xs
xsm
sm
md
lg

ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 1

หลังจากเหตุการณ์สึนามิถล่มญี่ปุ่น จนเกิดผลเสียหายอย่างหนัก อีกทั้งทั่วโลกยังระส่ำระสายด้วยทั้งภัยธรรมชาติและภัยสงคราม น้ำท่วมประเทศไทยและเอเชีย ทำให้สภาวะเศรษฐกิจเอเชียวิกฤตหนัก โลกเริ่มขาดแคลน ทั้งพลังงานธรรมชาติ อาหาร และทรัพยากรธรรมชาติในการดำรงชีวิตทุกรูปแบบ

บรรดาพวกมาเฟียและนักธุรกิจมืดที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลกเริ่มเคลื่อนไหว หาทางขยายเส้นทางธุรกิจเพื่อชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปให้แก่ภัยธรรมชาติ
องค์กรลับ “แบล็กอีวิล” ที่เคยส่งคนเข้ามาขยายฐานในไทยครั้งหนึ่งแต่ถูกนางเสือโค่นจนต้องถอยกลับไปนั้น หาได้หยุดยั้งไม่ เนื่องด้วยเห็นว่าไทยมีจุดอ่อนทางด้านการเมือง ระบบกฎหมายไม่แข็งแกร่งและที่สำคัญคือยังเต็มไปด้วยการคอรัปชั่น ทำให้องค์กรแบล็กอีวิล ส่งกำลังกลับเข้ามาอีกครั้ง

และคราวนี้ไม่ได้มาเพื่อหาทางควบคุมเส้นทางธุรกิจเท่านั้น แต่ต้องการที่จะควบคุมและยึดครองประเทศไทยให้อยู่ในกำมือโดยไม่ให้ประชาชนคนไทยรู้ตัว ผู้บัญชาการคือ นายใหญ่คนเดิม คราวนี้มาด้วยแผนที่เหนือเมฆพร้อมเกณฑ์นักฆ่ามาจากทั่วสารทิศเพื่อขจัดนางเสือออกไปให้พ้นทาง

ค่ำคืนหนึ่ง บริเวณตึกบัญชาการของนายใหญ่ เสียงเหยี่ยวสายลมร้องก้อง พร้อมๆ กับที่รถแล่นพรวดเข้ามาด้านหน้าตึก มือปืนนับสิบพรวดออกมาจากตึก กราดปืนมาที่รถคันนั้น ซึ่งมี...
ดาว…สาวสวย วัยใสแต่แกร่ง ซึ่งตอนเด็กคือหนูน้อยพฤกษา เป็นลูกสาวของอิทธิหัวหน้าหน่วยปราบปรามเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ และคุณหญิงรัตนา เมื่อพ่อถูกลอบสังหาร ทำให้พฤกษาโตขึ้นในป่า โดยใช้ชื่อว่าดาว ถูกฝึกฝนวิชาการต่อสู้ในป่าจนเก่งกาจมีฝีมือ และเนื่องจากบารมีความดีของอิทธิที่ดูแลป่า ทำให้ป่าปกป้อง กลายเป็นคนที่มีพลังเหนือธรรมดา ร่างกายไม่มีการได้รับบาดเจ็บ เวลาเข้าป่าดาวจึงมีสัมผัสพิเศษรู้ได้ถึงทุกส่วนของป่า นับจากนั้นดาวก็มุ่งหน้าช่วยเหลือคนจนคนดีที่ถูกเอาเปรียบ โดยร่วมกับเพื่อนๆ ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ประกอบด้วย
ฤทธิชัย...นายตำรวจหนุ่มมือปราบคนเก่ง อายุแก่กว่าดาวเพียงห้าปีมือขวาของก้องเกียรติ นายตำรวจตงฉิน ทางบ้านมีฐานะดี เชื้อสายราชการแม่ทัพเก่าแก่มีอุดมการณ์ ยอมหัก ไม่ยอมงอ คุยสนุก ไม่ถือตัว ขี้เล่นจบการศึกษาและอบรมวิชาการตำรวจจากต่างประเทศ แต่ภายหลังลาออกมาจากการเป็นตำรวจ เพื่อใช้ชีวิตคู่กับดาว
จักจั่น...เพื่อนรักรุ่นน้องของดาว ลูกนายแสงหัวหน้าชุมโจร ที่โตมาด้วยกันในป่า อายุไร่เรี่ยกับดาว อ่อนกว่าไม่กี่เดือนได้รับการฝึกฝนวิชาฝีมือจนเก่งเช่นกัน ภายหลังมีสัมผัสและพลัง พิเศษเหมือนดาว เป็นสาวจอมกวน ขี้เล่น แต่ลุยแหลก
อภิชาติ...คนรักของจักจั่นทนายความมีชื่อ เคยเป็นทนายประจำกรมตำรวจมาก่อนแต่เห็นความไม่ยุติธรรมในสังคมจึงลาออก เพื่อที่จะจัดการกับคนร้ายได้เต็มที่ ไม่ต้องผ่านระบบขบวนการที่มีช่องโหว่ให้คนร้ายหลีกเลี่ยง คอยช่วยงานปราบปรามของฤทธิชัย
และ ไผ่ พี่ชายของจักจั่น อายุแก่กว่า ดาว และ จักจั่น สี่ปี ถูกฝึกวิชาจนมีฝีมือเก่งเช่นกัน นิสัยคล้าย จักจั่น พูดจาโผงผาง ใจร้อนกว่าจักจั่น ห้ามไม่ค่อยอยู่ ลุยแหลกเช่นกัน

ซึ่งเวลานั้น ดาว ฤทธิชัย จักจั่น อภิชาต และไผ่ ทั้ง 5 คนอยู่ในชุดปฏิบัติการนางเสือ พรวดออกมาจากรถ สาดกระสุนเข้าใส่พวกมันล้มคว่ำระเนระนาด
“ด่านหนึ่งผ่าน” ฤทธิชัยประกาศ
ดาว นางเสือสาวตอบรับ
“เป้าหมายอยู่ชั้นสิบ ขึ้นลิฟท์เดี่ยว วีไอพี”
ฤทธิชัยโบกมือส่งสัญญาณ ทั้งสี่คนเข้าไปในตัวตึก มือปืนโผล่มาอีก นับสิบ ทั้งสี่ต่างสาดกระสุนเข้าใส่พวกมันจนล้มคว่ำไปหมดเช่นกัน แล้วตรงไปที่ลิฟท์เดี่ยว กดปุ่มขึ้นไปยังชั้นสิบ
ในห้องประชุมชั้นสิบ นายใหญ่เปิดกระเป๋าเอกสาร โยนแผ่นซีดีเข้าไปหลายแผ่นพร้อมปิดโครม มือปืนพรวดเข้ามาในห้อง
“เราต้องไปแล้วครับนายใหญ่”
นายใหญ่คว้ากระเป๋า พวกมือปืนเข้ามาระวังความปลอดภัย ห้อมล้อมนายใหญ่ไว้อย่างหนาแน่น ทันใดนั้นเสียงเหยี่ยวสายลมร้องก้อง ที่ผนังด้านที่เป็นกระจกเห็นวิวด้านนอก เงาดำพุ่งเข้ามากระแทกกระจกแตกแล้วยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า
“แน่จริง ทำไมต้องหลบหน้า”
พวกมือปืนล้อมนายใหญ่ อย่างหนาแน่น ดาวเห็นหน้านายใหญ่ไม่ชัด เพราะใส่แว่นดำ
“ฆ่ามัน” นายใหญ่สั่ง
พวกมือปืนตวัดปืนสาดเข้าใส่ ดาวยืนไม่หลบ ตวัดปืนยิงสาดใส่พวกมันจนล้มคว่ำเสียงร้องครวญครางกันไปหลายคน พวกมันที่เหลือช่วยกันบังก่อนจะลากนายใหญ่ออกจากห้องไป ดาวตามแต่พอออกไปนอกห้องก็เจอมือปืนนับสิบ สาดกระสุนสกัด จึงยิงสาดพวกมันล้มคว่ำ แต่พวกมันจำนวนมากหลบยิงสกัดอย่างแน่นหนา
“เป้าหมายไปที่ลิฟท์”
ดาวบอกผ่านวิทยุ ฤทธิ์ชัยตอบกลับ...
“เราอยู่ในลิฟท์ มันไม่มีทางรอดไปได้...”
ทางไปลิฟท์เดี่ยว...มือปืนนับสิบล้อมหน้าล้อมหลังนายใหญ่ เพื่อคอยคุ้มกัน เสียงมือปืนที่อยู่หน้าลิฟท์ดังมาจากวิทยุ
“ที่หน้าลิฟท์ พร้อม...”
“รีบไป...”
ทุกคนเคลื่อนไปที่หน้าลิฟท์ มือปืนห้อมล้อมนายใหญ่ไว้ โดยไม่รู้ว่าฤทธิชัย จักจั่น อภิชาติ และ ไผ่ อยู่ในลิฟท์ที่เคลื่อนขึ้นไป
ที่หน้าลิฟท์ชั้นสิบ พวกมือปืนนับสิบยืนอออยู่ เตรียมพร้อมที่จะยิงทันทีที่ประตูลิฟท์เปิด เมื่อลิฟท์มาถึง พวกมันขยับปืน
ทันใดนั้นประตูลิฟท์เปิด พวกมันมองหน้ากันแล้วแล้วยิ้ม เพราะในลิฟท์ มีร่างของ ฤทธิชัย จักจั่น นั่งพิงผนัง หันหน้าออกมาด้านนอก อภิชาติ และไผ่ นั่งฟุบอยู่คนละฝั่งซ้ายและขวาของฤทธิชัยและจักจั่น ทั้งหมดเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ ประตูลิฟท์ค่อยๆเลื่อนปิดแต่แล้วร่างของไผ่ก็ล้มลงมาขวางประตู ประตูลิฟท์กระเด้งเปิดออกอีกครั้ง

พวกมันต่างยิ้มโล่งใจ แต่ร่างของทั้งสี่ กลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ สาดกระสุนเข้าใส่พวกมันจนคว่ำไปหมด

ทั้งหมดต่างเดินข้ามร่างของพวกมันผ่านออกมา ทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่นมาทางด้านหลัง ฤทธิชัยตกใจ

“คุณดาว”
ทุกคนพรวดเข้าไปที่ห้องด้านในก็เห็นร่างพวกมันกระเด็นออกมาล้มตาย ทั้งหมดเคลื่อนตัวไปทางด้านหน้าก็เห็นพวกมันนอนระเกะระกะ ดาวพรวดออกมา...
“เป้าหมายล่ะ”
ฤทธิชัยถามทันที ดาวแปลกใจ
“ไปที่ลิฟท์แล้วไง...”
จักจั่นชะงัก
“ไม่มี...มีแต่พวกมือปืน”
“ตายเรียบ...ไม่มีเป้าหมาย”
ขาดคำของไผ่ อภิชาติรีบบอกทุกคนทันที
“เร็ว...แยกกันค้นหา”
ทันใดนั้นเสียงเหยี่ยวสายลมร้องก้อง ดาวร้อนใจ
“แย่แล้ว...”
ที่ร่างของมือปืนตรงหน้าลิฟท์ที่นอนตายระเกะระกะอยู่....ร่างหนึ่งที่คว่ำหน้าอยู่ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในลิฟท์ค่อยๆหันกลับมาแต่ประตูลิฟท์ปิดพอดีทำให้ไม่เห็นหน้า
ดาว และ ทุกคนพรวดมาหน้าลิฟท์ ไผ่เตะประตูลิฟท์โครมด้วยความโกรธ ทั้งหมดต่างมองหน้ากัน...อภิชาติโมโห
“มันหลุดมือเราไปจนได้”
จักจั่นบอกเครียดๆ
“มันต้องกลับมาอีกแน่ๆ”
ฤทธิชัยพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“แน่นอนที่สุด คนพวกนี้หลงอำนาจจนบ้า มันไม่ยอมให้ประเทศไทยพ้นเงื้อมมือมันง่ายๆหรอก”
ไผ่เจ็บใจ
”ดี...พวกมันกลับมาอีกก็ดี จะได้ส่งพวกมันไปลงนรกให้หมด”
ดาวบอกอย่างแค้นจัด...
“กลับมาเมื่อไหร่ก็เจอกับนางเสือเมื่อนั้น”

ในห้องประชุมใหญ่ของสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง บรรยากาศมืดสลัว ประธานองค์กรและคณะกรรมการแบล็กอีวิล ต่างนั่งล้อมกันที่โต๊ะรูปครึ่งวงกลมในความมืดไม่เห็นหน้า...คือร่างของชายผู้หนึ่งคือ นายใหญ่ ที่หนีรอดพ้นเงื้อมมือฤทธิชัยกับพวกมาได้ ยืนอยู่ในความมืดไม่เห็นหน้าเช่นกัน เงาของกรรมการในความมืดคนหนึ่งพูดขึ้น
“คุณทำงานผิดพลาด องค์กรของเราเสียหายไปมาก”
“ถ้าให้โอกาสผมอีกครั้ง...ผมจะออกคุมการปฏิบัติการด้วยตัวเอง”
นายใหญ่พยายามขอโอกาสให้ตนเองอีกสักครั้ง กรรมการอีกคนจึงถามขึ้น
“คุณมีแผนยังไง”
“แทรกซึมเข้าไปในทุกหน่วยงานเพื่อค้นหาจุดอ่อน...ซื้อผู้คน...ซื้อระบบ...ใครขวางก็กำจัด...สุดท้าย เศรษฐกิจในประเทศไทยทั้งประเทศจะอยู่ในกำมือของเรา”
นายใหญ่เดินก้าวมาข้างหน้าใกล้กับโต๊ะรูปโค้งครึ่งวงกลม...ใบหน้ากระทบแสงสว่าง กลับกลายเป็นใบหน้าของก้องเกียรติ นายตำรวจใหญ่ กรรมการคนหนึ่งยิ้มออกมา
“ผลงานเยี่ยมมาก ปลอมเป็นท่านรองก้องเกียรติ สามารถเข้าถึงทุกหน่วยงานได้ทุกหน่วยจริงๆ”
“ผิดครับ...ผมปลอมเป็นท่านรองก้องเกียรติ เพื่อกำจัดท่านรองก้องเกียรติให้พ้นทางมากกว่า”
“ผมไม่เข้าใจ”
“ท่านรองก้องเกียรติจะถูกมัดด้วยข้อหาขายความลับของประเทศชาติและถูกปลดจากตำแหน่งพร้อมรับโทษแล้วคนของผมซึ่งพร้อมอยู่แล้วจะได้ขึ้นมา บริหารงานแทน”
กรรมการคนหนึ่งแย้งขึ้น
“แต่โลบายูเว่ ผู้เชี่ยวชาญการแปลงโฉมมือหนึ่ง ของคุณพลาดท่ามาแล้ว”
“โลบายูเว่มีจุดอ่อนตรงแผ่นเหล็กที่หัวของมัน...”
“แล้วคุณล่ะ...”
“ผมไม่คิดจะบอกใคร...รวมทั้งพวกคุณ”
“แล้วคุณจะกำจัดนางเสือยังไง”
“ผมสั่งหน่วยสังหารมาจากทั่วโลก...ล้วนมีฝีมือ เพื่อกำจัดนางเสือกับพวกของมันโดยเฉพาะ”
กรรมการพึงพอใจ
“ดี...เริ่มปฏิบัติงานได้”
กรรมการอีกคนมองหน้านายใหญ่
“ถ้าคุณพลาด...ไม่ว่าคุณจะลี้ภัยไปที่ไหน คุณไม่มีวันหนีพ้นองค์กรของเรา...เราจะเก็บคุณและครอบครัวของคุณให้หมดไปจากโลกนี้”
ประธานองค์กรและคณะกรรมการทั้งหมดต่างลุกขึ้นเดินออกไป...นายใหญ่มองตามหน้าเคร่งเครียด...เอามือกระชากหน้ากากออกโยนลงพื้น...

สามเดือนต่อมา...ในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งยามค่ำคืน ฤทธิชัย ดาว อภิชาติ จักจั่น นั่งกันอยู่ที่โต๊ะ ฤทธิชัยยกแก้ว
“ดีใจด้วยที่แกปิดคดีใหญ่ที่สุดในรอบปี”
อภิชาติชนแก้ว
“เย้...แล้วก็สำหรับชีวิตการแต่งงานของเรา”
ทุกคนยิ้ม ต่างยกแก้วชนกันแล้วดื่ม อภิชาติหันมาถามฤทธิชัย
“แกกับคุณดาวจะกลับบ้านดอนเสือเมื่อไหร่”
“คิดว่าพรุ่งนี้เช้า”
จักจั่นหันไปหาดาว
“อะไรพี่ดาว ไม่อยู่ช็อปปิ้งก่อนเหรอ”
“อยู่บ้านดอนเสือไม่ต้องใช้เสื้อผ้ามากเหมือนอยู่กรุงเทพ ไม่ต้องสวยตลอดเหมือนจักจั่นหรอกจ้ะ”
“ขืนไม่สวยก็แย่ซิคะพี่ดาว สาวกรุงเทพ สวยๆทั้งนั้นแล้วก็จ้องจะคว้าคุณอภิชาติตาเป็นมัน”
ดาวแปลกใจ
“อ้าวเขาไม่รู้เหรอว่าคุณอภิชาติกับจักจั่นแต่งงานกันแล้ว”
“รู้ค่ะ...แต่ไม่สน สมัยนี้แย่งได้เป็นแย่ง”
ฤทธิชัยหันไปแซวเพื่อน
“อ้าวเพื่อน แสดงว่าแกต้องแอบไปกุ๊กไปกิ๊กแน่”
“เฮ้ย...หาเรื่องกันนี่หว่า” อภิชาติโบกมือเรียกเด็ก “น้องคิดตัง”
จักจั่นค้อน
“พูดถึงไม่ได้ รีบชิ่งเลย”

ทั้งหมดต่างหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดี

อภิชาติขับรถมาตามถนน ฤทธิชัยนั่งหน้าคู่ ด้านหลัง ดาวกับจักจั่นนั่งด้วยกัน

“ท่านรองว่าไงบ้าง” อภิชาติถามขึ้น
“ท่านบอกให้คอยจับตาดูพวกแบล็คอีวิลที่เคยหนุนหลัง นายสินชัย ท่านพบว่ามีการเคลื่อนไหวของพวกมัน” ฤทธิชัยบอก
“มันต้องหาทางกลับเข้ามาในไทยชัวร์”
ดาวมั่นใจ
“แน่นอน ประเทศไทยเหมือนขนมหวาน พวกมันรู้ว่าสังคมกำลังนับถือเงินเป็นพระเจ้า แค่เอาเงินหว่านทุกคนก็พร้อมที่จะทำความชั่วลืมคุณแผ่นดิน”
ฤทธิชัยถอนใจ
“โรคนับถือเงินระบาดไปทั่ว...ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยหรอก”
จักจั่นยื่นหน้าเข้ามา
“อยากจะกลับมาก็เชิญ นางเสือจะได้ออกโรง กำลังเบื่อพอดี”
ดาวงงๆ
“อ้าว...ต้องแต่งตัวสู้กับสาวๆกรุงเทพฯทุกวันยังเบื่ออีกเหรอ”
ทั้งหมดต่างขำ...ทันใดนั้นรถตู้ปาดหน้าเข้ามาจน อภิชาติต้องหักหลบ เบรกพรืดจอดข้างทาง
“เฮ้ย...เมาหรือไงวะ”
รถตู้จอดอยู่ตรงหน้านิ่งสงบ ฤทธิชัยมองรถตู้อย่างระวังตัว
“ไม่ใช่เมาหรอก...พวกมันจะเล่นงานเรา”

ณ บ้านดอนเสือ...เสือคำรามก้อง...ตามด้วยเสียงเหยี่ยวสายลมที่ส่งเสียงมาจากบนท้องฟ้า เพื่อเตือนภัยบางอย่าง...ไผ่ ซึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงบ้าน กราดสายตาไปทั่ว ทันใดนั้นหันขวับมามองจันจิรา พยาบาลค่ายอาสา หลานสาวป้าเนียน คนรักของเขาที่เดินออกมา
“มีอะไรเหรอจ๊ะ”
“เสียงสายฟ้าสายลม...บางอย่างผิดปกติ”
จันจิราเดินเข้ามาใกล้ กราดสายตาไปรอบๆ ไผ่ดึงหญิงสาวเข้ามากอดซบอก เสียงสายลมดังก้องอีก ไผ่ก้มลงไปหอมที่แก้มแต่กระซิบ
“หลบไปก่อน คอยดูป้าเนียนด้วย”
จันจิรากระซิบตอบ
“พี่ไผ่ระวังตัวด้วยนะจ๊ะ”
จันจิราขยับตัวจะเข้าไป ไผ่ดึงไว้หอมแก้มอีกหนึ่งฟอด ทำเป็นกุ๊กกิ๊กกันเพื่อตบตาคนที่ซุ่มอยู่ด้านนอก
“ยิงทุกอย่างที่ขวางหน้า...แม้แต่เงา” ไผ่สั่งเบาๆ
จันจิรายิ้มโหด...แล้วหมุนตัวเข้าไปด้านใน ไผ่ยิ้มเครียด...ทำท่าเหมือนยืนกินลม แต่มือเลื่อนช้าๆไปอยู่ที่เอว

ในรถ...ฤทธิชัยหันไปบอกจักจั่น
“คุณจักจั่น...มีเรื่องให้คุณหายเบื่อแล้ว”
จักจั่นหน้าเข้มจ้องพวกมัน
“เยส”
จักจั่นเปิดประตูรถพรวดออกไป ในขณะที่คนอื่นๆเปิดประตูรถออกไปพร้อมกัน ประตูรถถูกเปิดค้างไว้เพื่อเป็นกำบัง ทันใดนั้นรถตู้อีกคันหนึ่งแล่นมาอีกทางดักทุกคนไว้ตรงกลาง ดาวบอกกับจักจั่น
“จักจั่นอยู่ใกล้พี่ไว้”
“ไม่เอา...อยู่ใกล้พี่ดาว ไม่สนุก”
อภิชาติหันไปบอกฤทธิชัย
“ของฉันคันนี้ ของนายคันโน้น”
“โอเค...”
ทั้งสองตวัดมือปืนติดหนึบขึ้นมาอยู่ในมือ ทันใดนั้นประตูรถตู้ทั้งสองคันเปิดออก มือปืนในชุดดำออกมาคันละห้าคนพร้อมปืน ยิงกราดเข้าใส่รถของอภิชาติ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ฤทธิชัยกับดาวหันไปทางรถตู้คันหนึ่ง อภิชาติกับจักจั่นอีกคันหนึ่ง...ทั้งหมดต่างยิงกราดโต้ตอบพวกมัน ในที่สุดพวกมันล้มคว่ำไม่เป็นท่า ทั้งหมดกราดสายตามองพวกมัน ดาวไม่ไว้ใจ
“ง่ายไป”
จักจั่นกังวล
“แบบนี้ไม่ดีแน่”
ทุกคนต่างกราดสายตารอบๆอย่างระมัดระวัง

ทั้งสี่คนเก็บปืนต่างแยกกันเดินเข้าไปหามือปืนเหล่านั้นที่ล้มเกลื่อนอยู่...แต่แล้วมือปืนทั้งหมดกลับดีดตัวขึ้นมาพร้อมเงาสีเงินวูบวาบต่างมีดาบอยู่ในมือ มือปืนเหล่านั้นกลายเป็นนินจาที่ใส่ชุดดำปิดหน้าถือดาบซามูไรสั้น ทั้งสี่คนรีบถอยมารวมกันตรงกลาง พวกนินจาล้อมเข้ามา อภิชาติชะงัก
“อย่าบอกนะว่าหนังเหนียว...ยิงไม่เข้า”
ฤทธิชัยรู้ได้ทันที
“พวกมันใส่เสื้อกันกระสุน”
จักจั่นโพล่งออกมา
“นินจาเหรอ”
ทันใดนั้นพวกนินจาบุกเข้ามาฟันใส่ทุกคน...นินจาคนหนึ่งพุ่งเข้ามาฟันฉับจักจั่นหลบคมดาบผ่านหัวไปพร้อมหมุนตัวถีบไอ้คนหนึ่งที่เงื้อดาบเข้ามากระเด็นออกไป นินจาอีกคนเข้ามาทางด้านหลังเงื้อดาบซามูไรสั้นฟันลงแต่ดาวเข้ามารับไว้ทัน แล้วชกเปรี้ยงกระเด็นออกไป
“โธ่เอ๊ย...ขัดจังหวะความมัน”
จักจั่นบ่นแล้วดีดตัวออกไป...ดาวยิ้มส่ายหน้า ดีดตัวออกไปอีกทาง อภิชาติกำลังถอยจากคมดาบที่รุกไล่ฟันเข้ามา
“เฮ้ย...เดี๋ยวยังอิ่มอยู่”
จักจั่นดีดตัวเข้ามา ตวัดปืนยิงใส่เปรี้ยง นินจากระดอนไปอภิชาติยิ้มขอบคุณ
“แท็งคิ่ว ฮันนี่...”
จักจั่นยิ้มหวาน
“เวลคัม...ฮันนี่”
จักจั่นพูดจบแล้วกระโดดเข้ากอดคออภิชาติ พร้อมถีบนินจาคนหนึ่งที่พุ่งเข้ามากระเด็นไป...อภิชาติยกนิ้วให้
“โห...สุดยอด”

จักจั่นยิ้ม “แน่นอน”

ฤทธิชัยหลบดาบของนินจาแล้วชกเปรี้ยง นินจากระเด็นออกไป อีกคนเข้ามาฟัน ฤทธิชัยหลบวูบ นินจาเสียหลักหมุนไปเจอดาวพอดี ดาวชกเปรี้ยงกระเด็นไปไกลนอนฟุบที่พื้น ฤทธิชัยยิ้มให้ดาว

“เลิฟ ยู”
ดาวทำมือส่งจูบให้...นินจาคนหนึ่งพรวดเข้ามาทางด้านหลังของดาว ฤทธิชัยตวัดปืนยิงเปรี้ยงกระเด็นหงายออกไป ฤทธิชัยส่ายหน้า
“นอท ยู”
ทันใดนั้นเสียงแหลมเหมือนนกหวีดดังแสบหูเข้ามา ทุกคนต้องรีบเอามือปิดหู นินจาที่เหลือต่างพุ่งตัวหายไปในความมืด ทั้งสี่คนมายืนรวมตัวกันต่างตวัดมือไปทางด้านหลังเก็บปืน ร่างของพวกนินจาฟุบอยู่ 2 ร่าง อภิชาติมองอย่างสะใจ
“พวกมันคงได้ยินเราบ่นถึง รีบโผล่มาเลย”
ฤทธิชัยมองนินจาที่นอนตาย
“คราวนี้เล่นอิมพอร์ตมือสังหารมาซะด้วย”
อภิชาติคิดๆ
“สงสัยต้องจ่ายหนัก ฝีมือพวกมันร้ายกว่าเดิมเยอะ”
“ยิ่งร้ายยิ่งสนุก”
ขาดคำของจักจั่นทั้งหมดต่างเดินเข้าไปที่ร่างของนินจาที่อยู่ใกล้รถตู้ที่จอดอยู่ ทันใดนั้นรถตู้ระเบิดตูม ทั้งหมดกระเด็นลอยลงมาที่พื้น จักจั่นโกรธมาก
“ไอ้พวกลอบกัด”
ทุกคนต่างหน้าเคร่งเครียด...


ที่บ้านป้าเนียน...จันจิราซุ่มอยู่มุมบ้าน ร่างหนึ่งวูบเข้ามา จันจิราตวัดปืนเข้าใส่
“พี่เอง”
ไผ่ยืนอยู่ จันจิราก้าวออกมา
“เกิดอะไรขึ้น”
“พวกมันถอยไปหมดแล้ว”
ทั้งสองตวัดมือเก็บปืน
“พี่คิดว่ามันเป็นพวกไหน”
“ก็คงไอ้พวกเลวๆก๊วนเดิมๆ”
จันจิราถอนใจ ไผ่ดึงโอบจันจิราไว้ ทั้งสองมองฝ่าออกไปในความมืด
“ท่าทางบ้านดอนเสือจะลุกเป็นไฟอีกแล้ว”
ไผ่หน้าตาเครียดกังวล

วันใหม่...ฤทธิชัยกับอภิชาติถือกระเป๋าลงมาที่รถที่จอดอยู่ในลานจอดของคอนโด ดาวกับจักจั่นเดินตามหลังมา ทั้งหมดมาหยุดที่รถของตนเองที่จอดใกล้กัน ฤทธิชัยหันไปหาอภิชาติ
“โอเคเพื่อน คราวหน้าตานายไปให้ฉันเลี้ยงที่บ้านดอนเสือมั่ง”
อภิชาติยิ้มให้
“ได้...แต่จากเหตุการณ์เมื่อคืน ฉันว่าพวกมันต้องไปเยี่ยมนายแน่ๆ”
“อืม...ฉันก็ว่ายังงั้น แกต้องไปฮ่องกงกี่วัน”
“คิดว่าเสร็จธุระแล้วคงรีบกลับเลย”
จักจั่นหันมาหาดาว
“พี่ดาวไม่ไปช็อปปิ้งฮ่องกงด้วยกันเหรอ”
ดาวยิ้มแย้ม
“ตามสบายจ้ะ...พี่จะอยู่คอยระวังพวกมันซะหน่อย”
“ถ้าเจอละก็...ฝากเหยียบพวกมันด้วยนะ”
ดาวขำกับคำพูดของจักจั่น อภิชาติหันมาหาฤทธิชัย
“ฉันกลับมาแล้วจะรีบโทรไป แกกับคุณดาวระวังตัวด้วย”
“แกก็เหมือนกัน”
ฤทธิชัยกับดาวขึ้นรถแล้วออกไป อภิชาติกับจักจั่นโบกมือให้

บนเส้นทางกลับดอนเสือ ฤทธิชัยขับรถมาโดยมี ดาวนั่งข้างๆ
“พี่ไผ่โทรมาแต่เช้า...เมื่อคืนมีการเคลื่อนไหวผิดปกติที่บ้านดอนเสือ”
“พวกมันกำลังประกาศสงครามกับพวกเราทุกคน”
ดาวหน้าเคร่งเครียด

ลุงเดช คนสนิทของอิทธิที่เลี้ยงดาวมาตั้งแต่เด็ก แสง หัวหน้าชุมโจร รุ่นน้องลุงเดช พ่อของ จักจั่น กับไผ่ และกลุ่มสมาชิกโจร กำลังลาดตระเวน อยู่ในป่า เสียงสายลมร้องก้อง ลุงเดชหยุดชะงัก แสงพูดเบาๆ
“มีการเคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้า”
“สั่งพวกเราแยกตีวงเข้าไป”
แสงยกมือชี้ไปทางซ้ายขวา สมาชิกโจรต่างแยกย้ายไป ทั้งสองต่างซุ่มตัวไปอีกด้านหนึ่ง จนกระทั่งเห็นพวกตัดไม้ทำลายป่าประมาณสิบคนอยู่ตรงหน้า
“แค่พวกชาวบ้านลักลอบตัดไม้ ดูแล้วไม่น่าจะใช่พวก แบล็กอีวิล อย่างที่หนูดาวบอก”

ลุงเดชบอกอย่างครุ่นคิด

ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 1 (ต่อ)

เวลานั้น พวกตัดไม้ทำลายป่า นั่งพักกันอยู่บนกองไม้ โดยมีพวกมือปืนยืนระวังอยู่หลายคน มีรถกระบะใส่เครื่องมืออยู่หนึ่งคัน ทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่น พวกมันตกใจ ขยับตัว ก็เห็น ลุงเดช กับ แสง และสมาชิกโจรยืนตรงหน้าพวกมันแล้ว ลุงเดชเล็งปืนขู่

“รีบออกไปซะ ก่อนที่จะถูกฝังอยู่ที่นี่”
พวกลอบตัดไม้ขยับตัววิ่งขึ้นรถเผ่นหนีกันออกไป...ลุงเดชกับแสงต่างมองหน้ากัน
“พวกมันถอยเร็วผิดปกติ”
ขาดคำของแสง เสียงปืนก็ดังขึ้น ร่างของสมาชิกโจรทรุดลงไป ลุงเดชตะโกนลั่น
“กับดัก”
แสงรีบบอกสมาชิกโจร
“ทุกคนระวัง”
เสียงปืนดังถี่ยิบกระสุนเฉี่ยวร่างของทั้งสอง ลุงเดชกับแสงดีดตัวเข้าราวป่า รวมตัวกับพวกสมาชิกโจรที่ซุ่มอยู่
“เห็นตัวพวกมันหรือยัง”
แสงบุ้ยใบ้ไปทางหนึ่ง
“นั่นไง”
เงาดำนับสิบล้อมเข้ามาสาดกระสุนปืนใส่ทุกคน ต่างยิงสกัด แต่ในที่สุดสมาชิกโจรถูกกระสุนคว่ำลงทีละคน ลุงเดชรีบบอก
“พวกมันเยอะมาก เราต้องถอย”
แสงสั่งลูกน้อง
“ทุกคนถอย”
ทุกคนต่างเริ่มถอย แต่กระสุนปลิวมา ถูกสมาชิกโจรคว่ำลงทีละคนจนหมด กระสุนปลิวเข้ามาราวกับห่าฝน ลุงเดช กับ แสง ดีดตัวเข้าไปในป่าทึบได้ทันท่วงที...

รถจิ๊ปเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ดาวกับฤทธิชัยลงจากรถ ทักทายกับสมาชิกโจร แล้วเข้าไปทักทายสมพรเมียนายแสง แม่ของ จักจั่น และ ไผ่ อดีตเป็นครูในจังหวัด ที่คอยอบรมเลี้ยงดู ดาว และ จักจั่น และ ไผ่ มาตั้งแต่เด็ก ที่ออกมารับ ดาวเข้าไปกอดสมพร
“ไงกรุงเทพ สนุกมั๊ยจ๊ะ”
“สนุกจ้ะ ดาวมีของมาฝากแม่สมพรจ้ะ”
สมพรรับของ
“คุณหญิงรัตนาสบายดีเหรอจ๊ะ”
“คุณแม่สบายดีค่ะ อาทิตย์หน้าคงไปเที่ยวรอบโลกกับคุณย่า”
สมพรหันไปหาฤทธิชัย
“คุณหนึ่งล่ะ...เห็นแสงสี แล้วคิดอยากกลับไปอยู่กรุงเทพ หรือเปล่า”
ฤทธิชัยยิ้มกริ่ม
“แสงสีของดาวที่บ้านดอนเสือสวยกว่าครับ”
“เข้าใจตอบนะจ๊ะ”
ทั้งหมดต่างยิ้ม ดาวยิ้มหวานให้
“ไม่มีใครอยู่เหรอจ๊ะ”
“ลุงเดช กับ พ่อแสง ออกไปตรวจป่าแถวนี้...ไผ่ เห็นว่าจะเข้าไปตรวจลึกหน่อย แถวชายแดนโน่น...จันจิรา อยู่กับป้าเนียนที่อนามัย”
ทันใดนั้นเสียงสายลมร้องก้อง ดาวชะงัก
“สายลม...”
เสียงสายลมร้องก้องมาอีก เสียงสายฟ้าคำรามตามมา ดาวรู้ได้ทันที
“มีเรื่อง...ไปค่ะคุณหนึ่ง”
ทั้งสองรีบไปขึ้นรถทันที สมพรมองตามอย่างกังวล...



ลุงเดช กับ แสง วิ่งหลบหนีเข้ามาตามแนวป่า เงาดำโผล่มาดักหน้า...ทั้งสองสาดกระสุนใส่ทันทีพวกมันคว่ำไป แต่แล้วก็มีกระสุนสาดมาอีกถี่ยิบ ทั้งสองดีดตัวเข้าหลบหลังพุ่มไม้...ตั้งหลักสู้สาดกระสุนเข้าใส่พวกมัน ลุงเดชกังวล
“กระสุนข้าเหลืออีกสองนัด”
“ของฉันเหลือสาม”
แต่แล้วทันใดนั้นพวกมันกับค่อยๆถอยหายไปจนหมด ลุงเดชกับแสงต่างมองหน้ากัน ทั้งสองค่อยๆขยับตัวออกมาจากที่ซ่อน กราดสายตามองรอบๆ แสงถอนใจ
“โชคดีที่พวกมันถอยซะก่อน”
ลุงเดชไม่ไว้ใจ
“ท่าทางไม่ดีซะแล้ว”
ทันใดนั้น นินจาชุดดำร่อนลงมาจากกิ่งไม้หลายคน ล้อมทั้งสองไว้ ในมือมีดาบสั้นตวัดไปมา ลุงเดชชะงักอึ้ง
“พวกเอ็งยังไม่สูญพันธ์อีกเหรอ”
แสงกวาดตามอง
“นึกว่ามีแต่ในหนัง”

นินจาขยับตัวล้อมรอบ ทั้งสองต่างหันหลังชนกัน คอยระวัง

ส่วนไผ่อยู่ในป่าลึก เขายืนอยู่บนยอดไม้กราดสายตาไปรอบๆ ทันใดนั้นเห็นเงาดำปรากฏแวบๆในราวป่า

“ท่าทางพวกมันจะกลับมาดอนเสือ...อย่างที่น้องดาวบอก”
ไผ่พุ่งจากต้นเดิมไปอีกต้นหนึ่ง แล้วพุ่งไปดักหน้าพวกมัน

ลุงเดชและแสงหมุนตัวคอยระวัง ทันใดนั้นนินจาคนหนึ่งวิ่งเข้าใส่ลุงเดชฟันฉับเข้าให้ลุงเดชเอาลูกซองรับตวัดด้ามเข้าใบหน้ามันกระเด็นหงายไป อีกคนหนึ่งพรวดเข้ามาใกล้ ลุงเดชตวัดปลายลูกซองเหนี่ยวไกตูม มันกระเด็นออกไป แต่ก็ดีดตัวขึ้นมาอีก ลุงเดชรีบเตือน
“ระวังเว้ยแสง พวกมันใช้เสื้อเกราะ”
แสงหลบวูบ ดาบผ่านหัวไป แสงถีบโครม มันกระเด็น อีกคนเข้ามาฟันฉับแสงหลบแล้วตอกด้วยด้ามปืนมันกระเด็นออกไป แต่พวกนินจาบุกเข้ามาอีกแสงตวัดปืนสูงเข้าที่หน้าเหนี่ยวไกเปรี้ยง นินจาคนนั้นหงายฟุบกับพื้น
“นึกว่าหน้าจะหนาซักแค่ไหน”
พวกนินจาขยับตัวพร้อมกันบุกเข้ามา ฟันอย่างว่องไว ลุงเดชเอาปืนรับแต่ถูกปัดจนปืนหลุดจากมือ นินจาฟันฉับเข้าให้ที่หัวไหล่ลุงเดชทรุดลง แสงหันมายิงใส่เปรี้ยง แต่มันหลบ อีกคนเข้ามาฟันแสงที่ต้นแขน จนปืนหลุด ทั้งสองขยับตัวถอยตั้งหลักมือเปล่า เลือดออกตรงบาดแผลที่ถูกฟัน สถานการณ์คับขับ

ฤทธิชัยขับรถจิ๊ปพรวดมาจอดในป่า ดาวยืนขึ้นกราดสายตาไปรอบๆ เสียงสายลมร้องก้องมาถี่ยิบร้อนรน
“ดาวต้องไปก่อนแล้วค่ะ”
“โอเค ผมจะรีบตามไปสมทบ”
“ระวังตัวนะคะ สถานการณ์คาดเดาไม่ได้”
ดาวพูดจบก็พุ่งตัวจากรถไปบนยอดไม้ แล้วพุ่งต่อไปอีกยอดหนึ่งจนลับตาไป ฤทธิชัยยิ้มเครียดตบเกียร์รถพุ่งออกไป

ร่างของไผ่ร่อนลงมาตรงลานเล็ก กราดสายตาไปรอบๆ
“ที่แท้พวกมันล่อเราออกมา”
ขาดคำพวกนินจาหลายคนก็ร่อนลงมาจากยอดไม้ล้อมไผ่ไว้ตรงกลาง นินจาตวัดดาบสั้นไปมาคล่องแคล่วว่องไวไผ่แสยะยิ้ม
“ฮืม...แบบนี้ค่อยมันหน่อย”

ลุงเดชกระเด็นไปที่พื้น ตามลำตัวมีบาดแผลถูกฟัน เลือดออก...แสงดีดตัวมาประคองให้ลุกขึ้น ที่ตัวมีรอยถูกฟันหลายแห่งเลือดออกทั่วตัวไม่แพ้กัน พวกมันตีวงล้อมเข้ามาอีก
“ไอ้แสง เองหนีไป ข้าจะสกัดมันไว้เอง”
“พูดเป็นเล่น...ฉันไม่หนีหรอก เราตายด้วยกัน”
ทั้งสองตั้งท่าระวังนินจาที่ล้อมเข้ามาใกล้ พร้อมที่จะจู่โจม นินจาบุกเข้ามาพร้อมกัน ทันใดนั้นเสียงสายลมดังก้องมาจากเบื้องบน เงาชุดดำร่อนลงมากลางวง นินจากระจายออกไป...เงาดำนั้นคือดาวอยู่ในชุดนางเสือเผชิญหน้ากับนินจา
“ลุงเดช พ่อแสง ถอยไปก่อน ฉันจัดการพวกมันเอง”
ลุงเดชกับแสงถอยออกไป ดาวก้าวเข้าหานินจาที่ตั้งท่าพร้อมจู่โจม
“พวกเอ็งไม่มีใครรอดจากที่นี่”

นินจาขยับตัวเป็นวงกลมล้อมไผ่ไว้ตรงกลาง
“เข้ามาซะทีซิพวก ข้ารอจนเมื่อยแล้ว”
นินจาบุกเข้ามาฟันด้วยดาบ ไผ่หลบหลีกต่อสู้กับพวกมันอย่างคล่องแคล่ว

ดวงตาคมกริบของดาวที่อยู่ในหน้ากากนางเสือจ้องมองพวกนินจานิ่ง ทันใดนั้นนินจาบุกเข้ามาฟันฉับ ดาวเบี่ยงตัวหลบเตะที่ข้อมือมันผัวะดาบกระเด็นลอยขึ้น ดาวถีบโครมมันกระเด็นออกไป ตวัดมือรับดาบที่ตกลงมาได้พอดี
“ข้าจะใช้ดาบคืนแผลให้พวกเอ็งบ้าง...คงไม่ว่ากัน”
พวกนินจาขยับตัวมองกันไปมา. ทันใดนั้นดาวก็ดีดตัวเข้าไปกลางวง ดาบต่อดาบประสานกัน ดังสนั่น ลุงเดชกับแสงมองดูอย่างตื่นเต้น ดาวตวัดดาบไปมาท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน นินจาดีดตัวถอยออกไปที่ตัวของพวกมันมีรอยแผลเลือดออกจากดาบกันทั่วทุกคน พวกนินจาพยักหน้าแล้วบุกเข้ามาอีก ดาวหมุนตัวฟันไปมา อึดใจพวกนินจาก็ทรุดทีละคนทีละคน เหลือคนสุดท้ายมันตวัดดาบพุ่งเข้าใส่ ดาวหลบ มันรีบดีดตัวพุ่งขึ้นยอดไม้เพื่อจะหนี แต่แล้วเสียงปืนดังเปรี้ยงมันร้องลั่นตกลงมาที่พื้นนิ่งสนิท ดาวหันไปก็เห็น ฤทธิชัยยืนอยู่บนรถจิ๊ป แล้วโดดลงมาจากรถ เดินเข้ามาหา
“มาทันเวลาพอดี”
“ถึงนานแล้ว...แต่ไม่อยากขัดจังหวะ”
ทั้งสองเดินเข้าไปที่ร่างของพวกนินจา ลุงเดชกับแสงเดินเข้ามา ฤทธิชัยก้มลงไปเปิดดูที่ข้อมือของพวกนินจาก็เห็นรูปกะโหลกไขว้
“แบล็คอีวิล”
“พวกเดียวกับที่เล่นงานเราที่กรุงเทพ”
ลุงเดชเข้ามาบอก
“พวกมันเป็นนักฆ่ามืออาชีพ...พวกมันคิดล้างพวกเราให้หมด”
แสงกังวล
“ป่านนี้ไผ่ต้องเจอกับพวกมันแล้ว”

ทั้งหมดมองหน้ากันหน้าเคร่งเครียด

[ต่อจากตอนที่แล้ว]

ไผ่ยกแขนตั้งรับดาบของพวกนินจาที่ฟันลงมา พวกมันถึงกับคาดไม่ถึง เพราะฟันไม่เข้า ไผ่ชกเปรี้ยงมันกระเด็น นินจาคนหนึ่งยกมือให้สัญญาณ ทันใดนั้นพวกมันก็ดีดตัวหายเข้าไปในราวป่า ไผ่ยกแขนขึ้นดูเห็นเป็นรอยดาบจางๆ ก็หน้าเคร่งเครียด

เวลานั้น ฤทธิชัยขับรถจิ๊ปมาที่สถานีอนามัย โดยมีดาวนั่งคู่ ลุงเดชกับแสงนั่งข้างหลัง ดาวโดดลง ในขณะที่ป้าเนียนกับจันจิราก้าวออกมา
“รีบพาเข้ามาป้าเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว”

ลุงเดช และ แสง นอนอยู่บนเตียง ป้าเนียนดูแลแสง จันจิราดูแลตกแต่งบาดแผลให้ลุงเดช แสงพูดขึ้นเรียบนิ่ง
“แผลเล็กน้อยแค่นี้...ไม่ต้องบอกให้จักจั่นรู้ก็ได้”
ฤทธิชัยหันมาบอก
“ตอนนี้อยู่ฮ่องกงครับ”
แสงถอนใจ
“ดีแล้วไม่อยากให้มันเสียเวลากลับมา”
“ตกลงพวกไหนมากันอีกล่ะเนี่ย” ป้าเนียนถาม
ทันใดนั้นเสียงไผ่ดังเข้ามา
“พวกเดิมแต่ร้ายกว่า” ไผ่เดินเข้ามาที่ลุงเดช “ลุงเดช เป็นไงบ้างครับ”
“ลุงไม่เป็นไรหรอก ขอบใจ ไผ่ไปดูพ่อโน่น”
ไผ่หันไปทางแสง
“ไงพ่อ...อ่วมเลยซิ”
แสงยิ้ม
“อืม...ชักแก่แล้วมั๊ง”
ลุงเดชรีบบอก
“เองแก่ไปคนเดียวนะไอ้แสง ข้าไม่แก่ด้วย”
ทั้งหมดต่างขำกัน...ไผ่หันมาหาดาว
“ดาว คิดว่ายังไง”
“บอกทุกคนให้วางกำลังลาดตะเวนเพิ่มเป็นสองเท่าให้ไปกันเป็นกลุ่มจะได้คอยช่วยกันศัตรูมีฝีมือเหนือชั้น...และพร้อมที่จะขยี้เรา” ดาวบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ค่ำนั้น...ดาวกับฤทธิชัยอยู่ที่บ้านพัก ดาวยืนตรงระเบียง กราดสายตาไปรอบๆ สูดหายใจ ฤทธิชัยเดินมาโอบเอวทางด้านหลัง
“คิดมากเดี๋ยวแก่เร็วนะ”
ดาวยิ้ม
“พูดยังกะคุณหนึ่งไม่คิด”
ฤทธิชัยยิ้ม
“คุณไม่เคยได้ยินเหรอ ว่าผู้ชายแก่ช้ากว่าผู้หญิง”
ดาวหยิก ฤทธิชัย ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน
“คราวนี้พวกมันมีฝีมีน่ากลัว ดาวเป็นห่วงพวกสมาชิกโจร”
“สมาชิกโจรทุกคนมีอุดมการณ์ พร้อมเสียสละเพื่อปกป้องแผ่นดิน”
ดาวถอนใจ
“ไม่รู้ว่าพวกมันจะมาไม้ไหน”
ฤทธิชัยยิ้ม
“ก็คงเหมือนเดิม หาทางยึดธุรกิจทุกอย่างด้วยการใช้เงินหว่าน พวกมันรู้ว่า ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับต้นๆในเรื่องคอรัปชั่น คิดจะทำอะไรก็ง่ายไปหมด มีคนแบมือพร้อมรับเงินอยู่แล้ว”
ดาวถอนใจ
“พวกนี้ก็เลวจริงๆเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว วันหนึ่งไม่มีแผ่นดินอยู่แล้วจะรู้สึก”
“แล้วนางเสือมีแผนจะรับมือกับพวกมันยังไง”
ดาวยิ้ม
“ยังไม่มีแผนอะไรหรอกค่ะ เจอเมื่อไหร่ส่งพวกมันไปลงนรกสถานเดียว”
“นั่น...มันต้องยังงั้น”
ทั้งสองต่างยิ้ม

เช้าวันใหม่...อภิชาติเลี้ยวรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของคอนโด อภิชาติกับจักจั่นลงมาจากรถ
“ยังช็อปไม่มันเลย...ทำไมรีบกลับคะ”
“ก็งานเสร็จเร็วนี่จ๊ะ...อีกอย่างท่านรองมีเรื่องจะปรึกษาด่วน...เอาน่า วันไหนว่างค่อยไปกันใหม่ก็ได้”
จักจั่นยิ้ม
“โอเค”
จักจั่นเดินออกไป อภิชาติยิ้มมองตาม

นายใหญ่ยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง กำลังพูดโทรศัพท์
“ผมต้องการให้คุณส่งคนมาเพิ่มอีก เอาเฉพาะมือดีที่สุด”
สมุนเข้ามาพร้อมกับชายคนหนึ่ง
“คุณ โจ มาแล้วครับ”
สมุนเดินออกไป
“ผมมีงานสำคัญที่จะต้องจัดการ ระหว่างนี้คุณคอยดูแลทั้งหมด...แต่ต้องภายใต้คำสั่งของผมเท่านั้น”
โจรับคำ
“ครับผม”
“แล้วแผนกำจัดนางเสือไปถึงไหนแล้ว”
“เราพบอาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านคาถาอาคมแล้วครับ กำลังติดต่อประสานงานอยู่”
“ดี...พร้อมเมื่อไหร่ให้มาได้ทันที”
โจก้มหัวคำนับหน้าตาเยือกเย็น

บ่ายวันนั้น อภิชาติในชุดทำงานกำลังกดแป้นคีย์บอร์ดของแลปท็อปอยู่ที่โต๊ะทานข้าว จักจั่นเดินเข้ามาพร้อมด้วย กาแฟมาที่โต๊ะ
“กาแฟค่ะ”
อภิชาตดึงจักจั่นให้นั่งลงบนตัก จักจั่นโอบลำคอเขาไว้
“ผมจะทำยังไงเนี่ย นับวันยิ่งรักคุณมากขึ้นทุกวัน”
“ฮืม...ปากหวานแบบนี้ ต้องแอบไปทำอะไรไม่ดีมาแน่”
“อ้าว...ไหงเป็นแบบนั้นไป”
จักจั่นขำ
“ในหนังสือแมกกาซีนของผู้หญิงเขาบอกไว้ค่ะ”
“พนันได้เลยว่า สามียัยคนเขียนป่านนี้เผ่นหนีไปแล้ว”
จักจั่นขำ
“นัดกับท่านรองกี่โมงคะ”
“ท่านบอกให้แสตนบายรอจ้ะ”
โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างๆใกล้แลปท็อบของอภิชาติดังขึ้น
“พูดถึงก็โทรมาพอดี... “ อภิชาติรับสาย “สวัสดีครับ”
จักจั่นสังเกตสีหน้าที่เคร่งเครียดของอภิชาติก็สงสัย
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“ท่านรองถูกจับ ข้อหาขายความลับของประเทศ”

จักจั่นคาดไม่ถึง ทั้งสองอึ้งไปทันที

ที่กองบัญชาการกรมตำรวจ...รถของอภิชาติพรวดเข้ามา อภิชาติกับจักจั่นลงมาจากรถ แล้วก้าวเข้าไปในตัวอาคาร ก็พบกับเจ้าหน้าที่กันทั้งสองไว้

“ผมต้องการพบท่านรองก้องเกียรติ”
ทันใดนั้นเสียงสัตยาดังขึ้น
“ท่านรองไม่ต้องการพบใคร”
อภิชาตหันไปก็พบกับนายตำรวจ อายุไล่เลี่ยกัน อภิชาติยิ้มให้
“ผมไม่ยักรู้ว่าคุณอ่านความคิดท่านรองได้”
สัตยายิ้มหยัน
“งั้นเปลี่ยนใหม่ ท่านรองไม่มีสิทธิพบใครตอนนี้”
จักจั่นไม่พอใจ
“เป็นคำสั่งของใครมิทราบ”
สัตยามองจักจั่นอย่างไม่ชอบหน้า แล้วหันไปทางอภิชาติ
“สถานที่นี้เป็นสถานที่ราชการ คุณไม่ควรพาคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามา”
จักจั่นจ้องหน้า
“ใครเหรอที่ไม่เกี่ยวข้อง”
จักจั่นขยับตัว อภิชาติเอามือกันไว้ ยิ้มใจเย็น
“คุณคงไม่ทราบ ท่านรองแต่งตั้งให้ ผมและคุณจักจั่นเป็นที่ปรึกษาพิเศษมีสิทธิเข้าออกทุกสถานที่และพบใครก็ได้ เกินกว่าที่คุณจะคิด”
สัตยาไม่สน
“ปรึกษาเรื่องอะไรมิทราบ”
จักจั่นจ้องหน้าแล้วพูดเสียงแข็งใส่
“ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการกำจัดพวกคนชั่วขายชาติ”
สัตยาตาวาว
“ยังไงก็พบไม่ได้...”
จักจั่นชักฉุน
“คุณจะขวางเหรอ”
จักจั่นก้าวออกมา...ทั้งหมดต่างขยับตัวสถานการณ์ตึงเครียด ทันใดนั้นเสียงศักดาดังขึ้น
“เชิญคุณอภิชาติกับคุณจักจั่นพบท่านรองได้”
ทั้งหมดหันไปก็พบกับศักดายืนอยู่พร้อมเจ้าหน้าที่คุ้มกันอีก 2-3 คน
“ผมรองศักดา จะมาทำหน้าที่แทน ท่านรองก้องเกียรติ ในระหว่างการตรวจสอบ ผมรู้ว่า คุณอภิชาติ คุณจักจั่น ผู้กำกับฤทธิชัย และคุณดาวเป็นมือขวาของท่าน...ยินดีที่ได้รู้จัก”
อภิชาติยิ้ม
“ยินดีเช่นกันครับ”
จักจั่นสีหน้าเฉยไม่พูดอะไร ศักดามองอย่างแปลกใจ
“คุณฤทธิชัย กับ คุณดาวไม่มาด้วยเหรอครับ”
จักจั่นเชิด
“เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องถึงมือ คุณฤทธิชัย กับ คุณดาว”
สัตยาเบ้หน้าหมั่นไส้
“เชอะ”
“เชอะ...ถ้าสงสัย อยากจะลองก็ได้”
จักจั่นจ้องหน้าสัตยา สายตาเข้มข้นพร้อมลุย

ที่สถานีอนามัย ดาวกับฤทธิชัยเดินเข้าไปในห้องคนป่วยแต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อลุงเดชกับลุงแสงตวัดปืนขึ้นมาพร้อมกัน ดาวมองทั้งสอง
“อะไรกันจ๊ะเนี่ย”
ลุงเดชยิ้มเก็บปืน
“กันไว้ดีกว่าแก้”
“ใช่...ไอ้พวกนี้ไว้ใจไม่ได้”
ฤทธิ์ชัยมองสองเสือเฒ่ายิ้มๆ
“ผมว่าถ้าพวกมันเข้ามาคงไม่รอดออกไปแน่”
ทุกคนต่างยิ้มกัน...

ดาว ฤทธิชัย ป้าเนียน เดินออกมาจากด้านในห้องคนป่วย ดาวหันมายิ้มขอบคุณป้าเนียน
“ลุงเดช กับ พ่อแสง อาการดีขึ้นมาก ต้องขอบใจป้าเนียน”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เย็นนี้ก็คงไล่กลับบ้านแล้ว เบื่อตรงที่ยังไม่ทันหายดีเลย จะกลับออกไปซ่าให้ได้”
ทั้งหมดต่างขำพอดีมีพวกชาวบ้านผ่านหน้าไปกลุ่มหนึ่งอย่างรีบร้อน ดาวร้องถาม...
“รีบไปไหนกันน่ะ”
“อ๋อ...มีบริษัทสำรวจใหม่ กำลังรับสมัครคนงาน”
ชายคนนั้นพูดจบแล้วรีบเดินออกไป ฤทธิชัยครุ่นคิด
“อืม...ตอนแรกก็พวกมือสังหาร ตอนนี้มีบริษัทสำรวจใหม่”
ดาวเข้าใจได้ทันที
“พวกมันเริ่มดำเนินการแล้ว”
“ผมไม่ชอบเลยที่เป็นฝ่ายรอให้พวกมันเริ่มก่อน”
“งั้นคืนนี้เรา ไปเดินเล่นกันดีมั๊ยคะ”
“ชมจันทร์กันสองคน”
“แน่นอน”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน

จักจั่นจ้องสัตยาพร้อมลุย อภิชาติพูดเบาๆ
“คุณนี่ ยิ่งดุยิ่งสวย”
“ได้ตบปากคนเมื่อไหร่...จะยิ่งสวยกว่านี้” จักจั่นพูดอย่างไม่เกรงใจ
อภิชาติยิ้มยักไหล่ให้สัตยาที่ตาวาวด้วยความโกรธ ศักดาตัดบท
“ผู้กองสัตยาเพิ่งมาใหม่จากหน่วยพิเศษ ยังไม่รู้จักคุณอภิชาติและคุณจักจั่น”
อภิชาตไม่ใส่ใจ บอกจุดประสงค์ของตัวเอง
“ถ้าไม่ว่าอะไรผมต้องการพบท่านรองก้องเกียรติ”
จักจั่นเสริม
“เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”
ศักดาพยักหน้า สัตยาไม่พอใจ จักจั่นกับอภิชาติจ้องตอบหน้าเคร่ง

ในห้องประชุม...ก้องเกียรตินั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ด้านหลังมีเจ้าหน้าที่คอยควบคุมอยู่ โดยมีสัตยายืนอยู่ใกล้ๆ ส่วนอภิชาติกับจักจั่น นั่งอยู่ด้านหน้าเก้าอี้ถัดไป สัตยาพูดห้วนๆ
“เชิญ...ท่านรองมีเวลาไม่มาก”
จักจั่นเหล่สัตยาแต่ไม่พูดอะไร อภิชาติหันไปถามก้องเกียรติ
“เกิดอะไรขึ้นครับท่านรอง”
ก้องเกียรติบอกทันที...
“ผมเสียใจ ที่ทำให้คุณทั้งสองต้องผิดหวัง ผมไม่มีอะไรจะพูด ผมผิดจริง”
อภิชาติกับจักจั่นคาดไม่ถึง...สัตยามองหยันๆ
“มีอะไรสงสัยอีกมั๊ย”
อภิชาติกับจักจั่นพูดไม่ออก สัตยาตัดบท
“ถ้ายังงั้น...เชิญครับท่านรอง”
ก้องเกียรติค่อยๆลุกขึ้น สัตยากับเจ้าหน้าที่คุมตัวท่านรองออกไปจากห้อง ทันใดนั้นอภิชาติลุกขึ้น
“เดี๋ยว...”
ทั้งหมดหยุด อภิชาติถามเสียงดัง
“เรื่องพินัยกรรมของท่านที่ทำค้างไว้...จะให้ทำยังไงครับ”
ก้องเกียรติหยุดคิด
“ช่วยจัดการให้ด้วย ผมเชื่อในการตัดสินใจของคุณ”
อภิชาติพยักหน้ารับ ก้องเกียรติหันหลังเดินต่อ สัตยาหันมามองอภิชาติกับจักจั่น ยิ้มเยาะ

จักจั่นส่งสายตากร้าวตอบ...อภิชาติมีสีหน้าเคร่งเครียด

ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 1 (ต่อ)

ภาพเจ้าหน้าที่คุมตัวก้องเกียรติโดยมีสัตยาคอยคุมเข้มปรากฏบนจอทีวี กำจร แสงรุ่งเรืองกำลังรายงานข่าว

“ภาพที่เห็นก็คือ ท่านรองก้องเกียรติกำลังถูกคุมตัว หลังจากพบหลักฐานว่าท่านรองก้องเกียรติขายความลับของประเทศให้กับตัวแทนของนักธุรกิจชาวต่างประเทศซึ่ง ภายหลังถูกเจ้าหน้าที่ยิงตายในขณะหลบหนี”
ภาพของก้องเกียรติ ถูกคุมตัวขึ้นรถตู้
“ท่านรองก้องเกียรติจะถูกนำตัวไปยังค่ายทหาร ที่หนึ่งที่ใดนอกกรุงเทพ เพื่อทำการสอบสวนต่อไป กำจร แสงรุ่งเรืองรายงาน”

ในคอนโดของอภิชาติ...จักจั่นเดินไปเดินมาอยู่ในห้องรับแขก อภิชาตินั่งอยู่ที่โซฟา
“เป็นไปไม่ได้ ที่ท่านรองก้องเกียรติจะขายความลับของชาติ งานนี้ต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง”
อภิชาติยิ้ม
“ผมชอบดูคุณตอนโมโหจริงๆ”
จักจั่นเหล่
“คุณมัวแต่ใจเย็นอยู่ได้...ป่านนี้ท่านรองเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ เราต้องรีบโทรบอกคุณหนึ่งกับพี่ดาว”
อภิชาติลุกขึ้นเดินมาใกล้ๆ
“ใจเย็นๆก่อน ผมมีเรื่องจะบอกคุณ”
“ถ้าเรื่องไม่ดีล่ะก็สวยแน่ จักจั่นพร้อมฟังอยู่แล้ว”
อภิชาติยิ้ม
“ขอกินน้ำก่อนได้มั๊ย”
“นี่คุณ”
“โอเค...โอเค...บอกตอนนี้ก็ได้...คือว่า...”
จักจั่นเหล่ในความชักช้าของอภิชาติ
“ท่านรองก้องเกียรติเป็นตัวปลอม”
จักจั่นคาดไม่ถึง
“ตัวปลอม”
“ใช่...ท่านรองก้องเกียรติเป็นตัวปลอม”
“คุณอภิชาติ รู้ได้ยังไง”
“ผมถามท่านรองว่าจะให้ทำยังไงเกี่ยวกับเรื่องพินัยกรรม ท่านรองบอกให้ผมตัดสินใจเอง”
จักจั่นงงและหงุดหงิด
“แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย”
อภิชาติยิ้ม
“เกี่ยวตรงที่ ท่านรองตัวจริงไม่เคยให้ผมทำพินัยกรรม”
จักจั่นตาโตด้วยความตื่นเต้น โดยเข้ากอดคออภิชาติหอมแก้มที่ละข้างฟอดใหญ่
“เก่งมาก เก่งมากจริงๆ สุดยอด”
“ไม่มีรางวัลเหรอ”
“อ้าว...เพิ่งหอมแก้มไปหยกๆตั้งสองฟอด”
“ผมหมายถึงรางวัลโบนัส”
อภิชาติทำสายตากรุ่มกริ่ม จักจั่นยิ้มหวาน
“ได้เลย”
จักจั่นดีดตัวขึ้นอภิชาติอุ้มไว้พอดี ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน

ในป่า...ชายคนหนึ่ง วิ่งหลบหนี อย่างรวดเร็วไปตามพุ่มไม้ โดยมีชายฉกรรจ์นับสิบไล่ตามมา ชายคนนั้นวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต...วิ่งผ่านราวป่าไป
ทันใดนั้นมีเสียงสัญญาณวี้ดดังขึ้น เสียงเสือคำราม...เสียงเหยี่ยวร้อง ชายฉกรรจ์ต่างหยุดฟัง...หยุดการเคลื่อนไหว เสียงเสือคำรามดังอีก เสียงเหยี่ยวร้องอีก ชายที่ถูกล่าวิ่งหนีต่อไป พวกชายฉกรรจ์หยุดแล้วถอยหายไป แต่แล้วมีนินจาตามล่าแทนและมา ล้อมไว้...ชายผู้นั้นพยายามหนี...แต่ถูกพวกมันรุมล้อมฟันบาดเจ็บทั้งตัว ทันใดนั้นเงาร่างของนางเสือพุ่งวาบลงมาตรงกลางกลุ่มของนินจา
“อะไร...ตั้งหลายคนรุมคนเดียว ทำเป็นพวกหมาหมู่ไปได้”
นินจาชุดดำทั้งหมด ไม่ตอบบุกเข้าฟันนางเสือเกิดการต่อสู้กัน นินจามีฝีมือคนหนึ่งดีดตัวสูงยกดาบหมายฟันแต่แล้ว เสียงปืนดังสนั่นร่างนินจาร่วงลงกับพื้น พวกมันต่างจัดขบวนตั้งท่าใหม่ ขณะที่ฤทธิชัยโผล่ออกมาจากเงาไม้
“คนนั้นแฟนผม”
พวกนินจาต่างแปรขบวนล้อมพร้อมจู่โจม...ทันใดนั้นเสียงเสือคำราม...เสียงเหยี่ยวร้องก้อง...พวกมันขยับตัวแล้วดีดตัวหายวูบไป...นางเสือดีดตัวไปที่คนเจ็บ...ฤทธิชัยปราดเข้าไป...
“คุณเป็นใคร...เกิดอะไรขึ้น”
“ผม...เป็น...วิศกร...ติดตั้งระบบ...ดาวเทียม...”
ฤทธิชัยเข้ามาถามด้วย
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“พวก...เรา...ถูก...ฆ่า...ตาย...หมด...พวก...มัน...ฆ่า...ปิด...ปาก...ทุก...คน...”
ชายคนนั้นสลบไป ฤทธิชัยสงสัย
“ดาวเทียม”
ดาวกังวลใจ
“ท่าทางไม่ดีแล้วค่ะคุณหนึ่ง...”
ทั้งสองต่างมองกันหน้าเคร่งเครียด...

ป้าเนียนกับจันจิรา เดินออกมาจากห้องพยาบาล หาดาวกับฤทธิชัยที่ยืนรออยู่
“เป็นไงบ้างครับ ป้าเนียน”
“ท่าทางจะแย่ คงอยู่ได้ไม่นาน”
จันจิราเสริม
“บาดเจ็บทั้งตัวเลยค่ะ พวกมันโหดร้ายจริงๆ”
“ดาวกับคุณหนึ่งจะไปแจ้งตำรวจ ถ้าพี่ไผ่กลับมาบอกให้ระวังอย่าให้ใครเข้าใกล้คนเจ็บเป็นอันขาดจนกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
พยาบาลเดินเข้ามารายงานป้าเนียน
“มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาขอพบเรื่องคนเจ็บค่ะ”
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ป้าเนียนหันไปบอกพยาบาล
“ขอบใจมาก”
พยาบาลเดินออกไป ดาวครุ่นคิด
“เอ๊ะ...แปลก...เจ้าหน้าที่รู้ได้ยังไง”

ฤทธิชัยชักสงสัย “เดี๋ยวก็รู้”

เจ้าหน้าที่ตำรวจสามนาย เดินเข้ามาพบดาวกับฤทธิชัยยืนอยู่

“เราทราบว่าคุณพบคนเจ็บหลงป่าอยู่”
“ไม่ใช่คนเจ็บหลงป่าหรอกครับ มีคนพยายามจะฆ่าคนเจ็บมากกว่า”
ดาวเสริม
“เรากำลังจะไปแจ้งความพอดี สงสัยจังว่าทางเจ้าหน้าที่รู้ได้ยังไง”
“เราได้รับแจ้งคนหายจากญาติของคนเจ็บมาได้สองสามวันแล้วครับ”
ตำรวจอีกคนยิ้มให้ดาวกับฤทธิชัย
“คือยังงี้ครับคนเจ็บเป็นคนสติไม่สมประกอบหนีออกจากบ้านมา คิดว่าตัวเองเป็นวิศวกรอะไรทำนองนี้แหละครับ”
ดาวกับฤทธิชัยต่างมองหน้ากัน แต่แล้วจันจิราก็ออกมาจากด้านใน
“คนเจ็บเสียชีวิตแล้วค่ะ”
ตำรวจตัดบท
“ถ้ายังงั้นพรุ่งนี้ผมจะส่งเจ้าหน้าที่มารับศพส่งคืนให้ทางญาติของผู้ตาย”
ดาวกับฤทธิชัยต่างมองเจ้าหน้าที่อย่างสงสัย เคร่งเครียด

ค่ำนั้น ฤทธิชัยนอนอยู่บนเตียง ดาวเดินเข้ามาแล้วขึ้นมานอน ฤทธิชัยโอบเธอไว้ในอ้อมอก
“เรื่องวิศวกรที่เราพบ ดาวว่าต้องมีลับลมคมใน”
“ผมก็คิดเหมือนกัน อยู่ๆเจ้าหน้าที่รู้เรื่องเร็วมาก”
“แล้วก็พยายามเคลื่อนย้ายผู้ตายอย่างรวดเร็ว”
“ผมว่าที่คนตายพูดเกี่ยวกับ ดาวเทียมน่าสนใจ”
“พรุ่งนี้เราน่าจะไปเดินเล่นกันอีกรอบนะคะ คราวนี้ไปให้ไกลลึกเข้าไปอีกหน่อย”
“ด้วยความยินดีครับ”
ทั้งสองต่างยิ้ม ฤทธิชัยหอมที่หน้าผากของหญิงสาว

เช้าวันใหม่...ดาวยกกาแฟมาวางให้ ฤทธิชัย บนโต๊ะซึ่งมี อาหารเช้าวางไว้อยู่แล้ว
“อืม น่าทาน...ผมโชคดีจริงๆ ที่มีแฟน ทำอาหารเก่ง ทั้งบู๊...ทั้งบุ๋น...สารพัด”
“อย่าลืมเรื่องยิงกิ๊กแม่นด้วยนะคะ”
“เฮ่...ไม่ลืมแน่นอน”
ดาวขำ
“ล้อเล่นหรอกค่ะ”
“โล่งอกไปที”
ทั้งสองต่างยิ้ม...เสียงโทรศัพท์ของ ฤทธิชัยดังขึ้น เขาหยิบมาดูแล้วกดรับสาย
“กลับมาจากฮ่องกงแล้วเหรอเพื่อน” ฤทธิชัยนิ่งฟังหน้าเครียด “ได้...ฉันจะรีบไปเร็วที่สุด”
ฤทธิชัยวางสาย
“มีเรื่องอะไรคะ”
“ท่านรอง” ฤทธิชัยเล่าเรื่องที่อภิชาติบอกให้ดาวฟัง

ดาวลงมาส่งฤทธิชัยที่รถ
“นึกไม่ถึงจริงๆว่ามันจะมาเหนือชั้นให้คนปลอมเป็นท่านรอง”
“พวกมันมีแผนที่ลึกล้ำจับทางไม่ถูกจริงๆ”
“แล้วคุณหนึ่งกับคุณอภิชาติจะทำยังไงคะ”
“บุกชิงตัวท่านรองตัวปลอม...แล้วเค้นให้ได้ว่ามันเอาท่านรองตัวจริงไปไว้ไหน”
“ระวังตัวด้วยนะคะ”
“มือชั้นนี้แล้ว...แต่แน่ใจหรือว่าจะไม่ไปด้วยกัน”
ดาวยิ้ม
“ดาวจะชวนพี่ไผ่กับจันจิราเข้าไปเดินเล่นตามแผนเดิม”
ฤทธิชัยเดินเข้ามาดึงดาวไว้ในอ้อมกอด
“ถ้างั้นคุณก็ต้องระวังตัวเหมือนกัน”
“มือชั้นนี้แล้ว”
ฤทธิชัยถอนใจ
“แต่ก่อนตอนที่ผมเผชิญหน้ากับนางเสือ ผมคิดว่านางเสือสุดยอด ไม่มีใครจะทำอะไรนางเสือได้ แต่ตอนนี้นางเสือเป็นภรรยาผมแล้ว ผมอดห่วงไม่ได้จริง ไม่อยากอยู่ห่างคุณเลย”
ดาวยิ้มหอมแก้มหนึ่งฟอด
“น่ารักจัง...เอางี้...อย่าคิดว่านางเสือเป็นภรรยาคุณซิคะ”
“อ้าว...แล้วจะให้ผมคิดยังไง”
“คิดว่าภรรยาคุณคือนางเสือ”
ฤทธิชัยยิ้ม...ทั้งสองอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน

รถตำรวจนำรถตู้ที่คุมตัวก้องเกียรติ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าตามเส้นทางไปค่ายทหาร แต่แล้วพบว่าข้างหน้ามีด่านตั้งสกัดอยู่ ขบวนรถค่อยชะลอแล้วจอด เจ้าหน้าที่ด่านสองสามคนเข้ามาที่ขบวน เจ้าหน้าที่ขับรถลดกระจกลง
“ขบวนรถท่านรองก้องเกียรติใช่มั๊ยครับ” เจ้าหน้าที่ถาม
“ถูกต้อง มีอะไรเหรอครับ”
“เราได้รับสั่งให้ตั้งด่านคอยตรวจรถที่น่าสงสัยน่ะครับ”
“ดีครับ...”
“เชิญผ่านได้ครับ”
แต่แล้วทันใดนั้นมีรถตู้คันหนึ่งแซงขึ้นมาข้างหน้ารถขบวน แล้วก็มีรถตู้อีกคันเข้ามาจอดประกบหลัง ชายฉกรรจ์นับสิบโดดลงมาจากรถตู้ทั้งสองคันใบหน้าคลุมโม่งดำกลุ่มหนึ่ง...เจ้าหน้าที่ด่านต่างรีบตวัดปืนแต่ช้าไป พวกมันสาดกระสุนเข้าใส่เจ้าหน้าที่ด่าน และรถเจ้าหน้าที่จนทรุดหมด
อีกกลุ่มหนึ่งล้อมรถตู้ที่คุมก้องเกียรติ...มันยิงสาดเข้าไปยังเจ้าหน้าที่ขับและที่นั่งอยู่ข้างหน้าทรุดนิ่งแล้วพวกมันเคาะโครมๆ เจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่บนรถตู้เปิดประตูออกมายกมือยอมแพ้ แต่พวกมันสาดยิงอย่างไม่ปราณี อึดใจร่างของก้องเกียรติก็ก้าวลงมาจากรถ มองพวกมันที่ล้อมอยู่ หัวหน้ากลุ่มทำความเคารพ
“สวัสดีครับนายใหญ่”
ก้องเกียรติพยักหน้ารับ
“มีรถมาครับ” คนหนึ่งบอก
ก้องเกียรติหน้าเคร่งเครียด
“เราต้องไปแล้วครับ”
ก้องเกียรติก้าวเดินไปที่รถตู้ของพวกมัน หันมามองรถที่ใกล้เข้ามาแล้วก้าวเข้าไปในรถ...
รถตู้พุ่งออกไป อีกคันหนึ่งที่มาด้วยออกตัวตามติด

รถของอภิชาติวิ่งมาตามเส้นทางจนถึงด่าน ฤทธิชัยมองข้างหน้าแล้วชะงัก
“เราช้าไปแล้วเพื่อน”
อภิชาติค่อยๆชลอรถ ใกล้ๆด่านและรถของเจ้าหน้าที่กับรถตู้ ที่นำตัวก้องเกียรติไปค่ายทหาร อภิชาติจอดรถ ทั้งสองค่อยๆก้าวออกจากรถตวัดปืนขึ้นมากราดสายตาไปรอบๆ
“เคลียร์”
ทั้งสองเก็บปืนแล้วเข้าไปตรวจใกล้ๆ ฤทธิชัยอึ้งตะลึง
“ไม่มีใครรอด...มันเก็บพยานทุกคน”
“แน่อยู่แล้ว”
ทันใดนั้นได้ยินเสียงหวอดัง ทั้งสองหันไปก็เห็นรถตำรวจหนึ่งคัน นำรถเก๋งคันหนึ่งวิ่งเข้ามายังจุดเกิดเหตุฤทธิชัยหน้าเครียด
“ท่าทางไม่ดีซะแล้วเพื่อน”
“แกเฉยไว้ ฉันตอบทุกอย่างเอง”
ขบวนรถเข้ามาถึง เจ้าหน้าที่ตำรวจลงมาจาก รายล้อมทั้งสองไว้
“มาทันเวลาพอดี ผมกำลังจะแจ้งความอยู่ทีเดียว”
ประตูรถเก๋งคันที่สองเปิดออก ร่างของ สัตยาก้าวออกมา อภิชาติยิ้ม
“เราพบกันอีกแล้ว”
สัตยากราดตามอง ฤทธิชัย แล้วหันมา ทางอภิชาติ ยิ้มเยาะ
“คุมตัวผู้ต้องหาไป”
ฤทธิชัยขยับตัวแต่อภิชาติยกมือเป็นเชิงห้าม เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาคุมตัวทั้งสอง

ฤทธิชัยจ้องสัตยาสายตาเยือกเย็น

ร่างของดาวพุ่งจากยอดไม้หนึ่งไปยังยอดไม้หนึ่งแล้วหายวับไป...รถจิ๊ปที่ไผ่ขับจอดกึก จันจิราอยู่ข้างๆ

“พี่ดาวล่ะคะ”
“คงโดดไปโดดมาอยู่แถวนี้มั๊ง”
ไผ่ลงจากรถ
“วันนี้เราตรวจได้พื้นที่มากทีเดียว”
“ไม่มีวี่แววว่าจะมีจานดาวเทียม อย่างที่พี่ดาวบอกนะคะ”
“ดาวไม่ได้บอก คนตายบอก ซึ่งอาจจะไม่มีจริงก็ได้”
ไผ่กราดสายตาไปรอบๆ
“เรารอดาวที่นี่...หิว มีอะไรมากินมั่ง”
“ได้ค่ะ...เดี๋ยวจัดให้”
จันจิราคว้าตะกร้าปิกนิกจากหลังรถ ไผ่ยิ้ม

ขบวนพวกขนยาบ้ากลุ่มหนึ่ง เดินลัดเลาะมาตามแนวป่า ทุกคนต่างสะพายเป้ใส่ยาบ้า ในมือถือปืนระวัง จนในที่สุดหยุดตรงลานเล็กๆแห่งหนึ่งพวกมันปลดสัมภาระ แล้วนั่งลง
“พักที่นี่ก่อน”
“อีกไกลมั๊ยวะถึงจะผ่านป่าดอนเสือ”
“อีก 20 กิโล”
“เซ็งฉิบเป๋ง”
“บ่นอยู่ได้...คราวหลังข้า”
“พวกเองเงียบ...มีเสียงทางด้านโน้น”
ทั้งหมดต่างคว้าของและคว้าปืนพรวดออกไป

พวกมันโผล่มายังราวป่าอีกด้านหนึ่ง ทันใดนั้นพวกมันก็หยุดกึกรีบแอบอยู่ในพุ่มไม้...เพราะตรงหน้ามีนินจายืนอยู่สองคน พวกมันขยับปืนพร้อม แต่แล้วก็ตกใจคาดไม่ถึงเมื่อเห็นกำแพงเป็นวุ้นใสปรากฏอยู่ตรงหน้านินจาทั้งสองคน
ชายคนหนึ่งหันมาบอกเพื่อนเบาๆ
“เฮ้ย...กำแพงอะไรวะ”
แต่แล้วพวกมันถึงกับตาเหลือกอีกเมื่อเห็น นินจาสาม คนออกมาจากกำแพงวุ้น ทักทายนินจาสองคนแรก นินจาสองคนแรกก้าวหายเข้าไปในกำแพงวุ้น พวกมันกำลังเปลี่ยนเวรยามกัน
“ผี...พวกมันเป็นผี”
“ข้าว่าถอยก่อน เร็วเข้า...”
พวกมันต่างลนลานถอยออกไป แต่แล้วคนในกลุ่มคนหนึ่งเหยียบกิ่งไม้แห้งเสียงดังเป๊าะ...พวกนินจาหันควับไปตามเสียง

พวกพ่อค้ายาวิ่งกันสุดชีวิต แต่แล้วนินจา ทั้งสามร่อนจากยอดไม้มาตรงหน้า พ่อค้ายาสาดกระสุนปืนใส่พวกนินจาดังสนั่นหวั่นไหว พวกนินจาต่างดีดตัวหายออกไป...ดาวหันควับ ไปตามเสียงปืน
“เสียงปืน ใครบุกเข้ามาลึกถึงขนาดนี้”
เสียงเหยี่ยวสายลมร้องก้อง ดาวพุ่งขึ้นไปบนยอดไม้ ดีดตัวอีกครั้ง หายไป

พ่อค้ายาสาดกระสุนไปรอบๆอย่างบ้าคลั่ง พวกมันคนหนึ่งยกมือเป็นสัญญาณให้หยุด
“มันหายไปไหนแล้ว”
แต่แล้วทันใดนั้น ร่างของนินจาสามคนร่อนลงมากลางวง สะบัดดาบสีเงินแวบวับ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของพวกพ่อค้ายาดังโหยหวนก้องป่า

ไผ่หันขวับไปตามเสียง
“ดาว...น้องจัน เร็วเข้า”
จันจิราผลุดลุกขึ้นคว้าตะกร้า ปิกนิกโยนไปด้านหลังรถจิ๊ป ไผ่ดีดตัวขึ้นนั่งแล้วพรวดออกไป

พ่อค้ายาร้องโหยหวน มันเซสาดกระสุนไปทั่ว แล้วก็ค่อยๆทรุดลง นินจาสามคน ยืนมอง พ่อค้ายาทั้งหมดที่นอนตายอยู่รอบตัวของพวกมัน
“ทำลายศพพวกมัน”
แต่แล้วเงาดำร่างหนึ่งก็ร่อนลงมา เป็นดาวในชุดนางเสือ
“ที่แท้พวกแกอยู่นี่เอง”
นินจาต่างรีบดีดตัวมาล้อมดาวไว้ตรงกลาง
“ฆ่าคนอย่างเลือดเย็น...แต่พวกมันสมควรตาย เช่นเดียวกับพวกเอ็ง”
พวกนินจาบุกเข้ามาตวัดดาบฉับๆ จู่โจมทั้งสามด้าน ดาวโชว์ฝีมือเตะต่อยจนพวกมันกระเด็นออกไป พัลวันกันผ่านไปอึดใจ นินจาคนหนึ่งพุ่งเข้ามาฟัน ดาวหลบวูบ มือตวัดปืนขึ้นยิงเข้าหน้าของมันเปรี้ยง นินจาคนนั้นหน้าหงายกระเด็นออกไป นินจาอักสองคนดีดตัวห่าง ยกมีดร่ายรำไปมา ดาวถือปืน กราดใส่
“ขอโทษที่ใช้ปืน แต่ข้าขี้เกียจเสียเวลา พวกเอ็งอยากใช้ดาบเอง ช่วยไม่ได้”
พวกนินจาอีกคนร้องแล้วพุ่งเข้ามาเงื้อดาบสูง ดาวเหนี่ยวไกเปรี้ยงดาบของมันหายไปเกือบหมดเหลือกุดอยู่นิดเดียว มันหยุดกึก
“นัดต่อไป แสกหน้าพวกเองทั้งสองคน ทิ้งดาบซะ”
พวกมันต่างมองหน้ากัน ไอ้คนหนึ่งสะบัดมือปล่อยระเบิดควันตูม ดาวเบี่ยงตัวหลบ ควันจาง พวกมันหายไปแล้ว ดาวยิ้มเยือกเย็น กราดสายตามองร่างของชายทั้ง 5 ที่นอนอยู่รอบๆ ทันใดนั้นก็เห็นมือของพ่อค้ายาคนหนึ่งขยับ ดาวปราดเข้าไป ประคองมันขึ้นมา
“ผี...ผี...ออก...จาก...กำ...แพง...”
“กำแพงที่ไหน...”
แต่แล้วพ่อค้ายาก็สิ้นลมไป ดาวกราดสายตามองรอบๆ เห็นรถจิ๊ปของไผ่วิ่งเข้ามา ดาวปล่อยมันลง ยืนขึ้นกราดสายตาไป รอบๆแต่ไม่เห็นอะไร...รถจิ๊บจอดไผ่ดีดตัวลงมาจากรถ จันจิรายังอยู่บนรถ
“เกิดอะไรขึ้น...พวกมันเหรอ”
“ไม่ใช่...พวกนี้ต้องรู้อะไรบางอย่าง เลยถูกพวกมันปิดปาก” ดาวบอกอย่างมั่นใจ

ไผ่ขับรถจิ๊ปไปเรื่อยๆโดยมีดาวนั่งอยู่ข้างๆ จันจิรานั่งอยู่ข้างหลัง
“พี่ผ่านแถวนี้หลายรอบแล้ว...ไม่เคยเห็นมีกำแพงชัวร์”
ดาวกวาดตามอง
“นั่นน่ะซิ ดาวก็ไม่เคยเห็น”
จันจิราออกความเห็น
“พวกมันขนยาบ้า...อาจเสพจนเมาเพ้อเจ้อไปเรื่อย”
ดาวเห็นด้วย
“เป็นไปได้...”
ไผ่กวาดตามอง
“พี่ว่าไม่มีหรอก ถ้ามีก็ต้องไม่พ้นสายตาของเหยี่ยวสายลม แน่นอน”
ดาวพยักหน้าเข้าใจ

“อืม...น่าจะเป็นยังงั้น”

ร่างของนินจาสองคนที่เหลือร่อนลงแล้วเดินหายเข้าไปในกำแพงลึกลับ...นินจาสองคนเดินเข้ามาภายในถ้ำ ที่กว้างใหญ่ มีพวกมือปืนยืนระวังกัน เป็นจุดๆมีสายไฟต่อไฟไว้ตามรายทาง นินจาสองคนเดินลึกเข้าไปด้านในจนมาถึงลานกว้าง

โจ นั่งอยู่บนแท่นหิน ข้างๆ คือ คายามัง อาจารย์ผู้มีคาถาอาคม แต่งตัวคล้ายชีปะขาว นินจาสองคนเข้ามายืนรายงาน
“ศัตรูฝีมือกล้าแข็ง เราสูญเสียไปอีกหนึ่ง”
“แต่ศัตรูยังไม่รู้ที่ตั้งของเรา”
“ถูกต้อง”
โจไม่พอใจ
“พวกท่านต้องปรับปรุง ผลงานยังใช้ไม่ได้”
นินจาสองคนโค้งแล้วออกไป...โจหันมาหาคายามัง
“กำแพงมนต์ของท่านคายามังเหนือชั้นจริงๆ แม้แต่สายตาเหยี่ยวมนต์ของพวกมันก็มองไม่เห็น”
คายามังไม่พูดหน้านิ่งไม่มีความรู้สึก โจมองเก็บความรู้สึกไม่ชอบหน้าไว้ในใจ

ในห้องประชุม ตึกบัญชาการกรมตำรวจ อภิชาติพยายามอธิบาย
“ผมบอกแล้วไงว่าผมจะพา ฤทธิชัยไปหาท่านรองก้องเกียรติ ผ่านไปก็พบว่าเรื่องจบแล้ว ไม่มีร่องรอยของท่านรองก้องเกียรติ”
สัตยายิ้มเยาะ
“หรือไม่ก็พวกคุณเก็บท่านรองก้องเกียรติเพื่อปิดปาก ก่อนที่จะเปิดเผยว่าคุณสองคนสมรู้ร่วมคิด”อภิชาติจ้องหน้าไม่พอใจ
“พูดชุ่ยๆแบบนี้ ถือว่าหมิ่นประมาท ผมอาจฟ้องเรียกค่าเสียหายได้เป็นร้อยล้านเลยนะคุณ”
ฤทธิชัยแกล้งว่า...
“อย่าเลยเพื่อน ท่าทางคงไม่มีปัญญาจ่าย”
สัตยาจ้องหน้าฤทธิชัยอย่างแค้นใจ...พูดไม่ออก อภิชาติหันไปเห็น
“อ๊ะ...ท่านรองศักดามาพอดี”
ทั้งหมดหันไปก็เห็นศักดาเดินเข้ามาในห้องประชุม
“เชิญคุณสองคนกลับได้...แต่ขอความร่วมมือ กลับมาให้การอีกครั้ง”
อภิชาติยิ้มมองสัตยาแวบหนึ่ง
“ขอบคุณครับ”
ทั้งสองคนลุกขึ้นฤทธิชัยหันมาถาม
“ก่อนกลับ...ผมอยากจะถามว่าใครเป็นคน รับผิดชอบเรื่องนี้”
อภิชาติเป็นคนตอบ
“ผมจำได้ว่าเป็นคุณสัตยานะ”
สัตยามองหน้า
“ใช่...ผมเองคุณจะทำไม คุณฤทธิชัย ยุคคุณหมดไปแล้วอย่ายุ่งดีกว่า”
ฤทธิชัยยิ้ม
“ถ้าท่านรองก้องเกียรติเป็นอะไรไป ผมจะย้อนยุคกลับมาเล่นงานคุณ”
ฤทธิชัยพูดจบแล้วเดินออกไป อภิชาติยังยืนอยู่
“เพื่อนผมพูดจริงทำจริงซะด้วย โชคดีนะ”
อภิชาติเดินออกไป สัตยามองตามด้วยความแค้นใจหันมาทางศักดา
“ผมว่ามันสองคนต้องสงสัยเรื่องท่านรองก้องเกียรติ เราน่าจะจับมันสองคนไว้นะครับท่าน”
“ผู้ใหญ่หลายคนรู้จักและหนุนหลังสองคนนี้เต็มร้อย แตะไม่ได้...เราต้องใช้วิธีอื่น”
สัตยาพยักหน้ารับ แม้ว่าจะแค้นเคือง

อภิชาติกับฤทธิชัยกลับมาที่คอนโด ทั้งสองนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารตรงหน้ามีถ้วยกาแฟและน้ำ
จักจั่นเดินเอาขนมเค้กมาวางให้ แล้วนั่งเก้าอี้ข้างๆอภิชาติ
“จักจั่นว่า ท่านรองศักดา ผู้กองสัตยา ต้องมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับ ท่านรองก้องเกียรติอย่างแน่นอน”
ฤทธิชัยหน้าเครียด
“รู้เห็น แต่คงไม่รู้ว่า ท่านรองอยู่ที่ไหน”
“แล้วเราจะทำยังไงดีคะ”
อภิชาติครุ่นคิด
“ใช้สายตาเหยี่ยวสายลมไม่ได้เหรอ”
“ตาของเหยี่ยวสายลมสามารถบอกตำแหน่งของจักจั่น พี่ดาวหรือ พี่ไผ่ เท่านั้น เพราะผูกพันกันมาคนอื่นไม่อยู่ในข่าย”
ฤทธิชัยคิดได้
“ต้องใช้วิธีตกปลา”
อภิชาติเห็นด้วย
“เยส...ใช่แล้วเพื่อน นายแน่มาก”
“ยังไงคะ เกี่ยวกับตกปลายังไง”
อภิชาติหันมายิ้มให้จักจั่น
“เรารู้ว่ามีปลาอยู่ในน้ำ แต่ไม่เห็นตัวปลา ถูกมั๊ยจ๊ะ”
จักจั่นนึกๆ
“อ๋อ...ถ้าอยากได้ปลาเราก็ต้องทำตัวเป็นเหยื่อ”
ฤทธิชัยพูดเรียบนิ่ง
“แต่เป็นเหยื่อที่อันตราย”
อภิชาติจับหัวจักจั่นเขย่า
“เก่งมาก แฟนผม”
จักจั่นยิ้มๆ
“เก่งทั้งสามคนเลย”
ทั้งสามต่างยิ้มให้กัน อภิชาตบอกทันที...
“งั้นเราไปหาข้อมูลกัน ว่าไอ้พวกปลาเน่าทั้งหลายมันอยู่ที่ไหน”

รถจิ๊ปวิ่งเข้ามาในหมู่บ้านสมาชิกโจรพร้อมกับรถกระบะ บนรถจิ๊ปมีดาวขับ ลุงเดชนั่งด้านหน้าส่วนไผ่ขับรถกระบะ มีแสงนั่งอยู่ข้างหน้า รถสองคันเข้ามาจอด ทั้งหมดลงจากรถ สมพรเดินเข้ามาหาแสง ถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นยังบ้างพ่อแสง”
“ยังพอไหวจ้ะ”
สมพรหันไปหาลุงเดช
“ลุงเดช ล่ะจ๊ะ”
“ฉันไม่เป็นไร ขอบใจ สมพรพาไอ้แสงไปพักที่บ้านก่อน”
สมพรกับแสงเดินออกไป ลุงเดชหันไปเรียก
“เอ้าพวกเรามาทางนี้หน่อย”
พวกสมาชิกโจรเข้ามาล้อมรอบลุงเดช ดาว ไผ่ และ จันจิรา
“หนูดาวมีเรื่องจะบอกพวกเรา”
ดาวก้าวออกมา
“เรากำลังมองหากำแพง...ลึกเข้าไปจากนี่ประมาณ 15 กิโล”
ไผ่เสริม
“ถ้าพบรีบกลับมารายงาน อย่าเผชิญหน้า”
ดาวกล่าวเตือน
“ศัตรูมีฝีมือร้ายกาจกว่าเดิมมาก พลาดหมายถึงชีวิต”
สมาชิกโจรต่างงึมงำ ลุงเดชหันไปบอก
“แยกย้ายกันได้แล้ว”
สมาชิกโจรต่างแยกย้าย ดาวหันมาหาลุงเดช
“งั้นดาวขอตัวก่อนนะจ๊ะลุงเดช จะไปสมัครงานที่ค่ายสำรวจซะหน่อย”
ไผ่ยิ้มให้น้องสาว
“งั้นน้องดาวตามสบาย พี่จะอยู่ที่นี่ซักพัก”
“แล้วตอนเย็นดาวจะแวะไปทานข้าวที่บ้านป้าเนียน”
“โอเค...”
ดาวออกไป ไผ่ยืนอยู่กับลุงเดช
“ลุงเดชไปพักก่อนดีกว่าครับ ทางนี้ผมจัดการเอง”
“งั้นลุงฝากด้วย” ลุงเดชเดินออกไป

ไผ่กราดสายตาไปรอบๆ ทันใดนั้นเสียงสายลมร้องก้องมา ไผ่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ยิ้มเครียด แล้วดีดตัวออกไป

ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 1 (ต่อ)

ขบวนรถบรรทุกสองคัน รถจิ๊ป อีกสี่ห้าคัน วิ่งผ่านหมู่บ้านตะวันแดงลึกเข้าไปในดงป่าจนถึงทางเข้าทางด้านหน้า พวกมัน มีมือปืนวางกำลังหลายจุด รถบรรทุกวิ่งเข้าไปในลานตรงกลาง รอบๆมีเต็นท์คล้ายเต็นท์ทหารอยู่หลายเต็นท์ แต่มีเต็นท์หนึ่งใหญ่กว่าเพื่อน รถบรรทุกจอด

พวกมันต่างช่วยกันขนลังบรรจุอาวุธเข้าไปในเต็นท์ใหญ่...ทางอีกด้านหนึ่งห่างออกไปไกล ร่างของไผ่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ยิ้มเครียด
“นึกหรือว่าจะพ้น”
ทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่นกระสุนปลิวมาถูกต้นไม้กระจัดกระจาย ไผ่ดีดตัวตีลังกา ลงมาที่พื้น พวกมันนับสิบล้อมเข้ามา ปืนในมือจ้องมาที่เขา ไผ่กราดสายตาหน้าเยือกเย็น

ที่สำนักงาน...อภิชาติอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จักจั่น กับ ฤทธิชัยนั่งอยู่ใกล้ๆ
“มีบริษัทต่างชาติ อยู่สี่ห้าบริษัทที่ได้สัมปทานทำธุรกิจทางด้านน้ำมัน ป่าไม้ เกษตร แก๊ส อยู่ภายใต้บริษัทแม่จากยุโรปชื่อ อินเตอร์บิส”
ฤทธิชัยครุ่นคิด
“น่าสนใจ เห็นทีเราต้องเข้าไปตรวจสอบซะหน่อย”
อภิชาติมองข้อมูลแล้วหน้าตื่น
“โห...มีร้านอาหาร ไนท์คลับ สนามกอล์ฟ เอเจนซี่หานางแบบ อยู่ในเครือด้วย”
“พนันได้เลยว่าเป็นแหล่งฟอกเงิน”
จักจั่นมองอย่างสงสัย
“มีข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธบ้างหรือเปล่าคะ”
อภิชาติกดไปมาที่คีย์บอร์ด
“อืม...มีแต่เรื่องเรือขนส่งอาวุธให้ประเทศทางยุโรปเกิดอุบัติเหตุอับปางสูญเสียมหาศาล”
ฤทธิชัยมองหน้าจอ
“มั่นใจได้เลยว่าอาวุธที่จมน้ำต้องมาโผล่แถวๆเอเชีย”
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อน อะไรกันเนี่ย” อภิชาติจ้องจอเขม็ง “รู้อะไรมั๊ยเพื่อนทุกบริษัทที่กล่าวมา ล้วนมีชื่อของท่านรองศักดาเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ด้วย”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เลขาก้าวเข้ามา
“คุณอภิชาติคะ มีเจ้าหน้าที่มาขอพบ”
ทั้งหมดมองหน้ากันอย่างแปลกใจ สัตยาก้าวเข้ามา พร้อมกับเจ้าหน้าที่ จักจั่นมองเซ็งๆ
“เฮ้อ น่าเบื่อ ยังไม่ทันไรเจออีกแล้ว”
อภิชาติยิ้มกวนๆ
“ถ้าคุณจะมาจ้างผมว่าความละก็ คำตอบคือ ไม่”
จักจั่นเย้ยหยัน
“แต่ถ้าอยากจะสารภาพอะไรละก็ เรายินดีรับฟัง”
ฤทธิชัยจ้องหน้า
“และถ้าไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ก็ควรจะรีบไป”
สัตยามองกลับไม่เกรงกลัว
“เราแค่อยากจะมาเชิญคุณไปให้การเรื่องท่านรองอีกครั้งหนึ่ง”
อภิชาติเบื่อๆ
“ก็เพิ่งให้การหยกๆ จะเอาอะไรกันอีก”
“คณะกรรมการอีกชุดหนึ่งต้องการคำให้การเพิ่ม”
“ได้...โทรมานัดก็แล้วกัน”
“ผมคิดว่าต้องไปเดี๋ยวนี้”
จักจั่นขยับตัวเข้าไปหาสัตยาจนใกล้ อภิชาติห้ามไว้
“เดี๋ยวก่อนจ้ะ ใจเย็นๆ”
จักจั่นหยุด สีหน้าเข้มจ้องสัตยาพร้อมเอาเรื่อง อภิชาติแบมือ
“มีหมายศาลมั๊ย”
สัตยายิ้มทันใดนั้นตวัดปืนออกมา
“นี่ไงหมายศาล พอใจหรือยัง”
จักจั่นหันมาถามอภิชาติ
“ว่าไงคะ”
“เชิญจ้ะ”
ทันใดนั้นจักจั่นตวัดขาเตะข้อมือของสัตยาเปรี้ยง ปืนกระเด็นลอยมา ฤทธิชัยรับไว้พอดี เจ้าหน้าที่ที่มาต่างตวัดปืนออกมา ฤทธิชัยจ่อปืนไปที่สัตยา
“ใครขยับคุณสัตยาไปก่อน”
สัตยายกมือพวกเจ้าหน้าที่ต่างเก็บปืน อภิชาติยิ้มเย้ย
“แค่โทรมานัดล่วงหน้า เรายินดีที่จะให้ความร่วมมือแต่วันนี้ไม่ว่าง”
ฤทธิชัยโยนปืนกลับไปให้ สัตยารับไว้
“ถ้าขืนไม่กลับเข้าที่ภายใน 1 วินาที คุณดับแน่”
สัตยาแค้นรีบเก็บปืนเข้าที่เดิมข่มใจ
“เชิญค่ะ”
จักจั่นผายมือไปทางประตู สัตยาโบกมือ เจ้าหน้าที่ออกไป สัตยากราดสายตามองทุกคนแล้วกลับออกไป อภิชาติเข้ามาหาจักจั่น
“แฟนผม เก่งอีกแล้ว ขอหอมหน่อย”
จักจั่นเอียงแก้มให้หอม อภิชาติหอมฟอด
“จะให้จองโรงแรมมั๊ยเพื่อน”
ทั้งหมดต่างขำกัน

ไผ่กราดสายตาไปรอบๆ พวกมือปืนล้อมอยู่ หน้าเคร่งเครียด
“ข้าจะหลับตาซักสองสามนาที พวกเองควรจะใช้เวลานี้สลายตัวไป”
หัวหน้ามือปืนจ้องปืนใส่
“เองลืมตามา ก็จะได้หลับตลอดไป”
พวกมันต่างหัวเราะขำไผ่หลับตาลงช้าๆ พวกมันต่างมองหน้ากัน ขยับปืนในมือ
“มันลืมตาเมื่อไหร่ ยิงมันเมื่อนั้น”
ไผ่หลับตานิ่งปากพึมพำคาถา พวกมันขยับปืนพร้อมยิง ทันใดนั้นเสียงสายฟ้าคำรามก้อง พวกมันต่างกราดสายตามองเลิกลัก พวกมันคนหนึ่งโพล่งออกมา
“นาง...นางเสือ”
หัวหน้าตวาดลั่น
“นางเสือตายแล้ว จะมาได้ยังไงวะ”
เสียงสายฟ้าคำรามก้องมาอีก พวกมันขยับตัวขยับปืนกราดมองไปมา
“ไอ้พวกขี้ขลาด ปืนตั้ง 10 กระบอก ถ้ามันโผล่มาก็ยิงมันซิวะ”
“พี่...มันจะลืมตาแล้ว”
ทุกคนมองไป ไผ่ค่อยๆลืมตาขึ้น
“พวกเองยังอยู่ ข้าช่วยอะไรไม่ได้แล้ว”
หัวหน้าตะโกนลั่น
“ยิง”
พวกมันสาดกระสุน ไผ่ดีดตัวขึ้นไปบนยอดไม้...พวกมันตวัดปืนตาม ทันใดนั้น เสียงสายฟ้าดังก้อง ร่างควันของสายฟ้าพุ่งเข้าหา พวกมือปืนร้องโหยหวน ต่างวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงเสียงสายฟ้าร้องก้องพร้อมเสียงโหยหวนของพวกมัน
“ข้าบอกแล้วไม่ฟัง”
ไผ่กราดสายตาไปยังค่ายของพวกมัน
“เอาไว้ข้าจะกลับมาใหม่ จะถล่มให้ราบ”

ที่ตลาดดอนเสือ...ตรงโต๊ะรับสมัครงานแห่งนั้น มีชายสองคนท่าทางเป็นฝ่ายธุรการ นั่งรับสมัครอยู่
มีคนเข้าแถวคอยสมัครงานอยู่กลุ่มหนึ่ง หญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ เซ็นชื่อเสร็จแล้วลุกออกไป ชายที่รับสมัครงานตะโกนเรียก
“คนต่อไป”
ร่างของหญิงสาวนั่งลงตรงหน้า ชายสองคนมองยิ้มกว้าง เพราะตรงหน้าคือสาวสวย ดาวนั่นเอง
“เรารับสมัครคนงานภาคสนาม ท่าทางคุณจะไม่เหมาะ”
ดาวยิ้ม
“ไม่ได้มาสมัครงานหรอกค่ะ แต่จะมาเตือนว่าถ้าบริษัทคุณทำอะไรที่ผิดกฎหมายหรือคิดทำลายป่ารับรองว่าเจอดีแน่”
ดาวยิ้ม ลุกออกไป ชายสองคนอ้าปากค้าง ดาวเดินออกไปที่รถจิ๊ปหันมามองพวกมันแล้วยิ้ม
 
ทันใดนั้น โจก้าวออกมาทางด้านหลัง สายตาจ้องดาวไม่กระพริบ

จันจิรานั่งจดใบสั่งยาให้คนไข้อยู่ในสถานีอนามัย

“นี่จ้ะ...ทานวันละสองเม็ด เช้า เย็น”
คนไข้ยกมือไหว้รับใบสั่งแล้วออกไป จันจิราเงยหน้าขึ้น แล้วลุกขึ้นยิ้มทักทาย
“พี่ดาว มีอะไรด่วนหรือเปล่าคะ”
“ไม่หรอก พี่ไผ่ล่ะ”
“ยังอยู่ที่ค่ายมั๊งคะ”
ดาวแปลกใจ
“อืม...น่าจะกลับแล้ว อาจจะไปตรวจไกลกว่าเดิม”
ป้าเนียนก้าวออกมา
“หนูดาว มาก็ดีแล้วป้ามีเรื่องจะปรึกษา”
“อะไรเหรอจ๊ะป้าเนียน”
ป้าเนียนแบมือออกให้ดู บนฝ่ามือมีวัตถุชิ้นหนึ่ง คือ เครื่องบันทึกข้อมูลขนาดจิ๋ว ดาวหยิบขึ้นมา
“ป้าเอามาจากไหนจ๊ะ”
“เมื่อเช้านี้มีเจ้าหน้าที่มารับศพของวิศวกรที่ว่า ป้าเจอไอ้นี่ตกอยู่”
ดาวยิ้ม
“เก่งมากป้าเนียน...คงจะมีข้อมูลที่น่าสนใจ...”

รถตู้คันหนึ่งเข้ามาจอดที่ลานจอดรถบริษัทอินเตอร์บิส จักจั่นก้าวลงมาจากรถในฐานะพิธีกรสาว อภิชาติเป็นตากล้อง ฤทธิชัยเป็นคนขับ อภิชาติหันมาบอกฤทธิชัย
“นายรออยู่ที่นี่ คอยเป็นกองหนุน”
“โอเคเพื่อน”
“คุณเป็นพิธีกรที่สวยที่สุด เท่าที่ผมเคยเห็น”
“คุณก็เป็นช่างภาพที่เท่ห์ที่สุดเท่าที่เคยเห็น”
“แหวะ” ฤทธิชัยแกล้งแซว
อภิชาติกับจักจั่นต่างขำ ทั้งสองเดินเข้าไปในตัวอาคาร

ดาวก้าวออกมาหน้าสถานีอนามัย แต่แล้วมีรถกระบะเข้ามาจอดพรวด ชายสองคนค่อยพยุงชายคนหนึ่งลงมาจากท้ายรถกระบะที่หัวมีเลือดอาบ แล้วพากันเข้าไปด้านใน คนขับรถออกมาจากรถ จะเข้าไปข้างในด้วย ดาวเข้าไปถาม
“เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ”
“อ๋อ...ใบเลื่อยตัดเศษไม้กระเด็นมาถูกหัวมัน”
“ที่ไหน”
“โรงเลื่อยเสี่ยเหลิมครับ”
“เอ๊ะ...ปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เปิดใหม่แล้วครับ มีนายทุนบริษัทฝรั่งมาซื้อ”
ชายคนนั้นเดินเข้าไป...ขณะเดียวกัน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ดาวกดรับสาย
“คุณหนึ่งเป็นยังไงบ้างคะ”
ฤทธิชัยที่ยืนอยู่ตรงรถตู้
“เรื่องกำลังเข้มข้น...คงต้องอยู่ที่นานอีกหน่อ ทางโน้นเป็นยังไงบ้างครับ”
“เข้มข้นขึ้นเรื่อยเหมือนกันค่ะ ระวังตัวนะคะ คิดถึงคะ”
“แต่ผมคิดถึงคุณมากกว่า”
ดาววางสาย ยิ้มสดชื่น...ขณะเดียวกันนั้นเสียงไผ่ดังขึ้น
“ยิ้มหวานเชียวนะ”
“พี่ไผ่...หายไปทั้งวัน หวังว่าคงได้เรื่องนะ”
“ยิ่งกว่าได้...สายลมพาพี่ไปเจอค่ายของพวกมันใหญ่เกินกว่าที่คาด”
ดาวหน้าเคร่งเครียด เยือกเย็น

ฤทธิชัยยิ้มเก็บโทรศัพท์แล้วมองเข้าไปทางด้านหน้าของตึกของบริษัทอินเตอร์บิส เห็นรถตู้วิ่งเข้ามาสองคันผ่านไปทางด้านหลัง ฤทธิชัยกราดสายตาไปมาแล้ว ก้าวยาวๆไปทางด้านหลัง
ด้านใน...จักจั่น นั่งอยู่ที่โซฟา อภิชาตินั่งประคองกล้องอยู่ถัดไป สาวเลขาเดินเข้ามา
“เชิญค่ะ คุณภารณี ประธานบริษัท พร้อมที่จะให้สัมภาษณ์แล้วค่ะ”
ทั้งสองยืนขึ้น
“ทางนี้ค่ะ”
เลขาสาวสวยเดินนำไปที่ห้องประชุม จักจั่นกับอภิชาติเดินตาม เลขาเปิดประตูห้อง ร่างของชายคนหนึ่งยืนอยู่
“นี่คือคุณโจ ประธานบริษัทของเรา”
โจมือขวาของนายใหญ่ยิ้ม กราดสายตามองสองคน
“เชิญครับ จะให้ผมอยู่ตรงไหน ทำยังไงว่ามาเลย”
จักจั่นชี้แนะ
“เอ้อ...นั่งตรงนี้ก็ได้ค่ะ กล้องจะอยู่ตรงนั้น”
โจนั่ง อภิชาติขยับตัวตามตำแหน่ง
“กล้องพร้อมแล้วครับ”
จักจั่นยิงคำถามทันที
“ทราบว่าบริษัทคุณได้สัมปทานการดำเนินการทั้งน้ำมัน แก๊ส การเกษตร และอื่นๆอีกมาก”
“ครับ บริษัทเราโชคดี ที่ทุกคนเชื่อใจ”
“มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่ก็คือ บริษัทคู่แข่งขันมักจะถอนตัวก่อนการประมูลสิ้นสุดเป็นเพราะอะไรคะ”
“บางบริษัทรู้ว่าสู้ไม่ไหว ก็ชิงถอนตัวก่อนเป็นเรื่องธรรมดาครับ”
“งั้นขอเข้าประเด็นสำคัญเลยนะคะคุณจะอธิบายยังไงเรื่องที่ประธานบริษัทคู่แข่งขันของคุณ เสียชีวิตกะทันหันก่อนที่การประมูลจะสิ้นสุด”
โจลุกขึ้นยืนปลดไมค์ออกจากอกเสื้อ โยนลงบนโต๊ะยิ้มกวนๆ
“อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้กับทุกคน”
จักจั่นยิ้ม
“คุณเองก็ต้องระวังเหมือนกัน”
โจหน้าเครียด เดินออกจากห้องไป จักจั่นกับอภิชาติต่างยิ้ม พยักหน้าให้กัน

ฤทธิชัยเดินเข้าไปด้านใน เบี่ยงตัวหลบพวกมันสองสามคนที่เดินออกมาทางด้านหลังแล้วไปที่รถ
ขนกล่องกลับเข้าไปทางด้านใน...ฤทธิชัยขยับตัวตามเข้าไป ข้างในเป็นคล้ายโกดังเก็บของขนาดเล็ก ทางด้านหนึ่งมีพลาสติกสีฟ้าคลุมกล่องอยู่กองหนึ่ง...ฤทธิชัยดีดตัวเข้าไปตรงช่องว่างหลบพวกมันที่เดินออกไป...หลังจากนั้นก็เดินมาเปิดพลาสติกที่คลุมออกเห็นกล่องเรียงกันเป็นชั้น ฤทธิชัยปราดเข้าไปคว้าชะแลงที่วางอยู่ข้างๆเปิดกล่องออกถึงกับคาดไม่ถึง ภายในกล่องเต็มไปด้วยเงิน ทันใดนั้นเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น
“เฮ้ย...ใครให้เองเข้ามาวะ”
ฤทธิชัยค่อยๆหันกลับมา พวกมันสองคนแบกกล่องอยู่ ฤทธิชัย จ้องพวกมันหน้าเคร่งเครียด

ดาว ไผ่ ลุงเดช แสง ต่างนั่งล้อมวงกันอยู่ในค่ายสมาชิกโจร ไผ่เสนอแนะ
“เราต้องถล่มค่ายมันให้เรียบ ตัดไฟแต่ต้นลม”
ดาวขัดขึ้น
“แต่ที่พี่ไผ่บอก พวกมันมีกำลังเยอะมากดาวไม่อยากให้มีการสูญเสีย”
ลุงเดชหันมาถาม
“หนูดาวมีแผนยังไง”
“ดาวกับพี่ไผ่จะเข้าไปดูอีกครั้ง เพื่อหาจุดอ่อน ของพวกมันให้รู้แน่ว่าพวกมันเป็นใคร มาจากไหนก่อนจะดีกว่า”
ไผ่หน้านิ่งจริงจัง
“ใครมาจากไหนไม่สำคัญ...เข้ามาเมื่อไหร่ราบเมื่อนั้น”
แสงเตือนสติลูกชาย
“ไผ่...ใจเย็นลูก...พ่อว่าอย่างหนูดาวก็ดีนะ พอรู้แน่แล้วถล่มพวกมันก็ยังไม่สาย”
ไผ่ฮึดฮัดเคร่งเครียด
“ก็ได้...น้องดาวคิดถูกแล้ว”
แสงเอามือลูบหัวไผ่ ยิ้มอย่างพอใจ ทั้งหมดต่างยิ้มให้กัน

ฤทธิชัยจ้องพวกมัน ก่อนจะบอก...
“ห้องน้ำ พวกข้างนอกบอกว่าห้องน้ำอยู่ทางด้านหลัง อั๊วหาไม่เจอว่ะ”
“อยู่ข้างนอก อยู่เลยไปทางด้านหลัง ไม่ใช่ที่นี่”
“เออ...เออ...ขอบใจเว้ย”
ฤทธิชัยค่อยก้าวเดินออกไป...พวกมันเอากล่องวางลงแต่แล้วก็เห็นพลาสติกที่คลุมไว้เปิดอยู่ มันสองคนมองหน้ากัน

อภิชาติ กับ จักจั่นเดินมาที่จอดรถต่างกราดสายตามองหาฤทธิชัย
“มันหายไปไหนของมันวะ ไอ้หมอนี่ปล่อยไม่ได้”
จักจั่นหันไปเห็น
“คุณหนึ่งมาแล้วค่ะ”
ฤทธิชัยเดินเข้ามา
“ขึ้นรถเร็วเข้า”
อภิชาติกับจักจั่นรีบขึ้นรถ อภิชาตินั่งหน้า ฤทธิชัยสตาร์ทรถทันที...
“เกิดอะไรขึ้นเพื่อน”
“เงินเพื่อน เงินเป็นลังๆ”
“เดี๋ยว ขอกลับไปเอาซักลังหนึ่งก่อนซิเพื่อน”
ฤทธิชัยออกรถ แต่แล้วทันใดนั้นรถตู้สองสามคันก็พรวดเข้ามาสกัดไว้ จนรถของฤทธิชัยออกไปไม่ได้
“หรือว่าพวกมันจะเอาเงินมาแจก”
พวกมันนับสิบกรูกันลงมาจากรถ ปืนทุกกระบอกกราดมาที่หน้ารถตู้ของฤทธิชัย
“ฉันว่าพวกมันเอาลูกปืนมาแจกมากกว่า”

สถานการณ์คับขัน ทั้งสามคนระวังตัวทันที!

ที่ลานจอดรถของ อินเตอร์บิส...หัวหน้ากับอภิชาติลงมาจากรถ ฤทธิชัยดึงกุญแจรถตู้ออกหย่อนลงบนพื้นรถลงมาจากรถแล้วรีบปิดประตูโครม สมุนเข้ามาผลัก ฤทธิชัยหันกลับชกโครมกระเด็นไป ที่เหลือรีบกราดปืนเข้ามา
 
ฤทธิชัยยกมือเป็นเชิงยอมแพ้ หัวหน้าเดินเข้ามาเอาท้ายปืนกระแทกท้องของฤทธิชัยจนตัวงอ
“ลากนังผู้หญิงที่อยู่หลังรถลงมาด้วย”
สมุนคนหนึ่งเปิดประตูเข้าไปเจอจักจั่นถือปืนจ้องอยู่ สมุนนิ่งงัน จักจั่นจ้องตากลายเป็นตาเสือส่งพลังสะกดสมุน
“ไม่มีใครอยู่ครับลูกพี่”
สมุนที่ถูกสะกดหันกลับไป
“ไม่มีใครอยู่ครับลูกพี่”
อภิชาติกับฤทธิชัยต่างมองหน้ากันสงสัย อภิชาติถามเบาๆ
“คุณจักจั่นไปไหน”
ฤทธิชัยส่ายหน้า หัวหน้าหันไปสั่งสมุน
“พวกเอ็งสามคนออกไปหาตัวนางผู้หญิง เจอแล้วเอาไปขังไว้ รอข้ากลับมาที่เหลือเอาตัวพวกมันขึ้นรถ”
สามคนแยกออกไป...สมุนที่เหลือเข้ามาคุมอภิชาติกับฤทธิชัยแล้วผลักขึ้นไปบนรถตู้ โดยมีสมุนสองสามคนขึ้นมาคุม หัวหน้าขึ้นนั่งหน้าคู่กับคนขับ อภิชาติกับฤทธิชัยต่างมองหน้ากันเป็นเชิงให้เตรียมพร้อม เสียงประตูปิดโครมรถตู้เคลื่อนออกไป...

จักจั่นค่อยๆก้าวออกมาจากรถตู้ กราดสายตาไปรอบๆไม่เห็นพวกมัน...จักจั่นรีบขึ้นไปบนรถตู้ทางด้านคนขับเท้าเหยียบเข้ากับกุญแจพอดี จักจั่นยิ้มก้มลงเก็บกุญแจขึ้นมา
“เยี่ยมมาก คุณหนึ่ง”
แต่แล้วจักจั่นก็เห็นโจ ที่มีมือปืนคุมมาสองคนเดินมาตรงหน้าตึก มีรถตู้เข้ามาจอดเทียบ ทั้งหมดขึ้นรถแล้วเคลื่อนออกไป จักจั่นสตาร์ทเครื่อง ออกรถพรวดตามรถตู้ของโจออกไป

รถตู้ของโจจอดติดไฟแดง ทันใดนั้นมีเสียงโครมรถกระเทือน มือปืนที่อยู่ข้างหน้าโดดลงไปดู ครู่หนึ่งมือปืนกลับมารายงาน
“รถชนท้ายครับท่าน”
“แค่ถามชื่อบริษัทประกันก็พอ ข้าจะรีบไป”
มือปืนพยักหน้าแล้วออกไป ทันใดนั้นมีเสียงแตรดังวุ่นวายหนวกหู โจหงุดหงิดมาก
“เลื่อนรถจอดข้างทาง”
คนขับรีบเคลื่อนรถจอดข้างทาง
“ทำไมนานวะ...เอ็งลงไปดูซิ”
มือปืนอีกคนหนึ่งที่อยู่ในรถตู้เปิดประตูออกมันก้าวลง แต่แล้วถูกทุกหัวโครมทรุดคว่ำลงไป ร่างของจักจั่นพรวดเข้ามานั่งในรถตู้ข้างๆกับโจ จ่อปืนมาตรงหน้าแล้วตวัดมือปล่อยพลังไปที่ประตู ประตูปิดโครม จักจั่นยิ้ม
“ขอสัมภาษณ์ต่ออีกหน่อย”
โจหน้าเคร่งเครียด จักจั่นสั่งคนขับ
“ออกรถ”
คนขับอึกอัก โจพยักหน้า คนขับรีบเคลื่อนรถออกไป

รถตู้วิ่งมาบนถนนสายหนึ่ง...ในรถ อภิชาติ กับ ฤทธิชัย ถูกพวกมันคุมตัวอยู่ หัวหน้ายิ้มเยาะ
“ไม่น่าเชื่อ ว่า อดีตตำรวจมือพระกาฬ กับ ยอดทนายความระดับอินเตอร์ จะมาพบจุดจบง่ายๆแบบนี้”
ฤทธิชัยยิ้ม
“เสียใจที่พวกแกจะต้องผิดหวัง”
อภิชาติกวาดตามอง
“แต่ในฐานะที่แกรู้จักฉายาของฉันสองคน ฉันจะให้โอกาสพวกแกรอดซักครั้งหนึ่ง”
พวกมันต่างหัวเราะ ฤทธิชัยกับอภิชาติยิ้ม มองหน้ามือปืนเหล่านั้น

โจ สายตาจ้องจักจั่นหน้าตาเฉยเมย
“จะเอายังไง”
“ฉันต้องการพูดกับช่างภาพ กับคนขับรถของฉันที่พวกนายจับตัวไป”
“คุณพูดอะไรผมไม่รู้เรื่อง”
จักจั่นตวัดปืนลงที่พื้นตรงเท้าโจ ยิงเปรี้ยงเสียงปืนดังสนั่น โจขยับแต่เจอปืนจิ้มเข้าที่หน้าอก
“ตอนนี้พื้นเป็นรู นัดต่อไปหัวใจนายเป็นรูแน่”
โจจ้องแค้นๆล้วงโทรศัพท์ขึ้นมา กดสายรออึดใจ
“ข้าเอง...ข้าจะพูดกับพวกมันหน่อย”
จักจั่นยกมืออีกข้างหนึ่งกระดิกนิ้วเป็นเชิงให้โจส่งโทรศัพท์ให้ โจส่งให้

ในรถตู้ที่จับฤทธิชัยกับอภิชาติมา หัวหน้ารับโทรศัพท์จากโจ แล้วหันมารียก
“เฮ้ย...”
หัวหน้าส่งโทรศัพท์ให้ อภิชาติรับมาพูดสาย
“ว่าไง...”
“ไฮ้...ฮันนี่...” จักจั่นะพูดเสียงหวาน
“ฮัลโหล ดาร์ลิ่ง กำลังรออยู่ทีเดียว” อภิชาติหวานด้วย
หัวหน้าและสมุนงง...ฤทธิชัยขำ
“ได้...ได้...เลิฟยู”
อภิชาติยิ้มหน้าระรื่นโยนโทรศัพท์คืนให้ หัวหน้าที่มีสีหน้าเอาเรื่องมันรับทันควัน ฤทธิชัยยิ้ม หัวหน้ายกโทรศัพท์แล้วพูดสายกับโจ
“ครับ”
“ทำตามที่พวกมันต้องการ”
“ครับ”
หัวหน้าวางสายอย่างแค้นๆ อภิชาติยิ้มเย้ย
“อย่าลืมปืนแล้วก็โทรศัพท์ของพวกฉันที่แกยึดไป”
โจหันมาหาจักจั่น
“แล้วไงอีก”
“โทรศัพท์”
โจส่งโทรศัพท์ให้...จักจั่นรับโทรศัพท์แล้วกำบีบพอกางมือออกก็เห็นเศษโทรศัพท์ร่วงกราว
“จอดรถ”
คนขับจอดรถข้างทาง จักจั่นหันมาขู่โจ
“บอกนายของแกด้วย ว่าถ้าไม่รีบสลายตัวจากแผ่นดินไทยถูกฝังแน่”
จักจั่นสะบัดมือใช้พลังไปที่ประตู...ประตูเปิดออก หญิงสาวดีดตัวออกไป

รถตู้จอดอยู่ หัวหน้าและสมุนห้าคน ยืนอยู่ข้างๆห่างออกไป อภิชาติ กับ ฤทธิชัยต่างถือปืนคุมพวกมันอยู่ อภิชาติบอกเสียงเข้ม
“ฉันจะให้พวกแกรอดตามที่สัญญาไว้”
ฤทธิชัยเดินเข้ามาหาหัวหน้า ชกเปรี้ยงที่ท้องของมันจนตัวงอ
“ถือว่าหายกัน...”
หัวหน้ามองแค้นๆ ฤทธิชัยกับอภิชาติค่อยๆถอยไปที่รถตู้ แล้วขึ้นรถตู้ตีวงกลับรถออกไป
 
ทิ้งพวกมือปืนที่อารมณ์เสียไว้เบื้องหลัง

ฤทธิชัยขับรถตู้วิ่งมาบนถนนสายหนึ่ง อภิชาตเปรยขึ้น

“น่าจะส่งลงนรกซะให้หมดแผ่นดินจะได้สูงขึ้น” อภิชาติหยิบโทรศัพท์ออกมากดสาย “ฉันจะโทรบอกหน่วยงานให้ไปยึดเงินของพวกมัน”
ฤทธิชัยขัดขึ้น
“เสียเวลาเปล่าเพื่อน รับรองว่าเรื่องต้องเงียบ”
“ถ้างั้น...ต้องให้นางเสือจัดการ เราต้องตัดท่อลำเลียงของมัน”
“ถึงเป็นนางเสือ บุกเข้าไปดื้อๆก็ยังเสียเปรียบ เสี่ยงเกินไปฉันว่า...เราต้องบีบพวกมันให้ย้ายเงินออกมาแล้วคอยดักปล้นจะง่ายกว่า”
“โห...เพื่อนรัก ไอเดียบรรเจิด ฉันมีวิธีกระตุ้นให้พวกมันรีบย้ายเงินโดยเร็ว”
อภิชาตหยิบโทรศัพท์กด ครู่หนึ่งกำจรรับสาย...
“กำจรเหรอฉันมีข่าวลับเว้ยเพื่อน...มีการซุกเงินกว่าร้อยล้านที่บริษัทอินเตอร์บิส ใช่...แต่ฉันว่าควรแจ้งตำรวจก่อนน่าจะดีกว่า บุ่มบ่ามเข้าไปเดี๋ยวจะยุ่ง...เออ...ด้วยความยินดีเพื่อน” อภิชาติกดตัดสายเก็บโทรศัพท์อย่างสะใจ “เรียบร้อย...”
ฤทธิชัยยิ้มพอใจ
“นายแน่มาก”
“นายก็แน่”
ทั้งสองต่างยิ้มขำกัน อภิชาตินึกได้
“พูดถึงนางเสือคุณดาวเป็นยังไงบ้าง”
“กำลังตามล่าพวกมันอยู่”
ฤทิชัยนึกถึงดาวอย่างคิดถึง

เย็นนั้น ในราวป่าลึกบ้านดอนเสือ...ร่างของดาว พุ่งไปบนยอดไม้แล้วพุ่งไปด้านหน้า ร่างของไผ่ พุ่งตามไปติดๆ จนกระทั่งทั้งสองที่อยู่ในชุดนางเสือร่อนลงมาที่ลานเล็กๆในราวป่า
“พ้นดงไม้นี่ไปก็เจอค่ายของพวกมัน”
ไผ่พูดจบก็เดินผ่านนำดาวไป ครู่หนึ่งไผ่มองป้าเบื้องหน้าอย่างงุนงง
“เอ๊ะ...หายไปแล้ว ค่ายของพวกมันหายไปแล้ว”
ดาวก้าวมายืนข้างๆกราดสายตาไปรอบๆ ไผ่ยังงงไม่หาย
“เป็นไปไม่ได้...พวกมันจะเคลื่อนย้ายได้เร็วถึงขนาดนี้”
ดาวชักเอะใจ
“บางอย่างผิดปกติซะแล้ว”
ไผ่หลับตา
“พี่สายลม”
เสียงสายลมร้องก้อง สายตาของสายลมเห็นแต่พื้นที่ป่าไม่มีวี่แววของค่ายของพวกมัน ไผ่ลืมตา
“พี่สายลมก็ไม่เห็น”
“พี่ไผ่แน่ใจนะ ว่าเป็นที่นี่”
“ร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นไง...”
ไผ่ชี้ไปที่เครื่องหมายกากะบาดที่ทำไว้บนต้นไม้
“จุดที่พี่ยืนอยู่ที่นี่...จะเห็นค่ายของมันอยู่ข้างหน้าพอดี”
ดาวหน้าเคร่งกราดสายตาไปมา...ทันใดนั้นมีเสียงปืนดังมา ดาวดีดตัวไปทางเสียงปืนทันที ไผ่รีบตามไป

ดาวกับไผ่ พุ่งไปตามยอดไม้ แต่แล้วเสียงปืนสงบลง ดาว กับ ไผ่ร่อนลงแล้วก็เห็นสมาชิกโจรหลายคนกำลังยืนตรวจเครื่องมือตัดไม้ที่ทิ้งระเกะระกะอยู่ ดาวเข้าไปถาม
“พวกมันหรือเปล่า”
สมาชิกโจรคนหนึ่งหันมาบอก
“ไม่ใช่หรอกครับ แค่พวกชาวบ้านลอบตัดไม้ธรรมดา เผ่นหนีไปหมดแล้วครับ”
ดาวกับไผ่ต่างมองหน้ากันรู้สึกผิดหวัง
“งั้นเจอกันที่ค่าย ทุกคนระวังตัวด้วย”
“ครับคุณดาว”
“ไป...พี่ไผ่ เรากลับกันก่อน”
ดาวพุ่งออกไป ไผ่พุ่งตามไป

ที่ลานของค่ายสมาชิกโจร...ทุกคนนั่งรวมกลุ่มปรึกษากันอยู่ ลุงเดชคิดๆ
“แปลกมาก”
ไผ่ยังคงคาใจอยู่
“ค่ายพวกมันหายไปเฉยๆเลยครับ”
แสงเองก็สงสัยไม่หาย
“พวกเราที่ออกไปลาดตะเวนกลับมา ก็ไม่พบวี่แววของค่ายหรือกำแพงอะไรเลย”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน ดาวถอนใจ
“มีบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ตอนนี้ดาวยังไม่มีคำตอบ”
ทุกคนรู้ว่ากำลังเผชิญกับศัตรูที่เตรียมแผนมาอย่างดี

โจนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน จิบกาแฟไปพลาง ขณะเดียวกันนั้นเลขา เข้ามารายงาน
“มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาขอพบค่ะ”
โจลุกขึ้นอย่างสงสัยยกโทรศัพท์ขึ้นกด
“ผู้กองสัตยาผมว่าคุณควรรีบมาที่บริษัท เร็วเท่า ไหร่ยิ่งดี”
โจวางสายแล้วเดินออกจากห้องไป

ในห้องรับแขก อินเตอร์บิส...โจเดินเข้ามาก็พบเจ้าหน้าที่ตำรวจรออยู่หลายนาย โจมองอย่างแปลกใจ
“มีอะไรเหรอครับ”
“ผมได้รับรายงานว่า มีเงินซุกอยู่ที่นี่เป็นร้อยๆล้านเลยนำหมายค้นมาขอตรวจครับ”
“เดี๋ยวนะครับ ผมว่ามีการเข้าใจผิด...บริษัทเราทำธุรกิจ ถูกต้องตามกฎหมาย ผู้กองสัตยา สามารถรับรองได้ครับ”
“ผมเป็นตำรวจท้องที่ ได้รับแจ้ง ก็ต้องรีบปฏิบัติขอความร่วมมือด้วยครับ”
โจถึงกับพูดไม่ออกเสียอารมณ์มาก

รถตู้ฤทธิชัยวิ่งไปบนถนน อภิชาติยิ้มๆ
“งานนี้ไม่ใช่พวกมันเท่านั้น แต่พวกตัวอื่นๆที่ซุกเงินจะต้องหนาวรีบย้ายเงินกันไม่ทันพวกมันต้องกระอัก ด้วยความแค้น”
“ยิ่งแค้น มันก็ยิ่งพลาด”
“เยส สะใจจริงๆ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อภิชาติกดรับ
“ฮัลโหล สวีทฮาร์ท...ได้จ้ะ...”
อภิชาติวางสายหันมาบอกฤทธิชัยให้ไปที่ศูนย์การค้า ฤทธิชัยยิ้มพอใจ
“คุณจักจั่นฉลาดมาก...ไปที่ๆมีคนเยอะยากต่อการติดตาม”
“ดีเหมือนกันฉันเริ่มจะหิวแล้ว...แกเลี้ยง”
ฤทธิชัยเหล่ เหยียบรถวิ่งตะบึงไป...

รถเจ้าหน้าทีตำรวจจอดอยู่หน้าตึกของอินเตอร์บิส มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยืนเรียงรายอยู่ ขณะที่กำจรยืนอยู่ถัดไปกำลังรายงานข่าว
“ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังใช้หมายตรวจค้นบริษัทอินเตอร์บิสเกี่ยวกับเงินสดจำนวนหลายร้อยล้านที่ซ่อนอยู่...แหล่งข่าวลึกลับแจ้งตำรวจท้องที่ อันเป็นสาเหตุของความ วุ่นวายสับสนไม่มีใครรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรเดี๋ยวครับ...มีหน่วยงานพิเศษมาถึงพอดี”
รถเก๋งเข้ามาจอด สัตยาลงมาจากรถ ตรงเข้ามาหาตำรวจท้องที่
“ผมจัดการต่อ ขอบคุณมาก”
เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ทำความเคารพแล้วออกไป กำจรเดินเข้ามาสัมภาษณ์
“ข้อเท็จจริงเป็นยังไงครับ”
“เป็นข่าวที่ไม่มีมูลความจริง เราไม่ได้พบเงินอะไรทั้งสิ้น”
“ผู้กองยืนยันได้หรือครับ”
“ได้แน่นอน”
กำจรหันมาทางกล้อง
“ผมกำจร แสงรุ่งเรือง รายงาน”
นายใหญ่ที่ดูข่าวในทีวีกดปิดทีวีแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมา
“รีบจัดการย้ายเงินทั้งหมด”
โจที่อยู่ในห้องทำงานอินเตอร์บิส พูดสายอย่างสุภาพ
“ครับท่าน”
“แล้วหาทางกำจัด อภิชาติ กับ ผู้กองฤทธิชัย”
“ครับ”
“เรื่องนางเสือล่ะ”
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ตอนนี้นางเสือยังไม่มีปัญญาทำอะไรพวกเราได้ครับ”

โจบอกอย่างมั่นใจ

โปรดติดตาม ตอนต่อไป
เรื่องย่อ จบบริบูรณ์ "ป่านางเสือ 2"
เรื่องย่อ จบบริบูรณ์ "ป่านางเสือ 2"
ภายหลังจากที่ซึนามิถล่มญี่ปุ่นจนเกิดผลเสียหายอย่างหนัก อีกทั้งทั่วโลกระส่ำระสายด้วยทั้งภัยธรรมชาติและภัยสงคราม....น้ำท่วมประเทศไทยและเอเซียทำให้สภาวะเศรษฐกิจระส่ำระสายทั่วเอเซีย....อีกทั้งโลกเริ่มขาดแคลน ทั้งพลังงานธรรมชาติ อาหาร และทรัพยากรธรรมชาติในการดำรงชีวิตทุกรูปแบบ....พวกมาเฟียและนักธุรกิจมืดที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลกเริ่มเคลื่อนไหวหาทางขยายเส้นทางธุรกิจเพื่อชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปให้แก่ภัยธรรมชาติ องค์กรลับที่ชื่อBlack evilที่เคยส่งคนเข้ามาขยายฐานในไทยครั้งหนึ่งแต่ถูกนางเสือโค่นจนต้องถอยกลับไปนั้น..หาได้หยุดยั้งไม่...เนื่องด้วยเห็นว่าไทยมีจุดอ่อนทางด้านการเมือง..ระบบกฎหมายไม่แข็งแกร่งและที่สำคัญคือยังเต็มไปด้วยการคอรัปชั่น..ทำให้องค์กรBlack evilส่งกำลังกลับเข้ามาอีกครั้ง
กำลังโหลดความคิดเห็น