ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 7
ในขณะที่รถจิ๊ปขับเข้ามาตรงทางเข้าหมู่บ้าน จนมาถึงด่าน ฤทธิชัยนั่งนิ่งอยู่บนรถกับพวกมัน หัวหน้ามือปืนที่คุมด่านเข้ามาถาม
“เฮ้ย...พวกเอ็งเป็นใคร จะไปไหน”
หัวหน้าที่นั่งอยู่บนรถรีบตอบกลับไป
“พวกข้าจะมาประจำที่นี่”
หัวหน้าด่านมองกราดทุกคน...ฤทธิชัยทำไม่รู้ไม่ชี้
“บัตร...”
หัวหน้ามือปืนดึงบัตรดำออกมาให้มันดู หัวหน้าด่าน พยักหน้า แล้วเดินมายังทีละคน แต่ละคนควักบัตรออกมาให้มันดู มันพยักหน้าอย่างพอใจ จนกระทั่งเดินมายืนตรงหน้าฤทธิชัย...ชายหนุ่มมองหน้ามันอึดใจ ในที่สุดเอามือล้วงบัตรออกมาให้ดู มันพยักหน้าแล้วหันไปโบกมือให้มือปืนที่ด่านเปิดทางให้...รถจิ๊ปค่อยเคลื่อนออกไป
ลุงเดชกับแสงเดินเข้าไปหาพวกชายฉกรรจ์ที่ด้านหน้าหมู่บ้าน ชายฉกรรจ์ต่างยกปืนพร้อมยิง หัวหน้าเข้ามาขวาง
“พวกเอ็งมาจากไหน”
ลุงเดชหน้านิ่งบอกเสียงเรียบ
“ข้าจะไปหมู่บ้านทางเหนือ ขอพักซักคืน”
“พวกเอ็งมีบัตรหรือเปล่า”
ลุงเดชกับแสงมองหน้ากัน ลุงเดชอึกอัก
“พวกข้า...”
หัวหน้าจ้องปืนใส่ ลูกน้องรีบทำตาม
“เฮ้ย...ขยับ...เอ็งตาย”
ลุงเดชกับแสงต้องอยู่เฉยพวกมันเข้ามายึดปืนและข้าวของ
“ลากคอพวกมันไปมัดทิ้งไว้ในป่า ปล่อยให้มันตายอย่างทรมาน”
พวกชายฉกรรจ์ช่วยกันผลักช่วยกันคุมลุงเดชกับแสงออกไป แต่แล้ว หัวหน้าก็พูดขึ้น
“หยุดเว๊ย...”
ชายฉกรรจ์ต่างหยุด หัวหน้าเดินเข้ามาจ้องหน้าลุงเดชกับแสง
“เอ็งมีบัตรประชาชนทำไมไม่บอก”
ลุงเดชกับแสงต่างมองหน้ากัน แปลกใจ
รถจิ๊ปเข้ามาจอดที่หน้าบ้านชาวบ้านหลังหนึ่ง หัวหน้าสั่งการทันที
“เฮ้ย...เอ็งสองคน จัดการเคลียร์พื้นที่”
มือปืนสองคน กระโดดลงจากรถ แล้วขึ้นไปบนบ้าน...ฤทธิชัยกวาดตามอง อึดใจพวกมันก็ลากชาวบ้านหญิงชายสองคนลงมาจากบ้าน อีกคนหนึ่งโยนถุงผ้าตามมา
“รีบไป...ก่อนที่จะเจอลูกปืน”
ชายชาวบ้านรีบประคองผู้หญิงที่คว้าถุงผ้า แล้วพากันวิ่งออกไป ฤทธิชัยได้แต่วางเฉย หัวหน้าหันไปบอกสมุน
“เอาเว๊ยตามสบาย...บ้านข้าเอง”
พวกมือปืนต่างหัวเราะโดดลงจากรถพากันลุยขึ้นไปบนบ้าน...ฤทธิชัยค่อยๆก้าวลงมาจากรถสีหน้าเยือกเย็น
ที่ลานบ้านของหัวหน้า...ลุงเดช แสง หัวหน้า และชายฉกรรจ์อีก2-3 คน ต่างนั่งล้อมวงกัน
หัวหน้าหันมาคุยกับลุงเดชและแสง
“พวกฉันคอยดูไม่ให้พวกนอกชายแดนมายึดหมู่บ้าน...ยึดผืนแผ่นดินไทย”
ลุงเดชยิ้มดีใจ
“พวกฉันได้ข่าวว่ามีพวกมันเข้ามา ก็เลยมาคอยระวังพวกมันเหมือนกัน”
แสงยิ้มยินดี
“ฉันดีใจที่มีคนคอยป้องกันแผ่นดิน”
ทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่นมาจากทางด้านหน้า ทุกคนผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งพรวดออกไป
ชาวบ้านกำลังยิงต่อสู้กับพวกมือปืนที่ซุ่มอยู่หลังรถกระบะสองสามคัน ลุงเดช กับ แสง และพวกชาวบ้านวิ่งเข้ามาสมทบ ต่างหาที่ซุ่มยิงโต้ตอบ ลุงเดชเห็นพวกมันส่วนหนึ่งวิ่งเข้าแนวป่าไปทางด้านข้างก็ตะโกนบอก
“พวกมันกำลังแยกไปเข้าทางข้างหมู่บ้าน”
แสงหันไปหาหัวหน้า
“พี่รีบพาฉันไปเร็ว”
“ตามมา”
หัวหน้านำออกไป แสงกับชายฉกรรจ์อีกสองสามคนรีบตามไป ลุงเดชยิงสกัดพวกมัน ล้มคว่ำไปสองสามคน
ทางด้านข้างของหมู่บ้าน หัวหน้านำแสงกับชายฉกรรจ์อีก 2-3 คนวิ่งเข้ามาซุ่มใต้บ้านหลังหนึ่งสายตากราดไปด้านนอก เห็นเงาแวบๆของพวกมันเคลื่อนตัวเข้ามา แสงโบกมือให้ทุกคนกระจายกำลังกันหาที่กำบังตามเสาของบ้าน เงาของพวกมันเคลื่อนเข้ามาในรัศมีแสงสว่าง แสงสั่งทันที
“ลุย”
แสงสาดกระสุนออกไปพวกมันล้มคว่ำ ทุกคนทำตามยิงต่อสู้กัน พวกมันล้มคว่ำลงไปหลายคน ขณะที่ฝ่ายชาวบ้านถูกยิงคว่ำไปสองสามคน ในที่สุดพวกมันต่างถอยออกไป...แสงถอนหายใจ
ทางด้านหน้า ลุงเดชกับพวกชาวบ้านระดมยิงจนพวกมือปืนต้องตาลีตาเหลือก ขึ้นรถขับถอยกลับออกไป ลุงเดชกับชาวบ้านไล่ยิงพวกมัน แสงพาทุกคนกลับเข้ามาสมทบ ต่างตรวจดู มีชาวบ้านสูญเสียหลายคน ลุงเดชหน้าเครียดกังวล
“พวกมันต้องกลับมาอีก คราวนี้ต้องมากกว่าเดิม”
แสงหนักใจ
“พวกเราคงต้านไม่ไหว จะต้องสูญเสียอีกหลายคน”
หัวหน้ากับชาวบ้านต่างถอนใจมองหน้ากัน ลุงเดชนิ่งคิดก่อนจะบอก
“ฉันว่า เตรียมพวกที่เหลือ หลบไปที่บ้านดอนเสือก่อนดีกว่า”
หัวหน้ากับ ชาวบ้านพยักหน้าอย่างจนใจ...ลุงเดชกับแสงต่างมองหน้ากัน
ค่ำคืนนั้น...ตรงลานหน้ากระท่อม พวกมือปืนก่อกองไฟอยู่มีไก่ย่างติดไม้ปักอยู่สองสามตัว แล้วนั่งล้อมวงกินเหล้ากันอย่างสบายใจเฉิบ ฤทธิชัยนั่งอยู่ด้วย หัวหน้าหัวเราะร่า
“กินให้เต็มที่เว๊ย เสบียง เหล้า ส่งมาเพียบ”
พวกมันต่างส่งเสียงเฮรับฤทธิชัยหันไปบอก
“ข้าเพิ่งถูกชวนมาร่วมงาน...อยู่ แบบนี้ก็สบายดี”
หัวหน้าหัวเราะ
“อย่าฝัน คำสั่งมาเมื่อไหร่ ไปไหนก็ต้องไป”
ฤทธิชัยแปลกใจ
“ไปไหน ทำอะไร”
มือปืนขำๆ
“ก็เดิมๆล่ะว๊ะ...เดินขบวน ก่อความไม่สงบ เผาโรงเรียนวางระเบิด”
พวกมันต่างหัวเราะกัน ฤทธิชัยถามต่อ
“เรายึดที่นี่...แล้ว เอาพวกชาวบ้านไปไว้ไหน”
“ใครยอมรับเงิน ก็อยู่ ใครไม่ยอมก็ใสหัวไปใครขัดขืนก็ถูกฝัง”
“กินเหล้าดีกว่าพี่”
พวกมือปืนต่างส่งเสียงเฮ...ฤทธิชัยกราดตามองพวกมันสายตามีแววเยือกเย็นผุดขึ้นมา
ฟ้าอันสวยงามของวันใหม่ของป่าบ้านดอนเสือ...ไผ่กวาดตามองวิวัฒน์ ที่ยืนควบคุมการขนไม้ของพวกคนงาน จันจิราเข้ามา
“เราจะปล่อยให้พวกมันเอาไม้ออกไปเหรอพี่ไผ่”
“พวกมันได้สัมปทาน...แล้วก็มีแต่พวกชาวบ้านทำงานทั้งนั้น เราไม่อยากทำร้ายชาวบ้าน”
ทั้งสองต่างมองขบวนรถที่ขนไม้ห่างออกไป
“ตกลงเราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
“อืม...คงยังงั้น...แต่...”
จันจิราหันมามองไผ่
“ยังมีเรื่องผิดกฎหมายที่เราจัดการพวกมันได้” ไผ่ยิ้ม “เราไปเที่ยวบ่อนของพวกมันดีกว่า”
ฤทธิชัยนั่งอยู่มุมหนึ่งของเสาบ้าน กราดสายตามองพวกมือปืนที่นั่งชุมนุมกันอยู่ หัวหน้าเดินเข้ามาหา
“เราต้องเคลื่อนกำลัง”
ฤทธิชัยขยับตัวลุกขึ้นกราดสายตารอบตัว มือปืนคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ทุกอย่างพร้อมแล้วพี่”
หัวหน้าพยักหน้า มือปืนเดินออกไป ฤทธิชัยหันไปหาหัวหน้า
“ฉันจะไปเอาเสบียงเพิ่มซะหน่อย”
“เฮ้ย...ไม่ต้อง เสบียงจะส่งไปให้ถึงที่” หัวหน้าหันไปสั่งสมุน “เฮ้ย...จัดการเผาหมู่บ้านให้เรียบ”
ฤทธิชัยชะงัก
“ต้องเผาด้วยเหรอ ชาวบ้านจะไปอยู่ที่ไหน”
“แผนเปลี่ยน...ต้องเก็บให้หมด พวกนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ เดี๋ยวพวกมันออกไปแจ้งทางการ แผนจะเสียหมด”
หัวหน้าเดินออกไป ฤทธิชัยจ้องตามหน้านิ่ง
ชาวบ้านกลิ้งลงกับพื้นพร้อมเสียงเอะอะ หัวหน้ากับสมุนมือปืนร่วมสิบคนกำลังต้อนชาวบ้านให้มารวมกันตรงกลางลาน มีทั้งหญิง ชาย เด็ก คนแก่...รถจิ๊ปของพวกมันคันหนึ่งพรวดมาตรงหัวหน้า ชายคนหนึ่งท่าทางเป็นลูกพี่ สั่งการ
“จัดการให้เรียบร้อย แล้วรีบตามไป”
หัวหน้าพยักหน้ารับ ลูกพี่โบกมือ รถจิ๊ปวิ่งออกไป...ชาวบ้านคนหนึ่งโวยวาย
“พวกข้าให้ความร่วมมือทุกอย่าง เอ็งหลอกพวกข้า”
หัวหน้ายิงเปรี้ยง ชาวบ้านล้มคว่ำตายคาที่
“พวกเอ็งเล่นแบมือขอไม่หยุดนี่หว่า...ขืนเก็บพวกเอ็งไว้เปลืองงบเว๊ย”
พวกมันต่างหัวเราะกัน พวกชาวบ้านต่างเกาะกันกลมตื่นกลัว บ้างนั่งลงยกมือไหว้ขอชีวิต
หัวหน้ากราดตามองยิ้มระรื่นไม่สนใจชีวิตชาวบ้าน มันกราดยิงชาวบ้านล้มไปหลายคนชาวบ้านต่างล้อมเกาะกันกลม...แต่แล้วมันก็ชะงักหยุด
“เฮ้ย...ไอ้คนที่มากับเราไปไหนวะ”
พวกมือปืนต่างมองหน้ากัน หัวหน้ากราดตามองหน้าเหี้ยมเกรียม
“มันบังอาจคิดหนีข้า”
ทันใดนั้นเสียงสายฟ้าคำรามก้อง พวกชาวบ้านต่างขยับตัว พวกมันต่างฟังเสียง ทันใดนั้นเสียงฤทธิชัยก็ดังขึ้น
“อยู่นี่”
พวกมือปืนหันขวับไปทางแนวป่า ฤทธิชัยในชุดดำใส่หน้ากาก ยืนอยู่บนยอดไม้ หัวหน้าตะโกนลั่น
“เฮ้ย...ฆ่ามั...”
มันพูดได้แค่นั้นเสียงปืนดังเปรี้ยงกระสุนเข้าปากหัวหน้า มันอ้าปากส่งเสียงครอกๆ ทรุดลงตายคาที่ พวกมือปืนหน้าซีดต่างตวัดปืนขึ้นยิงฤทธิชัยเสียงปืนสนั่น ฤทธิชัยแวบหายแวบหายแล้วสาดกระสุนยิงใส่พวกมือปืนร่วงลงไปหมด...ชาวบ้านต่างส่งเสียงงึมงำ บางคนยกมือไหว้ ฤทธิชัยประกาศก้อง
“คิดขายตัวให้คนเลว ก็ต้องเจอแบบนี้ล่ะ รีบไปซะก่อนที่พวกมันจะมากันอีก”
พวกชาวบ้านต่างรีบพากันแยกย้ายออกไป....ฤทธิชัยได้แต่ส่ายหน้า แต่แล้ว เสียงสายฟ้าคำรามก้อง เสียงสายลมร้อง ฤทธิชัยหันควับมาทางด้านหลังของตนก็พบว่านาคียืนอยู่
“รู้สึกว่าคุณจะมาช้าไป”
นาคียิ้ม กราดมองร่างพวกมือปืน
“เราไม่สนใจพวกมันหรอก เรามาหาท่าน...เราบอกแล้วว่าเราเป็นของท่าน”
“แต่ผมไม่ใช่ของคุณ”
ฤทธิชัยพูดจบก็แวบไปยืนอยู่บนกิ่งไม้...แวบอีกทีหายไปในแนวป่า...นาคียิ้มกริ่ม
“ท่านหลบยังไงก็ไม่พ้นเราหรอก”
รถของไผ่พรวดเข้ามาจอดที่หน้าโกดังเก็บของ ไผ่กับจันจิราก้าวลงมาจากรถตรงเข้าไปที่หน้าประตู มือปืนสองคนเดินเข้ามาขวาง
“พวกเอ็งคิดจะไปไหน”
ไผ่ยกมือขึ้นมาในมือมีเงินเป็นปึกๆ
“อยากจะพาแฟนมาถลุงเงินเล่น”
มือปืนจ้องหน้านิ่งขยับปืน
“คุณวิวัฒน์บอกให้มาที่นี่”
พวกมือปืนมองหน้ากันแล้วปล่อยให้เข้าไป ไผ่โยนเงินให้มันปึกหนึ่ง แล้วเดินเข้าไป
ไผ่กับจันจิราเดินเข้ามา มีมือปืน อีกสองคนอยู่ตรงประตู มันปล่อยให้ผ่านเข้าไปด้านใน...ซึ่งดัดแปลงจากเก็บของเป็นโต๊ะพนันต่างๆทุกชนิด...ชาวบ้านคนหนึ่งเรียก
“ไผ่...ไผ่เหรอ”
ไผ่กับจันจิราหันไปก็เห็นชาวบ้านเดินเข้ามาสองคน ไผ่จำได้
“อ้าว พี่สน...พี่มิ่ง...มาอยู่นี่เอง”
สนปรามๆ
“นี่เอ็งริเข้าบ่อนด้วยเหรอ เดี๋ยวแม่สมพร กับ ป้าเนียนก็เล่นงานเอาหรอก”
มิ่งเสริม
“ไหนจะลุงเดช กับ ไอ้แสง”
ไผ่ยิ้ม
“พี่ก็อย่าไปบอกก็แล้วกัน”
ทั้งหมดต่างยิ้ม สนถาม
“เอ็งจะเล่นอะไรล่ะ”
“ยังไม่รู้เลย”
มิ่งแนะนำ
“ไฮโลซิ...ง่ายดี เดี๋ยวพี่จะสอนให้”
ไผ่หันไปหาจันจิรา
“ว่าไงจ๊ะน้องจัน”
“ได้ค่ะ...” หญิงสาวยิ้มกริ่ม
ที่วงไฮโล ไผ่ กับ จันจิรายืนอยู่ มีเงินเป็นปึกๆตั้งอยู่กองใหญ่ และ ตรงเบอร์ที่แทงอีกกองใหญ่ ซึ่งรวมของชาวบ้านด้วยโดยมี สนกับมิ่ง อยู่ ข้างๆ และนักพนันเต็มโต๊ะ ไผ่จ้องเห็นลูกเต๋าอยู่ข้างในถ้วยได้อย่างชัดเจน ไผ่ยิ้มเงยหน้ามองเจ้ามือที่ยืนมือสั่นอยู่
“เปิดได้แล้ว”
ในที่สุดเจ้ามือก็ยกฝาเปิด เสียงคน เฮ มิ่งหันมาดีใจกับไผ่
“ไผ่...เอ็งแทงถูกอีกแล้ว”
สนแปลกใจ
“เอ็งตาทิพย์มองทะลุถ้วยเห็นเบอร์หรือไงวะไผ่”
ไผ่ยิ้ม
“คงแบบนั้นมั้งพี่...”
เสียงชาวบ้านหัวเราะ เจ้ามือหน้าเสีย
“เอ้าจ่ายซะเร็วๆ”
เจ้ามือรีบจ่ายเงินวางลงมาเป็นปึกๆ ชาวบ้านต่างเฮชอบใจ ทันใดนั้นมือปืนคุมบ่อนก็พูดขึ้น
“โต๊ะนี้ปิด เลิกแทง”
ทุกคนหันไป เห็นมือปืน 3-4 คน ยืนซ่าเปิดเสื้อโชว์ปืนที่เหน็บเอวอยู่ มือปืนคนเดินเข้ามาดันชาวบ้านออกไป แล้วยืนล้อมไผ่กับจันจิราไว้
“ไม่ได้ยินเหรอ ลูกพี่ข้าบอกว่า โต๊ะปิด”
ไผ่ยิ้ม
“ปิดไม่ได้ มือกำลังขึ้น”
มือปืนกระตุกปืนแต่ช้าไป ไผ่ตบเข้าให้ด้วยหลังมือ อีกคนขยับแต่จันจิราชกโครมพวกมันกระเด็นไปโต๊ะข้างๆพังครืน ชาวบ้านต่างกระจายกันออกห่าง พวกมือปืนเข้ามารุมล้อมไผ่กับจันจิรา เกิดการต่อสู้ประชิดตัว
ผ่านไปในที่สุดพวกมันถูกไผ่และจันจิราอัดจนหมอบกันหมด ไผ่หันมามองเจ้ามือที่ยืนสั่นอยู่
“ทุกคนแทงต่อได้”
ชาวบ้านต่างเฮ...ต่างวางเงินลงไปที่เบอร์เดิม...ไผ่ยิ้มอย่างสะใจ
ชาวบ้านประมาณสิบกว่าคน รวมตัวกันที่ราวป่า ลุงเดช หันไปบอกหัวหน้า
“ไปที่ค่ายอาสาบ้านดอนเสือ ถามหาคุณดาวหรือคุณไผ่ บอกว่าลุงเดชให้มา”
แสงเสริม
“ทุกคนจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี”
หัวหน้าแปลกใจ
“อ้าว...แล้วพวกเอ็งไม่กลับไปด้วยเหรอ”
“พวกฉันจะลุยไปช่วยหมู่บ้านที่เหลือ”
“งั้นข้าไปด้วย”
ลุงเดชส่ายหน้า
“ฉันว่าลุงพาพวกลูกบ้านไปดีกว่า รีบไปเถอะ”
หัวหน้าพยักหน้าแล้วหันไปโบกมือให้ทุกคนตามไป ลุงเดชกับแสงมองตาม แล้วเดินออกไปอีกทางหนึ่ง
ที่เซฟเฮาส์...ดำรงนั่งเหม่ออยู่ อภิชาติยืนอยู่ กับมือปืน 2-3 คน มีชายท่าทางอาเสี่ยคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย
“ผมเป็นหุ้นส่วนกับคุณดำรง...ขอบคุณที่มา”
“พวกคุณมีกำลังทั้งหมดกี่คน”
“ร่วมสิบคนครับ...ที่สำคัญไม่มีใครรู้ว่าเราอยู่ที่นี่”
“เราจะประมาทไม่ได้...ผมต้องการให้จัดคนมาเพิ่มอีก 10 ผลัดเปลี่ยนเวรยาม และห้ามทุกคนติดต่อกับใครเป็นอันขาด”
เสี่ยรับคำ
“ได้เลย”
อภิชาติมองดำรงอย่างหนักใจ...
“ทางเดียวที่นายดำรงจะรอด คือให้การคว่ำพวกมันก่อน...หรือ...เอ๋อจนพวกมันได้สัมปทานไปแล้ว”
เสี่ยได้แต่ถอนใจแล้วเดินออกไป...อภิชาติมองดำรง ที่ยังมีอาการเหม่อลอย
ที่บ้านลึกลับหลังหนึ่ง...มือปืน 2-3 คน ยืนระวังอยู่ รถของสัตยาเข้ามาจอด แล้วเดินเข้าไปในบ้าน...สัตยาเดินเข้าไปก็พบกับ ศักดา นั่งอยู่บนโซฟาอยู่แล้ว
“เชิญคุณสัตยา”
สัตยานั่งลงที่โซฟาเล็กตรงข้าม
“นายใหญ่ไม่พอใจที่คุณทำงานพลาด”
“คนของนายใหญ่พลาดเองมากกว่า ตามแผนนายดำรงต้องตายแล้วผมถึงจะหาเรื่องรวบรัดเก็บพวกมันได้”
“ยังไงก็แล้วแต่...ลูกสาวนายณุพันธ์...นายฤทธิชัยแล้วก็นายอภิชาติยังลอยนวลอยู่ คนพวกนี้ต้องถูกกำจัด”
สัตยาพยักหน้า
“ส่วนคุณดาวกับคุณจักจั่น ให้คนคอยตามประกบ ถ้าคิดว่าเกี่ยวข้องก็จัดการซะ”
สัตยาพยักหน้าช้าๆไม่พอใจนัก
“บอกตามตรงผมชักเบื่อ ที่จะทำงานให้คนที่ไม่รู้จักหน้าไม่รู้จักตัวตนเต็มทีแล้ว”
สัตยาลุกพรวดเดินออกไป ศักดามองสายตาครุ่นคิดมีพิรุธ...
ที่สำนักงานอินเตอร์บิส...โจออกมาจากตึก มือปืนโบกมือรถตู้เข้ามารับแล้วเคลื่อนตัวออกไป...บนถนนฝังตรงข้าม จักจั่นอยู่ในรถแอบซุ่มดูอยู่พูดวิทยุสือสารขนาดจิ๋ว
“ว่าไง...”
งิ้วอยู่บนรถอีกคันหนึ่งเอามือแตะแก้มตรงฟันกราม
“โอย...พูดเบาๆก็ได้ เสียวฟัน”
“โทษที...วิทยุครอบฟันของเธอนี่คลื่นแรงน่าดู”
“งิ้วจะตามนายโจไป”
“โอเค...”
งิ้วออกรถตามรถตู้ไป จักจั่น จับตาดูที่ทางเข้าตึกอินเตอร์บิส
เย็นนั้น รถของโจเข้ามาจอดที่หน้าสโมสรเมมเบอร์แห่งหนึ่ง โจกับมือปืนลงจากรถ แล้วเดินเข้าไป รถตู้เลยไปจอดที่อื่น รถของงิ้ววิ่งเข้ามา แล้ววนไปจอดอีกด้านหนึ่ง งิ้วพึมพำ
“มันอารมณ์ดีถึงขนาดมาเที่ยวเลยเหรอเนี่ย”
งิ้วเปิดประตูรถแล้วออกไป เดินไปทางด้านหน้า...งิ้วเดินวางมาดเข้าไป พนักงานชายหน้าตาดีก้าวเข้ามา
“แสดงบัตรเมมเบอร์ด้วยครับ”
งิ้วยิ้มหวาน
“ฉันมีนัดกับคุณโจ”
“คือว่า...”
งิ้วตวัดมือขึ้นในมือมีแบงก์พันสองใบ พนักงานรีบรับไว้ พลางผายมือให้ผ่านเข้าไป
“ขอบคุณ”
พนักงานยิ้มแย้ม
“ด้วยความยินดีครับ”
ที่เซฟเฮาส์ของดำรง...อภิชาติยืนมองทางหน้าต่างห้องด้านบนซึ่งติดอยู่กับห้องของดำรง เห็นรถตู้วิ่งเข้ามาจอดสองคันตรงลานหน้าบ้าน มีมือปืนลงมาประมาณ 10 คน อภิชาติขยับตัวออกไป
อภิชาติก้าวออกมาทางประตูหน้า มือปืน 10 กว่าคน กับเสี่ยเดินเข้ามา
“กำลังที่คุณขอไว้”
อภิชาติกราดตามองทุกคน เสี่ยยิ้ม
“คนเก่าแก่ไว้ใจได้ไม่ต้องห่วง”
อภิชาติพยักหน้า
“ทุกคนกระจายกำลังไประวังทุกจุด ผมจะเดินตรวจทุกหนึ่งชั่วโมง ทุกคนต้องอยู่”
พวกมือปืนพยักหน้าแล้วแยกย้ายกันไปตามจุด
“งั้นผมฝากด้วย หลานสาวเพื่อนมาจากเมืองนอกเพิ่งถึงเมื่อคืน...ไม่สบาย ผมนัดหมอเอาไว้”
“เชิญครับ...คุณไม่ต้องกลับมาหรอก”
“ขอบคุณครับ”
เสี่ยขึ้นรถตู้กลับออกไป อภิชาติกวาดตามองรอบๆ
ภายในห้องบาร์เมมเบอร์ มีแขกเมมเบอร์ประปราย เพราะเพิ่งจะเย็น...โจเดินนำมือปืนสองคนมาที่โต๊ะที่สัตยากำลังนั่งดื่ม มีสาวสวย 2-3 คน นั่งเป็นเพื่อน สัตยาเหล่มอง
“ใครเชิญคุณมิทราบ”
โจหันไปมองสาวๆ
“ออกไปก่อน”
สาวๆ ลุกออกไป...โจทรุดตัวนั่งลงที่โต๊ะ...งิ้วซึ่งเดินเข้ามายืนที่บาร์มองเห็นเหตุการณ์
“อืม...นายโจกับนายสัตยา...ถือว่ามีนางงู ถึงได้กล้าเปิดตัวกันจะๆแบบนี้”
สัตยาชูแก้ว
“ดื่ม”
“ไม่จำเป็น”
โจจ้องส่งสายตาข่ม สัตยายิ้มกวนๆ
“รีบพูดแล้วก็รีบไป”
โจยิ้ม...แต่แล้วมีพนักงานเอาถังใส่แชมเปญมาวางลงที่โต๊ะ
“อภินันทนาการจากผู้จัดการครับ”
สัตยาพยักหน้า...พนักงานเดินออกไปที่บาร์ งิ้วส่งแบงก์พันให้ พนักงานรับแล้วรีบออกไป งิ้วติดเครื่องดักฟังเอาไว้ที่ถังแชมเปญใบนั้น หญิงสาวฟังได้ยินทุกอย่างที่สัตยาคุยกับโจ
“เอ้า...ว่ามาได้แล้ว สาวๆของผมรออยู่”
โจยิ้ม
“ผมแค่มาบอกว่า ไม่มีใครได้สิทธิ์รู้จักนายใหญ่”
สัตยายิ้ม
“อืม...เก่งนี่ ผมคุยกับท่านรองศักดา แต่เรื่องถึงคุณ”
“ถ้าคุณคิดถอนตัว...ก็บอกมา”
“ถึงเวลาเมื่อไหร่คุณก็น่าจะรู้”
“งั้น ณ.เวลานี้ ก็ทำงานตามคำสั่งอย่าให้พลาด”
“ถ้าพลาดแล้วจะมีคนมาแทนแบบโจคนที่สองยังงั้นเหรอ”
โจนิ่งอึดใจ...งิ้วพึมพำ…
“โจคนที่สอง”
โจยิ้ม
“อย่างคุณคงไม่จำเป็นต้องมีตัวมาแทน”
โจยิ้มเดินออกไป สัตยาขบกรามระงับความโกรธ แต่แล้วสายตามองไปเห็นจุดดำๆติดอยู่ที่ถังแช่แชมเปญซึ่งมีผ้าพาดถังแช่ปิดไว้แต่ไม่มิดพอ สัตยากราดสายตามองตามโจเห็นกำลังเดินไปทางบาร์เพื่อออกไป งิ้วรีบคว้าแก้วขึ้นดื่มบังหน้าตัวเอง โจกับมือปืนเดินผ่านงิ้ว เพื่อออกไปตรงประตูทางออก งิ้ววางแก้วลง มองตามโจอย่างสงสัย เธอพึมพำเบาๆ
“แปลว่าอะไร...โจคนที่สอง”
ทันใดนั้นเสียงสัตยาดังขึ้น
“สวัสดีครับ”
งิ้วหันมาเจอสัตยายืนยิ้มอยู่ ตรงหน้ามีถังแช่แชมเปญที่งิ้วส่งให้ และเห็นเครื่องดักฟังของงิ้วที่ติดไว้กับถังแช่แชมเปญอย่างชัดเจน
ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 7 (ต่อ)
ในสถานีอนามัย...ป้าเนียนตรวจหญิงชาวบ้านอยู่ มิ่งเดินเข้ามา ป้าเนียนหันมาเห็น
“ตามิ่ง...ไปโดนอะไรมา”
“เอ้อ...หนูจันล่ะ”
จันจิราตรวจคนไข้ออกมาจากข้างในพอดี
“ตายจริง พี่มิ่ง”
“พวกมันบังคับฉัน ให้ฉันพามาหา...เอ้อ หนูจันพวกมันอยู่ข้างนอก”
ป้าเนียนตกใจ
“ไม่ต้องออกไปหรอกหนูจัน รอให้ไผ่กลับมาก่อน”
“หนูไม่อยากให้พวกมันเข้ามาอาละวาดในนี้...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูจัดการได้”
จันจิราเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
จันจิราก้าวออกมา เจอพวกมือปืนยืนอยู่ พวกมันเดินเข้ามา จันจิราจ้องหน้าไม่กลัว
“อยากเจ็บตัวอีกเหรอ”
“คุณวิวัฒน์ต้องการพบ”
“ไม่สน”
พวกมือปืนเข้ามาคิดจะจับตัวแต่จันจิรา หลบวูบแล้วตบเปรี้ยง มันกระเด็นไป พวกมันเข้ามารุม แต่ก็กลับถูกจันจิราเล่นงานจนหมอบกันหมด
“บอกคุณวิวัฒน์ว่าฉันไปหาแน่”
จันจิราเดินกลับเข้าไปด้านใน พวกมือปืนต่างพยุงกัน ลุกขึ้นอย่างอยากเย็น
งิ้วตีหน้าเฉยยิ้มให้ สัตยายิ้มตอบ
“แชมเปญหน่อยมั๊ยครับ”
งิ้วยิ้มหยิบแก้วของตนขึ้นมา
“ไม่ชอบของไฮโซเท่าไหร่”
สัตยายิ้ม งิ้วยกแก้วจิบ...ทันใดนั้นเธอก็สาดเครื่องดื่มเข้าใส่หน้าของสัตยาเข้าเต็มๆ แล้วยิงหมัดโครมเข้าให้ สัตยากระเด็นออกไป แต่แล้วงิ้วโดนฟาดที่ท้ายทอยทรุดลงไป สัตยาดีดตัวขึ้นมาได้ ก็เห็นโจ กับมือปืนสองคนยืนอยู่
“คุณน่าจะขอบคุณผมนะ คุณสัตยา”
สัตยาได้แต่มองโจด้วยความแค้น...คว้าผ้าที่พาดตรงถังแชมเปญมาเช็ดหน้าตัวเอง โจยิ้มแล้วหันเดินออกไปมือปืนเดินตาม...สัตยาก้มมองงิ้วที่นอนสลบอยู่
อภิชาติเดินตรวจรอบๆตามจุด พยักหน้าให้กับมือปืน ที่ยืนอยู่ แล้ววนมาทางหน้าบ้าน เห็นรถจอดอยู่หนึ่งคันมือปืนยืนระวังอยู่ อภิชาติเดินเข้าไปหา
“ผมบอกแล้วว่าไม่มีใครเข้าและออก”
“เสี่ยมาครับ...ซื้อของกินมาฝากคุณดำรง”
อภิชาติขมวดคิ้ว แล้วรีบเดินขึ้นไปบนห้องของดำรง
รถตู้ของโจวิ่งกลับเข้ามาที่อินเตอร์บิส แล้วจอดตรงหน้า โจ ลงมากับมือปืน รถตู้แล่นออกไป โจเข้าไปในอินเตอร์บิส จักจั่นที่อยู่ในรถฝั่งตรงข้าม เห็นเหตุการณ์ตลอด
“ยายงิ้วหายไปไหนล่ะ...เฮ้ย...ทำเป็นซ่า”
จักจั่นบ่น สตาร์ทเครื่องแล้วออกรถไป...
อภิชาติเดินขึ้นมาเห็นมือปืนยืนเฝ้าอยู่ อยู่หน้าห้อง
“เสี่ยล่ะ”
“อยู่ในห้องครับ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อภิชาติเห็นเป็นเบอร์จักจั่นเขารับสายทันที
“ว่าไงจ๊ะสวีทฮาร์ท”
“กำลังไปตามคุณงิ้วค่ะ”
“รู้ตำแหน่งเหรอ”
“รู้ค่ะ...”
“ผมให้สองชั่วโมงถ้าไม่โทรมา ผมจะออกไปตาม”
“โอเค”
จักจั่นวางสายแล้วกดคีย์บอร์ดโทรศัพท์ ที่หน้าจอมีจุดสีแดง กระพริบวิบๆ จักจั่นยิ้มขับรถพุ่งไป
อภิชาติวางสาย แล้วเดินเข้าไปในห้อง ดำรงนั่งพิงหมอนอยู่บนเตียง เสี่ยกำลังเอาถ้วยโจ๊กมาวางไว้ บนถาดตรงหน้าดำรงหันมาเห็นอภิชาติ
“โจ๊กหมูเยาวราช...ของโปรดคุณดำรง ซื้อมาหลายถุง เชิญนะครับ”
อภิชาติยิ้มๆ
“ครับ...ผมก็ชอบโจ๊กเหมือนกัน...หลานชายเพื่อนที่มาจากนอกเมื่อคืนหายดีแล้วเหรอครับ”
“ครับ...แกบอกว่าดื่มบนเครื่องมากไปหน่อย”
อภิชาติยิ้มทันใดนั้นเขาก็พุ่งเข้าไปเอาปืนจ่อ เสี่ยตกใจ คาดไม่ถึง อภิชาติถามเสียงเข้ม
“เอ็งเป็นใคร”
“ผมเสี่ยไง”
“หนึ่ง...”
“นี่คุณบ้าไปแล้วเหรอ”
“สอง”
“เดี๋ยว...”
ทันใดนั้นเสี่ยตวัดมือไปทางด้านหลัง แล้วตวัดกลับมีปืนสั้นติดมือขึ้นมาจะยิงแต่ช้าไป
อภิชาติยิงเปรี้ยง เสี่ยกระเด็นลงไปกองที่พื้นนิ่งสนิท มือปืนพรวดเข้ามาสองคนมองอย่าง คิดไม่ถึง อภิชาติหันไปบอก
“ตัวปลอม”
มือปืนพยักหน้าหงึกๆ อภิชาติเดินมามองร่างของเสี่ยที่ยังหายใจอยู่อย่างแผ่วๆ
“เสี่ยมีหลานสาว ไม่ใช่หลานชาย”
เสี่ยร่างกระตุกสิ้นลม อภิชาติก้มลงตรงหน้าเสี่ยเอามือคลำแถวลำคอดึงหน้ากากยางออกมา เป็นใบหน้าของชายคนหนึ่ง...อภิชาติหน้าเคร่งเครียด หันไปมองดำรงซึ่งยังคงนั่งเอ๋อด้วยความตื่นกลัว
ที่โกดังเก็บของ...สัตยานั่งเก้าอี้อยู่ตรงหน้า งิ้วสะบัดหัวไล่ความมึนงง งิ้วถูกมัดนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
“เดี๋ยวนี้ ผู้ชายเลวขึ้นทุกวัน เล่นลอบกัด”
สัตยายักไหล่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สัตยารับสาย...
“ได้ครับ...” สัตยาวางสาย “นายณุพันธ์พ่อคุณส่ง พัสดุไปให้คุณชิ้นหนึ่ง”
“พัสดุอะไร...ฉันไม่รู้เรื่อง”
สัตยายิ้ม
“ถ้าผมได้พัสดุเรื่องก็จบ...คุณไปทางคุณ ผมไปทางผม”
งิ้วยิ้ม
“โห...เห็นฉันเป็นนางเอกละครน้ำเน่าหรือไงบอกไปนายก็ไม่ให้ฉันรอดอยู่ดี”
สัตยาหน้าเครียดเดินเข้ามายืนตรงหน้าสายตากราดมองไปทั่วร่าง งิ้วยิ้ม
“อย่ามองมาก...เดี๋ยวจะหลงเสน่ห์ความสวยของฉัน อาจหัวใจวายตายได้”
สัตยายิ้มส่ายหน้า
“ไม่ถึงกับหลงหรอก...แค่อยากได้เป็นเมีย”
“งั้นก็มาเลย สามีสุดที่รัก...ถ้าไม่กลัวติดเอดส์”
สัตยาเสียอารมณ์ตวัดมือตบเข้าเปรี้ยง งิ้วหน้าหัน พอหันกลับมาเลือดไหลที่มุมปากสายตาดุดัน
จุดแดงกระพริบวิบๆใกล้กับจุดเหลือง จักจั่นนั่งอยู่ในรถซึ่งจอดอยู่ในซอยที่ตั้งของโกดังเก็บของ
“โกดังเก็บของอีกแล้ว...น่าเบื่อที่สุด”
จักจั่นบ่นแล้วเปิดประตูลงจากรถ
งิ้ว จ้องสัตยาด้วยสายตาดุดัน
“พัสดุอยู่ไหน...ถ้าไม่อยากเจ็บตัวมากกว่านี้”
“อะไร...ตบแค่ทีเดียวจะให้บอกแล้ว ง่ายไปมั้ง”
สัตยายิ้มโหดง้างมือขึ้น
“เดี๋ยวก่อน...เพิ่งนึกออก...จำได้แล้ว”
สัตยายิ้ม
“ฉลาดขึ้นนี่”
“คุณพ่อส่งหนังสือทำอาหารไทยไปให้”
สัตยาตบเปรี้ยงเข้าให้อีกฉาด...งิ้วตาวาว
“ผมจะไปหาอะไรดื่มปลุกอารมณ์ซะหน่อย ถ้ากลับมาคุณยังนึกไม่ออก...คุณจะได้เป็นเมียผม”
สัตยาเดินห่างออกไป
“ไอ้ขี้ขลาดตาขาว...แน่จริงปล่อยก่อนเดะ โธ่เอ๊ย...ตุ๊ดอย่างแกฉันอัดแค่สองหมัดก็อยู่”
สัตยาไม่สนใจเดินออกไปทางด้านหลัง ทันใดนั้นได้ยินเสียงจักจั่นดังขึ้นทางวิทยุ...
“เข้าใจหาเรื่องเจ็บตัวนี่”
งิ้วพูดเบาๆ
“โห...แม่คุณนางเสือ มัวไปทำอะไรอยู่”
จักจั่นซุ่มดูพวกมือปืนสองคนที่ยืนเฝ้าหน้าโกดังอยู่
“เปิดโอกาสให้อ่อยหนุ่ม...ไม่ดีเหรอ”
“โน...ไม่ใช่เสปค...เร็วเข้า”
“โอเค...เดี๋ยวเจอกัน”
จักจั่นพูดจบก็ควงแขนตัวเองสองรอบ กลายเป็นใส่หน้ากากแต่งชุดนางเสือเรียบร้อยก้าวออกไปที่มือปืนสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่มือปืนสองคนหันมาเห็นมันตวัดปืนขึ้นแต่ จักจั่นแวบเข้ามาตรงกลางระหว่างมันสองคน ปล่อยหมัดสองหมัดอย่างรวดเร็ว มือปืนสองคนล้มฟุบ...จักจั่นวูบเข้าประตู
สัตยาเดินเข้ามาแล้วมาหยุดตรงหน้างิ้ว นั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้าม ในมือถือแก้วมองหน้าหญิงสาวแล้วยกแก้วขึ้นดื่มอย่างใจเย็น
“จิบมะ...บิ๊วอารมณ์กันหน่อย”
งิ้วยิ้ม
“ก็อยากเหมือนกัน...แต่คงบิ๊วไม่ออกเพราะตอนนี้ นางเสือยืนอยู่ข้างหลังนาย”
สัตยายิ้ม
“อ๋อเหรอ...นางเสือจะร่วมด้วยผมก็ไม่ว่า”
ทันใดนั้นเสียงจักจั่นดังขึ้น
“เมื่อไหร่จะเริ่มล่ะ”
สัตยาดีดตัวขึ้นหันขวับมา จักจั่นในชุดนางเสือยืนกอดอกเอียงคอจ้องมา สัตยาขว้างแก้วใส่ จักจั่นแวบหลบมายืนตรงหน้าตบเปรี้ยงเข้าให้สัตยาเซไป...
“โทษฐานตบผู้หญิง”
งิ้วสะใจ
“เยส...”
สัตยาตั้งตัวได้สะบัดมือไปที่เอว แต่ไม่เจอปืน
“อยู่นี่”
จักจั่นใช้นิ้วควงปืนโชว์อยู่ สัตยาพุ่งเข้ามาชก จักจั่นหลบวูบ เขาชกลมวืดหมุนกลับมาก็เจอจระเข้ฟาดหางของเธอเข้าเต็มคางร่วงผล็อยสลบไป งิ้วตาโต
“โว่ว...สุดยอด”
จักจั่นหันมาสะบัดมือไปที่เชือกที่มัดตัวงิ้วอยู่กับเก้าอี้เชือกกระเด็นกระจุยหลุดออก งิ้วลุกขึ้นมาแล้ววิ่งเข้าเตะร่างของสัตยาเข้าที่ชายโครงหนึ่งทีเป็นการแก้แค้น
“เชื่อแล้ว...นางเสือยอดเลย”
“เราจะจัดการกับนายนี่ยังไงถึงจะเข้าแผน”
งิ้วคิดนิดนึง
“นึกออกแล้ว...รับรองเวิร์คแน่นอน”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน
ค่ำนั้น...สัตยา ค่อยๆกระพริบตารู้สึกตัวขึ้นมา จับคางตัวเองเบาๆเพราะยังรู้สึกเจ็บอยู่ค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องชะงักอึ้งเมื่อหันไปพบว่าเขานอนอยู่บนเตียงของโรงแรมแห่งหนึ่ง บนเตียงมีถุงยาเสพติดสารพัดชนิดประมาณ ยี่สิบเม็ด สัตยาหยิบขึ้นมาดูพลางสลัดหัวทบทวนความจำ แถมยังมีหนุ่มล่ำบึกนอนอยู่บนเตียงหนึ่งคน สัตยาสะดุ้ง
“เฮ้ย...”
ทันใดนั้นประตูห้องเปิดผลัวะเข้ามา แสงจ้าจากกล้องวิดีโอสาดเข้ามา สัตยาเอามือบัง...เจ้าหน้าที่ตำรวจพรวดเข้ามาสองนายพร้อมนักข่าว...สัตยาได้แต่จ้องมองพูดอะไรไม่ออก
จักจั่นกับงิ้วดูทีวีอยู่ในห้องพักหน่วยพิเศษ ในทีวีเป็นภาพกำจรยืนหน้าโรงแรมกำลังรายงานข่าว
“เป็นที่น่าตกใจเมื่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่า ผู้กองสัตยาแห่งหน่วยพิเศษ เมายาเสพติดอยู่ในโรงแรมพร้อมของกลาง และหนุ่มล่ำบึก” กำจรกลั้นยิ้ม แต่ปล่อยขำมานิดหนึ่ง “ทางการยังต้องสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป ใครจะรู้อาจจะบริสุทธ์ก็ได้...ผมกำจร แสงรุ่งเรือง รายงาน”
งิ้วกับจักจั่นต่างขำยกมือตีกัน
“ขำ...โอย...สุดยอด...”
“คราวนี้ดูซิว่าพวกมันจะแก้เกมยังไง”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จักจั่นรับสาย
“ฮัลโหลดาร์ลิ่ง เป็นการวางแผนของคุณงิ้ว”
“ดีมาก...หนุ่มลำบึกมีสีสันขึ้นเยอะ”
จักจั่นขำกิ๊ก
“ทางนายดำรงเป็นยังไงบ้าง”
อภิชาติหันไปมองดำรงที่ นั่งเอ๋อดูทีวีอยู่ในห้อง
“พวกมันส่งคนมาเหมือนกัน ผมจัดการไปแล้ว แต่นายดำรงยังเอ๋ออยู่”
ดวงอาทิตย์ยามเช้าสาดแสง...ศักดากับสัตยาคุยกันอยู่ในเซฟเฮาส์ อย่างเคร่งเครียด
“ทางกรมสั่งให้พักงานคุณ...งานนี้คุณพลาดเอง”
“ผมรู้...แต่เป็นเพราะนายโจนำพวกนั้นมาเล่นงานผม”
“ตอนนี้นิ่งไว้ก่อน...มีอะไรคืบหน้าผมจะบอกคุณ”
สัตยาไม่พอใจลุกขึ้นออกไป ศักดาส่ายหน้าไม่พอใจ
เสียงสายฟ้าร้องก้อง ฤทธิชัยยืนอยู่ในราวป่า กราดสายตาไปมา ทันใดนั้นร่างของดาวร่อนลงมา ฤทธิชัยขยับตัว แต่ดาวยกมือเป็นเชิงห้าม กวาดตามองรอบๆ ไม่เห็นอะไร
“ผมยังไม่รู้สึกว่านางงูอยู่ที่นี่”
ดาวเดินเข้ามาใกล้ สายตายังมองไปรอบๆ พยายามสัมผัสรอบตัว
“คราวก่อนที่ดาวมาหาคุณหนึ่ง ไม่ทันระวังถูกนางงูตามไป”
ฤทธิชัยตกใจ
“ฮ๊า...จริงเหรอครับ มิน่าคราวที่แล้วผมก็รู้สึกเหมือนกัน”
ฤทธิชัยกวาดสายตามองไปรอบๆเช่นกัน ดาวยิ้ม
“ชายแดนเป็นยังไงบ้างคะ”
“พวกมันโหดมาก...ชาวบ้านต้องรับเคราะห์ ผมต้องกลับไปดูอีก”
“คุณหนึ่งเหงาแย่...”
ฤทธิชัยยิ้ม
“ไม่หรอกครับ มีสายฟ้ากับสายลมคอยเป็นเพื่อน แค่คิดถึงคุณดาวเท่านั้น”
ทั้งสองโผเข้าหากันอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันแต่แล้วเสียงของสายลมดังขึ้นสายฟ้าคำราม
“ผมสัมผัสพลังของนางงู”
“ดาวไปก่อนดีกว่าค่ะ”
“ระวังตัวนะครับ อย่าเผชิญหน้า”
“คุณหนึ่งด้วย”
ดาวพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว...ฤทธิชัยหลับตาตั้งสมาธิส่งพลังออกไป
สัตยาขับรถด้วยความไม่พอใจ เสียอารมณ์ ทันใดนั้นมีมอเตอร์ไซด์รับจ้างแซงเฉี่ยวรถไป...จนกระจกข้างบิด สัตยาโมโหรีบขับรถตามไปติดๆ มอเตอร์ไซด์รับจ้างเลี้ยวเข้าไปในซอยหนึ่ง สัตยาตามเข้าไปเห็นรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างจอดเข้าข้างทาง สัตยาจอดพรวด ลงไปกระชากคอเสื้อมอเตอร์ไซด์รับจ้าง
“เองขี่รถปาดไปทั่ว เฉี่ยวกระจกรถข้างข้าบิด”
มอเตอร์ไซด์ยกมือไหว้
“ขอโทษครับ”
สัตยาไม่ฟังเสียงตบโครมไอ้หมอนั่นกระเด็นไป...สัตยาเดินไปถีบรถมอเตอร์ไซด์ล้มลง แล้วเดินมาขึ้นรถของตนแต่ก่อนที่จะเปิดประตูขึ้นรถ เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวดังขึ้น สัตยาพุ่งข้ามหน้ารถบังตัวเองหมอบกับพื้น เสียงปืนดังถี่ยิบ สัตยาหมอบอยู่ ได้ยินเสียงรถพรวดออกไป สัตยาลุกขึ้นตวัดปืน แต่รถลึกลับไปไกลแล้ว สัตยามองตามด้วยความแค้นใจ
รถเก๋งลึกลับวิ่งเข้ามาในซอยแล้วจอดพรวด ปรากฏว่าในรถคือจักจั่นกับงิ้วนั่นเอง จักจั่นเป็นคนขับ งิ้วเป็นคนยิงปืนกลยังอยู่ในมือ
“นี่คิดจะสอยนายสัตยาจริงๆเหรอไง”
งิ้วยิ้มแหยๆ
“เฮ่...ลืมตัวไปหน่อย”
ทั้งสองต่างยิ้ม
“แค่นี้นายสัตยาก็นั่งไม่ติด...ต้องคิดว่าถูกนายใหญ่สั่งเก็บแน่ๆ”
“ดี...ให้พวกมันกัดกันเองซะบ้าง”
“ไปหาอะไรกินดีกว่า”
“โอเค”
จักจั่นเคลื่อนรถออกไป...
ดาวในชุดนางเสือ พุ่งผ่านยอดไม้ไป แล้วร่อนลงที่ลาน วิ่งต่อไปอีกสองสามก้าวแล้วพุ่งขึ้นเหนือยอดไม้ ทันใดนั้นมีเงาแวบมาขวาง ดาวตีลังกาลงมายืนกับพื้น ตรงหน้าคือนาคี ดาวชะงักอึ้ง
“โชคร้ายจริงๆท่านผ่านมาพบเรา”
ดาวยิ้ม
“ป่านี้กว้างใหญ่...ใครอยากจะไปไหน...เมื่อไหร่เป็นเรื่องปกติ”
“ไม่มีท่าน ความรักของเราต้องสมหวัง”
ดาวอึ้งคาดไม่ถึง นาคียิ้ม
“เราสัมผัสมนุษย์ได้ที่จิตวิญญาณ ไม่ใช่ที่ลักษณะภายนอกหน้ากากของท่านปกปิดเราไม่ได้หรอก”
ดาวสะบัดมือหน้ากากนางเสือของดาวหายไป...
“ในเมื่อรู้ก็ดีแล้ว”
“ท่านคือมนุษย์คนเดียวที่ครองใจของชายที่เราต้องการ”
“ถึงไม่มีฉันความรักของเธอก็ไม่สมหวัง”
นาคีตาวาว พุ่งเข้าหา ทั้งสองต่างต่อสู้ประชิดตัวเตะต่อยปัดป้องกัน แล้วต่างก็ถอยออกจากกัน
“ความรักบังคับกันไม่ได้...ใครก็รู้”
นาคีเหยียดยิ้ม
“แต่เราบังคับได้”
“แสดงว่าเธอไม่รู้จักความรัก”
นาคีไม่สนพุ่งเข้าหาอีกปะทะหมัดกัน นาคีได้เปรียบกระแทกดาวกระเด็นออกไป ดาวดีดตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นาคีจ้องสายตาเหี้ยมเกรียม
“เราต้องกำจัดท่านได้อย่างแน่นอน”
ดาวกราดสายตารอบๆอย่างเคร่งเครียด...นาคีพุ่งเข้าหาดาว ทันใดนั้นดาวตวัดปืนขึ้นมายิงใส่เปรี้ยงๆๆๆๆ นาคีถูกกระสุนกระดอนออกมาตั้งหลักที่พื้นเซไปสองก้าว...ดาวพุ่งเข้าแนวป่าไปอย่างรวดเร็ว...นาคียิ้มดุดันแวบตัวตามไป
ฤทธิชัยหันขวับไปทางเสียงปืน
“นางงู”
ฤทธิชัยพุ่งออกไป
ดาวร่อนลงมา ตรงลาน บริเวณใกล้หุบเหว หญิงสาวกราดสายตารอบๆ ทันใดนั้น นาคีก็ปรากฏตัวตรงหน้า ดาวตวัดปืนยิงใส่เปรี้ยงๆๆแต่นาคีแวบไปมา ดาวกราดปืนยิงตามแต่ไม่โดน สุดท้ายนาคีแวบมาตรงหน้าปัดปืนกระเด็นไป ดาวกระแทกหมัดถูกลำตัวนาคีกระเด็นออกไปแล้วตามติดทั้งสองต่อสู้ประชิดตัวแวบไปโผล่ที่โน่นที่นี่ ต่อย เตะ ถีบ ผลัดกันถูกพลังของอีกฝ่ายหนึ่งสุดท้ายแวบไปใกล้บริเวณปากเหว ดาวเริ่มตกเป็นรอง ถูกนาคีกระแทกเซไป นาคีแวบตามเข้ามามือคว้าหมับเข้าที่คอ ดาวพยายามดิ้น ทันใดนั้นมีแสงจากร่างของดาวผ่านมือของนาคีไปครอบคลุมที่ร่างของนาคีร่างของนาคีสะท้านและเปลี่ยนเป็นร่างดาวยังกับฝาแฝดนาคีหัวเราะเสียงดัง
“เราทำให้คนของท่านรักเราได้แน่นอน”
ดาวกัดฟันปัดมือของนาคีออกจากคอ แล้วใช้หน้าผากโขกหน้าของนาคีกระเด็นห่างออกไป นาคีตั้งตัวได้กลับเป็นนาคีอย่างเดิมแต่ดาวเหมือนขาดสติ พุ่งตัวเข้าถีบร่างนาคีกระเด็นไปที่พื้นใกล้หน้าหุบเหว นาคีดีดตัวขึ้นมาจ้องดาวแล้วยิ้มเยาะ
“ท่านหยุดเราไม่ได้หรอก”
ทันใดนั้นดวงตาของดาวแวววับ
“หยุดได้แน่นอน”
ดาวพุ่งเข้าชนร่างของนาคีเต็มแรง ทั้งสองลอยลิ่วตกจากหน้าผาไป...เสียงสายลมร้องก้อง
ฤทธิชัยร่อนลงมา กราดสายตาไปรอบๆเห็นร่องรอยการต่อสู้ ฤทธิชัยเดินตามรอยไป จนกระทั่งถึงบริเวณปากเหว แต่แล้วนาคีซึ่งกลายร่างเป็นดาวค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากขอบเหว
“คุณดาว”
ฤทธิชัยปราดเข้าไปช่วยดาวขึ้นมา นาคีในร่างดาวซวนเซยืนไม่ติด...ฤทธิชัยอุ้มไว้ในวงแขน ทั้งสองอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน ทันใดนั้นเสียงสายลมร้องก้อง ฤทธิชัยหันขวับไปเห็นขบวนมือปืนอยู่บนรถจิ๊ปสองคันกำลังลัดเลาะมาตามเส้นทาง ฤทธิชัยรีบอุ้มร่างของนาคีในร่างดาวขึ้นมาไว้ในวงแขน แล้วพุ่งออกไป เสียงสายลมร้องก้อง หัวหน้ามือปืนตะโกนลั่น
“เฮ้ย...มันอยู่นั่น เร็วเข้า”
รถจิ๊ปพวกมันหักตามฤทธิชัยไปอย่างรวดเร็วพลางยิงใส่เสียงดังสนั่นหวั่นไหวจนพ้นแนวป่าไป ที่หน้าผา...มือของดาวโผล่ขึ้นมาแล้วกลิ้งพ้นขอบหน้าผาขึ้นมา เสียงสายลมร้องก้องมาอีก ดาวลืมตามอง ดวงตาพร่าพราง
“คุณหนึ่ง”
ที่หน่วยพิเศษ จักจั่นอยู่บนเตียงในห้องพัก ตกใจรู้สึกอะไรบางอย่าง
“พี่ดาว”
เสียงสายลมร้องก้อง บนท้องฟ้าร่างสายลมรางเลือนแล้วชัดขึ้น ดาวลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ...
“สายลม”
เงาของสายลมพุ่งบินต่ำลงมาต่ำลงมาจนกระทั่งถึงดาว ที่แท้เป็นร่างของไผ่ที่พลิ้วลงมาจากยอดไม้
“ดาว”
“พี่ไผ่...คุณหนึ่ง”
ดาววูบไปทันที
จักจั่นพยายามโทรหาดาว
“ฮัลโหล”
งิ้ว ยืนอยู่ข้างๆคอยรอฟัง จักจั่นกังวล
“ไม่มีสัญญาณ...สงสัย ออกป่ากันหมด”
“คงไม่มีอะไรมั้ง”
จักจั่นครุ่นคิด
“จักจั่นเห็นพี่ดาว ต้องมีเรื่องไม่ดีแน่”
“คุณดาวเป็นถึงนางเสือ จะมีเรื่องไม่ดี ได้ยังไงอย่าคิดมากน่า”
จักจั่นครุ่นคิดกังวล
ในราวป่า...ดาวยืนอยู่กับไผ่
“พี่ไผ่มาได้ยังไง”
“แม่สมพรให้พี่ไปดูลุงเดชกับพ่อแสงที่ชายแดน...พี่ได้รับสัญญาณสายลม เลยรีบมาที่นี่ก่อน...เกิดอะไรขึ้น”
“นางงูได้ตัวคุณหนึ่งไปแล้ว ดาวต้องรีบตามไปก่อนที่นางงูจะสะกดคุณหนึ่งให้ตกเป็นทาสของมัน”
“งั้นพี่จะไปกับน้องดาว”
ดาวส่ายหน้า
“พี่ไผ่รีบไปชายแดนดูลุงเดชกับพ่อแสงจะดีกว่า”
“แต่น้องดาวยังบาดเจ็บอยู่”
“ดาวไม่เป็นไร”
ดาววิ่งแล้วพุ่งขึ้นไปบนยอดไม้...ไผ่ส่ายหน้าแล้วพุ่งไปอีกทางหนึ่ง
ในราวป่าลึกลับ...บริเวณลานป่ามีน้ำตกเล็กๆ ซุ่มซ่อนอยู่ในมุมหนึ่งระหว่างหุบเขา ฤทธิชัยอยู่ที่ริมน้ำยกกระติกขึ้นมาแล้วเดินมาที่ร่างของนาคีในร่างดาว ที่นอนสลบอยู่ห่างออกไป ฤทธิชัย เทน้ำใส่มือแล้วลูบไล้ที่ใบหน้าของหญิงสาวเบาๆ นาคีลืมตาขึ้นมาช้าๆ เห็นฤทธิชัยก็ถึงกับตื่นเต้น ฤทธิชัยยิ้มให้
“คุณดาว”
นาคี นึกออกรีบสวมรอยเป็นดาวทันที พยักหน้าช้าๆไม่ยอมพูดกลัวว่าจะมีพิรุธรีบจับมือของเขากุมไว้ ก่อนจะซบลงที่อกของเขา ฤทธิชัยกอดไว้ในอ้อมอกอึดใจ นาคีขยับตัวออกแล้วจ้องหน้าฤทธิชัย...ทั้งสองสบตากัน
นาคีค่อยๆยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้พร้อมที่จะจูบ
ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 7 (ต่อ)
ภายในถ้ำหลังกำแพงวุ้น...ภาพของ ฤทธิชัยกับนาคี ปรากฏขึ้นที่ผนังถ้ำตรงหน้าของคายามังซึ่งหลับตาใช้อาคมมองภาพอยู่ คายามังลืมตาขึ้นมาจ้องที่ภาพอย่างไม่พอใจ
ใบหน้าของนาคีค่อยๆเข้าใกล้ใบหน้าของฤทธิชัยเข้าไปทุกที แต่แล้วก็หยุด...ปืนในมือของฤทธิชัยจ่อที่หน้าอกของนาคีพอดี
“ท่านรู้...”
ฤทธิชัยพยักหน้า
“ตอนอุ้มคุณมา”
ต่างมองหน้ากันอึดใจ ทันใดนั้นร่างของดาว มีแสงวิ่งไปทั่วแล้วกลายร่างเป็นนาคี ทั้งสองถอยห่างกัน...ฤทธิชัยเก็บปืน
“แสดงว่าท่านก็มีความรู้สึกกับเรา ถึงได้ช่วยเรา”
ฤทธิชัยส่ายหน้า
“เปล่า...ผมแค่ไม่ต้องการทำร้ายใคร ผมรู้ว่าคุณถูกบังคับ ที่นี่ไม่ใช่โลกของคุณ”
นาคีจ้องฤทธิชัยนิ่งดวงตาเป็นประกาย ทันใดนั้น นาคีสะบัดมือใส่ ฤทธิชัยกระเด็นกลิ้งไปกับพื้น
“เหลวไหล...ท่านต้องเป็นของเรา”
นาคีดวงตาเป็นประกายโกรธแค้น ฤทธิชัยคาดไม่ถึง
นาคีดวงตาเป็นประกายเดินเข้าหาฤทธิชัยซึ่งยังมึนอยู่เพราะไม่ทันระวังตัว นาคียกมือ สะบัดมืออีกครั้ง ร่างของฤทธิชัยกลิ้งไปกับพื้นอีกครั้ง
“เราไม่ได้ท่าน...ก็ไม่มีใครได้ท่าน”
นาคียกมือขึ้น แต่แล้วเสียงปืนดังเปรี้ยงๆๆๆ ร่างของนาคีเซไป ดาวยืนเอาปืนจ้องมาที่นาคี
“พูดผิด...พูดใหม่ได้”
นาคียิ้มหยัน
“ท่านต้านเราไม่ได้หรอก...ท่านยังบาดเจ็บอยู่”
“ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่บาดเจ็บ”
ดาวสะบัดมือขึ้นมาอีกข้างหนึ่ง มีปืนอีกหนึ่งกระบอกติดมา นาคีจ้องเขม็ง แต่แล้วร่างของฤทธิชัยเดินเข้ามายืนคู่กับดาว มุมปากมีเลือดเล็กน้อยแต่ในมือมีปืนจ้องมา
“อย่าบังคับกันดีกว่า”
นาคีจ้องทั้งสองด้วยความโกรธ...ทันใดเงาร่างนินจาพุ่งมาจากยอดไม้เข้าใส่...ดาวกับฤทธิชัยตวัดปืนยิงใส่พวกนินจาเสียงปืนดังสนั่นพวกนินจาเด้งถอยห่างออกไปแล้วร่อนลงมา นินจาใส่หมวกปีก 5 คนล้อม ดาวกับฤทธิชัยไว้ตรงกลาง...ดาวกับฤทธิชัยกราดสายตาไปทางนาคี แต่เธอหายไปแล้ว...ทั้งสองต่างจ้องปืนที่พวกนินจาทั้ง 5 แต่แล้วพวกนินจากลับถอยแล้วดีดตัวหายเข้าไปในราวป่าจนหมด
“ที่แท้พวกมันมาช่วยนางงู”
ขาดคำดาวซวนเซล้มลง ฤทธิชัยรับไว้ในอ้อมกอดได้ทันท่วงที
นาคีกับคายามังอยู่ด้วยกันในถ้ำหลังกำแพงวุ้น...คายามังไม่พอใจมาก
“เจ้าลุ่มหลงมันจนเกือบเสียท่า ข้าต้องส่งนินจาไปช่วยเจ้า”
“เชอะ...ข้าเหรอจะลุ่มหลงมัน เพียงแต่มันจุมพิตข้า...มันจะเป็นทาสของข้าทันที เสียดายมันรู้ตัวซะก่อน”
“ข้านึกว่าเจ้าใจอ่อนที่มันช่วยเจ้า”
นาคีนิ่งอึดใจ
“มันช่วยข้าเพราะมันนึกว่าข้าเป็นนางนั่นตะหาก”
“งั้นก็แล้วไป”
“ข้าเหนื่อย...ขอตัว”
นาคีเดินออกไป คายามังมองตาม สายตาครุ่นคิด
ดาวอยู่ในอ้อมกอดของฤทธิชัย เขาส่งกระติกน้ำให้ เธอรับมาดื่มแล้วส่งคืนให้ ฤทธิชัย รับมาวางไว้กับพื้น ดาวซบอกของเขาหลับตาถอนหายใจ อึดใจก็ลืมตาขึ้น
“ดาวคิดว่าคุณหนึ่งหลงกลนางงูซะแล้ว”
ฤทธิชัยยิ้ม
“เกือบเหมือนกัน แต่พอสัมผัสตัว ก็รู้ครับ”
“น่ากลัว จริงๆ นางงูสามารถปลอมเป็นดาวได้”
“ถ้าเกิดปลอมเป็นผมคุณดาวจะรู้หรือเปล่า”
ดาวยิ้ม
“สาเหตุที่นางงูปลอมเป็นดาวได้ ก็เพราะดาวพลาด ปล่อยให้นางงูถูกตัวแล้วดึงภาพของดาวไว้...อยู่ๆจะปลอม เป็นใครตามใจนึกไม่ได้หรอกค่ะ”
“งั้นก็โล่งอก ถ้านางงูปลอมตัวได้ พวกเราคงแย่”
ทั้งสองต่างยิ้ม แล้วกลับเข้าสู่อ้อมอกของกันและกัน
นาคีอยู่ในอ่างน้ำสีทอง ลืมตาขึ้นมากวาดมอง ดวงตาวาว...หวนนึกถึงภาพที่ฤทธิชัยช่วยตนไว้
“แสดงว่าท่านก็มีความรู้สึกกับเรา ถึงได้ช่วยเรา”
ฤทธิชัยส่ายหน้า
“เปล่า...ผมไม่ต้องการทำร้ายใคร ผมรู้ว่าคุณถูกบังคับ ที่นี่ไม่ใช่โลกของคุณ”
นาคีจ้องฤทธิชัยนิ่งดวงตาเป็นประกาย...แต่แล้วนาคีก็เห็นภาพซ้อนขึ้นมาเป็นภาพของ คายามังกำลังมองกำแพงวุ้นมนตร์เห็นตนกับฤทธิชัย เธอสะบัดมือใส่ร่างของฤทธิชัยกระเด็นกลิ้งไปกับพื้น นาคีทำแบบนั้นเพราะว่าเธอเห็นคายามังมองอยู่จึงปล่อยพลังใส่ฤทธิชัยเพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้คายามังรู้ความรู้สึกของตัวเอง
“เหลวไหล...ท่านต้องเป็นของเรา”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา นาคีหลับตาลง...
ที่หน่วยพิเศษ...จักจั่น วางสายหันมาบอกอภิชาติ
“พี่ดาวปลอดภัย จักจั่นจะกลับบ้านดอนเสือไปช่วยพี่ดาวจัดการกับนางงูอีกแรงหนึ่ง”
อภิชาติหนักใจ
“ดูเหมือนว่านางงูไม่ยอมอยู่ห่างจากบ้านดอนเสือเลย”
“แน่อยู่แล้ว...เหตุผลก็คือคุณฤทธิชัย แล้วก็เป็นเส้นทางขนเงินและสินค้าของมัน”
“ความจริงงิ้วอยู่ที่นี่คนเดียวก็ได้...ให้คุณอภิชาติไปกับคุณจักจั่น”
จักจั่นขัดขึ้นทันที
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ”
จักจั่นเดินเข้าไปใกล้อภิชาติ แล้วเอามือโอบรอบคอ อภิชาติกอดจักจั่นไว้
“คุณอภิชาติอยู่ที่นี่ดีกว่าจะได้ช่วยสืบหานายใหญ่ของมัน...ยิ่งได้ตัวมันเร็วเท่าไหร่เรื่องก็จบเร็วเท่านั้น”
“ครับผม”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน งิ้วกระแอม
“ฮะแฮ้ม...งิ้วขอตัวก่อนนะคะ”
ทั้งหมดต่างยิ้ม...งิ้วเดินออกไปจากห้อง...
“ระวังตัวนะจ๊ะ สวีทฮาร์ท”
“คุณก็เหมือนกัน...ดาร์ลิ่ง”
ทั้งสองต่างยิ้มและอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน
รถของสัตยาเข้ามาจอดตรงหน้าอินเตอร์บิส สัตยาลงจากรถแล้วก้าวเข้าไปด้านใน...มือปืนเดินนำสัตยาเข้ามาในห้องทำงานโจ แล้วเดินกลับออกไป โจหันไปยิ้มแย้มให้
“เชิญครับคุณสัตยา”
สัตยาเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับโจ
“มีเรื่องสำคัญอะไรถึงคุยกันทางโทรศัพท์ไม่ได้”
“คุณไม่ค่อยพอใจกับการรับคำสั่งจากผู้ที่ไม่มีตัวตน”
สัตยายักไหล่
“ทำให้คุณคาใจจนทำงานผิดพลาด”
“คุณมีอะไรก็รีบพูดมาดีกว่า”
“นายใหญ่อยากพูดกับคุณ”
สัตยาชะงักคาดไม่ถึง โจขยับแลปท็อปบนโต๊ะให้หันมาทางสัตยา เงาดำของนายใหญ่ปรากฏบนจอ
“สถานะของคุณในกรุงเทพจบแล้ว...ผมจะส่งคุณไปคุมงานใหญ่ที่ชายแดน คุณจะว่ายังไง”
สัตยาอึ้งไป
“เออ...ได้ครับ”
“อย่าให้พลาดอีก”
จอดับวูบไป สัตยาถอนใจ โจหมุนคอมพิวเตอร์กลับ
“เจอนายใหญ่แล้ว...พอใจหรือยัง...”
สัตยามองโจอย่างหมั่นไส้
ในห้องพักหน่วยพิเศษ...นพเปิดประตูเข้ามาเห็น อภิชาติกับงิ้ว นั่งตรวจอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ทั้งสองหันมา
“มีพัสดุส่งมาถึงคุณงิ้ว...จากสหรัฐอเมริกา”
งิ้วแปลกใจ มองหน้าอภิชาติแล้วรับพัสดุมา
“ขอบคุณ” งิ้วมองซองเอกสาร “จากหัวหน้าดิฉันเอง”
นพหันมาหาอภิชาติ
“คุณอภิชาติ ยังไม่กลับไปดูคุณดำรงหรือครับ”
อภิชาติยิ้ม
“อีกสองชั่วโมง...ช่วยจัดรถหน่อยได้มั๊ยครับ”
“ได้ครับ”
นพเดินออกไป...อภิชาติหันมาทางงิ้วเห็นกำลังเปิดพัสดุอยู่ ข้างในมีกล่องอีกกล่องหนึ่ง งิ้วยกขึ้นมาดู
“ของคุณพ่อส่งไปให้ดิฉัน” งิ้วนิ่งอึดใจ “นี่เองที่นายสัตยาถามถึง”
งิ้วรีบแกะพัสดุอย่างรวดเร็ว...อภิชาติมองอย่างสนใจงิ้วยกขึ้นมาดู เป็นแค่รูปถ่ายของงิ้วตอนเด็กกับณุพันธ์
ทั้งสองต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง
เจ้าหน้าที่หลายนายอาวุธครบ วิ่งประจำจุดต่างๆอย่างระมัดระวัง นพ ยืนกราดสายตามองรอบๆ รถตู้พรวดเข้ามาจอด เจ้าหน้าที่คนหนึ่งวิ่งเข้าไปเปิดประตู อภิชาติก้าว ลงมา ตามด้วยดำรง
“ขอโทษที่แจ้งช้าไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ...พวกเราทุกคนพร้อม 24 ชั่วโมง”
“ผมตัดสินใจพานายดำรงมานี่...ผมจะได้มีเวลาอยู่ทำงานกับพวกเราด้วย”
“ครับ...ทุกอย่างพร้อมอยู่แล้วครับ”
นพโบกมือ เจ้าหน้าที่สองคนมาพาดำรงที่เหม่อๆ เอ๋อๆออกไป อภิชาติหันมายิ้มให้นพ
“ขอบคุณมากคุณนพ”
“เชิญคุณอภิชาติเลยครับ...ทางนี้เราจัดการเอง”
อภิชาติพยักหน้าอย่างพอใจแล้วเดินออกไป เจ้าหน้าที่เข้ามารับคำสั่งจากนพ
“เพิ่มรักษาการปลอดภัย...เป็นสองเท่า”
งิ้วยกรูปขึ้นมองอย่างพิจารณาเป็นรูปของตนตอนเด็กประมาณ 10 ขวบ ณุพันธ์อุ้มอยู่ ถ่ายภาพใกล้มากไม่เห็นอะไรด้านหลังเลย ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่อภิชาติจะเดินเข้ามาในห้อง
“มีเบาะแสอะไรมั๊ยครับ”
งิ้วส่ายหน้า ส่งรูปให้ดู อภิชาติรับมาดูอย่างครุ่นคิด
“รูปดิฉันตอนเด็ก...กับ คุณพ่อ แค่นั้นเอง”
“นายสัตยาคาดคั้นเรื่องพัสดุชิ้นนี้ จากคุณต้องมีอะไรสำคัญแน่นอน”
งิ้วเหล่มอง
“พวกมันแค่บ้าแล้วก็ระแวงไปเอง”
“ผมว่าไม่ใช่...คุณพ่อคุณต้องรู้ความลับสำคัญและมันต้องอยู่ในพัสดุชิ้นนี้”
งิ้วครุ่นคิดเดินเข้ามาคว้ารูปจากมืออภิชาติไปตรวจดูอีกครั้งอย่างจริงจังตรวจอย่างละเอียด...อภิชาติยืนลุ้นอยู่ใกล้ๆ แต่แล้วงิ้วเงยหน้าขึ้น
“คุณลองหาดูเองก็แล้วกัน”
งิ้วส่งรูปคืนให้อภิชาติ แล้วเดินหัวเสียออกไป อภิชาติได้แต่จ้องที่รูป
จักจั่นมาหาดาวที่เซฟเฮาส์ ทั้งสองโผเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง
“คุณหนึ่งล่ะ”
“อยู่ชายแดนทิศเหนือ ห่างไกลจากเรา เพื่อไม่ให้นางงูมาขวางเรา”
“แล้วพี่ไผ่”
“อยู่ชายแดนทิศใต้...กับลุงเดช และพ่อแสง จันจิราอยู่ระวังป้าเนียนกับแม่สมพร แล้วก็เด็กๆ”
“เหลือแค่เราสองคน”
“ใช่...วิ่งรอกไปทุกแห่ง ขวางทางพวกมันทุกวิถีทาง”
ทั้งสองต่างยิ้ม
จันจิราขับรถเข้ามาจอดที่หน้าโรงเลื่อยของวิวัฒน์ พวกมือปืน ยืนขวางอยู่ด้านหน้าทางเข้าไปยังออฟฟิศ จันจิราก้าวลงมาจากรถ
“นายเอ็งอยากพบข้า”
มือปืนพยักหน้า เปิดทางให้จันจิราก้าวเข้าไป
จันจิราก้าวยาวๆไปในห้องทำงาน วิวัฒน์นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน พิงพนักเก้าอี้มองมาอย่างสบายอารมณ์
“นายให้คนไปตามฉัน...มีอะไร”
วิวัฒน์ยิ้ม
“คุณทำบ่อนผมพัง”
จันจิรายิ้ม
“ปิดซะ”
“หวังว่าคุณคงไม่ไปก่อเรื่องอีก”
จันจิรายิ้มๆ
“บ่อนเปิดให้เล่นไม่ใช่เหรอ”
“คุณเก่งขึ้นมาก คุณจันจิรา”
ทันใดนั้นมีดสั้นเล่มหนึ่งปักลงมาบนโต๊ะตรงหน้าวิวัฒน์...เงาสะท้อนแสงวับ
“ถ้าคนของนายไปยุ่มย่ามแถวสถานีอนามัยอีก ฉันจะเสริมดั้งให้นายใหม่”
จันจิราเดินออกไป วิวัฒน์มองมีดสั้นแล้วมองจันจิราด้วยความแค้น
ในหน่วยพิเศษ...อภิชาติเดินถือถ้วยกาแฟมาสองถ้วย มาที่โต๊ะที่งิ้วนั่งทำงานอยู่ งิ้วกำลังมองที่รูปถ่ายอย่างพิจารณา อภิชาติส่งกาแฟให้
“เป็นไงครับได้เรื่องอะไรหรือเปล่า”
งิ้วรับมา
“ดูยังไงก็เป็นรูปดิฉันตอนเด็กกับคุณพ่ออยู่ดี”
อภิชาตินั่งลงที่โต๊ะ งิ้วจิบกาแฟ
“จำได้ว่างอแงอยากกลับบ้านตั้งหลา...”
งิ้วหยุดพูด...อภิชาติจ้องอย่างสงสัย หญิงสาวจ้องที่รูป
“งอแง...กลับบ้าน...ใช่แล้ว”
อภิชาติงงๆ
“เฮ่...ช่วยบอกได้มั๊ยครับว่า อะไรใช่”
งิ้วตื่นเต้น
“รูปนี้ไม่เกี่ยวกับดิฉันกับคุณพ่อ...แต่เป็นสถานที่”
อภิชาติยังงงอยู่
“สถานที่...ที่ไหนครับ”
“บ้านพัก ที่เขาใหญ่”
ทั้งสองต่างมองหน้ากันอย่างตื่นเต้น
รถของอภิชาติวิ่งมาจอดหน้าอาหารบนเขาใหญ่ งิ้วหันมาถาม
“คุณหิวแล้วเหรอ”
“เปล่าหรอกครับ...แค่ให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามลงมาก่อนดีกว่า”
อภิชาติลงจากรถกราดสายตาไปรอบๆ งิ้วลงตามกราดสายตาไปทั่ว ไม่มีร่องรอยว่าใครติดตาม
รถของอภิชาติค่อยๆวิ่งเข้ามาจอด ในบริเวณไร่ซึ่งดูรกร้างซึ่งมีตัวบ้านอยู่ด้านใน
“บ้านร้าง”
งิ้วถอนใจ
“เฮ้อ...กลับเถอะค่ะ ดิฉันคงคาดการผิด”
“ไหนๆก็มาแล้ว เข้าไปดูหน่อยดีกว่า”
ทั้งสองต่างเคลื่อนตัวเข้าไปในบริเวณสวนหน้าบ้านตรงไปยังตัวบ้าน...อภิชาติเปิดประตูกราดปืนนำเข้ามา ตามด้วยงิ้ว ทั้งสองเคลื่อนตัวไปตามตัวบ้าน ทันใดนั้นเงาแวบผ่านไป อภิชาติหันมาบอกเบาๆ
“มีคน”
งิ้วพยักหน้ารับรู้ อภิชาติออกนำ ต่างเคลื่อนตัวเข้าไปอย่างช้าๆ
อภิชาติและงิ้วแยกย้ายกันเคลื่อนตัวไปคนละทาง ทันใดนั้นได้ยินเสียงมาจากด้านหนึ่ง อภิชาติส่งสัญญาณให้งิ้วแยกไปอีกทางแล้วเขาเคลื่อนตัวเข้าไปในห้องหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยผ้าใบคลุม ข้าวของเครื่องใช้ในห้อง ที่สุมอยู่ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็หันขวับ ปืนตวัดไป กลายเป็นงิ้วที่โผล่เข้ามา
“ดูเหมือนว่าไม่มีคนอยู่ที่นี่นานแล้ว”
งิ้วถอนใจเซ็ง
“เสียเวลาจริงๆ”
“เอาน่า...ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ”
งิ้วยิ้มพยักหน้า ทั้งสองขยับตัวจะเดินออกไป ทันใดนั้นอภิชาติชะงักหยุด...งิ้วมองอย่างสงสัย อภิชาติทำตาโบ้ยไปทางมุมห้อง ที่มีผ้าใบคลุมข้าวของอยู่ งิ้วทำท่างงๆ...ชายหนุ่มพยักหน้ากราดปืนชี้ไปตรงมุมห้อง หญิงสาวทำตาม อภิชาติตะคอก
“ออกมาได้แล้ว”
“ไม่ยังงั้นถูกยิงไส้แตกแน่”
ผ้าใบค่อยๆเปิดขึ้นอย่างช้าๆ ใบหน้ามอมของชายผู้สูงอายุคนหนึ่งโผล่ออกมา งิ้วตะลึง
“คุณพ่อ”
อภิชาติคาดไม่ถึง
“นายณุพันธ์ยังไม่ตาย”
ที่หมู่บ้านชายแดน...ลุงเดชกับแสงเดินเข้าไปที่หมู่บ้าน พวกมือปืนที่อยู่ตามจุดต่างก้าวออกมาขวาง หัวหน้ามือปืนก้าวเข้ามา
“บัตร”
ลุงเดชกับแสงมองหน้ากัน แล้วต่างก็หยิบบัตรที่มีตรากะโหลกไขว้ให้มันดู...มันพยักหน้า
“ตามสบายเพื่อน เหล้า ข้าว เสบียงกระสุนปืน...มีหมด”
ลุงเดช กับ แสง พยักหน้าเดินผ่านพวกมันเข้าไป
ลุงเดช กับ แสง เดินเข้าไปในตลาดของหมู่บ้านชายแดน เห็นร้านเล็กๆสองสามร้าน มีพวกมือปืนจับกลุ่มอยู่หน้าร้าน ลุงเดชพูดเบาๆ
“ดูท่าทางหมู่บ้านนี้มีแต่พวกมันทั้งนั้น”
แสงกราดสายตาพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปที่ร้านหนึ่ง ที่มีพวกมือปืนนั่งกันประปราย บางคนยืนอยู่ด้านนอกจับกลุ่มคุยกัน ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง เด็กในร้านเดินเข้ามาถาม
“เอาอะไรพี่”
แสงหันไปสั่ง
“ข้าวสองจาน”
เด็กในร้านเดินออกไป...ลุงเดชกับแสงต่างมองหน้ากัน สักครู่ เด็กในร้านเอาข้าวมาวางสองจานตรงหน้า ลุงเดชกับแสงต่างเริ่มกินข้าวกันอย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันนั้นเองมีร่างคนหนึ่งมายืนข้างโต๊ะ
“นั่งด้วยคนได้มั๊ยน้า”
ลุงเดชกับแสงขยับโดยไม่ได้สนใจมองหน้ามันต่างกินข้าวไป...ชายคนนั้นนั่งลง
“น้าสองคนปูนนี้แล้ว น่าจะเข้าวัดเข้าวามากกว่า”
เสียงพวกมันหัวเราะฮึมฮำ...ลุงเดชกับแสงหันมามองหน้า
“ไอ้...”
แสงอ้าปากค้าง ลุงเดชพูดเบาๆ
“ไผ่”
ในบ้านไร่...งิ้วจ้องณุพันธ์อย่างไม่เชื่อสายตา
“คุณพ่อ...”
ชายสูงอายุหน้าตื่นกลัว ทันใดนั้น เสียงปืนดังเข้ามาสนั่นหวั่นไหว ข้าวของในห้องกระจุยกระจาย อภิชาติรีบบอก
“หลบก่อน...เร็วเข้า”
งิ้วปราดเข้าไปคว้าพ่อให้ทรุดตัวหลบลง อภิชาติพรวดไปที่ประตูยิงกราดสวนออกไป เปรี้ยงๆๆๆ สายตาเห็นเงาวูบวาบของพวกมันเคลื่อนไหวอยู่นอกบ้าน
“รออยู่นี่...เดี๋ยวผมมา”
อภิชาติแวบหายออกไป งิ้วตวัดปืนกราดไปมาเตรียมพร้อม ณุพันธ์เอามือกุมหัวหลบด้วยความตื่นกลัว
“ไม่ต้องกลัว”
งิ้วเอาผ้าคลุมพ่อไว้อย่างเดิม แล้วพรวดตามอภิชาติออกไป
รอบๆบ้านที่รกด้วยต้นไม้ พงหญ้า ร่างของพวกมือปืน4-5 คน กระจายกำลังกันเคลื่อนตัวมาล้อมตัวบ้านไว้ แต่แล้วตรงพุ่มไม้ข้างบ้านร่างของอภิชาติโผล่ขึ้นมายิงสาดพวกมันเปรี้ยงๆ พวกมันกระเด็นร้องไม่เป็นภาษาทรุดไปสองคน อีกสามคนที่เหลือหันปืนยิงเข้าใส่ อภิชาติวาบหายไปในพงไม้ พวกมันกระหน่ำยิง แต่แล้วร่างของงิ้วโผล่มาอีกด้านหนึ่ง ยิงสาดใส่พวกมัน พวกมันล้มคว่ำไปหมด งิ้วถือปืนกราดไปมาแล้วค่อยเคลื่อนตัวไปทางด้านอภิชาติ
“คุณชาติ”
ทันใดนั้นเสียงมือปืนดังขึ้น
“ทิ้งปืน...เร็วเข้า”
มือปืน 3 คนยืนอยู่ทางด้านหลังของงิ้ว เอาปืนจ่ออยู่ งิ้วหน้าเคร่งเครียด
พวกมันมือปืนยืนเกาะกลุ่มกันอยู่หน้าร้าน แต่แล้ววงก็แตกเพราะร่างของไผ่กระเด็นผ่าวงพวกมันออกมากลิ้งอยู่ที่หน้าร้าน แสงกับลุงเดชก้าวออกมายืนตรงหน้าไผ่ แสงชี้หน้า
“ถ้าเอ็งยุ่งกับข้าอีก...ข้าจะส่งเองเข้าวัด”
ลุงเดชกับแสงต่างเดินจากไป...ไผ่ค่อยลุกขึ้นมา
“โธ่เอ๊ย...ทำซ่า...ข้าไม่อยากรังแกคนแก่หรอกเว๊ย”
พวกมือปืนต่างขำ ไผ่เดินกลับเข้าไปในร้าน ผ่านพวกมันไปบางคนตบหลังตบไหล่...
ที่ลานบ้านในหมู่บ้าน...พวกมือปืนต่างนั่งชุมนุมกันเป็นจุดๆ ลุงเดชกับแสงนั่งอยู่มุมหนึ่ง แสงกระซิบถาม
“แม่สมพรให้ไผ่มาทำไมก็รู้”
“สมพรมันคงเป็นห่วงเองหรอกน่า”
“ทางโน้นเหลือแต่หนูจันคนเดียว...จะต้านพวกมันได้ยังไง”
“อย่าลืมว่ายังมีหนูดาวอยู่”
แสงพยักหน้า...ลุงเดชได้แต่ถอนใจ
งิ้วหน้าเคร่งเครียด...มือปืนตวาด
“ข้าบอกให้ทิ้งปืน”
งิ้วทิ้งปืน มือปืนหันไปบอกเพื่อน
“เอ็งสองคนเข้าไปลากคนในบ้านออกมา”
สองคนออกไป
มือปืนสองคนเข้าประตูบ้านมา ตรงไปด้านใน จนถึงห้องที่ณุพันธ์ซ่อนตัวอยู่ มันกราดสายตามองไปมาแล้วมองไปที่กองที่มีผ้าใบคลุมอยู่ มันพยักพเยิดให้กัน ก่อนจะยกปืนส่องไปที่กองผ้าใบ มือปืนเคลื่อนตัวเข้าไป แล้วคนหนึ่งเอามือกระชากผ้าใบออกแต่ว่างเปล่า มันมองหน้ากัน ทันใดนั้นร่างของอภิชาติโผล่มาทางด้านหลังของพวกมัน
“จ๊ะเอ๋”
มือปืนหันขวับแต่อภิชาติชกเปรี้ยงไอ้คนหนึ่งกระเด็นไป อีกคนหนึ่งหันปืนกลับมาเข้าหาแต่อภิชาติคว้าไว้ได้ มันคว้าคอ อภิชาติคว้ามือของมันไว้ต่างออกกำลังยื้อกัน
งิ้ว ยืนอยู่โดยมีมือปืนเอาปืนจ้องอยู่ทางด้านหลัง ทันใดนั้นเสียงปืนดังเปรี้ยง งิ้วฉวยโอกาสหันกลับเตะปืนหลุดออกจากมือของมัน พลางดีดตัวเข้าประชิด เกิดการต่อสู้ประชิดตัว
อภิชาติถูกกระแทกชนฝาบ้านโดยมีมือของมือปืนกดอยู่ที่คอ มือของอภิชาติข้างหนึ่งจับปืนของมัน ข้างหนึ่งจับข้อมือที่บีบคอของตนเองอยู่ ก่อนจะยิ้มให้มัน
“บ๊าย บาย”
มือปืนแยกเขี้ยวใส่ ทันใดนั้นร่างของอภิชาติแวบหายไป มือปืนอึ้งงง ทันใดนั้นเสียงอภิชาติก็ดังขึ้นทางด้านหลัง
“เฮ้ย...”
มือปืนหันกลับ อภิชาติที่ยืนอยู่ข้างหลังของมันยิงหมัดใส่เปรี้ยงมันกระเด็นคว่ำไป...อภิชาติยิ้มหันไปมองอีกด้านหนึ่งของห้องซึ่งณุพันธ์ยืนน่าตาตื่นอยู่
งิ้วกับมือปืนต่อสู้กันประชิดตัว มือปืนถูกงิ้วจรเข้าฟาดหางคว่ำไป งิ้วสะบัดผมยืนมองร่างของมัน“คุณพ่อ”
งิ้วหันไปจะเข้าบ้าน แต่แล้วก็หยุด เพราะอภิชาติยืนอยู่กับณุพันธ์...งิ้วยิ้มออก
“คุณพ่อ”
ณุพันธ์ยิ้มให้ อภิชาติพลอยยิ้มไปด้วย
ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 7 (ต่อ)
ป้าเนียนวางจานกับข้าวไว้บนโต๊ะอาหาร แล้วหันไปเรียกทุกคน
“มาทานข้าวกันได้แล้ว”
สมพร เม่งจู และอาตง เข้ามาในห้องครัวต่างนั่งประจำที่
“พี่จันล่ะป้าเนียน”เม่งจูถาม
”เดี๋ยวก็มาแล้ว”
จันจิราก้าวเข้ามา
“อืม..หอมจัง..น่าทานทั้งนั้น”
“เย้..พี่จันมาแล้ว”
เด็กๆร้องอย่างดีใจ จันจิราเดินไปลูบหัวเด็กทั้งสองคน แล้วนั่งลงใกล้ๆ...ป้าเนียนเดินมานั่งที่โต๊ะ
“ลุงเดช กับ แสง ป่านนี้จะเป็นยังบ้างก็ไม่รู้” จันจิราบ่น
“ฉันให้ไผ่ตามไปดูแล้ว...” แม่สมพรบอก
“เฮ้อ..ค่อยสบายใจหน่อย” ป้าเนียมถอนใจ
จันจิราหันไปบอกเด็กๆ
“เอ้า..ใครทานหมดก่อน เก่งที่สุด”
“เย้...”
เด็กๆหัวเราะกันเฮฮา แม่สมพร ป้าเนียน กับ ต่างยิ้มอย่างมีความสุข จันจิรามองทุกคน ยิ้ม แต่แล้วเธอก็นิ่งไป ฟังเสียงที่มาจากด้านนอก สายตากราดไปมา...
นอกบ้านป้าเนียนมีสมาชิกโจรสองคนยืนระวังอยู่คนละจุด ทันใดนั้นมีเงาแวบผ่านวูบรอบบ้าน สมาชิกโจรขยับตัวทันใดนั้นเงามืดโผล่มาทางด้านหลัง ทุบโครมเข้าให้ด้วยด้ามปืน สมาชิกโจรทรุด อีกคนหนึ่งตวัดปืนมาทางพวกมัน แต่แล้วก็โดนทุบโครมทรุดไป พวกมือปืนส่งสัญญาณมือให้พรรคพวกล้อมบ้านป้าเนียนไว้ อีกสองสามคนค่อยๆเคลื่อนตัวขึ้นบันไดไป
จันจิราโบกมือให้ทุกคนเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว ในมือของเธอถือปืนอยู่
“เร็วเข้า...”
ป้าเนียนพาเด็กเข้าไป ตามติดด้วยแม่สมพร จันจิราส่งปืนให้แม่สมพร
“ยิงทุกอย่างแม้แต่เงา...หนูจะล่อพวกมันออกไป”
แม่สมพรถามเบาๆอย่างกังวล
“พวกมันเยอะมาก...ไผ่ก็ไม่อยู่”
“ไม่ต้องห่วง...หนูจัดการได้”
แม่สมพรพยักหน้าแล้วเข้าไปในห้อง จันจิราปิดประตูห้องแล้วตวัดมือไปทางด้านหลังตวัดกลับมา มีปืนติดมือมาอีก กระบอกหนึ่ง หญิงสาวพุ่งออกไป
พวกมือปืน3-4 คนทยอยกันขึ้นมาบนบ้าน ทันใดนั้นจันจิราก็โผล่มายืนตรงหน้าพวกมัน พวกมือปืนตาเหลือก
“มาหาที่ตายซิเนอะ”
จันจิรายิงใส่พวกมือปืนล้มคว่ำ ไป 3 คนเสียงปืนดังสนั่น คนที่เหลือตาเหลือกจันจิราตบเปรี้ยงมันหน้าหัน ทรุดลง จันจิราตะโกนขึ้น
“สายลม”
จันจิราพุ่งออกไปในราวป่าหลังบ้านอย่างรวดเร็ว หัวหน้ามือปืนตะโกนสั่งสมุน
“ตามมันไปเว๊ย...”
พวกมือปืนรีบแห่ตามไป เสียงสายลมร้องก้องฟ้า...หัวหน้าหันมาสั่งสมุน
“เฮ้ย...พวกเอ็ง 4 คนขึ้นไปบนบ้าน จัดการกับพวกมันให้หมด”
“เด็กด้วยเหรอพี่”
“ข้าบอกว่า จัดการให้หมด”
มือปืนพยักหน้า แล้วพรวดกันขึ้นไป 4 คน
เมื่อขึ้นไปบนบ้านมือปืนแยกกันค้นหา มือปืน 2 คนเดินต่อไปที่ห้องหนึ่งเปิดผลัวะว่างเปล่า...มันเคลื่อนตัวออกไป
ในห้องนอน...ป้าเนียน กอดเด็กๆ หลบอยู่ตรงซอกตู้...แม่สมพรอยู่หลังโต๊ะที่ล้มไว้เป็นกำบังถือปืนส่องไปที่หน้าประตู ทันใดนั้นประตูเปิดผลัวะ เงาร่างโผล่ตรงประตู แม่สมพรยิงเปรี้ยงๆมันทรุด พวกมัน 3 คนวิ่งมาอยู่ด้านนอก สาดกระสุนเข้าไปในห้องอย่างโหดเหี้ยม...กระสุนปลิวเข้ามาในห้องดังสนั่นหวั่นไหว ทุกคนต่างหลบกระสุน โงหัวไม่ขึ้น
มือปืนสาดกระสุนเข้าไปในห้องยิ้มกันอย่างสนุก...ทันใดนั้นเสียงสายลมร้องก้องได้ยินเสียงปีกกระพือพรึบๆผ่านไป เงาร่างหนึ่ง ร่อนลงมาข้างหลังของพวกมันเป็นร่างของจักจั่นในชุดนางเสือ
“หนุกมั๊ยพี่”
พวกมือปืนหันขวับตวัดปืนเข้าใส่ แต่ช้าไปจักจั่นดีดตัวเข้าไประหว่างพวกมัน 3 คน เกิดการต่อสู้ประชิดตัว พวกมันทรุดลงไปกองกับพื้น...จักจั่นยิ้มอย่างพอใจ เอามือปาดผ่านหน้าหน้ากากหายไป...ทันใดนั้นจักจั่นหันขวับไปที่ประตู เห็นแม่สมพร ยืนถือปืนอยู่
“แม่...”
“จักจั่น”
จักจั่นปราดเข้าไป
“ทุกคนออกมาได้แล้ว”
ป้าเนียนกับเด็กๆต่างออกมา เด็กๆเข้ามาเกาะจักจั่นแน่น ป้าเนียนถอนใจ
“เฮ้อ...โล่งอกไปที”
แม่สมพรรีบบอก
“หนูจันจิราอยู่ข้างนอกน่ะลูก”
จักจั่นยิ้ม
“พี่ดาวไปช่วยแล้วค่ะ”
ทุกคนต่างยิ้ม จักจั่นหันไปหาเม่งจูกับอาตง
“ไปเด็กๆ...ไปกินข้าวกันดีกว่า พี่หิวแล้ว”
เด็กๆดีใจ
“เย้...”
จักจั่นมองพวกมือปืน
“พวกไม่มีมารยาท...ชอบมาตอนคนกำลังจะกินข้าว”
จักจั่นพาทุกคนออกไป
พวกมือปืน 6 คนเคลื่อนตัวล้อมเข้าไปยังเป้าหมาย คือ พุ่มไม้ข้างหน้า พวกมันแยกออกเป็นสองกลุ่มเข้าจู่โจมคนละด้าน จันจิราซุ่มอยู่หลังต้นไม้ใหญ่กระชับปืนพร้อม เสียงสายลมร้องก้อง...เงาของดาวในชุดนางเสือร่อนลงมาทางด้านหลัง จันจิราพูดขึ้นโดยไม่ได้หันมอง
“หวัดดีค่ะพี่ดาว”
ดาวขยับตัวมาข้างๆจันจิรากราดสายตามองพวกมันที่ล้อมใกล้เข้ามา
“จักจั่นไปบ้านป้าเนียน ป่านนี้คงจัดการพวกมันเรียบร้อย”
“จะเอายังไงกับพวกนี้คะ”
“ลากคอไปให้นายวิวัฒน์...ดูซิว่ามันจะแก้ตัวว่ายังไง”
“ตบนายวิวัฒน์เป็นการสั่งสอนซะฉาดสองฉาด”
“พี่คิดว่าน่าจะมากกว่านั้น”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน
“พร้อม”
“ค่ะ”
ทั้งสองแยกออกไปคนละทาง...พวกมือปืนล้อมวงกันเข้าไป ทันใดนั้นร่างดาวร่อนลงมาทางด้านหลังพวกมัน
“ใครอยากไปนรกก่อน”
พวกมือปืนหันกลับมาสาดกระสุนเข้าใส่ดาวเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ดาวส่องพวกมันเปรี้ยงๆโดนไหล่โดนขา พวกมันทรุด...ในราวป่า พวกมือปืนอีกชุดหนึ่งหันกลับเมื่อได้ยินเสียงปืน แต่แล้วร่างของ จันจิราในชุดนางเสือร่อนลงมาด้านหลัง ของพวกมัน
“จะรีบไปไหน”
พวกมือปืนหันขวับมา แต่จันจิรา หมุนตัวเข้าหาพวกมันแล้วยิงเปรี้ยงเข้าที่ขาบ้างไหล่บ้าง
พร้อมใช้เชิงมวย อัดพวกมันจนทรุดหมด
ท้องฟ้าสดใสของเช้าวันใหม่...วิวัฒน์กำลังนั่งให้สาวนวดหลังนวดไหล่อยู่ที่โซฟา มือปืนพรวดเข้ามา
“นาย...มีเรื่อง ข้างนอก”
วิวัฒน์ไม่พอใจ
พวกมือปืน 6 คนถูกมัดรวมกันเป็นพรวนอยู่ตรงหน้าลาน. วิวัฒน์ยืนมองอย่างไม่พอใจ ทันใดนั้นเสียงจันจิราดังขึ้น
“คิดชั่วคิดจะฆ่าแม้กระทั่งเด็ก”
วิวัฒน์หันกลับไปตามเสียง จันจิรา จักจั่น ดาว ยืนอยู่บนกองไม้เป็นต้นๆที่กองอยู่...วิวัฒน์ยิ้ม
“คุณพูดอะไรผมไม่รู้เรื่อง...ไอ้พวกนี้เป็นใคร ผมไม่เคยเห็น...มีหลักฐานมั๊ย”
ดาวตวัดมืออย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น วิวัฒน์ร้องลั่น เมื่อมีมีดเล่มหนึ่งปักอยู่ที่ต้นขาของเขา พวกมือปืนที่ยืนอยู่ต่างตวัดปืนออกมา...จันจิราที่ยืนกอดอกตวาดขึ้น
“ใครอยากตายก่อน”
พวกมือปืนต่างชะงักไม่กล้าขยับ วิวัฒน์ด่าลูกน้องอย่างโมโห
“ไอ้พวกโง่...ใช้ไม่ได้เลยซักคน”
พวกมือปืนต่างเงียบ ดาวยิ้มหยัน
“ถ้าไม่โง่ก็คงไม่หลงเชื่อแกหรอก แต่ไม่ต้องห่วง ยังมีคนโง่อีกหลายล้านคนที่พร้อมจะตายแทนแก”
จักจั่นมองหน้าวิวัฒน์
“เบิกเงินนายแกมาโปะให้เยอะๆหน่อยก็แล้วกัน”
ดาว กับ จันจิราต่างยิ้ม วิวัฒน์แค้นมาก
“แก...แก...ฉันจะเอาแกเข้าคุกข้อหาทำร้ายร่างกาย”
ดาวยิ้มเยาะ
“มีหลักฐานมั๊ย...ฉันไม่เคยเห็นมีดเล่มนี้มาก่อน”
วิวัฒน์พูดไม่ออก...กัดฟันข่มความเจ็บปวด ดาวจ้องหน้าเอาจริง
“แกควรจะรีบออกไปจากบ้านดอนเสือ”
จักจั่นสายตาเหี้ยม
“ไม่ยังงั้นอาจเจอมีดอีกเล่ม...ประมาณแถวหัวใจเป็นต้น”
วิวัฒน์ทนเจ็บไม่ไหว ทรุดลงนั่ง พวกมือปืนเข้ามาประคอง วิวัฒน์เอามือปัดทุกคนออกไป
“ไม่ต้อง”
วิวัฒน์กราดตามองอีกครั้ง ไม่มีร่างของ ดาว จักจั่น และ จันจิรา วิวัฒน์เริ่มหวาดกลัว
ที่หน่วยพิเศษ...ณุพันธ์นอนพิงหมอนอยู่บนเตียงอย่างอิดโรย...หมอพันแผลที่แขนให้เรียบร้อย งิ้วกับ อภิชาติยืนอยู่ข้างๆ
“แผลถูกปล่อยให้สกปรก...ติดเชื้อ สองสามอาทิตย์คงดีขึ้น”
“ขอบคุณค่ะหมอ”
หมอออกไป...งิ้วกับอภิชาติหันมาทางณุพันธ์...งิ้วเดินไปข้างๆเตียง จับดูแผลที่ท่อนแขน ณุพันธ์พูดขึ้นอย่างอ่อนแรง
“พวกมันฝังชิฟวิทยุตามตัวไว้ พ่อจำเป็นต้องผ่าเอามันออกมา”
“ที่แท้...พวกมันกุข่าวว่าท่านตายแล้วเพื่อปิดความลับทั้งหมด”
อภิชาตินึกถึงอดีตที่ผ่านมา ตอนนั้น...ฤทธิชัยค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในมือถือปืนระวัง มองเห็นไฟสลัวออกมาจากห้องทำงาน เขาเข้าไป เห็นร่างหนึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานตรงหน้ามีคอมพิวเตอร์แลบท็อปเปิดอยู่ โคมไฟตรงโต๊ะสะท้อนแสงออกมาใส่ตาของฤทธิชัยทำให้ร่างที่เห็นอยู่ในมุมมืด ฤทธิชัยหรี่ตามองฝ่าแสงไฟเข้าไปแต่เห็นไม่ชัดปืนในมือขยับเตรียมพร้อม
“ท่านณุพันธ์ ผมฤทธิชัย”
ร่างนั้นยังคงนิ่งเฉย ฤทธิชัยสังเกตมอง แล้วเคลื่อนกายเข้าไปจนใกล้ขยับโคมไฟให้ส่องไฟได้เต็มที่ จึงได้รู้ว่า ณุพันธ์ไม่หายใจนิ่งสงบ
“เราช้าจนได้”
ทันใดนั้นเงาวูบเข้ามา ฤทธิชัยตวัดปืนเข้าหาเป้า
“ใจเย็นเว๊ยเพื่อน”
ฤทธิชัยผ่อนมือลงอภิชาติเดินเข้ามามองที่ร่างของนายณุพันธ์
อภิชาติครุ่นคิดเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา
“อีกทั้งหาทางปิดปากคุณงิ้วเพราะเกรงว่าคุณงิ้วจะตามหาท่านพบ”
“คุณพ่อเก่งมากค่ะ”
ณุพันธ์ยิ้มให้ลูกสาว
“ลูกก็เก่งที่หาพ่อจนได้”
งิ้วยิ้มเอามือลูบแขนพ่อ อภิชาติหันมาหาณุพันธ์
“เราต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพวกมัน”
ณุพันธ์พยักหน้าช้าๆท่าทางยังอ่อนแรงอยู่...
“คุณพ่อพักก่อนนะคะ...หลังจากนั้นเราค่อยคุยกัน”
“พ่อพักมาคืนนึงแล้ว...พ่อไหว”
“ไม่เป็นไรครับ...เรายังมีเวลา เชิญท่านพักผ่อนตามสบาย”
งิ้วยิ้มพยักหน้าให้ ณุพันธ์พยักหน้ารับ...งิ้วกับอภิชาติต่างมองหน้ากันยิ้มกันอย่างพอใจ
ที่หมู่บ้านชายแดน...พวกมือปืนหลายคนนั่งชุมนุมกันที่ลานหมู่บ้าน ฤทธิชัยนั่งพิงต้นไม้หลุบหน้าอยู่ภายใต้หมวกเก่าๆใบหนึ่งสายตาจ้องที่พวกมัน...ทันใดนั้นเห็นเท้าคู่หนึ่งเดินมาหยุดตรงหน้า ฤทธิชัยเงยหน้าขึ้น ปรากฏว่าเป็นร่างของสัตยายืนอยู่ พร้อมกับมือปืนอีก3-4 คนยืนอยู่ข้างๆ
“สวัสดีผู้กองฤทธิชัย”
ฤทธิชัยยิ้ม
“คุณนี่ชะตาขาดแท้ๆ อยู่ๆก็รนหาที่มาเจอกับผมจนได้”
ทันใดนั้นฤทธิชัยตวัดมือออกมาอย่างรวดเร็วจ้องปืนที่แสกหน้าของสัตยาทั้งสองกระบอก สัตยาชะงักไปนิด
“คุณกระดิกตัวนิดเดียว พวกผมจะฆ่าชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ทุกคน...”
ฤทธิชัยยิ้ม
“ชาวบ้านพวกนี้รับเงินจากพวกแบล็คอีวิลตั้งเป็นหมู่บ้านขายชาติ คุณจะทำยังไงก็ตามใจผมไม่สน”
“แล้วพวกเด็กๆล่ะคุณสนหรือเปล่า...พ่อแม่ชั่ว แต่เด็กๆไม่ควรรับกรรม หรือว่าไง”
ฤทธิชัยไม่ตอบสักครู่ก็โยนปืนขึ้นมา พวกมันสองคนรับไว้ สัตยาสั่งเสียงเข้ม
“เอาตัวมันไป”
มือปืนสองคนก้าวเข้ามาลากฤทธิชัยให้ยืนขึ้น ยึดแขนไว้ทั้งสองข้าง ฤทธิชัยยิ้มให้สัตยา
“เจอกัน...เร็วๆนี้”
มือปืนทุบหัวโครม ฤทธิชัยสลบ พวกมันพยุงปีกเอาไว้ สัตยายิ้มอย่างสะใจ
ที่หน่วยพิเศษ...รูปถ่ายของงิ้วกับณุพันธ์ ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน งิ้วกำลังตรวจหาข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ อภิชาตนั่งอยู่ข้างๆ
“มีรายงานทางยุโรป ว่าสรรพาวุธจำนวนมาก ได้ถูกขนมายังเอเชียเรียบร้อยแล้ว”
“แปลก...ถ้ามันได้สัมปทานโครงการทั้งหมด เท่ากับว่าเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในมือของมันแน่นอน ทำไมต้องเตรียมอาวุธถึงขนาดนั้น”
“มันคงไม่ได้คิดแค่ยึดเศรษฐกิจ อย่างเดียว มันจะคุมเกมทั้งหมด”
ทั้งสองต่างมองหน้ากันหน้าเคร่งเครียด อภิชาติร้อนใจ
“เราช้าไม่ได้แล้ว”
จักจั่นโผล่ขึ้นมาจากดงไม้...มองขบวนรถของพวกมันแล่นเข้ามา มีรถจิ๊ปนำหน้าสองคัน
และรถบรรทุกแบบปิดขนาดกลางมีเครื่องหมายบริษัทหนึ่งเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่...จักจั่นจ้องมองพวกมันเข้ามาใกล้ สักครู่ดาวเข้ามา จักจั่นพูดขึ้นเบาๆ
“ต้องเป็นอาวุธตามที่คุณอภิชาติแจ้งมา”
ดาวกวาดตามองแล้วถาม
“เห็นนางงูมั๊ย”
“ไม่เห็น”
“สินค้าสำคัญ...ทำไมนางงูถึงไม่มา”
“เดี๋ยวก็รู้”
ดาวกับจักจั่นที่อยู่ในชุดนางเสือร่อนลงมา ยืนขวางเส้นทาง ขบวนรถพวกมันกำลังเลี้ยวมาตามเส้นทาง ดาวสะบัดมือไปที่ต้นไม้ข้างทางเสียงดังสนั่น ต้นไม้ล้มมาขวางขบวนรถของมันไว้พอดี พวกมันต่างโดดลงมาจากรถ เตรียมพร้อม จักจั่นตวาดลั่น
“ทิ้งรถแล้วกลับออกไปซะ”
หัวหน้ามือปืนตะโกนสั่งดังลั่น
“ฆ่ามัน”
พวกมือปืนสาดกระสุนเข้าใส่ จักจั่นกับดาวแวบแล้วหายไปอยู่ตรงหน้าของพวกมัน จ่อยิงในระยะเผาขน พวกมือปืนล้มคว่ำไปหลายคนอย่างไม่เป็นท่า ดาวกับจักจั่น แวบมายืนอยู่ตรงหน้าของหัวหน้า ปืนจ่อที่มัน พวกมือปืนที่เหลือต่างหยุดนิ่งไม่กล้าขยับ ดาวเหยียดยิ้ม
“โอกาสสุดท้ายของพวกเอง...”
หัวหน้าจ้องดาวกับจักจั่นหน้าซีด...แต่แล้วทันใดนั้น สร้อยคอรูปงูที่ห้อยอยู่ตรงหน้าอกของมัน ปรากฏมีแสงสว่างส่องออกมา ดาวกับจักจั่นเพ่งมอง
“พี่ดาว...แสงจากสร้อยคอ”
“นางงู”
ทันใดนั้นร่างของหัวหน้าสั่นสะท้านเหมือนเป็นลมบ้าหมู ดาวกับจักจั่น ถอยออกมาสองก้าว จ้องอย่างระวัง จักจั่นงงๆ
“มันจะเล่นอะไรของมัน”
ดาวจ้องหน้าเคร่งเครียด ทันใดนั้นร่างของนาคี ก้าวออกมาจากร่างของหัวหน้าที่ทรุดลงไป มันตกใจหน้าซีด...ดาวกับจักจั่นตาค้างคาดไม่ถึงขยับปืนในมือสายตาจ้องเขม็ง จักจั่นเบ้หน้า
“ยี้...ออกมาได้ยังไง...แหวะ...”
ทันใดนั้นนาคีแวบมายืนตรงหน้าดาวปัดปืนกระเด็นหลุดจากมือ จักจั่นตวัดปืนเข้าใส่ ถูกนาคีผลักโครมกระเด็นออกไปดาวชกนาคีรับไว้ได้ชกสวนเปรี้ยง ดาวตีลังกาข้ามหัวไปอยู่ทางด้านหลัง แต่นาคีแวบหันตัวกลับมากระแทกมือออกไปดาวกระเด็นออกไป นาคียิ้มยกมือสูงพร้อมปล่อยพลัง...แต่จักจั่นสาดกระสุนเข้าใส่จนนาคีร่างสะท้อนถอยหลังไป ดาวดีดตัวเข้ามาต่อสู้ประชิดตัวกับนาคี ก่นจะหันไปบอกจักจั่น
“จักจั่น...สินค้า”
จักจั่นสะบัดมือออกไป วัตถุสีดำพุ่งเข้าไปหารถบรรทุกเป็นระเบิดนั่นเอง เสียงระเบิดตูมดังสนั่นหวั่นไหวไฟลุกท่วม หัวหน้ากับพวกมือปืนต่างล้มคว่ำกระจัดกระจาย พอทุกอย่างจางลง นาคีหันขวับมา
ร่างของดาวกับจักจั่นหายไปแล้ว นาคีแค้นใจ หันกลับมามองหัวหน้า กับพวกมือปืน
“ท่านทำงานล้มเหลว”
นาคีสะบัดมือปล่อยพลัง เป็นพลังลมแรงเข้าใส่พวกมือปืน พวกมันร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วร่างแตกเป็นฝุ่นกระจายไปกับสายลม เหลือเจ้าตัวหัวหน้ายืนตัวสั่นอยู่...นาคีเดินเข้าหายิ้มเยือกเย็น แล้วค่อยๆเอามือโอบคอของมัน ร่างของมันสั่นสะท้านแล้วแตกเป็นผงฝุ่นลอยไปในอากาศ...นาคีหน้าเคร่งเครียดแล้วแวบหายไป...ดาวกับจักจั่นหลบอยู่แนวป่าอีกด้านหนึ่งเห็นเหตุการณ์โดยตลอด ทั้งสองตะลึงงัน
ดาวเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องของเซฟเฮาส์อย่างครุ่นคิด จักจั่นนั่งอยู่ที่โต๊ะ หน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน ดาวส่ายหน้า
“นางงูมาได้ยังไง...ต้องมีสาเหตุที่สามารถอธิบายได้”
จักจั่นยังคงเงียบ...ดาวเดินมานั่งที่โต๊ะ
“คุณหนึ่งอุตส่าห์อยู่ห่างจากเรา เพื่อล่อนางงูไปที่อื่น แต่มันหาวิธีมาสกัดเราจนได้”
“แบบนี้เราอยู่ไหน...นางงูก็อยู่นั่น ยังงั้นเหรอ”
ดาวพยักหน้า
“น่าจะเป็นอย่างนั้น”
จักจั่นผลุดลุกขึ้น
“ก็ได้...ลุยกันให้ดับไปข้างหนึ่ง”
ดาวหน้าเคร่งเครียด
“เราต้องให้แม่สมพรกับเด็กๆปลอดภัยก่อน”
ดาวกับจักจั่นมาที่บ้านป้าเนียน...ดาวบอกกับแม่สมพร
“ดาวคิดว่าแม่สมพรกับเด็กๆควรไปอยู่ที่ปลอดภัยกว่านี้ ลึกเข้าไปในป่าถิ่นของพวกเรา...ห่างจากพวกมัน”
แม่สมพรหันมาถาม
“แล้วป้าเนียนล่ะ”
จักจั่นอธิบาย
“ป้าเนียนคนเดียว...จันจิราระวังได้อยู่แล้ว มีแม่กับเด็กๆ จักจั่นคิดว่าจะล้นมือ...เสี่ยงเปล่าๆ”
“ดาวกับจักจั่น ต้องสกัดเส้นทางขนสินค้าของพวกมัน ไหนจะนางงู...อาจมาไม่ทันการ”
“หนูว่าดีกว่านะจ๊ะ แม่”
ดาวหน้าเครียด
“ต้องรอให้เรื่องจบ...สิ้นซากพวกมันก่อน ทุกคนถึงจะปลอดภัย”
สมพรพยักหน้าในที่สุด...ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างเป็นกังวล
รถจิ๊ปของดาววิ่งมาตามเส้นทาง จักจั่นนั่งหน้าคู่กับดาว สมพรกับเด็กสองคน นั่งอยู่ข้างหลัง
“จักจั่นว่าเป้าหมายไม่ได้อยู่ที่แม่สมพรกับเด็กๆหรอกแค่ไม่ประมาทเท่านั้น”
“ยังไงก็ตาม มีสมาชิกโจรหลายคนอาสามาช่วยคอยระวังแม่สมพรสบายใจได้”
ทันใดนั้นเสียงสายลมร้องก้อง จักจั่นหันไปตามเสียง เห็นเงาแวบผ่านไปสองสามเงา จักจั่นรู้ได้ทันที
“พวกนินจา”
ดาวแปลกใจ
“แน่ใจ...”
“ชัวร์...”
ทันใดนั้นดาวจอดรถเอี๊ยด นินจาใส่หมวก 5 คนขวางอยู่...ทั้งหมดจ้องมองอย่างระมัดระวัง นินจาทั้ง 5 แยกกันเคลื่อนตัวพร้อมจู่โจม จักจั่นยิ้มหยัน
“แฟนคลับอุตส่าห์มารอ ต้องแจกลายเซ็นซะหน่อย”
จักจั่นก้าวลงจากรถไป ดาวหันมาหาแม่สมพร
“พอดาวเล่นงานพวกมัน...แม่สมพรขับพาเด็กๆไปให้พ้นจากที่นี่”
แม่สมพรพยักหน้า อาตงกับเม่งจูจ้องนินจาเขม็ง ดาวก้าวลงจากรถไป
จักจั่นก้าวเข้ามาประจันหน้ากับพวกนินจา มือกอดอกกราดมองพวกมัน ดาวเดินเข้ามา
“ไม่ได้เจอกันนานแล้ว...ทำไมอยู่ๆถึงโผล่มา”
นินจาขยับดาบไปมาแปรขบวน จักจั่นถามเสียงเข้ม
“พวกแกมีจุดประสงค์อะไรกันแน่”
นินจายืนขยับดาบไปมาเคลื่อนตัว
“เตรียมตัวตอบคำถามให้ดี”
ดาวตวัดปืนในมือยิงเปรี้ยง นินจาแวบหายแล้วโผล่มายืนตรงหน้า เงื้อดาบสูง แต่เจอปืนของจักจั่น ยิงเปรี้ยงเข้าให้มันกระเด็นออกไป แต่แล้วพวกมันแวบเข้ามาประชิดตัว ดาบในมือฟันฉับๆๆ ดาวกับ จักจั่นต้องถอยตั้งรับ เกิดการต่อสู้ประชิดตัว ทันใดนั้นแม่สมพรขับรถจิ๊ปพุ่งพรวดออกไปอย่างรวดเร็ว...พวกนินจาสองคนดีดตัวตามรถจิ๊ปไป ดาวหันไปหาจักจั่น
“จักจั่น”
“รับทราบ”
จักจั่นตบนินจาคนใกล้ตัวกระเด็นออกไปแล้วพุ่งตามนินจาสองคนไป นินจาอีกสองคนพุ่งเข้ามาล้อมดาวไว้ตรงกลาง คนที่จักจั่นตบตั้งตัวได้เข้ามาสมทบ ดาวยิ้มดุ
“กะแค่ผู้หญิงกับเด็กสองคน ถึงกับส่งนินจามา พวกแกต้องการอะไรกันแน่”
นินจา 3 คนสะบัดดาบฟึบฟับไปมาแล้วบุกเข้าจู่โจมพร้อมกัน 3 คน ดาวแวบหายไปที่ด้านหลังของคนหนึ่งจับคอบิดตัวมันหมุนติ้วตามกระเด็นไปกับพื้นทรุดนิ่ง อีกคนแวบเข้ามาฟันฉับ ดาวเอามือรับข้อมือของมันแล้วสะบัดไปรับดาบของอีกคนหนึ่งที่ฟันลงมาแล้วถีบโครมมันกระเด็นไป แต่แล้วนินจาคนแรกหมุนตัวกลับมาล็อคคอดาวไว้หมับ นินจาคนที่กระเด็นไปตวัดดาบแล้วพุ่งเข้ามาแทงฟึบเข้าให้ แต่ดาวแวบหายไป มันแทงถูกพวกมันเข้าอย่างจัง ดาวไปโผล่ทางด้านหลัง
“เฮ้...”
นินจาคนนั้นหันมาอย่างรวดเร็วเงื้อดาบ...แต่ปืนของดาวจ่อเข้าให้ที่ใต้คางของมัน
“ทำไมถึงคิดเล่นงานเด็กสองคน”
มันไม่ตอบขยับดาบฟันลงมาดาวเอามือรับดาบของมันไว้...เหนี่ยวไกเปรี้ยงมันหงายกระเด็นดับสนิท...ดาวสะบัดปืนไปทางด้านหลังเก็บเข้าที่แล้วเดินมามองพวกมันที่นอนนิ่งอยู่อย่างครุ่นคิดสงสัย
รถจิ๊ปจอดอยู่ข้างทาง นินจาสองคนร่อนลงมา มันปราดไปที่รถจิ๊ป แต่ว่างเปล่า ทันใดนั้นเสียงจักจั่นดังขึ้น
“หาฉันเหรอ”
นินจาสองคนหันขวับมาพร้อมปล่อยมีดสั้นในมือออกมา มีดสองเล่มพุ่งเข้าหา จักจั่นตีลังกาหมุนตัวกลางอากาศมีดสองเล่มวิ่งผ่านไปชนิดผ่านเส้นขน...จักจั่นแวบหายไปแล้วไปโผล่ตรงหน้านินจาสองคน ตบหน้ามันคนละเปรี้ยง....มันสองคนกระเด็นออกไป จักจั่นสะบัดมือปืนอยู่ในมือทั้งสองข้างยิงสาดเข้าใส่มันสองคน แต่มันสองคนแวบหายไปแล้วโผล่มายืนข้างหลังจักจั่น มันเงื้อดาบฟันพร้อมกัน แต่จักจั่นแวบหายไปซะก่อน มันฟันวืด พอหันกลับมาก็เจอดาวยืนอยู่ตรงหน้า ปืนสองกระบอกส่องมาที่พวกมันสองคน เสียงดังเปรี้ยงๆมันคนหนึ่งหงายกระเด็นไป...อีกคนหนึ่งยืนนิ่งไม่กล้าขยับ...จักจั่นตะคอกถาม
“บอกมา...มือระดับอย่างพวกแกมาทำไมแถวนี้”
นินจาไม่ตอบ จักจั่นหน้าเคร่ง ดวงตาดุดัน
ภายในกำแพงวุ้น ฤทธิชัยลืมตาขึ้นมา พบว่าตนถูกล่ามโซ่อยู่กับกำแพงถ้ำ เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาเป็น โจ และสัตยา
“สวัสดีคุณฤทธิชัย” โจยิ้มหยัน
“อืม...ที่แท้เป็นชั่วไฮโซเมมเบอร์คลับนี่เอง ถึงได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา”
“บอกให้รู้ไว้...อีกไม่นาน ทุกอย่างจะอยู่ในกำมือเรา เศรษฐกิจ...การเมืองและกำลังพล”
“ช่วยแก้รัฐธรรมนูญให้ตัดหัวประจานพวกขายชาติคอรัปชั่นกินบ้านกินเมืองด้วยนะ เสียบไว้แถวสนามหลวงเหมาะที่สุด”
สัตยาก้าวเข้ามาชกเปรี้ยง ฤทธิชัยหน้าหัน ก่อนจะหันมาแสยะยิ้ม
“อุ๊บ...ลืมไปว่าแก้ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นเสียบหัวพวกแกเอง”
“พวกแกไม่กี่คนจะทำอะไรได้...พวกแกแพ้แล้ว พวกแกทุกคนแม้กระทั่งพวกนางเสือบ้าบอนั่นด้วย”
พวกมันต่างหัวเราะกัน...ฤทธิชัยยิ้มสายตาดุดัน
ภาพของฤทธิชัยถูกตรึงอยู่กับกำแพง ปรากฏอยู่บนฝาถ้ำในส่วนของคายามัง แต่แล้วร่างของนาคีปรากฏขึ้นมา
“อาจารย์...ท่าน”
นาคีจ้องฤทธิชัยที่อยู่บนฝาผนังถ้ำอย่างไม่พอใจ
“ท่านบอกว่าถ้าเรากำจัดศัตรู...ท่านจะมอบชายคนนี้ให้เรา”
“เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม...เรากำลังช่วยเจ้า”
“ช่วยข้ายังไง”
“คนผู้นี้มีพลังเกินคาด...จะไม่มีทางรับหัวใจของเจ้า แม้ว่าเจ้าจะกำจัดผู้หญิงในดวงใจของคนผู้นี้ได้ คนผู้นี้ก็ไม่มีวันรับเจ้า”
“ต้องได้...ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ข้าจะทำให้ได้”
“เจ้าไม่มีทางทำสำเร็จ นอกจากจะใช้อาคมของข้าด้วยวิธีของข้าช่วยเจ้าเท่านั้น”
นาคีจ้องคายามังในที่สุดพยักหน้ายอมรับ
นินจาไม่ตอบ ทันใดนั้นมันสะดุ้งทรุดลงเมื่อมีมีดสั้นปักอยู่ท้ายทอยของมัน...จักจั่นขยับปืนส่องไปที่นินจาคนที่อยู่กับพื้นมันดิ้นอีกครั้งก็ดับ ร่างของดาวร่อนลงมายืนข้างๆ จักจั่นส่ายหน้า
“พวกมันยอมตาย...ไม่ยอมพูด” ทันใดนั้นเสียงอาตงกับเม่งจูดังขึ้น
“พี่ดาว...พี่จักจั่น”
เด็กๆวิ่งมาหาดาวกับจักจั่นที่เดินเข้าหาเด็กๆ แล้วต่างกอดเด็กๆไว้ แม่สมพรเดินเข้ามา
“เฮ้อ...เกือบไป”
ทั้งหมดต่างผ่อนคลาย อาตงกับเม่งจูจ้องนินจาเขม็ง...อาตงมองนิ่งก่อนจะพูดขึ้น
“พวกนินจา...เข้ากำแพง”
ทุกคนหันมามองอาตง ดาวหันมาถาม
“ว่าไงจ๊ะ...”
“นินจา...เข้ากำแพง”
เม่งจูพูดขึ้นมาบ้าง
“พวกนินจา ออกมาจากกำแพง”
เด็กๆเล่าเรื่องในอดีต...ตอนนี้เม่งจูวิ่งมาหยุด กราดสายตาหาอาตง
“อาตง...อาตง”
อาตงที่แอบอยู่เห็นเม่งจูใกล้เข้ามา จึงรีบวิ่งเข้าไปในพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว เม่งจูได้ยินเสียงวิ่งตามไปเห็นร่างอาตงอยู่ตรงหน้า
“อาตง หยุดก่อน”
อาตงหัวเราะสนุกวิ่งไม่ยอมหยุด เม่งจูวิ่งตามแต่แล้วก็เห็นอาตงวิ่งชนกำแพงมนตร์หายวับเข้าไป เม่งจูหยุดกึก ด้วยความตกใจคาดไม่ถึง...อาตงโผล่เข้ามาในกำแพงโดยไม่รู้ตัวพอเห็นภายในถ้ำตรงหน้าถึงกับแปลกใจ มองอย่างตื่นเต้น เห็นพวกมือปืนเดินไปเดินมาในระยะไกล อาตงยิ้มจะเดินเข้าไป ทันใดนั้นร่างของเม่งจูโผล่ตามเข้ามา แล้วคว้ามืออาตงวิ่งกลับออกไปนอกกำแพงอย่างรวดเร็วทั้งสองหลุดออกมาจากกำแพงมนตร์อย่างหวุดหวิด เม่งจูรีบดึงมืออาตงวิ่งออกไป
ดาว จักจั่น และสมพร ต่างมองหน้ากันอย่างตื่นเต้น ดาวเข้าใจทุกอย่างปรุโปร่งแล้ว
“ที่แท้เด็กๆรู้เรื่องกำแพงของพวกมันนี่เอง”
โปรดติดตาม "ป่านางเสือ2" ตอนต่อไป