xs
xsm
sm
md
lg

รอยมาร ตอนที่ 15

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้าเวลา 09.30 น.
 
รอยมาร ตอนที่ 15

สไบนางในชุดนักศึกษาเคาะประตูห้องนอนคุณหญิงรุจาก่อนเปิดเข้าไป
“ทานข้าวกันค่ะคุณย่า”
คุณหญิงรุจากำลังพับเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ไมได้ใช้แล้วใส่กระเป๋าเดินทางที่กางอยู่บนเตียง สไบนางงงเล็กน้อย
“คุณย่าจะไปเที่ยวไหนคะ”
คุณหญิงรุจาหันมองสไบนาง
“ไปบ้านสวน แต่ไม่ได้ไปเที่ยวนะ จะย้ายไปอยู่เลย”
สไบนางตกใจ
“ทำไมล่ะค่ะคุณย่า”
คุณหญิงรุจาถอนใจ
“ล็อกประตูห้องแล้วมานั่งข้างๆย่านี่มา”
สไบนางงุนงง ล็อกประตูห้องแล้วมานั่งข้างคุณหญิงรุจา
“เราก็เริ่มทยอยเก็บของใช้ส่วนตัวได้แล้วนะบี”
สไบนางงงมาก
“ทำไมเราต้องย้าย ไปอยู่บ้านสวนด้วยล่ะคะคุณย่า”
“ก็เพราะบ้านสวนเป็นของเราน่ะซิลูก แต่งงานแล้วพี่เมก็ย้ายไปอยู่เรือนหอเขา คุณลุง คุณป้าก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นเหมือนกัน”
“แล้วบ้านนี่ละคะ”
คุณหญิงรุจาหน้าขรึมๆ
“ลุงเราเขาขายไปแล้ว”
“ทำไมต้องขายคะ”สไบนางไม่เห็นด้วย
คุณหญิงรุจากุมมือสไบนางเอาไว้
“ฟังย่าแล้วอย่าพูดไปนะ ลุงมุขเสียพนันที่ต่างประเทศ ที่เขาบอกว่าไปทำการค้านั่นล่ะอยู่ในบ่อนคาสิโน”
สไบนางตกใจมาก
“เราเป็นหนี้มากมาย ล้มละลายแล้ว ล้มละลายอีกก็ใช้หนี้ไม่หมด แม่เมเลยต้องแต่งงานใช้หนี้”
สไบนางตกใจ งงไปหมด
“อะไรกันคะเนี่ย”
“เก็บเป็นความลับนะบี ย่าสงสารเม”
สไบนางคิดตาม
“แสดงว่านายมาร์คเป็นเจ้าหนี้ของคุณลุงเหรอคะ”
“ลุงบารมีของเรานั่นแหละ”
สไบนางยิ้มสบายใจ
“งั้นก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะคุณย่า ลุงมีใจดีจะตาย เดี๋ยวบีช่วยพูดให้ คุณลุงไม่ไล่บีกับคุณย่าออกจากบ้านหรอกค่ะ”
“บีจะเอาอะไรมาประกัน มันเป็นปัญหาของผู้ใหญ่ เราไปซะก่อนที่เขาไล่ จะได้ไม่อาย...บีเตรียมเก็บข้าวของให้พร้อมซะ หลังวันแต่งงานของพี่เม เราคงต้องย้ายออกทันที”
สไบนางหน้าเสียไป รู้สึกตกใจและใจหาย

+ + + + + + + + + + + + +

สไบนางเดินเครียดๆออกมาที่หน้า ขณะที่บ้านเตรียมตัวจะไปเรียน ประมุขที่มารออยู่แล้ว รีบเดินเข้ามาหา...
“จะไปเรียนแล้วเหรอบี”
“ค่ะ”สไบนางยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณลุง”
ประมุขจูงมือสไบนางมาคุย
“ลุงถามอะไรหน่อยสิ...เช็กล้านบาทที่ลุงมีให้ ยังอยู่ที่บีรึเปล่า”
สไบนางชะงักไปเล็กน้อย
“คุณลุงถามทำไมคะ”
“คือยังงี้ หุ้นส่วนลุงเขายังโอนเงิน เงินกำไรน่ะ มาให้ลุงไม่ทัน เงินลุงเลยขาดมือนิดหน่อย ลุงไม่อยากไปปิดบัญชีประจำ จะได้ดอกเบี้ยอยู่แล้ว”
สไบนางรับฟังอย่างประมวลความคิดในหัว รู้ว่าลุงหลอกตน คงอยากเอาไปเข้าบ่อนแน่ๆ
“ลุงอยากจะขอยืมเงินบีไปหมุนก่อน สิ้นเดือนก็คืนแล้ว เดี๋ยวลุงจ่ายดอกเบี้ยให้”
“เงินบีอยู่ที่คุณย่าค่ะ คุณย่าเก็บไว้ให้”
ประมุขหงุดหงิด
“เงินตัวเองทำไมไม่รู้จักเก็บเองล่ะ”
“เงินมันเยอะนี่คะคุณลุง”
“บีไปขอคืนจากคุณย่า บอกว่าอยากฝากเงินเปิดบัญชีเอง แล้วเอามาให้ลุงยืมนะ”
“บีก็ต้องบอกคุณย่าก่อน”
“อะไรก็คุณย่าๆ โตป่านนี้แล้ว ไม่รู้จักมีความคิด ตัดสินใจเองมั่งรึไง ไม่ได้เรื่อง”
ประมุขเดินหัวเสียขึ้นบ้านไป สไบนางหันมองตามประมุขไปด้วยสีหน้ากังวล กลัวประมุขจะไปทะเลาะกับคุณหญิงรุจาอีก

+ + + + + + + + + + + +

ประมุขคุยอยู่กับคุณหญิงรุจา ที่ดักรอพบตัวอยู่ในห้องทำงานติดกับห้องรับแขก ประมุขหัวเสียหงุดหงิด เมื่อคุณหญิงรุจาพูดเรื่องให้ย้ายออกจากบ้าน
“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้นล่ะคุณแม่ เสียลูกสาวทั้งคน ยังต้องออกจากบ้าน พเนจรไปซุกหัวนอนที่บ้านโน้นทีบ้านนี้ที ให้ผมตายซะดีกว่า”
คุณหญิงรุจาหน้านิ่ง
“ตามใจแก แม่เตือนไว้แค่นี้ ใครทำอะไรไว้ก็สมควรรับสิ่งนั้น”
“หยุดเถอะครับแม่ ผมไม่อยากฟัง” ประมุขเจ็บใจ “เก่งจริง ทำไมมันไม่มาพูดกับผมตรงๆ มาถามผมซิ ผมปฏิเสธได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว จะเอาปากชาวบ้านคนไหนมายืนยันก็เอา ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ไอ้หน้าไหนที่มันเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่มีหลักฐาน มากล่าวหากันพล่อยๆแบบนี้ผมไม่ชอบ”
“เป็นอันว่าแกจะไม่ออกไปจากบ้านหลังนี้ ทั้งที่เขาออกปากไล่ฝากแม่ไว้งั้นเหรอ”
“คุณแม่ก็ไม่ต้องรับฝากซะก็สิ้นเรื่อง เราอยู่ไปเรื่อยๆ บีเป็นตัวประกันอยู่ทั้งคน เขาไม่กล้าไล่หลานตัวเองหรอก...ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ทำท่าเอ็นดูบีมันหนัก มันรักบีเท่าครึ่งของผมมั้ย”
คุณหญิงรุจาตวาดสวนทันที
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะเจ้ามุข อย่ายุ่งกับลูกของจักษ์ คนอย่างแกจะรักใครนอกจากตัวแกเอง”คุณหญิงรุจาจ้องหน้า “คนที่แกบอกรักทุกคนก็มีอันเป็นไปทั้งนั้น แกมันคนบาป สมคำสาปแช่งของประจักษ์นั่นแหละ”
ประมุขอึ้งปนไม่พอใจ
“คุณแม่”
คุณหญิงรุจา ตาแดงก่ำ จ้องหน้าประมุข กำชับเด็ดขาด
“อย่าแตะต้องลูกของจักษ์ สิ่งนี้แหละคือความรักที่แกจะให้กับคนที่แกรักได้”
“แต่บีเป็นลูกผม เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ผมรัก”
คุณหญิงรุจาโกรธมากตวาดแว้ด
“แม่สั่งให้หยุดพูดเดี๋ยวนี้”
ทั้งสองคนคุยกัน โดยไม่รู้ว่าสไบนางยืนช็อกอยู่หน้าห้อง งงไปหมดกับสิ่งที่ได้ยิน
“ทำไมครับคุณแม่ ผมจะชื่นชมลูกมันบาปตรงไหน ทำไมคุณแม่ต้องคอยกีดกันผมด้วย”
สไบนางเริ่มมีน้ำตาเอ่อขึ้นมา แววตาสั่นระริก
“แกฟังแม่นะประมุข แกสร้างบาปไว้นักต่อนัก อย่าทำลายบีเลย แม่ขอล่ะนะ”คุณหญิงรุจาพูดทั้งน้ำตาที่ไหลออกมา

ประมุขจ้องหน้าแม่น้ำตาท่วมตา
“คุณแม่ยอมรับแล้วใช่มั้ยครับ ว่าบีเป็นลูกของผม ไม่ใช่ลูกของไอ้จักษ์อย่างที่แม่ยืนยันแข็งขืนมาตลอด”
คุณหญิงรุจาแผดเสียงใส่ น้ำตาท่วม
“บีเป็นลูกของประจักษ์”
ประมุขจ้องหน้า เถียงสวน ไม่ยอม
“บีเป็นลูกของผม”

คุณหญิงรุจาตบหน้าประมุขสุดแรง
“เขาสองคนไม่เก็บเลือดชั่วของแกไว้หรอก บีเป็นลูกของจักษ์กับไพ ไม่เกี่ยวข้องกับคนใจบาปอย่างแก”คุณหญิงรุจาน้ำตาไหลพราก
สไบนางกัดริมฝีปากแน่น น้ำตาร่วงได้ยินทุกคำ ทนฟังต่อไม่ไหวแล้ว หันจะวิ่งกลับออกไป แต่เธอชนเข้ากับใครคนหนึ่งอย่างจัง สไบนางตกใจมากพอเงยหน้าขึ้นมองพบว่าเป็นอุปมา
อุปมาจับตัวสไบนางเอาไว้ มองสไบนางด้วยสายตาเห็นใจ
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
อุปมาพยายามจะพูดบางอย่าง สไบนางแผดเสียงใส่
“ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ปล่อยฉันนะ”
คุณหญิงรุจาหน้าตาตื่นเปิดประตูห้องออกมา สไบนางหันกลับไปมอง คุณหญิงรุจายืนหน้ากังวลใจมากอยู่หน้าห้อง
ด้านใน...ประมุขยืนมองออกมาด้วยสายตารักและห่วงใยมาก สไบนางน้ำตาร่วงวิ่งกลับขึ้นชั้นบนไป คุณหญิงรุจาตกใจมากถึงขั้นลมจับ ล้มทั้งยืน โชคดีที่อุปมาเข้าไปรับตัวได้ทัน ประมุขตกใจมาก
“คุณแม่”
ประมุขรีบเข้ามาดูอาการคุณหญิงรุจา

+ + + + + + + + + + + +

สไบนางวิ่งกลับเข้าห้องนอน โยนของต่างๆไว้ปลายเตียง ขึ้นเตียงดึงผ้าห่มคลุมโปงมิดตัวร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนัก
ทางด้านคุณหญิงรุจานอนหมดสติอยู่ที่โซฟายาว มีบังอรคอยให้ดมยาดม วิจิตราคอยพัดวีให้ คุณหญิงรุจารู้สึกตัวขยับขึ้นนั่งทันทีร้อนใจ เรียกหา
“บี...บังอร บีอยู่ไหน”
“อยู่ในห้องนอนค่ะ”
“นี่แม่ตัวดีก่อเรื่องอะไรอีกคะคุณแม่ บาปกรรมจริงๆ”วิจิตราพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน
“เงียบเถอะน่ะจิตรา”ประมุขปราม
วิจิตราไม่พอใจ
“โอ๊ย แตะต้องกันไม่ได้เลยนะ”
เมธาวีที่นั่งอยู่ข้างๆอุปมาถอนใจส่ายหน้า คุณหญิงรุจาหันไปหาบังอร
“บังอร พาฉันไปหาบีที”
“ตายแล้ว หลานบังเกิดเกล้า ทำผิดต้องให้ย่าไปง้อขอโทษ”วิจิตราแดกดัน
ประมุขไม่พอใจ
“จิตรา...เธอไม่รู้อะไรก็สงบปากสงบคำไว้เถอะ”
วิจิตราหงุดหงิด ลุกพรวด เดินฉับๆ ออกไปอย่างไม่สบอารมณ์
“คุณย่าพักผ่อนเถอะครับ ปล่อยผ่านไปก่อนทุกอย่างคงดีขึ้นเอง”อุปมาแนะ
“ย่าเป็นห่วงบีมาก”คุณหญิงรุจาพูดทั้งน้ำตาคลอ
“ผมทราบครับ”อุปมายิ้มให้กำลังใจ
“ย่าเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว คิดไว้เหมือนกันว่า เหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นซักวัน”

คุณหญิงรุจาเหลือบตามองประมุขที่หน้าเครียดๆ หลบสายตาไป คุณหญิงรุจาหันมามองหน้าอุปมา
“บอกพ่อเราด้วย อะไรก็ตามที่เราได้ยินวันนี้ ย่าพร้อมรับผลของมัน ใครไม่รัก ไม่เห็นแก่ชีวิตบริสุทธิ์ของบีก็ช่าง ย่าเป็นย่าของแก”คุณหญิงรุจาน้ำตารื้นขึ้นมาอีก “เรามีกันสองคนย่าหลาน ย่ากับบีจะย้ายไปอยู่บ้านสวนอย่างเร็วที่สุด”
บังอรมองคุณหญิงรุจาน้ำตาคลอๆตาม ประมุขถอนใจออกมาเครียด เมธาวีงงจัด
“คุณย่าพูดอะไรคะ เมไม่เข้าใจเลย”
อุปมาทำเป็นไม่เข้าใจ
“นั่นสิครับ ผมไม่ได้ยินอะไรเลย คุณย่าพูดถึงอะไรผมไม่เข้าใจ”
ประมุขและคุณหญิงรุจาสบตากันเล็กน้อย ด้วยความรู้สึกโล่งอกขึ้นมาหน่อย
“ผมมารับเมเผอิญเจอบีแต่งชุดนักศึกษา เลยเข้ามาแซว คุณย่ากับคุณลุง ก็เปิดประตูออกมาจากห้องพอดี...ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่ครับ”
ประมุขรีบตัดบท
“ไม่มีอะไรหรอก เราสองคนไปทำธุระต่อเถอะ”
“ไปค่ะมาร์คเสียเวลา มีธุระต้องไปตั้งหลายที่”
เมธาวีลุกเดินนำออกไป อุปมายกมือไหว้คุณหญิงรุจาและประมุข
“ผมลาล่ะครับ...”
อุปมาลุกเดินออกไป คุณหญิงรุจาจ้องหน้าประมุข สายตาดุ
“อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ไม่งั้นฉันจะตัดแม่ตัดลูกกับแกแน่...”
ประมุขอึ้งๆไป คุณหญิงรุจาบอกบังอร
“บังอร พาฉันขึ้นไปพักบนห้องที”
บังอรประคองคุณหญิงรุจาพาเดินออกไป ประมุขส่ายหน้าเซ็งๆ ตบพนักเก้าอี้โครมใหญ่ ระบายอารมณ์อึดอัด
อุปมาที่กำลังจะเดินออกไปจากโถงบ้าน หยุดเดินหันกลับมามองทางห้องรับแขกอีกครั้งหน้าเคร่งขรึมไม่สบายใจ เพราะความจริงแล้ว เขาได้ยินเท่ากับที่สไบนางได้ยิน

ค่ำคืนนั้น อุปมาเล่าเรื่องราวของสไบนางที่เขาได้ยินมาให้บารมีฟัง ที่โถงบ้านเรือนไทย
“มันว่าบีเป็นลูกของมันกับไพงั้นเหรอ”บารมีเสียงแข็งไม่พอใจ
“ผมก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องเป็นมายังไงแน่ พอดีเห็นบีแอบฟังคุณย่ากับนายประมุข เถียงกันอยู่หน้าห้องทำงาน ผมเลยได้ยินไปด้วย”
บารมีถอนใจออกมาอย่างหนักใจ
“เราจะทำยังไงกันดีครับ”
บารมีหน้าเคร่งเครียดเดินนำไปนั่งที่โซฟา อุปมาหันมองตามไป
“บีเป็นยังไงมั่ง”บารมีถามอย่างเป็นห่วง
“ร้องไห้ ไม่พูดไม่จา ขังตัวเองอยู่ในห้อง...ผมก็เสียวอยู่เหมือนกันว่า บีจะเตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหนอีก”
บารมีเจ็บแค้นใจจนกำมือแน่น
“ถ้าเรื่องที่มันพูดเป็นความจริง มันก็เป็นพ่อที่เลวที่สุด ชอบดูความพินาศฉิบหายของลูกๆ...พ่อไม่เชื่อว่าบี จะเป็นลูกของมัน”
“พ่อแน่ใจได้ยังไง ฟังจากน้ำเสียงของคุณย่าตอนเถียงกัน ผมยังพอฟังออกว่าใครเป็นพ่อของบี”
บารมีหันมองหน้าอุปมา
“ความจริงเป็นยังไง พ่อจะหาคำตอบจากคุณหญิงเอง ตอนนี้ก็ห่วงแต่ความรู้สึกของบีคนเดียว”บารมีสงสารหลานสาวจับใจ
อุปมาหน้านิ่งขรึมไปอย่างใช้ความคิด

+ + + + + + + + + + + +

สไบนางอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนเรียบร้อย เดินมานั่งหน้าเศร้าตาบวมๆ ที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง กำลังเช็ดผมให้แห้งอยู่ไปมา ขณะเดียวกันนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น...สไบนางฉวยมาดูหน้าตาเซ็งๆ แต่พอเห็นเป็นเบอร์โชว์ของบารมี ดีใจมากกดรับสาย
“บีกำลังคิดถึงคุณลุงอยู่พอดีเลยค่ะ”
“ฉันเอง”เสียงอุปมาดังมาจากปลายสาย
สไบนางเสียงแข็ง หน้าชิงชังขึ้นมาทันที
“โทรมาทำไม ว่างนักเหรอ แค่นี้นะ”
“เดี๋ยวซิ คุยกันก่อน...ฉันกลัวเธอไม่รับสายเลยต้องใช้มือถือของพ่อโทร”
“ฉันจะนับหนึ่งถึงสิบ แล้วตัดสายทันที...หนึ่ง...สอง...”สไบนางขู่
“โอเคๆ ฉันรวบรัดเลยแล้วกัน ฉันไม่สนหรอกนะว่าพ่อเธอจะเป็น ใคร ยังไงเธอก็เป็นน้องสาวฉันอยู่ดี”
สไบนางชะงักไปเล็กน้อย
“เพราะเธอคือลูกสาวของอาไพ ไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลงอะไรได้ทั้งนั้น”
สไบนางแอบน้ำตาคลอขึ้นมา เหมือนเป็นหยดน้ำ ที่ทำให้ชื่นใจในยามเจียนตาย แม้จะออกมาจากปากศัตรูคู่อาฆาตก็เถอะ
“ไม่นับต่อแล้วเหรอ”
“ฉันนับในใจ”สไบนางเถียงทั้งน้ำคลอ
“ฉันมีเรื่องอยากจะบอกเธอแค่นี้แหละ”
สไบนางน้ำตาร่วงผลอย รีบยกมือขึ้นปาดออก ฟังปลายสาย
“แล้วก็อย่าคิดว่าฉันจะสงสารเห็นใจอะไรเธอ นักหนานะ บัญชีเรายังไม่ได้สะสาง”
สไบนางตาแข็งกร้าวขึ้นมา นิ่งฟังต่อ
“เรายังตาต่อตา ฟันต่อฟันเหมือนเดิม”
สไบนางเจ็บใจมากที่หลงรู้สึกดีๆ
“ไอ้บ้ามาร์ค ไอ้คนใจโหด โหดทั้งหน้า โหดทั้งใจ”สไบนางด่า
เสียงหัวเราะชอบใจของอุปมาดังมาจากปลายสาย สไบนางโกรธขึง
“ไปตายเลยไป”สไบนางเจ็บใจสุดๆ กดตัดสายไปทันที หน้าหงิกงอ
อุปมากดตัดสายไป หน้าขรึมลงด้วยความรู้สึกสงสาร เห็นใจสไบนางจากใจจริง ก่อนจะถอนใจยาวออกมา

+ + + + + + + + + + + +

เช้าวันใหม่...
คุณหญิงรุจาอาบน้ำเรียบร้อย แต่นอนเอียงข้างอยู่บนเตียง เศร้าๆ ซึมๆ หมดแรงใจจะทำอะไรต่อ เพราะยังเครียดเรื่องสไบนางรู้ความจริงไม่หาย
เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะมีคนเปิดประตูเข้ามา...คุณหญิงรุจายังคงนอนนิ่ง ถาดอาหารถูกนำมาวางที่โต๊ะข้างเตียง คุณหญิงรุจาหันมาพร้อมพูด
“ฉันยังกินไม่ลงหรอกนะบังอร”
พอคุณหญิงรุจาหันมาพบว่าคนเสิร์ฟอาหารไม่ใช่บังอรแต่เป็นสไบนาง ที่อยู่ในชุดนักศึกษา คุณหญิงรุจาดีใจมาก ลุกขึ้นนั่งทันที
“บี...”คุณหญิงรุจาน้ำตาท่วมขึ้นมา

สไบนางยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีร่องรอยเศร้าหมองให้เห็น คุณหญิงรุจาดึงสไบนางมานั่งข้างๆ แล้วกอดเอาไว้ น้ำตาซึมๆ สไบนางผละตัวออก
“ไม่ร้องไห้ค่ะคุณย่า”สไบนางซับน้ำตาให้
คุณหญิงรุจา พยายามกลั้นน้ำตามองหลานสาว ที่ดูแจ่มใสพูดจาเจื้อยแจ้วเหมือนเดิม
“บีเข้าใจแล้ว ว่าทำไมคุณย่าต้องยกบ้านสวนให้บี”
คุณหญิงรุจาจับเนื้อจับตัวสไบนางเอาไว้ตลอดเวลาที่คุยด้วย
“บีเข้าใจว่ายังไงลูก”
“บีก็เข้าใจว่าวันหนึ่งบีจะไม่มีใครเลย บีควรมีบ้านเป็นของตัวเองไม่ใช่หวังเกาะใครต่อใคร แม้เขาจะคือพี่ชายของแม่ หรือ... “สไบนางน้ำตาเริ่มรื้นหลังจากทำเข้มแข็งอยู่นาน “พี่ของพ่อ...คุณย่าขาบีรักคุณย่าค่ะ”
สไบนางร้องไห้โฮ กอดย่าเอาไว้แน่น คุณหญิงรุจาน้ำตาไหลพราก กอดหลานสาวไว้แน่นเช่นกัน
“โกหกบีซิคะคุณย่า ว่าบีเป็นลูกของพ่อจักษ์กับแม่ไพ”สไบนางพูดเสียงกลั้วสะอื้น
คุณหญิงรุจาผละตัวออก ซับน้ำตาให้สไบนาง
“ย่าโกหกบีไม่ได้หรอกนะลูก”
สไบนางอึ้งไป คุณหญิงรุจาจ้องตาหลานสาว
“ย่ามีแต่ความจริงเท่านั้นที่จะบอกบี...”
คุณหญิงรุจาลูบผมที่ปกหน้าให้เข้าที่เข้าทาง พูดพร้อมด้วยสายตาอ่อนโยนเอ็นดู
“ฟังย่านะบี บีเป็นลูกของประจักษ์จริงๆ ต่อให้ย่าตายดับลงเดี๋ยวนี้ ย่าก็ยังยืนยันคำเดิมว่าบีเป็นลูกของจักษ์กับไพจริงๆ”

สไบนางสวมกอดย่าเอาไว้แน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้น คุณหญิงรุจาลูบผมหลานสาวสวมกอดอย่างหวงแหน...สองย่าหลานกอดกันร้องไห้
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขัดขึ้น ทั้งคู่ผละออกจากกัน ซับน้ำตา บังอรเปิดประตูห้องเข้ามา
“คุณบารมีมาขอพบคุณท่านค่ะ”
สไบนางและคุณหญิงรุจาหันสบตากันเล็กน้อย
“ให้นั่งรอที่ห้องรับแขกเล็กซักครู่”
“ค่ะคุณท่าน”บังอรเดินออกไป
คุณหญิงรุจาจับกุมมือสไบนางเอาไว้
“ลงไปพบลุงเราพร้อมกับย่านะ”
สไบนางว้าวุ่นใจปนลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ารับ

+ + + + + + + + + + + +

บารมีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออยู่ที่ห้องรับแขกเล็ก คุณหญิงรุจาจูงมือสไบนางเดินเข้ามา บารมีลดหนังสือพิมพ์ลง รีบลุกขึ้นยืนยกมือไหว้ คุณหญิงรุจารับไหว้ สไบนางหน้าตาซึมๆ ยกมือไหว้บารมีเช่นกัน
“เป็นยังไงมั่งหลานลุง”บารมีถามอย่างยิ้มแย้ม
สไบนางน้ำตาคลอๆ บารมีมองอย่างเข้าใจ
“ถ้าหนูไม่สบายใจ ไปอยู่กับลุงซักระยะดีมั้ย”
สไบนางเดินเข้ามากอดบารมีเอาไว้ บารมีสวมกอดหลานสาว ตบไหล่
“อย่าหัวเสียกับเรื่องสกปรกของใคร จำไว้นะบี หนูเป็นหลานของลุง เป็นลูกคนเดียวของจักษ์กับไพ”บารมีผละสไบนางออกจ้องหน้า “เขาสองคนแต่งงานอยู่กินกันจนเกิดหนูขึ้นมา กฎหมายยอมรับหนู ความถูกต้อง และความจริงคือ...ความดีในตัวหนูนะบี”
คุณหญิงรุจามองสองลุงหลาน น้ำตาคลอๆตื้นตันใจ สไบนางยิ้มสบายใจ
“ขอบคุณค่ะคุณลุง”
“กำลังจะไปเรียนใช่มั้ย”
“ค่ะ...”
“พี่ชายเราเขารออยู่หน้าบ้าน อาสาจะไปส่งให้”
สไบนางอึ้งแปลกใจ
“อะไรนะคะ”
บารมียักไหล่
“เขาอาสาเองนะ ลุงก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน”
คุณหญิงรุจาแอบตื้นตันใจ
“คงเป็นห่วงว่าน้องจะคิดมาก จนเตลิดเปิดเปิงไปไหนอีกล่ะมั้ง”
สไบนางหวั่นใจ ไม่ไว้ใจ
“เขาไม่ใช่คนดีมีน้ำใจขนาดนั้นหรอกค่ะคุณย่า ต้องหาเรื่องแกล้งบีแน่ๆ”
คุณหญิงรุจาและบารมีได้แต่ยิ้มๆ กับคู่กัดคู่นี้ สไบนางหน้าตาเอาเรื่องขึ้นมา อุปมาจะมาแกล้งตนไม้ไหนอีก

+ + + + + + + + + + + +

อุปมายืนพิงรถยิ้มเผล่รออยู่ สไบนางเดินหน้าหงิกออกมา อุปมามองกวนๆ
“สวัสดีพี่ชายรึยังคะ ต้องให้ทวงทุกทีเลย”
สไบนางไหว้ทิ่มพรวดเข้าให้ แล้วจะเดินไป
“เดี๋ยวซิ พ่อไม่บอกเหรอว่าฉันจะไปส่งที่คณะ”
“บอก แต่ไม่อยากไป”
สไบนางเดินเลยไป อุปมามองตามกวนๆ
“นึกอยู่แล้วว่าไม่กล้า”
สไบนางชะงักไป
“คนเรามันไม่แน่จริง พอรู้ว่าไม่มีแบ็คอัพก็แหย ไม่กล้าเผชิญหน้ากันตัวต่อตัว เพราะรู้ว่าสู้ไม่ได้ ยังงี้แสลงไทยเขาเรียกว่าลูกแหง่ รึเปล่า เอ๊ะ ไม่ใช่สิ น่าจะหลานแหง่มากกว่า”อุปมาขำกวนๆ
สไบนางหันมาจ้องหน้า อุปมายักคิ้วกวนๆให้ สไบนางของขึ้นเดินไปขึ้นรถเปิดประตูขึ้นไปนั่ง อุปมายิ้มๆ พอใจ เดินไปขึ้นที่นั่งฝั่งคนขับ สไบนางเหล่ๆ มองเล็กน้อย อุปมายิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะถอยรถออกไปจากบ้าน

+ + + + + + + + + + + +

เมื่อนั่งคุยกับคุณหญิงรุจาตามลำพัง บารมีตัดสินใจบอกในสิ่งที่คิด...
“งานแต่งมาร์คกับเมผ่านไป ผมมีเรื่องต้องคุยกับประมุขอีกมาก”
คุณหญิงรุจาตอบเสียงเรียบๆ
“ตามใจพ่อมีเถอะ”
“นี่เขาอยู่รึเปล่าครับ”
“ยังไม่ตื่นล่ะมั้ง”
บารมีมองหน้าคุณหญิงรุจา
“มีหลายเรื่องที่ผมอยากรู้ความจริง แต่ผมไม่พร้อมที่จะฟังเวลานี้”
“น้าเข้าใจ...นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น้ารอคอย เพื่อดูผลของบาปครั้งนี้ น้าห่วงบีมากกว่าใครทั้งหมด น้าเลี้ยงแกมาอย่างสะอาดนะพ่อมี”คุณหญิงรุจาน้ำตารื้น
บารมีรับฟังหน้าเคร่งขรึม
“พ่อมีไม่อยากรู้เดี๋ยวนี้จริงๆเหรอ”
“ยังครับคุณน้า ผมกลัวจะระงับอะไรๆ ไว้ไม่ได้ ผมไม่ได้ห่วงตัวเองแต่ห่วงหลาน ห่วงผลสะท้อนที่จะเกิดขึ้นกับแก”
“ไม่ร้ายแรงอย่างนั้นหรอกพ่อมี”คุณหญิงรุจาฝืนยิ้ม
“น้าหมายความว่ายังไงครับ”บารมีอยากรู้ขึ้นมา
คุณหญิงรุจามองบารมีด้วยสายตาจริงจัง
“บีเป็นลูกของประจักษ์ น้ายืนยันได้จนวาระสุดท้าย...วันหนึ่งนะพ่อมี...วันที่น้าทนไม่ไหวขึ้นมา ทุกคนจะรู้ใจน้า”
คุณหญิงรุจาเบือนหน้าไปอีกทางไม่ให้เห็นน้ำตา ก่อนจะยกมือขึ้นซับน้ำตาออก บารมีถอนใจยาวออกมาไม่ถามอะไรต่อ

(อ่านต่อ หน้า 2)










รอยมาร (ต่อ)
 
อุปมาขับรถไปพร้อมเหล่ๆ มอง สไบนางกอดอกนิ่ง ไม่พูดไม่จา
“ระวังน้ำลายบูดนะ”
สไบนางค้อนใส่ แต่ไม่ตอบโต้อะไร
“อย่าบอกนะว่าเหตุการณ์คราวนี้ กระทบกระเทือนจิตใจ จนเปลี่ยนเธอเป็นคนละคน เก็บกด ไม่พูดไม่จา” สไบนางยังกอดอกเงียบ อุปมายื่นมือมาชกต้นแขนสไบนางเบาๆกระเซ้า
“กัดฉันกลับหน่อยดิ ไม่หนุกเลย...”
อุปมาจับไหล่สไบนาง เขย่า
“เฮ้ๆ...”
สไบนางเหลืออด ปัดมืออุปมาที่จับไหล่ตนออกอย่างแรง
“ที่ฉันเงียบเพราะฉันด่านายในใจ”
สไบนางหันไปทำหน้ายักษ์ใส่ อุปมายิ้มๆ
“ค่อยยังชั่ว”
“โรคจิตรึไงชอบถูกด่า”
อุปมายกสองมือชู
“เย้...บีคนเดิมกลับมาแล้ว”
สไบนางตกใจ
“เดี๋ยวก็รถชนหรอก”
อุปมายิ้มๆ รีบจับพวงมาลัยขับรถต่อไป สไบนางตัดสินใจ
“ฉันไม่อยากไปเรียนแล้ว ใจไม่พร้อม”
“อ้าว...แล้วจะไปไหนล่ะ”อุปมาเหลือบมอง

+ + + + + + + + + + + +

บารมีเดินกลับเข้าบ้านไทยมา ต้องชะงักไปเมื่อเห็นสไบนางนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก
“อ้าว บี...มาได้ยังไงเนี่ย”
สไบนางหน้าตาไม่สบายใจ ลุกขึ้นเดินมาหา
“ลุงไม่ได้เกลียดบีนะคะ”
บารมียิ้มๆ
“ลุงจะเกลียดบีทำไมล่ะลูก”
“บีเป็นลูกของพ่อจักษ์รึเปล่าก็ไม่รู้”
บารมียิ้มๆเดินเข้ามาลูบหัวสไบนาง
“ลุงอยากให้บีเลิกคิดเรื่องนี้ซะที ตัดมันออกไปจากหัวได้แล้ว ดูซิไม่มีสมาธิ ไม่เป็นอันเรียนแล้วเห็นมั้ย”
สไบนางน้ำตาคลอๆ ขึ้นมา
“บี...”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ลุงเข้าใจความรู้สึกบี...”บารมีกอดคอสไบนางเอาไว้ เดินคุยกันเข้าบ้านไป “เอางี้นะ บีเป็นลูกของไพ จะยังไงบีก็ต้องเป็นหลานของลุงอยู่ดี”บารมีหยุดเดิน จับไหล่ทั้งสองข้างของสไบนางให้หันมาเผชิญหน้ากับตน “จักษ์สร้างบีให้เกิดมา เขารักบีมาก เลี้ยงหนูกับมือมาตั้งแต่เกิด ไม่เคยทอดทิ้งบีเลย จนความตายมาพรากเขาจากไป”
สไบนางน้ำตาเอ่อท่วมขึ้นมา บารมีน้ำตารื้นๆขึ้นมา
“ความผูกพันชนิดนี้ของจักษ์ที่มีให้บี ไม่เรียกว่าพ่อคน แล้วจะเรียกว่าอะไร”
สไบนางน้ำตาไหลซึมออกมา บารมีสวมกอดสไบนางเอาไว้
“ให้สัญญากับลุงนะ ลืมมันไปซะ ตัดเรื่องนี้ออกไปจากความคิดได้แล้ว”
“ค่ะ...”สไบนางน้ำตาไหล
“ขอให้ลุงเห็นบีต้องเสียน้ำตา เพราะเรื่องไร้สาระนี่เป็นครั้งสุดท้ายนะ”
“ค่ะคุณลุง”
สไบนางกอดบารมีซบหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นครั้งสุดท้าย บารมีกอดปลอบประโลมหลานสาวไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

+ + + + + + + + + + + +

เมธาวีรินชาเขียวใส่แก้วให้ประมุข และวิจิตรา ที่นั่งทานของว่างกันสามคน พ่อ แม่ ลูกที่ม้าสนามหน้าบ้านอัคราช
“จะแต่งงานแล้วหน้าตาเปล่งปลั่งเชียวนะลูกสาวพ่อ”ประมุขกระเซ้า
เมธาวียิ้มเขินๆ
“ไม่ต้องแซวเมเลยค่ะ”
“มีอะไรให้แม่ช่วยก็บอกนะ วิ่งตะลอนอยู่คนเดียว”วิจิตราบอกอย่างห่วงใย
“เมแต่งงานครั้งเดียวนี่คะคุณแม่ เหนื่อยแค่ไหนเมก็ทุ่มสุดตัว ขอให้งานออกมาสมบูรณ์ที่สุด”
“มัวแต่ห่วงเรื่องจัดงาน เราคุยเรื่องจดทะเบียนรึยัง”ประมุขถามขึ้น
เมธาวีหน้าแหยไปเล็กน้อย
“ยังเลยค่ะ”
ประมุขขึงขังขึ้นมาทันที
“ทำไมล่ะ เรื่องสำคัญแบบนี้ ทำไมไม่คุยให้รู้เรื่อง”
เมธาวีอึ้งๆไป
“คงไม่มีปัญหาอะไรมั้งคะ”
“แกรู้จักไอ้...”ประมุขชะงักไปเล็กน้อย “พ่อสามีแกน้อยไป มันเขี้ยวลากดิน ถ้าไม่ยอมจดก็ไม่ต้องแต่งกับมัน”
“คงได้แต่พูดมั้งคะ ไม่ยอมได้ด้วยเหรอ”วิจิตรายิ้มหยันๆ
ประมุขเหล่ภรรยาเล็กน้อยก่อนจิบชาไปอย่างหัวเสีย วิจิตราหันไปหาลูกสาว
“เมก็คุยกับมาร์คเขาซะให้รู้เรื่องนะ ให้พ่อกับแม่พูดมันลำบาก”
“ไม่จดก็เท่ากับโง่ไปเป็นเมียเขาฟรีๆ แกจะไม่ได้ส่วนแบ่งอะไรเลย”ประมุขน้ำเสียงไม่พอใจ
“สมบัติเราก็มีเมเยอะแยะ ไม่เห็นอยากจะได้ของเขาเลย”เมธาวีแย้ง
ประมุขและวิจิตราแอบสบตากันเล็กน้อย เมธาวีถอนใจจังหวะเหลือบตามองไปหน้าบ้าน ตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็น ชันษาหนวดครึ้มผมยาวแต่งตัวโทรมๆ ยืนจ้องเมธาวีมาจากหน้ารั้วบ้าน เมธาวีตกใจ จำไม่ได้ ตะโกนเสียงดังเชิงไล่
“ใครน่ะ”
ชันษาตกใจรีบผลุบหายไป ประมุขและวิจิตราหันมองไปทางหน้ารั้วไม่เห็นใคร
“ใครเหรอลูก”วิจิตราถามอย่างสงสัย
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ มาด้อมๆ มองหน้ารั้วบ้าน หายไปแล้ว” เมธาวีนึกๆ รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา

+ + + + + + + + + + + +

ชันษากลับไปนอนแผ่ หมดสภาพบนโซฟา แม่พยายามทำเป็นไม่เห็นจะเดินขึ้นบ้าน แต่หยุดกึก อดไม่ได้ตัดสินใจเดินมาหาชันษา
“ชัน...ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ”
ชันษาทั้งเมาทั้งมึน ลืมตามองแม่
“แม่ทนเห็นชันสภาพแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว”แม่พูดออกมาทั้งน้ำตา
ชันษาลุกขึ้นนั่ง เสียงดัง
“ทนไม่ไหวก็ไม่ต้องมองซิครับ”
“ถ้าฉันไม่ใช่แม่ของแก ฉันก็ไม่อยากจะมองหรอก แกจะทำลายอนาคตตัวเอง เพื่อผู้หญิงคนเดียวไปเพื่ออะไร ยังไงคุณเมเขาก็ไม่มองแกอยู่แล้ว”
ชันษาลุกพรวด ตวาดลั่น
“แม่หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ”ชันษาจับไหล่แม่ทั้งสองข้างเขย่า “เมรักผม เรารักกันมาก ไม่มีใครมาพรากเราสองคนไปจากกันได้ เข้าใจมั้ยแม่”
ชันษาผลักแม่ลงนั่งโซฟาแล้ววิ่งออกไปจากบ้าน แม่ได้แต่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น ด้วยความเวทนาลูกชาย
ค่ำคืนนั้น...
เมธาวีเดินคุยโทรศัพท์มือถือกับเพื่อน อยู่ที่สนามข้างบ้านอัคราช
“ไม่เป็นไรจ้ะ เมเข้าใจ แต่กลับมาต้องเลี้ยงข้าวเมกับคุณมาร์คด้วยนะ”เมธาวีฟังเพื่อนแล้วขำๆ
ขณะเดียวกัน ชันษาในสภาพซอมซ่อ แอบมองอยู่ด้วยความรู้สึกว้าวุ่นใจ อยากจะออกไปพูดด้วยแต่ก็ไม่กล้า เมธาวีเดินคุยโทรศัพท์ผ่านไป
“ไม่ต้องเลย จะมาอิจฉาฉันทำไม แฟนตัวหล่อกว่าคุณมาร์คตั้งเยอะ”เมธาวีคุยหัวเราะชอบใจ กลับเข้าไปทางตัวบ้าน “บ้า...ทะลึ่ง”
ชันษามองตามเมธาวีไปสายตาเจ็บช้ำ ไม่อยากสูญเสียเมธาวีไป กำหมัดแน่น ขบกรามจนขึ้นสัน สายตาจากเจ็บช้ำค่อยกลายเป็นเจ็บแค้นอยากเอาชนะ!

+ + + + + + + + + + + +

อุปมาเปิดประตูห้องนอนเรือนหอให้บารมีเข้าไปดู บารมียิ้มแย้ม กวาดตามองไปรอบห้องนอน
“ไม่ใช่สไตล์เราเลยนะ”
“ครับ...เมเขาเป็นคนจัดการทั้งหมด”
“แล้วเรื่องจดทะเบียนสมรส ลูกจะว่ายังไง ปัญหาทั้งหมด เขาห่วงแค่เรื่องนี้แหละ”
บารมีสะแหยะยิ้มอย่างรู้ทัน
“พ่อคิดว่ายังไง”
“ก็แล้วแต่แก เอาไงเอากัน”
“ผมคิดว่าอยู่กันซักระยะก่อนดีกว่า”
“ทางนั้นเขาจะยอมเหรอ”
“เมไม่เคยพูดเรื่องนี้ ผมเลยเฉยๆ ช่างเถอะพ่อ ไม่สำคัญอะไร”
“สำหรับคนกำลังหมดตัว มันเรื่องใหญ่ที่สุดเลยล่ะ”
อุปมาถอนใจ
“นับวันผมยิ่งไม่ชอบนายประมุขนี่มากขึ้นทุกที ถ้าเข้ามาจุ้นจ้านมากนัก ผมก็ไม่รู้จะอดทนได้มากแค่ไหน”
“พ่อก็ไม่เคยให้มาร์ค ต้องอดทนกับคนอย่างมันนี่”
“งั้นผมตัดสินใจแล้ว ผมจะไม่จดทะเบียนสมรสกับเม”อุปมาตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด

+ + + + + + + + + + + +

ก่อนวันแต่งงาน...
บังอรนั่งพับเพียบบรรจงแต่งพาน พุ่มเสียบดอกบานไม่รู้โรยย้อมสีปักแต่ง คุณหญิงรุจานั่งร้อยพวงมาลัยอยู่บนตั่ง ยายจันทร์ก็มาช่วยร้อยอุบะด้วย บังอรขยับตัวด้วยความเมื่อยขบ คุณหญิงรุจาเหลือบมองยิ้มๆ
“เมื่อยสิบังอร”
บังอรยิ้มแย้ม
“นิดหน่อยค่ะคุณ ดีนะคะที่หม่อมเกศท่านรับทำมาลัยบ่าวสาวให้ ไม่งั้นคงต้องวิ่งหาซื้อ นานๆทำที ฝีมือเข้าพุงหมดแล้ว”
“ซื้อเอาก็สวยนะคุณบังอร”ยายจันทร์แนะ
“ยังไงก็สู้ฝีมือหม่อมไม่ได้หรอก”คุณหญิงรุจาชื่นชม
“คุณเมแต่งออกไปก็เหลือแต่คุณบี”ยายจันทร์ชวนคุย
คุณหญิงรุจาขำๆ
“รายนั้นอย่างน้อยก็อีก 4 ปีแหละ”
“คุณอาทิตย์มีลุ้นที่สุดนะคะ เห็นทนกันได้”บังอรออกความเห็น
คุณหญิงรุจายิ้มๆ
“ถ้ายังรอไหวนะ”
ขณะเดียวกัน เมธาวีและอุปมาเดินเข้ามาในบ้าน อุปมาช่วยถือถุงใส่เสื้อผ้างานเช้าของเมธาวีมาให้
“หายไปทั้งวันเลยนะ พักผ่อนบ้างเถอะลูก พรุ่งนี้วันสำคัญของเราแล้วนะ”คุณหญิงรุจาบอกอย่างห่วงใย
อุปมายิ้มแย้ม
“ไปรับชุดมาน่ะครับ เมสั่งแก้จนวินาทีสุดท้าย”
เมธาวีหยิกแขนอุปมาเล็กน้อย บังอรมองสองคนยิ้มๆ
“คุณเมอยากสวยที่สุด เพื่อเอาใจคุณมาร์คไงคะ”
อุปมายิ้มรับ
“มาร์คคุยกับคุณย่าไปก่อนนะ เมเอาชุดไปเก็บในห้องก่อน
อุปมาส่งชุดให้เมธาวีรับไป คุณหญิงรุจาหันไปเรียกอุปมา
“มานั่งนี่สิจ๊ะ”
อุปมามองดูทุกคน
“ทุกคนเต็มที่เพื่องานนี้กันหมดเลยนะครับ ผมเห็นแล้วละอายจังเลย”
บังอรยิ้มแย้ม
“งานผู้หญิงน่ะค่ะคุณมาร์ค”
“แม่เราล่ะ มาถึงรึยัง”คุณหญิงรุจาถาม
“คุณพ่อไปรับที่สนามบินครับ”
“นี่ยัยบุบบี้ของย่าไปด้วยเหรอ”
“ครับ เขาเป็นเงาตามตัวพ่อ เดี๋ยวนี้ผมเป็นหมาหัวเน่าไปแล้วล่ะครับ”
ทุกคนขำๆกัน อุปมามองดูทุกคนทำงานดอกไม้อย่างสนใจ
“หมดรุ่นคุณย่า คงไม่มีใครมานั่งทำพานร้อยดอกไม้เองแล้วมั้งครับ”
“มีสิคะ คุณบีไงล่ะ”บังอรบอก
อุปมาหลุดหัวเราะดังออกมา คุณหญิงรุจาเหล่ๆเล็กน้อย
“ขอโทษครับ”อุปมายิ้มแหยๆ
วิมาดาเดินถือถุงช็อปปิ้ง กลับมาตามทางเดินของห้องคอนโด พอมาจวนถึงหน้าห้องก็ตกใจมาก
ที่เห็นประตูห้องเปิดอยู่ วิมาดารีบวิ่งเข้าไปในห้อง เห็นคนงานเก็บข้าวของเครื่องใช้ของอุปมา ออกมาจากห้องนอน
“นี่มันอะไรกัน พวกนายเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง”
หัสดินเดินออกมาจากห้องนอนอุปมา วิมาดาตกใจ
“คุณหัส”
“มาร์คขอให้ผมช่วยกลับมาเก็บของทั้งหมด”
วิมาดาเชิ่ดหน้า
“ขนาดไม่กล้ามาด้วยตัวเองเลยเหรอ”วิมาดาเหยียดปากหมั่นไส้
“มาร์คบอกให้คุณเก็บเสื้อผ้าของใช้คุณออกไปด้วย”
วิมาดาอึ้งไป
หัสดินแบมือ
“ขอกุญแจห้องพักคืนด้วยครับ”
วิมาดาจ้องหน้า เจ็บใจมาก ก่อนจะปากุญแจใส่ตัวหัสดิน แล้วเดินฉับๆ จะไปเข้าห้องนอน
“เดี๋ยวครับคุณวิ”
วิมาดาหันมาตวาด
“อะไรอีกล่ะ”
หัสดินยื่นการ์ดให้...
“มาร์คฝากการ์ดเชิญมาให้”
วิมาดาแววตาโกรธจัด กระชากการ์ดมาฉีกขาดครึ่งแล้วปาทิ้ง หัสดินยิ้มหน้านิ่ง
“ผมทำหน้าที่เสร็จครบถ้วนแล้ว ขอตัวกลับเลยนะครับ”
หัสดินก้มเก็บกุญแจห้องแล้วเดินกลับออกไป วิมาดาโมโหสุดๆ ตามไปปิดประตูกระแทกโครมอย่างเจ็บแค้นใจสุดๆ แล้วเธอก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาบางอย่าง รีบเดินมาย่อตัวลงนั่งเก็บการ์ดที่ฉีกขาดครึ่งมากระชากซองออกแล้วเอาการ์ดมาต่อกันอ่าน วิมาดาแค้นใจมาก มีความคิดที่จะไปป่วนงานขึ้นมา!
+ + + + + + + + + + + +

ค่ำคืนนั้น...
บรรยากาศปาร์ตี้สละโสด จัดขึ้นที่ห้องส่วนตัวในผับแห่งหนึ่ง
ดนตรีสนุกสนานคึกคัก บรรดาเพื่อนฝูงผู้ชายของอุปมา นำทีมด้วยหัสดิน สนุกสนานกันสุดๆ เมื่อสาวสวยหลายนาง แต่งตัวเซ็กซี่ยกถาดใส่กับแกล้ม และเครื่องดื่มเข้ามาในห้อง หัสดินกิ๊วก๊าวเป่าปาก
อุปมายิ้มๆ หัสดินขยิบตาให้เพื่อน ทันใดนั้นเก้าอี้ล้อเลื่อน ถูกกระแทกข้อพับขาจนอุปมา หงายลงนั่งที่เก้าอี้ อุปมาตกใจเล็กน้อยแต่ยังไม่ทันได้ปริปากพูดอะไร หัสดินและเพื่อนก็จับอุปมามัดไว้กับเก้าอี้ อุปมาได้แต่ขำๆ ส่ายหน้า เก้าอี้อุปมาถูกดันหมุนไปสู่วงล้อมสาวสวย
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องเป่าปากของเพื่อนๆ สาวๆ เต้นเซ็กซี่ยั่วยวนรอบๆ ตัวอุปมา เซ็กซี่ตัวแม่ก็นั่งตักโน้มคออุปมามาจ้องตาหมายจะจูบปาก เสียงเฮฮาเป่าปากของหนุ่มๆ ดังลั่นสุดมัน
ทางด้านเมธาวีนั้น นั่งพับเพียบหน้าเตียงคุณหญิงรุจา ขณะที่คุณหญิงรุจาบรรจงสวม สร้อยเพชรของเก่าสวยงามมีราคาเข้าที่คอระหงของเธอ
“ย่าให้เป็นสมบัติติดตัวนะเม”
เมธาวีกราบตักคุณหญิงรุจา
“ขอบคุณค่ะคุณย่า”
คุณหญิงรุจายิ้มแย้ม ลูบหัวเมธาวี
“หลังจากวันพรุ่งนี้ไป ชีวิตเมจะเปลี่ยนไปแล้วนะลูก เมไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกแล้ว จะทำอะไรเอาแต่ใจเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ให้เกียรติพี่เขาเหมือนที่อยากให้เค้าให้เกียรติเรานะลูก”
เมธาวียิ้มปลื้มใจ
“ค่ะคุณย่า”
“ย่าต้องรีบอวยพรซะก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นเต้น จะพูดอะไรไม่ออก”
เมธาวีขำๆ
“มีความสุขมากๆ นะลูก ขอให้มีชีวิตคู่สมบูรณ์อย่างที่เมวาดฝันเอาไว้นะ”
“ขอบคุณค่ะคุณย่า”
เมธาวีขยับตัวขึ้นสวมกอดคุณหญิงรุจาเอาไว้ ด้วยความรู้สึกชื่นใจยินดี

+ + + + + + + + + + + +

สไบนางสวดมนต์เสร็จ แล้วกราบที่หมอน 3 ครั้ง เตรียมจะนอน พอล้มตัวลงนอน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นทันที สไบนางหงุดหงิดเล็กน้อย
“ใครน่ะ”
“ฉันเอง”เสียงเมธาวีดังมาจากนอกห้อง
สไบนางถอนใจ ลุกขึ้นนั่ง
“มีอะไร”
เมธาวีหน้าหงิกอยู่หน้าห้อง
“ยังไม่นอนก็เปิดประตูหน่อยซิยะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
สไบนางเปิดประตูห้องออกมา ยืนกอดอกหน้าหงิกไม่รับแขก
“จะมากล่าวร่ำลาบีเหรอ”
เมธาวีเหยียดปากหมั่นไส้
“คิดว่าตัวเองเป็นใคร มีความสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอยะ”
สไบนางเบะปาก กอดอก เซ็งๆ
“ฉันอยากจะมาขอร้องเธอ พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญของฉัน ฉันอยากให้ทุกอย่างออกมาเพอร์เฟ็กต์ที่สุด ตอนนี้ฉันมั่นใจในทุกๆ อย่างแล้ว เหลือแต่ตัวเธออย่างเดียว”
“บีไม่อยู่ร่วมงานก็ได้นะ ถ้าจะทำให้พี่เมสบายใจขึ้น”
“นี่ไง ไม่ทันไรก็คิดจะแย่งสปอร์ตไลท์ไปจากฉันซะแล้ว เดี๋ยวคุณย่ากับคุณลุงสุดเลิฟของเธอก็ตามหาจ้าละหวั่น ไม่เป็นอันสนใจงานฉันพอดี”
สไบนางเบ้หน้าไม่แคร์ เมธาวีจ้องหน้า
“พรุ่งนี้กรุณาแต่งตัวให้เหมาะสมกับกาละเทศะด้วย ไอ้ชุดแฟนซีโลกแตกของเธอเก็บเข้าตู้ไปก่อน ถือว่าฉันขอร้องเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน”
สไบนางขำกวนๆ
“คำขอครั้งสุดท้ายเลยเหรอ เพิ่งจะแต่งงานจะรีบไปไหน”
“อย่ามาปากเสียนะบี ถ้าเธอทำให้งานฉันมีตำหนิแม้แต่นิดเดียว ฉันจะเล่นงานเธอไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น”
“โอเค บีจะยอมทำตามใจพี่เมเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายก็ได้”
“รักษาคำพูดด้วยล่ะ”

เมธาวีค้อนใส่ จะเดินไป สไบนางยิ้มกวนๆแล้วพูดขึ้นลอยๆ
“พรุ่งนี้บีจะแต่งชุดอะไรดีน๊า”
เมธาวีหยุดกึกหันจ้องหน้าสไบนาง สไบนางทำหน้าดีใจ
“นึกออกแล้ว ใส่ชุดเจ้าสาวประชันกับพี่เมดีกว่า”
สไบนางปิดประตูห้องหนีไปทันที เมธาวีหมั่นไส้ปนเจ็บใจ
“อีเด็กบ้า”

+ + + + + + + + + + + +

กลางดึก...
เมธาวีในชุดนอน เข้ามาในห้องที่จัดไว้สำหรับทำพิธีรดน้ำสังข์ เมธาวีเปิดไฟสว่างขึ้น มองตั่งสำหรับรดน้ำสังข์ที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงามประดับประดาด้วยดอกไม้สด เธอยืนมองดูตั่งรดน้ำบ่าวสาว อย่างปลาบปลื้ม พร้อมกับคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย
“ถึงบ้านแล้วแน่นะ”
อุปมาเสื้อผ้าหลุดลุ่ย เปื้อนลิปสติกหลายจุด เดินคุยโทรศัพท์มือถือยิ้มแย้มเข้าโถงบ้านมา
“กลับมาถึงแล้วจริงๆ จะให้ตามพ่อมายืนยันมั้ยล่ะ”
“ไม่ต้องรบกวนท่านเลยนะมาร์ค”
“เริ่มปฏิบัติหน้าที่ภรรยา ตามล่าสามีตั้งแต่วันนี้เลยเหรอครับ”อุปมากระเซ้า
เมธาวียิ้มๆ
“ขอบคุณนะคะที่ตรงเวลา หลังจากพรุ่งนี้ มาร์คจะทำตัวแบบนี้ไม่ได้แล้วนะคะ”
“วันนี้ไม่มีอะไรเกินเลยจริงๆนะเม แค่ขำๆ...ผมต้องเซฟพลังงานทั้งหมดไว้คืนพรุ่งนี้”
เมธาวีเขินๆ
“มาร์คนี่”
“เมรีบไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่สดชื่นนะ”
“มาร์คก็ต้องรีบนอนนะคะ”
“อาบน้ำเสร็จโดดขึ้นเตียงทันทีเลย...ผมแทบจะอดใจรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้ว กู๊ดไนท์ครับ”
อุปมาจุ๊บโทรศัพท์ก่อนจะตัดสายยิ้มอารมณ์ดี เดินผิวปากขึ้นบ้านไป
เมธาวีกดตัดสายยิ้มกริ่มอารมณ์ดี เดินไปที่ตั่งรดน้ำสังข์ กวาดตามองดู แล้วนึกสนุกเดินไปนั่งเก้าอี้รดน้ำเจ้าสาว ซ้อมทำท่าพนมมือรอรดน้ำสังข์ พร้อมกราบงามๆ เหมือนมีคนมารดน้ำ เมธาวียิ้มแย้มปลาบปลื้มใจอยู่ไปมากับวันสำคัญวันหนึ่งในชีวิตที่จะเกิดขึ้นพรุ่งนี้

+ + + + + + + + + + + +

เช้าวันใหม่...
ที่หน้าบ้านทรงไทย ขบวนขันหมากตั้งขบวนอยู่พร้อม ดนตรีบรรเลงเพลง ผู้คนรำกันเฉิบๆ เรียกความครึกครื้น ขบวนขันหมากจัดสมบูรณ์ตามแบบประเพณีไทย หัสดินรับหน้าที่ถ่ายวีดีโอเดินถ่ายขบวนพร้อมพูดบรรยายอัดเสียงไปในตัว
“ขบวนขันหมากของมาร์ค ตั้งขบวนเรียบร้อยพร้อมออกเดินทาง”
หัสดินแพนกล้องวีดีโอ ไปรับทางตัวบ้านไทยประยุกต์สวยงามอลังการ บารมีเดินยิ้มแย้มเดินนำลงมาก่อน จากนั้นอุปมาในชุดเจ้าบ่าว เดินควงแขนซาร่า คุณแม่ชาวอาหรับลงบันไดตามมาติดๆ หัสดินถ่ายวีดีโอพร้อมพูดพากษ์ไป
“เจ้าบ่าวสุดหล่อลงมาแล้ว เฮ๊ย มาร์ค โบกมือให้กล้องหน่อย”
อุปมายิ้มๆ โบกมือให้กล้อง
ทันใดนั้นเองก็มีรถสปอร์ตหรู ขับเข้ามาจอดปาดที่หน้าขบวนขันหมาก หัสดินโดดหลบแทบไม่ทัน ทุกคนหันมอง ดนตรีหยุดเล่น ชาวบ้านหยุดรำ วิมาดาในชุดเซ็กซี่บาดตา รีบร้อนลงมาจากรถ ทั้งน้ำตาคลอ อุปมาสะใจมากกว่าตกใจ วิมาดาแสดงบทบาทว่าเสียใจมาก ตาแดงกล่ำ
“มาร์คทำกับวิแบบนี้ได้ยังไง มาร์คไม่รักวิแล้วเหรอคะ”
บารมีมองอย่างไม่พอใจ
“แกรีบไปเคลียร์ให้เรียบร้อยเลย เสียฤกษ์หมด”
อุปมาบีบมือแม่ที่ไม่สบายใจเบาๆ แล้วเดินฉีกไปหาวิมาดาหน้าเครียดๆ วิมาดาโผเข้ากอดซบร้องไห้โฮ
“มาร์ค”
ทุกคนอึ้ง หัสดินยกมือขึ้นกุมขมับปวดหัวแทนเพื่อน อุปมาหน้านิ่งความสะใจซ่อนอยู่ในแววตา
+ + + + + + + + + + + +

สไบนางยังนอนหลับอุดตุสบายอยู่บนเตียง เสียงเคาะประตูดังขัดขึ้น
“คุณบี เสร็จรึยัง”
สไบนางพลิกตัวนอนเอียงข้างกอดหมอนข้างหลับตา บังอรเคาะประตูห้องเรียกอีก
“คุณบี ขบวนขันหมากจะมาถึงแล้วนะคะ...”
บังอรเคาะประตูไม่หยุด สไบนางสะดุ้งตื่น
“คุณบี ตื่นรึยังคะเนี่ย”
สไบนางตกใจมาก
“ตื่นแล้วค่ะคุณบังอร บีอาบน้ำก่อนนะคะ”
สไบนางโดดลงจากเตียง วิ่งตึงตังไปเข้าห้องน้ำ
ทางด้านช่างทำผม ที่มีท่าทีกังวลใจ ไปตามวิจิตรามาที่ห้องเมธาวี
วิจิตราที่แต่งตัวชุดไทยสวยงาม เดินเลือกกุญแจมาด้วยความร้อนใจ ขณะเดียวกันนั้น ช่างแต่งหน้า เคาะประตูห้องนอนเมธาวีอยู่...
“ยังไม่เสร็จอีกเหรอคะ เดี๋ยวแต่งหน้าไม่ทันหรอกค่ะ”
วิจิตราร้อนใจ
“เธอถอยไปก่อน”
วิจิตรารีบไขกุญแจห้องเปิดเข้าไปอย่างเร็ว พบว่าเตียงนอนขยุกขยุย ผ่านการนอนมาแล้ว ยังไม่ได้เก็บเตียง
“ลูกเม”
วิจิตราเข้าไปดูในห้องน้ำไม่มี ช่างหน้า-ช่างผมเข้ามามองหาในห้องเห็นชุดรดน้ำเช้ายังแขวนอยู่
“ชุดยังแขวนอยู่เลยค่ะคุณจิตรา”ช่างหน้าบอก
“อุ๊ย...สร้อยเพชรก็อยู่ค่ะ”ช่างผมเสริม
วิจิตรารีบเดินไปดูสร้อยเพชรที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วเก็บกล่องไว้กับตัวกลัวหาย วิจิตราแปลกใจปนสงสัย
“หายไปไหนของเขานะ พวกเธอออกไปจากห้องได้แล้ว”
วิจิตราต้อนทุกคนออกไปจากห้องของเมธาวี

+ + + + + + + + + + + +

วิจิตราร้อนใจ มารายงานประมุขและคุณหญิงรุจา
“ลูกเมหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ค่ะคุณแม่”วิจิตราน้ำตาคลอๆห่วงลูกสาว
คุณหญิงรุจาครุ่นคิดอย่างหนักใจ
“รึว่ายัยเมจะรู้ความจริงว่าต้องแต่งงานเพราะอะไร”
คุณหญิงรุจามองหน้าลูกชาย ประมุขหน้าเคร่งเครียดอย่างใช้ความคิด
“งานล้มไม่ได้เด็ดขาดนะคะคุณแม่ เสียหน้าตายเลย แขกผู้ใหญ่ทั้งนั้น นี่นักข่าวก็มารอทำข่าวอยู่หน้าบ้านเต็มไปหมดแล้ว เราจะทำยังไงกันดีคะ”วิจิตราบอกอย่างร้อนอกร้อนใจ
คุณหญิงรุจาถอนหายใจอย่างหนักใจ
“ไม่มีเจ้าสาวแล้วจะให้พ่ออุปมาแต่งงานกับใครล่ะจิตรา”
“ถ้าเราเปลี่ยนตัวเจ้าสาวตอนนี้ก็ยังทันนะครับคุณแม่”ประมุขออกความเห็น
วิจิตราและคุณหญิงรุจา ตกใจหันมองหน้าประมุข

(อ่านต่อวันพรุ่งนี้)





กำลังโหลดความคิดเห็น