ไฟมาร ตอนที่ 10
ภาพิศพาตัวเองมาคร่ำครวญอยู่ต่อหน้าสรวงที่ห้องทำงานของเขา ในสภาพน้ำตาไหลพราก ทุกข์หนักกับสถานการณ์ในชีวิต เสียใจ แต่ไม่ได้ฟูมฟายแต่อย่างใด
“พี่ไม่เคยคิดจริงๆเลยว่าท่านจะหลงหนูก้าง และหนูก้างจะทำกับพี่ได้ถึงขนาดนี้... ฮึ!! ทีแรก พี่ก็นึก..ศุภาวีร์คือใคร? ไม่นึกเลยจริงๆว่าจะเป็นหนูก้าง” ภาพิศก้มหน้าซบลงกับฝ่ามือร้องไห้สะอึสะอื้น
สรวงมองภาพิศอย่างเห็นใจ “คุณพ่ออาจจะแค่หลงเค้า”
“แต่ก็ทำให้ท่านไล่พี่ออกจากบ้านได้”
“ท่านอาจจะพูดด้วยอารมณ์ชั่ววูบ” สรวงพยายามปลอบ
ภาพิศพูดออกมาทั้งโกรธและเสียใจ “แต่คำพูดของท่าน มันก็ทำลายทุกอย่างไปหมดแล้ว” แว่บหนึ่งนั้นภาพิศหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน “พี่อุตส่าห์ทิ้งครอบครัวมาอยู่กับท่าน ไม่คิดจริงๆว่าจะมีวันนี้ นี่ถ้าไม่มีลูกในท้องพี่คง...” ภาพิศเอามือลูบท้องตัวเอง
สรวงมองภาพตรงหน้าอย่างเวทนา “ยิ่งมีลูก..คุณยิ่งต้องเข้มแข็ง... คิดถึงลูกให้มากกว่าตัวเอง..” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นขมขื่น “เพราะลูกจะไม่มีวันทิ้งคุณ...”
“...เหมือนท่าน” ภาพิศต่อคำ น้ำตาคลอ
ภาพิศเดินออกมากับสรวง นพเห็นพอดีมองอย่างตกใจ ก่อนจะฉากหลบทำเป็นดูเอกสารบนโต๊ะง่วน ภาพิศบอกด้วยท่าทางที่ดีขึ้น
“ขอบคุณมากค่ะคุณสรวง...ที่รับฟังพี่..เข้าใจพี่ พี่จะเข้มแข็ง เพื่อลูก” ภาพิศนึกได้ “ความจริงพี่ไม่น่าเอาเรื่องนี้มาบอกคุณสรวงเลย เพราะคุณสรวงคงทุกข์ไม่ต่างจากพี่....ที่ผู้หญิงคนใหม่ของท่าน...คือหนูก้าง”
สรวงตอบกลับเสียงดุกร้าว “ผมไม่ให้ค่าผู้หญิงประเภทนั้นหรอกครับ...เอาเป็นว่า...คุณภาพิศมีอะไรโทร.หาผมได้ตลอด...ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณค่ะ....แต่พี่...ไม่อยากรบกวนคุณสรวงบ่อยๆ หรอกค่ะ....เพราะถ้ารบกวน ก็แปลว่าพี่กลุ้มใจ..กลับก่อนนะคะ...” เดินไป..แล้วทำท่าเหมือนคิดอะไรได้อีก “อ้อ! คุณสรวงต้องได้เจอผู้หญิงคนใหม่ที่ดีกว่าหนูก้างแน่นอนค่ะ”
“และคงมีมากด้วย” น้ำเสียงของสรวงขื่นขมเหลือแสน
“อย่างน้อย...ก็คุณฤทัย...เพราะยังไงเธอก็ไม่เคยเป็นเด็กใคร พี่กลับก่อนค่ะ”
ภาพิศเดินลับตัวไปแล้ว สรวงมองตามหน้าหมอง นพเดินมาหา
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
สรวงบอกด้วยเสียงดุดัน โกรธเกรี้ยว “คุณพ่อไล่คุณภาพิศออกจากบ้าน เพราะหลงกรรณนรี” นพฟังแล้วตกใจยิ่งนัก “ผมดีใจนะครับถ้าคุณพ่อจะเลิกกับเค้า..อย่างน้อยแม่จะได้สบายใจ แต่การที่คุณพ่อไล่เค้าออกจากบ้าน ผมว่ามันเกินไป”
สรวงก้าวเร็วๆ เข้ามาในบ้าน ท่าทางอารมณ์ร้อนพร้อมระเบิดทุกเมื่อ มาถึงก็ถามสุดาทันที
“คุณพ่อล่ะครับ”
“อยู่ข้างบน มีอะไรลูก”
สรวงยังไม่ทันตอบ อารักษ์ที่แต่งตัวหล่อก็เดินลงบันไดมาพอดี สรวงเดินไปเผชิญหน้าอย่างไม่ครั่นคร้าม
“คุณพ่อหลงผู้หญิงคนใหม่ จนไล่คุณภาพิศกับลูกออกจากบ้านเลยหรือครับ”
สุดาแอบยิ้มดีใจ ขณะที่อารักษ์สวนคำออกมา
“แล้วทำไม” สุดาลอบยิ้มดีใจอีก
“ผมก็แค่อยากให้คุณพ่อ นึกถึงเด็กที่กำลังจะเกิดมาบ้าง”
อารักษ์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ที่สรวงด่า “ฉันจะมีลูกเป็นสิบเป็นร้อย ฉันก็มีได้ เพราะฉันมีเงิน มีอะไรสรวง”
“ให้เด็กแต่ละคนเกิดมาเป็นเด็กบ้านแตกอย่างนั้นเหรอครับ? คุณพ่อไม่มีความรับผิดชอบ” สรวงเหลืออด
“ไอ้สรวง” อารักษ์ตบสรวงดังผลัวะ
สุดาร้อง “ว๊าย” วิ่งไปหาประคองร่างสรวง
สรวงมองอารักษ์ตาขวาง “นอกจากจะไม่มีความรับผิดชอบแล้ว คุณพ่อยังเห็นแก่ตัวอีก” เดินออกไปในอาการโกรธ
อารักษ์โกรธจัด “ไอ้สรวง” จะตามไป
สุดาขึ้นเสียง “หยุดนะคุณ หยุด” คว้าแขวนอารักษ์ไว้ ปากดีใส่“สม ให้ลูกมันว่า เอาแต่หน้ามืดตามัวหลงผู้หญิง”
อารักษ์หันมาหามองจ้องหน้าสุดาเขม็ง “แล้วไง? ถ้าเธอไม่อยากเจออย่างภาพิศ หุบปาก”
จากนั้นอารักษ์เดินออกไปอย่างฉุนเฉียว ปล่อยสุดาให้ยืนตะลึงอยู่อย่างนั้น
ไม่นานต่อมา สุดากำลังร้องไห้ร้องไห้ตีโพยตีพายท่าทางทั้งโมโหและคับแค้นใจ อยู่ต่อหน้าภาพิศ สองคนเหน็บแนมถากถางกันอยู่ไปมา
“เจอฤทธิ์นังเด็กนั่น ขนาดคุณน้องที่พี่เคยว่าร้าย ว่าเลว ยังสู้มันไม่ได้เลยนะคะ” สุดาอดถากถางไม่ได้
ภาพิศได้ฟัง ดวงตาวาววับ “จริงค่ะ...ขนาดหน้าตาเหี้ยมโหดใจดำอำมหิตอย่างคุณหญิงพี่
เจอคนหน้าจืดเป็นปลาขาดน้ำอย่างนังเด็กนั่น ยังแพ้ราบคาบไปเลย”
“มันทำให้ครอบครัวพี่แตก พ่อลูกทะเลาะกัน” สุดาว่า
ภาพิศรู้สึกผิด “เป็นความผิดของน้องเอง น้องไม่น่าแนะนำคุณสรวงให้มันเลย”
“อ้อ! นี่คุณน้องเองเหรอคะ? ที่พาตาสรวงไปเกลือกกลั้วกับของต่ำๆ” มองภาพิศอย่างโมโห “จริงๆ สามีพี่ก็เลี้ยงดูคุณน้องอย่างสุขสบาย น่าจะลืมอาชีพเดิมนะคะ”
“น้องพลาดไปแล้วค่ะ แต่ไม่ต้องห่วง น้องจะทบต้นทบดอกให้คุณหญิงพี่เอง”
สรวงก้าวเร็วๆ ตรงดิ่งไปยังหน้าห้องกรรณนรีที่คอนโด ในอาการโกรธเกรี้ยว และโมโหมาก ทุบประตูปังๆๆ
กรรณนรีอยู่ด้านในตกใจมาก แม้จะยังไม่รู้ว่าใครแต่เคาะดัง น่ากลัวมาก เห็นยังเงียบ สรวงตะคอกเสียงดัง
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะกรรณรี เปิด”
“คุณสรวง” กรรณนรียืนตัวสั่นอย่างหวาดกลัว น้ำเสียงของสรวงเกรี้ยวกราด
“ฉันบอกให้เปิด หรือจะให้ฟังเข้าไป” สรวงทุบอีกหลายปัง ก่อนจะเอาไหล่กระแทกให้รู้ว่าจะพังเข้าไปจริงๆ
“เปิดแล้วค่ะเปิดแล้ว” กรรณนรีถลาไปเปิดประตู
ทันทีที่ประตูเปิดออกสรวงถลันเข้ามา กระชากร่างกรรณนรีจนตัวแทบปลิว “สะใจเธอแล้วใช่มั้ย? ใช่มั้ย? พ่อฉันไล่แม่เธอออกจากบ้านแล้ว”
กรรณนรีสลดหดหู่ แต่ดีใจ สะใจอยู่ลึกๆ “แล้วคุณไม่ดีใจเหรอ? ที่ผู้หญิงที่คุณเกลียด ถูกไล่ออกจากบ้านแล้ว”
สรวงฟังแล้วยิ่งเกลียดมากขึ้น “ทั้งๆ ที่เค้ากำลังมีลูกอยู่ในห้องด้วยน่ะนะ...” มองอย่างสมเพช “ฉันอาจจะเคยใจร้ายกับคุณภาพิศ แต่ก็ยังแพ้เธอกรรณรี อย่างน้อย คุณภาพิศก็ไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน แต่เค้าคือแม่ของเธอ” สรวงผลักกรรณนรีออกอย่างแรง
ร่างกรรณนรีเซถลาไปแทบล้มแต่ สีหน้าฮึดเข้มแข็งขึ้นมา เพราะรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร “ฉันทำทุกอย่างเพื่อคุณภาพิศ”
สรวงมองกรรณนรีด้วยความเสียใจ ยิ้มเยาะ “เหรอ?...งั้นเธอลองบอกฉันมาซิ ฉันจะแกล้งโง่ ยืนฟังว่าเธอจะแก้ตัวว่ายังไง?”
“ฉันเคยจะบอกคุณทุกอย่าง แต่คุณก็ไม่เคยฟังฉัน...เพราะฉะนั้น ถึงตอนนี้ไม่จำเป็นแล้วค่ะ คุณจะคิดยังไง ก็เรื่องของคุณ”
ท่าทีกรรณนรีเฉยชา สรวงมองด้วยแววตาเจ็บปวด ร้าวราน
“งั้นฉันก็ได้แต่คิดว่า ผู้หญิงอย่างเธอมันเลว เลวอย่างไร้ที่ติจริงๆ” ท้ายประโยคสรวงกระแทกเสียงใส่อย่างกราดเกรี้ยว “เลว”
จากนั้นสรวงก็ผลุนผลันออกไป กรรณนรีใจหล่นวูบ ร้องไห้โฮ เจ็บปวดรวดร้าวไม่ต่างกัน กรรณนรีทำท่าจะเรียกให้สรวงกลับคืนมา แต่มือค้างอยู่อย่างนั้น พยายามตัดใจอย่างเด็ดขาด
สรวงเดินพรวดๆ หน้าบูดบึ้งขึ้นรถขับออกไป พอรถของสรวงลับตาไป สุดากับภาพิศก็เดินออกมาจากอีกมุม ตรงดิ่งเข้ามาในคอนโด ท่าทางภาพิศนั้นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ สุดาแอบยิ้มเยาะพอใจ
“ป่านนี้นังศุภาวีร์มันต้องหัวเราะเยาะเราแน่ๆ ค่ะคุณน้อง...ครอบครัวตีกัน อีรุงตุงนังไปหมด เพราะมัน”
เห็นภาพิศไม่ตอบ เดินไปอย่างแน่วนิ่ง ดวงตาแข็งกร้าว สุดามอง ชักไม่แน่ใจ ยุต่อ
“มันต้องคิดว่ามันเจ๋ง มันแน่”
“ก็ให้มันรู้ไปค่ะ ว่าเราสองคนจะเอาชนะมันไม่ได้”
สุดาใส่ไฟอีกชุดใหญ่ “อุ๊ย! พี่ไม่เอาหรอกค่ะ พี่กลัวมัน คราวที่แล้วมันจิกผมซะหนังหัวพี่แทบหลุด พี่คงต้องฝากความหวังไว้ที่คุณน้องแล้วล่ะค่ะ”
ภาพิศยิ้มหยันในสีหน้า “ในเมื่อคุณหญิงพี่ขอร้อง...คุณน้องก็จะจัดให้ จัดหนักจัดเต็มเลย
ล่ะ คุณหญิงพี่คอยดู!” ภาพิศเดินเข้าไป
“แม่ลูก ตบกันให้ตายเลยนะ ฉันจะเก็บศพให้”
สุดายิ้มเยาะ พอใจมาก หยิบมือถือขึ้นมา
สุขหฤทัยอยู่ในผับ คุยโทรศัพท์กับสุดาอยู่ หัวเราะร่วนอย่างสาแก่ใจ
“ต๊าย! จริงเหรอคะคุณหญิงแม่ นังภาพิศบุกขึ้นไปตบนังกรรณรีแล้ว”
ขณะนั้นกาวินทร์เดินมาทางด้านหลัง ตามตื้อสุขหฤทัยตามเคย แต่พอได้ยินก็ชะงักกึก
ด้านสุดาหัวเราะ ยืนยันคำพูดเมื่อครู่
“ก็จริงน่ะสิ.....นังภาพิศมันบุกขึ้นไปหาลูกมันเดี๋ยวนี้นี่เอง”
“โอ!!แม่ตบลูก “มัน”ถึงใจ” สุขหฤทัยหัวเราะชอบใจ
กาวินทร์ได้ยินชัดเจน นิ่งมองอย่างสงสัย สุขหฤทัยยังไม่รู้ตัว ฟังสุดาบอกต่อ
“แม่ก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าจะมันได้แค่ไหน”
“งั้นคุณหญิงแม่รีบตามไปดูเลยค่ะ ถ้านังภาพิศมันตบสู้นังกรรณรีไม่ได้ คุณหญิงแม่ก็ไปช่วยนังภาพิศมันหน่อยแล้วกัน” สุขหฤทัยยุส่ง
“เรื่องอะไรแม่จะช่วย ใครจะแพ้ใครชนะ ยังไงแม่ก็ตบลูก ลูกก็ตบแม่อยู่ดี”
สุขหฤทัยตาวาว “ใช่ค่ะ...ยังไงแม่ก็ตบลูก ลูกก็ตบแม่อยู่ดี”
กาวินทร์มองสุขหฤทัยนัยน์ตาวาวโรจน์ แต่ในขณะเดียวกันก็นึกสงสัยว่า ภาพิศกับกรรณนรีมีเรื่องอะไรกัน
กาวินทร์เดินหลบออกมาหน้าผับ สงสัยไม่วาย
“แม่บุกไปตบกาว มันเรื่องอะไร”
กาวินทร์ตัดสินใจกดมือถือโทร.หากรรณนรี ทว่าไม่มีสัญญาณตอบรับ กาวินทร์ทำหน้าสงสัยคาใจหนัก
ด้านกรรณนรีล้างหน้าล้างตาออกมาจากห้องน้ำ แต่ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงประตูห้อง
กุกกักๆ แล้วประตูก็ถูกเปิดเข้ามาพร้อมร่างภาพิศ กรรณนรีตกใจมาก
“คุณภาพิศ”
ภาพิศชูกุญแจในมือขึ้น น้ำเสียงยิ้มหัวแต่แววตาน่ากลัวมาก “มันไม่ใช่เรื่องยากหรอกนะจ๊ะ หนูศุภาวีร์คนสวย...ที่จะใช้กุญแจผี เปิดเข้ามาในห้องเธอน่ะ” เดินเข้ามาในห้อง
กรรณนรีถอยหลังกรูด ภาพิศเดินตามเข้ามา กระชากผมจนหน้าหงาย กราดตามอง
ใบหน้ากรรณนรี ทีละจุด แล้วมาหยุดที่ปาก
“ปากบางๆ อย่างนี้ ช่างฟ้องนักใช่มั้ย” ภาพิศตบปากผลัวะทันทีโดยยังไม่ปล่อยผมกรรณนรี
“โอ๊ย”
“ขี้ฟ้องนักใช่มั้ย” ตบอีกที พร้อมกับปล่อยผม ร่างกรรณนรีร่วงลงไปกองกับพื้น
ระหว่างนั้นสุดาลอบตามภาพิศมา แอบมองอยู่ที่ประตู ควักมือถือมาถ่ายคลิป เห็นภาพิศตามไปกระชากกรรณนรีขึ้นมาตบอีกฉาด
ภาพิศมองกรรณนรี ทั้งเสียใจ ผิดหวัง และโกรธขึ้ง “เธอไปฟ้องท่านอีกเลยนะ ฟ้องเลย ถ้าเธอคิดว่ายังว่าจะมีปากไปพูดกับท่านอีก” ขาดคำภาพิศตบผลัวะที่ปากจังๆ
กรรณนรีร้องไห้โฮยกมือไหว้ขอร้อง “คุณภาพิศ...กรุณาเถอะค่ะ อย่าทำฉัน ฉันทำเพราะหวังดีกับคุณจริงๆ”
“หวังดี? หวังดีเพื่อที่เธอจะได้แทนที่ฉันน่ะสิ” ภาพิศเยาะ ทำท่าลุกจะเดินหนี
กรรณนรีคว้าขาภาพิศเอาไว้ พยายามอธิบาย “ไม่ใช่ค่ะ ฉันหวังดีกับคุณจริงๆ ท่านอารักษ์ไม่ใช่คนดี คุณควร...”
ภาพิศสวนคำทันควัน “ควรหลีกทางเพื่อให้เธอได้อยู่กับท่านใช่มั้ย?” มองมาด้วยความเสียใจ “ฉันไม่อยากเชื่อเลย ว่าหน้าจืดๆ ท่าทางเซื่องๆ ซึมๆ โง่ๆ อย่างเธอ พิษสงมันจะรอบตัวอย่างนี้”
ภาพิศผลักกรรณนรีออกอย่างแรง จนผงะไป ภาพิศเย้ย
“ถ้าเธอว่าท่านไม่ดี เธอก็ออกไปจากที่นี่ซะสิ จะอยู่ทำไม? หรือว่าเสียดาย ความหรูหรา สะดวกสบาย ที่ชีวิตนี้คนอย่างเธอไม่มีทางจะได้เจอW
กรรณนรีมองภาพิศแล้วสะท้อน สะเทือนใจ น้ำตาไหลริน ภาพิศมองดูอย่างเกลียดชัง
“ออกไปจากที่นี่ อย่าให้ฉันเห็นหน้าอีก ไม่งั้น...” ภาพิศเชยคางกรรณนรีขึ้น ขู่อีกดอก “เธอเจอหนักกว่านี้แน่”
เห็นภาพิศทำท่าจะออกมา สุดายิ้มสะใจ รีบผละออกไปอย่างรวดเร็ว
สุดาทำทีเป็นรออยู่ที่ล็อบบี้ด้านล่าง ทันทีที่เห็นภาพิศมา ก็รีบถามแสร้งทำเป็นห่วง เป็นใย
“เป็นยังไงบ้างคะคุณน้อง? นังหน้าจืดนั่นมันทำอะไรคุณน้องหรือเปล่าคะ”
สุดาจับตามเนื้อตามตัวภาพิศเหมือนเป็นห่วงเต็มประดา ภาพิศยิ้มดุพลางบอก
“คนอย่างมัน ก็เก่งแต่ลับหลังเท่านั้นล่ะค่ะ”
“แปลว่ามันไม่ได้ทำอะไรคุณน้องใช่มั้ยคะ? โอ๊ย! พี่ล่ะโล่งใจ ทีแรกพี่กลั๊วกลัวว่ามันจะตบน้อง จนลูกหลุดแล้วนะคะเนี่ย คุณน้องนี่เก่งสุดยอดจริงๆ เลย”
“นี่ล่ะค่ะมือตบอันดับหนึ่ง คุณหญิงพี่ก็เคยเจอมาแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
สุดาหน้าเจื่อน รู้สึกโกรธ และเสียหน้า แต่แกล้งยิ้ม “ใช่ค่ะ..ยังเจ็บฝังใจมาจนถึงเดี๋ยวนี้”
“งั้นนังศุภาวีร์มันก็ต้องเจ็บฝังใจเหมือนกัน...และถ้ามันยังกล้า มันจะเป็นรายต่อไป ที่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้”
ภาพิศพูดแทบเป็นคำราม ก่อนจะเดินออกไป สุดาเหยียดยิ้มทั้งพึงพอใจ และสาแก่ใจมาก
ขณะที่สุขหฤทัยแด๊นซ์กระจายอยู่กับก๊วนเพื่อนอย่างสนุกสนานนั้น จู่ๆ กาวินทร์ก็ตีหน้าเศร้าเดินเข้ามา เพื่อนในกลุ่มเห็นรีบสะกิด สุขหฤทัยหันไปมอง พอเห็นเป็นกาวินทร์ก็เบ้ปากใส่ ทำท่าเชิด กาวินทร์เห็น รู้สึกแค้นเคือง แต่ต้องข่มใจทำเป็นไม่มีอะไร เดินมาง้อ
“คุณฤทัยครับ”
สุขหฤทัยเชิดใส่ “จะมายุ่งอะไรกับฉันนักหนา น่ารำคาญ” เดินหนีไป
“คุณฤทัยครับ” กาวินทร์รีบเดินตามไวๆ และเดินมาขวางหน้าไว้
“เอ๊ะ!!ยังมาขวางทางฉันอีก อยากโดนดีรึไง”
“คุณทำอะไรผม..ผมก็ยอม...เพราะผมรักคุณ” กาวินทร์เล่นละคร
สุขหฤทัยเบ้ปากอย่างรังเกียจ “แต่ฉันขยะแขยงนาย!” พร้อมกับเดินเชิดออกไป
“ฉันก็ขยะแขยงเธอเหมือนกัน”
กาวินทร์มองตามอย่างอาฆาต ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นกลุ้มใจ
กาวินทร์เดินเข้ามาในบ้าน เห็นเกริกยืนกระวนกระวายอยู่
“อ้าว!พ่อ ป่านนี้ทำไมไม่นอน”
“พ่อก็รอกาวน่ะสิ กาวไปไหน หมู่นี้พ่อไม่เห็นเลย โทร.ไปก็ไม่ติด”
กาวินทร์รีบแก้ตัวกลบเกลื่อนแทนน้อง “อาจจะคลาดกันกับพ่อน่ะ บางวันผมยังเจอกาวอยู่เลย
เดี๋ยวผมเจอน้อง ผมจะบอกให้แล้วกัน ว่าให้อยู่เจอพ่อก่อน” กาวินทร์เดินเลี่ยงไป
เกริกงง บ่นตามหลัง “พ่อก็อยู่บ้านตลอด แล้วไปคลาดกับกาวกันตอนไหน”
กาวินทร์ว่อนหน้า ไม่สบายใจหนัก
พอเข้าห้องกาวินทร์พยายามโทร.หากรรณนรี แต่โทร.เท่าไหร่ก็โทร.ไม่ติด ได้แต่กระวนกระวาย
“แกมีปัญหาอะไรของแกรึเปล่าวะกาว”
กาวินทร์ทั้งกังวลและสงสัย
เวลาเดียวกัน กรรณนรีนั่งเศร้าร้องไห้เสียใจอยู่ในห้อง ในขณะที่สรวงยังอยู่ในออฟฟิศ นั่งดื่มอยู่คนเดียวจนเมามาย กลัดกลุ้มในใจ
จังหวะหนึ่งสรวงเขียนหนังสือระบายความในใจ “ทำไมต้องเธอ” ตัวโตๆ ก่อนจะขีดฆ่าทิ้งอย่างปวดร้าวใจ
ไฟมาร ตอนที่ 10 (ต่อ)
คืนเดียวกันนั้น เกริกเอาแต่ชะเง้อชะแง้คอยมองไปทางหน้าบ้าน พลางกดมือถืออยู่ตลอดเวลา จังหวะนั้นสองป้าขาเม้าท์ประจำซอยเดินถือขนม กับผลไม้เข้ามาหา
ป้าตั๊กแตนเอ่ยขึ้นนำร่อง “พ่อเกริก ฉันได้กล้วยมาฝาก”
เกริกไม่ได้สนใจนัก “ขอบใจมากป้า”
ป้าจักจั่นดูออก “ไม่สนใจพวกฉันเลย ...มัวโทรฯหาใครน่ะ”
“กาวน่ะสิ...ช่วงนี้ฉันไม่ได้เจอลูกเลย”
“ไปอยู่กับแฟนเค้ารึเปล่า” ป้าตั๊กแตนออกความเห็น
เกริกฟังแล้วหน้าเสีย จักจั่นรีบเอ่ยขึ้น
“ไม่มั้ง..ฉันอ่านเจอข่าวซุบซิบ เขาว่าช่วงนี้คุณสรวงเมาตลอด เลิกกันกับกาวแล้วรึเปล่า”
“เหรอ” สายตาเกริกแอบยิ้มอย่างดีใจ
เช้าวันต่อมา สรวงเดินอาการเซนิดๆ เข้าออฟฟิศมา นพมองมาเห็น ดูสภาพก็ตกใจ
“ไม่สบายเหรอสรวง” นพรีบตรงเข้ามาหา พอเข้าใกล้จมูกก็ได้กลิ่นละมุดโชยหึ่ง “โห! ตกถังเหล้ามารึไงเนี่ย ไป..นั่งพักก่อน”
นพประคองสรวงเดินเข้าไปข้างใน
นพประคองสรวงพานอนบนโซฟาในที่ทำงาน
“นี่ดื่มแต่เช้าเลยเหรอ”
“นิดหน่อยครับ...” น้ำเสียงสรวงเนือยๆ ขณะนอนเอกเขนกท่าทีเบื่อๆ
“สรวงก็รู้มันไม่ใช่การแก้ปัญหา” นพเป็นห่วง
สรวงถอนหายใจหนักหน่วง “ผมรู้...แต่ผมไม่รู้จริงๆว่าผมจะแก้ปัญหาครั้งนี้ยังไง”
นพมองมาอย่างเห็นใจ
ไม่นานต่อมา มะยมเดินดิ่งออกมาพบนพที่รออยู่หน้าออฟฟิศ
“มีเรื่องอะไรเหรอคะคุณนพ..ถึงมาหามะยมถึงนี่”
“เรื่องคุณกาว....กับนายสรวง”
มะยมหน้าเสีย “อ้อ!งั้น...เชิญข้างนอกดีกว่าค่ะ”
สองคนเดินออกไป ที่ด้านหลังนิคเดินออกมามองดู สงสัยใคร่รู้ว่านพมาทำไมแต่เช้า
นพเดินคุยกับมะยมอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งนั้น ท่าทีของสองคนไม่สดชื่นนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเครียด เหมือนปิยะมิตรที่มาปรึกษาหารือ เพราะห่วงคนที่รัก
จังหวะหนึ่งมะยมเอ่ยขึ้นก่อน ใบหน้าเศร้าเสียงก็เศร้า
“อย่างที่เราคุยกันที่ทะเลน่ะค่ะ มะยมก็ไม่เข้าใจจริงๆ มันเกิดอะไรขึ้น กาวถึงได้เปลี่ยนไปเป็นอย่างนั้น”
“สรวงเสียใจมาก”
มะยมหน้าหมองลงไปอีก พูดเสียงเครือออกมา “ขนาดพ่อมีเมียน้อย มะยมยังเจ็บฝังใจมาจนถึงตอนนี้ แต่นี่....ผู้หญิงที่ตัวเองรัก...” สะเทือนใจจนน้ำตาคลอ พูดออกมาอย่างยากเย็น “เป็น...เป็น” กระแทกเสียงพูดออกมา “ผู้หญิงของพ่อตัวเอง” เสียงเครือหนัก “และถ้ามะยมหยาบคายกว่านี้ก็คงจะใช้คำอื่น” มะยมสุดจะกลั้นร้องไห้ออกมา “ดีแล้วค่ะที่คุณสรวงไม่กระอักเลือดตาย”
นพสงสารเอื้อมมือมาแตะไหล่มะยมเบาๆเป็นเชิงปลอบให้กำลังใจ
นิคตามมาเห็นภาพนั้นพอดี หน้าเจื่อน ตกใจ หลากหลายความรู้สึก อยากรู้ว่าสองคนคุยเรื่องอะไรกัน มะยมเป็นอะไร นพสนิทกับมะยมขนาดไหน หวงเพื่อน/น้อยใจเพื่อน มีอะไรทำไมไม่บอก
นิคเดินหน้าบึ้งออกมา เลยไม่ทันได้เห็นมะยมเบี่ยงตัวออก พร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“ตาย....กลายเป็นคุณนพต้องปลอบมะยม” มะยมฝืนยิ้มเต็มที่ และพยายามทำตัวให้สดใส “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ มะยมเพียงแค่ห่วงกาว สงสารคุณสรวง”
นพมองอย่างเอ็นดูแกมประทับใจ ว่าผู้หญิงคนนี้จิตใจดี และรักเพื่อนดีจัง
“ผมก็รู้สึกเหมือนมะยมนั่นแหละ” น้ำเสียงนพขณะพูดออกมาฟังดูจริงจัง “คนที่มาทีหลัง มีแต่ทุกข์”
มะยมพูดโดยที่ยังไม่ได้นึกถึงตัวเอง “เพราะคนที่มาทีหลัง ยังไงก็ผิดอยู่ดีโดย เฉพาะตำแหน่งอย่างกาว ..เราอย่าพูดถึงเรื่องเศร้าๆ เลยค่ะ คุยกันเรื่องสนุกๆ ดีกว่า”
สองคนเดินคุยกันไป
นพนั้น ไม่ได้สำเหนียกเลยว่า ในวันข้างหน้าคำพูด “คนมาทีหลัง” จะย้อนคืนมาใช้ในชีวิตเขา
ที่สวนสาธารณะแห่งเดียวกันนั้น ขณะกรรณนรีเดินทอดน่องมาในอารมณ์เศร้า นิคเดินหน้าบึ้งสวนมาตรงหน้า สองคนชะงัก ไม่ได้เจอกันนานแล้ว นิคปากไวค่อนขอดตามประสา
“นึกว่าแกจะมาเดินที่โลโซๆแถวนี้ไม่ได้ซะแล้ว”
กรรณนรีสะท้อนใจ บอกนิคเสียงเศร้า “ฉันยังคิดถึงทุกอย่างที่เกี่ยวกับพวกเรา”
นิคมองมาด้วยสายตาไม่เข้าใจ “แล้วทำไมแกถึงทำความทรงจำที่ดีๆ ให้มันหายไป”
“ฉันไม่รู้จะบอกพวกแกยังไง”
นิคเสียงดุพูดแกมด่า “ก็พูดมาสิ มีอะไรก็พูดออกมา แกจะหุบปากทำไม? หรือที่แกไม่พูด เพราะคิดคำพูดแก้ตัวที่สวยหรูยังไม่ได้”
“สิ่งที่ฉันทำไม่ใช่ฉันไม่เจ็บนะนิค ฉันเจ็บ ยิ่งพวกแกเกลียดฉัน ฉันก็ยิ่งเจ็บ แต่ ฉันพูดไม่ได้ พูดไม่ได้จริงๆ แกกลับมาเป็นเพื่อนที่เข้าใจฉันเหมือนเดิมได้มั้ย” กรรณนรีขยับเข้ามาหมายจะจับมือนิคขอร้อง
นิคสะบัดออกเสียงดังใส่ “ไม่ได้...เพราะฉันไม่เข้าใจสิ่งที่แกทำ” มองจ้องหน้า “แกมีความลับกับเพื่อน แกก็ไม่เห็นว่าพวกฉันเป็นเพื่อน แล้วแกจะมาเรียกร้องให้เหมือนเดิมทำไม”
กรรณนรีเสียใจจนร้องไห้ออกมา นิคมองอย่างสลด
“มะยมมันก็ร้องไห้เสียใจไม่ต่างจากแกหรอก แต่มะยมมันมีคุณนพคอยปลอบ ไม่เหมือนแก แกเลือกที่จะทิ้งคุณสรวงเอง”
นิคเดินหนีไป กรรณนรียืนนิ่งอึ้ง นึกทวนคำพูดนิค ก่อนรีบเดินไปในทางที่นิคเพิ่งเดินมา
ด้านนพกับมะยมนั่งเล่นด้วยกัน นพเล่นกีตาร์ เป็นบทเพลงซึ้ง เศร้า มะยมก็นั่งฟังแบบเศร้าๆ สองคนนั่งกันนิ่งๆ ถึงจะไม่พูดอะไรออกมาแต่ก็มองกันเข้าใจกัน เป็นมิตรภาพอันดีงามไม่มีเรื่องชู้สาวเจือปน
กรรณนรีเดินมา เห็นสองคนนั่งอยู่ด้วยกันอาการสนิทสนม แถมดีดกีตาร์ร้องเพลงอย่างซาบซึ้งในอารมณ์คนจีบกัน กรรณนรีตกใจยืนมองนิ่ง นึกถึงคำพูดสรวงที่เคยบอก
“ รู้ไว้ด้วย พี่นพมีลูกมีเมียแล้ว นอกซะจากเธอตั้งใจเป็นเมียน้อยเค้า”
กรรณนรีตกใจนึกเป็นห่วงเพื่อน “มะยม” ก้าวพรวดเข้าไปหา “มะยม”
มะยมกับนพหันมามองอย่างแปลกใจ ก่อนจะลุกขึ้น กรรณนรีกับมะยมสองคนเผชิญหน้ากัน มะยมมองกรรณนรียังโกรธอยู่ หันไปบอกนพ
“ไปค่ะคุณนพ บรรยากาศไม่ดีแล้ว ไปที่อื่นดีกว่า”
มะยมเดินไป นพเดินตาม กรรณนรีเรียกไว้
“เดี๋ยวมะยม ฉันมีเรื่องจะคุยกับแก”
มะยมแอบดีใจ “แกจะบอกใช่มั้ย ทำไมแกถึงไปยุ่งกับท่านอารักษ์”
กรรณนรีเงียบ มะยมเห็นสีหน้ากรรณนรีก็นึกรู้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นโกรธ เฉยชาและปั้นปึ่งใส่ทันที
“ถ้าไม่ใช่...ฉันก็ไม่มีอะไรต้องพูดกับแก”
มะยมเดินหนีไปกรรณนรีคว้าแขนไว้ มะยมสะบัดออก กรรณนรีคว้าแขนนพอ้อนวอน
“คุณนพช่วยพูดกับกับมะยมให้ฉันหน่อย”
มะยมหันมามองเห็นก็ยิ่งโกรธ ปัดมือกรรณนรีออก “กาว..แกนี่มันยังไง? เห็นผู้ชายเป็นไม่ได้”
“งั้นแกก็พูดกับฉันสิ...ฉันจะได้ไม่ต้องอ้อนวอนคุณนพ ให้ขอร้องแก”
“มีอะไรพูดจากันดีกว่าครับ”
มะยมมองหน้ากรรณนรีแบบไม่อยากเห็นหน้า จึงเดินเลี่ยงไปทางอื่น กรรณนรีตามติด
มะยมเดินมาหยุดยืนที่มุมหนึ่ง กรรณนรีตามมา
“มีอะไรก็ว่ามา” มะยมถาม
“แกกับคุณนพคบกันเหรอ”
มะยมหันขวับมองกรรณนรีตาขวาง “มันไม่เกี่ยวอะไรกับแก หรือแกอยากได้คุณนพอีก”
“คุณนพเค้ามีเมียแล้ว”
มะยม อึ้ง งง เพราะไม่เคยคิดหรือมองนพแง่ชู้สาวมาก่อน ย้อนถามกรรณนรี “มีแล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน”
“แกก็ด่าแต่ฉัน แต่แกก็เป็นซะเอง แย่งแฟนคนอื่น หน้าไม่อาย สุดท้ายแกก็เลือกที่จะเป็นเมียน้อย”
มะยมโกรธจัด ตบหน้ากรรณนรีอย่างแรงพร้อมกระชากคอขย้ำ น้ำเสียงตะคอก
“ใคร? ใครเป็นเมียน้อย ใคร?”
“ก็แกนั่นแหละ เมียน้อย”
“ปากเสีย” มะยมตบสุดแรง กรรณนรีล้มลง มะยมมองเหยียด “เน่าคนเดียวไม่พอ ยังโยน
ความเน่าให้คนอื่นอีก คนใจสกปรกตัวสกปรก อย่ามายุ่งกับฉันอีก” พร้อมกับเดินหนีไป
กรรณนรีเดินตามแต่รีบลุกจนเสียงหลัก ร่างถลาล้มพรวด หัวกระแทกหินอย่างแรง กรรณนรีร้องสุดเสียง
“โอ๊ย”
มะยมหันกลับมามองเห็นกรรณนรีหน้าคว่ำอยู่กับพื้น แว่บแรกนึกเป็นห่วง แต่ตัดใจเดินหนีอย่างไม่แยแส
มะยมเดินหนีมาเร็วๆ ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากเห็น แต่เสียงกรรณนรีร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดยังดังแว่วมา มะยมจำต้องเดินกลับไป
กรรณนรีนั่งก้มหน้าร้องโอดโอย เพราะรู้สึกเจ็บมาก จู่ๆ มือมะยมยื่นออกมา บอกเสียงดุ
“ลุก”
กรรณนรีเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความดีใจ “มะยม”
มะยมพูดเสียงมะนาวไม่มีน้ำ “หมาตกน้ำฉันยังช่วย นับประสาอะไรกับคน”
กรรณนรีชักสีหน้า แววตาเต็มไปด้วยความเสียใจ “แต่สำหรับฉัน แกคือเพื่อนที่ฉันรักมากที่สุด...ไม่เป็นไร ฉันล้มเอง ฉันก็ต้องลุกเอง ในเมื่อวันนี้ฉันไม่เหลือใคร”
“ใช่!แกไม่เหลือใคร เพราะแกทำตัวเอง”
มะยมบอกเสียงเครือ เดินหนีน้ำตาไหลพราก ทั้งเสียใจและน้อยใจ ไม่หันมอง กรรณนรีที่ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจเช่นกัน
เห็นมะยมเดินมาน้ำตาไหลพราก นพตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นคุณมะยม”
“ไม่มีอะไรค่ะ...กลับกันเถอะ”
มะยมเดินลิ่วไปเลย นพเหลียวมองไปทางที่มะยมเดินมา แต่ไม่เห็นกรรณนรี นพเดินตามมะยมไป
ด้านกรรณนรีเดินขากระเผลก หัวเจ็บ ร้องไห้มาตามทาง อย่างเดียวดายอ้างว้าง เหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก
ขณะที่สรวงนั่งทำงานอยู่ นพเดินมาเคาะประตู สรวงเงยหน้าขึ้นมอง นพปิดประตู บอก
“พี่ไปหาคุณมะยมมา เจอคุณกาวด้วย...ไม่น่าเลยที่เพื่อนรักจะมาทะเลาะ”
“เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความร้ายกาจของกรรณรี” สรวงสรุปอย่างโกรธๆ ก่อนบอกนพ “เลิกงานไปดื่มกันนะพี่
สรวงมาเที่ยวผับกับนพ สรวงเอาแต่นั่งดื่มเหล้าเผากลุ้ม ราวกับดื่มน้ำแก้วต่อแก้ว นพต้องปราม
“เฮ้ย!พอแล้ว พี่พามาดื่ม ไม่ได้พามาอาบ”
“แต่ผมอยากเมา.. สนุกด้วยกันดีกว่าพี่นพ...เอ้า! ชน”
นพชนไปงั้นๆ แต่สรวงดื่มยกดื่มรวดเดียวอีก นพมองอย่างเห็นใจก่อนจะลุกเดินเลี่ยงออกมา
นพเดินออกมาด้านหน้าผับ ท่าทางกลุ้มใจหนัก โทร.หามะยมที่ยังอยู่ในออฟฟิศ ง่วนกับงานพิมพ์ต้นฉบับ เสียงมือถือดัง มะยมรับน้ำเสียงสดใส
“ว่าไงคะคุณนพ”
นิคทำงานอยู่ข้างๆ ได้ยินหันไปมองมะยมยิ้มงงๆ เพราะน้ำเสียงสดใสเกิ๊น
“ขอโทษนะครับที่โทร.มากวนกลางดึก..คือ..นายสรวงแย่มาก”
มะยมอึ้ง สีหน้าฉงน “คุณสรวงเป็นอะไรคะ”
“ก็กลุ้มใจเรื่องคุณกาวตอนนี้เมาเละเทะอยู่ที่ผับ”
มะยมฟังแล้วทำหน้าไม่สบายใจ
มะยมเดินออกมาที่มุมหนึ่งของออฟฟิศ ท่าทีลังเลใจ ก่อนตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมา
กรรณนรีอยู่ที่คอนโด เห็นมะยมโทร.มา แต่ไม่กล้ารับ ไม่อยากทะเลาะให้เสียใจไปมากกว่านี้
ระหว่างนั้นนิคเดินตามออกมา เห็นมะยมออกอากาศโมโหและหงุดหงิด ก็นึกสงสัย
“มีอะไร”
“กาวมันไม่ยอมรับสาย”
“ถ้ามันไม่อยากคุยด้วย แกก็ไม่ต้องคุยกับมัน”
“ฉันไม่ได้อยากคุยกับมัน แต่ฉันเป็นห่วงคุณสรวง”
มะยมว่าพลางกดโทร.หาอีก แต่กรรณนรีก็ไม่รับเช่นเคย
“บ้าเอ๊ย! มันไม่ยอมรับสาย” มะยมหงุดหงิดหนัก
“ก็ส่งข้อความไป” นิคบอก
มะยมตัดสินใจส่งข้อความผ่านไลน์ กรรณนรีรับมาดู แล้วอ่าน
“ฉันไม่ได้อยากคุยกับแก ที่โทร.มาเพราะอยากคุยเรื่องคุณสรวง”
กรรณนรีร้อนใจ ตัดสินใจโทร.กลับไปทันควัน มะยมรับสายอย่างโมโห
“เหมือนอย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องผู้ชายแกคงไม่โทร.กลับ แต่ก็ยังดี อย่างน้อยฉันก็รู้ว่า คนไม่มียางอายอย่างแก ยังมีหัวใจอยู่”
“คุณสรวงเป็นอะไร” กรรณนรีโพล่งขึ้น
“ทุกข์ใจจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคนแกเพราะแก อยากรู้ว่าเป็นยังไงแกก็ไปที่...อลิสผับสิ หรือไปไม่ได้ เพราะต้องอยู่ออเซาะคอยปอกลอกคนแก่” มะยมวางสาย กรรณนรีหน้าซีดขาวราวกระดาษ
นิคปรบมือดังๆ มะยมหันขวับไปมอง
“ตบมือทำไม”
“รู้เลย...หญิงไทยถ้าตั้งใจด่า ไม่แพ้ชาติใดในโลก”
มะยมค้อนขวับ
กรรณนรีเดินแกมวิ่งเข้าไปในผับ ด้วยความเป็นห่วงสรวง กรรณนรีกวาดสายตามองไป
แล้วเห็นสรวงลุกเดินเซๆ ออกจากโต๊ะ โดยมีนพห้าม แต่สรวงไม่ฟัง ปัดมือออก
“ไม่เป็นไรพี่ผมไม่เมา...ผมแค่อยากสนุก..ผมอยากร้องเพลง” สรวงเดินไปที่เวทีขอกับนักดนตรี “ขอซักเพลงนะครับ”
สรวงรับไมค์มาร้องเพลง เนื้อหาอกหัก สรวงร้องออกมาอย่างขมขื่น กรรณนรียืนฟัง น้ำตาไหลพรากสงสารสรวงจับใจ หวนคิดถึงภาพวันคืนเก่าๆ ระหว่างตนกับสรวง แล้วน้ำตาของกรรณนรีก็ยิ่งไหลออกมา น้ำเสียงขมขื่นที่กลั่นออกมาจากความรู้สึกของสรวง กรีดแทงหัวใจกรรณนรีเต็มๆ
เวลาต่อมานพประคองสรวงที่เมาปลิ้นเดินออกมาที่รถ บอกอย่างเป็นห่วง
“ไง..บอกไม่ให้ดื่มเยอะ นี่เมาเละเทะเลย”
“ผมไม่มาวๆๆ”
“ขนาดไม่เมายังร้องซะสิบอัลบั้ม ถ้าเมาจะขนาดไหน เดี๋ยวพี่ไปส่ง ห้ามเมาแล้วขับ”
นพหยิบเอากุญแจรถมาจากสรวง ประคองพาเข้าไปนั่งในรถ สภาพคอพับคออ่อนหลับ
กรรณนรีเข้าไปช่วย “ฉันช่วยค่ะ”
นพมองเห็นเป็นกรรณนรีก็ยิ้มดีใจ “ผมดีใจที่คุณมา”
“เดี๋ยวฉันไปส่งคุณสรวงเองค่ะ”
นพยื่นกุญแจให้กรรณนรีพลางว่า “ฝากนายสรวงด้วยนะครับ”
กรรณนรียิ้มเยื้อนให้นพเป็นการรับคำ ก่อนขับรถพาสรวงออกไป นพมองตามยิ้มอย่างเอาใจช่วยเต็มที่
“ขอให้ลงเอยกันด้วยดีเถอะ”
กรรณนรีประคองสรวงที่เมามายแทบไม่ได้สติ พาเข้าไปในห้องนอนวางลงที่เตียง ในจังหวะนั้นเองร่างสูงใหญ่ของสรวงก็คว้าเอาร่างของกรรณนรีตามลงไปด้วยโดยไม่ตั้งใจ
สรวงพูดระบายเสียงแผ่วๆ “กรรณรี...ทำไม..ทำไมต้องเธอ”
กรรณนรีมองหน้าสรวง ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ “โธ่...คุณสรวง” กรรณนรียกมือลูบหน้าสรวงอย่างรักเหลือแสน
สรวงอาเจียนออกมา กรรณนรีตกใจ ลูบหน้าลูบตา ลับหลังไหล่ ปล่อยให้สรวงอาเจียนออกมา กรรณนรีวิ่งไปเอาผ้าเย็นมาซับหน้าซับตาให้
สรวงนอนแผ่ลงหมดแรง “ฉันรักเธอ....ฉันรักเธอ”
กรรณนรีจับมือสรวงมากุมไว้แนบกับแก้มร้องไห้ มองดูจนสรวงหลับไป กรรณนรีค่อยๆ ลุกเดินไปหยิบผ้าเย็น มาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ ก่อนจะหันมาทำความสะอาดห้อง โดยไม่มีความรังเกียจเลย
รุ่งเช้าพระอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า ทอแสงเรื่อเรือง สรวงลืมตาตื่นขึ้นมา เห็นกรรณนรีนอนซบหน้าหลับอยู่ในสภาพมือถือผ้าเย็นคาไว้ เหมือนคอยดูแลสรวงตลอดคืน
สรวงมองจ้อง นึกสะท้อนใจ ทั้งรัก ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด เอื้อมมือออกไปทำท่าจะลูบเรือนผม แต่ชะงัก สีหน้าเปลี่ยนแปรมาเป็นบึ้งตึง เมื่อมองแล้วเห็นว่าตนอยู่ที่คอนโดกรรณนรี สรวงลุกพรวดลงจากเตียง แรงขยับของสรวง ทำให้กรรณนรีรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
“คุณสรวง...ดีขึ้นแล้วเหรอคะ” กรรณนรีขยับตัวจะเข้าไปหา
สรวงมองมาอย่างดูถูก “ไม่ดี ตั้งแต่รู้ตัวว่า...ฉันได้มาอยู่ในที่สกปรกๆ” ชี้ห้อง “ตรงนี้”
กรรณนรีน้ำตาคลอเบ้า “ซักวันคุณจะเข้าใจ”
“จะเอาเหตุผลอะไรมาอ้าง ฉันก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอทำหรอก”
สรวงเดินออกไป กรรณนรีผวาเข้าไปกอดสรวงเอาไว้ ร้องไห้สะอึกสะอื้น สรวงแกะมือออก
“ปล่อยฉัน ปล่อย”
“ฉันไม่ปล่อย” กอดสรวงไว้แน่นขึ้นอีก ร้องไห้ครวญคร่ำ “ทุกวันนี้ฉันอยู่อย่างทุกข์ทรมาน ไม่ได้ต่างจากคุณเลย”
สีหน้าสรวงขมขื่นเจ็บปวดใจ มือที่จะแกะมือกรรณนรีออก อ่อนยวบลง กุมไว้เฉยๆ
กรรณนรีอ้อน “ขอฉันได้มั้ยคะคุณสรวง...หยุดเวลาไว้แค่นี้...เหมือนที่คุณเคยบอก ว่ามีแค่คุณกับฉัน ฉันอยากดูแลคุณ...เหมือนวันที่คุณดูแลฉัน...ขอฉันได้มั้ย?”
กรรณนรีมองสรวงด้วยแววตาอ้อนวอนอยู่อย่างนั้น
“ได้...ถ้าเธออยากดูแลฉัน”
กรรณนรียิ้มกว้าง ดีใจอย่างยิ่ง
เวลาต่อมากรรณนรีง่วนอยู่ในห้องครัว กำลังทำอาหารเช้าง่ายๆ ให้สรวง บรรยากาศหมางเมินและห่างเหินแตกต่างจากวันชื่นคืนสุขที่อยู่ทะเลสองคน
สรวงยืนหันหลังมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่มองกรรณนรีแม้แต่นิดเดียว กรรณนรีมองตาละห้อย เสียใจ น้อยใจ แต่ก็พยายามเข้าใจ ยกอาหารมาวางที่โต๊ะทานอาหาร
“คุณสรวงคะ....อาหารเสร็จแล้วค่ะ”
สรวงหันมามองบอกเสียงเรียบ “น่ากินดีนี่”
“งั้นคุณสรวงทานเยอะๆ นะคะ”
กรรณนรียิ้มละไม พลางยื่นจานไปให้ สรวงรับจานข้าวมาจับช้อนรวบ กรรณนรีมองอย่างดีใจ แต่แล้วสรวงกลับทำร้ายน้ำใจ ด้วยการเดินไปเทอาหารทิ้งใส่ถังขยะ อย่างไม่ใยดี
กรรณนรีตกใจ น้อยใจ หน้าซีดเผือด จู่ๆ น้ำตาเจ้ากรรมก็รินไหลออกมาด้วยความเสียใจ
“ทำไมคุณสรวงทำอย่างนี้ ไหนว่าจะให้ฉันดูแล”
สรวงทำปั้นปึ่งเฉยชาใส่ พร้อมกับพูดเย้ยหยัน “เธออยากดูแลฉัน แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันอยากให้เธอดูแล...” เดินออกไป กรรณนรีจะตาม สรวงบอกด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบในท่าทีอันเฉยชา “หยุดอยู่ตรงนั้น..อย่าเข้ามา เธอสกปรก เกินกว่าจะอยู่ใกล้ฉัน กรรณรี”
พูดจบสรวงก็เดินออกไป กรรณนรีร้องไห้โฮถลาตาม
ขณะที่สรวงกำลังก้าวออกไป อารักษ์เดินเข้ามาพอดี พออารักษ์เห็นลูกชายก็ตกใจ
“สรวงมาที่นี่ทำไม”
สรวงยิ้มเย้ยอยู่ในที “คุณพ่อก็น่าจะทราบนี่ครับ ว่าที่นี่มีอะไร”
“แกหมายความว่า...?”
สรวงกวาดตามองคอนโด “มากไปหน่อยนะครับ ที่คุณพ่อลงทุนกับผู้หญิงราคาถูกพรรณ์นั้น”
กรรณนรีวิ่งร้องไห้ออกมา เห็นสรวงเผชิญหน้ากับอารักษ์ ก็ตกใจ อารักษ์กราดตามอง
กรรณนรีสลับสรวง เห็นกรรณนรีร้องไห้ นายพลอารักษ์มองลูกชายอย่างโมโห
“แกทำอะไรหนูศุภาวีร์” สรวงกับกรรณนรีนิ่งเงียบ อารักษ์ยิ่งโกรธตรงเข้ามากระชากคอเสื้อสรวง คาดคั้น “ฉันถามว่าแกทำอะไร หนูศุภาวีร์ถึงได้ร้องไห้”
สรวงเย้ยหยัน “คุณพ่อถามเค้าเองสิครับ”
“มันรังแกหนูใช่มั้ย? ไอ้สรวงมันรังแกหนูใช่มั้ย? เจ้าสรวง”
อารักษ์ต่อยโครมเข้าที่ใบหน้าสรวงด้วยความโกรธ ไม่ใช่ด้วยอารมณ์หึงหวง เพราะอารักษ์ไม่เคยรู้ว่าสรวงกับกรรณนรีรักกัน รู้แค่โกรธที่สรวงมายุ่งกับผู้หญิงของตัวเอง สรวงซวนเซไปตามแรง กรรณนรีตกใจ สีหน้าห่วงมาก
“อย่าค่ะท่าน อย่าทำคุณสรวง” วิ่งเอาตัวมาขวางกันสรวงไว้
อารักษ์มองอย่างไม่พอใจ แววตาระแวง “นี่มันอะไรกันหนูศุ ? ทำไมหนูถึงห่วงเจ้าสรวง..หรือว่าหนูกับมัน...”
“ไม่ค่ะ....หนูกับคุณสรวงไม่ได้มีอะไรกัน” กรรณนรีพูดเสียงดัง
สรวงมองกรรณนรี ทั้งเสียใจและผิดหวัง อารักษ์มองกรรณนรี
“งั้นก็แปลว่า ลูกชายฉันมันมายุ่งกับหนูเอง....” อารักษ์เหลียวมองมายังสรวง “กลับไปเดี๋ยวนี้นะสรวง แล้วต่อไปอย่ามาสร้างความรำคาญให้หนูศุอีก”
“ผมน่ะเหรอครับสร้างความรำคาญให้กับเค้า” สรวงยิ้มเยาะ พูดวาจาเย้ยหวัน “ถ้ารำคาญจริงๆ...เค้าคงไม่พาผมพาและอ้อนวอนให้ผมอยู่”
อารักษ์มองกรรณนรีอย่างผิดหวัง และตกใจ “จริงเหรอหนูศุ” กรรณนรีเงียบกริบ
“ดีนะครับที่เป็นผม...ถ้าเป็นคนอื่น พ่อถูกสวมเขาไปแล้ว”
สรวงเดินหนีไป อารักษ์มองจ้องกรรณนรีท่าทีโกรธจัด...กระชากแขนกรรณนรีอย่างจนตัวปลิว
“เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ศุภาวีร์”
สรวงเดินไป ได้ยินเต็มสองหู แต่ตัดใจเดินออกไป ทั้งที่ใจว้าวุ่น
สรวงเดินออกมาหน้าคอนโด โทรศัพท์หาภาพิศ ที่เดินเข้ามาอีกมุม
“คะคุณสรวง”
“คุณพ่ออยู่ที่คอนโด ตอนนี้คุณอยู่ไหน?”
“ฉันก็มาที่คอนโดเหมือนกันค่ะ”
“งั้นคุณรีบขึ้นไป เร็ว!”
สรวงวางสาย ภาพิศใจเต้นระรัว ตรงดิ่งเข้าไปในคอนโด
เวลานั้นอารักษ์ผลักกรรณนรีเข้าไปในห้อง ปิดประตู และลากกรรณนรีขึ้นไปบนเตียง มองมาด้วยสายตาอันน่ากลัว
“ที่ผ่านมาฉันคงใจดีกับหนูมากเกินไป งั้นวันนี้ฉันจะไม่ใจดีแล้วนะ”
อารักษ์ขยับตัวเข้าหา กรรณนรีถอยหลังร่นอยู่บนเตียง จนหลังชิดติดหัวเตียง กรรณนรีมีท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“อย่าทำอะไรฉันนะ”
“อย่าอ้อนวอนให้เสียเวลาเลยหนู...มันไม่มีประโยชน์”
อารักษ์ตรงเข้าไปหมายจะปลุกปล้ำกรรณนรีอย่างหื่นหิว กรรณนรีร้องสุดเสียง
“ปล่อยฉันนะ ปล่อย ..ปล่อย” พร้อมกับดิ้นรนขัดขืนสุดแรงเกิด
ตรงทางเดินในคอนโดยามนั้น ภาพิศเดินมาท่วงท่าเยือกเย็นงามสง่า แต่ดวงตาลุกเป็นไฟ
ส่วนในห้องอารักษ์ใช้แรงกำลังปลุกปล้ำกรรณนรี ขณะที่กรรณนรีขัดขืน ร้องห้าม ทั้งเตะ ถีบ ถองสู้ตาย อารักษ์ถูกยันก็โกรธมาก
“หนูทำให้ฉันโมโห”
อารักษ์กระชากร่างกรรณนรีเข้ามา เป็นจังหวะที่ภาพิศไขกุญแจห้องเข้ามา ในจังหวะที่อารักษ์
พยายามจะปล้ำขืนใจกรรณนรี ประตูเปิดเข้ามาภาพิศเห็นพอดี ตกใจมาก
“ท่าน”
อารักษ์ผละออกจากกรรณนรี ภาพิศเห็นกรรณนรี ก็บันดาลโทสะตรงมาผลักร่างอารักษ์ออก
ตบหน้ากรรณนรีเต็มแรง และทำท่าจะเข้าไปขย้ำอย่างบ้าคลั่ง อารักษ์ตะโกนก้อง
“หยุด!” พร้อมกับกระชากร่างภาพิศออกมา และตบหน้าอย่างแรง
ภาพิศถลาล้มลง เอามือกุมท้อง ร้องไห้โฮ “ท่านตบภา”
กรรณนรีใจหายวาบ ทำท่าจะเข้าไปช่วยภาพิศ แต่นึกได้ รีบควานหยิบมือถือมาถ่ายคลิปเอาไว้
“ฉันจะทำมากกว่านี้อีก ถ้าเธอมายุ่งกับหนูศุ” อารักษ์จ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ภาพิศร้องไห้สะอึกสะอื้น “แต่ภาเป็นเมียท่าน และภาก็กำลังมีลูกกับท่าน”
“แต่ฉันบอกเลิกเธอไปแล้ว และฉันก็ไล่เธอออกจากบ้านไปแล้ว” อารักษ์ไม่แยแส บอกเสียงเข้ม ขู่อยู่ในที “ไปให้พ้นจากชีวิตฉัน และอย่ามายุ่งกับหนูศุอีกเป็นอันขาด” พร้อมกับปราดเข้าหาภาพิศ จ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง “ไม่อย่างนั้น เธอจะเจอมากกว่านี้”
ภาพิศมองอารักษ์ด้วยแววตาเจ็บปวดร้าวราน แล้วเหลียวมองมายังกรรณนรีอย่างโกรธแค้น กรรณนรีหลบวูบ รีบเอามือบังใบหน้า
อารักษ์เห็นสายตาอาฆาตของภาพิศก็ยิ่งโกรธ ตวาดลั่น “ไป๊”
ภาพิศร้องไห้เอามือกุมท้อง มองกรรณนรีด้วยแววตาอาฆาตแค้น ก่อนจะเดินออกไป
อารักษ์จะเข้ามาหา กรรณนรีถอยกรูด บอกเสียงเข้ม
“ออกไป”
“หนู...ฉันขอโทษ”
“ถ้าท่านไม่จัดการเรื่องที่หนูขอให้เรียบร้อย อย่ามายุ่งกับหนูอีก”
อารักษ์คราง “หนู”
กรรณนรีตะเพิดซ้ำ “ออกไป๊ ไม่งั้นหนูจะบอกนักข่าวว่าท่านรังแกหนู”
อารักษ์เห็นกรรณนรีเอาจริงจึงยอมเดินออกไป
ภาพิศเดินซมซานไปยังรถเอามือกุมท้อง หัวใจแหลกสลาย ในดวงตามีแต่แววอาฆาต
“นังศุภาวีร์ ฉันเกลียดแก!”
ขณะเดียวกันกรรณนรีอยู่ในห้อง แววตาแข็งกร้าววาววับ เหมือนมีแผนบางอย่าง คว้าโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะกดโทร.ออกหาใครบางคน
ไฟมาร ตอนที่ 10 (ต่อ)
สุขหฤทัยแวะมาหาคุณหญิงสุดาที่บ้าน ระหว่างที่สองคนเดินอยู่ด้วยกัน มือถือสุขหฤทัยดังขึ้น ไฮโซสาวแสบกดรับสาย พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันแกมประชดประชันทุกวลี
“ท่านอารักษ์เลิกกับนังภาพิศแล้วเหรอจ๊ะศุภาวีร์”
กรรณนรีทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ แต่ต้องกดข่มความรู้สึกไว้ “ค่ะ”
สุขหฤทัยตาลุกวาวบอกสุดา “คุณหญิงแม่ขา..คุณพ่อเลิกกับนังภาพิศแล้วค่ะ”
สุดาตาวาวคว้ามือถือมาคุยเอง “สามีฉันเค้าก็เลิกกับนังภาพิศมันตั้งนานแล้วย่ะ มีแต่นังภาพิศที่ไม่ยอมเลิก”
กรรณนรีเสียงสั่นเครือนึกสงสารภาพิศ แต่นัยน์ตาวาววับโกรธเกลียดสองคน “คราวนี้ยังไงก็ต้องเลิกค่ะ”
สุขหฤทัยกับสุดามองหน้ากันอย่างสาแก่ใจ
คืนนั้นสามคนนัดเจอในร้านอาหารแห่งหนึ่ง กรรณนรียื่นมือถือให้สองคนดู สุขหฤทัยรีบคว้า มาเปิด เห็นเป็นเหตุการณ์ตอนที่อารักษ์ไล่ตะเพิดภาพิศ ก่อนจะยื่นให้สุดาดู สองคนมองแล้วยิ้มย่องอย่างดีใจ สุขหฤทัยหัวเราะเยาะ
“คุณพ่อไล่นังภาพิศออกจากบ้านจริงๆ ด้วย”
สุดายิ้มแต่ควบคุมอารมณ์ และคุมเกมว่าตัวเองเหนือกว่ากรรณนรี “แล้วนังภาพิศมันยอมออกรึเปล่าล่ะ”
กรรณนรีนิ่งอึ้ง ตอบไม่ได้ สุดาหัวเราะเยาะ
“คนหน้าด้านหน้าทนอย่างนังภาพิศ ยังไงมันก็ไม่ยอมออก เพราะฉะนั้น” สุดาจ้องหน้ากรรณนรี “ก็ยังถือว่าเธอยังทำไม่สำเร็จ”
สุขหฤทัยยิ้มเยาะอีก กรรณนรีตาวาวโกรธ สุดาหันไปพูดกับสุขหฤทัย แต่น้ำคำเยาะเย้ยกรรณนรี
“กลับเถอะจ้ะฤทัย แล้ววันหลัง ถ้าทำได้แค่นี้ ไม่ต้องชวนแม่มานะ เสียเวลา”
สุดากับสุขหฤทัยลุกเดินไป พร้อมด้วยรอยยิ้มเยาะอย่างสะใจ ปล่อยให้กรรณนรีเสียใจ และแค้นใจอยู่อย่างนั้น
สองคนเดินออกมายังลานจอดรถ หัวเราะเริงร่ามีความสุข
“โอ๊ย! ตะกี้ฤทัยต้องกลั้นหัวเราะแทบแย่ค่ะคุณหญิงแม่” สุขหฤทัยชอบอกชอบใจมาก
“แม่ก็เหมือนกัน..ยิ่งตอนเราเรียกนังภาพิศ หนูเห็นมั้ยลูก...นังกรรณรีมันทำหน้ายังกับจะกินเลือดกินเนื้อเรา”
“โอ๊ย! หน้าจืดๆ อย่างมัน โง่ก็โง่ทำอะไรเราไม่ได้หรอกค่ะ”
สองคนเม้าท์เพลิน จึงไม่รู้ว่าที่ด้านหลัง กรรณนรีเดินตามมาได้ยินทุกคำ นัยน์ตาวาวโรจน์ ขณะที่สุดาเยาะหยันอีก
“อย่าเก่งมันก็ทำได้แค่...แย่งสามีแม่มัน..แล้วก็ต้องเป็นเมียน้อยเหมือนแม่มัน”
“ยุให้แม่ลูกทะเลาะกันเพราะผู้ชายสนุกจะตาย”
สองคนหัวเราะชอบใจ กรรณนรีโกรธจัด คำรามออกมา
“เลว”
พูดแค่นั้นกรรณนรีก็กระโจนเข้าหาสุดา จิกผมแล้วตบอย่างแรง สุดาร้องลั่นไม่ทันตั้งตัว
กรรณนรีกระโจนขย้ำตบอีกหลายฉาด สุดาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด สุขหฤทัยตกใจหันมาผลักกรรณนรี
“หยุดนะนังบ้า”
กรรณนรีไม่ยอมปล่อยสุดา สุขหฤทัยกระชากผมกรรณนรีดึงออกมาตบ กรรณนรีจำต้องปล่อยสุดา จับมือสุขหฤทัยแกะออกจากหัวตัวเอง สุขหฤทัยล็อกกรรณนรีเอาไว้ตะโกนบอกสุดา
“ตบมันเลยค่ะตบมันเลย”
สุดาจ้องมองหน้ากรรณนรี ก่อนจะตบอย่างแรงสองฉาดซ้อน กรรณนรีหน้าหัน
สุดาไม่หนำใจจับคางกรรณนรีบีบแรงๆ “รู้ไว้ด้วย...ว่าฉันก็เคยตบหน้าแม่แกแบบนี้...” ผลักหน้าออก
สุขหฤทัยกระชากผมกรรณให้แหงนหงายขึ้นมา กรรณนรีมองจ้องสองคนอย่างอาฆาตแค้น สุขหฤทัยเย้ย
“เธอเสียโง่ฉันแล้ว รู้ไว้...นอกจากคลิปพี่ชายเธอ ยังมีคลิปเธอกับท่านอารักษ์อีก แล้วเธอคิดดู้....ถ้าพ่อเธอเห็น สรวงเห็นจะเป็นยังไง?” กรรณนรีมองจ้องสุขหฤทัย ในขณะที่สุขหฤทัยก็จ้องกลับ “เลือกเอา จะทำลายนังภาพิศ หรือตัวเธอเอง”
สุขหฤทัยผลักหน้ากรรณนรีออกอย่างแรง จนร่างเซล้มลงไปกับพื้น กรรณนรีเงยหน้าขึ้นมามองสองคนอย่างจดจำ ดวงตาวาววับ แต่ทำอะไรไม่ได้ สุดาเย้ยอีก
“ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่คิดอะไรเลย...เพราะนังภาพิศ มันไม่เคยนับว่าเธอเป็นลูกมันอยู่แล้ว” สุดาถือโอกาสเสี้ยมเสียงเข้ม “ได้ที เอาคืนมันสิกรรณรี” หัวเราะร่าอย่างสะใจ
สุดาเดินออกไป สุขหฤทัยเดินตาม แทบจะเหยียบมือกรรณนรี กรรณนรีนั่งนิ่งร้องไห้ น้ำตาไหลพราก ด้วยความคับแค้นใจ
กรรณนรีเดินอยู่คนเดียวที่ข้างทาง ล้วงมือถือออกมาจากระเป๋า เปิดฟังเสียงของสุดาและสุขหฤทัยจากเหตุการณ์เมื่อครู่ กรรณนรีนิ่งฟัง น้ำเสียงน้ำคำของสองนางมารชัดเจนทุกถ้อยคำ
สายตากรรณนรีวาววับเจิดจ้า เหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ
คืนเดียวกันนั้น ภาพิศอยู่ที่บ้าน คุยโทรศัพท์ปรับทุกข์อยู่กับแฉล้ม
“ฉันไม่คิดเลยจริงๆ คุณแฉล้ม ว่าชีวิตฉันจะต้องเจอเรื่องแบบนี้”
แฉล้มเบ้ปาก คิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ “คุณจะไปคิดมากอาไร้ เวลาผู้ชายหลง มันก็เป็นอย่างนี้กันทุกคน ปุบปับๆ ทิ้งคนเก่าแบบไม่ให้ตั้งตัว...”
ภาพิศท้วง “นั่นเด็กนั่นมันร้ายมาก”
“คนมาทีหลัง มันก็ร้ายทุกคน ไม่งั้นมันจะแย่งของๆ คนอื่นได้เหรอ?..หรือคุณว่าไม่จริง” แฉล้มย้อนเอา
ภาพิศฉุนนิดๆ “นี่ฉันไม่ได้โทร.มาให้คุณด่าฉันนะ”
แฉล้มยิ้มทำทีเป็นขำกลบเกลื่อน “ฉันก็ไม่ได้ด่าคุณ..แค่พูดให้ฟัง คุณจะได้มองเห็นสัจธรรม เก่าไป ใหม่มา มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่จะไม่ธรรมดาก็ได้นะ..ถ้าคุณจะลุกขึ้นมาเขี่ยผู้ชายทิ้งบ้างน่ะ”
“จะให้ฉันทิ้งได้ยังไง ท่านมีพร้อมทุกอย่าง ทั้งชื่อเสียงเกียรติยศ ฐานะเงินทอง”
“นั่นไง! ผู้หญิงส่วนมากก็คิดเหมือนคุณไง ถึงต้องนอนกอดเนื้อเน่าๆ เก็บเอาไว้ หวงเอาไว้ ทั้งๆ ที่ควรจะเหวี่ยงทิ้งไปแล้วตั้งนาน...เอาน่า...ปล่อยวางไม่ได้ คุณก็ต้องรับสภาพแบบนี้ล่ะ ผู้หญิงกับผู้หญิงฟาดฟันห้ำหั่นกันเอง แล้วผู้ชายชั่วๆ ก็ลอยตัว”
แฉล้มวางสายอย่างรำคาญ คิดในใจ ทำไมคิดไม่ได้ จะอะไรนักหนา
ภาพิศวางสายด้วยสีหน้าหงุดหงิด และยิ่งอารมณ์เสียเมื่อมองไปเห็นภาพในกล้องวงจรปิด เห็นกรรณนรีเดินเตร่อยู่ที่หน้าบ้าน
“นี่กล้าบุกมาถึงที่นี่เลยเหรอ นังศุภาวีร์”
ภาพิศตาเขียวปั๊ด ยิ่งเอ็นดูมาก ก็ยิ่งโกรธเกลียดมาก เป็นทวีคูณ
กรรณนรียืนลังเลอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน เหตุการณ์ตอนถูกภาพิศจิกตบผุดขึ้นมาหลอนหลอก ขณะที่ทำท่าจะกดออด ภาพิศก็เปิดประตูออกมา มองกราดด้วยสายตาดุดัน
“อย่าแตะต้องของๆฉันให้เป็นเสนียด”
กรรณนรีมองมาอย่างเสียใจ “ฉันรู้ว่าตอนนี้ คุณโกรธ คุณเกลียดฉันมาก...แต่ฉันอยากมา
บอกให้คุณรู้...ตอนนี้เราสองคนกำลังตกเป็นเหยื่อของคุณหญิงสุดา”
ภาพิศยิ้มเย้ยในน้ำเสียงหยัน “เหรอ?...งั้นเธอก็ถอนตัวไปจากท่านอารักษ์สิ”
กรรณนรีอึ้ง จุก เจ็บ ที่แม่เข้าใจผิดมากขึ้นๆ ภาพิศมองอย่างโกรธแค้น
“ทำไม่ได้ เพราะใจจริงแล้ว เธอก็อยากได้ท่านไปจริงๆ” กรรณนรียืนนิ่งเป็นหุ่นปั้น ภาพิศเดิน
วนรอบตัว ปรายตามองอย่างดูถูกดูแคลน “ฉันแปลกใจเธอมากเลยนะ คุณสรวง เธอไม่เอา ได้..ในเมื่อเธออยากได้ คนแก่เนื้อเน่าๆ อย่างท่านอารักษ์” ภาพิศพูดพลางเหยียดยิ้ม “ฉันก็จะเอาคนหนุ่มเนื้อแน่นๆ อย่างคุณสรวงไว้เอง”
ภาพิศหยิบมือถือขึ้นมาอย่างใจเย็น ก่อนจะบีบเสียงเล่นละคร ร้องไห้ แต่ใบหน้ายิ้มยั่วกรรณนรีตลอดเวลา
“คุณสรวงขาหนูก้างมาไล่พี่ออกจากบ้านค่ะ” ภาพิศใส่จริตจัดเต็ม “พี่ไม่ไหวแล้ว...คุณสรวงช่วยพี่ด้วยนะคะ”
กรรณนรีตกตะลึง หน้าซีดเผือด
สรวงที่รับโทรศัพท์โกรธแค้นกรรณนรีมาก ขณะที่ภาพิศวางสายหันมาพูดกับกรรณนรี
“คุณสรวงเป็นคนใจอ่อน ใจดี เธอรู้ใช่มั้ย...ระหว่างฉันกับคุณสรวงจะเป็นยังไงต่อไป”
ภาพิศมองมาอย่างเย้ยหยัน กรรณนรีหน้าซีดขาวราวกระดาษ
กรรณนรีเดินแกมวิ่งไปตามทาง กลุ้มหนัก แก้ปัญหาไม่ตก
ภาพิศกลับเข้าในบ้านผุดยิ้มร้ายออกมาทางสีหน้า ทั้งเคียดแค้นและชิงชัยกรรณนรี แววตาเหมือนมีแผนบางอย่าง ภาพิศกดมือถือวางตั้งไว้ในมุมที่มันบันทึกภาพได้
สักครู่หนึ่งสรวงเดินเข้ามา ภาพิศทำท่าจะวิ่งถลาเข้าไปหา แต่แล้วกับแกล้งไม่มีแรง เหมือนจะเป็นลม สรวงตกใจรีบวิ่งเข้ามาประคอง
ภาพิศคว้าตัวสรวงไว้กอดแต่แกล้งบอก “พี่ไม่เป็นไรค่ะ...ไม่เป็นไร”
สรวงมองอย่างห่วงใย “แต่ท่าทางคุณแย่มาก”
ภาพิศบีบน้ำตาตีหน้าเศร้า “ที่ท่านไล่พี่ออกจากบ้าน พี่ยังเข้าใจว่าท่านโกรธ พอหายโกรธท่านก็เมตตาพี่เหมือนเดิม แต่พี่ไม่เข้าใจ ว่าหนูก้างจะมาเยาะเย้ยถากถาง มาไล่พี่ออกจากบ้านทำไม? น่าจะเห็นใจพี่กับลูกบ้าง”
“คุณภาพิศพักผ่อนเยอะๆ นะครับ ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวผมจัดการให้เอง”
“ขอบคุณค่ะคุณสรวง ขอบคุณ”
ภาพิศพูดเท่านั้นก็ซบหน้าลงกับอกสรวง เหมือนคนเสียขวัญ แต่แววตาร้ายกาจ
ด้านกรรณนรีเดินตามทาง เสียงมือถือดัง กรรณนรีรับมาเปิดดู เห็นเป็นคลิปภาพิศออเซาะสรวง กรรณนรีมองอย่างตกใจ มือไม้เย็นเฉียบ เสียงมือถือดังอีก กรรณนรีรับ
ภาพิศยิ้มเย้ยพลางว่า
“นี่แค่เบา..เบาเท่านั้น....ต่อไป..เธอจะไม่เหลือใครเลยศุภาวีร์”
กรรณนรีวางสายด้วยความเสียใจ ภาพิศเองก็เสียใจไม่ต่างกัน
ค่ำนั้นที่บริเวณริมน้ำ กรรณนรีนั่งอยู่อย่างเดียวดาย สีหน้าเครียดหนัก ทุกข์ใจเหลือแสน ยิ่งคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ยิ่งเครียด มองรูปภาพิศกับสรวงในมือถืออย่างหนักใจ ไม่ได้หึงหวงภาพิศแม้สักน้อย แต่หนักใจที่เรื่องบานปลายและยุ่งเหยิงมากขึ้นทุกวัน กรรณนรีหน้านิ่วคิ้วขมวด คิดไม่ตก
ขณะเดียวกัน กาวินทร์นั่งหงุดหงิดอยู่ที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะหยิบมือถือมากดหาน้องสาว
กรรณนรียังอยู่ที่ริมน้ำ หญิงสาวสะดุ้งเมื่อเห็นเป็นเบอร์กาวินทร์ ยิ่งกลุ้มหนัก แต่มือถือดังไม่หยุด จำต้องรับ
“ว่าไงพี่แก้ว”
กาวินทร์ทั้งโมโห ห่วงใย และดีใจ “รับได้แล้วเหรอ? นี่กาวหายไปไหนมา? ติดต่อก็ไม่ได้..พี่ต้องโกหกพ่อแทบแย่”
กรรณนรีหน้าเนือยๆ น้ำเสียงเหนื่อยใจ “มีเรื่อง...พี่แก้ว”
กาวินทร์ตกใจ “เรื่องอะไร”
ไม่นานต่อมา สองพี่น้องยืนคุยกันอยู่ที่ริมน้ำ กาวินทร์หน้าเครียดหลังฟังจบ
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้กาวทำไมไม่บอกพี่..แล้วนี่ยังไง? เดินตามเกมของพวกมันจนเรื่องยุ่งไปหมด”
“กาวขอโทษ...ตอนนั้นกาวทั้งโกรธทั้งตกใจ กลัวพ่อรู้ กลัวพี่แก้วอาย อยากแก้แค้นให้แม่ กลัวคุณสรวงจะเสียใจ ทุกอย่างมันผสมปนเปในหัวไปหมด เลยทำอะไรโง่ๆ โดยไม่ทันคิด”
“กาวไม่โง่หรอก...คนฉลาดต่างก็เคยพลาดมาแล้วทั้งนั้น” กาวินทร์รู้สึกผิดพูดเสียงแผ่ว “พี่เอง
นั่นแหละผิดที่เป็นต้นเหตุความยุ่งยากทุกอย่าง” ลูบผมน้องสาวแบบแมนๆ “ไม่ต้องห่วงนะน้อง พี่จะหาทางเอาคืนคนพวกนั้นให้เจ็บแสบที่สุด”
“กาวไม่ให้พี่แก้วทำคนเดียว กาวจะเอาคืนพวกมันด้วย...คนพวกนั้นจะต้องเจ็บปวดอย่างที่สุด”
สองพี่น้องมองหน้ากัน แววตาโกรธแค้นชิงชังสุขหฤทัยและสุดาเหลือแสน
คืนเดียวกันนั้นสุขหฤทัยลั้นลา คุยหัวอยู่กับเพื่อนที่ผับประจำอย่างมีความสุข
“คืนนี้ฉันกลับแล้วนะ แล้วเจอกัน” สุขหฤทัยเดินออกไปเลย
กาวินทร์เดินเข้ามาอีกทาง ตรงเข้ามาถามกับก๊วนเพื่อน “สุขฤทัยมาที่นี่มั้ย”
“เพิ่งเดินออกไปตะกี้นี้เอง”
กาวินทร์ตามออกไปทันที
กาวินทร์วิ่งออกมาหน้าผับ เห็นรถของสุขหฤทัยกำลังเลี้ยวออกไป กาวินทร์ร้องตะโกนเรียกไว้
“คุณฤทัยๆๆ” แต่สุขหฤทัยไม่ได้ยิน กาวินทร์กดมือถือโทร.หา นางมารร้ายไม่รับ
“บ้าเอ๊ย! ไม่รับ แกล้งกันนี่หว่า”
กาวินทร์สบถออกมา ยืนหงุดหงิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นสรวงเดินเข้าไปด้านในผับ
“คุณสรวง” กาวินทร์รีบตามเข้าไปทันที
สรวงยกแก้วขึ้นจะดื่ม...กาวินทร์เดินเข้าไปหา
“ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”
สรวงหันไปมองกาวินทร์ มองดุ “แต่ผมไม่อยากคุยกับคุณ”
พูดจบสรวงถือแก้วเหล้าเดินหนี กาวินทร์ตามไปอย่างโมโห
“ถ้าคุณไม่ฟัง คุณจะรู้เรื่องอะไร”
สรวงเยาะหยัน “ก็รู้แล้วนี่... แม่ก็หน้าเงิน ลูกก็หน้าเงิน”
“คุณสรวง” กาวินทร์กระชากคอเสื้อเงื้อหมัดหมายจะชก แต่ค้างมือเอาไว้
สรวงมองสู้สายตา ไม่กลัวแต่อย่างใด “หรือไม่จริง? ไม่งั้น...ทั้งแม่ทั้งน้องคุณ...คงไม่มาเป็นเมียน้อยพ่อผมหรอก
กาวินทร์ขยับมืออีก คราวนี้สรวงเงื้อมือขึ้นทันควัน เพื่อนกาวินทร์กรูเข้ามา 2-3 คน
“มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า” เพื่อน 1 ใน 3 ถาม
สรวงกับกาวินทร์ มองหน้ากัน สรวงแกะมือกาวินทร์ออก
“เอามือสกปรกของพวกคุณออกจากผม...ผมรังเกียจ” สรวงเดินหนีไปเลย
เพื่อนอีกคนถามกาวินทร์ “จะให้จัดการมั้ย”
กาวินทร์มองตาม เสียใจและเข้าใจ “ไม่....เค้าไม่ผิด เป็นความฉันผิดของฉันเอง”
กาวินทร์คว้าเหล้ามาดื่มดับกลุ้มใจ ขณะที่สรวงนั่งอยู่อีกมุม ดื่มเงียบๆ คนเดียว ทุกข์ไม่ต่างกัน
สรวงเดินเมาออกมาเตะโน่นเตะนี่ ระบายอารมณ์ตามประสาคนเมา แล้วเดินไปที่รถ กาวินทร์มองตาม นึกสะท้อนใจ
สรวงเดินออกมาหน้าผับ ก้าวมายืนพิงรถ สีหน้าขมขื่น ทุกข์ใจแสนสาหัส ก่อนที่หันไปชกเปรี้ยงเข้าที่รถ
“ทำไมต้องเป็นแบบนี้?” สรวงตะโกนก้อง
ด้านกาวินทร์ขับรถมาในอาการมึนๆ ขับมาได้สักระยะ มองไปด้านหน้า เห็นมาลินีเดินหิ้วของพะรุงพะรังอยู่คนเดียว กาวินทร์จอดรถ แล้วเดินลงไป มาลินีเห็นถอยกรูด กาวินทร์บอก
“ขึ้นรถ พี่จะไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ” มาลินีจะเดินหนี
กาวินทร์กระชากแขน “เอ๊ะ!มดนี่ยังไง? พี่บอกให้ขึ้นรถ ก็ขึ้นสิ”
มาลินีเบี่ยงตัวออก “พี่แก้วไม่มีสิทธิ์อะไรมาสั่งมด”
“ทำไมจะไม่มี” กาวินทร์มองจ้องตาสั่งเสียงเฉียบขาด “ขึ้นไปเดี๋ยวนี้...” มาลินีโกรธ กาวินทร์บอก “ถ้าไม่ขึ้นพี่อุ้ม”
มาลินีมองค้อนกาวินทร์ จำต้องขึ้นรถไปหน้างอง้ำ กาวินทร์ก็ขึ้นรถหน้างอเหมือนกัน
ไม่นานนักก็ถึงบ้านมาลินี กาวินทร์จอดรถ มาลินีคว้าของแล้ววิ่งหนีเข้าไปในบ้าน กาวินทร์ตามมาติดๆ มาลินีผลักประตูปิดไม่ยอมให้เข้า
“อย่าเข้ามานะพี่แก้ว”
“พี่จะเข้า” กาวินทร์ผลักอย่างแรงจนเข้ามาได้และปิดประตู มาลินีถอยหลังกรูดมองอย่างหวาดกลัว กาวินทร์พาลกระชากร่าง ถามขึ้นเสียง
“ทำไม?..ตั้งแต่ไปคบกับเจ้าภรต รังเกียจพี่เลยเหรอ”
“ใช่! เพราะพี่ภรตทำให้มดรู้ว่า...สุภาพบุรุษกับซาตาน ต่างกันยังไง”
กาวินทร์หัวเราะขำท่าทีเมาๆ “อ้อ! กำลังบอกว่าพี่เป็นซาตานใช่มั้ย?...” ขยับก้าวเข้ามาในระยะประชิด “งั้น...ซาตานตนนี้ ขอรังแกนางฟ้าหน่อยแล้วกัน” กระชากเข้ามา “ดูสิ..สุภาพบุรุษจะกลายเป็นซุปเปอร์แมนเหาะมาช่วยได้รึเปล่า”
กาวินทร์ปลุกปล้ำกอดจูบ มาลินีสู้ขาดใจ ทั้งผลักไส ทั้งร้อง
“อย่านะพี่แก้ว อย่า”
มาลินีคว้าข้าวของแถวนั้นมาฟาดกาวินทร์ ไม่ได้ต้องการทำร้ายให้บาดเจ็บแค่ต้องการหยุดกาวินทร์
แต่นั่นกลับยิ่งทำให้กาวินทร์โมโห “มด”
เสียงมือถือดังลั่น มาลินีคว้ามาดู
“พี่ภรตโทร.มา...จะให้มดบอกมั้ยว่าพี่แก้วทำเลวยังไง”
กาวินทร์ได้สติ มองอย่างขัดใจ มาลินีรับสายภรต
“ค่ะพี่ภรต....ตอนนี้มดอยู่กับพี่แก้ว”
ภรตอยู่ที่ไซต์งาน “อ้าวแก้วมาเหรอ”
“ค่ะ กำลังจะกลับพอดี”
กาวินทร์เหวอถูกไล่ทางอ้อม แล้วเปลี่ยนเป็นโกรธ ภรตบอกมาลินี
“นี่พรุ่งนี้วันหยุดพี่ ไปปิคนิกกันนะ”
“ได้เลยค่ะ เดี๋ยวมดจะจัดเตรียมอาหารไว้ แล้วเจอกันค่ะ” มาลินีวางสายไป
กาวินทร์ถามเสียงขุ่น “จะไปไหนกัน”
“ไม่จำเป็นที่มดต้องบอกพี่ กลับไปได้แล้ว แล้วไม่ต้องมาอีก บ้านนี้ไม่ต้อนรับพี่แก้ว”
กาวินทร์มองตาขวาง “ต้อนรับแต่ไอ้ภรตล่ะสิ”
“ค่ะ..เพราะพี่ภรตเป็นสุภาพบุรุษ”
กาวินทร์จะกระโจนเข้ามาอย่างไม่พอใจ “มด”
มาลินีพูดใส่หน้า “ไม่มีผู้หญิงคนไหน ชอบผู้ชายที่เอาแต่ใช้กำลังหรอกค่ะ”
มาลินีผลักกาวินทร์ให้ออกไป แล้วปิดประตูใส่หน้าดังโครม กาวินทร์โกรธจัด ที่มาลินี
กล้าทำอย่างนี้กับตน ส่วนมาลินียืนเสียใจอยู่หน้าประตูด้านในห้อง
สายวันต่อมา สรวงมาดักรอกรรณนรีที่หน้าคอนโด ทันทีที่เห็นกรรณรีเดินออกมา สรวงก็เดินตรงมาหาหน้าตาถมึงทึง กระชากกรรณนรีอย่างแรง
“เธอทำอย่างนี้ได้ยังไงกรรณรี”
“ฉันทำอะไรอีก?” กรรณนรีผลักมือสรวงออก
“ยังจะถาม...เธอแย่งพ่อจากคุณภาพิศไม่พอ ยังให้พ่อไล่เค้าออกจากบ้าน อีก ทั้งๆ ที่เธอก็รู้...ว่าเค้าท้อง เธอทำได้ยังไง ทำไมเธอใจดำอย่างนี้”
กรรณนรีมองจ้องหน้าย้อนถามกลับ “คุณคิดจริงๆ เหรอคะว่าฉันใจดำ ขนาดทำกับแม่อย่างนั้นได้”
“ได้ไม่ได้...เธอก็ทำไปแล้ว”
“ถ้าคุณเชื่อ คุณก็ไม่ต้องมาถามฉันอีก”
กรรณนรีผลุนผลันเดินไป สรวงกระชากกรรณนรีให้หันมา
“เธอยังไปไหนไม่ได้”
“คุณถือสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน...ในเมื่อคุณก็รู้ว่าฉันเป็นอะไรกับพ่อคุณ”
สรวงปล่อยมือจากกรรณนรี ขณะพูดดวงตามีแต่ความเจ็บช้ำ “ฉันลืมไป..ฉันไม่ควรทำอะไรแบบนี้กับผู้หญิงของพ่อ”
กรรณนรีมองหน้าสรวงแล้วน้ำตาเจ้ากรรมก็รินไหลออกมา กรรณนรีวิ่งหนีขึ้นแท็กซี่ไปทันที สรวงยืนนิ่ง แววตาปวดร้าว ไม่ยอมขยับตัวตาม
กรรณนรีลงจากแท็กซี่บริเวณสวนสาธารณะ ดวงหน้ายังมีความหม่นหมอง เดินเรื่อยเปื่อยเข้าไปในสวนหัวใจร้าวระบม
ขณะนั้นมาลินีกับภรตทำบาร์บีคิวแบบง่ายๆ ทานกัน ภรตยิ้มย้อนถามน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแบบไม่ถือสา
“มดพูดอย่างนั้น แก้วเกลียดพี่แน่ๆ”
“พี่แก้วจะได้ไม่นิสัยเสียไปกว่านี้ค่ะ” มาลินีหน้าหมองลง “ไม่งั้น พี่แก้วชอบเห็นว่ามดเป็นลูกไก่ในกำมือ จะบีบจะคั้นจะกำจะทำอะไรก็ได้” เสียงมาลินีเครือๆ ตอนท้ายประโยค
ภรตเย้า “มดอยู่ในกำมือตะหาก...มีแอบกัดด้วย”
มาลินีหัวเราะ “เบาๆ ค่ะ...” พลางหยิบอาหารให้ภรต “ลองชิมดูค่ะพี่ภรต สูตรใหม่ มดคิดเอง”
ภรตชิม “อร่อยๆๆ” สองคนนั่งเล่นคุยกัน
ขณะที่กรรณนรีเดินมาร่องรอยความเศร้าหมองฉายชัดเต็มหน้า เห็นมาลินีนั่งอยู่กับภรต โดยที่ภรตเป็นฝ่ายเห็นกรรณนรีก่อน ภรตอึ้ง หน้าตากรรณนรีเศร้า มาลินีเห็นสายตาภรต จึงเหลียวมองตาม เห็นกรรณนรีเดินหนีไปไม่ยอมทักทาย มาลินีกับภรตมองหน้ากันก่อนลุกเดินตามไป
กรรณนรีเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ริมน้ำ ใบหน้าหมองเศร้า ภรตกับมาลินีตามมาดู
“พี่ภรตไม่ถามกาวหน่อยเหรอคะ? ท่าทางกาวดูแย่มากเลย”
“พี่ก็เหมือนมดกับแก้วน่ะแหละ ไม่กล้าไปวุ่นวายมาก เดี๋ยวกาวจะรำคาญ ไปเหอะ”
ภรตเดินไปเหมือนตัดใจได้แล้ว มาลินีเดินตาม ทิ้งกรรณนรีให้ยืนเศร้าอยู่คนเดียว อย่างเดียวดาย
อ่านต่อหน้า 4
ไฟมาร ตอนที่ 10 (ต่อ)
เวลานั้น กาวินทร์นั่งทำงานอยู่ออฟฟิศในอาการ ฮึดฮัด ขัดใจไปมา และกลายเป็นอารมณ์เสียในที่สุด
“เธอกล้ากับพี่มากเกินไปแล้วมด” หยิบมือถือมาโทร.ออก
มาลินีกับภรตเดินเล่นอยู่ในสวน เสียงมือถือดัง มาลินีหยิบมาดู เห็นเป็นกาวินทร์ไม่รับ กาวินทร์ยิ่งโกรธหนัก จึงกดโทร.ออกอีก ในขณะที่ภรตถามมาลินี
“ทำไมไม่รับสาย” ภรตยิ้มอย่างรู้ทัน “แก้วโทร.มาเหรอ”
มาลินีบอก น้ำเสียงยังโกรธกาวินทร์อยู่ “ค่ะ”
“เดี๋ยวแก้วก็ต้องโทรฯมาหาพี่ คอยดู” พูดไม่ทันขาดคำ เสียงมือถือดัง ภรตหยิบมาดูแล้วหัวเราะร่า “นั่นไง ว่าแล้ว” พลางกดรับสาย “ว่าไงเพื่อน”
กาวินทร์หน้าหงิก “นายอยู่กับมดใช่มั้ย”
“ใช่...กำลังนั่งปิกนิคกันอยู่ที่สวนสาธารณะ แถวบ้านนั่นแหละ มากินด้วยกันสิ”
มาลินีหน้าง้ำร้องออกมาอย่างตกใจ “พี่ภรต”
“ได้..เดี๋ยวไป” กาวินทร์ลุกพรวดสีหน้าบึ้งตึง
มาลินีหน้างอ ไม่อยากเจอหน้า “ไม่รู้พี่ภรตจะชวนมาทำไม”
“กินกันหลายๆ คนสนุกดี”
ภรตยิ้มขำ ส่วนมาลินีหน้างออยู่อย่างนั้น
สรวงโทร.หา กรรณนรีอยู่ในสวนสวยที่เดิม มองอย่างลังเลและชั่งใจ ก่อนจะกดรับ และพูดประชดทันที ที่เคยถูกสรวงต่อว่า
“ไม่ต้องโทร.มาอีกนะคะ...ผู้หญิงสกปรกอย่างฉัน ไม่สมควรที่คุณจะพูดด้วยแม้แต่คำเดียว” กรรณนรีสะบัดหน้าเดินหนีจากตรงนั้น
“เธอเจอดีแน่ กรรณรี”
สรวงโกรธจัดคำรามออกมา พร้อมกับลุกพรวดออกไปจากห้องทำงานทันที
มาลินีกับภรตกำลังช่วยกันเก็บของ กาวินทร์เดินดิ่งเข้ามากลางวง อย่างคนพาลพาโล ปัดของในมือภรตมาลินีทิ้ง มาลินี กับภรตตกใจ ภรต ถามงงๆ
“เป็นบ้าอะไรของแกวะแก้ว ถึงทำแบบนี้?”
“อยากทำ” กาวินทร์มองมาลินีพูดน้ำเสียงถากถาง “ไง..อร่อยถึงใจเลยใช่มั้ย”
มาลินีโกรธมากที่กาวินทร์ดูหมิ่น “อย่ามาหยาบคายกับมดนะ”
คราวนี้กาวินทร์กระชากแขน “ทำไมจะทำไม่ได้” มาลินีร้อง “โอ๊ย”
ภรตสุดจะทนผลักกาวินทร์ออก “ไม่ได้ถ้าฉันยืนอยู่ตรงนี้”
“อ๋อ นี่แกคิดจะกินของเหลือเดนจากฉันเหรอวะ” กาวินทร์พาลหนัก
ภรตกับมาลินีตะลึง เอ่ยขึ้นพร้อมกัน “พี่แก้ว” / “ไอ้แก้ว”
ภรตบันดาลโทสะเงื้อหมัดต่อยเข้าที่ใบหน้ากาวินทร์อย่างจัง แต่กาวินทร์เซียนกว่า หันมาชกสวนกลับเข้าที่หน้าภรตเช่นกัน
สองหนุ่มต่อยกันอย่างไม่มีใครยอมใคร มาลินีได้แต่ร้องกรี๊ด กาวินทร์ซัดภรตจนล้มลง
มาลินีตกใจ “พี่ภรต” รีบเข้าไปประคองภรต มองกาวินทร์ตาขวาง “พี่แก้วเลวมาก”
สีหน้าแก้วสลดลงทันที ทั้งโกรธทั้งเสียใจ
“ถึงมดจะรักพี่ แต่เราไม่เคยมีอะไรกัน แล้วพี่มาพูดจาเหยียดหยามให้มดเสียหายทำไม? ความเป็นลูกผู้ชายของพี่หายไปไหนหมด”
กาวินทร์สลดลงไปอีก เสียใจ อับอาย หวงหึงมาลินีอยู่ในที ภรตลุกขึ้นจ้องหน้าแก้ว
“เราเพื่อนกัน ต่อยกัน ฉันไม่โกรธ แต่ฉันโกรธที่แกดูถูกมด”
ขาดคำภรตซัดเข้าที่หน้ากาวินทร์อย่างแรง จนถลาล้มลงไป กาวินทร์เหลียวขวับมามอง อย่างเสียใจ ภรตย้ำคำ
“อย่ามายุ่งกับมดอีก ไปมด” ภรตขู่ แล้วจูงมือมาลินีเดินไปเลย
กาวินทร์มองตามสองคน สายตามีความหวงแหนและเสียดายอยู่ในนั้น
กาวินทร์เดินมาอีกมุมของสวนสาธารณะแห่งนั้น ดวงหน้าหม่นหมอง กลุ้มเรื่องปัญหาสุขหฤทัย สลดใจเรื่องมาลินีหมางเมิน ไม่ได้เห็นความสำคัญกับตัวเองเหมือนเดิมแล้ว
เมื่อคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตก กาวินทร์จึงได้แต่ชกต้นไม้ระบายอารมณ์ตะโกนก้อง
“โธ่เว้ย”
ส่วนภาพิศยังไม่ยอมย้ายออกจากคฤหาสน์ บ่ายนั้นสุดาแวะมาหา ไม่ได้มาปรับทุกข์หรือหารือแต่อย่างใด แต่มาเพื่อเสี้ยม สุดาออกอาการโมโหกรรณนรีมาก
“พี่ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะ ว่าหน้าจืดๆอย่างนังเด็กนั่น มันจะกำแหงกล้าจิกหัวพี่ตบ”
“คุณหญิงพี่ก็คงน่าตบจริงๆ ล่ะสิคะ” ภาพิศแขวะ สุดาจ้องหน้า ภาพิศยิ้มน้อยๆ ก่อนจะว่าต่อ “ตามธรรมดาค่ะ คนมาก่อนกับคนมาทีหลัง ยังไงก็ต้องฟาดฟันกันอยู่แล้ว ที่ผ่านมาก็น้องกับคุณหญิงพี่ก็ใช่ย่อย”
“แต่ตอนนี้เราต้องร่วมมือกันนะคะคุณน้อง บอกตามตรงว่าพี่ไม่ไหว”
“น้องเข้าใจค่ะ คุณหญิงพี่แก่แล้ว จะไปสู้รบปรบมือกับใครก็คงไม่ได้ ไม่ต้องห่วงค่ะน้องจะจัดหนัก จัดเต็ม เอาแบบพิเศษ ครบเครื่องทุกอย่าง นังเด็กนั่นสู้เราสองคนไม่ได้หรอกค่ะ”
ฟังภาพิศพูดอย่างมั่นใจ สุดาลอบยิ้มอย่างพอใจ
ขณะที่ภาพิศก็แอบยิ้มสะใจ หมายมาดว่าจะใช้เรื่องกรรณนรีดึงสรวงมาเป็นพวกให้ได้
เย็นนั้นยินเสียงสรวง เอ็ดตะโรพนักงานลั่นออฟฟิศ ขวางตาขัดใจ ไม่พอใจทุกสิ่งอย่าง
“นี่พวกคุณใช้มือทำงานกันหรือเปล่า?” มองงานในคอมพ์ “นี่ก็เหมือนกัน...งานแบบนี้ผมจะคุยกับลูกค้าได้ยังไง?ไปทำมาใหม่ไป”
พนักงานลูกน้องเดินออกไป นพที่ยืนมองอยู่นาน บอกเตือนด้วยน้ำเสียงอาทร
“อย่าโกรธนะ...แต่พี่ว่า...สรวงใช้อารมณ์กับน้องๆ มันไม่ถูก”
สรวงชะงัก...เหมือนได้สติ นพรีบว่าต่อ
“แต่โอเคล่ะ...พี่ว่า...น้องๆ คงเข้าใจ เพราะที่ผ่านมาสรวงไม่เคยเป็นแบบนี้...ทุกคนรักชื่นชมสรวงมาก..สรวงไม่ควรทำให้ความรู้สึกน้องๆ เปลี่ยนไปไม่ใช่เหรอ”
สรวงอึ้ง นึกเสียใจ “มันก็จริง”
“เพราะฉะนั้น...มีอะไรค้างคาใจ ไม่ว่าเป็นเรื่องไหน...พี่อยากให้สรวงเคลียร์ ไม่ใช่เพื่อใคร...แต่เพื่อตัวสรวงเอง”
สรวงนิ่งฟังที่นพตักเตือนและคิดตาม
ตกกลางคืนกรรณนรีเดินหน้าซีดจะกลับขึ้นห้องที่คอนโด ดวงตามีรอยแดงช้ำเศร้า สรวงเดินเข้ามา พูดน้ำเสียงอ่อน พยายามคุมอารมณ์เต็มที่
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
กรรณนรีเสียงอ่อนอย่างคนเหนื่อยใจ “ระหว่างเราอย่าพูดคุยกันอีกเลยค่ะ มันไม่มีอะไรดีขึ้น
...มีแต่จะทำให้เรื่องทุกอย่างมันแย่ลง”
“แต่ฉันคิดไม่เหมือนเธอ เพียงแค่เราจะเปิดใจคุยกัน”
“คุณคิดอย่างนั้นจริงเหรอคะ” กรรณนรีจ้องหน้าชายเดียวในดวงใจ
สรวงพูดจริงจัง “จริง”
กรรณนรีมองสรวงอย่างดีใจ
ระหว่างนั้นภาพิศมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จู่ๆเดินเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน สีหน้าอ่อนล้าคำพูดเนือยๆ
“ไม่ต้องคุยอะไรหรอกค่ะคุณสรวง ไม่มีประโยชน์...ที่พี่มานี่...เพราะอยากบอกกับหนูศุ” หันมาหากรรณนรี “ถ้าหนูอยากจะแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉัน ฉันก็ให้ เพราะฉันสู้หนูไม่ได้ แต่ขอร้อง” ภาพิศเอามือกุมอาวุธ...ท้องที่โตขึ้นทุกวัน “อย่าทำลายลูกฉันเลยนะ เพราะเค้าเป็นสิ่งสุดท้ายที่มีค่าที่สุดสำหรับฉัน”
กรรณนรีมองอาการงวยงง ขณะที่ภาพิศทำท่าเหมือนจะเป็นลม และแล้วภาพิศก็ล้มลงไป สองคนตกใจ ร้องออกมาพร้อมกัน
“คุณภาพิศ” สรวงรีบประคอง กรรณนรีจะช่วย
“ฉันช่วยค่ะ”
สรวงตะคอก “ช่วยให้คุณภาพิศตายเร็วขึ้นน่ะสิ ไม่ต้องมายุ่ง”
พร้อมกันนั้นสรวงปัดมือกรรณนรีออก และประคองภาพิศออกไป กรรณนรีมองเป็นห่วง
ภาพิศลืมตาขึ้นมองสบตากรรณนรี ยิ้มเย้ย บอกให้รู้...การแข่งขันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว กรรณนรีหน้าซีดราวกับกระดาษ
ไม่นานต่อมาสรวงประคองพาภาพิศเข้ามาห้องโถง ภาพิศยังอยู่ในอินเนอร์แกล้งทำทีเป็นอ่อนระโหยโรยแรง จะเป็นจะตายอยู่อย่างเดิม
“จริงๆ คุณน่าจะพักที่โรงพยาบาล”
ภาพิศยิ้มเสียงแห้งโหย “พี่ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ”
สรวงบอกด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร “แต่คุณหน้าซีดมาก”
ภาพิศยิ้มเยื้อน พูดอ้อน “ไหนๆ..พี่ก็จะไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้แล้ว” ภาพิศทำเป็นกวาดสายตามองอย่างอาลัยอาวรณ์ “พี่เลยอยากอยู่ที่นี่นานๆ อยากจดจำทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นความทรงจำของพี่กับท่าน...” พลางเอามือลูบท้อง ยิ้มบางๆ อย่างน่าสงสาร “เอาไว้เล่าให้ลูกของพี่ น้องคุณสรวงฟัง”
สรวงมองภาพิศ รู้สึกสงสารมากยิ่งขึ้น “ผมไม่ให้คุณไปไหนหรอกครับ...คุณและน้องของผม ต้องอยู่ที่นี่”
ภาพิศลอบยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะแกล้งทำน้ำเสียงตกใจ “คุณสรวง”
“ผมพูดจริงครับ ผมไม่ให้คุณไปไหน...คุณและน้องของผม ต้องอยู่ที่นี่ ถึงจะต้องทะเลาะกับคุณพ่อ ผมก็ยอม”
ภาพิศจับมือสรวงมากุม “พี่ขอบคุณค่ะคุณสรวง ขอบคุณจริงๆ”
ภาพิศมองด้วยแววตาตื้นตัน สรวงเอามือแตะมือภาพิศเบาๆ ยิ้มให้กำลังใจ
แผนของภาพิศลุล่วงไปอีกเปลาะหนึ่ง ไม่ได้หวังผลทางชู้สาว แค่ต้องการแกล้งกรรณนรีกับสุดาและดึงสรวงมาเป็นพวกเท่านั้น
กรรณนรีตัดสินใจไม่เข้าคอนโด หญิงสาวเดินเอื่อยๆ อยู่ริมน้ำ สีหน้าเบื่อหน่าย กลัดกลุ้ม กาวินทร์โทร.มาพอดีในจังหวะนั้น กรรณนรีรับ
“อยู่ไหนกาว” กาวินทร์ถามทันที
“อยู่ริมน้ำพี่แก้ว กาวไม่กล้ากลับคอนโด กลัวนายอารักษ์จะบุกเข้าหา”
“งั้นจะเสี่ยงทำไม กลับบ้านเรามาเลย”
“กาวกลัวแผนจะไม่สำเร็จ”
“แต่ถ้ากาวกลับคอนโดมันอันตราย ไม่ต้องเสี่ยงขนาดนั้น กลับมาบ้าน เดี๋ยวพี่จะช่วยคิหาทางออกเอง”
เมื่อได้กาวินทร์มาช่วยคิด กรรณนรีมีอาการ ดูปลอดโปล่ง และผ่อนคลายขึ้นบ้าง
สองพี่น้องปรึกษาคุยกันอยู่ตรงมุมหนึ่งในบ้าน
“พี่แก้วจะให้กาวทำยังไงบอกมา”
กาวินทร์เอียงหน้าเข้าไปกระซิบที่หู...กรรณนรีทำหน้าลุ้นตื่นเต้น
เกริกเดินออกมา พอเห็นลูกสองคนอยู่ด้วยกันก็ยิ้มออก
“เอ้า...วันนี้วันอะไร กลับมาพร้อมกันเลย”
กรรณนรียิ้มแหยๆ “พอดีเลิกงานพร้อมกัน พี่แก้วเลยแวะไปรับกาวน่ะค่ะ”
“กินข้าวกินปลากันมารึยัง? มา...มากินเลย..พ่อเตรียมไว้เยอะแยะ”
เกริกเดินเข้าไปพลางพูดพร่ำตามประสา “วันนี้ไม่เป็นหมันแล้ว...ไม่งั้น ตอนเช้าทีไร พ่อได้อุ่นกินทุกที”
สองพี่น้องมองพ่อทั้งสงสารและเห็นใจ กาวินทร์กระซิบย้ำคำกำชับกรรณนรี
“พรุ่งนี้ จัดการตามที่พี่บอกเลย
“ค่ะ”
สองคนเดินเข้าตามเกริกไปในบ้าน
วันต่อมาอารักษ์อยู่ที่คฤหาสน์ เดินมาด้วยหน้าตาว้าวุ่นใจ เสียงโทรศัพท์ดัง อารักษ์รับมาดู
“หนูศุ....หนูหายไปไหนจ้ะ เมื่อคืนฉันไปหาที่คอนโดก็ไม่อยู่”
เสียงของอารักษ์ดังก้อง เพราะมือถือเปิดสปีกเกอร์เอาไว้ กรรณนรีที่ยืนอยู่ข้างๆ กาวินทร์ บอกอย่างจริงจัง
“หนูจะไม่กลับไปที่นั่นแล้วค่ะ”
อารักษ์ร้อนรน “หนูศุโกรธฉันเหรอ?...ฉันขอโทษ..ฉันจะไม่ทำอย่างวันนั้นอีก”
กรรณนรีทำเสียงสะบัดสะบิ้งตบท้ายด้วยคำหวาน “หนูไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าหนูรังเกียจท่าน เพียงแค่หนูไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นเมียน้อย..หรือแม้แต่นางเล็กๆ”
อารักษ์โล่งใจ ยิ้มออกมาได้ “ฉันก็ไม่เคยตีค่าหนูอย่างนั้นอยู่แล้ว”
“งั้น...เหมือนเดิมค่ะ ท่านต้องหย่ากับคุณหญิงสุดา...ถ้าท่านหย่าไม่ได้ หนูจะไม่กลับไปคอนโดอีก” กรรณนรีวางสายทันทีแล้วหันไปยิ้มกับพี่ชาย
“ต่อไป สนุกแน่เชื่อพี่” กาวินทร์ยิ้มเหี้ยมออกมา
ในเวลาต่อมาบริเวณริมสระน้ำ สุดาถามอารักษ์ตาค้าง
“อะไรนะคะคุณจะขอหย่าฉัน...” สุดาไม่ได้ตกใจเรื่องหย่าเพราะคุ้นชินแล้ว แต่แปลกใจว่าทำไมเรื่องวกกลับมาหา เหมือนโดนซะเอง
“จะตกใจทำไม? นี่ไม่ใช่ครั้งแรกซักหน่อยที่ผมขอหย่าคุณ...หย่าได้แล้ว คุณหญิง ผมจะได้แต่งงานใหม่กับหนูศุซักที”
“เฒ่าหัวงู” สุดาบันดาลโทสะผลักอารักษ์เต็มแรงจนตกน้ำไปเสียงดังตูม
แต่ไม่หนำใจ สุดาคว้าไม้ทำความสะอาดตรงขอบสระ มาฟาดตามไม่ยั้ง ถูกมั่งพลาดมั่ง อารักษ์ร้องลั่น
“โดนนังเด็กนั่นมันหลอกยังไม่รู้ตัวอีก ถ้าอยากหย่าเอาสมบัติทุกชิ้นมาให้ฉันแล้วหย่าเลย”
อารักษ์ซึ่งลอยหนีออกไปอยู่กลางสระตะโกนบอก “ไม่..ฉันจะเอาไปใช้กับหนูศุ”
สุดาแผดเสียง “ไอ้อารักษ์!” ทำท่าจะเขวี้ยงไม้ไปใส่อารักษ์
“อย่าคุณแม่” สรวงวิ่งเข้ามาคว้าตัวสุดา แต่ไม่ทัน ไม้ลอยไปแล้ว
“นังเด็กนั่นมันทำอีท่าไหน คุณถึงได้หลงมันหัวปักหัวปำ”
อารักษ์ตะโกนใส่หน้า “ก็เพราะเค้าหวงเนื้อหวงตัวไม่ให้ผมแตะต้องน่ะสิ.....มันถึงน่าค้นหา”
สรวงตะลึงกับเรื่องที่ได้ยิน
ขณะที่อารักษ์ว่าต่อ
“ไม่เหมือนคุณ...ให้ท่าผมตั้งแต่ใส่คอซอง”
“ไอ้อารักษ์”
สุดากระโจนพรวดลงไปในสระ ไล่ตีอารักษ์ แต่อารักษ์ว่ายน้ำหนีขึ้นมาวิ่งเข้าบ้าน สุดาตีน้ำอาละวาด ด่าท่อต่อว่าอารักษ์ต่อ
“กล้ามากที่เปรียบเทียบฉันกับนังเด็กนั่น...ฉันกับมันคนละชั้นกัน แอร๊ยย”
สุดากรี๊ดไม่เหลือมาดคุณหญิงตราตั้ง ยกมือตีน้ำกระจายระบายอารมณ์
กรรณนรีอยู่ที่บ้านสีหน้าดีขึ้นมาก หยิบมือถือเดินมา มองนิ่ง ก่อนตัดสินใจโทร.ออก
มะยมกับนิค นั่งทำงานกันอยู่ เสียงมือถือดัง มะยมสะดุ้งโหยง
“อะไร?” นิคสงสัย
มะยมมีหน้าหนักใจ “กาวโทร.มา”
“ก็รับสิ”
“ฉันไม่อยากทะเลาะ”
“มันโทร.มาขนาดนี้ คงไม่ได้ชวนแกทะเลาะหรอก..คงอยากจะคุยอะไรด้วยมั้ง” นิคว่า
มะยมลังเลมองมือถือ ถอนใจเฮือก “รับก็ได้” กดรับสาย “ว่าไง”
กรรณนรียิ้มดีใจ “มะยม...บอกนิคด้วยนะ เดี๋ยวฉันไปหา...แล้วไปทานข้าวกัน”
มะยมงอน หน้าบึ้งแต่ไม่ได้ดูร้ายกาจ “ใครเค้าอยากจะไปกินข้าวกับเธอ”
“น่า..ไปด้วยกันนะ..ฉันมีเรื่องสารภาพผิด...ฉันจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้แกกับ”
นิคแหลมเข้ามาร่วมฟัง
“จริงเหรอ” มะยมย้อนถาม
กรรณนรีบอกด้วยเสียงจริงจัง “จริงสิ...ให้ฉันไปหานะ...เชื่อฉัน...ฉันยังเป็นเพื่อนคนเดิมของพวกแก..และไม่ได้เป็นคนเลว”
มะยมวางสาย หันไปมองหน้านิค
มะยมเดินออกมา นิคเดินตามประกบหน้าตายิ้มแย้ม ตบไหล่มะยม
“เอาน่า..มะยม...ให้กาวมันมาเถอะ...มันพูดขนาดนี้แล้ว แสดงว่ามันมีต้องมีอะไร”
“ก็ใครไม่ให้มันมา...ฉันก็ให้มันมา..มายืนรออยู่นี่ไง” มะยมว่า
“อ้าว! แล้วแกทำหน้างอทำไม” นิคงง
มะยมหัวเราะคิก “หิวข้าว”
“แกนี่” ผลักหัวมะยม สองคนเล่นหัวกันอย่างสนุกสนาน
มะยมร้อนใจชะเง้อมองไปด้านหน้า “เมื่อไหร่จะมาวะไอ้กาว”
“บ้า! มันเพิ่งวางสาย”
สองคนหัวเราะสนุก แต่นิคเองก็แอบลุ้นรอกรรณนรีเหมือนกัน
ขณะที่กรรณนรีเดินออกมาจากบ้านด้วยท่าทางสดใส แต่แล้วต้องชะงักเมื่อสรวงที่ดักรออยู่ และถลันออกมาหาเมื่อเห็น กรรณนรี
“คุณสรวง” กรรณนรีคราง
“นึกว่า...จะจำได้...” น้ำเสียงต่อมาของสรวงเย้ยหยันแดกดัน “แต่ท่านอารักษ์ซะแล้ว”
กรรณนรีรำคาญ “คุณมีอะไรพูดมา”
สรวงแกล้งมองมาด้วยสายตาโลมเลีย “คนอย่างเธอ พูดอย่างเดียวไม่ได้หรอก...มานี่”
ขาดคำสรวงกระชากร่างกรรณนรีขึ้นรถ และขับทะยานออกไปทันที เป้าหมายคือบ้านพักริมทะเลแห่งนั้น
จบตอนที่ 10
อ่านต่อตอนที่ 11