ง “เฮ้อ! เล่าเลยดีกว่า ไอ้หนุ่มหน้ามลคนหล่อ ที่มาบ้านพ่อเกริกเมื่อวันนั้นจูบกาว”
ป้าตั๊กแตนตาเหลือก “หา!ไอ้หนุ่มหน้ามล คนหล่อ จูบกาว” ทำท่าคิด “จูบกาวก็ต้องเจ็ดก้าว” พร้อมกับเอามือเกี่ยวกันเหมือนป้าจักจั่นล้อๆ “สองคนนัวเนีย ก็ต้อง...”
“สองเจ็ดก้าว” สองป้าประสานเสียงหัวเราะดังสนั่น
ป้าตั๊กแตนพูดอย่างมาดหมาย “เต็งโต๊ด ขึ้นลง ไม่มีพลาด 5555”
เวลาเดียวกันกรรณนรีเดินออกมาที่หน้าบ้าน ยังอยู่ในอาการเศร้าเสียใจ
สรวงเองก็ออกมาเดินที่สนามหน้าบ้านอาการเดียวกัน
กรรณนรียกมือแตะริมฝีปากตัวเองแผ่วเบา ขณะที่สรวงก็เผลอเอามือจับริมฝีปากตัวเองเหมือนกัน
กรรณนรีเดินอยู่ จู่ๆ ใบหน้าสรวงลอยอยู่ตรงหน้า กรรณนรีตกใจ
“อะไรเนี่ย?” กรรณนรีมองหนีไปที่อื่น หรือที่ไหน ก็ยังเห็นหน้าสรวงยิ้มอยู่เหมือนเดิม กรรณนรีอ่อนใจ
เช่นเดียวกับสรวง เดินๆ อยู่ ใบหน้ากรรณนรีก็ลอยมา สรวงหลบไปทางอื่นก็ยังเห็นใบหน้าบึ้งตึงของกรรณนรีมองมาอย่างโกรธขึ้ง
“เธอคงจะโกรธฉันมากกรรณรี” สรวงรำพึง
กรรณนรีพึมพำ “ฉันจะไปคิดถึงคุณทำไม? คุณสรวง”
สองคนสุดแสนจะกลัดกลุ้มไม่ต่างกันเลย
ส่วนทางด้านภาพิศนั่งรออย่างกระวนกระวาย สีหน้าเครียดเคร่งอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมป่านนี้ท่านยังไม่มาอีก?”
นึกถึงเสียงสุขฤทัยที่ปลอมเป็นเด็กสาวโทร.มาป่วน ภาพิศชักสีหน้า
“อย่าบอกนะว่าท่านอยู่กับเด็กคนนั้น” ภาพิศโกรธ ทำท่าจะอาละวาด แต่ข่มอารมณ์ได้ เตือนตัวเอง “ อย่าใช้อารมณ์ภาพิศ” พลางสูดลมหายใจแล้วโทร.ออก ทว่าปลายสายปิดเครื่องติดต่อไม่ได้ “ท่านปิดโทรศัพท์ หมายความว่ายังไง”
ภาพิศใจเต้นไม่เป็นส่ำ รู้สึกไม่ค่อยดี
เช้าวันต่อมา ที่รีสอร์ตแห่งนั้น อารักษ์เดินไปเรื่อยๆ ท่าทางครุ่นคิด นึกถึงเรื่องที่รับปากภาพิศจะจัดการกับคุณหญิงสุดา ไม่ให้มีเรื่องเกิดกับภาพิศอีก พร้อมๆ กับเหตุการณ์ที่ถูกสุดาด่า
อารักษ์ถอนใจพึมพำเบาๆ
“ผมไม่เคยคิดเลิกกับคุณหญิง แต่เมื่อเรื่องมันบานปลายมาถึงตอนนี้...มันคงต้องจบเสียที”
อารักษ์ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
สุดานั่งอยู่ในห้อง กำโทรศัพท์มือถือแน่น หน้าตาไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน เสียงสมหญิงมารดาสุขฤทัยดังก้อง
“คุณหญิงต้องใจเย็นๆ ค่ะ ความในอย่าให้ออก ความนอกอย่าเอาเข้า ใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อน นังภาพิศมันทำได้ คุณหญิงก็ต้องทำได้สิคะ”
“ขอบคุณคุณสมหญิงมากค่ะที่ให้สติ” สุดาลดสายตาลง แต่ดูออกว่าดวงตาคู่นั้นเหนื่อยล้ามากๆ
เช้าเดียวกันนั้นพลตรีอารักษ์เดินเข้ามาในบ้าน เหมือนคนตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว สุดาเดินออกมาพอดี สองคนมองหน้ากัน สุดาพยายามข่มความเสียใจถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ทานอะไรมาหรือยังคะ”
อารักษ์นิ่ง สุดาไม่เคยเป็นคนแบบนี้ สุดาฝืนยิ้ม
“ถ้ายัง...งั้นฉันจะให้เด็กจัดให้” เรียกสาวใช้ “พรรณี”
อารักษ์ร้องห้าม “ไม่ต้อง....ผมมาเก็บของเดี๋ยวเดียว”
สุดากับอารักษ์มองหน้ากัน สุดามีสีหน้าเสียใจอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาไหลริน ถามเสียงเครือสั่น
“เราจะเลิกกันจริงๆหรือคะ”
จังหวะนั้น สรวงเดินลงบันไดมาจากด้านบน เห็นเหตุการณ์ ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่ตรงนั้น ใจคอไม่ดีนัก เมื่อเห็นผู้เป็นมารดาร่ำไห้ออกมาอย่างแสนเสียใจ
“อย่าไปจากฉัน อย่าไปจากลูกได้มั้ยคะ? ฉันขอโทษ...ที่ผ่านมา ฉันทำตัวไม่ดี ฉันไม่เคยใส่ใจ ฉันไม่เคยให้เกียรติคุณ...แต่ฉันขอโอกาส ฉันขอโอกาสในการทำตัวใหม่....ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณจริงๆค่ะ” สุดาเดินเข้าไปกอดอารักษ์
อารักษ์ลำบากใจ เหมือนจะดันสุดาออก “คุณหญิง”
ทว่าสุดากอดอารักษ์ไว้แน่น
“อย่าไปจากฉันเลยนะคะ....คุณจะเอายังไงก็ได้...” แววตาแสนชอกช้ำขมขื่น และไม่ยอม! “คุณจะมีภาพิศก็ได้” สุดากัดฟันพูด”คุณจะมีผู้หญิงเป็นสิบเป็นร้อยคนก็ได้ ฉันขอร้อง อย่าไปจากฉันก็พอ”
เจอไม้นี้อารักษ์ก็ใจอ่อน “อย่าร้องไห้...โอเคๆ ผมจะไม่ไปจากคุณ....เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก”
“ขอบคุณค่ะขอบคุณ”
อารักษ์เอามือแตะหลังของสุดาเบาๆ สรวงมองภาพตรงหน้าอย่างโล่งใจ จังหวะนั้นแววตาสุดาวาวโรจน์แบบไม่ยอม
สุดาเปิดประตูเข้ามาในห้อง ท่าทีผู้แพ้เมื่อครู่ ไม่เหลือเค้าสักนิด ดวงตาของสุดากร้าว ขณะจับกรอบรูปของอารักษ์ขึ้นมาดู
“คุณคงไม่รู้หรอกคุณอารักษ์ ฉันเจ็บจนใจฉันตายไปแล้ว ที่เหลือมันเป็นเกม ซึ่งฉันจะแพ้นังภาพิศไม่ได้”
สุดากระแทกรูปอารักษ์ลงกับโต๊ะ ดวงตาเจ็บช้ำ ไม่เหลืออีกแล้วความรัก
ภาพิศแต่งตัวอยู่หน้ากระจก สีหน้าแววตาหมองหม่น แต่ภาพิศลงเครื่องสำอางเอาไว้
“อย่าให้ใครรู้ ว่าเรามีปัญหา” ภาพิศแต่งหน้าพร้อมกับเตือนตัวเอง ระหว่างนั้นเสียงมือถือดัง ขึ้น ภาพิศดูชื่อรีบกดรับ ยิ้มอย่างดีใจ “คุณพี่จะทานอะไรดีคะ ภาจะได้จัดไว้ให้”
อารักษ์อยู่ที่คฤหาสน์บอกต่อ “เปล่า...พี่ไม่ได้เข้าไป”
ภาพิศหน้าเจื่อน พยายามคุมอารมณ์ “แล้วคุณพี่โทร.มา มีอะไรหรือคะ จะให้ภาไปเจอที่ไหน”
“เปล่า...พี่โทร.มาบอกว่า ช่วงนี้อาจจะไม่ได้เข้าไปหาภา ถ้าภาอยากไปเที่ยวที่ไหน บอกมา เดี๋ยวพี่จัดการให้”
มือของภาพิศกำโทรศัพท์แน่น ดวงตาเป็นประกายหน้าเข้มเคร่ง รีบปรับสีหน้าน้ำเสียง
“ไม่เป็นไรค่ะ... ช่วงนี้ภาเองก็ยุ่งเหมือนกัน คุณพี่ทำธุระตามสบายเถอะนะคะ ไม่ต้องห่วง....ภามีคุณแฉล้มเป็นเพื่อนค่ะ”
ปากยิ้มใบหน้าแย้มบาน แต่แววตาของภาพิศวาวโรจน์
ขณะที่ด้านหลังนายพลอารักษ์ สุดายิ้มพอใจ
ไม่นานนัก ภาพิศเดินตรวจดูเพชรในร้านด้วยท่วงท่าปกติ สบายๆ แฉล้มซะอีกที่หน้ามุ่ย
“โถๆๆๆ ท่านมาไม้นี้แล้วคุณจะทำยังไงคะ?”
“ไม่ทำยังไงค่ะ” ภาพิศบอก
“คุณไม่รู้สึกอะไรเหรอ?”
ภาพิศยิ้มเครียด “รู้สึก แต่ทำไมต้องแสดงออก” มองหน้าแฉล้มขณะพูดประโยคต่อมา “จริงๆคุณน่าจะรู้ดีมากกว่าฉันนะคะ ถ้าเราอยู่เฉยๆ เค้าจะกระวนกระวาย วิ่งมาหาเราเองยิ่งเราตาม เค้าก็ยิ่งหนี”
“เหมือนที่คุณหญิงสุดา ทำกับท่าน” แฉล้มฉอเลาะ
“ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงให้ผู้หญิงทำตัวมีอำนาจเหนือกว่าหรอกค่ะ ถึงฉันจะไม่พอใจ ฉันก็ต้องข่มเอาไว้ ในเมื่อเสน่ห์ของผู้หญิงคือความอ่อนแอน่าสงสาร”
“อย่างที่คุณกำลังทำอยู่” แฉล้มยิ้มกริ่ม “คุณเหนือชั้นกว่าบ้านใหญ่อีกตามเคย
ระหว่างนั้นสุดาเดินผ่านหน้าร้านเพชรกับสุขฤทัย หยุดยืนแล้วหันมายิ้มเหยียดๆ ภาพิศมองตอบพลางยิ้มเย้ย
“บ้านใหญ่ก็เป็นได้แค่หมาวิ่งไล่งับเงาตัวเองเท่านั้นล่ะค่ะ วิ่งเท่าไรก็ตามไม่ทัน”
ที่ห้างสรรพสินค้าเวลานั้น สุดาเดินมากับสุขฤทัย ท่าทางของสุดาดีขึ้น สุขฤทัยจีบปากประจบ
“ถูกแล้วล่ะค่ะที่คุณหญิงแม่ เดินหมากอย่างนี้ อย่างน้อย ก็ได้รู้เอาเข้าจริงคุณพ่อท่านก็ยังรักคุณหญิงแม่อยู่”
สุดายิ้ม “มารยาเนี่ย นานๆทำก็สนุกดีเหมือนกัน”
“ไม่ใช่แค่สนุกค่ะ ชนะด้วย กว่านังภาพิศมันจะรู้ตัว มันก็กลายเป็นคนที่ถูกทิ้งไปแล้ว มันจะได้รู้ซะบ้าง ว่ามันไม่ได้มารยาเป็นคนเดียว”
สุขฤทัยยิ้มย่อง
สรวงนั่งทำงานอยู่ในห้อง แต่ไม่มีสมาธิเอาเสียเลย จนต้องลุกขึ้นมาเดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้อง
“ปัญหาของคุณพ่อคุณแม่ออกจะหนักหน่วง ท่านยังผ่านมันไปได้ แล้วเรื่องเราเล็กน้อยจะตาย จะป๊อดไปทำไมสรวง” มองมือถือ “แต่เธอก็น่ากลัวเหมือนกัน...ฉันจะทำยังไงกับเธอดี กรรณนรี” สรวงได้แต่ครุ่นคิด ก่อนจะนึกพาล “แต่มันก็เป็นความผิดของเธอแหละ เธออยากไปยุ่งกับคนมีครอบครัวทำไม?”
ส่วนกรรณนรีเดินเข้ามาในออฟฟิศ ท่าทางโรยๆ มะยมถามตามประสา
“เมื่อคืนทำไรมา หน้าตาเหมือนกับไม่ได้หลับได้นอน”
นิคแซว “แอบไปเดทกับผู้ชายมาล่ะซี้”
กรรณนรีหน้าร้อนผ่าว “พูดบ้าๆ ทำงานย่ะ”
นิคยั่วไปงั้นๆ “ทำงานแล้วทำไมปากแดง แก้มแดง”
มะยมผสมโรงมองจ้องอย่างจับผิด “ดูปากบวมจริงๆด้วย”
นิคพลอยพยักเพยิด “เออใช่! บวมจริงๆ นังเจ๊ ไปฉีดฟิลเลอร์มาแหงๆ”
มะยมมองจ้องอีก “หมอที่ไหนทำให้เนี่ย ปากบนดูบวมกว่าปากล่าง แกต้องไปให้หมอเติมให้ใหม่นะกาว ปากแกจะได้อวบอิ่มเท่ากัน”
กรรณนรีเจอรุมจนเสียเซ้ลฟ์ จับปากตัวเอง “บ้า!ฉันไม่ได้ทำอะไรย่ะ ก็บอกแล้วทำงานๆๆ”
จ๋าเดินเข้ามาทันได้ยินพอดี “ดี! ทำงาน ไหนเอางานมาดูซิ” แบมือทวงต้นฉบับ
กรรณนรีหน้าจ๋อย “ยังไม่เสร็จค่ะ”
“หมู่นี้กาวเป็นยังงี้ทุกที ไรเนี่ย? รีบเขียนให้เสร็จเร็วๆ พี่อยากอ่านแล้ว” พูดจบจ๋าก็เดินออกไป
“จะเขียนได้ยังไง? ยังไม่ได้สัมภาษณ์ซักคำ มีแต่...” เผลอจับปากตัวเอง
นิคยื่นหน้าเข้ามามองเหล่ “คุณสรวงทำอะไรแก”
กรรณนรีเหวอ...ปฏิเสธเสียงสูง “เปล๊า...”
“คุณสรวงยังไม่ให้แกสัมภาษณ์อีกเหรอ” มะยมถาม ขณะที่กรรณนรีนั่งนิ่ง อาการเครียดๆ “ โอเค...เดี๋ยวฉันตามต่อให้เอง” เดินไปที่โต๊ะพูดพึมพำ “คุณนพ”
มะยมรื้อกล่องเก็บนามบัตรออกมาดู
ไฟมาร ตอนที่ 3 (ต่อ)
ปรากฏว่ามือถือของนพวางอยู่โต๊ะทำงานในห้อง กรีดเสียงดังลั่น แต่ไม่มีคนรับ มะยมหันไปมองกรรณนรี เห็นกรรณนรีนั่งเหม่อ เหมือนมีเรื่องกลุ้มใจ มะยมครุ่นคิด
ที่แท้นพเอาแปลนมาคุยงานอยู่กับสรวง ท่าทางของนพนั้นดูอารมณ์ดีมาก
“สรุปแบบตามนี้เลยนะ พี่จะได้คุยกับลูกค้า”
สรวงมองนพตาขวาง “ท่าทางอารมณ์ดีนะพี่”
ถูกนพแซวกลับเอา “พี่ว่าพี่ปกตินะ แต่ท่าทางนายดูอารมณ์เสียมากกว่า ไง...มีเรื่องกับใครอีก”
“ผมไม่ใช่คนช่างหาเรื่อง” สรวงมองจ้องจับกิริยา
นพหัวเราะขำไม่ถือสา “แต่นายพูดเหมือนจะหาเรื่องพี่เลยว่ะ”
ระหว่างนั้น เลขาของสรวงเดินเข้ามา “คุณนพขา...นักข่าวจาก สตาร์ อินเทรนด์ ขอพบค่ะ”
“ฉันเหรอ?” นพงง ชี้ตัวเองอย่างไม่แน่ใจ
“ค่ะ” เลขาบอก
“โอเค.” หันมาทางสรวง ตบไหล่สัพยอก “ไว้อารมณ์ดี ค่อยคุยกันสรวง” แล้วนพก็เดินออกไป
สรวงนึกยัวะขึ้นมาทันที “เมื่อคืนไปด้วยกันไม่พอ วันนี้ตามมาหาพี่นพถึงที่นี่เลยเหรอ กรรณนรี เธอนี่จริงๆ เลย พี่นพก็เหมือนกัน ทำไมเป็นคนแบบนี้”
ชายหนุ่มพาล และหงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผล
ที่ด้านนอกอาคารออฟฟิศ มะยมยืนหันหลังอยู่ นพเดินออกมาเห็นข้างหลังแต่จำได้ เอ่ยทักทายอย่างอารมณ์ดี
“อ้าว! คุณมะยม”
มะยมยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ...ตะกี้มะยมโทร.มาคุณนพไม่ได้รับสาย มะยมร้อนใจ เลย...ขออนุญาตมาหาถึงที่เลย”
“ยินดีครับ” นพบอก
“คุณสรวงว่ายังไงบ้างคะ?” มะยมเข้าเรื่อง
“ยังไม่ได้คุยเลยครับ นายสรวงเป็นไรไม่รู้ ’รมณ์เสียทั้งวัน”
มะยมฟังแล้วกลุ้ม “กาวก็เหมือนกัน ...ท่าทางเครียดๆ ทั้งวัน” จู่ๆ ก็นึกสงสัย “เค้าสองคนมีเรื่องอะไรกัน คุณนพรู้มั้ยคะ”
นพยิ้มตอบมีเลศนัย “ไม่-รู้-ครับ”
มะยมมองนพ “แต่มะยมว่า ต้องมีแน่ๆเลย”
สรวงเดินเข้ามาทางด้านหลังนพ ร่างนพบังผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ สรวงนึกเอาเองว่าเป็นกรรณนรี สรวงเสียงเข้ม
“ที่นี่เป็นที่ทำงานนะครับพี่นพ ไม่ใช่ที่นัดเดท”
นพหันไปหา พอสรวงเห็นเป็นมะยม สรวงก็เหวอ มะยมก็เหวอ
“เฮ้ย! พูดเป็นเล่น ใครจะนัดเดทตรงนี้” นพติง
มะยมไม่ชอบใจคำพูดสรวงนัก “ขอโทษค่ะคุณสรวง....มะยมมาตามงานค่ะ”
สามคนอยู่ในออฟฟิศ แม่บ้านเอากาแฟมาเสิร์ฟให้มะยม
“หมายความว่า...เมื่อวาน...คนที่มาคือคุณมะยม” สรวงเอ่ยขึ้น
“ฮื่อ!ใช่!” นพบอก
“คุณสรวงคิดว่ากาวเหรอคะ” มะยมสงสัย
สรวงเลิ่กลั่ก ยิ้มเขิน ปฏิเสธ “เปล่าครับ ไม่ได้คิดอะไร” สรวงรู้สึกผิด พูดเบาๆ กับตัวเอง “แย่แล้วสรวง ปากพล่อย ด่าผิดคน”
มะยมได้ยินไม่ชัด งง “อะไรคะ”
สรวงยิ้มแหะๆ “เชิญคุณมะยมกับพี่นพตามสบายนะครับ” สรวงจะเดินออกไป
มะยมรีบเรียกไว้ “คุณสรวงคะ แล้วคิวสัมภาษณ์?”
“เดี๋ยวผมจะติดต่อคุณกรรณรีเอง ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน วุ่นวาย”
สรวงยิ้มเดินออกไป มะยมกับนพมองหน้ากัน ทำหน้าทึ่งๆ ที่เห็นสรวงยิ้ม
“คุณสรวงเป็นคนน่ารักอย่างที่คุณนพว่าจริงๆ ค่ะ”
นพยิ้มงงๆ
สรวงเดินพล่านอยู่ในห้อง เหคุการณ์ที่ตัวเองต่อว่ากรรณนรี ตั้งใจเป็นเมียน้อยเหมือนแม่ผุดขึ้นมาหลอน
สรวงกุมหัวกุมขมับ “โอ้! เป็นนักเขียนตั้งแต่เมื่อไหร่วะสรวง เขียนบทได้มั่วมาก คิดเองเออเอง เหมือนที่กรรณรีด่าจริงๆ เอาวะ...ลูกผู้ชาย ผิดต้องยอมรับผิด เธอจะด่าฉัน จะถีบฉัน ฉันก็ยอม กรรณรี”
สรวงบอกตัวเองแววตาหวานเยิ้ม
ค่ำนั้นกรรณนรีเดินหน้ายุ่งออกมาที่หน้าออฟฟิศ หลับหูหลับตาเดิน เอามือกุมหัวท่าเดียวกับสรวงเป๊ะ
“มันจะเป็นวันชง เดือนชง ปีชง อะไรกับฉันนักหนา ตั้งแต่เจอนายสรวงชีวิตฉันอยู่ไม่เป็นสุขเลย”
จังหวะนั้น กรรณนรีรู้สึกเหมือนชนอะไรซักอย่าง บ่นพึมพำ
“ขอโทษค่ะ” พอเงยหน้าขึ้นมอง เห็นสรวงยืนอยู่ “คุณสรวง” มองจ้องอย่างไม่เชื่อสายตา “เราตาฝาด” กรรณนรีขยี้ตาตัวเอง ลืมขึ้นมาอีก เพ่งมองก็ยังเห็นสรวงยืนอยู่ “ไม่ใช่....ชีวิตคนเรามันไม่ได้บังเอิญอะไรขนาดนั้น”
สรวงตัวเป็นๆ เอ่ยขึ้น “ก็ใครว่าบังเอิญ ผมตั้งใจ”
กรรณนรีเบิกตาจ้อง “คุณสรวง”
สรวงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เอ็นดูอยู่ในที “ฉันเอง”
กรรณนรีตั้งสติ “ขอร้อง อย่ามายุ่งกับฉัน ไปที่ชอบที่ชอบเถอะ อย่าได้มาเบียดเบียนกันเลย”
สรวงเย้าขำๆ “ผมยังไม่ตายซะหน่อย”
“ก็แล้วๆเมื่อไหร่จะตายๆไปซะทีล่ะ”
“ถ้าผมตาย แล้วคุณจะตามไปสัมภาษณ์ผม...ผมยอม”
กรรณนรีมองนิ่ง แปลกใจว่าสรวงมาไม้ไหน สรวงยิ้มอ่อนโยน ท่าทีเขินๆ บอกเสียงจริงใจ
“ถ้าคุณยังอยากสัมภาษณ์ผมอยู่ ผมจะเปิดบ้านทุกซอกทุกมุม ต้อนรับคุณโดยเฉพาะเลย”
กรรณนรี กลับเข้าออฟฟิศบอกข่าวดีเพื่อนๆ มะยม นิค ดีใจกันใหญ่
“เฮ้ย! จริงดิ คุณสรวงยอมให้แกสัมภาษณ์แล้ว”
“ฮื่อ!” กรรณนรีเชิด... “จริงๆฉันก็ไม่อยากคุยด้วยหรอก ก็แค่..ทำเพื่องาน”
มะยมทำหน้ายั่วล้อ “จริงดิ! ฉันเห็นตอนเค้ายังไม่ให้สัมภาษณ์ แกหน้าเหี่ยวยังกับอายุแปดสิบ”
นิคผสมโรง “ทีตอนนี้หน้ายังกับสาวสิบแปดเลย”
“งั้นถ้ายังเจ๊อยากจะเป็นสาวสิบแปดทุกวัน ก็ต้องคุยกับคุณสรวงทุกวันสิ” มะยมสัพยอก
“ขืนคุยกับคุณสรวงทุกวัน ฉันคงได้ตายก่อนเหี่ยว” กรรณนรีเดินตัวปลิวออกไป
สองคนแซวพร้อมกัน “จริงเหร้อ นังเจ๊” กรรณนรีไม่ตอบ สองคนหันมาหัวเราะกันสนุก
มะยมตะโกนตามหลัง “กาว..คุณสรวงเค้านัดสัมภาษณ์เฉยๆนะแก ไม่ได้นัดเดท” หันกลับมาหานิคตั้งข้อสังเกต “นังเจ๊ทำท่ายังกับคนอินเลิฟเลยนะนิค ว่าป่ะ”
“เหรอ?” นิคหน้าสลดลง มะยมแอบมอง
ไม่นานต่อมากรรณนรีเดินมาอย่างสุขใจ ฮัมเพลงเบาๆ
“แค่เพียงได้รู้ว่าคิดถึงกัน แค่เพียงเท่านั้น ที่ฉันต้องการ” พอรู้สึกตัวนึกได้ จึงหยุดร้อง “ร้องอะไรเนี่ยกาว”
กรรณนรีเดินอมยิ้มในทีท่าขวยเขิน เหมือนคนอินเลิฟ
เวลาเดียวกัน สรวงนั่งทำงานไปยิ้มไป ยินเสียงเพลงจากเครื่องเล่นซีดีแว่วหวาน ดังคลอเบาๆ สรวงลุกเดินไปที่หน้าต่าง ทอดสายตามองดูท้องฟ้ากรุงเทพฯ ยามราตรี ช่างเป็นท้องฟ้าที่สวยงามจับมากกว่าคืนไหนๆ มองไกลออกไปเห็นท้องถนนแสนวุ่นวาย รถยนต์แน่นิ่งอยู่เต็มท้องถนน แต่สรวงกลับยิ้มอย่างมีความสุข เสียงเพลงดังถึงท่อน
“คำว่ารักที่เธอให้มาไม่ได้เป็นเพียงแค่คำหนึ่งเท่านั้น ..”
สรวงกดรีโมตปิดเครื่อง เดินยิ้มออกจากห้อง
เวลาต่อมา กรรณนรีอยู่ที่ปากซอย กำลังจะเดินเข้าบ้าน แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นรถสรวงจอดรออยู่แล้ว สรวงก้าวลงมา อมยิ้มเล็กๆ แต่พยายามเก็ก กลั้นยิ้ม กรรณนรีมองงงๆ
“อย่าบอกนะว่าคุณเปลี่ยนใจ”
สรวงวางท่ากวน “ฮื่อ”
กรรณนรีเครียด “คุณสรวง...อย่าทำตัวเป็นเด็กได้มั้ย? ฉันต้องทำงาน”
“ผมก็ต้องทำงานเหมือนกัน”
กรรณนรีโกรธ “คุณจะเอาไงว่ามา”
“ก็...ก่อนที่เราจะนัดสัมภาษณ์กันจริงๆ ผมอยากรู้คร่าวๆ ว่าคุณจะถามอะไร ผมบ้าง?” สรวงวางฟอร์ม “คุณ...จะ คุยกับผมได้หรือเปล่า”
กรรณนรีขำ ลอบอมยิ้ม
เวลาต่อมาสองคนเดินคุยกันมาตามทางริมน้ำ กรรณนรีเอ่ยขึ้น
“ก็..อย่างที่ฉันบอกคุณแหละ ฉันคงต้องถามหมด ตั้งแต่ชีวิตส่วนตัว ชีวิตทำงาน แล้วก็...” อึดอัดไม่ค่อยกล้าพูด “เรื่องครอบครัว คุณว่าไง”
“จริงๆ...ผมก็ไม่อยากพูดหรอก แต่ยังไงคุณก็ต้องถามใช่มั้ย” สรวงว่า
กรรณนรีรู้สึกลำบากใจ “ค่ะ คุณโอเครึเปล่า”
“แล้วคุณโอเค.หรือเปล่า? เพราะคำถามที่ถาม คงไม่พ้นคำตอบที่ เราสองคนต้องเจ็บเหมือนกัน” สรวงย้อนถามด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร
กรรณนรีนิ่ง สีหน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต่างจากสรวง
สรวงเดินมาส่งกรรณนรีที่หน้าบ้าน พูดบอกกรรณนรี “ขอบใจที่มานั่งเป็นเพื่อน”
“งานของฉันเหมือนกันค่ะ”
“จริงๆ ที่ตั้งใจมาหาคุณ..ไม่ได้อยากมาคุยเรื่องคำถามหรอก เพราะยังไง คุณก็ต้องถามผมเรื่องพวกนั้นอยู่ดี” สรวงว่า
กรรณนรีงง “แล้วคุณมาทำไม”
สรวงมองนิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผม...ผมอยากมาขอโทษ”
กรรณนรีมองสรวงคาดไม่ถึง สองคนไม่รู้ว่าที่ด้านหลัง ภรตขับรถมาจอดเห็นสรวงกับกรรณนรีมองจ้องกัน
“ผมอยากขอโทษ...ที่ผมทำไม่ดีกับคุณ”
กรรณนรีเย้า “แล้วถ้าฉันไม่ยกโทษให้ล่ะ”
“คุณจะให้ผมทำยังไง ผมก็ยอม”
“งั้นขอฉันชกหน้าคุณหนึ่งที” กรรณนรียกมือจะชก
สรวงจับมือกรรณนรีไว้ กรรณนรีทั้งตกใจทั้งเขิน สองคนประสานสายตา ต่างรู้สึกดีต่อกัน ภรตตกใจรีบลงมา
กรรณนรีเขิน เอ่ยขึ้น “ปล่อยฉันนะ”
สรวงจับมือนิ่ง “ขอโทษจริงๆ แต่วันหลังอย่าทำอย่างนี้อีก เพราะมันเสี่ยงกับการที่คุณจะถูกผม...” จังหวะที่สรวงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ เสียงภรตก็ดังขัดจังหวะขึ้น
“กาว!”
สองคนปล่อยมือจากกัน ภรตเดินมาขวางกรรณนรีเอาไว้ มองหน้าสรวง
“มีอะไร”
“เปล่าค่ะ” กรรณนรีบอก ก่อนจะหันมาพูดกับสรวง “คุณสะดวกให้คิวฉันวันไหน บอกมานะคะ”
กรรณนรีเดินเข้าบ้าน ภรตมองสรวงอย่างไม่พอใจ ก่อนเดินตามกรรณนรีเข้าบ้านไป สรวงมอง
ตามอารมณ์หวานเมื่อครู่หายไป งอนขึ้นมาอีก
สองคนอยู่ในบ้าน กรรณนรีวางถ้วยกาแฟลงตรงหน้าภรต “กาแฟค่ะ”
ภรตหน้าเครียดเคร่งแต่ไม่กล้าแสดงออกว่าโกรธ “พี่มานี่ไม่ได้อยากดื่มกาแฟ”
กรรณนรีงง “แล้วพี่ภรตมาทำไมคะ”
“บังเอิญพี่ผ่านมา แล้วเห็นกาวอยู่กับผู้ชาย ค่ำๆ มืดๆ อย่างนั้นมันอันตราย”
“คนรู้จักกัน ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” กรรณนรีบอก
“ไม่มีได้ยังไง? พี่เคยเห็นกาวอยู่กับเค้าหลายครั้งและทุกครั้งเค้าก็ล่วงเกินกาว” ภรตหลุดปาก
กรรณนรีอึ้ง นิ่งงันไป ภรตเห็นท่าทีของกรรณนรีก็เดาออก ถามเสียงเข้มปนน้อยใจ
“ตกลง...คุณสรวงกับกาว เป็นอะไรกัน”
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ เค้าแค่เป็นคนที่กาวต้องไปสัมภาษณ์”
“แค่นั้น…”
“ค่ะแค่นั้น” แม้กรรณนรีจะยืนยันหนักแน่น แต่สายตาภรตไม่เชื่อเลย
พอกลับมาถึงบ้านภรตเอาแต่ถอนหายใจ และบอกกับหมอบุญยิ่งผู้เป็นพ่อ
“ผมไม่เชื่อหรอกครับคุณพ่อว่าคุณสรวงเค้าจะไม่คิดอะไรกับกาว”
“แค่เรื่องงานมั้ง” บุญยิ่งปลอบ
“ผมว่าไม่ใช่ ผู้ชายด้วยกันดูออก”
บุญยิ่งถามตรงๆ “แล้วถ้าเค้าคิด แกจะไปมีสิทธิ์อะไรไปห้าม”
“คุณพ่อก็รู้ผมรักกาว”
“แล้วกาวเค้ารู้มั้ย?..แกบอกแต่พ่อ แต่พ่อไม่เคยเห็นแกบอกกาว”
ภรตเสียงอ่อยๆ “ผมไม่กล้า เพราะผมรู้ดีว่า กาวจะตอบผมว่ายังไง สายตากาวบอกตลอดเวลาว่าผมคือพี่ชาย”
ภรตหน้าหมองลงอย่างน่าสงสาร บุญยิ่งมองลูกด้วยความเห็นใจ
ด้านสรวงเดินอยู่ที่สนามหญ้าหน้าตึก เดินไปวนมา นึกถึงตอนภรตมองตนอย่างหึงหวงกรรณนรี สรวงเกิดไม่พอใจขึ้นมาเฉยๆ
“ผู้ชายคนนั้นจะเป็นใครก็ช่าง ไม่ต้องไปสนใจ ...หน้าที่ของเราคือให้สัมภาษณ์เท่านั้น”
รุ่งเช้า ระหว่างรับประทานอาหาร อารักษ์ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตกใจ
“อะไรนะ ลูกจะเปิดบ้านให้สัมภาษณ์”
“ครับ คุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วยนะครับ เค้าอยากได้ภาพความเป็นแฟมิลี่” สรวงว่า
อารักษ์แปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น...เมื่อก่อนลูกไม่ชอบเรื่องแบบนี้เลยนี่”
“ในเมื่อคนเค้าสนใจครอบครัวของเรา ยิ่งปิด คนเค้าก็ยิ่งอยากรู้ และถ้ารู้ไม่จริงก็จะเอาไปพูดในทางที่เสียหาย ผมเลยตัดสินใจให้เค้าสัมภาษณ์พวกเราทั้งครอบครัวเลย” สรวงบอก
อารักษ์ท้วง “แต่พ่อว่า...”
สุดารีบแทรกขึ้น “แต่ดิฉันว่าดีนะคะ....เพราะตอนนี้ครอบครัวของเราก็อบอุ่น มีความสุข อีกอย่าง” อดเหน็บสามีไม่ได้ “จะได้ลบภาพเสียๆ ที่เคยมีซะที”
สุดา ชวนสุขหฤทัย ออกมาช้อปปิ้งในห้างหรู ที่ร้านเพชรของภาพิศตั้งอยู่นั่นเอง สองคนจับจ่ายซื้อของแบรนด์เนมกันอย่างมีความสุข
“ใครจะว่าเชยก็ช่างแต่ฤทัยขอเอามาใช้หน่อยนะคะคุณหญิงแม่ หัวเราะทีหลังดังกว่า” สุขหฤทัยหัวเราะร่วน สะใจมาก
สุดายิ้มพราย “ใช่! หัวเราะทีหลัง สะใจกว่าจริงๆ”
สุขหฤทัยชวนขึ้น “งั้นไปหัวเราะหน้าร้านมันเลยดีมั้ยคะคุณหญิงแม่? ร้านมันอยู่หัวมุมนี่เอง”
“อย่าเล้ย...แม่ไม่ชอบเหยียบซ้ำคนล้ม” ปากสุดบอกว่าไม่ แต่หน้าตาขณะที่พูดดูเป็นมารร้ายชัดๆ “กลัวเผลอไปกระทืบมัน...แม่ว่ารอให้มันเห็นบทสัมภาษณ์เองดีกว่า...มันจะได้รู้ว่าแม่กับมัน ยังไงก็คนละชั้นกัน”
“งั้น...เดี๋ยวฤทัยจะบอกนักข่าวเองค่ะคุณหญิงแม่ บอกให้ครบทุกฉบับเลย” สุขหฤทัยประจบ พลางหยิบรองเท้าคู่สวย “รองเท้าคู่นี้สวย ฤทัยหยิบเลยนะคะ”
สุดาพยักหน้าโดยไม่ได้ดู มัวแต่ยิ้ม “หยิบเลยลูก เหมาให้หมดห้างเลยก็ได้ แล้วอย่าลืม บอกนักข่าว บอกให้ครบทุกฉบับเลย”
คุณหญิงสุดายิ้มย่องอย่างสะใจ
ที่สนามกอล์ฟ ตอนกลางวัน นายพลอารักษ์ตีกอล์ฟด้วยท่าทีไม่สบายใจ จนหมอบุญยิ่งสังเกตเห็นและบอกขึ้น
“คงไม่มีอะไรมังครับ....ถ้าคำถามไหนไม่สบายใจ คุณก็ไม่ต้องตอบ”
“ผมไม่ได้ห่วงเรื่องคำถาม คำตอบ แต่ภาพครอบครัวที่เสนอออกไป ผมเป็นห่วงความรู้สึกของภาพิศ” อารักษ์ว่า
“แต่คุณตัดสินใจแล้วที่เลือกครอบครัว เพราะคำว่าครอบครัว มันควรมีแค่ พ่อแม่ลูก เท่านั้น” บุญยิ่งเตือนสติ
“ผมยังไม่ได้เลิกกับภาพิศ เพราะภาพิศเป็นผู้หญิงที่เข้าใจ รู้ใจผมทุกอย่าง” อารักษ์บอก
บุญยิ่งติง “แต่ยังไงคุณก็ต้องนึกถึงสรวง ถ้าในอนาคตสรวงแต่งงานแล้วมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน คุณคิดว่า...ครอบครัวของสรวงจะมีความสุขหรือเปล่า?”
เห็นอารักษ์นิ่ง บุญยิ่งพูดต่อ
“ก็คงจะไม่มีความสุขเหมือนกับคุณ....ที่นั่งบนกองไฟตลอดเวลา”
ภาพิศอยู่ที่ร้านเพชรมองโทรศัพท์มือถือเหมือนรอคอย มือถือไม่มีคนโทร.เข้ามา ภาพิศหยิบมาดูหน้าตากังวล ก่อนตัดสินใจโทร.ออก ปลายสายเป็นอารักษ์ซึ่งออกรอบตีกอล์ฟอยู่กับหมอบุญยิ่ง
“ว่าไงจ๊ะภา? พี่เล่นกอล์ฟอยู่”
ภาพิศดีใจ “วันนี้คุณพี่มาหาภานะคะ...ภาจะทำของอร่อยๆ ที่คุณพี่ชอบไว้ให้ทาน”
อารักษ์รับคำไปส่งๆ “จ้ะๆ”
“ภาจะรอค่ะ” ภาพิศยิ้มพรายสีหน้าระรื่น มีความสุขมาก “ดีที่เราไม่วู่วาม น้ำร้อนปลาเป็น น้ำ
เย็นปลาตายจริงๆ” นิ่งมองโทรศัพท์เหมือนในใจคิดอะไรอยู่
เสียงโทรศัพท์ที่ออฟฟิศ สตาร์ อินเทรนด์ ดัง มะยมเป็นคนรับสาย
มะยมรับสาย “สตาร์ อิน เทรนด์ ค่ะ”
“ขอสาย..น้องก้างค่ะ” ภาพิศยังอยู่ที่ร้านเพชรในห้างสรรพสินค้า โทร.หากรรณนรี
มะยมงง “อะไรนะคะ ก้าง”
กรรณนรีได้ยินเงยหน้าขึ้นมามอง
ภาพิศพูดสายหน้าระรื่น “ค่ะน้องก้าง...ที่เคยมาขอสัมภาษณ์ พี่ภาพิศไงคะ”
มะยมนึกออก ร้อง “อ๋อ.คุณภาพิศ...ที่นี่ไม่มีก้างนะคะ มีแต่…”
กรรณนรีรีบบอกทันที “ฉันเอง” กระโจนมาคว้าโทรศัพท์
มะยมมองงงๆ หันไปถามนิค “กาวมันเปลี่ยนชื่อตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
นิคส่ายหน้า กรรณนรีคุยสายกับภาพิศ สมอ้างเป็น “ก้าง” อย่างที่ภาพิศเรียก
“สวัสดีค่ะคุณภาพิศ ก้างค่ะ”
“หนูก้างเหรอ? เรายังคุยกันค้างอยู่นะ วันนี้ สองทุ่ม หนูมาหาฉันที่บ้านนะ ฉันพร้อมเปิดใจทุกเรื่อง..พร้อมกับท่านอารักษ์” ภาพิศยิ้มมีความสุข
กรรณนรีเพิ่งวางสายจากภาพิศ นิคกับมะยมนิ่วหน้า มะยมถามอย่างสงสัย พร้อมตั้งข้อสังเกต
“ฉันว่าคุณภาพิศต้องมีอะไรเด็ดๆ แน่ๆ เลย ถึงได้ให้แกไปหาที่บ้านน่ะ”
“หรือท่านอารักษ์จะหย่ากับคุณหญิงสุดาจริงๆ” นิคออกความเห็น
กรรณนรีเสียงอ่อยๆ “คงไม่ใช่หรอก...ไม่งั้นคุณสรวงจะเปิดบ้านให้พวกเราไปสัมภาษณ์พร้อมครอบครัวทำไม?”
“นั่นสิ...อืมห์! แล้วคุณภาพิศจะให้แกไปหาที่บ้านทำไม” มะยมสงสัย
“ฉันว่าต้องการโชว์พาวแข่งกันว่ะ งานนี้ใครชิงออกก่อนก็เป็นต่อ ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ ท่านอารักษ์คิดอะไรอยู่ ถึงได้เปิดทั้งบ้านเล็ก บ้านใหญ่ ให้สัมภาษณ์พร้อมกัน” นิคปรารภ
“คงจะคิดว่าเท่ตาย” มะยมส่ายหน้าอารมณ์หมั่นไส้
กรรณนรีหน้าหมอง เศร้าอยู่ในใจ รำพึงเบาๆ “แม่ต้องการหยามบ้านใหญ่แน่ๆ แม่นะแม่ ไม่น่าเลย”
เวลานั้นนายพลอารักษ์ กับหมอบุญยิ่ง สองคนเดินมาที่จอดรถในสนามกอล์ฟ ขณะจะขึ้นรถบุญยิ่งหันมาถาม
“ไปไหนต่อคุณ”
“กลับบ้าน” อารักษ์บอก
บุญยิ่งหัวเราะ “แต่ยังไม่รู้บ้านไหน? ยังไงก็โชคดีนะคุณ” ขึ้นรถแล้วขับออกไป
อารักษ์ยืนนิ่ง ครุ่นคิด
ด้านภาพิศแวะมาทำผมที่ร้านแฉล้ม โดยแฉล้มลงมือทำผมให้ภาพิศด้วยตัวเอง พอเสร็จสวยสมใจแล้วแฉล้มแซวออกมา
“ให้ฉันทำผมให้ซะสวย ยังกับเป็นเดทแรกเลยนะคุณ”
ภาพิศยิ้มบางๆ “ขอนิดนึงค่ะ ถ้าไม่สวย เดี๋ยวจะมัดใจท่านไม่ได้”
“ความสวยของคุณน่ะ มัดจนท่านไปไหนไม่รอดแล้วค่ะ” แฉล้มว่า
สองคนหัวเราะกันคิกคัก สุดาเดินเข้ามาทันได้ยินการสนทนา จึงเหยียดยิ้มแบบคนถือไพ่เหนือกว่า
“ระวังจะเป็นแม่สายบัว แต่งตัวรอเก้อนะคะคุณน้อง แต่งให้สวยแค่ไหนก็ต้องไปนั่งมองตัวเองร้องไห้อยู่หน้ากระจก”
“ถ้าน้องต้องร้องไห้หน้ากระจก...คุณหญิงพี่ก็คงต้องแต่งหน้าเตรียมเก็บศพตัวเองแล้วล่ะค่ะ” ภาพิศแดกดันพร้อมกับยิ้มเย้ย
สุดายิ้มหยันกลับ “คุณหญิงพี่ก็อยากรู้เหมือนกัน งานนี้ใครกันแน่ที่จะตาย”
สุดาเดินออกมาหน้าร้านทำผม ภาพิศเดินตามออกมา สุดาหยิบมือถือกดโทร.ออก
“คุณคะ...วันนี้กลับบ้านเร็วหน่อยนะคะ...ฉันอยากให้คุณช่วยเลือกเสื้อผ้าให้ตาสรวงถ่ายลงหนังสือสัมภาษณ์หน่อยน่ะค่ะ”
สุดาปรายหางตามามองเย้ย ภาพิศเองก็มองเย้ยสุดา ต่างฝ่ายมั่นใจตัวเองทั้งคู่
เย็นนั้นภาพิศเดินเข้ามาในห้องโถง ถามน้อยทันที
“ท่านจะมาแล้วนะ อาหารเสร็จเรียบร้อยหรือยังน้อย”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” น้อยยิ้มย่อง
“งั้นจัดขึ้นโต๊ะเลย”
“ค่ะ” น้อยเดินออกไปเตรียมจัดโต๊ะ
จังหวะนั้น เม็ตตี้เดินเข้ามา มีกรรณนรีเดินตามหลังมาด้วย “คุณคะ”
“ว่าไงเม็ตตี้”
เม็ตตี้มองกรรณนรี “เค้าบอกว่าคุณนัดไว้ค่ะ”
ภาพิศมองไป เห็นเป็นกรรณนรีก็ยิ้มให้ กรรณนรียกมือไหว้
“อ้าว! น้องก้าง ตามสบาย พี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยว”
ภาพิศเดินยิ้มขึ้นห้องที่ชั้นบนไป กรรณนรีมองตาม นึกสะท้อนใจ
ด้านสรวงยังนั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ สักครู่หนึ่งจึงเหลือบไปมองมือถือแล้วอมยิ้ม
“ถ้าตอนนี้ฉันโทร.หาเธอ คงไม่เสียฟอร์มใช่มั้ย กรรณรี?” แล้วสรวงก็หยิบมือถือขึ้นมา
ระหว่างนั้นกรรณนรีเดินสำรวจไปรอบๆ คฤหาสน์ของภาพิศ
“แม่มีความสุขจัง” กรรณนรีสีหน้าเศร้า “หรือแม่ตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกอยู่กับเค้า” นึกสะท้อนใจ
เสียงโทรศัพท์มือถือดัง กรรณนรีหยิบขึ้นมามอง ตกใจ
“คุณสรวง” นิ่งไปนิดก่อนรับ “ค่ะ คุณสรวง”
สรวงฟอร์ม “เตรียมคำถามที่จะสัมภาษณ์ผมครบหรือยังคุณ”
“ครบแล้วค่ะ”
“เหรอ” สรวงหน้าเสียไปนิดหนึ่ง หาเรื่องคุย “อืมห์! จะคุยอะไรกับผมเพิ่มก็ได้นะ เผื่อ
คุณจะมีประเด็นอะไรใหม่ๆ เช่น..ดนตรีที่ผมชอบ ความสามารถพิเศษ หรือ...เอางี้คุณอยู่ไหน? บอกมาแล้วกันผมจะไปหา” กรรณนรีเงียบ “ว่าไงคุณ? อยู่ที่ไหน?”
กรรณนรีลำบากใจ แต่ก็บอก “ฉันอยู่บ้านคุณภาพิศค่ะ”
สรวงลุกพรวดจากเก้าอี้ทันที “คุณไปที่นั่นทำไม”
“เค้าให้ฉันมาสัมภาษณ์”
สรวงถามรัวเร็ว เสียงห้วน “สัมภาษณ์อะไร”
“ก็ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณภาพิศ”
สรวงอึ้ง โกรธ “นี่แปลว่าคุณเล่นข่าวทั้งสองทาง? ทั้งทางผม ทั้งทางเค้า”
กรรณนรีรู้สึกผิด “ก็ฉันถูกสั่งมา”
“ไม่ต้องอ้างว่าถูกสั่ง คุณน่ะตั้งใจทำ ไม่อย่างงั้น คุณไม่สัมภาษณ์เค้า ก่อนผมหรอก”
สรวงกดวางสาย ท่าทีโกรธมาก
“คุณสรวงคะคุณสรวง” รีบกดสายโทร.กลับ สรวงมองไม่ยอมรับ
“คุณก้างคะ....คุณภาพิศเชิญให้เข้าไปข้างในค่ะ” เมตตี้เดินออกมาตาม
“ค่ะ” กรรณนรีหน้าจ๋อย
ด้านสรวงมองโทรศัพท์ที่สายหลุดไปแล้ว สีหน้าเครียด คิดในใจ
“ฉันไม่น่าไว้ใจเธอเลย ยังไงเธอก็ทำเพื่อแม่เธออยู่ดี”
ส่วนกรรณนรีเดินตามเข้าบ้านไป ในใจว้าวุ่น
“คุณไม่เข้าใจฉันเลย คุณสรวง ไม่ว่าจะเป็นใครก่อนใครหลัง ฉันก็ต้องทำเพราะมันคืองาน”
ภาพิศเดินมาหา ด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ สวยสง่ามาก กรรณนรีมองมารดาอย่างชื่มชม ภาพิศยิ้ม
“ฉันสวยมั้ยหนู”
“สวยมากค่ะ”
“ท่านชอบคนสวย หนูจะถ่ายรูปฉันเก็บไว้ก่อนก็ได้นะ”
กรรณนรีเปิดกระเป๋า ยกกล้องออกมา เปิดหน้ากล้อง เล็งมุมเตรียมจะถ่าย ภาพในคมเลนส์ภาพิศสวยงามมาก กรรณนรีเพ่งมอง แต่แล้วภาพิศกลับว่า
“รอถ่ายพร้อมท่านดีกว่า” มองไปทางประตู “เอ๊! ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่มาอีก เดี๋ยวนะหนูก้าง พี่โทรฯตามท่านก่อน” ภาพิศเดินกลับเข้าไปข้างใน สีหน้าเริ่มไม่ดี
กรรณนรีมองเห็นใจ เริ่มรู้สึกเป็นห่วงภาพิศ
เสียงมือถือของอารักษ์ดัง สุดากวาดสายตามองหา อารักษ์ไม่อยู่ รีบเดินมารับ
สุดายิ้มหยัน “ไม่เชื่อหรือคะคุณน้องเมียน้อย ว่าคืนนี้ท่านอยู่กับคุณหญิงพี่?”
ภาพิศหน้าซีดแต่ฝืนยิ้ม “เชื่อค่ะ เพราะน้องเป็นคนบอกท่านเอง ว่าให้กลับไปหาคุณพี่เพราะน้องกลัวคุณพี่จะกลายเป็นศพแล้วไม่มีคนเก็บ”
สุดาหน้าตึง แต่ยิ้ม “ใจดีอย่างนี้ แล้วอย่าไปร้องไห้หน้ากระจกนะคะ เพราะต่อไปท่านคงไม่กลับไปหาคุณน้องอีก เพราะคุณหญิงพี่ จัดสาวน้อยสาวใหญ่ไว้คอยดูแลท่าน ร้อยเล่มเกวียนของคุณน้อง...สู้ร้อยเล่มเกวียนของคุณพี่ไม่ได้หรอกค่ะ”
คุณหญิงสุดาวางสายแล้วยิ้มพอใจ ภาพิศกำมือถือแน่นจนมือสั่นระริก สีหน้าโกรธมาก
ภาพิศโกรธจนตัวสั่น แต่ข่มอารมณ์ฝืนยิ้มขณะเดินออกมา แต่ยังเห็นได้ชัดว่าเป็นยิ้มที่แห้งแล้งเหลือ
“น้องก้างคะ....วันนี้ไม่สะดวกให้สัมภาษณ์แล้วค่ะ”
กรรณนรีงงระคนตกใจ “ทำไมคะ”
“พี่ไม่ค่อยสบายนะค่ะ”
กรรณนรีนึกห่วง “คุณภาพิศเป็นอะไรคะ? แล้วท่านใกล้มาถึงรึยัง”
ภาพิศถูกจี้ใจดำก็เหวี่ยงขึ้นมาทันควัน “เอ๊! เธอนี่ จะใกล้มาถึงหรือว่าไม่ เธอเกี่ยวอะไรด้วย ก็ฉันบอกแล้วว่าไม่สบาย ไม่ให้สัมภาษณ์”
“ฉันแค่เป็นห่วง...ถ้าท่านมาถึงคุณจะได้มีคนดูแล แต่ถ้าไม่ ฉันจะได้อยู่เป็นเพื่อนแต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคุณไม่ต้องการ ขอโทษค่ะ งั้นฉันกลับก่อน”
กรรณนรียกมือไหว้เดินออกมา ภาพิศมองตามรู้สึกผิดนิดๆ ก่อนจะกลับไปอยู่ในอารมณ์เดิมโกรธอย่างเก่า
กรรณนรีเดินหน้ามุ่ยกลับมาเข้าออฟฟิศ มะยมกับนิคที่วุ่นกับการทำงานเงยหน้าขึ้นมา
“ทำไมกลับเร็วนักล่ะนังเจ๊” นิคถาม
“คุณภาพิศ ไม่สบาย เลยไม่ให้สัมภาษณ์”
“เป็นอะไรล่ะ? เอ๊ะ!หรือคุณภาพิศจะท้อง” มะยมว่า
“เฮ้ย! อยู่มาตั้งนาน ไม่ท้อง แล้วตอนนี้จะท้องได้ยังไง” นิคท้วง
“ตั้งใจมีลูกเพื่อแย่งสมบัติจากคุณสรวง” มะยมบอก กรรณนรีหันขวับมามองหน้า มะยมลด
เสียงลง “ฉันได้ยินวงในเค้าเมาท์กัน”
“โอ!แผนของคุณภาพิศขั้นเทพจริงๆ ที่ให้นังเจ๊ไปสัมภาษณ์ต้องเป็นแผนแน่ๆ” นิคเห็นด้วย
“หัดคิดบวกซะบ้าง ถ้าเป็นแผน เค้าต้องให้ฉันสัมภาษณ์สิ โดยเฉพาะข่าวเรื่องท้อง” กรรณนรีพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น “น่ายินดีจะตาย”
“มันก็จริง...แต่ก็ดี คุณภาพิศไม่ให้สัมภาษณ์น่ะดีแล้ว ไม่งั้นคุณสรวงต้องเข้าใจว่า แกเล่นข่าวทั้งสองฝั่งแน่เลย”
กรรณนรีฟังเพื่อนว่าด้วยมีสีหน้าไม่สบายใจ
กรรณนรี เดินอยู่ในมุมหนึ่งตรงระเบียงของออฟฟิศ แหงนหน้ามองมองฟ้าโปร่งใส ด้วยท่าทางไม่สบายใจ เสียงของสรวงดังก้อง
“นี่แปลว่าคุณเล่นข่าวทั้งสองทาง ทั้งทางผม ทั้งทางเค้า”
กรรณนรีเหนื่อยใจ “มันไม่ใช่ ...ไม่ว่าฝั่งไหน จุดที่ฉันยืนอยู่มันก็เจ็บปวดทั้งนั้น”
ขณะนึก กรรณนรีมองมือถือ ทำท่าเหมือนจะโทร.ออก แต่ที่สุดก็ไม่โทร. ตัดสินใจเดินออกไป
กรรณนรพาตัวเองมาอยู่ที่หน้าออฟฟิศบริษัทสถาปนิกของสรวง ทำท่าจะเข้าไป แต่ลังเล
“ถ้าเข้าไปถูกด่าแน่ๆ เลยกาว” ทำท่าจะกดมือถือ แต่ก็ไม่โทร. “มาถึงตรงนี้แล้วจะโทร.
ทำไม เข้าไปเลยดีกว่า” พอจะเข้าไปก็เกิดลังเล “แต่เค้าเป็นผู้ชายปากจัด...ดีไม่ดี” กรรณนรียกมือลูบปากตัวเอง
จังหวะนั้นสรวงเดินออกมาพอดี และเห็นกรรณนรี “เธอ”
กรรณนรีสะดุ้งโหยง “คุณสรวง”
สรวงถามเสียงห้วน “มาทำไม”
“มาอธิบาย...สิ่งที่คุณกำลังเข้าใจผิด”
สรวงกวน “ผมน่ะเหรอ เข้าใจผิด”
“ค่ะ...แต่ถ้าคุณไม่ฟัง ฉันจะกลับ” กรรณนรีฉุน หันหลังจะเดินกลับ
สรวงตกใจ หน้าเหวอ รีบเรียกไว้ “เดี๋ยว กรรณนรี”
พอกรรณนรีหันมา สรวงทำเป็นไม่แคร์ และไม่ยอมมองหน้ากรรณนรีขณะพูดบอก
“ฟังก็ได้ อยากรู้เหมือนกันเธอจะแก้ตัวยังไง”
สรวงเดินนำเข้าไปด้านในออฟฟิศแอบยิ้ม กรรณนรีหน้างอ ส่ายหน้าระอาใจ ขณะเดินตาม
ไฟมาร ตอนที่ 3 (ต่อ)
ไม่นานต่อมา สองคนอยู่ภายในห้องทำงานด้วยกัน สรวงเดินมายื่นแก้วกาแฟให้กรรณนรี
“กาแฟ”
“ฉันไม่ดื่มค่ะ...” สรวงนิ่วหน้ามองอย่างสงสัย กรรณนรีอมยิ้มพลางพูดแดกดัน “แค่คุณด่าฉันก็ตาค้างแล้ว”
สรวงอมยิ้มอย่างพอใจ ถามเสียงนุ่ม “ไหน...จะพูดอะไรพูดมา”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะสัมภาษณ์สองฝั่งไว้บลัฟกันนะคะ มันเป็นความบังเอิญ เพราะทีแรกไม่ใครให้ฉันสัมภาษณ์เลย แต่พอคุณจะให้สัมภาษณ์ คุณภาพิศก็ติดต่อเข้ามา”
“ภาพิศเป็นฝ่ายติดต่อเข้ามา” สรวงนึกฉงน
“ค่ะ” กรรณนรีว่า
“แล้วเค้าให้สัมภาษณ์อะไรบ้าง”
“ไม่ได้ให้ค่ะ...” สรวงมองด้วยสีหน้าสงสัย กรรณนรีบอก “คุณภาพิศไม่สบาย”
สรวงพูดเสียงหยัน “ไม่สบาย?” บ่นพึมพำออกมาเบาๆ “ยังไงก็น่าจะให้สัมภาษณ์ได้...นอกซะจาก...” สีหน้าคาใจ นึกสงสัย “เค้ามีเรื่องอะไร”
“ฉันไม่ทราบค่ะ ฉันไม่ใช่คุณภาพิศ”
สรวงเคือง ลากเสียงยาวประชด “รู้..... ว่าไม่ใช่ภาพิศ แต่เป็นลูก”
กรรณนรีชักฉุน “ถ้าคุณไม่สบายใจ จะเปลี่ยนใจไม่ให้สัมภาษณ์ก็ได้ค่ะ”
สรวงบอกน้ำเสียงเข้ม “ผมไม่เปลี่ยนใจ แต่ผมอยากรู้” จ้องหน้ากรรณนรี “จู่ๆ ทำไมภาพิศถึงเปลี่ยนใจ?”
กรรณนรีนิ่งไม่ตอบ
ภาพิศนั่งเจ่าจุกมองกระจกร้องไห้อยู่ในห้อง เสียงของสุดา ดังก้องในหัว
“ใจดีอย่างนี้ แล้วอย่าไปร้องไห้หน้ากระจกนะคะ เพราะต่อไปท่านคงไม่กลับไปหาคุณน้องอีก”
ภาพิศสะบัดหน้าออกจากกระจก มองไปทางอื่น คิดในใจ
“ไม่จริง อย่าไปเชื่อ คุณหญิงสุดาแค่ต้องการปั่นหัวเรา คนแบบนั้นเหรอ จะกล้าหาผู้หญิงให้สามี” มองมือถือ ไม่มีสายจากอารักษ์เข้ามา “คุณพี่ไม่โทร.มา...อย่าโวยวายภาพิศ ไม่มีอะไร...มันต้องไม่มีอะไร” ภาพิศยกมือปาดน้ำตาแววตากร้าว
สายวันต่อมา ภาพิศกับแฉล้มนั่งดื่มกาแฟกันอยู่ที่ร้านกาแฟในห้าง
“คุณกับท่านอยู่กันมาตั้งสิบกว่าปี จะคิดมากไปทำไม ไม่มีอะไรหรอก” แฉล้มว่า
ภาพิศหน้าเคร่ง “แต่ครั้งนี้ท่านแปลกไปจริงๆ”
แฉล้มอวยพลางปลอบ “เสน่ห์คุณล้นเหลือ ยังไง ฉันก็มั่นใจว่า ท่านไม่มีวันทิ้งคุณแน่นอน”
“ข้อนี้ฉันก็มั่นใจ”
“แล้วคุณกลุ้มอะไร”
“ไม่ได้กลุ้ม แค่กลัว....กลัวว่าท่านจะกลับไปคืนดีกับคุณหญิงสุดา” ภาพิศพูดอย่างใจคิด
“แก้วที่มันแตกมันร้าว ทำยังไงก็ไม่เหมือนเดิม” แฉล้มคว้าหนังสือพิมพ์มาอ่าน
ภาพิศมองแฉล้ม เห็นท่าทางแฉล้มแปลกๆ ก็เอะใจ “มีอะไรคุณ”
“คอลัมน์ คุณหญิงระย้าจ้ะจ๋า บอกว่า...ท่านอารักษ์จูบปากกับภรรยาแล้วพร้อมเปิดบ้านให้ชม”
ใบหน้าภาพิศซีดเผือด
สรวงนั่งทำงานอยู่ สุขหฤทัยโวยวายลั่นพอรู้ว่าสรวงจะให้สัมภาษณ์สตาร์ อินเทรนด์
“ถ้าเป็นคนอื่น ฤทัยจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่เป็นพวกสตาร์อินเทรนด์”
สรวงย้อนถาม “สตาร์อินเทรนด์แล้วไง”
“แล้วไง? สรวงจำไม่ได้เหรอคะ? วันแรกที่คุณกลับมา นังนักข่าวจากสตาร์ อินเทรนด์ มันก็ตามไล่ล่าถ่ายรูปคุณ หลังจากนั้นมันก็เข้าข้างนังภาพิศ เขียนข่าวทำร้ายแม่คุณ แล้วตอนนี้มันก็ตามไล่จี้คุณ...ฮึ! ก็คงจะตามขุดตามคุ้ยเรื่องในบ้าน” สุขหฤทัยบอก
“ในเมื่อผมให้เค้าสัมภาษณ์แล้ว เค้าจะถามอะไร ก็คงต้องยอม”
“แต่ปกติสรวงไม่ชอบให้ใครมาถามเรื่องในบ้าน” สุขหฤทัยงง
“ถ้ามันปิดไม่ได้ ถึงเวลาก็คงต้องเปิด”
“ปิดได้ ถ้าสรวงอยากปิด แต่ที่สรวงอยากเปิด เป็นเพราะนักข่าวที่ชื่อกรรณรี”
สุขหฤทัยจ้องเขม็ง สรวงอึ้งไป เผลอหลุดปาก
ไม่นานต่อมา สุขหฤทัยเดินหน้าบูดบึ้งเข้ามาในออฟฟิศสตาร์ อินเทรนด์
“กรรณรีอยู่ไหน”
คนในออฟฟิศเงยหน้าขึ้นมามอง สุขหฤทัยตวาดย้ำเสียงดัง ด้วยท่าทีกร่าง
“ฉันถามว่า กรรณรีอยู่ไหน”
นิคมองหน้าสุขหฤทัยอาการยียวน หันมาถามมะยม “สก๊อยที่ไหนมาแว๊นซ์แถวนี้วะ”
“ไม่รู้ ไม่อยากมอง ได้ยินเสียงก็รำคาญแล้ว” มะยมก้มหน้าทำงานต่อ ไม่สนใจ
สุขหฤทัยร้องกรี๊ด ด่าเป็นชุด “พวกสุนัขขี้เรื้อน อย่ามาทำเลียหน้าเลียปากฉันนะ”
“ปากทั้งเสียทั้งเน่าทั้งเหม็นขนาดนี้ อย่าว่าแต่เลียเลย ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรอก” นิคว่า
สุขหฤทัยเอามือพ่นลมปากใส่มือตัวเองแบบในหนังโฆษณา “จะเหม็นได้ยังไง” พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้นิค “ลมหายใจหอม...สดชื่น”
นิคเอามือปิดจมูกแทบไม่ทัน “หอมจนจะอ้วก”
สุขหฤทัยชักสีหน้า แว๊ดใส่ “กล้าดียังไงมาว่าฉัน รู้ไว้...ฉันสุขหฤทัย”
นิคร้อง บอกอย่างหมั่นไส้ “อ๋อ! คุณบอกผมทุกครั้งที่เจอกัน ผมจำได้แล้วครับ คุณขี้ไคล”
สุขหฤทัยโกรธจนตัวสั่น “ฉันสุขหฤทัย ...กรรณรีอยู่ไหน”
กรรณนรีเดินเข้ามาทันได้ยิน พูดกวนๆ ใส่ “ฉันอยู่นี่ มีอะไร”
สุขหฤทัยหันกลับมามองหน้ากรรณนรี ปรี่เข้าหา “หน้าด้านหน้าทนสมกับเป็นลูกน้องนังภาพิศ สรวงเค้าไม่ได้ให้สัมภาษณ์ ยังจะตามตื้อเค้าอยู่ได้”
กรรณนรีพูดใส่หน้า “เค้าโทร.นัดฉันเอง”
สุขหฤทัยเยาะ “ก็เพราะเธอไปตามตื้อ ตามเช็ด จนคู่หมั้นฉันเค้ารำคาญไง” เดินวนรอบตัว มองจิก “นี่ ถ้าคิดจะเอางานมาอ้างเพื่อจับผู้ชาย ขอบอกว่าไม่ได้ผล เพราะฉันกับสรวงกำลังจะแต่งงานกัน และถ้าเธอใช้วิธีหน้าด้านแบบภาพิศ ฉันพาพวกรุมตบเธอแน่”
สะบัดหน้าพรืด เดินออกไปอย่างฉุนเฉียว
กรรณนรีโกรธจนตัวสั่น มะยมกับนิครีบเข้ามาหา
“ตกลง จะเอายังไงกาว”
กรรณนรีตาวาว “คนอย่างฉันไม่ปล่อยให้ใครมาด่าฟรีๆ หรอก”
สรวงทำงานอยู่ เสียงมือถือดัง พอชายหนุ่มเห็นเป็นเบอร์กรรณนรีก็ยิ้มพราย
“กรรณรี” รับสาย “ไง? อยากสัมภาษณ์ผม จนรอเวลาไม่ไหวเลยเหรอคุณ”
“สำคัญตัวผิดอีกตามเคย” กรรณนรีบอก หยันอยู่ในที
“นี่มันเรื่องอะไรกันคุณ รับสายปุ๊บ ด่าปั๊บ”
“ฟังไว้นะคุณสรวง ฉันไม่ได้ไปบีบคอจะฆ่าคุณ ถ้าคุณไม่ให้สัมภาษณ์บอกมาคำเดียว ทุกอย่างจบ ไม่ใช่ให้คุณขี้ไคลมาด่าฉัน” กรรณนรีว่า
สรวงงง “อะไรของคุณ ขี้ไคล”
กรรณนรีบอกต่อ “ก็คุณสุขหฤทัย คู่หมั้นของคุณไงไปบอกเค้าด้วยว่าเค้าด่าผิดคน คนที่ต้องถูกด่าคือคุณ เพราะคุณเป็นคนบอกจะให้สัมภาษณ์ฉันเอง”
วางสาย อย่างมีอารมณ์
“กรรณรี เดี๋ยวก่อน กรรณรี” สรวงปวดหัวบ่นอุบ “อะไรวะเนี่ย ถูกด่าฟรีอีกแล้ว”
กรรณนรีหน้าบึ้งตึง โกรธขึ้งอยู่ นั่งทำงานไม่รู้เรื่อง เอาปากกาเขียนเป็นลายเส้นใบหน้าสรวง แล้วก็เอาปากาขีดๆ แรงๆ ระบายอารมณ์รวม ทั้งจิ้มๆ ๆ ใส่รูปสรวงเป็นานสองนาน นิคเดินมายื่นปากกาให้
กรรณนรีแว้ดใส่ “อะไร”
“แกทิ่มแรงขนาดนี้ แท่งเดิมมันสึกแล้วนังเจ๊ แหม ทิ่มอยู่ได้เป็นชั่วโมงยังไม่หายโมโหอีก”
“ฉันไม่ได้โมโห! ฉันโกรธ” เอาปากกาทิ่มอีก
มะยมเอากล่องปากกาที่มีหลายสิบแท่งมาวางให้ ยิ้มๆ “แท่งเดียวคาดว่าไม่พอ”
“ก็ฉันโกรธนี่....อยู่ดีๆก็ถูกด่าฟรี” กรรณนรีบอกฉุนๆ
“คนที่แกควรโกรธ คือยัยขี้ไคล ไม่ใช่คุณสรวง” มะยมว่า
“เค้าน่ะแหละ เพราะเค้าเป็นต้นเหตุให้ฉันถูกด่า พอกันซะที ต่อให้พี่จ๋าไล่ออก ฉันก็จะไม่ยุ่งกับเค้าอีกแล้ว” กรรณนรีพ่นต่อ
นิคเหลียวมองไปข้างหลังกรรณนรี แล้วอมยิ้มถามต่อ “แล้วถ้าคุณสรวงเค้ามายุ่งกับแกล่ะ”
“ฉันก็จะต่อยเค้าให้หน้าหงายเลย” กรรณนรีบอกเสียงแข็ง
มะยมล้อๆ “จริงดิ”
กรรณนรีพูดอย่างขึงขัง “จริง”
นิคก้มลงกระซิบกรรณนรี “งั้น...จะต่อยจะเตะ เชิญตามสบาย”
นิคกับมะยมยิ้มให้สรวง พูดทักทายคำเดียวกัน “สวัสดีครับคุณสรวง” / “สวัสดีค่ะคุณสรวง”
กรรณนรีตกใจหันขวับไปมองทันที เห็นสรวงยืนอยู่ในออฟฟิศ
“คุณสรวง”
กรรณนรีกอดอกเดินลิ่ว ที่หน้าออฟฟิศ สรวงเดินตาม
“นี่คุณ..ฟังกันหน่อยสิ”
“ฉันไม่ฟัง”
สรวงอมยิ้ม พูดแหย่ “ไม่ฟัง แต่ได้ยิน”
กรรณนรีหันขวับมามองจ้องหน้าสรวง “คุณ” กำมือแน่น
สรวงบอก “เอาสิ! จะเตะจะต่อยผมก็ยอม ถ้าทำให้คุณหายโกรธ”
“แน่ใจ” กรรณนรีถามย้ำ
“แน่!!”
กรรณนรีกำมือแน่นจะเหวี่ยงกำปั้น วินาทีนั้นภาพเหตุการณ์ตอนตัวเองจะชก ถูกสรวงจับมือค้างไว้ผุดขึ้นมา กรรณนรีชะงัก
“ทำไมไม่ชกผมล่ะ กลัวผมเจ็บเหรอ?”
“ทำไมฉันต้องกลัว”
“ก็คุณไม่ชกผม”
“ฉันจะเตะคุณต่างหาก” กรรณนรียกเท้าจะเตะ แต่ต้องร้อง “ว๊าย”
เมื่อสรวงคว้าตัวกรรณนรีเอาไว้ กลายเป็นสรวงกอดกรรณนรี สองคนสบตากันซึ้ง
โดยไม่รู้ว่าที่ด้านหลังมะยมกับนิคแอบมองตาโตร้อง “อูว์”
กรรณนรี ดันตัวออก บอกสรวง “ปล่อยฉัน”
“ปล่อยแน่...แต่คุณต้องฟังผมก่อน” มองจ้องตา “ผมยินดีให้คุณสัมภาษณ์ผมจริงๆ นะ”
กรรณนรีผลักออก “แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากสัมภาษณ์คุณแล้ว”
สรวงบอกจริงจัง “ผมต้องทำยังไง คุณถึงอยากสัมภาษณ์”
“แล้วคุณจะยอมทำตามเหรอ”
“ฮื่อ! แลกกับข้าวมื้อเดียวพอ”
สรวงยิ้มง้อ กรรณนรีอมยิ้มทำหน้าดุ
มะยมกับนิคเดินกลับเข้ามาด้านใน ตบมือกัน
“คุณสรวงตามกาวอย่างนี้มิน่ายัยขี้ไคลถึงหึง” เห็นนิคมองอึ้งๆ “แกเป็นไร?”
นิคปฏิเสธเสียงสูง “ไม่ได้เป็นไร...” รีบเปลี่ยนเรื่องกลบเกลื่อน “หรือที่คุณสรวงมาตามกาว เพราะคุณนพช่วยพูดวะ”
มะยมนึกได้ “จริงสิ..คุณนพ”
“แกควรไปขอบคุณเค้านะมะยม”
มะยมยิ้มกริ่ม
ไม่นานต่อมา มะยมพาตัวเองมาอยู่ที่บริษัทสรวง กำลังเดินคุยอยู่กับนพ
“มะยมขอบคุณคุณนพมากนะคะ ที่ช่วยพูดให้ จนคุณสรวงยอมสัมภาษณ์”
นพยิ้ม “ผมไม่ได้ช่วยพูดอะไรเลยนะ”
มะยมอึ้ง “จริงเหรอคะ”
“จริง! ขึ้นอยู่กับตัวสรวงเอง”
“แปลกจังเลยนะคะ...ตอนแรก คุณสรวงไม่ให้สัมภาษณ์เลย แต่ตอนนี้คุณสรวงกลับเดินเข้าไปหากาว”
“เสน่ห์นักข่าวของ สตาร์ อินเทรนด์ แรง” นพสัพยอก
มะยมแซวขำๆ “งั้นต้องรวมมะยมด้วยแน่ๆ”
“เป๊ะเลยครับ เป๊ะ”
สองคนหัวเราะกันสนุกไม่ได้คิดอะไรเกินเลย แต่ถูก2 สาวพนักงานจับตามอง และเมาท์เอา
“คุณนพพาสาวที่ไหนมาคุยถึงนี่เนี่ย? สวยซะด้วย” สาวหนึ่งว่า
“คุยงานกันมั้ง ไม่มีอะไรหรอก คุณนพรักภรรยาออกจะตาย” อีกนางบอก
“ก็ดี....ไม่งั้นยุ่งเหมือนพ่อคุณสรวงแน่” สาวคนแรกบอก
สองขาเม้าท์มองไปที่มะยมกับนพที่ยิ้มแย้มคุยกันอยู่
ที่ร้านข้าวต้มข้างทางแห่งนั้น กรรณนรีเดินนำสรวงเข้ามา เป็นร้านข้าวต้มข้างทางธรรมดาๆ กรรณนรีเอ่ยขึ้น
“ฉันไม่มีเงินไปเลี้ยงคุณร้านหรูๆ หรอกนะ เงินเดือนฉันก็เลี้ยงคุณได้แค่นี้”
“แค่นี้ก็ดีแล้ว” สรวงชะโงกหน้าดูหม้อต่างๆ “มีแต่ของน่ากินๆ ทั้งนั้น”
“จะทานอะไรคุณสั่งเลย”
“ให้คุณสั่งดีกว่า”
“ก็สั่งสิ”
“ก็ถ้าเกิดผมสั่ง แล้วคุณไม่มีเงินจ่าย ผมก็ต้องนั่งล้างจานสิ คุณสั่งเถอะอะไรอร่อยสั่งเลย”
“ได้...” กรรณนรียิ้มได้ทีแกล้ง เดินไปสั่ง สรวงไม่ได้ยิน เดินไปนั่งรอ
กรรณนรีเดินมานั่งตรงข้ามสรวง ก่อนที่สองคนจะยิ้มให้กัน
“ว่าไงอยากสัมภาษณ์ผมหรือยัง”
“ยัง”
“อ้าว”
“แต่เพื่องาน ยังไงฉันก็ต้องทำ”
“แปลว่าคุณหายโกรธผมแล้ว”
“โกรธคุณ ฉันก็ไม่ได้งาน เลิกโกรธดีกว่า อาหารมาแล้วทานข้าวเถอะ”
สรวงมองจานปลาเค็มหนึ่งชิ้น โรยด้วยพริกแดงเยอะๆ หอม มะนาว
กรรณนรีซี้ดปากบอกเด็กเสิร์ฟ “ขอพริกเพิ่มได้มั้ยคะ? หอมกับมะนาวด้วย”
สรวงยังยิ้มอยู่ “คุณทานรสจัดจัง”
“ฉันชอบ” กรรณนรีบอก เด็กเสิร์ฟเดินมาเอาพริก มะนาว หอมมาเพิ่ม กรรณนรีเทใส่จานบอกสรวง “ทานสิคุณ..อร่อยนะ”
“ไม่เป็นไร คุณชอบก็ทานเถอะ” มองไปในร้าน “ผมรออย่างอื่นก็ได้”
“ฉันสั่งอย่างเดียว”
สรวงตาโต “หา! สั่งปลาเค็มอย่างเดียว”
“ก็ถ้ามากกว่านี้ฉันไม่มีเงินจ่าย คุณก็ต้องล้างจานสิ....น่าปลาเค็มอร่อย ไม่ต้องเกรงใจ ทานให้หมดเลยคุณ” กรรณนรีนั่งกินอย่างอร่อย
สรวงต้องนั่งกินเมนูปลาเค็มรสเลิศกับกรรณนรีอย่างจำใจ กรรณนรีแอบยิ้ม แกล้งตักพริกใส่จานให้สรวงอีก
หลังจากนั้นไม่นานนัก สองคนนั่งรถมาด้วยกันตามทาง กรรณนรีมองสรวงด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น
“ตกลง..คุณจะสัมภาษณ์ผมวันไหน”
“แล้วแต่คุณ..คุณสะดวกวันไหนก็บอกมาแล้วกัน”
“งั้นเดี๋ยวผม นัดกับคุณพ่อ คุณแม่” จู่ๆ ทำท่าสะดุ้งร้อง “อุ๊ย”
“ทำไมคะ”
สรวงเริ่มบิดตัวเพราะปวดท้อง จะบอกว่าท้องเสียก็อาย “เปล่า” แต่สะดุ้งอีก
กรรณนรีตกใจ “คุณเป็นอะไร”
“ปลาเค็มคุณทำพิษ”
สรวงโก่งตัวตัวงอ เลี้ยวเข้าปั๊มทันที
กรรณนรียืนพิงรถรอ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม สักครู่หนึ่ง สรวงเดินออกมาจากห้องน้ำท่าทีดีขึ้น
“หมดไส้หมดพุงเลย” สรวงบอกยิ้มๆ
“ประโยชน์ของปลาเค็ม สามารถดีท็อกซ์ได้”
“คุณแกล้งผม” สรวงว่า
“แกล้งที่ไหน? ฉันหวังดีต่างหาก อยากให้คุณหุ่นดีๆ เวลาถ่ายรูปออกมาจะได้หล่อๆ ไง” กรรณนรีบอกขำๆ
“แค่นี้ก็หล่อแล้ว” ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “หรือคุณว่าไง”
“หล่อตายล่ะ” กรรณนรีแลบลิ้นใส่
สรวงควักมือถือขึ้นมาถ่ายไว้พอดี “น่าเกลียดจริงๆ เลยคุณ”
สองคนหัวเราะให้กัน
สรวงขับรถมาส่งกรรณนรีที่หน้าบ้าน
“ขอบคุณค่ะที่มาส่ง” กรรณนรีเอ่ยขึ้น แกล้งเย้า “วันหลัง ไปทานข้าวด้วยกันอีกนะคะ”
“ได้...แต่ผมขอเลือกร้านเอง....แล้วเจอกัน” สรวงยิ้ม โบกมือให้
กรรณนรีโบกมือ “ขับรถดีๆ ค่ะ”
สรวงขับรถไป กรรณนรีรอจนรถสรวงแล่นผ่านไปจนลับตา จึงหันหลังกลับจะเข้าบ้าน แต่ต้อง
สะดุ้งโหยง เมื่อเห็นภรตยืนอยู่
“พี่ภรต”
คืนนั้น ที่มุมหนึ่งตรงหน้าบ้าน ภรตคุยอยู่กับกรรณนรี
“คุณสรวงเค้ามาหากาวบ่อยจัง”
“เรามีงานติดค้างกันอยู่น่ะค่ะ”
“งานอะไรไม่เสร็จไม่สิ้นซักที กาวไม่ได้คิดอะไรกับคุณสรวงแน่นะ”
เกริกเดินออกมาได้ยินชื่อสรวง ยังไม่ทันคิดอะไร ก็ได้ยินกรรณนรีว่า
“กาวจะคิดกับเค้าได้ยังไง ในเมื่อ...พี่ภรตก็รู้ว่าเค้าเป็น...” อึ้ง แล้วนิ่งไป ไม่พูดต่อ
“พี่ก็หวังอย่างนั้น....แต่จากท่าทางที่เค้ากับกาวมีให้กัน....พี่กลัว”
“ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้...”
“ขอให้มันเป็นอย่างนั้น ดึกแล้วพี่กลับก่อนดีกว่า กาวจะได้พักผ่อน”
ภรตเดินจ๋อยออกไป กรรณนรีหน้าหมอง พึมพำ
“ระหว่างกาวกับคุณสรวง มันเป็นอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ เป็นไปไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
ระหว่างนั้นเกริกเดินเข้ามาถาม “กาว...คุณสรวงคือใคร”
สรวงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดนอนเดินมานั่งลงที่เตียง หยิบไอโฟนขึ้นมาดู กดดูปฏิทินตารางนัดหมาย สรวงใส่รูปกรรณนรีที่แลบลิ้นใส่ลงไป พลางยิ้มอย่างมีความสุข
สองพ่อลูกอยู่ในห้องนั่งเล่น เกริกถามเพราะอยากรู้ ไม่ได้สงสัย แต่เป็นห่วงประสาพ่อที่มีคนมาจีบลูกสาว
“ว่าไงกาว คุณสรวงเป็นใคร? เค้ามาจีบลูกเหรอ”
กรรณนรีร้องปฏิเสธเสียงหลง “เปล่าค่ะพ่อ เปล่า”
“แล้วทำไมภรต ถึงได้พูดเหมือนเค้ามาจีบกาว” เกริกว่า
กรรณนรีรีบบอก “พอดีช่วงนี้กาวกับเค้าเจอกันบ่อยน่ะค่ะ ไม่มีอะไร” ไม่กล้าสบตาพ่อ
เกริกซัก “แล้วทำไมกาวต้องเจอเค้าบ่อยๆ ล่ะลูก”
กรรณนรีเริ่มยิ้มขำพ่อหวง “เค้าเป็นเซเลบที่กาวต้องสัมภาษณ์น่ะค่ะ” กอดพ่อ “ไม่มีอะไรจริงๆ”
“งั้นถ้าวันหลัง...เค้ามาบ้านเราอีก กาวพาเค้ามาให้พ่อรู้จักหน่อยนะลูก” เกริกว่า
กรรณนรีหน้าเจื่อนลงไปอีก “ค่ะ”
ภาพิศนั่งอยู่ในร้านของแฉล้มท่าทีกลัดกลุ้ม แฉล้มเดินมาหา
“นี่คุณ! ดึกมากแล้ว กลับบ้านเถอะ คุณจะได้พักผ่อน”
“กลับไปฉันก็นอนไม่หลับ”
แฉล้มงง “ท่าทางอย่างนี้มันไม่ใช่คุณนี่” ภาพิศหันมามอง “หรือ..คุณกลัวว่าท่านจะทิ้ง
คุณจริงๆ” แฉล้มว่า
“ไม่...ท่านไม่มีวันทิ้งฉัน” ภาพิศคลื่นไส้จะอาเจียน
“เครียดจนอาเจียนยังไม่ยอมรับอีก คุณกลัวจริงๆ นะแหละว่าจะเอาท่านไม่อยู่”
“ฉันบอกว่าไม่ไง อุ๊ปส์ !” ทำท่าจะอาเจียนอีก ภาพิศรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ
ในห้องน้ำ ภาพิศอาเจียน แฉล้มตามเข้ามาลูบหน้าลูบหลัง
“ไหวมั้ยคุณ? ไปหาหมอรึเปล่า? เดี๋ยวฉันพาไป”
ภาพิศพูดแผ่วๆ “ไม่เป็นไร” จะอาเจียนอีก
“ไม่เป็นไรได้ยังไง คุณอาเจียนจนจะหมดแรงอยู่แล้ว ทำยังกับคนแพ้ท้อง” แฉล้มว่า
ภาพิศเหมือนพึ่งนึกได้ “ท้อง”
ที่ห้องน้ำในบ้านภาพิศเวลาต่อมา ในมือของภาพิศถืออุปกรณ์ตรวจครรภ์ และผลตรวจออกมาเห็นชัดว่าภาพิศท้อง ดวงตาของภาพิศเป็นประกายวาบขึ้นมา ยิ้มบอกกับตัวเอง
“ฉันรู้แล้ว ฉันควรทำยังไง”
เช้าวันต่อมา นิคขับรถของสตาร์อินเทรนด์ มาจอดที่หน้าบ้านสรวง พร้อมกรรณนรี และมะยม สามคนลงรถมามองหน้ากัน
มะยมพูดกิริยาแหยงๆ “นี่ถ้าคุณหญิงสุดาเห็นหน้าพวกเราเค้าจะไล่ออกจากบ้านรึเปล่าเนี่ย”
“นั่นน่ะสิ...วีรกรรมครั้งนั้น ฉันยังจำได้ไม่ลืม” นิคว่าตาม
กรรณนรีบอก “คุณสรวงคงบอกแล้วมั้ง”
“แล้วถ้าไม่บอกล่ะ” มะยมไม่วางใจ
นิคพูดขำๆ “ก็ตัวใครตัวมัน ปะ เข้าไปกันเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ลุย”
นิคบอกพลางเดินนำมะยม และกรรณนรีเข้าไป
ตรงโถงด้านในของคฤหาสน์ คุณหญิงสุดาแต่งตัวแบบสวยเต็ม ยืนยิ้มแย้ม ข้างๆ เป็นสุขหฤทัย ท่าทีมีความสุขมาก
“วันนี้แม่เป็นยังไงบ้างฤทัย”
“สวยเวอร์ๆเลยค่ะ” สุขหฤทัยเรียกช่างผม ช่างหน้า “ฟลุคหลง... มะมาซับหน้ามันให้คุณหญิงแม่หน่อย ยัยหนอน มาหวีผมให้คุณหญิงแม่เร็ว ดูซิ..ผมชี้ตั้งเส้นหนึ่ง”
ช่างเดินเข้าไปทำหน้าผมให้สุดา สรวงเดินหล่อลงมา สุดาถามทันที
“สรวง...พวกเค้ายังไม่มากันอีกเหรอลูก”
“มาแล้วครับ ตอนนี้จอดรถอยู่หน้าบ้าน” พวกกรรณนรีเดินเข้ามา “นั่นไงครับมาแล้ว”
สุดากับสุขหฤทัยหันไปมอง เห็นเป็นกรรณนรี มะยม และนิค สามคนยกมือไหว้
สุดาตาเขียวพูดเสียงขุ่น “พวกนังภาพิศนี่”
สุขหฤทัยหันมาเอาเรื่องสรวง “ฤทัยเตือนแล้ว สรวงไม่ฟังฤทัยเลยเหรอคะ”
สุดามองหน้าพวกกรรณนรี พูดกับสรวง “ถ้าเป็นพวกมัน แม่ไม่ให้สัมภาษณ์ ไล่พวกมันกลับไป” พลางสะบัดหน้าเดินหนีเข้าไปด้านในบ้าน
“ไป๊ ชิ่วๆๆ” สุขหฤทัยไล่แล้ววิ่งตามสุดาเข้าไป
สรวงมองหน้ากรรณนรีอย่างลำบากใจ จังหวะนั้นพลตรีอารักษ์เดินสวนออกมา เห็นสุดาหน้าหงิกก็งง
“อะไรคุณหญิง?” สุดาไม่ตอบ อารักษ์มองสรวงเป็นเชิงถาม
“เดี๋ยวผมคุยกับคุณแม่เองครับ” สรวงตามเข้าไป
อารักษ์มองหน้ากรรณนรีแวบหนึ่ง กรรณนรีหลบตาไม่อยากมอง อารักษ์เดินเข้าไปข้างใน
ด้านในบ้าน สุดาโวยวายเสียงดังลั่น
“แม่ไม่เข้าใจเลย สรวงคิดยังไง ถึงได้ให้คนของนังภาพิศเข้ามาเหยียบถึงบ้าน”
สุขหฤทัยพลอยพยัก “จริงด้วยค่ะ ทั้งๆ ที่สรวงก็รู้ว่าคุณหญิงแม่เกลียดคนพวกนี้เข้าไส้ ยังจะพาเข้ามาอีก”
สรวงเดินเข้ามาหาแม่ “เค้าแค่มาทำงานนะครับ ไม่ได้คิดร้ายกับพวกเรา”
อารักษ์ตามมา “แต่ที่คุณหญิงทำแบบนี้มันเสียมารยาท ถ้าเค้าไปเขียนด่าจะทำยังไง?” อารักษ์บอกด้วยท่าทีขรึมๆ “รับปากเค้าแล้วก็ทำให้มันเสร็จๆ อย่าให้เค้าว่าได้ดีกว่าคุณหญิง” หันไปพูดกับสรวง “ไปสรวง...” แล้วเดินออกไป
“เชิญครับคุณแม่”
สุขหฤทัยกระตุกมือสุดากระซิบ “ไม่ต้องออกไปค่ะคุณหญิงแม่”
“แม่จะออกไป ถ้านังภาพิศมันอยากเล่นกับแม่ แม่ก็จะเล่นกับมันเหมือนกัน”
สุดาเดินออกไป สุขหฤทัยหน้าหงิกบ่นงึมงำ
“จะเล่นอะไรกันเนี่ย”
แล้วสุขหฤทัยก็เดินตามออกไป
สุดาควงแขนอารักษ์ให้ถ่ายรูป เป็นคู่สามีภรรยาที่รักกันหวานชื่นมาก นิคถ่ายภาพ กรรณนรีกับมะยมยืนอยู่ด้านหลังนิค จังหวะนั้นสุดากอดอารักษ์แสดงความเป็นเจ้าของ นิคสั่ง
“คุณหญิงเอาหน้าออกห่างท่านนิดหนึ่งนะครับ ชิดเกินไป หน้าคุณหญิงบังท่านน่ะครับ” นิคกำกับท่า
สุดาแอบค้อน คิดว่านิคเป็นพวกของภาพิศ ขยับตัวมากอดใกล้อารักษ์อีก นิคก็ติงอีก
“ก็ฉันจะถ่ายของฉันแบบนี้ เธอมีหน้าที่ถ่ายก็ถ่ายไปสิ”
อารักษ์บอกเบาๆ “ห่างนิดก็ได้นะคุณ ภาพจะได้สวย”
สุดาจำต้องห่าง กรรณนรีมองภาพสุดากับอารักษ์ รักกันปวดใจแทนภาพิศ
“เชิญคุณสรวงครับ”
สรวงเดินเข้าไปถ่ายภาพ เป็นครอบครัวแสนอบอุ่น สุขหฤทัยเดินมาหากรรณนรี
“พวกเธอรู้มั้ย วันนี้คุณสรวงจะเปิดตัวว่าที่เจ้าสาวด้วยนะ” สุขหฤทัยว่า
“ไม่รู้ค่ะ คุณสรวงไม่ได้บอก” กรรณนรีพูดใส่หน้า
“งั้นรู้ไว้เลยนะ เพราะฉัน ว่าที่เจ้าสาวคุณสรวงบอกเอง” สุขหฤทัยคุยโว
มะยมเยาะ “เรื่องแบบนี้ให้ผู้ชายพูดจะดีกว่ามั้ยคะ เพราะถ้าไม่ใช่เรื่องจริง คุณฤทัยจะอายเปล่าๆ”
สุขหฤทัยโกรธ ด่าทันที “พวกหน้าด้าน อยากแย่งสรวงไปจากฉันล่ะสิ”
“พวกฉันมาทำงานค่ะ ในหัวไม่เคยคิดแย่งผู้ชาย ถ้าคุณอยากให้ฉันลงข่าวเรื่องนี้ ฉันจะไปถามคุณสรวง แต่ถ้าคุณสรวงปฏิเสธ คุณคงรู้ใช่มั้ยว่าฉันจะเขียนถึงคุณยังไง”
“แอร๊ย...นัง” สุขหฤทัยกรี๊ด มองกรรณนรีด้วยวสายตาวาวโรจน์โกรธเอามากๆ
มุมหนึ่งในคฤหาสน์ สรวงยืนพักดื่มน้ำอยู่ สุขหฤทัยโวยวาย
“ฤทัยไม่ยอมนะคะ นังนักข่าวปากรั่ว มันว่าฤทัย”
“เค้าว่ายังไง” สรวงถาม
สุขหฤทัยฟ้อง “ก็..ว่าฤทัยปั้นน้ำเป็นตัว โกหก แหล สตรอ…”
สรวงงง “ก็แล้วจู่ๆ ทำไมเค้าถึงได้ว่าคุณอย่างนั้นล่ะ”
“ก็....ฤทัยพูดเรื่องแต่งงานของเรา”
“ผมไม่เห็นว่าเค้าจะพูดอะไรผิด เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกันนะฤทัย”
พูดเท่านั้นสรวงก็เดินออกไป สุขหฤทัยได้แต่ร้องกรี๊ดๆ อย่างขัดเคืองใจ
ที่ด้านนอก ทุกคนทำงานอย่างขันแข็ง อารักษ์ถามกลุ่มกรรณนรีด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“ผมเพิ่งเคยเปิดบ้านให้สัมภาษณ์แบบเต็มๆก็ครั้งนี้ นี่คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย เหนื่อยจริงๆ”
สุดายิ้มแฉ่ง “แต่ฉันชอบนะคะ หนังสือวางแผงเมื่อไหร่บอกด้วย ฉันจะเหมาให้หมดเลย ทุกคนจะได้รู้” กอดแขนอารักษ์อวด “ว่าครอบครัวของเรารักกัน มีความสุข อบอุ่นแค่ไหน”
ระหว่างนั้นเองภาพิศเดินเข้ามา ด้านหลังมีคนถืออาหารว่างมาส่ง
“งั้นก็ควรมีน้องอีกคนนะคะคุณหญิงพี่ จะได้พร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครอบครัวกันจริงๆ”
ทุกคนหันขวับไปมองอย่างตกใจ
อารักษ์ตะลึง คาดไม่ถึง “ภาพิศ”
ไฟมาร ตอนที่ 3 (ต่อ)
[ต่ อ จ า ก ต อ น ที่ แ ล้ ว]
ตรงมุมหนึ่ง ด้านในคฤหาสน์ อารักษ์ตำหนิภาพิศด้วยสีหน้าไม่พอใจเอามากๆ
“ทำไมภาทำแบบนี้”
ภาพิศยิ้มหวานเหมือนไม่มีอะไร “ภาทำอะไรคะ? ก็แค่เป็นห่วง พอทราบว่า วันนี้คุณพี่เปิดบ้านให้สัมภาษณ์ เลยเอาของว่างมาให้ทาน สั่งจากเจ้าอร่อยด้วยค่ะ
“ภา....ภาเคยเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ ไม่ใช่เหรอ? อย่าทำแบบนี้...กลับไปก่อน”
ภาพิศยิ้มหวานท่าทีเหมือนเข้าใจ “ก็ได้ค่ะ...แต่คุณพี่อย่าลืมทานของว่างนะคะ” ยื่นหน้าเข้า
มาจูบที่แก้ม “ภารักแล้วก็คิดถึงคุณพี่ค่ะ”
เจอไม้นี้สายตาแข็งกร้าวของอารักษ์ดูอ่อนลงอย่างชัดเจน ดวงตาภาพิศยิ้มมีเลศนัย
สักครู่หนึ่ง ภาพิศเดินออกมาด้วยดวงหน้าสดใสพร้อมยิ้มหวาน ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
ภาพิศยิ้มหวานไหว้ลาสุดา “คุณหญิงพี่ขา...น้องกลับก่อนนะคะ” หันมาบอกกับทีมงานและทุกคนยกมือบ๊ายบายประหนึ่งนางงาม “พี่กลับก่อนนะคะ”
ภาพิศเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างของภาพิศก็ซวนเซ ก่อนจะล้มลง
อารักษ์เดินออกมาเห็นพอดี ตกใจมาก “ภาพิศ”
กรรณนรีตกใจเช่นกันพูดออกมา ไม่มีเสียง “แม่”
อารักษ์เข้าไปโอบประคองภาพิศแบบห่วงเหมือนเดิม ก่อนสั่ง
“เอารถออก ฉันจะไปโรงพยาบาล”
คนรถรีบเอารถออก อารักษ์ประคองภาพิศอย่างห่วงใย สุดาเนื้อตัวสั่นแทบจะเป็นลม แต่ไม่กล้ากรี๊ด สรวงกับสุขหฤทัยจับมือเอาไว้ พอรถของอารักษ์ออกไป สุดาถึงร้องกรี๊ดออกมา
“อ๊าย....”
พร้อมกับร้องไห้โฮออกมา มะยมกะนิค ถ่ายรูปเอาไว้อย่างรวดเร็วด้วยสัญชาติญาณนักข่าว
ในห้องโถง สุดาร้องไห้โฮๆ ปิ่มว่าจะขาดใจ มีสุขหฤทัยประคอง
“คุณพ่อทำอย่างนี้กับแม่ได้ยังไงสรวง ทั้งๆ ที่แม่ยอมแล้วทุกอย่าง”
“ครั้งนี้นังมารร้ายมันมาเหยียบคุณหญิงแม่ถึงบ้าน คุณต้องจัดการนะคะ”
คำพูดของสุขหฤทัยทำเอาสรวงเครียด ถอนหายใจออกมา
ที่หน้าบ้าน มะยม นิค ช่วยกันเก็บของขึ้นรถ สรวงยืนคุยกับกรรณนรีหน้าเครียด
“ผมไม่เข้าใจ...นี่มันเรื่องอะไร เปิดบ้านผม ภาพิศมา แล้วก็เป็นลม”
กรรณนรีนิ่งหน้า งงไม่ต่างกัน “ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ
สรวงปรายตามองไปที่นิคและมะยม “แต่พวกคุณก็ถ่ายภาพเอาไว้”
นิคกับมะยมมองหน้ากันแบบไม่รู้เรื่องแผน นิคออกตัวขึ้นว่า “พวกเราไม่ได้มีแผนอะไรนะครับ”
“ก็แค่วิญญาณนักข่าว เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น เราก็ต้องถ่ายไว้” มะยมบอก
กรรณนรีขอร้อง “ลบเถอะนิค มะยม คุณสรวงจะได้สบายใจ”
นิคกับมะยมมองหน้ากัน ก่อนลบแบบจำยอม สรวงจ้องหน้ากรรณนรี
“ยังไงผมก็ไม่สบายใจ เพราะภาพกู้คืนได้ หวังว่าเรื่องที่เกิด จะไม่เป็นข่าว ที่สำคัญ คงไม่ใช่แผน ของคุณกับภาพิศนะกรรณรี”
กรรณนรีฟังแล้วเครียดขึ้นมา
สามคนกลับมานั่งกลุ้ม กุมขมับ อยู่ในออฟฟิศ
“คุณสรวงต้องเข้าใจผิด คิดว่าเรามีเอี่ยวกับคุณภาพิศแน่ๆ” มะยมเอ่ยขึ้น
“มันก็น่าคิด งานนี้คุณภาพิศขโมยซีนเห็นๆ” นิคว่า
“จะขโมยมากกว่านี้อีก ถ้าคุณภาพิศเป็นอะไร” มะยมบอก
“เป็นอะไร” นิคถาม
“อย่างที่เราเคยคุยกันไง...ถ้าคุณภาพิศเกิดท้องขึ้นมา”
คำตอบของมะยม ทำเอากรรณนรีหน้าซีดเผือด
ส่วนที่ห้องพักฟื้นในโรงพยาบาลเวลาเดียวกัน อารักษ์กุมมือภาพิศอยู่ หมอเดินเข้ามาหา ภาพิศถามกิริยาลุ้นๆ
“ตกลง...ฉันเป็นอะไรคะคุณหมอ?”
“ไม่ได้เป็นอะไรครับ ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดี” หมอยิ้มบอก
อารักษ์ฉงน “แล้วทำไม”
“เป็นอาการเริ่มแรกของคุณแม่ตั้งครรภ์นะครับ” หมอบอกข่าวดี
“ฉันท้อง...” ภาพิศยิ้มตื้นตัน จับมืออารักษ์ “เรากำลังจะมีลูกด้วยกันค่ะคุณพี่”
ภาพิศกับอารักษ์มองหน้ากันอย่างดีใจ
ที่ห้องโถงภายในคฤหาสน์ มีคนที่แค้นใจเมื่อรู้ข่าว เป็นสุดาที่ร้องไห้แทบจะเป็นลม ริมฝีปากสั่นระริก
“นังภาพิศมันท้อง”
สุขหฤทัยเป็นเดือดเป็นแค้นแทน “ที่มันมาที่นี่ เป็นแผนชัดๆเลยค่ะคุณหญิงแม่”
สุดาตาวาววับ พูดออกมาด้วยความเกลียดชัง “ใช่!แผนของมัน ที่จะประกาศต่อหน้านักข่าว ฮึ! มันมีลูกตั้งหลายครอก มันจะไม่รู้ว่ามันท้องได้ยังไง”
สุขหฤทัยเผลอหลุดปาก “ตายๆๆๆ คนแก่ได้ลูกใหม่ ต้องเห่อแน่ๆ เลย อุ๊ย” รีบตบปากตัวเอง “ขอโทษค่ะ ฤทัยไม่ได้ตั้งใจ”
สุดาตาวาว คำรามในลำคอ “เมื่อก่อนอาจจะมีแค่แม่ ที่ถูกแย่งความรัก แต่ต่อไปต้องเป็นสรวงนังภาพิศ แกกับฉัน มันต้องจองเวรจองกรรมกัน”
คืนนั้น ภาพิศกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ในห้องโถง โดยมีอารักษ์คอยดูแลอยู่ข้างๆ กุมมือภาพิศไว้สีหน้าแช่มชื่นดีใจมาก แฉล้มถือกระเช้าผลไม้มาเยี่ยม ยิ้มอย่างมีเลศนัยขณะบอกภาพิศด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“โถๆๆๆ ตอนแรก ได้ยินว่าคุณเข้าโรงพยาบาล ฉันเป็นห่วงแทบแย่ ที่ไหนได้มีข่าวดี”
ภาพิศมองมา หันไปอ้อนสามี “ข่าวดีมั้ยคะคุณพี่”
อารักษ์แตะมือเบาๆ ยิ้มอย่างเอ็นดู “ดีสิจ๊ะ มีลูกเล็กๆ มาวิ่งเล่นในบ้าน สดชื่นดี พี่รู้สึก
กลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้งด้วย”
แฉล้มแซว “แบบนี้ท่านน่าจะเตะปี๊บอีกหลายๆ ใบนะคะ”
อารักษ์หัวเราะเสียงดัง ท่าทีพอใจมาก “เป็นความคิดที่เข้าท่าดี”
“ภาดีใจจังค่ะที่ได้ยินคุณพี่พูดอย่างนี้ อุ๊ปส์!” ภาพิศคลื่นไส้ ทำท่าจะอาเจียน
“รอเดี๋ยวนะ พี่ไปเอายาแก้แพ้ให้” อารักษ์กุลีกุจอเดินออกไป
แฉล้มเอียงหน้าเข้าหาภาพิศพูดกระซิบ “แผนคุณขั้นเทพอีกตามเคย ไปขโมยซีน
คุณหญิงสุดา แล้วยังได้ท่านกลับคืนมาด้วย รับรองเรื่องคุณท้อง พรุ่งนี้ข่าวตีกันกระจุยกระจายแน่”
ภาพิศยิ้มอย่างพอใจและสะใจ
จริงดังว่า เช้าวันต่อมา หนังสือพิมพ์บันเทิง-คนดัง แทบทุกฉบับ รวมทั้งสื่อออนไลน์ อินเตอร์เน็ต ประโคมข่าวอย่างครึกโครม
“นายพลคนดังเห่อทายาทคนใหม่” /
“น้ำยายังแรง นายพลคนดังเสกลูกเข้าท้องอนุสาว” /
“ลูกคนล่าสุดของพลตรีอารักษ์ ช่างมีวาสนา เกิดทับกองเงินกองทอง มรดกเพียบ” ฯลฯ
ทั้งสรวงและกรรณนรีอ่านข่าวดังกล่าวที่ออฟฟิศตัวเอง ด้วยใบหน้าเศร้าหมองไม่ต่างกัน
เช้าเดียวกัน ภาพิศเดินออกจากห้องน้ำ มานั่งลงแต่งตัวที่หน้ากระจก เสียงมือถือดัง ภาพิศรับ
“เธอนี่มันนางมารร้าย จอมวางแผน จอมสร้างเรื่อง เธอจงใจทำให้แม่ฉันเจ็บปวด” เป็นสรวงโทร.มาจากห้องทำงานที่ออฟฟิศ
ภาพิศหัวเราะ “พี่เคยฟังแต่รายการแฉแต่เช้า...เพิ่งจะได้ฟัง...ด่าแต่เช้า ก็จากคุณสรวงนี่ล่ะค่ะ”
“ขนาดนี้แล้วเธอยังไม่รู้สึก” สรวงหยัน
“รู้สึกแล้วต้องทำยังไงคะ เอาลูกออก เลิกกับท่าน” ภาพิศหัวเราะ “ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้ทั้งสองอย่างอยู่แล้ว แล้วพี่จะสนใจคำด่าของคุณสรวงทำไม”
“แต่อย่างน้อยเธอควรละอายใจ นึกถึงหัวอกคนอื่นบ้าง” สรวงด่านิ่มๆ
ภาพิศยั่ว ทอดเสียงพูดกับลูกในท้อง “แม่พูดได้มั้ยลูก”
“ภาพิศ” สรวงโกรธมาก
ภาพิศหัวเราะ “อุ๊ย!ขอโทษ...พี่พูดได้มั้ยคะ ถ้าคุณสรวงบอกให้พี่นึกถึงหัวอกคนอื่น แล้วคุณสรวงนึกถึงหัวอกพี่บ้างหรือเปล่าคะ ถึงได้โทร.มาด่าคนท้องแต่เช้า เอาเป็นว่าครั้งนี้พี่ไม่ถือ แต่ถ้ามีครั้งต่อไป เรื่องถึงหูท่านแน่” ภาพิศกดวางสาย
สรวงเข่นเขี้ยว “ภาพิศ”
ภาพิศมองมือถือบอกกับตัวเอง “ฉันเคยมีลูกมาก่อน ฉันจะพยายามเข้าใจคุณ คุณสรวง!”
เวลาต่อมาภาพิศกอดอารักษ์ ขณะเดินออกมาส่งที่รถ อารักษ์บอกเสียงอ่อนโยน
“ถ้ามีอะไรผิดปกติรีบโทร.หาพี่นะ พี่เป็นห่วง”
“ค่ะคุณพี่”
อารักษ์ขับรถออกไป โดยไม่รู้ว่าที่ตรงบริเวณหน้าบ้านอีกมุมหนึ่ง สุดาจอดรถซุ่มดูอยู่ พอรถ
อารักษ์ลับตาไป สุดาก็ลงจากรถเดินลิ่วๆ มา ภาพิศกำลังจะปิดประตูบ้าน สุดาเอามือยันประตูเอาไว้
ภาพิศยิ้มเย้ย “โอ๊ะโอ คุณหญิงพี่! จะมาแสดงความยินดีกับ...” เน้นคำจงใจยั่ว “คุณหญิง
น้องหรือคะ?” ไวเท่าความคิดแอบกดมือถืออัดคลิปเอาไว้ทันที
“ฉันจะฟ้องแกนังเมียน้อย”
ภาพิศเย้ย “คิดช้าไปหรือเปล่าคะ? เพราะถ้าจะฟ้อง คุณหญิงพี่น่าจะทำตั้งแต่วันแรก หรือภายในหนึ่งปีที่รู้เรื่องค่ะ แต่นี่คุณหญิงพี่รับรู้มาเป็นสิบๆ ปี สังคมก็รู้กันมาเป็นสิบๆ ปี ฟ้องไปก็เท่านั้น คุณหญิงพี่เตรียมรับมือดีกว่า ว่าจะรับขวัญลูกคนสุดท้องของตระกูลอริยะวรรตด้วยอะไรดี”
“โลงศพแม่ลูกพร้อมกันเลยดีมั้ย แบบตายทั้งกลม”
“คุณหญิงพี่ใจร้ายกับน้องจังเลยนะคะ” ยกมือถือขึ้นโชว์
สุดามองมือถืออย่างตกใจ “แก”
ภาพิศกดปิด “อัดคลิป...ไม่มีเอาท์นะคะคุณพี่...จะผ่านไปนานแค่ไหน คลิปก็ยังใช้ได้ตลอด แล้วก็ยังใช้เป็นหลักฐาน คุณหญิงพี่หมายเอาชีวิตน้องกับลูก”
ภาพิศโผนเข้าไปจิกผมสุดาจนสุดาหน้าหงาย สุดามองกลัว ขณะที่ภาพิศคำราม
ภาพิศบอกเสียงโหด “อย่ายั่วให้ฉันทำ เพราะฉันเหี้ยมได้ไม่แพ้คุณ” ผลักออก “ต่างคนต่างอยู่ไม่งั้นคนที่จะต้องลงไปนอนในโลงก่อนจะเป็นคุณ”
สุดาแช่งอย่างเกลียดชัง “ลูกแกมันไม่มีทางได้ออกมาดูโลกหรอกนังภาพิศ”
“ฉันเคยเสียลูกเพราะการกระทำของฉันเอง แต่ฉันไม่มีวันเสียลูกเพราะการกระทำของคนอื่น”
“ก็ลองดู”
สุดาสะบัดหน้ากลับออกไปอย่างเกรี้ยวกราด ภาพิศเอามือลูบท้องตัวเองอย่างหวงแหน
สุดาก้าวเข้ามาในรถปิดประตูดังปัง ได้แต่ทุบพวงมาลัยด้วยความโกรธ
“นังภาพิศ ฉันเกลียดแก ฉันเกลียดแก คนอย่างแก มันวอนหาที่จริงๆ”
ภาพเหตุการณ์ตอนจ้างวานไอ้พลให้จับภาพิศไปเผาผุดขึ้นมาในหัว
ดวงตาของคุณหญิงสุดาเป็นประกายวาวโรจน์
เกริกวางหนังสือพิมพ์ในมือลงอย่างอ่อนแรง ท่าทางเสียใจมาก กาวินทร์ยิ้มเยาะในสีหน้า
“ฮึ! ดูแม่สิ ทำท่ายังกับไม่เคยมีลูก”
“แม่คงจะภูมิใจกับคนที่เป็นพ่อของลูกมากกว่า” เกริกว่า
กาวินทร์พูดเสียงจริงจัง สายตาอ่อนโยน “แต่ผมก็ภูมิใจ พ่อของผมมากกว่า”
เกริกมองหน้าลูกชาย กาวินทร์เดินมานั่งข้างพ่อ จับมือเอาไว้
“พ่อของผมหัวใจเทวดา ต่อให้แม่ทำผิด พ่อก็ไม่เคยโกรธ ไม่เคยว่าแม่ให้ลูกฟังไม่เหมือนนายอารักษ์ เหยียบย่ำหัวใจลูกเมียได้ทุกวัน คนใจอำมหิต”
เกริกมองลูกชาย กาวินทร์ยิ้มให้พ่อ มาลินีมองหน้าเกริก เข้าใจความรู้สึก
สองคนเดินออกมาด้วยกัน ที่หน้าบ้าน มาลินีเอ่ยขึ้น
“มดดีใจที่พี่แก้วรู้ว่า...คนที่ทำร้ายจิตใจลูกเมียเป็นคนอำมหิต”
กาวินทร์ยิ้ม พูดอย่างถือดี “เรื่องแค่นี้ ลูกผู้ชายควรคิดเป็น”
“งั้นพี่แก้ว ก็เลิกทำร้ายหัวใจผู้หญิงสิคะ”
กาวินทร์ชะงัก ตวัดสายตามามองมาลินี ไม่พอใจนัก
มาลินีพูดต่อ “เพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกทำร้ายจากการกระทำของพี่แก้ว มันหมายถึงครอบครัวเค้าถูกทำร้ายด้วย แล้วที่ผ่านมามันก็ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่หลายคน”
พูดจบมาลินีก็เดินหนี กาวินทร์อึ้งนิ่งงันไป
เย็นนั้นกรรณนรีเดินออกมาจากอาคารออฟฟิศ ด้วยท่าทางเศร้าๆ แต่ต้องชะงักที่เห็นสรวงจอดรถรออยู่ ดวงหน้าของสรวงที่จ้องมองมา ไม่แตกต่างจากดวงหน้าของกรรณนรีเลย
สรวงขับรถมาตามทาง ก่อนจะจอดที่ถนนสายหนึ่ง เดินลงมาพร้อมกรรณนรี
สรวงพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ผมควรทำยังไง ยินดี ต้อนรับสมาชิกใหม่? ยิ้มแย้ม มีความสุข เพื่อที่จะไม่ต้องถูกตราหน้าว่าอคติกับ…”
กรรณนรีต่อให้ “เมียน้อย”
สรวงมองกรรณนรี เห็นสีหน้าแววตาอันขมขื่นพอกัน กรรณนรีว่าต่อ
“คุณไม่ต้องพูดอะไร...ฉันเข้าใจ เพราะความรู้สึกของฉันไม่ได้ต่างจากคุณ เราสองคนต่างเจ็บปวดเหมือนกัน แต่ฉันทนได้....ฉันทนได้กับการเป็นลูกที่ถูกแม่ทิ้ง...แต่พ่อ..พ่อ..คงเสียใจ”
“แม่ของผมก็เสียใจ ทุกข์ใจ จนไม่อยากพบปะกับใคร โดยเฉพาะนักข่าว” สรวงมองหน้ากรรณนรี “และเมื่อแม่ไม่พูด ผมก็คงต้องพูดแทน”
“ฉันขอโทษที่ทำความลำบากใจให้กับคุณ...แต่ฉันเป็นนักข่าว ฉันมีหน้าที่ต้องถาม คุณคงเข้าใจ”
สรวงพยักหน้า “เข้าใจ” พลางยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “และผมก็คงต้องปั้นหน้า..ทำเหมือนว่าไม่รู้สึกอะไร”
สองคนมองหน้ากันเศร้าๆ แววตามีแต่ความขมขื่น
หลายวันต่อมา ช่วงตอนกลางวัน สามคนเดินมาด้วยกันตามทางเดินในห้างสรรพสินค้า นิคเอ่ยขึ้นหน้ายุ่ง
“กาวช่วยตบหน้าฉันทีเถอะ”
กรรณนรีงง “ทำไม”
“ฉันจะได้รู้ว่าฉันไม่ได้ฝันไป”
กรรณนรีงงหนัก ไม่เก็ต “อะไรของแกวะ”
“เอาน่า ตบหน้าฉันหน่อย”
กรรณนรีไม่ทันได้สนองนี้ด มะยมกลับยื่นมือมาตบเข้าที่หน้านิคเพียะๆๆๆ ติดๆ กัน นิคร้องลั่น
“เฮ้ย! แกตบฉันทำไมมะยม” นิคฉุน
“ก็ตบแทนกาวไง แล้วนี่มันเรื่องอะไรยะ ถึงได้คิดว่าฝันน่ะ”
“ไม่ได้คิดว่าฝันแต่อยากให้เป็นแค่ฝัน” นิคบอกคำเดิม
มะยมชักเซ็ง “อะไรของแก ยิ่งพูดยิ่งงง”
“พรีเซ็นเตอร์ยาสีฟัน Cool 2012 คือคุณขี้ไคล” นิคว่า
มะยมตาโต “หา! ยัยขี้ไคล”
สามคนทำหน้าเซ็งไปตามๆ กัน
ตรงลานจัดอีเว้นท์ภายในห้างสรรพสินค้าตอนกลางวัน สุขหฤทัยนั่งแต่งหน้าทำผมอยู่ในห้องแต่งตัวหลังเวที เตรียมที่จะออกมาเปิดตัวสินค้า นักข่าวถ่ายภาพ สุขหฤทัยวางท่าเป็นเซเลบ ปรายตามองกลุ่มกรรณนรีที่ยืนสังเกตุการณ์ด้วยกิริยาเหวี่ยงๆ
“โอ๊ย! จะตามมาอะไรนักหนา แต่งหน้ายังไม่เสร็จเลย ให้มีพื้นที่ส่วนตัวบ้างสิ”
นักข่าวต่างมองสุขหฤทัยอย่างไม่พอใจ นิคกระซิบมะยม กับกรรณนรี
“ยาสีฟัน Cool คิดผิดจริงๆ ว่ะ ที่จ้างยัยขี้ไคลมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ปากเหม็น ปากเน่า ปากเสียอย่างนี้ ใครจะกล้าใช้ตาม”
มะยมกระซิบเสริม “ใช่! ขืนใช้ ปากเน่า ปากเหม็นเหมือนพรีเซ็นเตอร์ แน่เลย นี่ถ้าเค้าไม่มาตามข่าวคุณสรวง จ้างให้ก็ไม่มีคนมาทำข่าวหล่อนหรอก”
กรรณนรีเอ็ด “รู้แล้วจะไปสนใจเค้าทำไม รอตามงานของเราดีกว่า”
มะยมยิ้มเยาะ “เดี๋ยวนางก็จะได้รู้ งานเปิดตัวยาสีฟันนาง มีแต่ข่าวคุณสรวง”
นิคหันไปเห็น “นั่นๆ คุณสรวงมาแล้ว”
ทีมงานแบ็คสเตจคนหนึ่ง เดินนำสรวงแหวกคนเข้ามาในห้องแต่งตัว สุขหฤทัยกรี๊ดกร๊าด
“สรวง...ฤทัยดีใจจัง ตอนแรกฤทัยกลั๊ว กลัว....กลัวว่าสรวงจะรำคาญ” มองจิกมาทางกลุ่มกรรณนรี “พวกแมลงสาป จนไม่กล้ามางาน”
สรวงมองกรรณนรี “ผมไม่เคยรำคาญใคร ...รับปากไว้แล้ว ยังไงก็ต้องมา”
กลุ่มนักข่าว กดถ่ายรูปและตะโกนเซ็งแซ่
“คุณสรวง..ขอสัมภาษณ์หน่อยค่ะ” / “คุณสรวง..ขอสัมภาษณ์หน่อยครับ”
ทีมงานขอตัวอย่างมีมารยาท “ขอโทษนะคะพี่ๆ น้องๆ ทุกคน...ขอเวลาให้เตรียมงานกันก่อน ไว้สัมภาษณ์หลังงานเปิดตัวสินค้านะคะ”
สรวงหันมามองที่กรรณนรี สุขหฤทัยไม่พอใจ มองกรรณนรีแล็วพูดเหน็บตามประสา
“ได้ยินมั้ยคะ ขอเวลาเตรียมงานกันก่อน ใครที่ไม่ใช่ทีมงานกรุณาออกไป”
กลุ่มนักข่าวเดินออกไป นิคบ่นอุบ
“ทำตัวเป็นซุปตาร์ เรื่องมาก ตอนเปิดตัวฉันจะถ่ายแต่ยาสีฟันไม่ให้ติดหน้ายัยขี้ไคลเลย คอยดู”
บนเวทีสุขหฤทัยสวยเฉิดฉายในชุดคอนเซ็ปต์พรีเซ็นเตอร์ ถือยาสีฟัน กำลังยืนโพสท่าให้ช่างภาพและสื่อมวลชนถ่ายรูป
“อยากฟัน สวย ขาว สะอาด ลมหายใจสดชื่นทั้งวัน ต้อง Cool 2012 ค่ะ”
สุขหฤทัยทำท่าพ่นลมปาก แอ๊คท่าให้ถ่ายรูป แต่นักข่าวกดชัตเตอร์ถ่ายกันหร็อมแหร็ม แชะ สองแชะ เพราะไม่ดัง
สุขหฤทัยงงถามวุ่นวาย “เอ้า! ทำไมไม่ถ่ายรูปกันล่ะคะ กล้องเสียเหรอคะ แบตหมดเหรอคะ ทำไมไม่รู้จักเตรียมมาให้พร้อม”
นิคตะโกนบอก “กล้องไม่ได้เสีย แบตไม่ได้หมดหรอกครับ”
สุขหฤทัยงงหนัก “ก็แล้วทำไมไม่ถ่าย”
“ภาพลักษณ์นางแบบขัดกับอิมเมจยาสีฟัน อีกอย่างที่เรามางานนี้ เพราะตั้งใจมาทำข่าวคุณสรวง ไม่ใช่คุณ” นิคบอก
สุขหฤทัยแว๊ด “แต่พ่อฉันจ้างทุกคนมาทำข่าวฉัน ยาสีฟันของฉันนะ”
นิคพูดตอกใส่หน้า “พอดีผมไม่ได้รับเงินพ่อคุณ”
มะยมตาม “ฉบับไหนรับ คุณก็ตามจิกเองค่ะ พวกเรามารอคุณสรวง”
สุขหฤทัยหน้าเหวอเอ๋อไปทันควัน จังหวะนั้นยินเสียงพิธีกรของงานประกาศดังขัดขึ้น
“และขอต้อนรับเซเลบหนุ่มคนดัง ที่มาแสดงความยินดีกับ Cool 2012 คุณสรวง อริยะวรรตครับ”
สรวงเดินยิ้มหล่อออกมา เป็นรอยยิ้มที่ดูไม่สดใสมากนัก เพราะสรวงมีเรื่องกลุ้มในใจอยู่ บรรดาช่างภาพกรูกันเข้าไปถ่ายรูปสรวง สุขหฤทัยหน้าเหวอ รีบเข้าไปยืนประกบถ่ายรูปกับสรวง
จังหวะนั้นกรรณนรีกับสรวงมองหน้ากัน ขณะที่นิคโคลสถ่ายเฉพาะสรวง
กรรณนรีว้าวุ่นคิดกังวลอยู่ในใจ “ถ้าลงมา...แล้วคุณต้องถูกรุมสัมภาษณ์เกี่ยวกับคุณภาพิศ คุณจะตอบยังไงคุณสรวง”
เวลาเดียวกันภาพิศที่สวยเฉิดฉายดุจนางพญาเดินมาตามทางในห้าง ในมือถือช่อดอกไม้มาด้วย ดวงหน้ายิ้มพรายเหมือนคิดแผนอะไรอยู่
สุขหฤทัยเอามือคล้องแขนสรวงแสดงความเป็นเจ้าของขณะเดินลงมาจากเวที บรรดานักข่าวเห็น ก็เตรียมไปสัมภาษณ์สรวง แต่สุขหฤทัยยิ้มหน้าระรื่นถามขึ้นก่อน
“Cool 2012 ใช้แล้วเป็นยังไงคะสรวง”
“ดีครับดี ฟัน ขาวสะอาด ลมหายใจหอมสดชื่นดี
สุขหฤทัยระริกระรี้ทำท่าเอาจมูกใกล้แก้มสรวง “หอม... ต้อง Cool 2012ค่า”
นักข่าวเข้าไปรุมสัมภาษณ์สรวงรวมทั้งกรรณนรี มะยม ส่วนนิคถามภาพ นักข่าวยิงคำถามทำนองเดียวกัน
“แล้วคุณสรวงคิดยังไงกับข่าวภาพิศท้องครับ” / “แล้วคุณสรวงคิดยังไงกับข่าวภาพิศท้องคะ”
นักข่าวอีกคนถามจี้จุด “ดีใจหรือเปล่าที่จะมีน้องที่เกิดจากคนละแม่”
กรรณนรีถามต่อ “ในเมื่อคุณสรวงไม่ชอบคุณภาพิศ คุณสรวงจะรับลูกคุณภาพิศเป็นน้องหรือ
เปล่าคะ?”
กรรณนรีกับสรวงจ้องหน้ากัน เจ็บปวดทั้งคู่ สรวงไม่ทันได้ตอบอะไร ภาพิศก็ปรากฏตัวขึ้นมาข้างๆ พร้อมรอยยิ้มหวาน
“รับสิคะ”
นักข่าวหันขวับไปตามเสียง “คุณภาพิศ”
โปรดติดตาม "ไฟมาร" ตอนต่อไป