ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 10
มือปืนไขกุญแจเปิดประตูนำหมอ ออกมาจากห้องของอภิชาติ
“ถ้ามันฟื้นเอะอะโวยวายก็อย่าไปสนใจมัน ข้าจะพาหมอไปดูนางผู้หญิงสองคนนั่น”
มือปืนที่เฝ้าหน้าห้องพยักหน้ารับ มือปืนนำหมอเดินผ่านออกไป
ประตูห้องที่ขังจักจั่นเปิดออก หมอเข้ามาตามด้วยมือปืน ทันใดนั้นเงาวูบเข้ามาชกเปรี้ยงมือปืนทรุด เป็นจักจั่นนั่นเอง จักจั่นหันมาทางหมอชกเปรี้ยง หมอหลบจักจั่นตามหมอหลบไปอีกด้านหนึ่ง
“ผมเอง สวีทฮาร์ท”
จักจั่นตาโตแวบเข้ามาในวงแขน
“คุณชาติ”
“ไอ มิส ยู”
จักจั่นยิ้มทั้งสองอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน อึดใจก็ถอยออก
“คุณงิ้วล่ะ”
“ผมว่าถามไอ้หมอนี่ดีกว่า ถ้ามันยังไม่ตายเพราะหมัดคุณ”
ทั้งสองมองมือปืนที่นั่งทรุดพิงฝาห้องอยู่ จักจั่นยิ้มอย่างพอใจ
เสียงสายลมร้องก้องอยูบนท้องฟ้า ขบวนรถบรรทุกขนาดกลางสองคันนำและปิดท้ายด้วย รถมือปืนหนึ่งคันวิ่งลดเลี้ยวมาตามเส้นทางในระยะไกล ไผ่ ดาว ฤทธิชัย ซุ่มมองอยู่บนเนินดินหลังพุ่มไม้แห่งหนึ่ง ฤทธิชัยบอกทั้งสอง
“ถ้านางงูปรากฏตัว ผมจะคอยสกัดเอาไว้”
ไผ่พยักหน้า
“เราสองคนจะรีบทำลายขบวนสินค้าของมันให้เร็วที่สุด”
ดาวบอกกับฤทธิชัย
“หลังจากนั้นเราจะรีบไปช่วยคุณหนึ่งทันที”
“ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีนะครับ”
ฤทธิชัยยิ้มแล้วพรวดออกไป ไผ่กับดาว ตามไป
ขบวนรถวิ่งมาตามเส้นทาง ทันใดนั้นเสียงสายฟ้าคำรามก้อง พวกมือปืนต่างกราดสายตาไปมาอย่างตื่นเต้น
“รีบไปเว้ย”
คนขับรีบบึ่งไปอย่างรวดเร็ว แต่แล้วมันหยุดพรืด ตรงหน้าคือร่างของสายฟ้ายืนขวางอยู่
“ชนมัน”
ทันใดนั้น ดาว ฤทธิชัย ไผ่ ในชุดดำใส่หน้ากากนางเสือ ลอยลงมาจากเบื้องบนอย่างช้าๆ สายฟ้าคำรามแล้วจางหายไป ร่างของทั้งสามคนค่อยๆลอยลงมายืนที่พื้นดิน พวกมือปืนต่างจ้องมองอย่างตกใจ หัวหน้ามือปืนตะโกนลั่น
“ออกไปลุยกับมัน”
มือปืนลงจากรถ ต่างตวัดปืนเข้าใส่ มือไม้สั่น
“พี่...คาถาเรียกนางงู ที่อาจารย์คายามังให้ไว้”
หัวหน้ามือปืนล้วงสร้อยรูปงูที่คายามังแจก ออกมาท่องคาถาพึมพำ ดาวรีบบอก
“พวกมันใช้คาถาเรียกนางงู ดาวเคยเห็นนางงูโผล่มากับตา”
ทั้งหมดจ้องมองที่สร้อยรูปงูอย่างเคร่งเครียด หัวหน้ามือปืน พึมพำสวดไม่หยุด
ในห้องขังของอภิชาติ...หมอฟื้นขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆไปที่ประตู ทุบประตูโครมๆๆๆ
“เปิดประตู”
มือปืนยืนอยู่ด้านหน้า ได้ยินเสียงทุบประตู โครมๆ ก็ตวาดลั่น
“เฮ้ย...เงียบๆ เว๊ย”
หมอทุบประตูโครมๆๆๆๆ
“ไอ้โง่...พวกมันหนีไปแล้ว”
มือปืนรีบเปิดประตู หมอเดินเซออกมา มือปืนรีบกระชากวิทยุสื่อสารมาจากด้านหลัง มันกดแล้วกรอกเสียง
“นักโทษหนี”
โจอยู่ในห้อง ทันใดนั้นมือปืนพรวดเข้ามา
“นักโทษหนีครับ”
โจดีดตัวขึ้นจากโต๊ะแล้วเปิดประตูพรวดออกไป ในขณะที่พวกมือปืนวิ่งกันวุ่นวายมารอรับคำสั่ง
“จับตายนักโทษทุกคนอย่าให้พวกมันรอดไปได้”
พวกมือปืนนับสิบต่างแยกย้ายกระจายกำลังออกไป
หัวหน้ามือปืนจับสร้อยรูปงูแล้วสวดพึมพำ
“คาถาเรียกนางงู ต้องเจอคาถาหยุดนางงูซะหน่อย”
ไผ่ตวัดปืนเหนี่ยวไกเปรี้ยง หัวหน้ามือปืน เอามือจับที่ใบหูร้องลั่น ไผ่ตะคอกเสียงเข้ม
“ถ้าแกสวดอีกได้ลงหลุมแน่”
หัวหน้ามือปืน หยุดสวดสายตาแค้น มันกราดสายตาไปมาไม่เห็นนางงูก็หันไปสั่งสมุน
“ฆ่ามัน”
พวกมือปืนสาดปืนเข้าใส่ ดาว ฤทธิชัย ไผ่ ต่างแวบเข้ามาหาพวกมัน แล้วใช้ฝีมือเตะต่อย ผ่านไปอึดใจพวกมันต่างทรุดร้องครวญคราง
“ข้าไม่อยากทำบาป รีบไปซะ”
พวกมันต่างประคองกันแล้วพากันหลบเข้าแนวป่าไป ฤทธิชัยหันมาบอก
“ลองดูหน่อยซิ ว่าพวกมันขนอะไรมา เผื่อจะอ่านแผนของมันออก”
ทั้งสามคนเดินไปที่ด้านหลังรถบรรทุก ไผ่ใช้มือปล่อยพลังดึงประตูออกมาทั้งหมดต่างจ้องมองอย่างแปลกใจ ดาวชะงัก
“ข้าว...เหรอ”
ทุกคนมองอย่างแปลกใจ...ฤทธิชัยมองกระสอบข้าวในรถบรรทุกแล้วครุ่นคิด
“ข้าวเยอะขนาดนี้ เลี้ยงคนได้เป็นพันๆ”
ไผ่มองข้าวอย่างประเมิน
“อาจเป็นหมื่นก็ได้ถ้าขนมาอีกซักเที่ยวสองเที่ยว”
ฤทธิชัยหน้าเครียดสงสัย
“พวกมันเตรียมคนไว้ทำอะไรมากถึงขนาดนี้”
ดาวโพล่งขึ้น
“พวกมันกำลังเตรียมกองทัพ”
เสียงสายฟ้าคำรามก้อง สายลมร้องอยู่บนท้องฟ้า ไผ่ยิ้มเหี้ยม
“ดี คนมาก ก็ตายมาก”
ไผ่พุ่งออกไป ดาวเดินเข้ามาหาฤทธิชัย ทั้งสองอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันอย่างเป็นกังวล
ในราวป่าใกล้กำแพงมนต์...รถจิ๊ปของสัตยาเข้ามาจอด บนรถมีลุงเดชกับแสงนั่นอยู่ทางด้านหลัง และพวกมือปืนอีก 3-4 คน...คายามัง ยืนอยู่สัตยาและทุกคนลงจากรถ
“ท่านต้องการพบเรา”
“เสบียงของพวกเราเพิ่งถูกพวกนางเสือทำลาย เสียหายยับเยินนางงูของท่านหายไปไหน”
“พวกมันมีสร้อยงูที่ข้าให้ไป แค่ท่องคาถาไม่กี่คำ ถ้าทำไม่ได้ก็สมควรตาย”
“มีสองข้อ...ข้อแรกคาถาของท่านเฮงซวยข้อสองนางงูไม่สนท่าน...” สัตยายิ้ม “ลองแสดงให้ดูหน่อยซิว่าเป็นข้อไหน”
สัตยาล้วงสร้อยรูปงูออกมาจากคอเสื้อถอดออกส่งให้ คายามังมองอย่างไม่พอใจแล้วพึมพำท่องคาถา อึดใจผ่านไปแต่ไม่มีวี่แววของนาคีปรากฏ คายามังขบกรามด้วยความโกรธ
“รู้สึกว่าจะเป็นข้อสองนะท่าน”
“พลังของนางงูแข็งแกร่งขึ้นเกินกว่าที่คาถาจะบังคับมันได้ซะแล้ว”
“อ้าว ทำไมชุ่ยแบบนี้ล่ะ”
“เราแก้ไขได้แน่นอน”
“ช่วยให้ไวหน่อยก็ดี เราจะมีทั้งของทั้งเสบียงส่งมาอีก เราเสียหายไปมากแล้ว”
คายามังจ้องหน้าสัตยาด้วยสายตาเยือกเย็น แล้วร่างของคายามังก็ค่อยๆจางลงแล้วแวบไป...สัตยาเสียอารมณ์ ลุงเดชกับแสงต่างลอบสบตากัน
มือปืนถูกอภิชาติบังคับให้นำทางไปห้องขังของงิ้ว จักจั่นตามหลังติดๆ...หน้าห้องขังงิ้วมีพวกมือปืนยืนอยู่สองคนต่างระมัดระวังเต็มที่ พวกมันขยับปืนเมื่อเห็นหมอกับมือปืนคุมจักจั่นเดินมา
“เอานักโทษมาฝากขังไว้นี่ก่อน”
พวกมันพยักหน้ามือปืนคนหนึ่งเปิดประตู ทันทีที่ประตูเปิดออก จักจั่นแวบเข้าไประหว่างมันสองคน
สะบัดมือซ้ายขวา ได้ยินเสียงตึบๆ พวกมันสองคนทรุด จักจั่นคว้าปืนของพวกมันขึ้นมา โยนให้อภิชาติหนึ่งกระบอก อภิชาติสั่งมือปืน
“เอ็ง ลากไอ้สองคนนี่เข้าไปข้างใน”
ชาวบ้านชายประมาณ 10 คนต่างวิ่งหนีกันมาในราวป่า ทางด้านหลัง มีพวกมือปืนพร้อมอาวุธ 5 คนไล่ล่ามาอย่างกระชั้นชิด เสียงปืนดังสนั่นเปรี้ยงๆ ชาวบ้านสองคนทรุด เพื่อนๆพยายามช่วยประคองแต่แล้วพวกกลุ่มมือปืนก็ไล่มาจนทัน
“ใครคิดหนีอีก ตายอย่างเดียว”
ทันใดนั้นเสียงสายฟ้าคำรามก้อง พวกมือปืนต่างมองหน้ากัน
“นางเสือ”
พวกมันต่างกราดปืนไปมา เสียงสายฟ้าคำรามก้องมาอีก พวกมันตกใจประสาทกิน สาดยิงเข้าไปในป่าเสียงปืน ดังสนั่นหวั่นไหว ชาวบ้านต่างทิ้งตัวลงหมอบกับพื้น ทันใดนั้นเงาร่างของฤทธิชัยใส่หน้ากากเข้ามากลางวง แล้วพุ่งเข้าหาพวกมันอย่างรวดเร็ว เกิดการต่อสู้ประชิดตัว ผ่านไปอึดใจพวกมันก็ทรุดลงหมด ฤทธิชัยหันไปบอกชาวบ้าน
“รีบไปจากที่นี่เร็วเข้า...ไปที่บ้านดอนเสือจะปลอดภัย”
ชาวบ้านต่างลุกขึ้นแล้วพากันวิ่งหายเข้าไปในราวป่า ฤทธิชัยมองตามแต่แล้วหันขวับ ก็เห็นนาคียืนยิ้มอยู่
“ท่านพี่”
“คุณนี่พูดไม่รู้เรื่อง ผมไม่ใช่ท่านพี่ของคุณ...เราต่างคนต่างไป”
“ยังไงนาคีก็ไม่ลืมท่านพี่”
ฤทธิชัยขยับตัว แต่แล้วนาคีแวบเข้ามาขวาง ดวงตาแข็งกร้าว
“ท่านพี่รู้มั๊ย เราต้องถูกอาจารย์ทรมานแค่ไหน ที่เราคอยป้องกันท่าน ช่วยเหลือท่าน”
ฤทธิชัยถอนใจ
“ผมรู้...แต่คุณเลือกทางเดินเอง จะมาโทษผมไม่ได้”
ฤทธิชัยแวบหายออกไป นาคีแวบตามไปดักไว้อีก คราวนี้ปล่อยหมัดเข้าใส่ ฤทธิชัยรับปัดป้องแล้วถอยห่างออกไป
“ในเมื่อท่านไม่ต้องการความรัก เราจะให้ท่านเป็นทาสของเรา”
นาคีดวงตาวาวโรจน์ ผมบนหัวเป็นงูส่ายไปมาน่ากลัว ฤทธิชัยจ้องเตรียมพร้อม
งิ้วถูกมัดนอนหลับตาอยู่บนเตียง จักจั่นพรวดเข้ามา เอามือตบแก้มเบาๆ
“คุณงิ้ว”
งิ้วมึนยา
“ไอ้...พวก...สาร...เลว...”
“อ้าว...หลอกด่าเหรอ”
จักจั่นหันไปที่อภิชาติซึ่งกำลังคุมไอ้มือปืนลากคนที่สองเข้ามา
“ยังเมายาอยู่เลย”
“รอเดี๋ยวนะครับ”
อภิชาติหันไปทางมือปืน
“หลับตาซะ จะได้ไม่เจ็บ”
มือปืนหลับตา อภิชาติชกโครม มันทรุด อภิชาติพรวดไปที่เตียง เอามือกระชากเข็มขัดที่รัดข้อมือกับเท้าของงิ้วออก
“สวีทฮาร์ท นำทาง ผมจะอุ้มคุณงิ้วไป”
จักจั่นเหล่
“เอ๊ะ...”
“งั้นคุณอุ้ม”
จักจั่นทำหน้าตาเหลือกเข้าใส่ คิดได้ไง
“ตามมา”
จักจั่นพุ่งออกไป อภิชาติยิ้มแล้วอุ้มงิ้วตามไป
ฤทธิชัย เคลื่อนตัวอย่างระมัดระวัง ตรงหน้าคือนาคีที่พร้อมจะจู่โจม ทันใดนั้นนาคีแวบเข้ามา ทั้งสองต่อสู้ ประชิดตัวอย่างติดพันตื่นเต้น ผ่านไปแค่สองสามท่า ฤทธิชัยเริ่มถูกพลังนางงูกระแทกแรงแม้รับได้แต่ก็เริ่มเซไปตามแรงปะทะ ในที่สุดถูกกระแทกกระเด็นไปที่พื้น ฤทธิชัยดีดตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นาคีหน้าตึงเครียด เดินเข้าใส่ แต่ทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว เปรี้ยงๆ ร่างของนาคีเซไปตามแรงกระสุน แล้วดาวในขุดนางเสือเข้ามายืนกับฤทธิชัย นาคียิ้มหยัน
“เชอะ ถึงพวกท่านจะอยู่ในคราบนางเสือ ก็ไม่สามารถต้านพลังเราได้”
ดาวมองจ้องไม่เกรง
“ลองดูก่อนไม่เสียหาย ความชั่วไม่เคยชนะความดี”
“ท่านเพ้อเจ้อไปแล้ว”
นาคีแวบเข้ามาระหว่างดาวกับฤทธิชัย หมุนตัวปล่อยหมัดใส่สองคนอย่างรวดเร็ว ดาวกับฤทธิชัยช่วยกันตั้งรับ ต่อสู้ได้หลายท่า แต่แล้วทั้งสองก็เริ่มเสียเปรียบ ดาวถูกกระแทกกระเด็นออกไป ฤทธิชัยเข้ามาขวาง ดาวตั้งตัวได้ตวัดปืนเข้าใส่ยิงเปรี้ยงๆๆๆๆ นาคีชงัก ฤทธิชัยได้โอกาสกระแทกถูกนาคี กระเด็นออกไปไกล นาคีตั้งตัวได้โกรธ ดาวกับฤทธิชัยยืนเคียงกันประจัญหน้า นาคีค่อยๆยกมือสองข้างขึ้นมาตรงหน้า แต่แล้วนาคีเหมือนหายใจไม่ออกมือคว้าที่เชือกบ่วงเงินที่รัดอยู่ อึดใจก็แวบหายไป ดาวกับฤทธิชัยต่างมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ทั้งสองต่างกราดสายตา มองรอบๆอย่างระมัดระวัง...เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว ฤทธิชัยก็ต่อว่าดาวทันที
“คุณดาวคิดอะไรอยู่ คราวหลังถ้าผมเผชิญหน้าติดพันอยู่กับนาคีห้ามเข้ามาเด็ดขาด”
“ได้ไง อ๋อ นี่สนใจนาคีแล้วคิดปัดดาวให้พ้นทางเหรอคะ”
ดาวทำหน้าตาโกรธจริงจังดันฤทธิชัยออกห่าง ฤทธิชัยจ๋อยไป
“โธ่ คุณดาวผมเป็นห่วงคุณดาว...ผมต้องการให้คุณดาวคอยหาทางเล่นงานจากวงนอกมากกว่า”
ดาวแวบพรวดกลับเข้ามาในวงแขนของฤทธิชัย หัวเราะคิกคัก
“ดาวแกล้งทำเป็นหึงแบบตัวอิจฉาเล่นๆน่ะค่ะ ดาวรู้ค่ะว่าคุณหนึ่งเป็นห่วง”
ฤทธิชัยเหล่อึดใจแล้วกอดดาวไว้ในวงแขน
“แต่ความจริง หึงก็ดีเหมือนกันนะ ผมชอบ”
ดาวยิ้มทั้งสองต่างอยู่ในวงแขนของกันและกัน แต่แล้วดาวถอยห่างมา
“ดาวเพิ่งสังเกตว่านาคีมีอาการผิดปกติก่อนที่จะไป”
“อืม...อะไรก็ช่างขอให้ไปๆก็แล้วกัน”
ฤทธิชัยกอด ดาวซบที่อกหน้าครุ่นคิด
คายามัง นั่งสมาธิพึมพำคาถาอยู่ในถ้ำ ทันใดนั้นร่างของนาคีปรากฏขึ้น มือจับที่เชือกบ่วงเงินต่อสู้อึดอัดหายใจไม่ออก คายามังลืมตาขึ้นหยุดพึมพำ นาคีค่อยผ่อนคลายเป็นปกติ
“เจ้ามัวแต่ตามหาผู้ชายของเจ้า จนเสียงานนายใหญ่ไม่พอใจ”
“เรากำลังจะกำจัดศัตรูให้ท่าน แต่ท่านกลับขัดจังหวะเรียกเรามา ถือว่าท่านเป็นคนปล่อยให้ศัตรูหนีไป”
คายามังหงุดหงิด
“เจ้าไม่ต้องแก้ตัว เจ้าไม่ยอมปรากฏตามคาถาเรียก”
นาคีนิ่งไม่ตอบไม่พอใจและแค้นใจ คายามังถอนใจ
“เอาล่ะ แล้วไปแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญที่จะต้องทำ”
นาคีเฉยเมย แต่แววตามีความแค้นคายามังขึ้นมาวูบหนึ่ง
จักจั่นนำอภิชาติที่อุ้มงิ้วไปตามลังเก็บของในที่สุดไปโผล่เห็นมือปืน 3- 4 คนยืนระวังอยู่หน้าห้องหนึ่ง จักจั่นหยุด กราดสายตาไปมามองรอบๆบริเวณและพวกมือปืน
“หยุดทำไม”
“พวกมือปืน มันเฝ้าอะไรอยู่ซักอย่าง”
“ช่างมัน” อภิชาติกราดสายตา “ทางออกน่าจะอยู่ด้านโน้น”
“ตามหลักพวกมือปืนพวกนี้ต้องออกตามล่าพวกเราแต่ยังอยู่ที่นี่ แสดงว่าหลังห้องนั้นต้องมีบางอย่างน่าสนใจ”
อภิชาติวางงิ้วลง
“โอเค...งั้นเราเข้าไปดูกัน”
ทันใดนั้นงิ้วก็พูดขึ้น
“จะไปไหน...”
อภิชาติหันไปมอง
“คุณงิ้วรออยู่นี่ก่อน อย่าส่งเสียง อย่าไปไหน”
งิ้วพ่นลมออกจากปากทำเสียงออกจากริมฝีปากแบบเด็กๆตอนไม่พอใจ อภิชาติหันไปหันมาเห็นผ้าใบผืนหนึ่งคลุมลังใส่ของอยู่ก็เลยดึงผ้าใบมาคลุมงิ้วเอาไว้ แล้วหันไปมองพวกมือปืน 3-4 คน ก่อนจะหันมาถามจักจั่น
“เอาไง”
จักจั่นหรี่ตามองอภิชาติในชุดสีขาวเหมือนหมอ แล้วยิ้มพยักหน้าเหมือนได้ความคิด
ฤทธิชัยขับรถจิ๊ปเข้ามาจอดในบริเวณเซฟเฮ้าส์ ดาวนั่งข้างๆ
“คุณหนึ่งแน่ใจเหรอคะว่าจะอยู่ที่นี่”
“ครับ อยู่ที่ไหนนาคีก็หาเราพบอยู่ดี อยู่ที่นี่เราจะได้ติดต่อกับทุกคนได้”
ดาวยิ้มพยักหน้า
“เราสองคนช่วยกันต้านนาคีก็พอจะรอดได้ ถ้าไม่ไหวรีบเผ่นก็ยังทัน”
ดาวยิ้ม
“ได้ค่ะ ดาวเผ่นทันอยู่แล้ว”
ทั้งสองต่างยิ้ม ทันใดนั้นมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“พูดถึงติดต่อก็มีสายเข้ามาเลย”
ดาวรับสาย
“ส่งทีมมารับด่วนที่สุด”
ดาววางสายหน้าเครียด
“คุณอภิชาติ จักจั่น คุณงิ้ว หายไปไม่มีร่องรอย”
ฤทธิชัยหน้าเคร่งเครียดทันที
หน้าห้องเป้าหมาย พวกมือปืนต่างยืนระวังอย่างเข้มข้น แต่แล้วก็ขยับปืน เมื่อเห็นอภิชาติอุ้มจักจั่นที่แน่นิ่งเดินเข้ามา
“คุณหมอ จะไปไหน”
“เปิดประตูห้อง จะพานักโทษเข้าไป”
มือปืนต่างมองหน้ากัน
“ห้องนี้ไม่ใช่ห้องพยาบาล เข้าไม่ได้”
“อ้าว...งั้นเหรอ”
ทันใดนั้นจักจั่นเด้งตัวขึ้นมาแต่อภิชาติยังอุ้มอยู่
“แล้วห้องพยาบาลอยู่ที่ไหนล่ะ”
พวกมันคาดไม่ถึงขยับปืน แต่อภิชาติโยนจักจั่นใส่มัน มันรับไว้ ด้วยความตกใจ จักจั่นตบเปรี้ยงมันเซ จักจั่นดีดตัวลง มาจากแขนของมัน ชกไอ้อีกคนที่พรวดเข้ามา แล้วหลบด้ามปืนของอีกคนที่ตวัดผ่านหัวไปพร้อมใช้สันมือเสยเข้าที่หน้า มันทรุดจักจั่นหันมาเห็นอภิชาติชกอีกคนหนึ่งลงไปกองพอดี จักจั่นผายมือไปที่ประตู
“เชิญคุณหมอค่ะ”
อภิชาติตรงเข้าไปที่ประตู ถีบโครม ประตูเปิดหลุดเข้าไป อภิชาติพยักหน้ารับว่าเจ๋ง
“โชว์พาวน่าดู แฟนเรา”
อภิชาติเดินเข้าไป จักจั่นเดินตามเข้าไปในห้อง
บ้านมะกรูด...รถจิ๊ปของไผ่เลี้ยวผ่านตลาดแล้วเลี้ยวเข้าไปในซอย ก็ถึงหน้าประตูโรงงานแห่งหนึ่ง ไผ่ในคราบของนักเที่ยว ก้าวลงมา พร้อมจันจิราในคราบของสาวเปรี้ยว
“เราเพิ่งเผาบ่อนพวกมันไปแท้ๆ มันหนีมาเปิดที่นี่อีกจนได้”
“ดี...ไกลบ้านดอนเสือออกมาหน่อย จะได้สนุกเต็มที่ถือว่าเป็นการเปิดหูเปิดตา พร้อม”
จันจิรายิ้มรับ
“ค่ะ พร้อม”
จันจิราเดินเข้าไปคล้องแขนไผ่แล้วพากันเดินไปที่หน้าประตู แต่แล้ว ชายคนหนึ่งมาขวางไว้
“พี่ ทำไมเพิ่งมา เดี๋ยวก็ไม่ทันพอดี”
ไผ่กับจันจิราหันมาเห็นผู้ชาย 3 คนยืนอยู่ ชายอีกคนมองจันจิราตาวาว
“โห...สวยเด็ดอย่างพี่ว่าจริงๆ”
ไผ่กับจันจิรามองหน้ากัน ไผ่ขยิบตาส่งซิกอย่างรวดเร็ว
“ก็เพราะสวยน่ะซิว๊ะ ถึงได้ช้า”
“ไปกันเถอะพี่”
ไผ่พยักหน้าแล้วพาจันจิราเดินมาที่รถ ชายอีกคนเข้ามาจะคว้า จันจิรา แต่ไผ่ยกมือเป็นเชิงห้าม
“เฮ้ย ข้าดูแลเอง ของดีๆ พวกเอ็งทำช้ำหมด”
ชายคนนั้นถอยไปเปิดประตูรถตู้ให้จันจิราเข้าไปทางด้านหลัง มีผู้หญิงสวย 3 คนนั่งอยู่แล้ว ไผ่กราดสายตามอง รวดเร็วแล้วขึ้นไปนั่ง มันปิดประตูแล้วเดินไปนั่งหน้ากับเพื่อนซึ่งเป็นคนขับ ส่วนอีกคนหนึ่งเดินไปขึ้นรถตู้คันหลัง ในที่สุดรถตู้ก็เคลื่อนออกไป ไผ่หันมามองจันจิราทั้งสองต่างลอบพยักหน้าให้กัน
รถตู้เลี้ยวเข้ามาจอดในลานหน้าโกดังซึ่งเป็นสถานที่ลับของหน่วยพิเศษ นพกับทีมงาน5 คนยืนรอรับอยู่ ฤทธิชัยก้าวลงมาจากรถตามด้วยดาว
“นายชาติกับสองสาวไม่น่าจะพลาดได้”
“บางอย่างก็คาดไม่ถึงนะคะ”
นพก้าวเข้ามา
“ข้อมูลทุกอย่างเตรียมพร้อมรออยู่ที่ห้องปฏิบัติการแล้วครับ”
ดาวหันมาบอก
“คุณนพรีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”
ฤทธิชัยกำชับ
“เตรียมทีมให้พร้อมแสตนบายไว้ด้วย”
นพรับคำ
“ครับ”
นพโบกมือเจ้าหน้าที่ทุกคนกลับขึ้นรถแล้วขับออกไป ฤทธิชัยหันมาหาดาว
“คุณคิดว่านางงูจะตามเรามาถึงนี่เลยเหรอ”
“ไม่ประมาทจะดีกว่าค่ะ”
จักจั่นกับอภิชาติ เข้าไปในห้องก็พบว่าเป็นคล้ายๆห้องประชุมเล็กๆ ท้ายห้องมีจอขนาดกลางห้อยลงมา บนโต๊ะประชุมตรงปลาย มีเครื่องฉายสไลด์ตั้งอยู่ จักจั่นปราดเข้าไปกดเครื่องฉายให้ทำงาน ปรากฏเป็นรูปของชายขึ้นมาทีละรูป ทั้งสองยืนมองอย่างพิจารณา
“ใครกันบ้างคะนี่ ทำไมสำคัญถึงขนาดต้องมีคนเฝ้า”
อภิชาติเพ่งมองอย่างพิจารณา
“รองรัฐมนตรีของกรมต่างๆ”
“นึกว่าเป้าหมายของมันจะเป็นพวกรัฐมนตรีซะอีก”
อภิชาติส่ายหน้า
“มีบางอย่างไม่ลงตัวซะแล้ว เรารีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า”
ผ้าใบที่คลุมงิ้วถูกกระชากเปิดออก งิ้วหรี่ตาหลบแสง ยกมือบัง
“โอ๊ย...ไปนาน...จัง”
โจเหยียดยิ้ม
“คิดถึงผมหรือไง”
งิ้วพยายามขยับตัวแต่ถูกพวกมือปืนเข้ามายึดแขนให้ยืนขึ้นแล้วคุมตัวไว้
10.1.4
ในห้องปฏิบัติการ...ดาวเดินไปเดินมา แล้วหันมาทางฤทธิชัยซึ่งตรวจข้อมูลอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“พวกมันร้ายจริงๆ หาทางส่งคนของมันเข้าไปแทนพวกรัฐมนตรีด้วยการทำศัลยกรรม”
“นายโจ ท่านรองศักดา แล้วก็นายสัตยา สามคนนี่คือจุดหมายสำคัญตามแฟ้มของนายชาติครั้งล่าสุดที่บันทึกไว้”
“มันเตรียมกำลังคน ส่งรัฐมนตรีปลอมเข้าสภา นายใหญ่ของมันคิดจะยึดประเทศหรือไง”
หมู่บ้านชายแดน...กลุ่มพวกมือปืนต้อนพวกชาวบ้านเข้ามาในบริเวณหุบเขา ลุงเดช กับ แสง ต่างยืนมองทุกคนอย่างเห็นใจแต่ทำอะไรไม่ได้ ชาวบ้านคนหนึ่งล้ม มือปืนคนหนึ่งเข้าไปเตะโครมเข้าให้
“ลุกขึ้น ไม่งั้นโดนตีนอีก”
ชาวบ้านพยายามจะลุกขึ้นอย่างยากเย็น
“รำคาญเว๊ย”
มือปืนเงื้อมือหมายตบแต่มือของมันถูกลุงเดชคว้าไว้
“เราต้องการแรงงานทุกคน”
มันมองหน้า ลุงเดชปล่อยมือของมัน มันเหล่แล้วเดินจากไป
“ฉันไม่รู้ว่าจะทนดูได้อีกนานแค่ไหน” แสงแค้นๆ
“อดทนไว้ ไอ้แสง ไม่ยังงั้นจะเสียเรื่อง”
ลุงเดชหน้าเคร่งเครียด แสงไม่พอใจ เดินออกไป
อภิชาติเปิดประตูนำจักจั่นออกมาแต่แล้วก็ต้องหยุดคาดไม่ถึง เมื่อโจกับมือปืนของมันนับสิบกำลังควบคุมตัวงิ้วอยู่ งิ้วยิ้มโบกมือให้ อภิชาติกับจักจั่นเพราะยังมึนยา
“ฮัลโหล”
อภิชาติกับจักจั่นต่างถอนใจ โจยิ้มเยาะ
จักจั่นกับอภิชาติถูกผลักเข้ามาในห้อง สักครู่งิ้วก็ถูกผลักตามเข้ามา อภิชาติกับจักจั่นช่วยกันรับแทบไม่ทัน ทั้งสามสังเกตุว่าตนเองถูกขังอยู่ในห้องแคบๆห้องหนึ่ง มีแต่ช่องลมเป็นวงกลมเล็กๆขนาดใหญ่เท่าหัวคนอยู่เหนือหัวบนผนังด้านหนึ่งไม่มีทางออกได้ อีกด้านหนึ่งมีกล้องวงจรปิดติดอยู่สูงขึ้นไปอภิชาติกราด
สายตามองอย่างพิจารณา
“ไม่ดี...แบบนี้ไม่ดี”
จักจั่นงงๆ
“อะไรคะ”
งิ้วไม่เข้าใจ
“อะไรไม่ดี...”
ทันใดนั้น มีควันสีเขียวๆลอยออกมาจากช่องลมเล็กๆ อภิชาติรีบบอก
“แก๊ส”
อภิชาติพูดจบก็สะบัดมือมาคว้าที่ไหล่ใกล้ต้นคอของงิ้ว
“เฮ้...”
งิ้วพูดได้คำเดียวก็ตัวอ่อนหมดสติอภิชาติรับได้ทันท่วงที ควันเริ่มออกมามากขึ้น มากขึ้น จนฟุ้งเต็มไปหมด
รถตู้ของมันพาไผ่กับจันจิราพร้อมหญิงสวยอีก 3 คนวิ่งเข้ามาที่บ้านหรูลึกลับแห่งหนึ่ง ทั้งหมดลงมาจากรถ มีมือปืนยืนระวังเป็นจุดๆ ไผ่กวาดตามอง
“ท่าทางต้องเป็นงานระดับ วีไอพี”
มือปืนคนหนึ่งหันมาบอก
“พวกรัฐมนตรีทั้งนั้น มาประชุมสัญจร”
อีกคนเสริม
“เจ้านายเค้าจัดงานต้อนรับเป็นพิเศษชุดใหญ่”
ไผ่พยักหน้า สักครู่มีคนเดินมาจากตัวบ้าน
“ทำไมช้า พาพวกผู้หญิงเข้าไป เร็วเข้า”
ไผ่หันไปตวาด
“ผู้หญิง เร็ว”
จันจิราและพวกผู้หญิงถูกนำเข้าไปใจตัวบ้าน ไผ่เดินคุมไปด้วยสายตากราดไปรอบๆ ในที่สุดก็ถึงตัวบ้าน ไผ่ดึงจันจิราไว้ พวกมือปืนหยุดมองสงสัย
“น้องทำตัวดีๆอย่าให้เสียชื่อพี่นะ”
จันจิราพยักหน้า ไผ่ปล่อยให้พวกมือปืนพาพวกสาวๆเข้าไป ไผ่กวาดสายตาสำรวจพื้นที่
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00น.
ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 10 (ต่อ)
จันจิราและสาวสวยสองคนเดินเข้าไปในห้องหนึ่ง มีผู้หญิงสาวสวยนั่งตามสบายอยู่แล้ว 5 คน หัวหน้ามือปืนเดินเข้ามา
“เอายาให้สาวๆ”
มือปืนอีกสองคนส่งหลอดขนาดน้ำหอมตัวอย่างให้สาวๆทุกคน จันจิรารับมา ลอบมอง
“นี่คือยากล่อมประสาทอย่างอ่อน ใส่ให้แขกวีไอพีของตัวเอง อย่าให้พลาด”
หัวหน้ามือปืนสั่งเสร็จก็เดินออกไป มือปืนหันมาบอกสาวๆ
“ไปได้”
พวกสาวๆเดินออกไป จันจิราเดินตาม
โจยืนมองภาพในจอมอนิเตอร์วงจรปิด อยู่กับพวกเจ้าหน้าที่เทคนิคเห็นร่างของอภิชาติ จักจั่น งิ้ว นอนกองใกล้กันนิ่งสงบอยู่กับพื้น
“ปล่อยแก๊สเข้าไปอีก เอาให้แน่ว่าพวกมันตายสนิท แล้วเอาไปฝังซะ”
เจ้าหน้าที่เทคนิคกดแป้นคีย์บอร์ด ภาในจอมอนิเตอร์เห็นแก๊สค่อยๆฟุ้งเข้าไปจนเต็มจอ
ฤทธิชัยคุยโทรศัพท์กับนพ...
“มีอะไรคืบหน้ารายงานผมทันที” ฤทธิชัยวางสายหันมาบอกดาว “คุณนพรายงานมา ยังไม่มีร่อยรอยของสามคนนั่น”
ดาวพยักหน้า
“ดาวคิดว่าดาวจะลองนั่งสมาธิ หาสามคนนั่นผ่านสายตาพี่สายลม”
พวกมือปืน 4-5 คนมาที่ประตูห้องขัง มือปืนคนหนึ่งหันมาบอกเพื่อน
“โดนแก๊สเข้าไปสองรอบ ตายจนกระดูกผุไปแล้วมั๊ง”
พวกมันหัวเราะ
“เร็วเว๊ย เอาพวกมันไปฝัง”
พวกมือปืนเปิดประตูเข้าไปข้างใน อึดใจก็ยกร่างของอภิชาติออกมาวางไว้ข้างนอก แต่แล้ว มันถึงกับสะดุ้งเมื่อ อภิชาติลืมตาขึ้น
“ไงเพื่อน”
ทันใดนั้นร่างของจักจั่นแวบเข้ามาระหว่างพวกมัน หมุนตัวอย่างรวดเร็ว เสียงดังตึบๆๆๆๆๆสนั่น พวกมือปืนล้มลมไปกองกับพื้นหมดทุกคน จักจั่นก้มลงมามองอภิชาติ
“ลุกขึ้นได้แล้วมั๊งคะ”
อภิชาติยิ้มจักจั่นส่งมือให้แล้วดึงขึ้นมา
งิ้วหลับตาพริ้มอยู่ อภิชาติกับจักจั่นนั่งอยู่ข้างๆ อภิชาติเอามือจับที่ไหล่ใกล้ต้นคอของงิ้วทันใดนั้นงิ้วลืมตาขึ้น
“จักจั่น คุณอภิชาติ เกิดอะไรขึ้น”
“เอาไว้เม๊าท์กันที่หลังดีกว่า”
จักจั่นยิ้มให้
ในบ้านหรู...ไผ่ กับ พวกมือปืน 5 คน นั่งบ้างยืนบ้าง อยู่ในห้องพักมีบาร์เล็กๆ พนักงานคอยบริการเครื่องดื่ม หัวหน้ามือปืนเปิดประตูเดินเข้ามา
“รถพวก วีไอพี พร้อมแล้ว”
พวกมือปืน 2-3 คนขยับตัวลุกขึ้นเดินออก ไผ่ทำไก๋ขยับตัวเดินตาม
“เอ็งมากับผู้หญิงไม่ใช่เหรอ”
“ใช่”
“งั้นเอ็งรอเอาผู้หญิงไปส่งกับไอ้พวกนั้น”
หัวหน้ามือปืนพยักหน้าไปยังมือปืน 2 คนที่เหลือ ไผ่ไม่อยากให้เป็นพิรุธจึงพยักหน้า หัวหน้ามือปืนมองหน้าไผ่อึดใจแล้วเดินออกไป พวกมือปืนต่างมองไผ่อย่างสงสัย
“เอ็งเมาหรือเปล่าวะ ชุดใครชุดมันเว้ย”
“วีไอพีชุดนึง ผู้หญิงชุดนึง ไม่มีการมั่ว”
ไผ่ยิ้ม
“ฉันมึนไปหน่อย เห็นเรียกก็เลยลุก ไม่ทันฟังว่าชุดไหน”
พวกมันต่างขำ ไผ่ลอบถอนใจ คนขับรถตู้ที่พาผู้หญิงมาโผล่เข้ามา
“รถสาวๆพร้อมแล้วพี่”
มือปืน 2 คนลุกขึ้น
“คิวเราแล้วพี่”
ไผ่ลุกขึ้นเดินตามพวกมันไป
จักจั่นนำออกมาจากห้อง ได้สองก้าว พวกมันก็โผล่มาเพียบ จักจั่นตวัดปืนสาดยิงออกไปเปรี้ยงๆพวกมันล้มคว่ำ อภิชาติยกนิ้วให้
“เก่งมาก ฮันนี้”
งิ้วร้องขึ้น
“เย้...คูล”
ทั้งหมดมองไปเห็นประตูทางออกอยู่ตรงหน้า
“ทางออก”
จักจั่นวิ่งผ่านร่างพวกมันออกไป อภิชาติกับงิ้วตามไปติดๆ
จักจั่นโผล่หน้าออกมา ตรงหน้าเป็นลานกว้าง ทางขวามือคือประตูเหล็กของโรงงาน จักจั่นหันมาบอก
“สองคนรอที่นี่”
งิ้วพยักหน้า
“ได้เลย”
อภิชาติยิ้มหวาน
“เชิญจ้ะ”
แต่แล้วทันใดนั้นรถตู้สองคันพรวดมาจอดตรงหน้า โจกับพวกมือปืนนับสิบเปิดประตูพรวดลงมาจากรถ โจยิ้มก้าวเข้ามาสองสามก้าว
“สวัสดี”
จักจั่นเหล่เดินออกมาเผชิญหน้ากับโจ
“อืม...ฝีมือศัลยกรรมยอดเยี่ยม นายดูเหมือนนายโจตัวเก่าจริงๆ”
“คุณอภิชาติกับอีกคนอยู่ที่ไหน”
จักจั่นสงสัยหันมาไม่เห็นอภิชาติกับงิ้ว เลยทำไก๋จ้องโจไม่ตอบ
“เห็นตามมาติดๆ ไม่รู้ไปไหนแล้ว”
โจพยักหน้าพวกมันมายึดปืนของจักจั่นไป
“กระจายกำลังออกไป หาพวกมันให้ได้”
พวกมือปืนกระจายกำลังออกไปส่วนหนึ่ง อีก 5 คนยืนล้อมจักจั่นอยู่กับโจ
พวกมือปืนกับไผ่เดินออกมาที่ลานจอดรถ เจอ หัวหน้ามือปืน ยืนรออยู่ มันส่งเงินให้ทุกคน คนละปึกใหญ่ ไผ่รับเงินแล้ว คอยฟังเฉยอยู่
“ปิดปากให้หมดทุกคน เงินของพวกผู้หญิงพวกเอ็งแบ่งกัน”
มือปืนพยักหน้ารับ ไผ่พยักหน้าด้วย ประตูเปิดพวกสาวๆออกมาจากบ้าน ไผ่ลอบสบตากับจันจิรา ทั้งหมดเดินไปขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่สองคัน
“เอ้า แบ่งกันไปมั่งก็ได้ รถมีตั้งสองคัน”
จันจิรารีบพูดขึ้น
“พวกผู้หญิงอยู่คันเดียวกันก็ได้พี่ พวกหนูอยากเม้าท์กัน”
มือปืนคนหนึ่งพยักหน้า
“อยากเบียดกันก็ตามใจ”
จันจิรากับสาวทั้งหมดเดินขึ้นรถตู้ไปจนหมด ไผ่รีบบอกมือปืน
“ข้าไปกับสาวๆ เองสองคนไปคันหลัง”
ไผ่ขึ้นรถ คนขับกับมือปืนอยู่ด้านหน้า คนขับกับมือปืนอีกสองคนไปคันหลัง
พวกมือปืนกับโจล้อมจักจั่นอยู่ จักจั่นยิ้มหยัน
“แค่นี้จะพอเหรอ”
ยังไม่ทันขาดคำพวกมันอีก10 ก็โผล่มาทางด้านซ้ายมือเข้ามาล้อมจักจั่นไว้ โจยิ้มเยาะ จักจั่นจ้องโจสายตากราด ไปมาหาทางหนีแต่แล้วก็คาดไม่ถึง เมื่อเห็นร่างของอภิชาติใช้วิชาพรางตัวจูงงิ้วจางๆไปถึงรถตู้คันหน้าของพวกมันที่จอดอยู่ โจเห็นสายตาของจักจั่น หันมองตามไปที่รถแต่มองไม่เห็นอะไร หันกลับมาเห็นจักจั่นยิ้มระรื่นอยู่
“แถวนี้มีอะไรกินมั่ง หิวแล้ว”
โจจ้องจักจั่นอย่างเสียอารมณ์ จักจั่นเดินเข้ามาหา โจถอย มือปืนสองสามคนก้าวเข้ามาขวางจักจั่น
“อะไรจะขวัญอ่อนปานนั้น”
จักจั่นมองเห็นร่างจางๆของอภิชาติจูงงิ้วไปที่ประตูรถที่เปิดอยู่ งิ้วค่อยขึ้นไปบนรถอย่างรวดเร็ว ทันทีที่มือหลุดจากอภิชาติร่างของงิ้วก็ปรากฏ จักจั่นคอยลุ้นอยู่อย่างตื่นเต้น อภิชาติค่อยๆเปิดประตูรถขึ้นไปตรงคนขับ ทันใดนั้นเสียงรถสตาร์ทดังขึ้น โจกับพวกมือปืนหันกลับไปดูรถตู้ที่กำลังพุ่งตรงไปที่ประตูใหญ่ โจตะโกนลั่น
“เฮ้ย...อย่าให้พวกมันรอดไป”
พวกมือปืนยกปืนสาดกระสุนออกไปเสียงดังสนั่นๆเปรี้ยงๆๆๆๆ จักจั่นฉวยโอกาสตบเปรี้ยงไอ้มือปืนที่ขวางอยู่กระเด็น ไปอีกคนตวัดปืนสั้นเข้าใส่ จักจั่นคว้าข้อมือของมันแล้วชกเปรี้ยงมันกระเด็นไป จักจั่นพรวดเข้าหาไอ้โจตวัดปืนสั้นจ่อเข้าที่โจ
“เร็ว”
โจตื่นกลัวรีบบอกสมุน
“เฮ้ย...หยุด”
พวกมือปืนหันกลับมาก็พบว่าจักจั่นกำลังเอาปืนจ่อโจอยู่ รถตู้ที่พุ่งไปที่ประตูใหญ่ทางออก
รถตู้วิ่งตะบึงมาตามเส้นทางกลับบ้านมะกรูด ไผ่ที่นั่งอยู่เบาะแถวหน้าด้านหลังกับจันจิราและสาวอีกคนหนึ่งสองแถวหลังเป็นสาวๆรวม 7 คน สาวๆต่างกิ๊วก๊าวถือเงินปึกคุยกันอย่างมีความสุข จันจิรานั่งกราดสายตามองพวกมันที่อยู่ข้างหน้า แต่แล้วเสียงของไผ่ดังขึ้น
“พวกมันคิดปิดปากสาวๆทุกคน”
จันจิราพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงรู้ทัน
“พี่จ๊ะจอดรถหน่อยได้มั๊ยจ๊ะ ฉันปวดชิ๊งฉ่อง”
คนขับชำเลืองมองมือปืนที่นั่งหน้า มันยิ้มพยักหน้า
“ได้น้อง”
สาวคนหนึ่งขัดขึ้น
“โห มีแต่สวน ไปปั๊มดีกว่า”
สาวๆคนอื่นเห็นด้วย
“ใช่ ๆๆ ไปปั๊มเถอะ”
จันจิรารีบบอก
“แต่ฉันไม่ไหวแล้ว”
ไผ่ตัดบท
“จอดหน่อยก็แล้วกัน ใครไม่ปวดไม่ต้องลง”
สาวๆบ่นกันอุบอิบ มือปืนที่นั่งหน้าบอกคนขับ
“เอ้าจอดซะหน่อย”
คนขับค่อยๆชลอแล้วจอดรถในที่สุด ไผ่กับจันจิราลงมาจากรถ รถตู้คนหลังจอดประกบท้าย พวกมือปืนสองคนลงมา มือปืนคนหนึ่งหันมามองเพื่อนมันยิ้มพยักหน้าตรงแผนที่จะเก็บสาวๆพอดี จันจิราหันมาถามสาวๆ
“มีใครไปมั่ง รอปั๊มไม่รู้จะถึงเมื่อไหร่นะ”
สาวๆต่างมองหน้ากัน
“ไปก็ได้ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มาพวกเราไปด้วยกัน”
สาวๆต่างลงจากรถพวกมือปืนต่างมองหน้ากัน ไผ่ทำเฉย มือปืนคนหนึ่งมองหน้าพวกมันพยักหน้าส่งซิก จันจิราพาพวกสาวๆเดินออกเข้าไปในสวนข้างทาง ไผ่ค่อยๆเลื่อนมือไปที่เอวทางด้านหลังเตรียมพร้อม
ดาวนั่งสมาธิอยู่บนเตียงในห้องพักของตน เห็นภาพสายลมกำลังบินบนท้องฟ้าสายตาของลมเห็นเป็นป่าเขาลำเนาไพรแล้วกลายเป็นตึกสูงในกรุงเทพดาวหลับตานิ่ง
อภิชาติขับรถพุ่งไปที่ประตูใหญ่ แล้วจอดพรืดตรงประตูใหญ่
“ฉันเอง”
งิ้วดีดตัวลงไปจากรถตรงไปที่ประตู พวกมือปืนขยับตัว จักจั่นตะโกนลั่น
“ทุกคนอยู่กับที่”
พวกมือปืนต่างหยุด
“ทิ้งปืนให้หมด”
พวกมือปืนทิ้งปืน
“นายโจ นายมากับฉัน”
จักจั่นลากโจออกไปพร้อมปืนจ่ออยู่ที่โจ ค่อยๆถอยไปที่รถตู้ งิ้วหันไปที่ประตูใหญ่ ยิงเปรี้ยงๆกุญแจที่คล้องอยู่ขาดกระเด็น จักจั่นลากโจเข้ามา อภิชาติโดลงมาจากรถใช้มือปล่อยพลังดันออกไป ประตูเปิดออก “สาวๆ เร็วเข้า”
งิ้วอ้อมไปขึ้นรถทางด้านหน้า
“แล้วเจอกันใหม่ นายโจ”
จักจั่นตบด้วยหลังปืนโจกระเด็นออกไปทรุดที่พื้น
“ไปได้”
รถตู้พรวดออกไป จักจั่นพุ่งตัวเข้าไปในรถ โจดีดตัวขึ้นมาตวัดปืนมาจากด้านหลัง ยิงสาดตามเสียงปืนดังสนั่นเปรี้ยงๆๆแต่ช้าไปรถตู้วิ่งพ้นประตูออกไปแล้ว พวกมือปืนวิ่งมาถึง
“รีบตามพวกมันไป”
พวกมือปืนโบกมือเรียกรถตู้สองคันเข้ามาจอดพรืดๆ พวกมันโดดขึ้นรถ แล้วพรวดตามออกไป โจมองตามเสียอารมณ์
เส้นทางไปบ้านมะกรูด...จันจิรากับสาวๆเดินลึกเข้าไปในสวน
“ไปอีกหน่อยดีกว่า เดี๋ยวพวกนั้นแอบดู”
สาวๆต่างหัวเราะขำแล้วเดินเกาะกลุ่มกันไประยะหนึ่ง
“ทุกคนฟังให้ดี...พวกมันจะฆ่าเราปิดปาก ทุกคนต้องตามฉันเข้าไปในสวนให้เร็วที่สุด”
สาวคนหนึ่งไม่เชื่อ
“บ้าน่า”
พวกมือปืนจ้องอยู่ หันไปสั่งพรรพวก
“พวกเอ็งตามไปจัดการให้เรียบร้อย”
มือปืนสองคนเดินตามกลุ่มสาวๆไป มือปืนอีกคนหันไปมาไม่เห็นไผ่
“เฮ้ย ไอ้นั่นมันหายไปไหนแล้วว๊ะ”
คนขับหันมาบอก
“สงสัยไปฉี่ในสวน”
ในสวน...จันจิรา มองหน้าหญิงสาวที่ไม่ยอมเชื่อ
“เธอไม่เชื่อก็ตามใจ ใครเชื่อก็ตามฉันมา”
สาวอีกคนหันไปเห็นมือปืนเดินมา
“พวกมันเดินมาแล้ว”
ทันใดนั้น จันจิราวิ่งพรวดเข้าไปในสวน สาวๆที่เหลือต่างร้องกรี๊ดกร๊าดแล้ววิ่งตามจันจิราไปเหลือแต่ สาวที่ไม่เชื่อยืนอยู่จนมือปืนสองคนเดินเข้ามาถึง
“พวกนั้นบ้าไปแล้ว ยัยนั่นบอกว่าพวกพี่จะปิดปากพวกฉัน”
มือปืนตวัดปืนออกมายิงเปรี้ยงๆๆๆ สาวคนนั้นล้มทรุดไป มือปืนหันมาถามเพื่อน
“พวกมันรู้ได้ยังไง”
มือปืนทั้งสองรีบวิ่งตามพวกจันจิราเข้าไปในสวนทึบข้างทางอย่างรวดเร็ว
รถของอภิชาติวิ่งผ่านไป จักจั่นคอยดูแลอยู่ พลางมองไปทางด้านหลังเห็นรถตู้พวกมันไล่ใกล้เข้ามา
“ฮันนี เร่งอีกหน่อยก็ดีนะคะ”
“เร่งเต็มที่แล้ว ดาร์ลิ่ง”
งิ้วประชด
“เฮ้อ...หวานกันจริง”
ทันใดรถตู้พวกมันจี้ติด มือปืนโผล่มายิงกราด เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว
“ไอ้พวกบ้านี่ตื๊อน่าดู”
อภิชาติเร่งรถขึ้นไปแต่แล้วทันใดนั้น ปืนถูกยางรถระเบิดตูม
“ระวัง”
อภิชาติหักเข้าไปในสวนข้างทางอย่างรวดเร็ว รถพุ่งเข้าไปในสวนแล้วจอดสนิทติดพุ่มไม้อยู่
มือปืนอยู่ที่รถตู้ยิ้มกับคนขับ...
“เสียดายว่ะ สวยๆทั้งนั้น น่าจะทำเมียก่อน”
“เจ้านายรู้เอาตายแน่”
พวกมันต่างหัวเราะกัน
จันจิราพาสาวๆวิ่งเข้าไปในสวน
“ทุกคนฟังให้ดี เข้าไปในสวนให้ไกลที่สุด จนกว่าฉันจะเรียก เข้าใจมั๊ย”
ทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่นถูกกิ่งไม้กระจุยกระจาย สาวๆร้องเสียงดัง
“ไปเร็วเข้า แล้วไม่ต้องกรี๊ดมากนัก”
สาวๆออกวิ่ง เสียงปืนดังเข้ามาอีกร่างของมือปืนใกล้เข้ามา จันจิราพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้ มือปืนสองคนวิ่งเข้ามา กราดสายตามอง มันตวัดปืนเข้าใส่ร่างหนึ่งที่เดินออกมาจากพุ่มไม้ เป็นไผ่นั่นเอง ไผ่แกล้งรูดซิ๊ป “โหพี่ ยิงกระต่ายดังสนั่นแบบนี้ เกือบฉี่ไม่ออก”
“เฮ้ย พวกผู้หญิงหนีไปหมดแล้ว”
“เห็นวิ่งไปทางโน้นแน่ะพี่”
“เอ็งกลับไปรอที่รถ”
“ได้พี่”
มือปืนสองคนวิ่งตามพวกผู้หญิงเข้าไปในสวน ไผ่มองตาม
รถของพวกมือปืนสองคันเข้ามาจอดห่างจากรถตู้ที่เอียงติดพุ่มไม้อยู่ พวกมันนับสิบกรูลงมาจากรถ แล้วเคลื่อนตัวเข้าหารถ สาดกระสุนเข้าที่รถเสียงดังสนั่นหวั่นไหว อึดใจพวกมันกรูกันเข้าไปพบแต่ความว่างเปล่า
จักจั่นกับงิ้ววิ่งเข้าไปในสวน มีอภิชาติคอยระวังหลัง แล้วต่างหลบเข้าหลังพุ่มไม้ใหญ่ พวกมือปืนนับสิบๆล้อมตีวงเข้ามา กราดกระสุนเข้ามาราวกับห่าฝน ทั้งสามต่างหลบกระสุนปืนเฉี่ยวร่างไปอย่างน่าหวาดเสียว
“ผมมีกระสุนเหลือแค่ 2 นัด”
“จักจั่นเหลือ 3”
“ฉัน เหลือ 2”
จักจั่นเพ่งมองมือปืน
“ถึงโดนทุกลูก พวกมันก็ยังเหลืออีกเป็นสิบเราคงฝ่าดงกระสุนออกไปได้ยาก”
งิ้วหันมาถาม
“คุณสองคนใช้พลังนางเสือฝ่าออกไปไม่ได้เหรอ”
จักจั่นหน้าเครียด
“ได้...แต่คุณอาจไม่รอด”
งิ้วชะงัก
“อ้อ...เฮ่”
ท่ามกลางดงกระสุนปืนที่ดังสนั่นหวั่นไหว...ทันใดนั้นเสียงสายลมร้องก้อง จักจั่นรู้ได้ทันที
“พี่ดาว”
ทันใดนั้นร่างของดาวในชุดนางเสือ พุ่งจากยอดไม้ ลงมาท่ามกลางพวกมัน ปืนในมือสาดกระสุนเข้าใส่พวกมัน ล้มระเนระนาด พวกมือปืนที่เหลือหันมายิงสาดเข้าหาดาว...ดาวแวบไปยิงไป เสียงสายลมร้องก้องอีกครั้ง อีกร่างหนึ่ง ร่อนลงมาสาดกระสุนใส่พวกมันจนแตกกระจายไม่เป็นขบวน เป็นฤทธิชัยที่ใส่หน้ากากนางเสือนั่นเอง จักจั่นชะงักอึ้ง
“คุณหนึ่ง”
ฤทธิชัยแวบไปมาทั้งยิงทั้งโผล่ไปสู้ประชิดตัว
“แบบนี้ต้องขอแจมด้วยคน”
ขาดคำงิ้วก็พุ่งออกไปยิงเปรี้ยงๆสองนัดถูกพวกมันทรุดไปสอง แต่แล้วก็ต้องพุ่งตัวกลับเข้ามาแทบไม่ทันเมื่อถูกพวกมันกราดกระสุนกลับมา จักจั่นยิ้มขำ
“หนุกมั๊ยล่ะ”
ทันใดนั้นร่างของดาวแวบเข้ามา
“สาวๆอย่ามัวแต่เล่นกันอยู่ไปกันได้แล้ว”
ทางด้านจันจิรานั้น...มือปืน 2 คนวิ่งเข้ามาสายตากราดไปทั่ว มันเห็นความเคลื่อนไหว คนหนึ่ง ส่งซิกให้พวกมันอ้อมไปอีกด้าน มือปืนคนหนึ่ง เดินเข้ามาในพงไม้ ทันใดนั้นร่างของจันจิราลอยลงมาจากด้านบนลงมาที่ด้านหลังของมัน
“ไงพี่”
มือปืนหันขวับตวัดปืนเข้าใส่ จันจิราคว้าข้อมือมันปล่อยหมัดเข้าปลายคางของมือปืนจนร่วงลงไป หญิงสาวหันกลับมาเหนี่ยวไกยิงมือปืนอีกคนที่โผล่เข้ามาเปรี้ยง ๆๆๆ มันทรุดลงตาย จันจิรายิ้มเยือกเย็น ตวัดปืนมาอีกทางหนึ่ง ร่างของไผ่ยืนอยู่
“เก่งมาก ไปตามพวกสาวๆมา พี่จะไปรอที่รถ”
จันจิรายิ้มแกล้งล้อ
“เยส...เซ่อร์”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน
เส้นทางไปบ้านมะกรูด...คนขับ กับ มือปืนยืนรอพรรคพวกอยู่ตรงรถตู้ที่จอดอยู่ คนขับยิ้มพอใจ
“เสียงปืนเงียบไปแล้ว ฉันว่าทุกอย่างเรียบร้อย”
ทันใดนั้นเสียงไผ่ดังขึ้น
“สงสัยว่ามือปืนของพี่จะเดี้ยงกันหมด”
สองคนหันมาเจอไผ่ยืนยิ้มอยู่ มือปืนถามอย่างสงสัย
“เอ็งรู้ได้ยังไง”
“ก็ผมเห็นมากับตา”
มือปืนกับคนขับรถมองหน้ากัน ทันใดนั้นมันตวัดปืนขึ้นมาเข้าใส่ไผ่แต่ร่างของไผ่แวบมาตรงหน้ามันสองคน ตบซ้ายขวาสองสามชุด พวกมันทรุดแน่นิ่ง จันจิรากับสาวๆวิ่งออกมาจากสวนพอดี ไผ่หันไปถาม
“ทุกคนชิ้งฉ่องเรียบร้อยแล้วนะครับ”
จันจิรายิ้ม...สาวๆไม่ตอบต่างฝืนยิ้มหัวยุ่งเหยิง
ไผ่ขับรถตู้พาพวกผู้หญิงมาส่งตำรวจที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง...ตำรวจทำความเคารพ ไผ่ยิ้มรับ
“ฝากพวกสาวๆด้วยนะครับ”
“ผมจะจัดการส่งทุกคนกลับบ้านให้เรียบร้อยครับ”
จันจิราหันไปกำชับสาวๆ
“ทุกคนบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เป็นการปล้นเท่านั้น เข้าใจมั๊ย”
สาวๆพยักหน้า
“แล้วอยู่เงียบๆซักพัก จนกว่าพี่จะติดต่อไปเงินที่ได้มาน่าจะพอ อย่าออกมาซ่า ไม่ยังงั้นพวกมันตามเจอแน่ ขอให้โชคดี”
สาวๆพยักหน้า ตำรวจเดินไป
“เชิญครับ”
สาวๆเดินออกไปเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินตามออกไป จันจิรามองตาม ไผ่เดินเข้ามาหาจันจิรา
“น่าเสียดาย เราไม่รู้ว่าพวกมันพาพวกรองรัฐมนตรี ไปไหน”
จันจิราทำไม่รู้ไม่ชี้
“เฮ้อ...เผอิญ จันเอาเครื่องบอกตำแหน่งติดตัวไว้ที่ท่านวีไอพีของจันไว้ซะด้วย”
ไผ่ยิ้มชื่นชม
“เก่งมาก...สุดยอดจริงๆแฟนเรา”
“เรารีบไปกันดีกว่า จันไม่ได้ใส่ยาให้กิน เดี๋ยวฟื้นขึ้นมา จะถูกพวกมันเล่นงานเอา”
“อ้าว แล้วทำยังไงถึงให้หลับไปได้ล่ะ”
จันจิราชูกำปั้นขึ้นมาให้ดู
“โห...หมัดหนักน่าดู”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน
งิ้วอยู่บนเตียงในหน่วยพิเศษ หมอตรวจเสร็จก็เดินออกไป พบจักจั่นที่เดินสวนเข้าไปหางิ้วพอดี
“เป็นไงบ้างคะคุณหมอ”
“เคลียร์หมดแล้วครับ ทั้งแก๊ส ทั้งพิษยา”
จักจั่นยิ้มแล้วเดินเข้าไปหางิ้ว
“ไงจอมซ่า”
“จำได้แว๊บๆว่าพวกมันปล่อยแก๊สเข้ามาทำไมงิ้วถึงรอดมาได้”
“คุณอภิชาติจับเส้นให้ร่างกายคุณหยุดทำงานในช่วงเวลานั้น”
งิ้วยิ้มพยักหน้า
“ดีที่ไม่ลืมจับเส้นให้ฟื้น”
จักจั่นยิ้ม
“พักตามสบาย หายเร็วๆจะได้บู๊กันอีก”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน
รถตู้มาจอดข้างๆอาคารแห่งหนึ่ง ไผ่กับจันจิราลงมาจากรถ กราดสายตาไปตรงทางเข้าอาคารเห็นพวกมือปืนยืนระวังอยู่ 3-4 คน จันจิรายกข้อมือขึ้นดู เห็นจุดแดงกระพริบอยู่ตรงหน้าปัทม์ของเครื่องจับตำแหน่ง
“เป้าหมาย 100 เมตรตรงหน้า”
“สุภาพสตรีก่อนเลยครับ”
จันจิรายิ้มแล้วนำออกไป ไผ่ตามไป...พวกมือปืน 3 คนที่ยืนตรงหน้าอาคารเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น จันจิรายังอยู่ ในชุดสวยเดินเข้ามาหา พวกมือปืนต่างยกปืนขึ้นระวัง คนหนึ่งเดินออกมาประจันหน้า
“เขตหวงห้าม”
จันจิรายิ้มหวาน
“รู้แล้วจ้ะ ขอโทษนะจ๊ะ”
จันจิราตบเปรี้ยงมันเซ อีกสองคนขยับปืน แต่ไผ่แวบมาตรงกลางกลุ่ม เกิดการต่อสู้ประชิดตัว จันจิราตบไอ้คนแรก ลงไปนอน ไผ่ หมุนจระเข้ฟาดหาง พวกมันสองคนกระเด็นตามแรงเท้าทรุดนิ่งสนิท จันจิรากับไผ่ต่างพยักหน้าให้กัน ทันใดนั้นทั้งสองเอามือผ่านหน้าตัวเองเลยไปตลอดร่าง กลายเป็นชุดนางเสือใส่หน้ากากเรียบร้อย
อ่านต่อหน้า 3
ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 10 (ต่อ)
ในห้องปฏิบัติการ...ดาวหันมาบอกกับอภิชาติ
“คุณนพติดตามพวกคุณสามคนไม่ได้ ดาวเลยชวนคุณหนึ่งมา ต้องให้สายลมช่วยถึงได้เจอ”
“ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวก่อน...นายหนึ่งมาอยู่ที่นี่นางงูจะไม่ตามมาเหรอ”
“ตราบใดที่พวกเราอยู่พร้อมกันสองคนขึ้นไปก็พอมีทางสู้ทางหนี แต่ถ้าคนเดียวต้องหนีก่อน”
“เป็นคำแนะนำที่ล้ำค่า”
ทั้งหมดต่างอดยิ้มกันไม่ได้ ฤทธิชัยถามอย่างสงสัย
“ตามรายงานของนายพวกมันจะหาคนมาแทนพวกรัฐมนตรีอย่างนั้นเหรอ”
อภิชาติพยักหน้า
“ใช่ ด้วยการทำศัลยกรรม...แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจ”
ดาวแปลกใจ
“ทำไมคะ”
“ตอนที่หนีออกมา พบหลักฐานว่าพวกมันมีแฟ้มของพวกรองรัฐมนตรีด้วยเหมือนกัน”
ดาวกับฤทธิชัยต่างมองหน้ากันคาดไม่ถึง ดาวครุ่นคิดสงสัย
“พวกมันคิดจะเปลี่ยนคนของทางการทั้งรัฐมนตรีแล้วก็รองรัฐมนตรีด้วยหรือไง”
“ตามที่นายชาติบอก ดูเหมือนจะเป็นยังงั้น”
ทั้งสามต่างมองหน้ากันอย่างครุ่นคิด...เสียงเคาะประตูดังขึ้น นพเดินเข้ามา
“พวกหมอในงานสัมมนาหายตัวไปอย่างลึกลับ กำลังให้ทีมงานติดตามอยู่ครับ”
อภิชาติหนักใจ
“ผมว่าเราช้ากว่าพวกมันซะแล้ว”
ทั้งสามต่างมองหน้ากัน ทุกคนรู้ว่าเผชิญกับศัตรูที่ฉลาดเกินคาด
ภายในอาคารลึกลับ...ไผ่กับจันจิราในชุดนางเสือเคลื่อนตัวไปตามทางเดินของตึกร้าง จนกระทั่งไปถึงห้องหนึ่งที่ประตูเปิดอยู่ จันจิรายกข้อมือขึ้นดูเห็นจุดแดงกระพริบถี่ยิบ เธอชี้มือเข้าไปด้านใน
ทั้งสองเคลื่อนตัวเข้าไป แต่แล้วก็ต้องแปลกใจ เพราะตรงหน้าเป็นห้องเล็กๆ มีถังกลมใส่เสื้อผ้าถมอยู่ จักจั่นยกข้อมือขึ้นดู เห็นไฟแดงกระพริบวิบๆถี่ยิบ จันจิรามองทีข้อมือแล้วเดินเข้าไปใกล้ถังเสื้อผ้าแล้วหยิบเสื้อนอกขึ้นมาตัวหนึ่งเอามือล้วงเข้าไปแล้วดึงขึ้นมา เป็นเครื่องบอกตำแหน่งที่จันจิราใส่ไว้ในกระเป๋าของวีไอพีที่ตัวเองดูแล
“เครื่องบอกตำแหน่งที่จันแอบใส่ให้วีไอพี อยู่แต่เสื้อคนไม่อยู่”
“เราต้องรีบแล้ว”
ไผ่และจันจิรากราดปืนไปข้างหน้าเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมาถึงหน้าห้องหนึ่งเป็นประตูบานใหญ่เหมือนประตูห้องยิม ไผ่ยกมือให้จันหยุด แล้วตัวเองนำเข้าไปก่อน จันจิราตามเข้าไป ทั้งสองถึงอึ้งเมื่อพบว่ามันเป็นห้องขนาดใหญ่เหมือนโรงยิม มีเตียงสูงติดล้อตั้งอยู่เป็นแถว 2 แถว แถวละ 5 เตียง บนเตียงมีร่างของผู้ชายนอนอยู่ทั้งสองเคลื่อนตัวเข้าไปดูใกล้ๆ จันจิราจำได้
“พวก วีไอพี”
ไผ่ชะงัก
“พวกรองรัฐมนตรี”
“ตายหมดแล้ว”
ทันใดนั้นไผ่ก็รู้สึกได้
“มีคนมา”
ขบวนรถของ รัฐมนตรีกลาโหม ผบ.ทบ. ผบ.ทอ. ผบ.ทร. พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ นำขบวนนับสิบสองคันนำและปิดท้ายไปยังค่ายธนรัตน์ เพื่อร่วมงานการประชุมการซ้อมรบร่วมระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาพร้อมกับการเปิดตัวอาวุธนำสมัยล่าสุดจากสหรัฐอเมริกา แต่แล้วขบวนเจ้าหน้าที่คุ้มกันด้านหน้าก็หยุดพรืด เพราะตรงหน้ามีร่างของนาคียืนอยู่กลางถนนขวางขบวนอยู่ เจ้าหน้าที่นับสิบโดดลงจากรถกระจายกำลังขวางไว้
“ทุกคนคุ้มกันขบวน”
เจ้าหน้าที่ทุกคนจ้องนาคีตาไม่กระพริบ ปืนในมืออยู่ในท่าพร้อมยิง นาคีจ้องสีหน้าเยือกเย็น...เจ้าหน้าทีทุกคนประทับปืนพร้อมยิง หัวหน้าหน่วยคุ้มกันตะโกนบอกนาคี
“อีกก้าวเดียวท่านจะถูกสังหาร”
นาคีหน้าตาเย็นชาก้าวเข้ามาผมบนหัวเป็นงูขยับไปมา หัวหน้าหน่วงสั่งการทันที
“ยิง”
เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว แต่นาคีเหมือนไม่สะเทือน ทันใดนั้นก็ตวัดมือขึ้นมาปืนปรากฏอยู่ในมือ
ทั้งสองข้างยิงสาดออกไปที่ไหนมีเจ้าหน้าที่ล้มที่นั่น แล้วแวบเข้ามาโผล่ตรงหน้าของพวกเจ้าหน้าที่ทั้งยิงทั่งตบด้วยฝ่ามือ เจ้าหน้าที่กระจายไม่เป็นขบวน
ทันใดนั้นขบวนรถตู้ของรัฐมนตรีและ ผบ. ทั้งสามเหล่าทัพถอยพรืดออกไปจากขบวนอย่างรวดเร็ว นาคีหันขวับไปมองขบวนที่ถอยแล้วแวบไปมาลงมือสังหารอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ล้มเป็นใบไม้ร่วง นาคีสะบัดมือออกไป ปืนกลของเจ้าหน้าที่ก็ติดมือขึ้นมา นาคีแวบออกไปแล้วสาดกระสุนใส่ที่ขบวนรถตู้ที่ถอยออกไป กระสุนวิ่งเข้าใส่รถตู้จนพรุนขบวนรถนิ่งสนิท นาคีหน้าตาเย็นชางูบนหัวส่ายไปมา
ภาพข่าวปรากฏที่จอทีวี เป็นภาของรถที่พรุนด้วยรอยกระสุนร่างของเจ้าหน้าที่คุ้มกันนอนระเกะระกะ กำจร รายงานข่าว
“รัฐมนตรีกลาโหม และ ผ.บ.ทั้งสามเหล่าทัพ ขณะเดินทางไปประชุมการซ้อมรบระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ถูกซุ่มโจมตีอย่างหนักกำลังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอาการบาดเจ็บยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าสาหัสแค่ไหน”
ภาพในจอทีวีเป็นภาพของศักดา
“เราได้เบาะแสว่าเหตุการณ์ที่โหดเหี้ยมครั้งนี้ เป็นฝีมือของผู้หญิงซึ่งจะเป็นใครไม่ได้นอกจากพวกนางเสือขณะนี้ทางการได้ตั้งรางวัลนำจับพวกนางเสือแล้วเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท”
กำจรรายงานข่าวต่อ
“ครับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ สร้างความตื่นตระหนกให้กับสังคมไทยอย่างใหญ่หลวงอะไรกำลังเกิดขึ้นกับบ้านเมืองของเรากันแน่ผมกำจร แสงรุ่งเรือง รายงาน”
ฤทธิชัย จักจั่น อภิชาติ ดาว ดูการรายงานข่าวในทีอยู่ด้วยกัน จักจั่นโมโหมาก
“บ้าที่สุด ต้องเป็นนางงูบ้านั่นแน่ๆ”
ฤทธิชัยครุ่นคิด
“มันทำไมถึงคิดกำจัดพวกรัฐมนตรีทั้งๆที่มันมีแผนที่จะส่งคนเข้าไปแทนอยู่แล้ว”
อภิชาติหน้าเครียด
“ฉันว่าเราคาดการผิดบางอย่าง”
ทุกคนหันมามองอภิชาติ
“ลองคิดดูซิว่า ถ้ารัฐมนตรีไม่สามารถปฏิบัติการได้อะไรจะเกิดขึ้น”
ดาวโพล่งออกมา
“รองรัฐมนตรีปฏิบัติการแทน”
อภิชาติเซ็งๆ
“เราเสียท่าพวกมันเต็มๆ”
จั่นจั่นเคร่งเครียด
“เรามัวแต่ตามระวังดูพวกรัฐมนตรี ในขณะที่พวกมันดำเนินการเปลี่ยนตัวพวกรองรัฐมนตรี”
ทุกคนต่างมองกันคาดไม่ถึง
ประตูห้องเปิดออก มีชายสองคนในชุดเสื้อคลุมยาวสีขาวเดินเข้ามา พร้อมกับชายฉกรรจ์อีกสองคน ชายเสื้อขาวเดินมาตรวจ ร่างของพวกรัฐมนตรี แล้วชี้ไปที่หนึ่งคน ชายฉกรรจ์มาเข็นร่างของรัฐมนตรีออกไป ชายชุดเสื้อคลุมสีขาวเดินตาม ในที่สุดก็ออกไปทั้งหมด ร่างของไผ่กับจันจิราค่อยๆปรากฏขึ้นรางๆแล้วชัดในที่สุด ทั้งสองใช้วิชาพรางตัว จันจิราสงสัยมาก
“มันจะเอาศพไปทำไม”
“เราตามไปดูดีกว่า”
ทั้งสองเคลื่อนตัวออกไป
ในห้องผ่าตัด...ชายสองคนเข็นร่างของรัฐมนตรีเข้ามา แล้วเอามาจอดไว้ข้างๆเตียงผ่าตัด ที่มีร่างของชายคนหนึ่งอยู่บนเตียงรออยู่แล้ว หมอสองคนเดินเข้ามา ตรวจดูความเรียบร้อย แล้วเดินออกไป อึดใจ ร่างของไผ่กับจันจิราก็เข้ามาในห้อง ทั้งสองเดินไปมองดูที่เตียงของชายทั้งสอง จันจิราถึงกับอึ้งไป
“ที่แท้มันจะผ่าตัดชิ้นส่วนของศพไปทำศัลยกรรม”
“แผนมันร้ายมากมันคิดส่งพวกมันเข้าไปแทนรัฐมนตรีทั้งหมด”
“พวกมันกำลังมา”
ไผ่กับจันจิราพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วเคลื่อนตัวออกมาด้านนอกห้องผ่าตัด ชักปืนกราดไปมาอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นกระสุนปลิวว่อนเข้ามา พวกมือปืนซุ่มยิงล้อมอยู่รอบด้าน ไผ่กับจันจิรา สาดกระสุนโต้กลับไป พวกมันล้มทรุด ส่งเสียงร้อง...ไผ่ กับ จันจิรา เดินกราดกระสุน ใส่พวกมัน แล้วแวบเข้าไปตรงหน้า ทั้งยิงทั้งตบ จนพวกมันล้มทรุดจนหมด
“พวกแกเลวเกินไป ขอให้อย่าได้ผุดเกิดอีกเลย”
ไผ่กับจันจิราเดินออกไป
รูปถ่ายของรองรัฐมนตรีในจอคอมพิวเตอร์ ขึ้นมาทีละรูป จนครบตามที่อภิชาติเห็นที่รังของพวกมัน ฤทธิชัยหันมาถาม
“นี่คือคนที่แกเห็นในรังของพวกมัน”
“เป๊ะทุกคนเลยเพื่อน”
ดาวร้อนใจ
“เราต้องรีบส่งข่าวให้คนพวกนี้รู้ไว้ก่อนที่พวกมันจะเข้าถึงตัว”
นพเดินเข้ามารายงาน
“รายงานล่าสุดพวกรองรัฐมนตรีออกไปต่างจังหวัดตามนโยบายรัฐมนตรีสัญจรพบปะประชาชนครับ”
จักจั่นหน้าตื่น
“แย่แล้ว”
ฤทธิชัยหน้าเครียด
“รีบติดตามให้ได้ว่าตอนนี้รองรัฐมนตรีพวกนั้นอยู่ที่ไหน ด่วนที่สุด”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ดาวรับสายฟังอยู่ครู่หนึ่ง...
“แล้วเจอกันค่ะพี่ไผ่” ดาวหันมาบอกทุกคน “พวกรองรัฐมนตรีที่เราตามหา ทุกคนตายหมดแล้วค่ะ พวกมันกำลังทำศัลยกรรมสร้าง รองรัฐมนตรีคนใหม่ขึ้นมาแทน”
ทุกคนต่างมองหน้ากันหน้าตาเคร่งเครียด
รถของไผ่เข้ามาจอดที่สถานีอนามัย ไผ่เดินมาส่งจันจิรา...
“ฝากสวัสดีป้าเนียนด้วยนะจ๊ะ”
“เลยไม่ได้พังบ่อนพวกมันเลย”
ไผ่ยิ้ม
“เอาไว้วันหลัง”
“บ๊ายบายค่ะ”
จันจิราเดินเข้าไปในสถานีอนามัย ไผ่ขึ้นรถขับออกไป
จันจิราเดินเข้าไป พยาบาลผู้ช่วยคนหนึ่ง เข้ามาหาอย่างตื่นเต้น
“คุณจันจิราคะ ป้าเนียนถูกจับ”
จันจิราตกใจ
“หา...ใครจับ”
“ตำรวจจับค่ะ ข้อหารับของโจรค่ะ”
“ใจเย็นๆ ป้าเนียนไปรับของโจรที่ไหน”
“คือ...คือ...เงินของนางเสือน่ะค่ะ”
จันจิราสีหน้าเปลี่ยน โกรธ
ฤทธิชัยครุ่นคิดหนักใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น...
“พวกมันส่งรองรัฐมนตรีปลอมเข้าสภา...แล้วก็ เกณฑ์คนจำนวนมาก...แต่ถ้ามันคิดจะยึดประเทศอย่างที่คุณดาวคาด มันตื้นเกินไปต้องมีอะไรมากกว่านี้”
“จริงของนาย...มีบางอย่างที่ยังไม่ลงตัว”
“เดี๋ยว ดาวนึกออกแล้ว”
ทั้งหมดรวมตัวกันที่ห้องปฏิบัติการ ดาวถือซีดีอยู่ในมือ
“นี่คือคลิปข่าวการโจมตีขบวนรัฐมนตรี ช่วยกันดูหน่อยนะคะ”
ดาวเอาซีดีใส่เครื่องกดเป็นคลิปข่าวปรากฏบนจอทีวี เห็นสภาพรถที่พรุนด้วยรอยกระสุนร่างของเจ้าหน้าที่คุ้มกันนอนระเกะระกะ กำจรกำลังรายงานข่าว
“รัฐมนตรีกลาโหม และ ผ.บ.ทั้งสามเหล่าทัพขณะเดินทางไปประชุมการซ้อมรบระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาถูกซุ่มโจมตีอย่างหนักกำลังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอาการบาดเจ็บยังมีข้อมูลแน่ชัดว่าสาหัสแค่ไหน”
ภาพถูกหยุดค้างไว้ ฤทธิชัยครุ่นคิด
“ซ้อมรบ”
ดาวพยักหน้า
“ถูกต้องค่ะ ซ้อมรบระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา”
อภิชาตินึกขึ้นได้
“ที่แท้มันคิดจะปล้นอาวุธที่ใช้ในการซ้อมรบนี่เอง”
ฤทธิชัยเห็นด้วย
“แน่นอน ของครบ ส่งถึงที่ ไม่ต้องขนมาเอง”
ทุกคนต่างพากันอึ้งไปเพราะคาดไม่ถึง
“เราช้าไม่ได้แล้ว” ดาวบอกอย่างกังวล
ฤทธิชัยหันมาบอกอภิชาติ
“ฉันกับคุณดาวจะไปสังเกตการณ์พวกมันที่ชายแดน ทีมนายสามคนอยู่ตามล่านายใหญ่ของมันที่นี่ต่อไป”
“โอเค ทราบแล้วเปลี่ยน”
ทั้งหมดต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด งิ้วก้าวเข้ามาในห้องพอดี
“ขอแจมด้วยคนดี้”
ทุกคนต่างหันไปมองงิ้วเป็นตาเดียว ในที่สุดก็อดยิ้มกันไม่ได้
เย็นนั้น...จันจิราก้าวขึ้นมาที่สถานีตำรวจบ้านดอนเสือ แล้วตรงไปที่ เจ้าหน้าที่เวร
“ดิฉันมาสอบถามเรื่องป้าเนียนค่ะ”
“อ๋อครับ อยู่ในระหว่างการควบคุมตัวครับ”
“ใครเป็นผู้กล่าวหามิทราบ”
“คุณวิวัฒน์ เป็นผู้แจ้งว่า ป้าเนียนรับเงินจากนางเสือ”
“มีหลักฐานอะไรคะ”
“มีผู้ป่วยหลายคนเป็นพยานว่า ป้าเนียนเคยพูดว่ายาและอุปกรณ์พยาบาลหลายชิ้น ได้รับอภินันทนาการจากนางเสือ”
“งั้นดิฉันขอประกันตัว” จันจิรายิ้ม “ด้วยทรัพย์สินของ...”
อภิชาติตรวจบันทึกข้อมูลอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จักจั่นนั่งอยู่ใกล้ๆ
“การซ้อมรบคราวนี้ สหรัฐจะเอาอาวุธรุ่นใหม่ๆ มาแสดงและทดสอบประสิทธิภาพก่อนที่จะมอบให้ทางการไทย”
“พวกมันต้องหาทางชิงแน่ๆ”
งิ้วเดินเข้ามาในห้อง
“เชื่อเลย ไม่มีข่าวรายงานเรื่องศพของรองรัฐมนตรี และร่องรอยอะไรทั้งสิ้น”
อภิชาติพยักหน้า
“แน่นอน ขืนมีข่าว แผนส่งคนของมันเข้าไปแทนก็จบ ตายแล้วจะฟื้นขึ้นมาได้ยังไง”
จักจั่นหน้าเตรียด
“เท่ากับว่าตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้ ต้องรออย่างเดียว”
“ใจเย็นๆ ไอ้นายใหญ่ของมันต้องป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ล่ะ อย่าลืมเอาเครื่องจับสัญญาณแบตเตอรี่หัวใจของมันติดตัวไว้ก็แล้วกัน”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อภิชาติรับสาย
“อะไรนะ”
งิ้วกับจักจั่นมองอภิชาติอย่างสนใจ...เสียงกำจรดังมาจากปลายสาย
“อินเตอร์บิส มีปาร์ตี้ฉลองการได้สัมปทานทั้งหมด ทายซิว่าใครเป็นเจ้าภาพ”
อภิชาติส่งเสียงขู่ใส่โทรศัพท์
“ถ้านายไม่รีบบอกฉันอัดนายแน่”
“นายดำรงคู่แข่งทางธุรกิจของอินเตอร์บิส”
อภิชาติถึงกับนิ่ง คาดไม่ถึง
“นายดำรงจัดปาร์ตี้ให้อินเตอร์บิส ใครสนใจ”
งิ้วยกมือ อภิชาติพยักหน้า
จันจิรากับป้าเนียนก้าวเข้ามาในสถานีอนามัย คนป่วย จำนวนหนึ่งต่างตบมือเฮ ต้อนรับ ป้าเนียนยิ้มกับทุกคน
“นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเล่นไม้นี้”
“ชาวบ้านไม่รู้เรื่อง ถูกลากเอาไปเป็นพยานโดยไม่รู้ตัว”
“ไม่ต้องกลัวหรอกป้าเนียน คุณอภิชาติเป็นทนายเก่งพวกมันทำอะไรเราไม่ได้หรอก”
“ป้าผิดเองที่พูดมากไปหน่อย ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่อง”
“ไม่เป็นเรื่องหรอกค่ะ นายวิวัฒน์คิดอะไรไม่ออกก็หาเรื่องสร้างความรำคาญไปยังงั้นเอง”
แต่แล้วมีหญิงชาวค่ายอาสาเข้ามา
“ป้าเนียน คุณจันคะ เกิดเรื่อง”
“มีอะไรจ๊ะ”
“เจ้าหน้าที่ไปปิดค่ายอาสา แล้วค่ะ บอกว่าบริหารค่ายด้วยเงินของนางเสือ ถือว่าผิดกฎหมาย”
ป้าเนียนหน้าเสีย
“แย่แล้ว หนูดาว คุณหนึ่ง ไผ่ก็ไม่อยู่”
“จันจัดการเอง” จันจิราบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
ในหมู่บ้าน ที่ชายแดน...รถของสัตยาเข้ามาในหมู่บ้าน มีพวกชาวบ้านหญิงและชาย ถูกคุมตัวอยู่ประมาณ 10 คน หนึ่งในนั้นมีสาวหน้าตาดี อยู่คนหนึ่ง สัตยา ลุงเดช แสง และพวกมือปืนลงจากรถ สัตยากราดสายตามองอย่างพอใจ
“พาผู้หญิงคนนั้นมานี่ซิ”
มือปืนสองคนเข้าไปดึงผู้หญิงที่พยายามดิ้น แต่ในที่สุดก็พามาถึงตรงหน้าสัตยาจนได้ ลุงเดชกับแสงต่างลอบสบตากัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“อืม สวยดี เอาตัวไปที่พักของข้า”
แต่แล้วชายชาวบ้านวิ่งออกมาพร้อมกับหญิงชาวบ้าน
“นาย อย่าเอาลูกสาวข้าไปเลย”
แม่หญิงสาวพยายามขอร้อง
“ได้โปรดเถอะจ้า”
สัตยาตวาด
“ถอยไป”
มือปืนคนหนึ่งหันมาเอาพานท้ายปืนตวัดใส่ ผู้เป็นพ่อของหญิงสาวหงายไป อีกคนหนึ่งลากตัวของแม่ออกไป พ่อตะเกียกตะกายเข้ามาหาสัตยา
“นาย ปล่อยลูกสาวข้าเถอะ”
สัตยาตวัดปืนออกมาส่อง
“ไอ้แก่ ถ้าไม่ถอยไปตายแน่”
พ่อยกมือไหว้ แต่แล้วก็มองมาทางลุงเดช กับ แสง
“ลุงเดช...ลุงเดช...ฉันเอง...ช่วยฉันด้วย ลุงเดช”
สัตยาหันมาทางลุงเดชกับแสงอย่างแปลกใจ ลุงเดชจ้องสีหน้านิ่งเฉย
“เอ็งรู้จัก ไอ้เดชด้วยเหรอ”
“ข้ารู้จัก ลุงเดช บ้านดอนเสือ”
ทันใดนั้นสัตยาหันปืนมาทางลุงเดช พวกมือปืนที่อยู่ข้างๆต่างหันปืนมาทางลุงเดช กับ แสง เป็นจุดเดียว ลุงเดชกับแสงจ้องกราดสายมองสัตยาสีหน้าเยือกเย็น
ลุงเดชและแสงถูกมัดอยู่กับเสาติดข้างหุบเขา ลุงเดช ถูกหมัดของสัตยาหน้าหันไป ริมฝีปากมีเลือดซึม แสงเองก็มีใบหน้าช้ำ แสงมองสัตยาด้วยความแค้นใจ
“เอ็งสองคนนี่เอง ที่เป็นสายให้ฤทธิชัยกับนางดาวเข้ามาถล่มค่ายของเรา”
ลุงเดชยิ้ม
“วันของเอ็งใกล้เข้ามาแล้ว”
สัตยาตบเปรี้ยงอีกครั้ง
“วันของพวกเอ็งมาก่อนข้าแน่นอน เฝ้าพวกมันไว้ให้ดี อาจจะมีประโยชน์ก็ได้”
สัตยาเดินออกไป ลุงเดชกับแสงต่างมองหน้ากัน พยักหน้าให้กัน อย่างเยือกเย็นไม่หวั่นไหว
สมพร เม่งจูและอาตง นั่งอยู่ตรงลานหน้าบ้าน ร่างของไผ่ปรากฏพร้อมถุงขนม เด็กๆต่างเฮวิ่งเข้าไปหา ไผ่ส่งขนมให้ แล้วอุ้มเด็กไว้ในวงแขนคนละข้างเดินเข้ามาหา
“หวัดดีจ้ะแม่ สบายดีนะครับ”
“ไม่คอยสบายเท่าไหร่ ใจคอไม่ดีเลย เป็นห่วงพ่อแสง”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ พ่อกับลุงเดช เจ๋งอยู่แล้ว”
ทันใดนั้นเสียงสายลมดังก้องขึ้นบนท้องฟ้า ไผ่กราดสายตามอง สมพรกังวล
“แม่ว่าลูกไปดูพ่อแสง กับ ลุงเดช ซะหน่อยจะดีกว่า”
ไผ่ยิ้ม
“ก็ได้จ้ะ แม่จะได้สบายใจ เด็กๆแล้วพี่ไผ่จะมาใหม่นะ บ๊าย บาย”
เด็กทั้งสองโบกมือให้
“บ๊าย บาย”
ไผ่ลุกขึ้น
“ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะแม่ ไผ่อยู่ทั้งคน”
สมพรยิ้ม ไผ่เดินออกไป สมพรมองตามหน้าไม่ค่อยดี เสียงสายลมร้องก้องอยู่บนท้องฟ้า
สมพรแหงนหน้าขึ้นมอง สงสัย
ไผ่เดินพ้นออกมาจากบริเวณบ้าน เสียงสายลมร้องก้อง ไผ่แหงนหน้าขึ้นมองแล้วพึมพำออกมา
“พ่อแสง ลุงเดช”
ไผ่ออกวิ่งแลัวพุ่งตัวขึ้นไปบนยอดไม้ แล้วพุ่งต่อหายไปในแนวไม้อย่างรวดเร็ว
ชาวบ้านอาสา ยืนเรียงกันเป็นสิบ ตรงหน้าคือเจ้าหน้าที่นับสิบ ยืนพร้อมเพื่อจะเข้าไปปิดค่ายอาสา จันจิราเดินเข้ามากับหญิงชาวค่ายที่ไปหาที่สถานีอนามัย ตรงไปที่เจ้าหน้าที่
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ”
“ทางการให้มาปิดค่ายครับ เพราะรับเงินสนับสนุนจากนางเสือ”
“ค่ายนี้ตั้งขึ้นโดยท่าน อิทธิ อดีตเจ้าหน้าที่รักษาป่าไม้ คุณดาวลูกสาวท่านอิทธิเป็นคนสานต่อ พวกที่จะปิดค่ายนี้ คือพวกทุจริตคิดทำลายป่าเท่านั้น”
“เรามีหมายมาจับตัวคุณดาวกับคุณฤทธิชัยด้วยครับ”
จันจิราถึงกับอึ้งไป
ลุงเดช และ แสง ถูกมัดอยู่กับเสาอย่างอ่อนระโหย ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงสายลมร้องก้อง ลุงเดช กับ แสงค่อยๆลืมตาขึ้นมา ทันใดนั้นมีน้ำสาดโครมมาบนใบหน้าทั้งสองคน ลุงเดชกับแสงเพ่งมอง เห็นไผ่ยืนตรงหน้าด้านหลังเป็นพวกมือปืน 4-5 คนยืนอยู่พวกมันต่างหัวเราะ
“ไง น้า ฉันไม่อยู่แป๊บเดียว...ซ่าจนได้เรื่อง”
พวกมือปืนหัวเราะกันอีก หัวหน้ามือปืนคนใหม่ก้าวเข้ามา
“พวกเอ็งทำอะไรกันวะ”
“ก็แค่เล่นหนุกๆ”
“ถอยไปให้หมด เจ้านายสั่งไว้ห้ามใครยุ่งห้ามให้น้ำ ให้อาหาร ใครฝ่าฝืนตาย”
ไผ่สบตาลุงเดชกับแสงอึดใจ
“ไปก็ได้”
ไผ่เดินออกไป พวกมือปืนเดินตาม หัวเราะกันงึมงำ หัวหน้ามือปืนหันมองลุงเดช กับ แสง ยิ้มเยาะแล้วเดินออกไป ลุงเดชยิ้ม
“ไผ่มันแกล้งเอาน้ำมาสาดให้ ค่อยหายร้อนหน่อย”
“ลูกฉันฉลาดเหมือนพ่อมัน”
ลุงเดชเหล่ แสงยิ้มอย่างภูมิใจ
จันจิราสายตาเคร่งเครียดจ้องเจ้าหน้าที่อย่างเอาเรื่อง
“ผมแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นครับ กรุณาให้ชาวอาสาหลีกทางด้วยครับ เราไม่อยากใช้ความรุนแรง”
ทันใดนั้นเสียงสายลมร้องก้อง เสียงสายฟ้าคำราม พวกชาวอาสาต่างเฮ
“นางเสือมาแล้ว”
พวกเจ้าหน้าที่ต่างขยับตัวสายตากราดไปรอบๆ ปืนในมือกราดไปมาอย่างระมัดระวัง จันจิราหันไปตะคอก
“ยังไม่รีบไปอีก เป็นอะไรไปอย่ามาโทษชาวบ้านก็แล้วกัน”
หัวหน้าสั่งการดังลั่น
“ทุกคนพร้อมเตรียมจับนางเสือ”
เจ้าหน้าที่ต่างขยับไปมา หัวหน้าขยับปืนในมือ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตาเหลือก ในเมื่อปืนที่พกอยู่กับเอวเหมือนถูกดึงลอยขึ้นมา แล้วส่องที่ใบหน้าของเจ้าหน้าที่ เสียงชาวบ้านส่งเสียงอี้ออิง เจ้าหน้าที่ต่างขยับตัว จันจิราอุทานเบาๆ
“พี่ดาว”
จันจิรากราดมองไปทั่ว หัวหน้ายืนนิ่งไม่กล้าขยับ เจ้าหน้าที่คนอื่นทำอะไรไม่ถูก ทันใดนั้นปืนยาวในมือของเจ้าหน้าที่ก็ถูกดึงหลุดจากมือ กราดไปที่เจ้าหน้าที่ทุกคน ชาวบ้านต่างยกมือไหว้ด้วยความตื่นเต้น หัวหน้าค่อยๆยกมือขึ้นโบก เจ้าหน้าที่ค่อยๆถอยห่างออกไป ปืนสั้น กับ ปืนยาว ลอยตามไป จนพวกเจ้าหน้าที่รีบเผ่นขึ้นรถจิ๊ป ปืนสั้นและปืนยาวพุ่งไปเข้าไปในรถต่างรีบคว้าไว้วุ่นวาย ในที่สุดขบวนรถเจ้าหน้าที่พรวดออกไป เสียงชาวบ้านต่างเฮ จันจิรายิ้มอย่างสะใจ ดาวกับฤทธิชัยซุ่มมองอย่างพอใจ
“ท่านรองศักดิ์ คิดยืมมือกฎหมายมาเล่นงานเรา”
ฤทธิชัยแค้นๆ
“ว่างๆต้องให้นายชาติไปเยี่ยมตักเตือนซะหน่อย”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กัน
อ่านต่อหน้า 4
ป่านางเสือ 2 ตอนที่ 10 (ต่อ)
ยามค่ำคืนของโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ภายในห้องวีไอพี มีโต๊ะกินข้าวจัดไว้สำหรับ 4 คน มีพวกพนักงานโรงแรม ยืนคอยบริการอยู่ โจ เดินเข้ามากับศักดา นาคี ในชุดราตรียาวสวยงามคลุมชุดรัดกุมพกปืนอยู่ด้านในผมหยิกสลวย พร้อมพวกมือปืน 5 คน ถัดไปคือ ดำรง พร้อมมือปืน 5 คน เดินเข้ามา ดำรงกับโจและศักดาต่างจับมือกัน แล้วนั่งที่เก้าอี้ของตนที่จัดไว้ มือปืนถอยไปยืนด้านหลังของใครของมัน ด้านหน้ามีพวกมือปืนคอยเฝ้าไม่ให้ใครเข้ามา โจยิ้มแย้ม
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ดีใจที่คุณดำรงยินดีมาร่วมงานด้วย โครงการมีเหลือเฟือให้พวกเราแบ่งกันกินได้อย่างสบาย จริงมั๊ยท่านรอง”
ศักดายิ้มรับ
“แน่นอนที่สุด”
ทั้งหมดต่างหัวเราะกันยกเว้นนาคี
“ผมเองก็ต้องขอขอบคุณอินเตอร์บิสที่ให้โอกาสผม”
ดำรงยกมือมือปืนยกมือส่งสัญญาณ พนักงานสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วหยุดลงที่โต๊ะเล็กๆห่างออกมาจากโต๊ะใหญ่ ซึ่งตั้งถังแช่แชมเปญอยู่ พนักงานสาวหยิบขวดแชมเปญ แล้วเดินมาที่โต๊ะรินลงในแก้วของศักดาก่อนแล้วก็หันมารินให้โจ และ ดำรง ตามลำดับ พอจะรินให้นาคี
“ไม่ต้อง”
นาคีพูดอย่างเย็นชา พนักงานสาวหยุดพนักงานสาวคนนั้นคืองิ้วนั่นเอง งิ้วเอาขวดกลับไปไว้ในถังเช่นเดิม ขยับตัวกระซิบกับพนักงานหญิงอีกคนหนึ่งแล้วรีบเดินออกไปด้านนอกเดินตรงไปยังห้องน้ำหญิง...งิ้วเดินมาถึงหน้าห้องน้ำแล้วเข้าไปในห้องน้ำ กราดสายตาตรวจห้องเล็กๆทุกห้องเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดสายอย่างรีบเร่งพลางดึงสร้อยออกมาจากอกเสื้อแล้วมองที่ตัวล็อคเก็ตขนาดเหรียญ10 บาท ซึ่งขณะนี้ไฟสีแดงตรงกลางกระพริบวาบอยู่
“คุณอภิชาติ”
อภิชาติ นั่งอยู่ในรถกับจักจั่น ที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถโรงแรม
“เราจะไปเดี๋ยวนี้”
อภิชาติวางสาย จักจั่นงงๆ
“อะไรคะ”
“คุณงิ้วบอกว่าเครื่องจับสัญญาณแบตเตอรี่หัวใจจับสัญญาณได้ ท่านรองศักดาตัดออกไประหว่างนายโจคนใหม่กับ นายดำรง ต้องมีคนหนึ่งที่เป็นนายใหญ่”
จักจั่นตาโตคาดไม่ถึง
งิ้วเก็บโทรศัพท์ แล้วตวัดมือไปทางด้านหลัง ปืนติดมาอยู่ในมือ กระชากลูกเลื่อนตรวจดูความพร้อมแล้ว ตวัดปืนเก็บไว้ทางด้านหลังเหมือนเดิมตรวจความเรียบร้อยของตัวเอง แล้วเปิดประตูห้องน้ำออกมา สายตากราดไปมาไม่เห็นใครจึงเดินกลับไปยังห้องวีไอพีหน้าเคร่งเครียด แต่แล้วก็ต้องถอยสองก้าวเพราะร่างนาคีปรากฏอยู่ตรงหน้า นาคีจ้องงิ้วตาไม่กระพริบ งิ้วยิ้มให้
“ห้องน้ำอยู่ตรงโน้นค่ะ”
นาคีจ้องมองงิ้วสายตาเยือกเย็น
อภิชาติกับจักจั่นเดินควงกันเข้าไปที่เคาน์เตอร์ บอกกับพนักงานตอนรับสาว
“มางาน ของคุณดำรงค่ะ”
“ค่ะ”
พนักงานสาวหันไปทาง ชายสองคนสวมสูทลักษณะคล้ายบอดี้การ์ดที่ยืนห่างออกไป ชายสองคนรีบเดินเข้ามา
“เอ้อ...คือ คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายมางานของคุณดำรงค่ะ”
จักจั่นกับอภิชาติวางมาดว่าเป็นแขกเต็มฟอร์ม ชายคนนั้นยกข้อมือของตนขึ้นมาแล้วกรอกเสียงลงไป
“มีแขกของคุณดำรง”
ชายอีกคนผายมือให้สองคน
“เชิญตามมาครับ”
ชายคนนั้นเดินนำออกไป จักจั่นกับอภิชาติเดินตามโดยมีชายอีกคนเดินปิดท้าย ทั้งหมดตรงไปที่ลิฟท์ รอจนลิฟท์มา แล้วเดินเข้าไปในลิฟท์ อภิชาติกับจักจั่นต่างยิ้มให้กัน แต่สายตาไม่ยอมละจากชายทั้งสองคน ประตูลิฟท์ปิด
ประตูลิฟท์ชั้น วีไอพีเปิดออก อภิชาติกับจักจั่น หน้าเข้มเมื่อเห็นชายอีกสองคน แต่งตัวเหมือนชาย สองคนแรก ยืนถือปืนส่องมา
“ยกมือขึ้น”
“งานนี้คุณดำรงไม่ได้เชิญแขก”
อภิชาติกับจักจั่นลอบสบตากันพลางยกมือช้าๆ จักจั่นยิ้มกราดตามองพวกมัน
นาคีจ้องมองงิ้วอย่างเยือกเย็น งิ้วยิ้มให้
“ขอตัวก่อนนะคะ”
นาคียืนเฉยอยู่ สายตาเริ่มเป็นประกายดุดัน ทันใดนั้น งิ้วตวัดปืนออกมา ยิงสาดใส่นาคีเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว แต่ร่างนาคีหลบวูบมาโผล่ทางด้านหลัง งิ้วหันกลับมา นาคีตวัดมือตบเปรี้ยงถูกงิ้วกระเด็นกลิ้งไปกับพื้น งิ้วม้วนตัวขึ้นมา ยิงใส่เปรี้ยงๆ นาคียิ้มไม่สะดุ้งสะเทือนเดินเข้ามาหางิ้ว
เสียงปืนดัง ทำให้พวกมันเสียสมาธิ จักจั่นกับอภิชาติพรวดเข้าใส่ ต่างตวัดมือพร้อมกัน มันสองคนกระเด็นไป ทรุดที่พื้นแล้วหันมากระแทกอีกสองคนกระเด็นเข้าไปในลิฟท์ดังโครมมันสองคนทรุด ประตูลิฟท์ปิด
“คุณงิ้ว”
ทั้งสองคนวิ่งข้ามร่างที่สลบนิ่งของบอดี้การ์ดสองคนไป
ดาวยืนอยู่ตรงระเบียงบ้าน เหม่อมองไปข้างหน้า ฤทธิชัยเดินเข้ามากอดเอวจากทางด้านหลัง ดาวยิ้มเอามือจับมือของฤทธิชัยที่กอดเอวอยู่
“คิดเรื่องค่ายอาสาอยู่เหรอจ๊ะ”
“ค่ะ ดาวเป็นห่วงชาวค่ายอาสา วันนี้ถูกพวกมันล้อมดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เกิดวันหลังเราไม่อยู่ล่ะคะ ไหนจะลุงเดช พ่อแสง แม่สมพร ป้าเนียน ทุกคน”
“โอ๋ๆนะจ๊ะ เอางี้ ผมจะรีบปราบไอ้พวกแบล็กอีวิลให้หมดอย่างเร็วที่สุด”
ดาวหันมากอดซบอก
“เก่งมากค่ะ”
“เก่งกว่านางเสือหรือเปล่าครับ”
“อาจจะไม่เก่งกว่านางเสือ แต่ยกให้คุณหนึ่งเก่งกว่าดาวค่ะ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน ดาวซบอกอย่างอบอุ่นใจ
ในหุบเขาชายแดน...มีดวงไฟติดไว้บนยอดหินเหนือหุบเหวที่ลุงเดชและแสงถูกมัดไว้ มือปืนยืนเฝ้าอยู่คนหนึ่ง ลุงเดช กับ แสง กราดตามองไปมาทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบเสียงสายลมร้องก้องในระยะไกล มือปืนกราดสายตามองไปมา แล้วเดินไปนั่งที่โขดหินใกล้ๆ ลุงเดชกับแสงต่างสบตารู้กัน มือปืนดึงขวดเหล้าจากซอกหินที่มันเก็บไว้ออกมา เปิดขวดแล้วยกดื่มแต่แล้วมันก็ตาค้างเพราะมันมองเห็นไผ่ในชุดหน้ากากยืนอยู่ตรงหน้า มันขยับตัวแต่ช้าไป ไผ่ชกโครมมันหงายไป
“สุรามีโทษทำให้หมดสติได้”
ไผ่เดินไปที่ลุงเดชกับแสงตัดเชือกออกทั้งสองคนหลุดเป็นอิสระจากเชือกเล็ก
“ไหวมั๊ยพ่อ”
“เอ็งดูลุงเดชดีกว่า พ่อสบายมาก”
“เอ็งอย่าคุยไอ้แสง”
ทั้งสองคนต่างขยับตัวให้หายจากความเมื่อยขบ ทันใดนั้นเสียงมือปืนคนหนึ่งดังขึ้น
“เฮ้ย”
ลุงเดชกับแสง หันมาก็เห็นมือปืนยืนอยู่ 3 คน แต่ไม่เห็นไผ่แล้ว
“พวกเอ็งคิดจะไปไหน”
ลุงเดชยิ้มๆ
“ข้าว่าจะออกไปเดินเล่นซะหน่อย”
แสงบิดขี้เกียจ
“แก้เมื่อย”
“จับตัวพวกมันไว้”
พวกมันมือปืนขยับตัว แต่แล้วไผ่โผล่มากลางวงของพวกมัน แวบไปมารวดเร็วมาก พวกมันไม่ทันได้ขยับตัว เสียงดัง ตึบๆ พวกมันสามคนทรุดลงไปกองหมด ไผ่หยิบปืนยาวของพวกมันสองกระบอกส่งให้ลุงเดชกับแสงที่รับไว้แล้วกระชากปืนที่เอวของพวกมันอีกสองกระบอกส่งให้ลุงเดชกับแสง
“เจอกันพรุ่งนี้ครับ”
“สายๆก็แล้วกัน พ่อว่าจะนอนให้เต็มอิ่มซะหน่อย”
ไผ่ยิ้มลุงเดชกับแสงเคลื่อนตัวออกไป ไผ่มองตามแล้วพุ่งออกไป
ร่างของงิ้วปลิวกลิ้งไปกับพื้น พยายามดีดตัวลุกขึ้นมา แต่นาคีตามติดยื่นมือคว้าที่คอ งิ้วปัดแล้วชกกลับไปหมัดหนึ่ง นาคีแค่หน้าหันแต่ไม่สะเทือน มือคว้าคอของงิ้วไว้ได้ ยกตัวงิ้วขึ้นสูง งิ้วดิ้นหายใจติดขัด ทันใดนั้น เสียงอภิชาติดังขึ้น
“น้องพี่”
นาคีปล่อยงิ้วลงพื้นหันกลับมาด้วยความตื่นเต้น แต่เป็นอภิชาติที่ยืนอยู่ จักจั่นยิ้มยั่ว
“อะไรคะท่านพี่”
นาคีจ้องทั้งสองสายตาดุดัน จักจั่นเย้ยหยัน
“ขอโทษ...ไม่ใช่ท่านพี่ของเธอแต่เป็นท่านพี่ของฉัน”
นาคีโกรธดีดตัวเข้ามาหาตบโครม อภิชาติกระเด็นไป นาคีหันมาตบจักจั่นแต่ หญิงสาวต้านไว้ได้
เกิดการต่อสู้ประชิดตัวกันอย่างดุเดือด อภิชาติกระเด็นไปทรุดที่พื้นใกล้ๆกับงิ้ว
“คุณงิ้ว นายดำรง”
งิ้วสูดหายใจลึกดีดตัวออกไป อภิชาติดีดตัวขึ้นมา เห็นจักจั่นกำลังต่อสู้กับนาคีและถูกนาคีตบเปรี้ยงร่างของจักจั่นกระเด็นไป อภิชาติเหนี่ยวไกยิงนาคีเปรี้ยงๆๆๆๆๆ นาคีเซหันกลับมาหาอภิชาติพลางบุกเข้าตวัดมือเข้าใส่แต่อภิชาติแวบหายไปซะก่อน นาคีวืดพอดีจักจั่นตั้งตัวได้ยิงใส่นาคีเปรี้ยงๆๆๆ นาคีหันมาทางจักจั่น
“แล้วเจอกัน”
จักจั่นพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว นาคีมองตามสายตาแค้นเคือง
มือปืน 3 คนนำดำรง โจ ศักดา วิ่งกันไปที่ลานจอดรถใต้ดิน ปิดท้ายด้วยมือปืน 2 คน พวกมันพรวดออกประตูไป รถตู้พรวดเข้ามาจอดสองคัน โจ กับ ศักดาขึ้นคันหน้า ดำรงขึ้นคันหลัง พอดีจังหวะประตูโรงแรมเปิดพรวดร่างของงิ้วปลิวออกมา
“เดี๋ยว”
ดำรงหันกลับมาอย่างคาดไม่ถึง มือปืนสองคนยิงใส่ งิ้วพุ่งตัวหลบ ดำรงขึ้นรถไป รถออกพรวดโดยไม่รอ มือปืนของมัน งิ้วดีดตัวขึ้นมา ยิงสาดเปรี้ยงๆๆๆ มือปืนสองคนล้ม งิ้ววิ่งตามรถตู้ไป แล้วยิงสาดตามเสียงปืนดังสนั่น แต่รถตู้พ้นสายตาไปจนได้ งิ้วเสียอารมณ์
ทันใดนั้นไฟหน้ารถสาดมาทางด้านหลัง งิ้วหันกลับไปพร้อมปืนส่อง รถเบรคตรงหน้างิ้ว ปืนในมือพร้อมกระดิกไก ประตูรถด้านหน้าเปิด จักจั่นโผล่ออกมายืนเหล่
“ทำซ่าเดี๋ยวก็ปล่อยให้เดินกลับซะหรอก”
งิ้วยิ้มตวัดปืนเก็บแล้วพรวดมาทางประตูหลัง เข้าไปในรถ จักจั่นกลับเข้าไปในรถ
“ตามไปลากคอนายดำรงกันดีกว่า”
อภิชาติยิ้ม
“ได้เลย”
ทันใดนั้นนาคีแวบโผล่มายืนตรงหน้ารถ
“ระวัง”
อภิชาติพุ่งรถเข้าใส่นาคี รถวิ่งผ่านทะลุร่างของนาคีไป ปรากฏว่าร่างของนาคีเข้ามานั่งข้างในรถข้างๆงิ้วอย่าง เกินที่ใครจะคาดคิด นาคีคว้าคอ งิ้วปัดป้อง จักจั่นตวัดปืนจ่อยิงเผาขนเปรี้ยงๆๆนาคีหันมาปัดปืนจักจั่นกระเด็นไปจากมือ แล้วงิ้วก็ตะโกนลั่น
“ระเบิด”
อภิชาติเบรกรถ งิ้วเปิดประตูพุ่งตัวออกไปนอกรถ ในขณะที่อภิชาติกับจักจั่นดีดตัวกลิ้งออกมาจากรถพร้อมกัน นาคีหันขวับไปที่เบาะรถเห็นวัถตุกลมแบนขนาดขนมเปี๊ยะอยู่ตรงเบาะมีไฟกระพริบวิบๆพร้อมเสียงตื๊ดๆแล้วก็ระเบิดตูมไฟลุกท่วมรถ
อภิชาติ จักจั่น กับ งิ้ว วิ่งสุดฝีเท้าอยู่บนทางเดินออกมาพ้นจากโรงแรมในที่สุดก็หยุดพร้อมกัน งิ้วหอบหายใจแต่จักจั่นกับ อภิชาติยืนระวังเตรียมพร้อม ทั้งสองกราดสายตาไปรอบๆ ทุกอย่างเงียบสงบ งิ้วหายใจคล่องขึ้น
“เฮ้ย...ตับแทบทรุด”
จักจั่นยิ้ม
“นี่...เดี๋ยวนี้พกระเบิดด้วยเหรอ”
งิ้วยิ้มเครียด
“แน่นอน กะว่าจะระเบิดเหมาพวกมันให้เรียบทีเดียวไปเลย”
อภิชาติแค้นๆ
“ไอ้พวกนี้ต้องเจอแบบนี้แหละ จับไปก็เสียเวลาตูมเดียวจบ”
จักจั่นส่ายหน้า
“โน...ดาร์ลิ้ง...ทุกคนบริสุทธิ์ก่อนที่จะพิสูจน์แล้วว่าผิดนะจ๊ะ”
“ไอ้พวกนี้ต้องกลับกัน ผิดก่อนจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าพวกมันถูก”
งิ้วขำ
“ใช่ ไม่ต้องเสียเวลายื่นคำร้องให้เมื่อย”
จักจั่นอดขำไม่ได้
“รู้สึกว่าจะเข้ากันดีเหลือเกินนะ”
อภิชาติยิ้ม
“ไปหาอะไรกินดีกว่า กินไปคิดกำจัดพวกมันไปสนุกดี”
ทั้งสามต่างยิ้มแล้วพากันเดินออกไป
โจกับศักดา ก้าวเข้ามาในห้อง ภายในเซฟเฮาส์ของพวกแบล็คอีวิล
“อุตส่าห์ได้ตัวพวกมันมา เพื่อที่จะผ่าตัดเปลี่ยนหน้าพวกมันให้พวกมันฆ่ากันเอง
แต่คุณปล่อยให้มันหลุดกลับมาเล่นงานเราจนได้”
โจรินเหล้าใส่แก้วแล้วกระดกพรืด โทรศัพท์ดังขึ้น ศักดารับสาย
“ครับท่าน...ครับท่าน”
ศักดาวางสาย
“ท่านโกรธมาก ต้องรีบจัดการพวกมันให้ได้เร็วที่สุด”
โจ ถอนหายใจกระดกแก้วอีกหนึ่งพรืด
รถตู้วิ่งเข้ามาที่หน่วยพิเศษ เจ้าหน้าที่ห้าคนยืนระวังรอบๆ นพ ยืนคุมเหตุการณ์อยู่ อภิชาติ จักจั่น งิ้ว ลงมาจากรถ
“ขอบคุณทุกคน” จักจั่นยิ้มแย้มบอก
“ขอบคุณมาก” งิ้วโค้งให้
จักจั่นกับงิ้วเดินออกไป อภิชาติเดินเข้ามาหานพ
“เรายังไม่ได้ตัวนายใหญ่ คืนนี้เราเกือบไม่รอด”
“ยังไงมันก็หนีไม่พ้นหรอกครับ”
อภิชาติพยักหน้าถอนใจแล้วเดินออกไป นพมองตามสายตากังวล
คายามังเดินเข้าไปด้านในถ้ำ นาคีหันมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า
“เจ้าทำเสียเรื่องอีกแล้ว”
“ถ้าไม่มีเราสกัดพวกมัน...ป่านนี้ไม่รู้ว่าใครจะอยู่ใครจะสิ้น”
“แต่เจ้าปล่อยให้พวกมันหลุดมือไป...เจ้าขาดสมาธิ”
“พวกมันมีฝีมือ เราว่าแม้แต่ท่านก็ไม่มีปัญญาที่จะจัดการกับพวกมัน”
“เจ้ากล้าย้อนเรา”
คายามังท่องคาถาเชือกที่คอรัดทำให้นาคีหายใจไม่ออก
“กำ...จัด...เรา...ก็ ดี...”
คายามังหยุดสวด นาคีกลับคืนปกติ นาคีมองหยัน
“เชอะ...กำจัดเรา ท่านก็ไม่เหลือใครทำงานสกปรกให้ท่าน”
นาคีแวบหายออกไป คายามังมองตามด้วยความแค้นใจ
โจคุยกับนายใหญ่ที่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์
“พวกมันคิดว่าท่านคือนายดำรงคนที่ยอมทำงานให้ อินเตอร์บิส มากกว่าที่จะเป็นนายดำรงที่เป็นนายใหญ่ครับ”
“อืม...ยังไงก็แล้วแต่ เพิ่มเงินและกำลังจัดการกับพวกมันให้ได้เร็วที่สุด แผนของเราใกล้เข้ามาแล้ว จะให้พวกมันมาขัดขวางไม่ได้”
“ครับท่าน” โจรับปากหนักแน่น
จักจั่นกับงิ้ว เดินเข้ามาในห้องปฏิบัติการทิ้งตัวบนโซฟา งิ้วยังเจ็บใจไม่หาย
“พรุ่งนี้เราน่าจะไปลากตัวนายดำรงมาให้รู้แล้วรู้รอด”
“พรุ่งนี้นายดำรงอาจไม่ได้เป็นนายใหญ่แล้วก็ได้”
“หมายความว่าไง”
อภิชาติเดินเข้ามา
“มันอาจจะเปลี่ยนหน้าเป็นคนอื่นแล้วน่ะซิ นอกจากว่า...มันจำคุณงิ้วไม่ได้ มันไม่รู้ว่าคุณงิ้วมีเครื่องจับคลื่นแบตเตอรี่หัวใจติดไปด้วย”
“ดี งั้นเราไปรวบตัวมันเลย”
งิ้วผุดลุกขึ้น อภิชาติห้ามไว้
“เดี๋ยว...ผมมีแผนใหม่”
งิ้วกับจักจั่นต่างมองอภิชาติเป็นตาเดียว...อภิชาติยิ้มพยักหน้าให้ตัวเองอย่างพอใจ
“ผมว่าเราเฉยไว้ก่อนดีกว่า เล่นละครตบตามัน”
งิ้วกับจักจั่นมองอภิชาติอย่างสงสัย จักจั่นหงุดหงิด
“ฮันนี้ ถ้าไม่รีบบอก จะเจอดีนะจ๊ะ”
“เราจะลองเล่นแผนนี้ดู...เคยได้ยินมั๊ยที่เขาว่าเพื่อนสนิทต้องให้อยู่ใกล้ๆตัวไว้”
“แต่ศัตรูต้องอยู่ใกล้กว่า”
“ถูกต้อง...ถ้าเราผลีผลามเข้าไปจะทำให้มันรู้ตัวแล้วเราก็จะไม่มีวันรู้ว่ามันเป็นใครใครเป็นมันเราต้องใจเย็น เราต้องรอ”
งิ้วคิดตาม
“รอจนให้มันคิดว่าประเทศไทยอยู่ในมือของมัน รอจนกว่ามันจะเผยโฉมหน้าโผล่หัวออกมา”
อภิชาติแววตามุ่งมั่น
“เมื่อถึงเวลานั้นเราก็จะเด็ดหัวของมัน”
จักจั่นแวบเข้ามากอดอภิชาติ
“เก่งมากฮันนี้ จุ๊บ จุ๊บ”
“โห...เชื่อเลย...กู๊ดไนท์”
งิ้วลุกขึ้นส่ายหน้าเซ็งเดินออกไป อภิชาตกับจักจั่นต่างยิ้มขำ
เช้าวันใหม่...ดาวเดินมาในมือมีถ้วยกาแฟถือมาที่ฤทธิชัยซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าว กำลังตรวจปืนของตนอยู่ บนโต๊ะมีปืนอีกสองสามกระบอก มีดสั้นเล็กๆวางเรียงกันอยู่ห้าเล่ม ดาววางกาแฟไว้ตรงหน้า
“พร้อมลุยแต่เช้าเลยเหรอคะ”
ฤทธิชัยยิ้ม
“ครับ ผมเชื่อว่าตอนนี้พวกมันกำลังเร่งมืออะไรซักอย่าง มันต้องพยายามส่งทั้งเสบียงทั้งเงินเข้ามาอย่างแน่นอน”
“งั้นเรารีบออกไปรอต้อนรับพวกมันกันดีกว่าค่ะ”
ดาวสะบัดมือไปที่มีดบนโต๊ะ มีดสั้นปลิวไปปักที่ผนังที่จุดเดียวใกล้เคียงกันอย่างแม่นยำ ฤทธิชัยยิ้มยกแก้วกาแฟขึ้น ทั้งสองต่างชนแก้วกัน
ลุงเดช และ แสง ซ่อนตัวอยู่ในราวป่าหนาทึบแห่งหนึ่งไม่ห่างจากพวกมัน เงาร่างแวบเข้ามา ลุงเดชกับแสงตวัดปืนออกไปพร้อมกัน ร่างของไผ่ปรากฏ
“โห...ใจเย็นครับ ผมเอง”
ลุงเดชกับแสงลดปืนลงไผ่เดินเข้ามาใกล้
“พวกมันกำลังเร่งคนสร้างค่าย ผมว่าพ่อกับลุงเดชกลับบ้านก่อนดีกว่าตอนนี้มันรู้แล้วว่าลุงเดชกับพ่อไม่ใช่พวกมือปืนนอกชายแดนที่มันเกณฑ์เข้ามา”
ลุงเดชกับแสงมองหน้ากันอึดใจ
“ก็ได้ แต่มันยังไม่รู้ว่าไผ่เป็นใคร”
“ครับ...ผมจะลาดตระเวรดูพวกมันอีกซักรอบสองรอบ ระวังตัวด้วยนะครับ พื้นที่นี้ยังอยู่ในรัศมี
ของพวกมัน โดยเฉพาะพวกนินจา”
แสงมองหน้าลูกชาย
“เจอกันที่บ้านดอนเสือ”
ไผ่ยิ้มแล้วพุ่งออกไป ลุงเดชกับแสงต่างพยักหน้าให้กันลุงเดชเดินนำออกไปอีกด้านหนึ่ง
รถกระบะนำขบวนของพวกมัน ตามหลังด้วยรถบรรทุกมีผ้าใบคลุมมิดชิด ดาวในชุดนางเสือร่อนลงมายืนบนยอดไม้ ฤทธิชัยใส่หน้ากาก ก็ร่อนลงมายืนบนกิ่งของต้นถัดไป ทั้งสองต่างโบกมือส่งซิกกัน ขบวนรถของมันวิ่งใกล้เข้ามา ฤทธิชัยร่อนลงไปยืนขวางทางพวกมัน ดาวยังอยู่ที่เดิม ขบวนรถของมันวิ่งมาจอด ชาวบ้าน ลงมาจากรถ 3 คน คนอื่นๆยังนั่งรอบนรถกระบะ คนหัวหน้ายกมือไหว้
“ดีใจที่ได้เจอนางเสือ แต่พวกเราเป็นแค่ชาวบ้าน จะขนข้าวไปขายแถวชายแดน”
“แถวชายแดนตอนนี้มีแต่พวกโจร ไม่ควรเข้าไป เอางี้เอาไปส่งที่สถานีอนามัย จะมีคนจ่ายให้ตามที่ลุงต้องการ”
ชายสามคนต่างลอบมองหน้ากัน ทันใดนั้นชายสามคนตวัดปืนจากเอวยิงกราดทันที ฤทธิชัยแวบหายไปยืนอยู่บนยอดไม้ด้านหลังของพวกมัน พวกที่อยู่บนรถต่างโดดลงปืนในมือยิงสาดไปยังฤทธิชัย ทันใดนั้นเสียงปืนสนั่นมาทางด้านของดาว พวกมันล้มกระจัดกระจายตายไปในที่สุด ดาวร่อนลงมา มองพวกมันถอนใจเบาๆ
“สงสัยจริงๆ ว่าทำไมคนถึงยอมตายเพื่อทำชั่ว ทำไมไม่ยอมตายเพื่อความดีกันมั่ง”
ฤทธิชัยร่อนลงมา
“ผมนึกว่าชาวบ้านจริงๆซะอีก อุตส่าห์จะเหมาหมด”
ดาวสะบัดมือไปที่รถผ้าใบเปิดขึ้นมีกระสอบข้าวอยู่เต็มคัน
“ต้องเป็นข้าวจากโรงสีของพวกมัน เราน่าไปเยี่ยมซะหน่อย”
ฤทธิชัยมองสำรวจ
“ไม่มียี่ห้อติดไว้ที่กระสอบ จะรู้ได้ยังไง”
ดาวยิ้มสะบัดมือไปที่กระสอบเมล็ดข้าวปลิวมาอยู่ที่มือหนึ่งกำ
“พี่สายลม”
เสียงสายลมร้องก้อง ร่างของสายลมบินวนอยู่บนท้องฟ้า ทันใดนั้นดาวสะบัดมือขึ้นฟ้า เมล็ดข้าวพุ่งกระจายไปที่สายลม
“นำทาง”
เสียงสายลมร้องก้อง ดาวยิ้มเยือกเย็น
ลุงเดชกับแสงเคลื่อนตัวอย่างระมัดระวังมาตามแนวต้นไม้และพงไม้หนา ทันใดนั้นได้ยินเสียงปืนดังสนั่นเปรี้ยงๆ สามนัด ลุงเดชกับแสงต่างมองหน้ารู้กัน ต่างค่อยๆเคลื่อนตัวไปอย่างระมัดระวัง แล้วก็เห็นพุ่มไม้ทางด้านหน้าไหวสั่น ลุงเดชกับแสงพรวดเข้าไปปืนในมือพร้อมเหนี่ยวไก แต่แล้วก็ต้องหยุดเพราะเป็นร่างของชาวเขา ชายหญิงคู่หนึ่งในสภาพทรุดโทรมมอมแมมที่ยกมือขึ้นไหว้ด้วยความตกใจ แสงถามเบาๆ
“พวกมันอยู่ไหน”
ชายชาวเขาชี้ไปข้างหน้ามือไม้สั่น ลุงเดชบอกเบาๆ
“ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวฉันจะจัดการกับพวกมัน หลบอยู่ที่นี่ก่อน อย่าออกไป”
สองผัวเมียชาวเขาพยักหน้ายกมือไหว้ ลุงเดช ส่งสัญญาณมือให้แสงแยกตัวอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง ทั้งสองเคลื่อนตัวไปอย่างระมัดระวังหายเข้าไปในแนวไม้ ทั้งสองไปโผล่ในแนวไม้ด้านหน้าตรงข้ามกัน ตรงหน้าคือพวกมือปืน 4-5 คนกำลังล้อมชาวบ้านหญิงชาย 5 คน ใกล้ๆมีร่างของชาวบ้านถูกยิงอยู่ 3 คน
“ไหนมีใครอยากเป็นศพอีก”
พวกมันต่างหัวเราะพวกชาวบ้านต่างเงียบ สายตามองพวกมันด้วยความแค้น มากกว่าที่จะกลัว ทันใดนั้นเสียงลุงเดชดังขึ้น
“พวกเอ็งไง”
มือปืนหันมา ลุงเดชสาดกระสุนใส่ พวกมันร่วงไปสอง ที่เหลือตวัดปืน แต่เสียงปืนดังมาจากด้านของแสงตูมๆๆ ในที่สุดพวกมันก็ทรุดหมด ลุงเดชกับแสงพรวดเข้ามาที่พวกชาวบ้าน
“ตามพวกข้ามา”
ลุงเดชเร่งฝีเท้านำพวกชาวบ้านออกไปอย่างรวดเร็ว ปิดท้าย ด้วยแสง แต่แล้วแสงก็หยุด กราดสายตาไปทั่ว แล้วเพ่งมองทางด้านหลัง เห็นเงาดำวูบวาบในระยะไกล
“ไอ้พวกนินจา”
แสงรีบหันกลับวิ่งตามขบวนของลุงเดชไป...นินจาวูบลงมาในพื้นที่ 3 คน พวกมันกราดตาสำรวจร่างของพวกมือปืนกับชาวบ้าน แล้วหันขวับไปทางด้านหน้า มันยกมือส่งสัญญาณแล้วพวกมันก็ดีดตัวพรวดออกไป
ลุงเดช นำชาวบ้านวิ่งอย่างเร่งรีบ ปิดท้ายด้วยแสง ที่คอยระวังหลังเป็นระยะๆ ชาวบ้านคนหนึ่งล้มทรุดด้วยความเหนื่อย แสงเข้ามาประคองแล้วผิวปากวี๊ด ลุงเดชกับชาวบ้านที่วิ่งอยู่ข้างหน้าหยุดรอ
แสงประคองชาวบ้านตามไปรวมกลุ่ม ลุงเดชหันมาบอก
“เราพักก่อนก็ได้”
แสงรีบขัด
“พักไม่ได้”
ลุงเดชหันมามอง แสงบอกอย่างกังวล
“พวกนินจา”
ชาวบ้านต่างส่งเสียงตกใจหันซ้ายหันขวา ลุงเดชหน้าเคร่งเครียด
จบตอนที่ 10
อ่านต่อตอนที่ 11 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.