ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 8
ที่บริเวณหน้ากระท่อมในป่าลึก...สมาชิกโจร 4-5 คน ยืนระวังเป็นจุดๆ เม่งจูกับอาตงนอนหลับอยู่บนเตียง สมพรกับดาวนั่งอยู่ข้างเตียง สมพรเอาผ้าห่มให้เด็กทั้งสอง ดาวลุกขึ้นเดินออกไป สมพรขยับผ้าห่มให้เด็กๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
ดาวกับจักจั่น ปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด
“เด็กสองคนเคยเข้าไปในกำแพง แต่จำไม่ได้ว่าอยู่ตรงไหน”
“พวกมันเคลื่อนไหวกำลังตรงชายแดน จักจั่นคิดว่ากำแพงต้องอยู่แถวๆนั้น”
“พี่เคยปล่อยมนต์ไว้ที่พวกนินจา เพื่อตามรอยพวกมัน แต่พวกมันหายไปอย่างไม่มีร่องรอย แม้แต่สายลมก็ไม่เห็น พี่คิดว่าต้องเป็นกำแพงมนต์แน่นอน”
“แบบนี้เราก็ไม่มีทางหาเจอ”
“ทำลายคนได้เมื่อไหร่ ก็ทำลายมนต์ได้เมื่อนั้น”
ในถ้ำหลังกำแพงวุ้น...ฤทธิชัยกราดสายตาไปมา อึดใจก็หลับตาพึมพำสมาธิ ทันใดนั้นเขาตวัดมือที่ถูกโซ่มัดอยู่ เสียงดังแคร๊งสนั่น โซ่ขาดหลุดจากข้อมือ ฤทธิชัยยิ้มเครียด สะบัดมืออีกข้างหนึ่ง โซ่ขาดสะบั้นออก ก้มลงดึงโซ่ที่ข้อเท้าออกทั้งสองข้าง ฤทธิชัยกราดสายตาแล้วก้าวออกไป
ฤทธิชัยเคลื่อนกายไปตามผนังถ้ำ แล้วกราดสายตา ถึงกับแปลกใจ เมื่อเห็นมือปืนตามจุดต่างๆ ฤทธิชัยเคลื่อนตัวมาอีกด้านหนึ่ง ลำตัวแนบผนังถ้ำ ซุ่มดูเหตุการณ์กราดสายตาไปรอบๆ แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนกำแพงที่พิงอยู่ สั่นไหว...ฤทธิชัยหันกลับไปดูก็เห็นกำแพงค่อยๆกลายสภาพเป็นวุ้น...ฤทธิชัยดีดตัวหลบไปที่ซอกหิน...จ้องมองอย่างระวัง ทันใดนั้น มีนินจาสามคน ผ่านกำแพงวุ้นเข้ามา ฤทธิชัยมองอึ้งๆ นินจาเดินผ่านไปอีกด้านหนึ่ง
“แบบนี้เอง พวกเราถึงหากำแพงไม่เจอ”
ก้องเกียรตินั่งอ่านหนังสืออยู่ในกรงขัง มีเงามายืนตรงหน้า ก้องเกียรติเงยหน้าขึ้นเห็นฤทธิชัยเดินเข้ามาที่หน้าห้องขัง มือปืนสองคนต่างขยับตัวให้ฤทธิชัยเข้ามาใกล้ ยืนระวังอยู่ข้างๆ ก้องเกียรติจ้องเขม็งอึดใจ
“อืม...ยอมรับว่าแกปลอมตัวได้เนียนมากแต่ฉันก็ดูออกว่าแกคือตัวปลอม”
“ฉันรู้ว่าแกแอบตั้งหน่วยพิเศษ เอาไว้...บอกมาให้หมดว่าพวกมันเป็นใคร”
ก้องเกียรติยิ้ม
“ฉันรู้แต่ว่าแกเป็นคนขี้ขลาด กลัวถึงขนาด ต้องมีมือปืนคอยคุมทั้งๆที่ฉันอยู่ในกรง”
ฤทธิชัยจ้องเขม็ง
“แกสองคนออกไป”
มือปืนเดินออกไป ฤทธิชัยยืดจ้องหน้าก้องเกียรติเขม็ง...
“ถึงแกจะควักหัวใจฉันออกมา ฉันก็ไม่มีทางบอกแก”
ฤทธิชัยจ้องเขม็ง สุดท้ายพยักหน้าช้าๆ ก้องเกียรติพูดเบาๆ
“รีบออกไปจากที่นี่...เร็วที่สุด”
“แล้วผมจะกลับมาช่วย”
ทั้งสองมองหน้าอย่างรู้กันว่าใครเป็นใคร
มือปืนสองสามคนเดินผ่านมา แล้วเดินผ่าน ฤทธิชัย ที่เดินวางท่าสวนออกมา พอมือปืนพ้นไป...ฤทธิชัยก็เร่งฝีเท้ามาจนถึงกำแพงวุ้นที่เห็นนินจาผ่านเข้ามา...ฤทธิชัยกราดสายตามองหนึ่งรอบ ทำปากขมุบขมิบท่องคาถา แล้วพุ่งร่างออกไปที่กำแพง ทันใดนั้นมีแสงสะท้อนออกมา กระแทกร่างของเขากระเด็นออกมากลิ้งไปกับพื้น ฤทธิชัยสะบัดหัวไล่ความมึนงงเห็นคายามังยืนอยู่ตรงหน้า ในมือถือมีดอาคม...ฤทธิชัยขยับตัวแต่แสงจากมีดอาคมกระแทกหน้าอกจนกระเด็นไปปะทะผนังถ้ำทรุดลงนิ่งไป...คายามังยืนมองด้วยสายตาเยือกเย็น
บนท้องฟ้าเสียงสายลมร้องก้อง ดาวชะงัก
“คุณหนึ่ง”
จักจั่นก้าวเข้ามา
“สายลม...จักจั่นสัมผัสคุณหนึ่ง”
“จ้ะ...พี่ก็เหมือนกัน”
“รีบไปเถอะค่ะ...ไม่ต้องห่วงที่นี่”
ดาวพยักหน้าแล้วพุ่งออกไป จักจั่นมองตามสายตากังวล แม่สมพรเดินเข้ามามองตามดาวไป ถอนใจ
“เด็กๆเป็นยังไงบ้างจ๊ะแม่”
“ยังหลับอยู่เลย น่าสงสารแท้ๆ พอจำเรื่องได้ ก็รู้ว่าพ่อแม่จากไปแล้ว”
จักจั่นถอนใจ ทั้งสองต่างโอบกันเดินออกไป
ฤทธิชัย หมดสตินอนอยู่ พวกผู้ชาย 4-5 คนกำลังขุดหลุมอยู่ มีมือปืนยืนคุ้มกันอีก 3 คน ชายคนหนึ่งบ่นออกมา
“ทำไมต้องขุดหลุมให้เหนื่อยว๊ะ ยิงทิ้งแล้วปล่อยให้พวกหมูป่ากินก็หมดเรื่อง”
“คงไม่อยากให้ใครหาเจอมั๊ง”
หัวหน้ากราดสายตาไปมา
“เอ็งไม่ต้องพูดมาก...รีบขุดแล้วรีบฝัง”
พวกมันต่างเร่งมือขุดกัน หัวหน้ามือปืนนึกถึงคำลั่งของคายามัง
“รีบเอามันไปฝัง...ก่อนที่พวกนางเสือจะสัมผัสถึงมัน”
หัวหน้ามือปืนกราดสายตาอย่างหวาดระแวง
ดาวพุ่งผ่านยอดไม้ไปอย่างเร่งรีบจากต้นไม้นี้แล้วตีลังกาม้วนตัวไปอีกต้นหนึ่ง ดีดตัวอีกครั้ง พุ่งผ่านหายเข้าไปในดงไม้อย่างรวดเร็ว เสียงสายลมร้องก้องฟ้า ดาวพุ่งจากต้นไม้หนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งอย่างเร็ว
มือปืนกราดสายตาไปมา ปืนในมือกระชับแน่น หัวหน้าส่งเสียงเร่ง
“เอาเว๊ย...รีบฝังมันซะ”
มือปืนสามสี่คนมาหิ้วร่างของฤทธิชัยยกขึ้น ทันใดนั้นเงาแวบลงมาผ่านหน้าพวกมัน พวกมือปืนต่างกระชับปืนกราดไปมา หัวหน้ามือปืนกราดปืนไปมาจนกระทั่งเห็นดาวซึ่งเป็นนาคีปลอมตัวมายืนอยู่ตรงหน้า...มันตาเหลือกเหนี่ยวไกสาดกระสุนออกไปเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พวกมือปืนตกใจปล่อยฤทธิชัยลงกับพื้น ต่างมองไปมาอย่างตื่นกลัว นาคีตวัดมือสาดกระสุนเข้าใส่พวกมันเสียงดังสนั่นพวกมันต่างทรุดคว่ำลงในที่สุด นาตีเดินเข้ามายืนมองพวกมือปืนสายตาเยือกเย็น แล้วหันเดินไปยังร่างของฤทธิชัยที่ยังสลบอยู่
ในถ้ำแห่งหนึ่ง...ฤทธิชัยนอนอยู่ที่พื้นถ้ำสายตาเริ่มกระจ่างชัด เห็นเงาอยู่ตรงหน้า ฤทธิชัยค่อยๆ ขยับตัวขึ้นมาภาพตรงหน้าเบี้ยวไปมาเหมือนคนถูกยาแต่เห็นเป็นรูปเค้าหน้าตาของดาวนั่นเองอยู่ตรงหน้าของตน ฤทธิชัยพูดเสียงแผ่ว
“คุณดาว”
ฤทธิชัยคว้านาคีในร่างดาวเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน
“คุณดาว”
นาคีไม่พูดกอดฤทธิชัยไว้แน่นแต่แล้วฤทธิชัยกับหมดสติลงไปอีกครั้ง นาคีถอยออกวางร่างของฤทธิชัยหงายนอนไปกับพื้น แล้วรีบขยับตัวโน้มใบหน้าลงไปจูบที่ริมฝีปากของเขา ทันใดแสงจากปากของเธอวิ่งเข้าสู่ปากของเขาอย่างช้าๆจนหมด นาคียิ้มอย่างพอใจ เอามือลูบไล้ใบหน้าของฤทธิชัยอย่างทะนุถนอม...ทันใดนั้นเสียงสายลมกับเสียงสายฟ้าร้องก้องมา นาคีหันขวับไปทางหน้าถ้ำ ร่างของดาวในชุดนางเสือยืนอยู่ตรงหน้า นาคียิ้มเย้ย
“ท่านมาสายไปแล้ว”
ร่างของดาวมีรังสีวิ่งครอบคลุมจนกลายร่างเป็นนาคีเส้นผมกลายเป็นงูเล็กส่ายหัวไปมา นาคียืนขึ้นยิ้มเยาะ ดาวตวัดมือขึ้นมาปืนในมือสองกระบอกสาดกระสุนเข้าใส่นาคีอย่างถี่ยิบ เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว...นาคีเซไปตามแรงปืน แต่แล้วก็สะบัดมือปล่อยพลังออกมาที่ดาวจนกระเด็นกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ นาคียิ้มเยือกเย็นเดินตามไป แต่แล้วก็ต้องถอยเมื่อเสียงคำรามของสายฟ้าดังขึ้น ร่างควันของสายฟ้าพุ่งเข้าจู่โจม นาคีปัดป้องไปมาในที่สุดก็แวบร่างหายไป...ดาวค่อยๆขยับตัวขึ้นมาแล้วเดินมาใกล้ฤทธิชัย เอามือลูบไล้ใบหน้าอย่างแผ่วเบา แต่แล้วก็คาดไม่ถึงเมื่อเห็นใบหน้าของฤทธิชัยเป็นใบหน้าของงูซ้อนขึ้นมา ดาวถึงกับน้ำตาซึมค่อยๆลุกขึ้นมา เสียงสายลมร้องก้องเสียงสายฟ้าคำราม
“ดาวจะหาทางช่วยคุณหนึ่งให้กลับคืนมาเร็วที่สุด”
ดาวน้ำตาซึมแล้วตัดใจพุ่งออกไปจากถ้ำ
จักจั่นโกรธมากเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากดาว
“เราต้องไปชิงตัวคุณหนึ่งกลับมา”
“ไม่มีประโยชน์...ตอนนี้คุณหนึ่งไม่รู้จักพวกเรา”
“เอามาซ่อนตัวไว้ก่อนไม่ได้เหรอ”
ดาวส่ายหน้า
“นางงูจะต้องตามมาจนได้ ทุกคนจะเดือดร้อนไปหมด”
“ตกลงเราทำอะไรไม่ได้เลย...เรากำจัดนางงูก็ไม่ได้ ช่วยคุณหนึ่งก็ไม่ได้”
“เราต้องรอโอกาส” ดาวถอนใจ “ยังมีสิ่งหนึ่งที่เราทำได้ คือปกป้องแผ่นดิน สกัดทุกเส้นทางของพวกมันเมื่อไหร่ ที่องค์กรของมันล่มสลายเราอาจจะได้คุณหนึ่งกลับมา”
จักจั่นได้แต่ถอนใจ
งิ้วตรวจดูข้อมูลทางหน้าจอ อภิชาตินั่งอยู่ใกล้ๆ หน้าเคร่งเครียด งิ้วอ่านข้อมูลแล้วบอก
“มีรายงานใหม่...เงินจำนวนมหาศาลกำลังถูกส่งเข้ามา”
“ไม่ต้องห่วง...สายลมต้องจับเส้นทางของมันได้ พวกมันไม่พ้นมือนางเสือหรอก”
“ห่วงแต่นางงูจะจับเส้นทางนางเสือได้เหมือนกันน่ะซิ”
ทันใดนั้นเสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว...นพพรวดเข้ามา
“เราต้องถอนตัวด่วน...ครับ มีพวกมันพยายามบุกเข้ามา”
งิ้วตกใจเป็นห่วงพ่อ
“คุณพ่อ”
“คุณไปดูท่านณุพันธ์...ผมไปดูนายดำรง”
นพรีบบอก
“ขบวนรถพร้อมรออยู่ทางด้านหลังของโรงงาน”
“งั้นขอตัว”
งิ้วรีบออกไป อภิชาติหันมาบอกนพ
“ขอเวลาห้านาที...ถ้าไม่เห็นผม ออกรถไปก่อนได้เลย”
งิ้วกราดปืนวิ่งไปที่ห้องของณุพันธ์ เห็นเงาแวบ เธอยิงเปรี้ยง มือปืนทรุด งิ้วก้มหลบหมัดชกวูบข้ามหัวไป หญิงสาวจ่อปืนเข้าที่พุงของมัน เหนี่ยวไกเปรี้ยง มันกระเด็นออกไป งิ้วพรวดไปที่หน้าห้อง เปิดประตูพรวดเข้าไป
“คุณพ่อ”
งิ้วกราดปืนนำออกมา ณุพันธ์ตามติด มือปืนแวบผ่านมาตรงหน้า งิ้วเหนี่ยวไกเปรี้ยงๆ พวกมันทรุดไปสอง งิ้วนำณุพันธ์ผ่านร่างพวกมันไปอย่างรวดเร็ว
อภิชาติกราดปืนไปที่ห้องดำรง แล้วเปิดประตูพรวดเข้าไป พบเจ้าหน้าที่นอนนิ่งอยู่ อภิชาติรีบกลับออกไป เห็นพวกมือปืนสองคนลากดำรงออกไป...อภิชาติตามไปติดๆ พวกมันโผล่มายิงสกัด กระสุนเฉี่ยว อภิชาติหน้าเคร่งเครียด จ้องไปข้างหน้า พลันสายตากลายเป็นตาของสายลมมองเห็นพวกมัน แอบอยู่ตามจุดต่างๆ...อภิชาติเดินผ่านเข้าไปยิงกราดใส่พวกมันที่โผล่ออกมาล้มคว่ำไม่ทรุดไปหมด ทันใดนั้นเขาก็หันขวับ เห็นพวกมือปืนลากดำรงไปขึ้นรถตู้ที่จอดด้านหน้า อภิชาติตามไปอย่างรวดเร็ว
พวกมือปืนลากดำรงมาแล้วผลักขึ้นรถตู้ไปรถตู้เคลื่อนออกไป อภิชาติวิ่งออกมาแล้วพุ่งขึ้นไปบนหลังคารถ...รถตู้วิ่งออกไป เสียงสายลมร้องก้อง เสียงโครมดังมาจากหลังคารถ พวกมันต่างเงยหน้าจับเสียงจากหลังคา ดำรงเหน้าเอ๋อไม่รู้เรื่องราว พวกมันต่างเอาปืนจ่อที่หลังคา พยายามจับเสียง...แต่ไม่มีเสียงเกิดขึ้น พวกมันต่างถอนหายใจโล่งอก รถตู้วิ่งตะบึงไป
ในลานเล็กๆหลังโรงงาน รถตู้จอดรออยู่สองคัน เจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษ 10 กว่าคนยืนรายล้อมคอยระวังความปลอดภัย นพยืนคุมรักษาการอยู่ งิ้วพาณุพันธ์วิ่งมาที่รถ นพรีบไปเปิดประตูให้ งิ้วช่วยณุพันธ์ขึ้นไปบนรถตู้
“คุณอภิชาติล่ะ”
นพส่ายหน้างิ้วยืนรอระวัง ทันใดนั้นเสียงปืนดังเปรี้ยงๆ สนั่นมา เจ้าหน้าที่ล้มไปสองสามคน ที่เหลือยิงสาดไปรอบๆด้านที่เงานับสิบของพวกมือปืนปรากฏ เสียงร้องดังพวกมันทรุด นพหันมาบอกงิ้ว
“คุณงิ้ว...เร็วครับ”
“แต่...”
“คุณอภิชาติบอกว่าไม่ต้องรอ”
ทุกคนต่างสาดกระสุนออกไปท่ามกลางกระสุนที่พุ่งเข้ามา งิ้วตะโกน
“เคลื่อนรถ”
รถตู้เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆรออยู่ งิ้วยิงกราดใส่พวกมัน ล้มคว่ำ พลางวิ่งตามรถไป
“คุณนพ...เร็วเข้า”
“ทุกคนถอย”
เจ้าหน้าที่ถอยพลางยิงพลางขึ้นมาที่รถ มีคนหนึ่งถูกยิงทรุด นพคว้าคอเสื้อเจ้าหน้าที่ลากเหวี่ยงเข้าไปในรถตู้ รถตู้พรวดแซงออกไปก่อนหนึ่งคัน นพวิ่งแซงงิ้วไปแล้วดีดตัวขึ้นไปบนรถตู้ งิ้วยิงกราดพวกมันคว่ำไปอีกสอง แล้ววิ่งตามรถตู้ดีดตัวเองเข้าไปในรถปิดประตู รถตู้บึ่งออกไป พวกมันวิ่งเข้าแล้วยิงสาดตามไป
รถตู้วิ่งอ้อมออกมาจากซอยแล้วผ่านหน้าโรงงาน งิ้วกังวล
“พวกมันได้ข้อมูลทุกอย่างของเราไปแน่ๆ”
นพยิ้มเครียด
“ครับ...”
พวกมือปืนอยู่ในห้องปฏิบัติการ กำลังรื้อตรวจคอมพิวเตอร์และอื่นๆอยู่ นพชูมือขึ้นมาซึ่งกำรีโมทคอนโทรลไว้
“ในนรก”
งิ้วยิ้ม...ในห้องปฏิบัติการระเบิดตูมไฟลุกท่วม เสียงร้องโหยหวน รถตู้วิ่งตะบึงไป
ที่หมู่บ้านชายแดนทิศใต้...ในบาร์ พวกมือปืนนั่งบ้างยืนบ้าง ดื่มคุยตามเรื่องตามราว หัวหน้าของมันคนหนึ่ง เดินเข้ามาตรงหน้าบาร์
“มีงานด่วน...ข้าต้องการคน 10 คน”
มันกราดสายตามองทุกคน ลุงเดช กับ แสง นั่งอยู่ที่โต๊ะหนึ่งวางท่าเฉย ยกแก้วน้ำขึ้นจิบ...
หัวหน้า ยืนอยู่กับมือปืนสองคนตรงหน้ารถคันหนึ่ง มือปืนคนหนึ่งเดินเข้ามา
“มาแล้วพี่ 10 คน”
หัวหน้าหันมามองพวกมือปืนที่เข้าแถวอยู่ มันออกเดินตรวจดูทีละคนๆจนถึงลุงเดชและแสงที่อยู่ปลายแถวสุดมันจ้องกราด ลุงเดชกับแสงอึดใจหนึ่ง ลุงเดชกับแสงต่างจ้องมัน ที่คอของมันห้อยสร้อยอยู่เส้นหนึ่งเป็นรูปงูชูคอพร้อมฉก
“ขึ้นรถ”
พวกมันต่างแยกย้ายกันขึ้นรถกระบะที่จอดอยู่สองคัน
รถตู้เข้ามาจอด ในโกดังลับ พวกมือปืนต่างคุมตัวดำรงลงมาจากรถ หัวหน้ามือปืน ตวัดปืนขึ้นมา แล้วแหงนมองบนหลังคารถ เห็นหลังคารถว่างเปล่า มันหันมาโบกมือให้ลูกน้องคุมตัวดำรงเข้าไป
พอพ้นพวกมัน อภิชาติค่อยๆ ปรากฏตัวออกมา นอนเกาะอยู่บนหลังคารถ ก่อนจะกลิ้งตัวหายลงไปอีกด้านหนึ่ง
หัวหน้านำมือปืน 3-4 คน ลากดำรง เข้าไปด้านในซึ่งมีชายคนหนึ่งหันหลัง ให้อยู่ ชายคนนั้นหันมา เป็นโจนั่นเอง...โจมองดำรงเขม็ง ดำรงยังคงเอ๋ออยู่ โจมองยิ้มเหมือนสะใจ แต่แล้ว โจกราดสายตาไปมา
“ไอ้พวกโง่ ปล่อยให้คนตามมา”
พวกมือปืนหันกลับมาก็เห็นอภิชาติก้าวออกมาปืนสองกระบอกกราดที่พวกมัน มือปืนคนหนึ่งขยับ อภิชาติยิงเปรี้ยงมันทรุดดับสนิท
“มีใครอยากตายอีกมั๊ย...ตอนนี้กำลังมีโปรโมชั่น”
พวกมือปืนต่างนิ่งไม่กล้าขยับ...โจนิ่งหน้าเฉย อภิชาติยิ้มให้โจ
พวกมือปืนโยนปืนลงกับพื้น อภิชาติเอาปืนชี้พวกที่คุมดำรงอยู่ให้ถอยห่างมารวมกับพวกมือปืน
“นายโจ...นายพัฒนาขึ้นมาก...แต่ก่อนฉันกลับไปแล้ว นายถึงจะรู้ว่าฉันมา”
โจยักใหล่สายตาแค้น อภิชาติจ้องหน้า
“ผมสงสัย...นายดำรงเอ๋อขนาดนี้ ทำไมต้องเอาตัวมาด้วย”
“คนตายย่อมพูดไม่ได้” โจยิ้ม บุ้ยหน้าไปทางดำรง “นายเอ๋อไม่สนแกแล้ว”
อภิชาติหันไปก็เห็นดำรงเดินเอ๋อเข้าไปข้างในอย่างช้าๆ
“คุณดำรง”
อภิชาติเข้าไปคว้าดำรงไว้ แต่พอหันกลับมาก็พบว่าพวกมือปืนต่างถือปืนจ้องมา โจยิ้ม
“ส่งแขก”
พวกมือปืนสาดกระสุนเข้าใส่ดำรงกับอภิชาติเสียงดังสนั่นหวั่นไหว อภิชาติคว้าตัวดำรงกลิ้งเข้าหาลังเก็บของกระสุนพุ่งเข้ามาราวกับห่าฝน อภิชาติตั้งตัวได้ สาดกระสุนโต้กลับไป พวกมันล้มเหมือนใบไม้ร่วง แต่โจหายไปแล้ว...อภิชาติหันกลับมาก็ต้องชะงักอึ้งเมื่อพบว่าดำรงนั่งนิ่ง ที่ท้องถูกกระสุนเข้าเต็มๆ
“คุณดำรง”
ที่หน่วยพิเศษแห่งใหม่...ในทีวี มีนักข่าวหญิงกำลังรายงาน
“รายงานแจ้งว่า...นักข่าวชื่อคุณกำจร แสงรุ่งเรือง ได้รับ โทรศัพท์ลึกลับ แจ้งเรื่องของนายดำรง ถูกยิงบาดเจ็บจึงรีบนำนายดำรงส่งโรงพยาบาลและขณะนี้ปลอดภัยแล้ว”
อภิชาติ กับ งิ้ว ดูทีวีอยู่ นักข่าวหญิงกำลังถามกำจร
“ทำไมถึงมีการแจ้งเรื่องมายังคุณกำจรคะ”
“คงเพราะคนแจ้งรู้จักชื่อเสียงผมดีมั้งครับ”
อภิชาติยิ้ม
“ใช่แล้วเพื่อน”
“ทำไงได้เมื่อได้รับแจ้ง ในฐานะนักข่าวก็ต้องไป ไปแล้วก็ต้องช่วยใน...ฐานะพลเมืองดี”
“ขอบคุณคุณกำจรมากค่ะ”
กำจรจ้องที่จอ
“ด้วยความยินดีครับ...ยังไงก็ต้องขอขอบคุณคนแจ้งด้วยที่ไว้วางใจผม”
อภิชาติดูทีวียิ้มพอใจ
“ตอบได้ดีมากเพื่อน”
อภิชาติกดปิดทีวี งิ้วยิ้มยกนิ้วให้
“คุณอภิชาติ คิดได้เจ๋งมากที่เรียกคุณกำจรมาช่วย ส่งนายดำรงเข้าโรงพยาบาล”
“ขืนผมเข้าไปละก็...ถูกตำรวจรวบตัวแน่ ยังเป็นผู้ต้องหาอยู่”
อภิชาติครุ่นคิด งิ้วสงสัย
“มีอะไรคะ”
“ผมคิดไม่ถึง...ว่าพวกมันทำไมถึงเสี่ยงบุกเข้ามาเก็บนายดำรงตอนนี้...รอให้หายเอ๋อแล้วค่อยเก็บก็ยังได้”
งิ้วครุ่นคิด...อภิชาติหน้าเคร่งเครียด ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น นพก้าวเข้ามา
“คอนเฟิมแล้วครับ ว่าเงินจำนวนมหาศาลกำลังเดินทางเข้ามาในประเทศไทย”
งิ้วกับอภิชาติต่างมองหน้ากัน
ในค่ายหน่วยพิเศษแห่งใหม่...อภิชาติเดินเข้ามาในห้องพักทำงาน งิ้วนั่งอยู่ที่โต๊ะ ตรงหน้าเป็นแลปท็อปที่เปิดจอพร้อมทำงานเรียบร้อย
“ท่านณุพันธ์เป็นไงบ้างครับ ได้ข้อมูลอะไรบ้าง”
งิ้วยิ้มตื่นเต้น
“เราได้เบาะแสของนายใหญ่”
“ฮ้า...” อภิชาติตื่นเต้นเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆงิ้ว “พร้อม”
“พร้อมค่ะ”
งิ้วกดคีย์บอร์ด ปรากฏภาพบนจอมอนิเตอร์ คือ ณุพันธ์ อภิชาติกับงิ้ว ต่างจ้องฟังอย่างตั้งใจ
อภิชาติเดินไปเดินมาอย่างตื่นเต้น
“ท่านณุพันธ์แน่ใจนะ”
“ค่ะ...คุณพ่อบอกว่ามีครั้งหนึ่งที่ประชุมกันอยู่ นายใหญ่หายใจติดขัดหมอต้องเข้ามาช่วยปั๊มหัวใจ...หลังจากนั้นอีกสองชั่วโมงคุณหมอก็หายสาบสูญไป”
“ถูกเก็บ...เพื่อไม่ให้ใครรู้ความลับของมัน”
“ค่ะ.คุณหมอคงรู้ตัว...รีบส่งอีเมลถึงคุณพ่อ”
“เชื่อได้แค่ไหน”
“เชื่อได้แน่นอน เพราะหมอที่ถูกเก็บ คือเพื่อนคุณพ่อเอง”
อภิชาติพยักหน้าอย่างพอใจ
“พวกมันตามรอยอีเมลคุณหมอได้...ท่านณุพันธ์ถึงต้องหนีพวกมัน”
งิ้วพยักหน้า อภิชาติเริ่มเข้าใจ
“พวกมันจัดฉากว่าท่านตายแล้ว...เพื่อไม่ให้ใครออกค้นหาท่าน”
“พวกมันจะได้ล่าท่านได้อย่างสบาย”
อภิชาติยิ้ม
“แต่มันก็พลาด...ที่แท้หัวใจของมันต้องติดแบตเตอรี่นี่เอง”
“ถ้าเรามีเครื่องจับสัญญาณไอ้แบตเตอรี่นี่ได้”
“ถึงมันจะปลอมตัวได้เนียนแค่ไหน...เราก็เจอตัวมันจนได้”
“คุณพ่อบอกว่าคนที่น่าสงสัย คือ ท่านรองศักดา โจ เพราะเป็นผู้รับคำสั่งโดยตรงจากนายใหญ่”
อภิชาติครุ่นคิดเครียด
“ช้าหรือเร็ว เราต้องรู้”
รถกระบะสองคันจอดอยู่ในราวป่า หัวหน้ากับพวกมือปืนต่างยืนคุมตามจุดต่างๆอย่างระวัง
“อะไรวะ...ป่านนี้ยังไม่มาอีก”
แสงกับลุงเดชต่างลอบมองกัน...ขยับปืนในมือ กราดสายตาหาทางหนีทีไล่ ทันใดนั้นมือปืนคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้น
“มาแล้วพี่”
ขบวนรถตู้วิ่งเข้ามาสองคัน หัวหน้ายิ้ม ลุงเดช กับ แสง ต่างขยับตัวเตรียมพร้อม ขบวนรถของพวกมันวิ่งเข้ามาถึง มือปืนลงมาจากรถตู้
“ค่อยยังชั่วหน่อยมีคนมารับ...ไม่ยังงั้นเสียว”
หัวหน้ายิ้มรับ
“พวกเรายึดป่าผืนนี้แล้ว ไม่ต้องเสียว”
พวกมือปืนต่างหัวเราะกัน...ลุงเดชกับแสงต่างลอบสบตากัน พลางกราดสายตามองรอบๆ มือปืนหันมาบอกหัวหน้า
“งั้นพี่นำไปเลย”
แต่แล้วเสียงร้องก้องของสายลมดังขึ้น ตามด้วยเสียงของสายฟ้าก้องป่า ลุงเดชกับแสง ต่างพยักหน้าให้กัน...เหล่ามือปืนพากันชะงัก ชักปืนออกมาเตรียมพร้อม หัวหน้ากวาดตามอง
“นางเสือเหรอ ออกมาซิว๊ะ วันนี้พวกข้าขนลูกปืนมาเพียบ”
ทันใดนั้นเสียงดาวดังขึ้น
“แต่ข้าจะส่งพวกเองไปลงนรก”
พวกมือปืนหันขวับไปตามเสียง ดาวปรากฏตัวอยู่บนกิ่งไม้ มือปืนตวัดปืนขึ้นยิงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ดาวแวบหายไป แล้วปรากฏอยู่บนกิ่งไม้อีกด้านหนึ่ง
“ข้าอยู่นี่”
พวกมือปืนหันกลับมา แต่ช้าไปดาวสาดกระสุนเข้าใส่พวกมันล้มคว่ำไปหลายคน ลุงเดช กับ แสง รีบดีดตัวหลบเข้าแนวป่าขยับปืนพร้อมคอยช่วยดาว...หัวหน้ากับลูกน้องที่เหลือ ปักหลักยิงสู้ หัวหน้ายิงสาดใส่ดาว ทันใดนั้นดาวพุ่งตัวลงจากยอดไม้ดิ่งเข้าหาพวกมัน ปืนในมือยิงสาดระยะประชิดตัว พวกมันล้มคว่ำไปสอง ดาวหันมาประจันหน้ากับหัวหน้า มันรีบถอยห่าง ทันใดนั้น สร้อยรูปงูที่หน้าอกของมัน มีแสงเรืองกระจายออกมา แล้วร่างของนาคีปรากฏ...เสียงสายลมร้องก้อง ทั้งสองฝ่ายต่างยืนประจันหน้ากันดาวพึมพำ
“ที่แท้สร้อยรูปงูนี่เอง ที่พานางงูมา”
นาคีจ้องดาวสายตาเยือกเย็น ผมบนหัวส่ายไปมา...ดาวจ้องตอบอย่างระวัง...แสงขยับปืนในมือ
“แย่แล้ว...นางงูมาจนได้”
“ไอ้แสง...เอ็งกับข้าคอยจัดการกับรถตู้เท่านั้น ห้ามยุ่งกับนางงู”
“แต่ว่า...”
“เอ็งออกไปจะทำให้หนูดาวเป็นอันตราย”
แสงกับลุงเดชจ้องภาพตรงหน้านิ่ง...ดาวกับนาคียังคงจ้องกันนิ่ง ไม่มีใครขยับตัวลงมือ พวกมือปืนต่างฉวยโอกาสถอยไปที่รถตู้ กับรถกระบะ
“ไปไอ้แสง”
ลุงเดชกับแสงสวมรอยเคลื่อนตัวไปที่รถรวมกับพวกมัน หัวหน้าออกคำสั่ง
“ไปเว๊ย”
พวกมันต่างขึ้นรถเช่นเดียวกับลุงเดชและแสง ทั้งสองต่างจ้องมอง ดาวกับนาคีที่ยังยืนเผชิญหน้ากันจนกระทั่งรถเคลื่อนออกไป
ดาวยังจ้องนาคีนิ่ง อยู่ เช่นเดียวกับนาคีที่จ้องดาว...ทันใดนั้นทั้งสองต่างพุ่งเข้าหากัน ต่อสู้ประชิดตัวต่างฝ่ายต่างแวบหายแวบตามกันปะทะกันอย่างตื่นเต้น
รถกระบะของพวกมือปืนซึ่งเหลือแค่คันเดียว นำรถตู้สองคันตะบึงไปตามเส้นทาง ลุงเดชกับแสงต่างลอบมองหน้ากัน แต่แล้วทันใดนั้น ขบวนรถจอดกึก เมื่อ ไผ่ในชุดนางเสือยืนขวางถนนอยู่ ลุงเดชกับแสงเตรียมพร้อมหัวหน้านั่งคู่กับคนขับอึ้งตะลึง
“อะไรวะ...มันรอดมาได้ยังไง”
ทันใดนั้นไผ่สะบัดมือออกมา วัตถุสีดำสองลูกปลิวข้ามหัวรถกระบะไปที่รถตู้สองคนที่จอดอยู่ข้างหลัง คนขับรถตู้ตาเหลือกร้องไม่เป็นภาษา ระเบิดสองลูกถูกรถตู้สองคันอย่างแม่นยำ เสียงระเบิดดังสนั่นไฟลุกท่วม เศษเงินปลิวเต็มท้องฟ้า เงินหลายร้อยล้านปลิวว่อน หัวหน้าหน้าตื่น
“หนีเว๊ย”
คนขับรถกระบะพุ่งรถออกไปอย่างรวดเร็ว...ลุงเดชกับแสงแกล้งตวัดปืนใส่ไผ่แล้วยิงออกไปเสียงปืนดังสนั่น พวกที่เหลือสองสามคนต่างระดมยิงตาม จนในที่สุดพ้นออกมาไกล...ลุงเดชกับแสงลอบมองหน้ายิ้มให้กัน ไผ่มองตามแล้วอดยิ้มไม่ได้
นาคีกับดาวปะทะกันอย่างดุเดือด ดาวถูกกระแทกกระเด็นปลิวออกมากระเด็นไปที่พื้น ดาวดีดตัวขึ้นมาประจันหน้า นาคียิ้ม
“เราจะกำจัดท่านกับพวกให้หมด”
“ไม่ง่ายนักหรอก”
ดาวตวัดปืนขึ้นมายิงสาดใส่ นาคีดีดตัวแวบหายไป โผล่มาตรงหน้าดาว มือทำเป็นกรงเล็บคว้ามาที่หน้า ดาวแวบหายไป นาคีแวบตาม ไปโผล่พร้อมกันอีกจุดหนึ่ง นาคีตบดาวกระเด็นไปอีกครั้งดาวเสียหลักเซไปชนต้นไม้ นาคีแวบตาม ตวัดมือออกมาพลันในมือเป็นดาบหยักรูปงูเงื้อสูงหมายฟัน แต่แล้วเสียงปืนดังเปรี้ยง ดาบกระเด็นไป ไผ่ปรากฏตัวตรงหน้านาคี ยิงเปรี้ยงระยะเผาขน นาคีแวบหายไป มีเสียงหัวเราะดังก้อง
“พี่ไผ่”
“ดาวไม่เป็นไรนะ”
“ยังไหวค่ะ”
ร่างของนาคีปรากฏประจันหน้าทั้งสองคน ต่างฝ่ายต่างจ้องเอาเชิงกัน...ทันใดนั้นนาคี พุ่งเข้าหา ดาวกับไผ่ ต่อสู้ประชิดตัว ไผ่กับดาวสองคนต้านนาคีอย่างสูสี...แต่อึดใจนาคีก็เป็นฝ่าย รุก ไผ่กับดาวเริ่มถอย แต่แล้วนาคีก็ผลักมืออกมาพร้อมกัน ร่างของดาวกับไผ่กระเด็นกลิ้งไปกับพื้น...นาคียกมือหมายปล่อยพลังซ้ำ ทันใดนั้น เงาดำพุ่งวาบเข้ามากระแทกนาคี กระเด็นออกไปไกล จักจั่นร่อนลงมายืน ประจันหน้า
“ขอเอี่ยวด้วยคน”
ดาวกับไผ่ดีดตัวเข้ามา
“ถ้าคิดว่าต้านเราสามคนไม่ได้...ก็ถอยไป”
ไผ่มองหยัน
“แต่ถ้าคิดบุก...เราก็สนองให้”
จักจั่นตั้งกราดเตรียมลุย
“ยกกำลังสาม”
นาคียิ้มเยือกเย็น
“วันนี้เป็นวันตายของพวกท่านทุกคน”
นาคีแวบเข้าไปกลางวง จักจั่น ดาว และ ไผ่ ผลัดกันเข้าจู่โจม...ต่างฝ่ายต่างบุกต่างตั้งรับ ต่างถูกกระแทก นาคีกระแทกดาวกับไผ่กระเด็นออกไป แต่เปิดช่องโหว่ โดนจักจั่นกระแทก เซเสียหลัก จักจั่นแวบเข้าไปปืนในมือตวัดเข้าที่หน้าอกของนาคี
“ขอแบบใกล้ชิดหน่อยนะ”
แต่แล้วมีเงาร่างพุ่งเข้ามาขวาง...เสียงปืนดังสนั่น แต่เงาร่างไม่สะเทือนกลับกระแทกร่างของจักจั่นปลิวออกไป ไผ่ดีดตัวเข้าไปรับร่างของจักจั่นไว้ทันท่วงทีก่อนที่จะตกถึงพื้น จักจั่นดีดตัวลงมายืนข้างไผ่ ดาวก้าวเข้ามายืนรวมกันเป็นสามคน สายตาตื่นเต้นคาดไม่ถึง
“คุณหนึ่ง”
ฤทธิชัยจ้องมาที่ทั้งสาม สายตาดุดันเยือกเย็น...จักจั่นมองอย่างสงสัย
“ท่าทางคุณหนึ่ง...จะไม่ใช่คุณหนึ่งซะแล้ว”
“เอาไงดี...น้องดาว”
นาคีก้าวเข้ามายืนใกล้ ฤทธิชัย ยิ้มเยาะ
“ท่านพี่...พวกมันคิดร้ายต่อนาคี กำจัดพวกมันให้หมด”
จักจั่นเหยียดปากหยัน
“โห...ยุ...อย่างกะตัวอิจฉา”
ดาวหันมาบอกไผ่
“พี่ไผ่...จักจั่น จัดการกับนางงู ดาวจะล่อคุณหนึ่งออกไป”
ดาวพุ่งเข้าหาฤทธิชัยแล้วปล่อยหมัดเข้าใส่ ฤทธิชัยปัดป้อง ต่อสู้ประชิดตัว นาคีปราดเข้าไปแต่ร่างของไผ่กับจันจิรา พุ่งเข้ามากระแทกร่างของนาคีกระเด็นไป...นาคีดีดตัวขึ้นมาประจันหน้า จักจั่นจ้องหน้า
“มือที่สาม...อยู่ก่อน”
นาคีดีดตัวเข้าหาไผ่กับจักจั่น ทั้งสามต่อสู้ประชิดตัวกัน อย่างตื่นเต้น
ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 8 (ต่อ)
ดาวพุ่งไปตามแนวไม้ ฤทธิชัยพุ่งตามไปติดๆ ดาวร่อนลงไปที่ลานเล็กแห่งหนึ่ง ฤทธิชัยร่อนตาม
“ท่านหนีเราไม่พ้นแน่”
ดาวแกล้งพูดภาษาโบราณ
“ท่านมีนามหรือไม่”
“นามเรา...”
ฤทธิชัยหยุดคิด...ดาวจ้องระวังพึมพำเบาๆ
“คุณหนึ่งถูกสะกดจนจำอะไรไม่ได้เลย”
“นามเราไม่สำคัญ...ท่านคิดทำร้ายคนรักของเรา เราต้องกำจัดท่าน”
ฤทธิชัยแวบพรวดเข้ามาใกล้ ปล่อยฝ่ามือฟาดฟันออกมา ดาวปัดป้องแวบหนีไปมา ฤทธิชัยแวบตาม แล้วปะทะกันแบบประชิดตัวสองสามหมัด ดาวถูกกระแทก ลอยลิ่วไปคลุกฝุ่น ฤทธิชัยดีดตัวเข้ามา ดาวตวัดปืนยิง เปรี้ยงๆ ฤทธิชัย เซถอยไปเสียจังหวะ ดาวพุ่งตัวออกไปในแนวป่า ฤทธิชัยตั้งตัวได้ดาวหายไปแล้ว ฤทธิชัยกราดสายตาดุดัน...
จักจั่นปลิวลงมาคลุกฝุ่น...แล้วดีดตัวลุกขึ้น นาคีกำลังปะทะกับไผ่อยู่ จักจั่นดีดตัวเข้าไป รุมนาคีต่างฝ่ายต่างปะทะกัน ทันใดนั้นเสียงดาวดังขึ้น
“พี่ไผ่ จักจั่น ถอยก่อนเร็วเข้า”
ไผ่กับจักจั่นตวัดมือพร้อมกันกระแทกร่างของนาคีถอยออกไป แล้วลอยตัวสูงหายไปบนยอดไม้ นาคีขยับตัวลอยขึ้นตาม แต่เสียงปืนดังสนั่นๆหวั่นไหว กระสุนถูกร่างของนาคีลอยวูบลงมา ฤทธิชัยปรากฏตัวรับร่างนาคีไว้ได้
“ท่านพี่”
“ศัตรูหนีไปได้”
นาคียิ้ม
“เราสนใจแต่ท่าน”
นาคีเอามือโอบกอดคอของฤทธิชัยไว้ยิ้มอย่างมีความสุข...ส่วน ฤทธิชัยมองนาคีอย่างหลงใหล
ดาวหน้าเคร่งเครียด จักจั่นเดินเข้ามา ไผ่เครียดๆ
“คุณหนึ่งเป็นแบบนี้พวกเราจบแน่”
ดาวถอนใจ
“ดาวจะถามอาจารย์ดู ว่าทำยังไงถึง จะช่วยคุณหนึ่งให้พ้นจากมนตร์ของนางงูได้”
จักจั่นยกมือพนมท่วมหัว
“สาธุ...ขอให้ช่วยได้ด้วยเถอะ”
“ดาวจะไม่ยอมให้คุณหนึ่งเป็นทาสของมัน”
ไผ่กับจักจั่นได้แต่มองหน้ากัน...ถอนใจ
รถจิ๊ปวิ่งมาจอดที่ลานด้านหน้าทางเข้ากำแพงมนต์ โจกับสัตยาก้าวลงมาจากรถทั้งสองกราดสายตามอง คายามังที่รออยู่แล้ว โจไม่พอใจมาก
“ท่านปล่อยไอ้ฤทธิชัยออกไป”
“เพื่อผลดีกับองค์กรของท่าน”
สัตยาโมโห
“กว่าจะได้ตัวมันไม่ใช่ง่าย ท่านคิดอะไร”
โจ ยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม...สัตยาหยุดพูดมองโจไม่พอใจ
“ผลดียังไง”
คายามังยิ้ม
โจกับสัตยาจ้องมองที่ผนังกำแพงมนต์ เป็นเหมือนกระจกคลื่นน้ำ เห็นฤทธิชัยเดินจูงมือกับนาคีอยู่ในราวป่าสนิทสนมกันมาก โจถามขึ้นทันที
“นี่เหรอ...ผลดี”
สัตยาโวย
“ท่านบ้าไปแล้วหรือไง”
โจปราม
“เย็นไว้ก่อน...สัตยา”
คายามังอธิบาย
“ตอนนี้ฤทธิชัยตกเป็นทาสเสน่ห์ของนาคีเราใช้ให้มันคอยป้องกันนาคี กำจัดพวกมัน”
สัตยาไม่จะเชื่อประชดประชัน
“ดูหนังมากไปหรือเปล่าน้า...”
โจเดินเข้ามาแทรกระหว่างสัตยากับคายามัง
“ท่านแน่ใจเหรอว่าจะควบคุมได้”
“ได้แน่นอน...ข้ารับผิดชอบเอง”
โจพยักหน้า
“ก็ได้...แต่ต้องให้นาคีอยู่นอกกำแพง ผมไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาดในฐานบังคับการใหญ่ของเรา”
คายามังพยักหน้า โจหันเดินออกไป สัตยามองหน้าคายามังยิ้มเยาะคิดว่าคายามังงมงาย
คายามังจ้องเฉยสายตาเย็นชา
รถจิ๊ปวิ่งมาจอดอยู่ตรงลานหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มือปืนยืนรักษาการอยู่ 4-5 คน สัตยากับโจนั่งทางด้านหลัง
สัตยาลงจากรถแต่แล้วหยุดยืนหันมาทางโจ
“ผมไม่ไว้ใจไอ้แก่บ้าไสยศาสตร์นั่น”
โจพยักหน้า
“จัดทีมมือปืนกับนินจาระดับสูงไว้ส่วนหนึ่ง...คอยตามดูไอ้ฤทธิชัยกับนางงูนั่น”
สัตยายิ้ม
“ที่แท้คุณก็ไม่ไว้ใจไอ้แก่นั่นเหมือนกัน”
โจจ้องเย็นชา
“ผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น” โจยิ้มเยาะ “แค่เก็บนายดำรง คุณก็พลาด...คุณพลาดทุกอย่างถึงได้ต้องมาอยู่ที่นี่”
โจโบกมือ รถจิ๊ปเคลื่อนออกไป สัตยามองตามอย่างไม่พอใจ
“อวดเก่ง...ระวังจะมีโจคนที่สองเข้ามาแทน”
ที่หน่วยพิเศษ...อภิชาติกำลังพูดสายโทรศัพท์
“ขอบคุณมาก”
อภิชาติวางสายแล้วหันมาทางงิ้วซึ่งยืนพิงโต๊ะทำงานของตัวเองอยู่
“นายดำรงปลอดภัยดี...หน่วยพิเศษกำลังไปรับตัวมา ที่ผมสงสัยคือพวกมันรู้ตำแหน่งของหน่วยพิเศษได้ยังไง”
“มีทางเดียว มีคนเอาเครื่องบอกตำแหน่งติดไว้ที่ตัวนายดำรง”
“ไม่มีทางเป็นไปได้หน่วยพิเศษตรวจอย่างละเอียด ทุกครั้งที่มีการขนย้ายบุคคลเป้าหมาย”
“แต่...กรณีนายดำรงอาจจะแผ่วไปบ้างก็ได้”
อภิชาติพยักหน้ารับหน้าเคร่งเครียด ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อภิชาติรับสาย
“ครับ”
อภิชาติอึ้งตะลึงคาดไม่ถึง
ที่เซฟเฮาส์ของดาว...จักจั่นคุยโทรศัพท์กับอภิชาติอยู่
“พี่ดาวต้องการให้คุณชาติรู้ไว้เท่านั้นจะได้ระวังตัว เผื่อว่าคุณหนึ่งอาจจะโผล่ไปหาคุณชาติแต่จักจั่นคิดว่าคุณชาติควรจะมาที่บ้านดอนเสือดีกว่า”
อภิชาติวางสายหน้าเคร่งขรึม งิ้วมองหน้า
“อย่าบอกนะว่าพวกมันเก็บนายดำรงเรียบร้อย”
อภิชาติส่ายหน้า
“ฤทธิชัยถูกนางงูใช้มนตร์สะกด...ไม่รู้ตัวกลายเป็นศัตรูของเราไปซะแล้ว”
งิ้วหน้าตื่น
“ล้อเล่นน่า”
“ผมต้องไปบ้านดอนเสือซักสองสามวัน”
“ทางนี้ยังต้องรอเครื่องจับสัญญาณหัวใจแบตเตอร์รี่ของไอ้นายใหญ่...ยังทำอะไรไม่ได้มากหรอกค่ะ รีบไปได้เลย”
อภิชาติสีหน้าเคร่งเครียดเดินออกไปจากห้อง...งิ้วมองตามด้วยความห่วงใยกังวล
นาคีเดินจูงมือมากับฤทธิชัยอย่างมีความสุข เหนือยอดไม้ดาวแอบซุ่มอยู่แต่แล้วก็ต้องตื่นเต้น
เมื่อกราดสายตาไปพบร่างของคายามังปรากฏอยู่ตรงหน้าของนาคีกับฤทธิชัยห่างออกไป ดาวพึมพำเบา
“นี่เอง...อาจารย์ยอดอาคมของนางงู”
“ท่านอาจารย์”
คายามังเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองคน ฤทธิชัยมองคายามังหน้าเฉย
“ท่านต้องการอะไร”
คายามังหันแหงนหน้าขึ้นมามองทางที่ดาวซุ่มอยู่...ดาวรีบหลับตาสมาธิร่างค่อยๆจางลงแล้วหายไป
คายามังเดินมาที่ต้นไม้ที่ดาวซุ่มอยู่..เคลื่อนตัวรอบๆต้นไม้กราดตามองรอบๆแต่มองไม่เห็นอะไร สุดท้ายก็เดินกลับไปที่นาคี...ร่างของดาวค่อยๆปรากฏขึ้นมาตรงที่เดิม
“ข้ามีที่พำนักใหม่ให้เจ้า”
“ข้าไม่เข้าใจ...ข้ามีที่พักอยู่แล้วในกำแพงมนต์”
คายามังยิ้ม
“ข้าอยากให้เจ้าอยู่กับชายของเจ้าตามลำพังอย่างมีความสุขไม่มีใครรบกวน”
นาคีมองคายามังจับพิรุธคายามังพยามเกลี้ยกล่อม
“ในกำแพงมีผู้คนและความลับมากมาย...ถ้าชายของเจ้าก่อความวุ่นวาย จะเดือดร้อนกันไปหมด”
นาคีนิ่งอึดใจ
“ก็ได้...”
คายามังเดินออกมา...นาคียิ้มจูงมือฤทธิชัยเดินตามออกไป ดาวมองตามแล้วพุ่งติดตามไป
ในถ้ำแห่งหนึ่ง...คายามังเดินนำ นาคีกับฤทธิชัยมายังถ้ำแห่งหนึ่ง คายามังพาทั้งสองเข้าไปในถ้ำ...พอทั้งสามพ้นเข้าไป เงาวูบวาบแวบปรากฏตามจุดต่างๆ 5 จุดเป็นพวกนินจาชุดดำ...ดาวอยู่บนยอดไม้หนาสอดสายตามอง
“นางงูมีพลังฝีมือสูง...ทำไมต้องมีนินจามาคอยคุ้มกัน”
ถ้ำถูกจัดไว้อย่างดี มีแท่นหินมีที่นอนหนาเตรียมไว้เรียบร้อยพร้อมหมอน...มีมุ้งบางๆห้อยลงมาจากเพดานด้านบน มีโต๊ะจัดไว้มุมหนึ่ง มีเก้าอี้สองคน...อีกด้านหนึ่งเป็นอ่างน้ำสีทองตั้งอยู่ ฤทธิชัยยืนอยู่ข้างนาคีมองไปทางหน้าถ้ำ หน้านิ่งเฉย นาคีจ้องคายามังสายตาสงสัย
“ท่านให้พวกนักรบมาทำไม”
“มาคุ้มครองเจ้า...เจ้าต้องจำไว้ ยามจันทร์เต็มดวง พลังเที่ยงคืนเจ้าต้องจำศีลในอ่างน้ำอาคมจนถึงเช้า พลังของเจ้าจะสมบูรณ์แต่ถ้าเจ้าไม่ทำตามพลังของจันทร์เต็มดวงจะดูดพลังของเจ้า...ทำให้เจ้าอ่อนแอถึงกลับสูญสิ้นได้”
นาคีจ้องพิจารณาหาพิรุธคายามัง
“ยามที่พลังเจ้าอ่อนแอ...อาจมีคนบุกเข้ามาชิงตัวชายของเจ้าไปก็ได้...เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือ”
นาคีหงุดหงิด
“ข้าต้องจำศีลอีกกี่ครั้งท่านถึงจะพอใจ”
“เพียงครั้งเดียวเท่านั้นพลังของเจ้าก็จะสมบูรณ์”
“พรุ่งนี้พระจันทร์ถึงจะเต็มดวง...ให้นักรบของท่านกลับไปก่อน”
นาคีออกอาการไม่พอใจ ฤทธิชัยยืนเคียงข้างหน้าเฉยเหมือนไม่รับรู้แต่อย่างใด
คายามังพยักหน้า แล้วเดินออกไป
คายามังก้าวออกมาพ้นหน้าถ้ำ นินจาคนหนึ่งก้าวเข้าไปหา
“เจ้าถอยไปซุ่มระวังอยู่ห่างๆอย่าให้นาคีรู้ตัว แล้วก็อย่าให้ใครหลุดเข้าไปได้”
คายามังเดินออกไป นินจายกมือโบกเป็นสัญญาณพวกมันต่างดีดตัวหายเข้าไปซุ่มอยู่ในแนวป่า ดาวที่ซุ่มดูอยู่ พึมพำเบาๆ
“พวกมันจะทำอะไรกันแน่”
ดาวค่อยๆเคลื่อนตัวออก แต่แล้วทันใดนั้นดาวก็ต้องพุ่งหลบเมื่อ มีดสั้นสองเล่มปลิวผ่านไปอย่างน่าหวาดเสียว ร่างของดาวร่อนลงกับพื้น ดาวดีดตัวเข้าแนวป่าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่นินจา 5 คนดีดตัวตามมาติดๆ
ดาวพุ่งห่างออกมาจากหน้าถ้ำของนาคี แต่แล้วก็หยุดเพราะมีนินจา 2 คนดักหน้าอยู่ ทันใดนั้นอีก 3 ร่อนลงมาทางด้านหลังพวกมันไม่พูดพล่ามทำเพลง พุ่งเข้ามาฟันพร้อมๆกัน ดาวหมุนตัวเข้าไปรับต้านมันพร้อมๆกัน ติดพันรุกรับกันหลายชุด อีก 2 คนก็เข้ามาร่วมด้วย ดาวตบกระเด็นไปหนึ่งมันก็สลับกันเข้ามา สุดท้ายดาวหมุนตัวปล่อยพลังออกมาพวกมันกระเด็นกระจายกันออกไป
“พวกแกมาอยู่นี่ แล้วใครเฝ้าธิดางู”
พวกนินจาต่างมองหน้ากัน
“แกไม่รู้เหรอว่านี่ เป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำ”
นินจาชะงักขยับตัวพุ่งกลับไปที่ถ้ำอย่างรวดเร็ว ดาวยิ้ม
“หลอกง่ายจริงๆ”
ดาวพุ่งออกไป
ที่เซฟเฮาส์ของดาว...อภิชาติกับจักจั่นเข้าสวมกอด ต่างคนต่างอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน
“ผมคิดถึงคุณ”
“จักจั่นก็คิดถึงคุณค่ะ”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน แล้วพากันมานั่งที่โซฟา
“คุณดาวล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
“พี่ดาวตามคุณหนึ่งไปค่ะ”
“ไปคนเดียวเนี่ยนะ”
“พี่ดาวไม่ยอมให้พวกเราไปค่ะ...พี่ดาวบอกว่าไม่อยากให้คุณหนึ่งทำร้ายพวกเรา”
“อืม...ผมพอจะเข้าใจ”
ทันใดนั้นเสียงดาวดังขึ้น
“เข้าใจอะไรคะ”
อภิชาติกับจักจั่นยืนขึ้น...ดาวเดินเข้ามา
“ผมเสียใจด้วย”
ดาวพยักหน้ารับ
“ได้พบนายหนึ่งมั๊ยครับ”
“ค่ะ...แต่นางงูคุมคุณหนึ่งไม่ยอมห่างเลย แถมยังมีนินจาคอยระวังอยู่อีกด่านหนึ่ง ยากที่จะเข้าถึงตัว”
อภิชาติกับจักจั่นต่างพูดไม่ออกหน้าเครียดกังวล
ดาวเดินไปเดินมา...อภิชาติกับจักจั่น ถอนใจ
“คุณดาวลองถาม...เอ้อ...”
“ดาวนั่งสมาธิถามอาจารย์ดูแล้วค่ะ...อาจารย์บอกว่า เอ้อ...ความรักเท่านั้นที่จะแก้ไขทุกอย่าง”
จักจั่นอึ้งๆ
“โห...แบบ...จุมพิตของรักแท้ ในเรื่องเจ้าหญิงนิทรายังงั้นเหรอ”
ดาวส่ายหน้า
“อาจารย์ไม่ได้บอกว่าทำยังไง”
“ไม่เป็นไรครับ...ผมจะไปเบิร์ทกะโหลกมันให้ฟื้นเอง หนอยริเป็นกิ๊กกับนางงู”
ดาวยิ้มออกมาได้
“ดีใจที่คุณอภิชาติมาค่ะ...แต่ปล่อยคุณงิ้วไว้คนเดียวจะดีเหรอคะ”
“ยังไงผมต้องมา...เพราะถ้าช่วยนายหนึ่งให้พ้นจากนางงูไม่ได้ ผมในฐานะเพื่อนและคุณดาวในฐานะภรรยา ย่อมรู้ว่านายหนึ่งยอมตายดีกว่าที่จะอยู่ในสภาพเช่นนี้”
ดาวจ้องหน้าอภิชาตินิ่งคาดไม่ถึงว่าอภิชาติคิดเช่นเดียวกับตน
“คนอื่นคงไม่กล้าที่จะทำ...แต่เราสองคน จะปล่อยให้นายหนึ่งตกนรกทั้งเป็นไม่ได้”
ดาวพยักหน้า จักจั่นได้แต่ถอนใจ เพราะรู้ว่าหมายถึงอะไร ต้องเด็ดชีวิตฤทธิชัยดีกว่าปล่อยให้เป็นทาสนางงู
ที่อนามัย...ป้าเนียนจ่ายยาให้กับคนไข้
“กินเช้าเย็น ครั้งละเม็ดนะ”
คนไข้ยกมือไหว้รับยาแล้วเดินออกไป คนไข้มาที่โต๊ะของจันจิรา หญิงสาวตรวจเอกสารอยู่ คนไข้เข้ามาถาม
“มีค่าใช้จ่ายมั๊ยจ้ะ”
“ไม่มีหรอกจ๊ะ”
คนไข้ยกมือไหว้จันจิรามองตามแล้วอดยิ้มไม่ได้...แต่แล้วสายตาเธอที่มองไปด้านนอกเห็นกลุ่มชายชาวบ้านที่ลุงเดชและแสงส่งมากำลังถูกพวกมือปืนของวิวัฒน์รุมล้อมอยู่…จันจิราลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
ชายชาวบ้าน 2-3 คน ทั้งหมดต่างระวังพวกมือปืนของวิวัฒน์ 5 คนที่ล้อมอยู่ ลูกพี่มองหน้าชายชาวบ้าน
“ข้าไม่เคยเห็นพวกเอ็ง”
หัวหน้าชาวบ้านหันมาบอก
“พวกข้ามาจากชายแดนทางใต้”
มือปืนตวาดไล่
“มาทางไหนไปทางนั้น”
มือปืนที่เหลือเดินเข้าลุย คนหนึ่งเข้ามาผลักอก หัวหน้าชาวบ้าน กระเด็นไปที่พื้น มันตามพร้อมยกขาเหยียบที่อก
“พูดดีๆไม่ฟัง”
ทันใดนั้นเสียงปืนดังเปรี้ยงเข้าที่ขาของมัน มันทรุด เอามือกุมแผลร้องลั่น...พวกมันต่างตวัดมือไปที่เอวจันจิราเล็งปืนใส่
“อ๊ะๆ...เจ็บฟรีไม่มีการรักษาใดๆทั้งสิ้น”
พวกมือปืนต่างถอย
“ลากเพื่อนแกออกไป”
พวกมันรีบเข้ามาพยุงไอ้คนขาเดี้ยง ลากออกไปที่รถกระบะของพวกมัน จันจิราหันมาทางพวกชาวบ้าน
“สวัสดีจ้ะ...ไม่สบายก็เข้าไปข้างในซิจ๊ะ”
หัวหน้าชาวบ้านยิ้ม
“ขอบใจแม่หนู”
ป้าเนียนเดินเข้ามา
“มีอะไรกันเหรอจัน”
หัวหน้าชาวบ้านหันมาบอก
“เอ้อ...คนที่ชื่อลุงเดช กับ แสง ให้มาที่นี่ เฮ้อ...หลงทางแทบแย่กว่าจะมาถึง”
จันจิรากับป้าเนียนมองด้วยความตื่นเต้น
ที่ลานหน้าบ้านชาวบ้านหลังหนึ่ง พวกมือปืนนั่งชุมนุมกันนับสิบ...ลุงเดชกับแสงเดินผ่านพวกมัน ยกมือทักทาย มานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของลานบ้าน แสงกระซิบเบาๆ
“ไม่รู้ว่าหนูดาวเป็นยังบ้าง”
“ข้าว่าไม่เป็นไรหรอก”
“ลุงเดชแน่ใจได้ยังไง”
“ง่ายนิดเดียว ไอ้แสง ถ้าหนูดาวเป็นอะไร ป่าไม่เงียบแบบนี้หรอก สายฟ้าต้องคำราม เสียงสายลมต้องดังทั่วป่า”
แสงพยักหน้ายิ้มๆ
“จริงของลุง”
ทันใดนั้นมีรถจิ๊ปวิ่งเข้ามาจอด ลุงเดช กับ แสง มองไป เห็นสัตยา คุยกับหัวหน้าหน่วย สักครู่หัวหน้าหน่วยหันชี้มาทางลุงเดชและแสง ลุงเดชเห็นท่าไม่ดี
“เตรียมพร้อมไว้ไอ้แสง ท่าทางไม่ค่อยดี”
แสงขยับปืน ทั้งสองมองไปก็เห็น หัวหน้าเดินฝ่าพวกที่นั่งอยู่ตรงมายังทั้งสอง ลุงเดชและแสงจ้องเขม็ง ปืนในมือกระชับแน่นมันเดินใกล้เข้ามา
“น้าสองคนมากับข้า”
“เรื่องอะไร”
“ตามมา...ไม่ต้องถาม”
ลุงเดชกับแสงลุกขึ้นยืน ต่างมองหน้ากันแล้วเดินออกไป
สัตยานั่งอยู่บนรถจี๊ปมีมือปืนยืนอยู่รอบๆประมาณ 5 คน หัวหน้าพาลุงเดชกับแสงก้าวเข้ามา
“มาแล้วครับ คุณสัตยา”
สัตยามองหน้าลุงเดช กับ แสง อึดใจก็พยักหน้า ทันใดนั้น มือปืน 5 คนก็พุ่งเข้าใส่ลุงเดช กับ แสง ทั้งสองหลบหมัดวูบ ลุงเดชตวัดไอ้คนชกด้วยด้ามปืน ขณะที่แสงถีบยันไอ้คนที่เข้ามาแล้วยิงหมัดใส่อีกคน พวกมันลุยเข้าไปใหม่เกิดการต่อสู้ประชิดตัว สุดท้ายพวกมือปืนก็หมอบกันหมด ลุงเดช กับ แสง ยืนจ้องหน้าสัตยาเตรียมพร้อม สัตยายิ้มพึงใจ
“ใช้ได้...ข้าต้องการแบบนี้อีก 10 คน”
สัตยาโบกมือ รถจิ๊ปวิ่งออกไป หัวหน้าหันมายิ้มให้ทั้งสอง
“นายมาหามือดี...ข้าก็เลยเสนอน้าสองคน”
ลุงเดชกับแสงต่างลอบมองหน้ากัน
ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 8 (ต่อ)
ป้าเนียนโล่งใจเมื่อเรื่องราวของลุงเดชกับแสงจากปากของหัวหน้าชาวบ้าน
“โล่งอกไปที ชาวบ้านบอกว่าลุงเดชกับแสงไม่เป็นไร”
จันจิรายิ้ม
“ป้าเนียนไม่ต้องห่วงลุงเดชกับพ่อแสงหรอกค่ะสองคนนั่นมีฝีมือแล้วก็วิชาพอตัว”
“ป้ารู้...แต่ก็อดห่วงไม่ได้หรอกน่า”
“เย็นนี้เราไปเยี่ยมแม่สมพรกับเด็กๆกันดีกว่า”
ป้าเนียนยิ้ม
“ดีเหมือนกัน จะได้บอกข่าวลุงเดชกับแสงด้วย”
ทั้งสองต่างยิ้มบรรยากาศสดใส
เม่งจูกับอาตง จำทุกอย่างได้แล้ว วิ่งมาที่ป้าเนียน และ จันจิราที่เดินเข้ามาพร้อมถุงขนมในมือ โดยมีสมาชิกโจร อาสาเข้ามาส่ง ป้าเนียนจูงมือเม่งจู ขณะที่จันจิราจูงอาตงเดินไปยังตัวบ้าน แม่สมพรยืนรออยู่ทั้งหมดมาถึงก็นั่งลงที่ ลานบ้าน จันจิรายกมือไหว้แม่สมพร ป้าเนียนโบกมือทักทาย จันจิราหยิบขนมแจกเด็กๆ
“พ่อแสงกับลุงเดชฉันไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ เพราะให้ไผ่ไปคอยดูอยู่แล้ว ว่าแต่หนูดาวกับจักจั่นล่ะ”
ป้าเนียนส่ายหน้า
“เอ้อ...ไม่รู้เหมือนกัน พักนี้หายไป”
จันจิรายิ้มแย้ม
“แม่สมพรสบายใจได้จ้ะ พวกเราเป็นคนดีพระย่อมคุ้มครอง”
ทั้งหมดต่างยิ้ม เม่งจู กับ อาตงต่างนัวเนียอยู่ข้างๆป้าเนียนกับจันจิรา ทันใดนั้นเสียงดาวดังขึ้น
“คุยอะไรกันอยู่จ๊ะ”
ทั้งหมดหันมาก็เห็นดาวกับจักจั่นยืนอยู่ เด็กๆดีใจ
“เย้”
อาตงกับเม่งจูต่างวิ่งมาหาดาว
เย็นนั้น...แม่สมพร ป้าเนียน จันจิรา หน้าเศร้าใจ เด็กๆ นอนหลับอยู่ข้างๆ ด
“ดาวมาบอกให้ทุกคนรู้เรื่องคุณหนึ่ง เพื่อที่ว่าทุกคนจะได้ระวังตัว เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
จักจั่นเข้ามากอดแม่สมพร
“จักจั่นจะไปกรุงเทพ สักพักนึง บอกไว้ก่อน ทุกคนจะได้ไม่เป็นห่วง”
“จักจั่นระวังตัวหน่อยนะลูก” แม่สมพรหันมาทางดาว “แม่เอาใจช่วยขอให้คุณหนึ่งรอดพ้นจากภัยครั้งนี้”
ดาวยิ้มพยักหน้า
“จันอยากช่วยทุกอย่าง พี่ดาวจะให้จันทำอะไรบอกได้นะจ๊ะ จันพร้อม” จันจิราประสานตากับดาว “ไม่ว่าจะอันตรายแค่ไหน”
ดาวยิ้ม
“พี่รู้จ้ะ พี่ต้องการทั้งจันและพี่ไผ่ พี่มีแผนอยู่แล้ว”
ลุงเดชกับแสง นั่งอยู่มุมของตน กราดสายตามองพวกมือปืนที่นั่งรวมกลุ่มอยู่ หัวหน้า เดินเลือกมือปืนแล้วเรียกออกมาจากกลุ่ม ลุงเดชกระซิบ
“ไอ้หัวหน้ากำลังเกณฑ์มือปืนอยู่โน่น”
“ลุงเดชว่านายสัตยาจะเกณฑ์เราไปทำอะไร”
“อะไรก็แล้วแต่ เราเล่นตามน้ำไปก่อน ดีไม่ดีอาจเข้าถึงรังใหญ่ของมัน”
ทันใดนั้นเสียงสายลมร้องก้องบนท้องฟ้า ลุงเดชและแสงต่างลอบมองขึ้นไป เห็นสายลมบินวนร้องก้อง อึดใจก็บินห่างออกไป แสงแปลกใจ
“มีเรื่องหรือเปล่า”
“ข้าว่าไม่ใช่ คงส่งข่าวอะไรมากกว่า ไผ่น่าจะรู้”
ทันใดนั้นเสียงไผ่ดังขึ้น
“ไงน้ามาหลบอยู่นี่เอง”
ไผ่เดินเข้ามายิ้มกวนๆ ลุงเดชต่อว่าทันที
“ข้าบอกเอ็งแล้วว่าอย่ามายุ่งกับข้าสองคน”
มือปืนที่นั่งอยู่ใกล้ๆต่างหันมามอง ยิ้มขำกัน ไผ่พูดเบาๆ
“ใจเย็นน่าลุง...สายลมบอกตำแหน่งที่ซ่อนอาวุธของมันคืนนี้ผมจะจัดการ” ไผ่ทำเป็นพูดเสียงดัง “ไปก็ได้ โธ่นึกว่าเจ๋งนักหรือไง”
มือปืนที่นั่งข้างๆต่างมองแล้วขำฮึมฮำ ไผ่ลุกออกไป ลุงเดชกับแสงลอบสบตากัน
ค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง...แต่แล้วก็มีเมฆกลุ่มหนึ่งมาบดบัง ดาวกับอภิชาติในชุดดำพร้อมปฏิบัติการ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ถ้ำของนาคี อภิชาติมองท้องฟ้า
“เมฆบังดวงจันทร์มืดพอดี...ได้เวลาลุยแล้ว”
“ต้องจัดการกับพวกนินจาที่ซุ่มอยู่ก่อน”
“ผมจะเล่นงานพวกนินจากับนางงู...ส่วนคุณดาวเล่นงานไอ้คุณหนึ่ง”
“คือ...ดาวว่า...เอ้อ...อันตรายเกินไป”
อภิชาติยิ้มเอามือผ่านหน้าตัวเองปรากฏว่ากลายใส่หน้ากากเรียบร้อย
“อย่าลืมซิครับ...ว่าตอนนี้ผมมีพลังนางเสือเหมือนกัน”
ดาวยิ้ม...อภิชาติเคลื่อนตัวออกไป
ดาวกราดสายตาจ้องตามเงาของอภิชาติที่พุ่งไปทางหน้าถ้ำ
อภิชาติปรากฏตัวตรงหน้าถ้ำ ทันใดนั้น ร่างของนินจาชุดดำ 5 คนดีดตัวออกมาล้อมไว้ อภิชาติสะบัดมือขึ้นทั้งสองข้างปรากฏมีปืนติดมาสองกระบอก สาดกระสุนเข้าไปในถ้ำเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พวกนินจาโดดเข้ามาฟันฟึบฟับอภิชาติดีดตัวหลบคมดาบแล้วตบเปรี้ยงพวกมันกระเด็นออกไปสอง เกิดการต่อสู้ติดพันประชิดตัว
ทันใดนั้นร่างของ นาคี กับฤทธิชัย พุ่งออกมาจากในถ้ำ...ยืนมองอภิชาติต่อสู้กับนินจาอยู่ ฤทธิชัยพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น
“เราจัดการกับศัตรูเอง”
นาคีห้ามไว้
“ไม่ต้อง...นาคีจัดการเอง พวกเจ้า...ถอยมา”
นินจาดีดตัวถอยห่างออกมาล้อมไว้ อภิชาติตั้งท่าเตรียมพร้อมกราดสายตามายังนาคี และฤทธิชัย แล้วพึมพำกับตนเอง
“ไหนขอลองหน่อย...ว่ามนต์ของนางงู จะร้ายแรงซักแค่ไหน”
อภิชาติเหนี่ยวไกยิงฤทธิชัย เปรี้ยงๆๆๆ ฤทธิชัยเซ...นาคีโกรธผมกลายเป็นงูส่ายไปมาแล้วดีดตัวเข้าหา อภิชาติยิงสวนมา นาคีแวบไปมาหลบลูกปืน แล้วแวบมาโผล่ตรงหน้าอภิชาติ ตบเปรี้ยง อภิชาติหลบแวบหายไป โผล่ในแนวป่า ห่างออกไป แล้วยิงใส่นาคีเปรี้ยงๆๆๆ นาคีแวบพุ่งเข้าหา อภิชาติพุ่งหายเข้าแนวป่าไป พวกนินจาต่างมองหน้ากันแล้วดีด ตัวตามนาคี ออกไป ฤทธิชัยดีดตัวพุ่งตามแต่แล้วมีเงาดำแวบเข้ามาปะทะโครมร่างของทั้งสองกลิ้งไปกลับพื้น แล้วดีดตัวขึ้นมายืนประจันหน้ากัน เป็นดาวนั่นเอง
“คุณหนึ่ง”
“ถอยไป...อย่าขวางเรา”
ดาวจ้องฤทธิชัยเขม็ง
“คุณหนึ่ง...ดาวเองค่ะ”
“ใครขวางเราต้องตาย”
ฤทธิชัยจะดีดตัวออกไปแต่ดาวแวบเข้ามาขวางไว้ ฤทธิชัยตบซ้ายขวาเกิดการต่อสู้ประชิดตัว ดาวพยายามแค่ปัดป้องเวลาผ่านไปสองสามท่า ดาวก็ถูกกระแทกปลิวไป ฤทธิชัยขยับตัวหันไปทางแนวป่าเพื่อตามนาคีแต่ดาวดีดตัวเข้ามาขวางไว้อีก ฤทธิชัยตวัดแขนใส่ แต่ครั้งนี้ดาวหลบแล้วตบเปรี้ยง ฤทธิชัยหน้าหัน ไป ฤทธิชัยหันกลับมา จ้องดาวเขม็ง ดาวถอยระวัง
“คุณหนึ่ง”
ฤทธิชัยพุ่งเข้ามา แล้วบุกด้วยพลังโกรธ ต่อสู้ประชิดตัว ดาวปัดป้องพร้อมโต้ตอบเพื่อป้องกันตัวกลายเป็นเพิ่มความโกรธให้กับฤทธิชัย ติดพันกันอยู่พักหนึ่งสุดท้ายฤทธิชัยตวัดมือโครมกระแทกร่างของดาวกลิ้งไปหลายตลบ ดาวดีดตัวขึ้นมาแต่ฤทธิชัยแวบเข้ามาถึงตัวเร็วเกินคาดมือทั้งสองข้างคว้าคอหมับ ดาวเอามือคว้าไว้พยายามออกแรงต้าน...แต่สุดท้ายสู้แรงต้านไม่ไหว หายใจติดขัดสถานการณ์คับขัน
อภิชาติดีดตัวเข้ามาในราวป่า แต่ให้นาคีไล่ได้ทัน สุดท้ายหันมาเผชิญหน้า นาคี พร้อมด้วยนินจา 5 คนยังล้อมอยู่
“ความจริงหน้าตาก็สวยดี...แต่ไม่ค่อยปลื้มทรงผมเท่าไหร่”
นาคียิ้ม
“ท่านรนหาที่ตาย”
“ไม่ลองออกเดทกันก่อนเหรอ สาวหลงข้าพเจ้าตรึมนะจะบอกให้”
นาคีตาวาวพุ่งเข้ามาใกล้ตบเปรี้ยง อภิชาติกระเด็นออกไป...นินจาคนอยู่ใกล้ดีดตัวเข้าไปหมายฟัน
นาคีสะบัดมือปล่อยพิษออกไปเสียงดังตึบ ร่างของนินจาลอยละลิ่วไปกระแทกต้นไม้โครม ร่วงลงมานิ่งสนิท
“พวกเจ้าอยากตายหรือไง”
นินจาต่างชงัก ตั้งท่าอยู่รอบนอก อภิชาติตั้งหลักได้
“เฮ่...เล่นแรงแบบนี้ ไม่ไหว เราอย่าเดทกันดีที่สุด”
อภิชาติยิงเปรี้ยงๆๆ เข้าใส่ นาคีแวบหายแล้วมาโผล่ตรงหน้าตบเปรี้ยง อภิชาติลอยลิ่วแล้วตกไป
กระแทกพื้นอย่างแรง นิ่งสนิท นาคียืนจ้องเขม็ง
“เรายังไม่ยอมให้ท่านตายง่ายๆ”
อภิชาติยังนอนฟุบนิ่งอยู่อย่างนั้น เขาเอามือหันไปที่ร่างของนินจาที่ฟุบอยู่ตรง
ต้นไม้ นาคีจ้องอภิชาติดวงตาวาวแล้วเดินเข้าไปหา...แต่แล้วร่างของนินจาที่ฟุบอยู่ตรงต้นไม้ถูกพลังมือของอภิชาติตวัดพุ่งเข้าหานาคีอย่างรวดเร็ว นาคีหลบพลางตวัดมือตบร่างของนินจากระเด็นหายเข้าแนวป่าไป นาคีหันขวับกลับมา อภิชาติหายไปแล้ว...นาคีโกรธแค้นหันไปมองนินจา 4 คนที่เหลืออยู่...
“ใครให้พวกท่านมาคอยดูเรา”
นินจา 4 คนต่างถอยออก ไม่มีคำตอบ
“พวกเจ้ายังไม่รีบไป”
นินจา 4 คนก้าวถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวแล้วดีดตัวหายไปในเงามืด...นาคีมองตามไม่พอใจ
ดาวหายใจติดขัด...แต่แล้วเมฆบนท้องฟ้าผ่านพ้นดวงจันทร์ พระจันทร์เต็มดวงอีกครั้งแสงจันทร์สาดลงมาที่ร่างของฤทธิชัยกับดาว ทันใดนั้นฤทธิชัยเหมือนรู้ตัว
“คุณดาว”
ฤทธิชัยคลายมือ ดาวสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่อย่างคาดไม่ถึง
“คุณหนึ่ง”
ทั้งสองต่างอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน...อึดใจดาวรู้ตัวถอยออกมา
“คุณดาว...เกิดอะไรขึ้น”
“คุณหนึ่งถูกมนต์นางงู...ลืมหมดทุกอย่างคิดฆ่าพวกเรา”
ฤทธิชัยชะงัก
“เป็นไปได้ยังไง”
ดาวเห็นแสงจันทร์จับต้องที่หน้าของฤทธิชัย แหงนดูท้องฟ้าเห็นพระจันทร์เต็มดวง ดาวพึมพำ
“แสงจันทร์...ความรัก...ใช่แล้ว”
“ทำไมหรือครับ”
“อาจารย์บอกว่าความรักจะช่วยให้ทำลายมนต์ของมัน คงเป็นเพราะดวงจันทร์เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความรัก คุณหนึ่งถึงได้คืนสติกลับมา...”
“แค่คืนสติเท่านั้นเหรอครับ”
“ดาวยังตีความไม่ออกว่าต้องทำยังไงถึงจะสยบมนต์ได้”
ทั้งสองต่างมองขึ้นไปที่ดวงจันทร์ ซึ่งขณะนี้เมฆกลุ่มใหม่กำลังลอยเข้ามาบดบังทีละนิด ดาวหน้าตื่น
“แย่แล้ว...เมฆกำลังจะบังดวงจันทร์”
ฤทธิชัยสะบัดหัวตั้งสติ
“คุณ...ดาว...รี...บ...หนี”
ทันใดนั้นดวงตาฤทธิชัยกลับกลายเป็นดุร้าย มีเงาของงูซ้อนขึ้นมา ฤทธิชัยสะบัดหน้า เงาของงูหายไป
“รีบไป...เร็ว”
ดาวจ้องเขม็ง
“คุณหนึ่ง...แข็งใจไว้...ลองใช้พลังต้านเอาไว้”
ฤทธิชัยพยายามใช้พลังสู้ แต่ต้านไม่ไหวแต่แล้วเมฆพ้นดวงจันทร์ ฤทธิชัยค่อยๆได้สติ เสียงสายลมร้องก้อง ทันใดนั้นเสียงนาคีดังขึ้น
“ท่านคิดจะทำอะไร”
ทั้งสองหันไป เห็นนาคียืนจ้องมาสายตาดุดันผมบนหัวเป็นงูส่ายไปมา...นาคีเดินเข้าหาด้วยสายตาดุดัน
“คืนคนของเรามา”
ทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของนาคีเซไป อภิชาติตะโกนบอก
“คุณสองคนจะอยู่คิสกันก่อนหรือเปล่าครับ”
ดาวคว้ามือฤทธิชัยพุ่งเข้าไปในราวป่าอย่างรวดเร็ว...นาคีตาลุกวาวพุ่งตัวตามติด...แต่อภิชาติก็แวบมาขวาง นาคีโกรธยกฝ่ามือสองข้างปล่อยพิษออกมา อภิชาติแวบหายกิ่งไม้ทางด้านหลังหักกระจุยกระจาย กลายเป็นสีดำ อภิชาติแวบโผล่มาอีกทางแล้วสาดกระสุนเข้าใส่ นาคีเซสายตาดุดันอภิชาติสะบัดมือวัตถุสีดำพุ่งเข้าใส่นาคี
เสียงระเบิดตูมไฟลุกท่วม นาคีเดินฝ่าไฟออกมา แต่ร่างของอภิชาตหายไปแล้ว
นาคีกราดสายตาแล้วหันไปมองในแนวป่าด้านหนึ่งเพ่งสายตา...เห็นภาพรางๆของดาวจูงมือฤทธิชัยวิ่งอยู่ในราวป่า นาคียิ้มดุดันขยับตัวจะตามไป...
แต่แล้วทันใดนั้น ร่างของนาคีก็ซวนเซ คำพูดของคายามังแว่บเข้ามาในหัว
“เจ้าต้องจำไว้ ยามจันทร์เต็มดวง หลังเที่ยงคืนเจ้าต้องจำศีลในอ่างน้ำอาคมจนถึงเช้า พลังของเจ้าจะสมบูรณ์ แต่ถ้าเจ้าไม่ทำตามพลังของจันทร์เต็มดวงจะดูดพลังของเจ้า...ทำให้เจ้าอ่อนแอถึงกลับสูญสิ้นได้”
นาคีเจ็บแค้นใจ
“ท่านไม่มีทางแก้มนต์ของเราได้หรอก”
นาคีเซ...แต่แล้วก็ยกมือตวัดร่างแวบไปยืนอยู่ตรงอ่างมนตร์ทองคำในถ้ำ แล้วค่อยๆก้าวลงไปในอ่างแช่ตัวนอนลงหลับตาพลันมีม่านบางๆสีแดงปรากฏครอบคลุมร่างที่อ่างตรงส่วนเท้าปรากฏเป็นหางงูม้วนขึ้นมาจากน้ำเลยออกมาจากอ่างม้วนไปมาอยู่บนพื้นดิน...นาคีหลับตานิ่ง
ดาวกับฤทธิชัยวิ่งมาถึงลานเล็กๆแห่งหนึ่ง ดาวหลับตาสมาธิสัมผัสดูอึดใจแล้วลืมตาขึ้น
“เราพ้นแล้วค่ะ”
สุดท้ายทั้งสองต่างอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน...อึดใจก็ถอยห่างออกมา ฤทธิชัยถอนใจ
“ผมเสียใจที่พลาด...ปล่อยให้นางงูครอบงำ”
“เรายังมีทางแก้ไขค่ะ”
ฤทธิชัยพยักหน้า
“แต่ถ้าแก้ไม่ได้ ผมอยากให้ คุณดาว”
ดาวเอามือแตะที่ริมฝีปากของฤทธิชัย
“ดาวทราบค่ะ”
ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง ในที่สุดอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอีก ทันใดนั้นมีเสียงสวบสาบดังขึ้น
ทั้งดาวและฤทธิชัยต่างตวัดปืนไปยังที่มาของเสียงพร้อมกันจ้องเขม็งอยู่ที่พุ่มไม้ข้างหน้า ปืนในมือเตรียมพร้อม
“อย่ายิงผมนะคร๊าบ”
ดาวกับฤทธิชัยหันกลับมาทางด้านหลัง ก็พบอภิชาติยืนยิ้มอยู่
“ดีใจที่ผมของแกยังไม่เป็นงูอย่างถาวร”
ฤทธิชัยยิ้ม อภิชาติเดินเข้ามาใกล้ ในที่สุดก็โอบกอดกัน อึดใจก็ถอยออก
“ได้ข่าวว่านายมีกิ๊กเป็นงู เลยต้องมาดูซะหน่อย”
ฤทธิชัยยิ้ม
“แกจะลองมั่งก็ได้”
“เสนอตัวแล้ว แต่นางงูไม่รับ...เกิดอะไรขึ้นทำไมคุณหนึ่งถึงได้สติกลับคืน”
“ดาวคิดว่าเป็นเพราะแสงจากดวงจันทร์ค่ะ”
ทั้งสามต่างยิ้มให้กัน
“ตามสบายเพื่อน”
อภิชาติยิ้มแล้วแวบหายออกไป...ฤทธิชัยกับดาวต่างสบตากัน ในที่สุดก็อยู่ในอ้อมแขนของกันและกันอีกครั้ง...อภิชาติแอบอยู่ที่แนวป่ามองด้วยความเศร้าใจ...ฤทธิชัยกับดาวยืนอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน
ในราวป่าด้านหลังของหมู่บ้าน...พวกมือปืน 5 คนยืนระวังอยู่ ด้านหลังของมันเป็นรถคอนเทนเน่อร์
สองคันจอดซุ่มอยู่ในหุบเล็กๆ สักครู่มือปืนสองคนเดินไปอีกทาง สามคนยังยืนระวังอยู่...บนเนินร่างของไผ่ใส่หน้ากากปรากฏตัวขึ้นสายตาจ้องลงมาที่พวกมัน ทันใดนั้นก็ทิ้งตัวลงมากลางกลุ่มพวกมันเกิดการต่อสู้ประชิดตัวอึดใจผ่านไปพวกมันทรุดลงหมดไผ่ปราดเข้าไปที่รถคอนเทนเนอร์สองคัน เอาระเบิดติดไว้รอบๆอย่างรวดเร็ว แต่แล้วเสียงมือปืนคนหนึ่งดังขึ้น
“เฮ้ย...หยุด...กระดิกนิดเดียวมึงดับ”
มือปืนอีกคนตะคอก
“หันมา”
ไผ่หันกลับมา ที่แท้เป็นไอ้มือปืนสองตัวที่แยกไป มันถึงกับคาดไม่ถึง
“เฮ้ย นางเสือ”
มันสองคนสาดกระสุนเข้าใส่ด้วยความตกใจเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ไผ่แวบหลบหายไปทันท่วงที มันกราดปืนตามยิงสาดส่งเดช เสียงปืนดังสนั่นออกไป...ลุงเดช และ แสง กราดสายตาไปทางเสียงปืน หัวหน้ามือปืนพรวดขึ้นมา
“มีคนบุกที่เก็บอาวุธ...เร็วเว้ย”
พวกมือปืนนับสิบต่างวิ่งกรูกันไปทางด้านเสียงปืน บ้างขึ้นรถกระบะ หัวหน้ามือปืนหันมาทางลุงเดช และ แสง
“เอ็งสองคน มากับ ข้า”
หัวหน้าวิ่งไปที่รถจิ๊ป ที่มีมือปืนรออยู่แล้ว 3-4 คน หัวหน้าขึ้นไปนั่งข้างหน้า
ลุงเดช กับ แสง โดดเกาะข้างๆ ขณะที่รถจิ๊ปวิ่งออกไป
มือปืนสองคน สาดกระสุน ไปรอบๆ ด้วยความหวาดกลัว ทันใดนั้นร่างของไผ่ลอยขึ้นไปยืนบนหลังคารถคอนเทนเนอร์ สาดกระสุนเข้าใส่มันสองคนคว่ำไป
ทันใดนั้นรถกระบะกับรถจิ๊ปก็วิ่งเข้ามาถึง แสงไฟหน้ารถสาดจ้าพวกมือปืนโดดลงจากรถหลายคนถือไฟฉายสาดเป็นลำขึ้นไปที่ไผ่ เห็นไผ่ยืนเด่น หัวหน้าตะโกนลั่น
“เร็วเว๊ย...เก็บมันให้ได้”
ลุงเดชกับแสง ตวัดปืนยิงสาดออกไป แล้วลุยเข้าไปใกล้
“ยิงเข้าไว้ อย่าให้มันสงสัย”
แต่แล้วทันใดนั้นรถคอนเทนเนอร์สองคันก็ระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไฟลุกท่วม ร่างของไผ่อยู่ในเปลวไฟพวกมันมองอย่างคาดไม่ถึง หัวหน้ารีบสั่งการ
“อย่าให้มันหลุดออกมา”
พวกมือปืนยิงกราดเข้าไปที่กองไฟ ไฟท่วมจนไม่เห็นไผ่ในที่สุด ลุงเดชกับแสงต่างมองหน้ากันอย่างเป็นกังวล มันใดนั้นเสียงไผ่ก็ดังขึ้น
“แบบนี้มันไม่รอดหรอก”
ลุงเดชกับแสงหันมาเห็นไผ่ยืนยิ้มอยู่ข้างหลัง ไผ่เดินเข้ามาใกล้หัวหน้า
“หรือพี่ว่าไง”
“รอดได้ก็ให้มันรู้ไป”
ลุงเดชกับแสงเดินเข้ามาประกบไผ่คนละข้างไผ่ยิ้มให้ ลุงเดชเปรยๆขึ้น
“ประมาทแบบนี้ เจอข้าไม่รอดแน่”
แสงเสริม
“ฉันก็ว่ายังงั้นเหมือนกัน”
ลุงเดชกับแสงพูดหน้าตาหน้าเฉย ไผ่ยิ้มหุบ
แสงจันทร์สาดส่องรางๆ ดาวกับฤทธิชัยนั่งพิงต้นไม้อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน มือของอภิชาติเข้ามาแตะที่ไหล่ของดาวเบาๆ ดาวลืมตาขึ้น
“ได้เวลาแล้วครับ”
ดาวขยับตัว ทำให้ฤทธิชัยรู้ตัวลืมตาขึ้นมาด้วย
ดาว อภิชาติ และ ฤทธิชัย ยืนกันอยู่ ฤทธิชัยพูดขึ้น
“รีบไปกันได้แล้ว”
“ถ้านายหายเมื่อไหร่อย่าลืมเลี้ยงมื้อใหญ่นะเพื่อน”
ฤทธิชัยยิ้ม อภิชาติเดินเข้ามาใกล้ ทั้งสองกอดกันอีกครั้ง อึดใจก็ถอยออก
“ผมจะไปรอข้างนอก”
อภิชาติแวบหายออกไปดาวเข้ามากอดฤทธิชัย เงยหน้าขึ้นมองน้ำตาซึม
“ดาวจะต้องได้คุณกลับมา”
ฤทธิชัยยิ้ม
“ผมเชื่อมือคุณ”
ทันใดนั้นฤทธิชัยมีอาการสั่นเล็กน้อย...ใบหน้ามีใบหน้าของงูปรากฏขึ้นมารางๆ ฤทธิชัยพยายามต่อสู้ แต่แววตาเริ่มดุดันน่ากลัว...ดาวจ้องน้ำตาอาบแก้ม สุดท้ายแวบหายไป ในขณะที่ฤทธิชัยสายตาดุดันเต็มที่
นาคีลืมตาขึ้นมา สายตาแวบวับพลังเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ ทันใดนั้นนาคีสะบัดมือออกทั้งสองข้างพร้อมกัน อ่างน้ำมนต์แตกระเบิดน้ำกระจาย
นาคีพุ่งไปเหนือยอดไม้...แล้วร่อนลงบนลานเล็กๆ กราดสายตา พลันหันกลับมาทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ร่างของฤทธิชัยปรากฏขึ้น
“ท่านพี่”
นาคีโผเข้าหาฤทธิชัยแล้วซบที่อกอย่างเสน่หา ฤทธิชัยกอดนาคีอย่างหลงใหล
ที่โกดังนอกเมืองแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยพิเศษ...ตอนเช้าของวันใหม่...งิ้วนั่งมองจ้องดำรงอย่างพิจารณา ดำรงนั่งเอ๋ออยู่บนเตียง ที่เอวยังพันผ้ารอบจากบาดแผลที่ถูกยิงที่ท้อง...หมอเดินเข้ามา
“ต้องขอตรวจบาดแผลแล้วครับ”
งิ้วพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องไป
งิ้วเดินเข้ามาในห้องพัก ตรงไปที่โต๊ะทำงาน แต่แล้วก็ตวัดปืนหันกลับมากราดไปรอบๆห้อง หญิงสาวหน้าเคร่งเครียดสงสัย...แต่แล้วได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ งิ้วกราดปืนตามเสียง แต่ไม่เห็นอะไร เสียงคิกคักเงียบไป...งิ้วกราดสายตาอึดใจ
“เรานี่ถ้าจะบ้าไปแล้ว”
งิ้วตวัดปืนเก็บเข้าซองค่อยๆเดินไปที่โต๊ะ...แต่แล้วหันตัวกลับเหวี่ยงหมัดออกไป ได้ยินเสียงเหมือน
ปะทะกับบางสิ่ง งิ้วยิงหมัดตาม ได้ยินแต่เสียงตึบๆ อึดใจก็เห็นร่างหนึ่งปรากฏกำลังรับหมัดของงิ้วอยู่ที่แท้เป็นจักจั่นนั่นเอง
“โห...ใจเย็นหน่อยเด้”
งิ้วหยุดจู่โจมมองอย่างคาดไม่ถึง
“คุณจักจั่น”
จักจั่นยิ้มอย่างสนุก งิ้วเหล่หน้าเอาเรื่อง
“มีพรางตัวได้ด้วยเหรอเนี่ย”
“แต่ก็ยังหลบคุณงิ้วเกือบไม่พ้น”
“คุณหนึ่งเป็นยังไงบ้าง”
จักจั่นถอนใจ...งิ้วเปิดตู้เย็นหยิบน้ำออกมาแล้วโยนไป จักจั่นรับไว้
“แท็งคิ่ว”
“หวังว่าคุณอภิชาติกับคุณดาวสามารถช่วยคุณฤทธิชัยให้พ้นจากนางงูได้”
“ต้องได้...ไม่ยังงั้นไอ้พวกแบล็คอีวิลยึดประเทศแน่”
จักจั่นยกน้ำขึ้นดื่มแล้วเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ตรงโต๊ะสำหรับให้ทุกคนมานั่งพัก งิ้วเดินตามมานั่งตรงข้าม
“แล้วทางนี้ล่ะ”
“รอเครื่องจับสัญญาณอยู่...ได้เมื่อไหร่เราจะดำเนินการทันที เริ่มจาก ท่านรองศักดา แล้วก็ นายโจ”
“สุดยอด”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน...
“มีอีกอย่างหนึ่ง ที่ต้องรบกวนความสามารถ”
“ว่ามา”
“งิ้วไม่แน่ใจว่า นายดำรง...เอ๋อจริงหรือเปล่า”
จักจั่นหยุดคิด พยักหน้าช้าๆ
“ได้จักจั่นจะพลางตัว คอยจับตาดูนายดำรง”
งิ้วยิ้ม
“ระวัง...อย่าให้ตาเป็นกุ้งยิงก็แล้วกัน”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน
ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 8 (ต่อ)
ที่ห้องพักของดำรง...พยาบาลส่งยาให้ ดำรงรับยามากินแล้วแล้ววางแก้วน้ำลงบนถาด พยาบาลเดินออกไป ดำรงค่อยๆ เอนกายลงเอื้อมมือไปที่ใต้หมอนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดสาย
“ฮัลโหล...ฮัลโหล”
ทันใดนั้นเสียงจักจั่นก็ดังขึ้น
“ฮัลโหลด้วย”
ดำรงหันมาก็เจอจักจั่นยืนกอดอกมองอยู่ ดำรงถึงกับหน้าซีด
งิ้ว เดินไปเดินมาแล้วเข้ามาจับข้อเสื้อดำรงกระชาก จักจั่นเข้ามาขวางไว้ งิ้วยอมถอยออกมา
“แก...ไอ้หนอนบ่อนไส้ ปล่อยให้พวกมันเก็บซะก็ดี”
“ผมเปล่าครับ...ผมแค่โทรหาเอ้อ...ทางบ้าน”
เสียงโทรศัพท์ดังชึ้น งิ้วรับสาย
“ว่าไง...อืม...โอเค...ขอบคุณมาก”
งิ้ววางสายหน้าตาหงุดหงิดพยักหน้ากับจักจั่น
“นายดำรงฉวยโอกาสที่หมอเผลอตอนตรวจแผล ขโมยมือถือ หมอเพิ่งกลับไปไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโทรศัพท์หาย”
จักจั่นมองหน้าดำรง
“แกล้งทำเอ๋อ...เชอะ ฉันจะให้นายเอ๋อไปตลอดชีวิต”
ดำรงหน้าจ๋อย
“เห็นใจผมเถอะครับ...ผมทำเอ๋อ...เพื่อพวกมันจะได้ปล่อยผม...ไม่สนใจผม”
“แล้วคราวก่อน”
“ผมแอบเอาโทรศัพท์ซ่อนเข้ามา ทิ้งตอนเคลื่อนกำลัง”
งิ้วโมโห
“นายโทรศัพท์ครั้งเดียว...ทำให้หน่วยเราต้องสูญเสียทั้งกำลังคน และทุกอย่าง”
ดำรงหน้าเสีย
“ผม...ผม...รับผิดชอบเองครับ...ผมจะชดใช้ให้ ทุกอย่าง”
“ชีวิตคนนายชดใช้ได้มั๊ย”
งิ้วเสียอารมณ์เดินออกไป จักจั่นหันมาทางดำรง
“ถ้านายก่อเรื่องอีก ฉันจะยิงนายทิ้ง”
ดำรงพยักหน้าหงึกๆ หน้าซีด...
ที่เซฟเฮาส์ของดาว...อภิชาติเดินไปเดินมาอย่างครุ่นคิด ดาวนั่งอยู่ใกล้ๆ
“อย่างน้อยเราแสงจันทร์ทำให้เรารู้ว่าความรักทำลายมนตร์ชัวร์ คุณดาวต้องพยายามหาวิธีให้ได้”
ดาวเป็นกังวลคิดไม่ตก อภิชาติถอนใจ
ดาวนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ มองรูปของเธอกับฤทธิชัยในโอกาสต่างๆ เช่น งานแต่งงาน, ในอ้อมกอดของกันและกัน, รูปคู่ตามสถานที่ต่างๆ อภิชาติเดินเข้ามามองที่จอคอมพิวเตอร์ อภิชาติเอามือโอบไหล่ดาวเบาๆเป็นเชิงปลอบ
“ดาวรู้แล้วค่ะว่าต้องทำยังไง”
อภิชาติหันมามองหน้าดาว
“มีทางเดียวที่จะช่วยคุณหนึ่งได้…ก็คือ...”
ดาวขยับนิ้วไปมาบนคอมพิวเตอร์ รูปคู่ของดาวกับฤทธิชัยตรงหน้าจอแล้วดับวูบลง ดาวเอามือกดจอพับลงไป
“คุณดาว”
ดาวพยักหน้า
“เป็นทางเดียว เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”
รถจิ๊ปของสัตยาวิ่งนำ ลุงเดชกับแสงที่นั่งอยู่ทางด้านหลังกับมือปืน ตามด้วยรถกระบะที่มีมือปืนเต็มรถ
รถทั้งสองวิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน จอดตรงลานของหมู่บ้าน ชาวบ้านชายฉกรรจ์รวมกลุ่มกันอยู่แล้วประมาณ 10 คน
มีช้างตัวหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังของชาวบ้าน สัตยาลงจากรถ พวกมือปืนตามติด
“มีปัญหาอะไร”
หัวหน้าชาวบ้านเข้ามาบอก
“ปัญหาคือเงินที่ท่านสัญญาไว้ ยังไม่มา”
“เงินมาแล้ว แต่ถูกนางเสือปล้น...กำลังส่งมาใหม่”
“ถ้าเงินไม่มา ก็ไม่มีการขนของ...ไหนจะค่าช้าง ค่าควานช้าง”
สัตยาตบเปรี้ยงก่อนที่ หัวหน้าชาวบ้านจะพูดจบ หัวหน้าฟุบอยู่กับพื้นพวกชาวบ้านขยับ แต่พวกมือปืนตวัดปืนเข้าใส่ ชาวบ้านเฉย ลุงเดชกับแสงลอบมองหน้ากัน สัตยากระชากปืนออกมาแล้วเดินมาที่แสง ส่งปืนให้แสง
“เรื่องมาก ยิงมันทิ้งซะ”
แสงรับปืนมาลอบสบตากับลุงเดช ลุงเดชลอบพยักหน้าช้าๆ แสงเดินเข้าไป ยกปืนส่อง แล้วตวัดไปยิงที่ต้นขาเปรี้ยง หัวหน้าชาวบ้านร้อง สัตยาเดินเข้ามาหาแสง ไม่พอใจ
“เฮ้ย ข้าบอกให้ยิงทิ้ง”
“ยิงทิ้ง มันตายเร็วไป แบบนี้เท่ากับว่าเตือนพวกมันทุกวัน ว่าอย่าหือ”
สัตยาจ้องแสงอึดใจ ลุงเดชขยับลูกซอง แต่แล้วสัตยาพยักหน้าพอใจ…แสงเดินมายืนคู่กับลุงเดชต่างวางฟอร์ม
ที่กองบังคับการกรมตำรวจ...รถตู้เข้ามาจอดสองคันที่หน้าอาคารประตูรถตู้คันแรกเปิดออก กำจร แสงรุ่งเรือง ก้าวลงมา
ประตูรถตู้คันที่สองเปิดออก งิ้วก้าวออกมาจากรถตู้ ด้านในรถตู้เป็นรถที่มีอุปกรณ์การตัดต่อพร้อมสรรพ จักจั่นนั่งอยู่ด้านใน ส่งกระเป๋าอุปกรณ์บันทึกเสียงให้งิ้ว
“ลุยเต็มที่เลยนะ”
“ใช่ซิ...สู้คนที่นั่งดูอยู่ในรถตู้ไม่ได้”
“ท่านรองศักดา จำจักจั่นได้...ไม่ยังงั้นลุยเองแล้ว ไม่ต้องห่วงน่า...ติดต่อทางวิทยุจิ๋วได้ยินตลอด...เช็ค”
งิ้วเหล่
“โอเคได้ยินชัด...ไม่ต้องพูดมาก”
กำจรกระซิบเบาๆ
“พร้อมหรือยังครับ...ท่านรออยู่”
จักจั่นยิ้มทำมือไล่ให้งิ้วรีบไป...งิ้วเหล่จักจั่นแล้วเดินไปหากำจร
“คุณไหวนะ”
“มีเหรอที่ไม่ไหว”
จักจั่นพูดใส่วิทยุ
“โม้น่าดู”
กำจรยิ้ม
“ไม่ยากหรอก แค่ยิ้มหวานแล้วก็ติดไมค์”
งิ้วยิ้มไม่ค่อยจะออก...กำจรเดินออกไป งิ้วถอนหายใจแล้วเดินตามออกไปกับกำจร
“เอาน่า...เสร็จแล้วจะพาไปกินไอติม”
งิ้วหงุดหงิด
“เงียบได้ปะ”
จักจั่นยิ้มขำ
ในห้องประชุม...งิ้วเอาสายไมค์เข้าไปติดที่เสื้อของศักดา กำจรดำเนินรายการ
“พร้อมครับ...เทป...”
งิ้วจ้องลุ้น...จักจั่นที่อยู่ในรถ โอบี...จ้องที่หน้าจอเครื่องจับสัญญาณ ตากล้องนับ
“พร้อม 5 4 3 2 1”
กำจรยิงคำถาม
“ท่านรองทราบเรื่อง แบล็คอีวิล ที่เข้ามาแทรกแทรงเศรษฐกิจของไทยบ้างหรือเปล่าครับ”
“พอทราบอยู่ครับ...เรากำลังติดตามอย่างใกล้ชิด”
งิ้วพูดเบาๆ
“ว่าไง...”
จักจั่นตอบกลับมา
“จับสัญญาณแบตหัวใจไม่ได้”
“เช็คเครื่องให้ดี”
กำจรถามต่อ
“แล้วดำเนินการไปถึงไหนแล้วครับ”
“เรากำลังจะมีการประชุมร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูง...เพื่อหาทางยุติเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด”
งิ้วจ้องนิ่ง จักจั่นพูดมาทางวิทยุ
“ไม่มีสัญญาณ...ท่านรองศักดา ไม่ใช่นายใหญ่”
งิ้วถอนใจผิดหวัง
จักจั่นเดินเข้ามาในห้อง งิ้วเดินตามเข้ามา จักจั่นหันมาหน้าตาผิดหวัง
“ท่านรองศักดาไม่ใช่นายใหญ่...”
“ต่อไปเป็นนายโจ”
“นายโจไม่มีทางให้สัมภาษณ์ แน่นอน...มันระวังตัวแจมีทางเดียวคือจับตัวมันมาตรวจสอบระยะใกล้”
“ไม่ใช่ง่าย...มีมือปืนรอบตัวมันเต็มไปหมด”
“ชอบงานยากไม่ใช่เหรอ”
“ได้เลย...มีนางเสืออยู่ทั้งคนกลัวอะไร”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน...เสียงเคาะประตูดังขึ้น นพเดินเข้ามา
“ขอโทษที่รบกวน...ผมได้เครื่องจับสัญญาณขนาดจิ๋วมาแล้วครับ”
นพส่งสร้อยให้สองเส้น...สองสาวรับมา
“จับสัญญาณได้โดยใช้ระบบสั่นไม่มีเสียง...และเป็นวิทยุบอกตำเหน่งในตัว”
งิ้วดีใจ
“สุดยอด...”
จักจั่นมีความหวังขึ้นมา
“คราวนี้เราก็ออกไปล่าตัวนายใหญ่ได้แล้ว”
ที่หน้าอินเตอร์บิส...โจเดินออกมาทางหน้าตึก รถตู้เข้ามาจอดรับ โจขึ้นรถตู้แล้วเคลื่อนออกไป ที่ถนนฝั่งตรงข้ามรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่จักจั่นเป็นคนขับงิ้วนั่งข้างๆ แล้วขับรถเคลื่อนตามรถตู้ของโจไป
“ทำไมงิ้วต้องเป็นคนจัดการนายโจด้วย”
“นายโจเคยเห็นจักจั่นแล้ว”
งิ้วเหล่
“ท่านรองศักดาก็เคยเห็น...นายโจก็เคยเห็น นายสัตยาก็เคยเห็น เอาเป็นว่าคุณจักจั่นนั่งเฉยๆก็แล้วกัน”
จักจั่นขำคิก
“จริงด้วย พูดถึงนายสัตยา หายไปเลยตั้งแต่มีข่าวยาบ้ากับหนุ่มล่ำบึก”
ทั้งสองต่างหัวเราะกันพลางยกมือไฮไฟว์กัน จักจั่นมองไปข้างหน้า
“เป้าหมายหยุดแล้ว”
รถตู้ของโจเลี้ยวเข้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่งแล้วผ่านเข้าไปจอดในลานใต้ดิน...จักจั่นกับงิ้วขับตามเข้าไป เห็นรถโจจอดจึงจอดห่างออกไป...ต่างจ้องมองหน้าเคร่งเครียด...ประตูรถเปิดโจลงมาจากรถ กับมือปืน 3 คน แล้วเดินเข้าไปในโรงแรม จักจั่นกับงิ้วอยู่ในรถที่จอดอยู่ถัดไป ทั้งสองต่างมองหน้ากัน
“เสียดายที่เราพรางตัวไม่ได้”
จักจั่นเหล่
“เยๆๆ...จักจั่นจัดการเอง”
จักจั่นเปิดประตูรถลงไปอย่างรวดเร็ว...งิ้วยิ้มชอบใจ
พวกโจเดินเข้ามาในล็อบบี้แล้วตรงไปที่ลิฟท์ กดแล้วยืนรอลิฟท์ สักครู่ประตูลิฟท์เปิดมีคนเดินออกมาจากลิฟท์สามคนแต่แล้วมีคนหนึ่งเหมือนถูกผลักเซมาโดนมือปืนอย่างจัง
“อุ๊บ...โทษครับ”
มือปืนมองหน้า ชายคนนั้นรีบเดินไป โจกับพวกก้าวเข้าไปในลิฟท์ ประตูลิฟท์ปิด...ลิฟท์ขึ้นมาถึงชั้นส่วนตัวของพวกมัน ประตูลิฟท์เปิดมือปืน ยืนเฝ้าอยู่สองคน พวกมันเดินไปถึงห้องหนึ่งเปิดประตูเข้าไปเห็นชายคนหนึ่ง นั่งอยู่ตรงส่วนที่เป็นห้องรับแขก...โจ เข้าไปทัก มือปืน 3 คนยืนอยู่ห่างออกไป
“สวัสดีครับคุณหมอ”
“สวัสดีครับ”
มือปืน 3 คนยืนคุมเชิงอยู่ แต่แล้วได้ยินเสียงเคาะประตู มันคนหนึ่งเดินไปเปิดประตู แต่กลับไม่เห็นใคร...มันเปิดออกไปดูด้านนอก ไม่มีใคร ก็กลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู...ตรงหน้าประตูร่างของจักจั่นค่อยๆ
ปรากฏขึ้นอย่างจางๆจนเห็นชัดเต็มๆ จักจั่นถอนใจ
“เฮ้อ...เกือบแย่...นึกว่าสมาธิจะหลุดซะแล้ว”
จักจั่นกราดสายตาไปมา แล้วหลับตาพึมพำร่างค่อยๆจางหายไป
ที่ลิฟท์ทางลง...มือปืน2 คนยืนเฝ้าอยู่ แต่แล้วมันได้ยินเสียงลิฟท์ดังติ๊ง...มันสองคนมองหน้ากันเห็นไฟปุ่ม
กดขึ้นลงติดทั้งสองอัน มือปืนหันมาถามเพื่อน
“เฮ้ย...เอ็งกดเหรอ”
“เปล่านี่...หรือว่ามีคนขึ้นมา”
มันสองคนต่างกระชากปืนออกมาเตรียมพร้อม...อึดใจประตูลิฟท์เปิด มันมองเข้าไป...ไม่มีใคร คนหนึ่งเอามือจับประตู ลิฟท์ไว้แล้วกราดปืนเข้าไปตรวจดูไม่มีใคร มันมองหน้ากันแล้วปล่อยให้ประตูลิฟท์ปิด...ลิฟท์ลงมาจอดที่ล็อบบี้ ประตูลิฟท์เปิดออกจักจั่นก้าวออกมา แล้วเดินออกจากโรงแรมไป
งิ้วกำลังรออยู่ในรถ จักจั่นเปิดประตูรถเข้ามา
“ว่าไง”
“นายโจมาหาหมอ”
งิ้วแปลกใจ
“หาหมอ...มันเป็นอะไรถึงหาหมอ”
“มะเร็งต่อมลูกหมากมั้ง...ใครจะไปรู้”
“อ้าว...ตกลงขึ้นไปดูวิว ไม่ได้ฟังหรือไง”
“ไม่ไหว...สมาธิยังไม่แข็งพอ เกือบไม่รอด”
“โห...เป็นนางเสือได้ยังไง...”
ขณะเดียวกันนั้น โจกลับสมุนกลับมาที่รถ จักจั่นเห็น
“มาแล้ว”
“ลากตัวมาเช็คใกล้ๆดีกว่า”
“คุณงิ้วตามไปลากตัวนายโจ...จักจั่นจะตามไปดูซิว่านายคุณหมอมาจากไหน...ทำอะไร”
“โอ...จริงด้วยโชคดีของเรา หมอไม่เคยเห็นคุณจักจั่น”
“เย้...”
จักจั่นเหล่แล้วลงจากรถ งิ้วยิ้มแล้วค่อยๆ เคลื่อนรถตามรถตู้ออกไป
รถตู้ของโจขับมาตามถนนที่สองข้างทางเป็นนาสวน ทันใดนั้นรถของงิ้วแซงมาปาด ให้รถตู้จอดพรืด งิ้วดีดตัวลงมาจากรถปืนอยู่ในมือ ขณะที่มือปืน 3 คนพรวดออกมาจากรถตู้ ตวัดปืนเข้าใส่แต่ช้าไป งิ้วยิงใส่พวกมันทรุดไป
พร้อมกันนั้น งิ้วดีดตัวเข้ามาที่รถตู้ คนขับตวัดปืนเข้าหา งิ้วยิงเปรี้ยงมันทรุด งิ้วมาที่ประตูรถตู้ แต่รถตู้ว่างเปล่า งิ้วหันไปก็เห็นร่างของโจวิ่งเข้าไปในแนวสวนข้างถนน งิ้วดีดตัวตามไปอย่างรวดเร็ว
โจวิ่งเข้าไปในสวน แต่แล้วร่างของงิ้วโผล่มาขวางตรงหน้า
“ขอคุยด้วยหน่อย”
“ได้เลย”
โจดีดตัวเข้ามาแล้วลงมือยิงหมัดเตะต่อยสารพัด งิ้วตั้งรับและตอบโต้ ต่อสู้ประชิดตัว ผ่านไปหลายท่า
ทั้งสองต่างผละออกมาตั้งตัวใหม่
“ไม่เลวนี่..เห็นเอาแต่สั่ง..นึกว่าไม่มีน้ำยา”
“ยังมีให้ดูอีกเยอะ”
“ดี..ค่อยสนุกขึ้นมาหน่อย”
งิ้วดีดตัวเข้าไป..คราวนี้รุกไล่ด้วยชั้นเชิงที่เร็วและเหนือกว่า โจต้านไปได้อึดใจก็เสียเปรียบ ถูกหมัดและเท้าไปหลายตึบเซห่างออกไป...ทันใดนั้นโจตวัดปืนขึ้นมายิงเปรี้ยง งิ้วพุ่งตัวม้วนหลบกับพื้นแล้วดีดตัวขึ้นมาใหม่ ยิงเปรี้ยงปืนโจหลุดมือ
“ช่วยขยับหน่อยเด้..อยากยิงหมองเต็มแก่”
โจยืนนิ่งได้แต่มองด้วยความแค้น..
โจถูกพาตัวเข้ามาในห้องของโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง....งิ้วเดินคุมโจเข้ามา งิ้วลากเก้าอี้มาวางไว้ แล้วผลักให้โจนั่งลง งิ้วถือปืนคุมอยู่เดินอ้อมไปข้างหลังของโจ
“มือไขว่หลังมา”
โจทำตาม งิ้วสะบัดกุญแจมือออกมาล็อคข้อมือของโจไว้
“อย่าบอกนะว่าพิศวาสผมมากถึงกับฉุดเข้าโรงแรม”
งิ้วเดินมายืนข้างหน้า..ทันใดนั้นตบผัวะโจหน้าหัน ขยับตัวแต่งิ้วขยับปืน
“อ๊ะอ๊ะ..”
โจขบกรามข่มใจนิ่งเหมือนเดิม
“เรารู้ว่าพวกแกกำลังเคลื่อนกำลังเข้ามาทางชายแดนแกคงรู้แล้วว่าอาวุธ เงิน อุปกรณ์ ของพวกแก ถูกสกัด บ๊าย บาย เรียบร้อยทุกครั้ง”
“จิ๊บๆ ยังมีอีกเยอะ”
งิ้วตบผัวะ
“แหงล่ะโกงกินมาเยอะนี่..ฉันให้นายเลือกว่าจะบอกทุกอย่างหรือว่าเป็นผีสิงอยู่ในโรงแรมห้องนี้...อ้อ..เงินซื้อไม่ได้..”
โจกราดสายตามอง...งิ้วสีหน้าเคร่งเครียด...
หมอเดินออกมาจากลิฟท์ มาที่หน้าโรงแรมหรู พร้อมมือปืนสองคนกำลังจะเดินออกไป แต่แล้วก็ชนเข้ากับร่างของจักจั่นเข้าเต็มๆ
“อุ๊ย..ขอโทษค่ะ..”
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ..”
“เอ้อ..ไม่เป็นไรค่ะ”
แต่แล้วจักจั่นเซเข้าไปอยู่ในวงแขนของหมอ..หมอรับไว้พอดี..
“คุณ...”
จักจั่นค่อยรู้สึกตัว
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“รู้สึกว่าคุณจะเป็นลม”
จักจั่นขยับตัว..หมอประคองให้ลุกขึ้น...
“ต้องขอตัวก่อนนะคะ...ปวดฉี่กระทันหัน”
จักจั่นเดินปร๋อออกไป..หมอกับมือปืนต่างมองหน้ากัน...ต่างขำแล้วเดินออกไป..
จักจั่นเดินเข้าห้องน้ำมาพรวดๆ แล้วรีบเข้าไปในห้องปิดประตูโครม แล้วตวัดมือขึ้นมา ปรากฏว่าเป็นกระเป๋าสตางค์ ของหมอติดมาด้วย จักจั่นรีบเปิดดูก็พบนามบัตร..ใบขับขี่.. จึงอ่านดู
“หมอ..เจริญ ตั้งเจริญพงษ์ ศัลยกรรมตกแต่ง”
งิ้วตบโจผัวะ โจตาวาว..
“นายไม่พูด..ฉันก็ตบไปเรื่อยๆ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น งิ้วรับ...
“กำลังสนุก...โรงแรมสุขฤดี..ห้อง 28 โอเค”
งิ้ววางสาย โจกราดตามอง
“ฉันให้นายพัก 5 นาที...หลังจากนั้น..”
งิ้วตวัดมีดขึ้นมาในมือ..
“รายการเฉือน...”
งิ้วยิ้ม โจกราดตามอง หน้าเฉย แต่แล้วงิ้วหยุดนิ่งฟังเสียง ทันใดนั้นประตูเปิดผลัวะเข้ามา มือปืนพรวดเข้ามา งิ้วสะบัดมีดในมือออกไปเสียงดังตึบ คนหน้าทรุดลง งิ้วตวัดปืนในมือยิงเปรี้ยงๆ คนที่สองทรุด แล้วพุ่งตัวไปทาง
ด้านหลังของโจ ปืนตวัดจ่อเข้าทางด้านหลังของโจ พวกมันอยู่ทางด้านนอกหน้าประตู
“หน้าไหนโผล่เข้ามา..นายแกดับชัวร์”
แต่แล้วทันใดนั้นพวกมันสาดกระสุนเข้ามาราวกับห่าฝน เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของโจสั่นสะท้านถูกกระสุนเข้าที่หน้าอกเต็มๆ งิ้วสาดกระสุนออกไป แต่พวกมันหลบวูบไปหลังประตู งิ้วเขย่าตัวโจ
“โจ..บอกมาเร็ว นายใหญ่มีแผนอะไร”
โจส่งเสียงครอก...อาการไม่ค่อยดี งิ้วสีหน้าเคร่งเครียด หน้าห้องงิ้ว มือปืน 3 คนถือปืนกลหลบอยู่ข้างประตู งิ้วจ้องไปที่ประตู ปืนในมือเตรียมพร้อมยิง ทุกอย่างเงียบ งิ้วค่อยๆย่อตัวลงพูดกรอกหูโจที่อยู่ในสภาพบาด เจ็บสาหัส
“นายใหญ่ส่งคนมาเก็บแก บอกฉันมาให้หมดเร็วเข้า”
“กำ...แพง...โรง..หมอ...”
ทันใดนั้นพวกมันยิงสาดเข้ามาร่างของโจสะท้าน คนหนึ่งพรวดเข้ามางิ้วสาดกระสุนใส่พวกมันทรุด
“โจ..เร็วเข้าโจ”
“หมอ...โรง..”
โจทรุด...ทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่นเปรี้ยงๆๆๆมาจากด้านนอก...งิ้วอยู่ทางด้านหลังร่างโจ สายตาจ้องมาที่หน้าประตู ปืนในมือส่องพร้อมยิง
“คุณงิ้ว..”
เสียงจักจั่นดังขึ้น งิ้วผ่อนลมโล่งอก
“ปลอดภัย ครบ 32”
จักจั่นค่อยๆโผล่เข้ามา กราดสายตามองเห็นโจ แล้วมองงิ้วเป็นเชิงถามว่าได้เรื่องหรือเปล่า งิ้วส่ายหน้า...
“สัญญาณล่ะ”
“ไม่มีสัญญาณ...โจไม่ใช่นายใหญ่”
“ไม่น่าเชื่อว่าพวกมันจะเก็บนายโจ..”
“เชื่อเถอะ...พวกมันยังมีนายโจอีกเยอะ..”
จักจั่นมองร่างโจ..พยักหน้าเห็นด้วย
“นี่เองที่นายสัตยาเอ่ยถึง โจคนที่สอง”
งิ้มพึมพำ
“ที่แท้โจคนที่สองคือโจคนใหม่ ตัวแทนของนายโจคนที่ตายไปแล้ว”
ที่หน่วยพิเศษ...งิ้วเดินเข้ามาในห้อง จักจั่นนั่งกินกาแฟอยู่ที่โต๊ะงิ้วเดินไปนั่งที่โซฟา จักจั่นลุกเดินตามไปนั่งด้วย
“ถ้านายโจรู้ว่าจะถูกเก็บ อาจจะยอมบอกอะไรบ้าง”
“บอกเหมือนกัน...แต่ ไม่ได้เรื่องได้ราวจับได้แต่คำว่า กำแพง...แล้วก็..โรงหมอ...สงสัยกลัวตาย”
“จักจั่นว่าได้เรื่องเหมือนกันนะ...กำแพง..จักจั่นรู้ว่าคือสถานที่ตั้งค่ายใหญ่ของมัน..พวกเราพยายามหาแต่ไม่เจอ...เชื่อว่าอาจารย์ผมขาวที่เราเห็นต้องลงอาคมไว้...ส่วนหมอก็คือหมอที่ที่นายโจพบที่โรงแรม..คือ หมอ เจริญ..เป็นหมอศัลยกรรม...ทุกอย่างต้องเกี่ยวพันกัน...เราต้องบวกให้ถูกเท่านั้น”
“เรารู้ว่าพวกมันกำลังระดมกำลัง”
“ถ้าต้องการคุมด้านกำลัง จะต้องมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
“เดี่ยวก่อน..ท่านรอง ศักดา บอกว่าจะมีการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงเร็วนี้...”
จักจั่นเดินไปมาอย่างครุ่นคิด แล้วหันมาบอก...
“บวก.ลบ..คูณ หาร..เรียบร้อย จักจั่นคิดว่าพวกมันคิดหาคนมาแทนเจ้าหน้าที่ระดับสูงพวกนั้น ถึงได้มีหมอศัลยกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง”
“โห..พวกมันร้ายสุดขั้วจริงๆ”
ทั้งสองต่างมองหน้ากันสีหน้าเคร่งเครียด..เสียงเคาะประตู นพเดินเข้ามา
“อินเตอร์บิสกำลังแถลงข่าวครับ”
งิ้วรีบคว้ารีโมทกดทีวีให้เปิด...ทีวีเปิดขึ้นมาเป็นหน้าของกำจร กำลัง สัมภาษณ์โจ ซึ่งมีหน้าตาเหมือนคนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ไม่ผิดแม้กระทั่งรอยแผลเป็นบนหน้าที่ถูกดาวทำเครื่องหมายไว้ กำจรถามโจว่า...
“คุณโจคิดว่าโครงการทั้งหมดจะต้องเป็นของอินเตอร์บิสแน่นอน
“ครับ..ผมมั่นใจ..และขอย้ำว่า อินเตอร์บิส จะมุ่งมั่นทำงานคุณภาพรับใช้ประชาชนชาวไทยตลอดไป”
งิ้วจ้องจอทีวีเขม็ง
“โจ..คนที่สอง”
ไม่มีใครรู้ว่าโจเคยถูกแทนมาแล้วหนึ่งครั้ง
รูปของหมอเจริญ อยู่บนหน้าจอมอนิเตอร์ของแลบท็อป งิ้วนั่งอยู่ที่โต๊ะตรงหน้าเครื่อง จักจั่นนั่งอยู่ข้างๆ งิ้วเอานิ้วกดคีย์บอร์ดรัวเร็ว เห็นข้อมูลรายละเอียดของ หมอณรงค์ขึ้น...
“มือศัลยกรรมตกแต่งระดับหนึ่ง จบจากสหรัฐเคยแต่งหน้าดาราและคนระดับสูงของต่างๆประเทศมาแล้วหลายคน” งิ้วอ่าน
“อย่างนี้ก็ชัดยิ่งกว่าชัด”
“ต้องรีบรายงานแผนการยึดกำลังของพวกมันประมาทไม่ได้แล้ว…”
งิ้วยุ่งกับคีย์บอร์ด…จักจั่นมองหน้างิ้วอย่างพิจารณา…งิ้วกดเสร็จหันมา..
“วอท..มีอะไรติดจมูกเหรอ”
“จมูกใหญ่แล้วก็คดไปหน่อย…”
งิ้วจับจมูก
“เชอะ…แล้วไง..อาชีพสายลับนะยะไม่ใช่ดารา”
แต่แล้วงิ้วตาวาวคิดออก…จักจั่นยิ้มพยักหน้า
“อย่างนี้ต้องปรึกษาหมอศัลยกรรม พอแนะนำได้มั๊ย”
“โห..รู้จักพอดีเลย..”
จักจั่นยิ้มเดินนำออกไป…งิ้วรีบลุกพรวดตามไปอย่างรวดเร็ว
รถของจักจั่นเข้ามาจอดในลานจอดรถ...ทั้งสองออกจากรถแล้วเดินไปที่ตัวอาคารของหมอเจริญ ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 15 ของตึก
งิ้วกับจักจั่นเดินไปที่เคาน์เตอร์ มีสาวหน้าตาสวยนั่งอยู่ส่งสายตา มามองอย่างสงสัย
“มีธุระอะไร”
งิ้วกับจักจั่นมองหน้ากันอึดใจแล้วยิ้ม จักจั่นยักไหล่..งิ้วพยักหน้ารับ..สาวมองอย่างสงสัย งิ้วเดินเข้ามาใกล้สาวที่เคาน์เตอร์
“เพื่อนฉันเขาเดาว่าเธอจบการตลาด แต่ฉันว่าเธอจบการโรงแรม...ช่วยเฉลยได้มั๊ย”
สาวเชิด
“พีอาร์ ประชาสัมพันธ์”
จักจั่นส่ายหน้า
“ไม่ใช่ ฟังจากการพูดแล้ว..ต้องจบทั้งการตลาดและโรงแรมทั้งสองอย่าง”
“เห็นด้วย”
จักจั่นกับงิ้วเดินเข้าไปด้านใน...
“นี่..”
สาวจะห้าม ทันใดนั้นจักจั่นและงิ้วตวัดปืนออกมาพร้อมกันส่อง..สาวหน้าซีดยืนนิ่ง
“สรุปว่าเพื่อนฉันทายแม่น...เธอเป็นแม่ค้าขายตัวอยู่ในโรงแรม...จำไว้กริยาส่อภาษาวาจาส่อสกุล”
“หมออยู่มั๊ย”จักจั่นถามเสียงเข้ม
สาวยืนนิ่งไม่ตอบหน้าซีดได้แต่ส่ายหน้า งิ้วยิ้ม
“อืม..มารยาทดีขึ้นมาก”
“ฉันสองคนเป็นกิ๊กหมอ..จะเข้าไปรอข้างใน”
งิ้วกับจักจั่นตวัดปืนเก็บ..แล้วเดินเข้าไปด้านใน..สาวยังยืนหน้าซีดอยู่
ภายในห้องทำงานของหมอเจริญ จักจั่นกับงิ้วเดินเข้ามาด้านใน เห็นห้องทำงานว่างเปล่า แต่หน้าต่างบานกระจกตรงระเบียงบานหนึ่งเปิดอยู่ สองสาวมองหน้ากันอย่างสงสัย จักจั่นจ้องไปที่หน้าต่าง
“แย่แล้ว”
งิ้วพรวดไปที่หน้าต่าง ชะโงกหน้าออกไปดูเห็นร่างของชายคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ที่พื้นฟุตปาท คนมุงดูอยู่นับสิบ รถตำรวจวิ่งเข้ามาจอดสองคัน
“แย่จริงๆ” จักจั่นบน
“สดๆร้อนๆ ต้องเป็นยัยการตลาดนั่นแน่ๆ”
จักจั่นรีบออกไป งิ้วตามปที่ด้านนอกตรงเคาน์เตอร์ พนักงานสาวหายไปแล้ว งิ้วพรวดไปทางด้านหลัง
เคาน์เตอร์ก็เห็นร่างพนักงานสาวคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่
“พนักงานจริงอยู่นี่เอง”
“รีบค้นหาข้อมูลเร็วเข้า”
สองสาวพรวดกลับไปที่ห้องทำงาน งิ้วตรวจดูที่คอมพิวเตอร์ จักจั่นยืนข้างๆ
“ยังทำงานอยู่ เราเข้ามาพอดี ยัยการตลาดไม่ทันได้พังซะก่อน”
งิ้วกดคีย์บอร์ดรวดเร็ว
“ตำรวจกำลังขึ้นมา เรามีเวลา 1 นาที จักจั่นจะไปตรวจที่เซฟ”
งิ้วกดที่คีย์บอร์ดพลางถาม...
“มีเซฟด้วยเหรอ”
“อยู่หลังรูปภาพนั่นไง…บาย”
จักจั่นออกไป งิ้วกดคีย์บอร์ดอย่างชำนาญ
“จ๊ะเอ๋…รูปของเจ้าหน้าที่ชั้นสูงทั้งนั้น…บวก ลบ คูณ หาร ของคุณจักจั่นตรงเป๊ะ”
งิ้วล้วงไดร์เล็กๆออกมาเสียบเข้าเพื่อโหลดข้อมูล จักจั่นพรวดเข้ามา
“เราต้องไปแล้ว”
“โอเค..”
งิ้วคว้าไดร์เล็กออกจากเครื่องแลบท็อป ทั้งสองพรวดออกไป
ที่หน้าลิฟท์ เสียงสัญญาณดัง ประตูลิฟท์เปิด เจ้าหน้าที่ตำรวจพรวดเข้ามา 3-4 นาย แล้วพรวดไปทางคลินิกของหมอเจริญ แต่แล้วร่างของจักจั่นกับงิ้วค่อยๆปรากฏ จักจั่นจับมืองิ้วอยู่
“โว่ว…มีพ่วงพรางตัวได้ด้วย”
“เร็วเข้า”
ทั้งสองพรวดเข้าไปในลิฟท์ ประตูลิฟท์ปิด
โปรดติดตาม "ป่านางเสือ" ตอนต่อไป พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.