xs
xsm
sm
md
lg

รอยมาร ตอนที่ 13

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ที่ www.manager.co.th ทุกเช้าเวลา 09.30น.

รอยมาร ตอนที่ 13

เลขาของอุปมาออกมารับบารมีที่หน้าบริษัท และพาเดินเข้าไปในห้องทำงานของอุปมา วิมาดาลุกจากโต๊ะทำงานเดินมามองตามอย่างสนใจว่าเป็นใคร ครู่หนึ่งเลขากลับออกมาจากห้อง วิมาดารีบเดินไปหา
“ใครเหรอคะ”
“คุณบารมีพ่อคุณมาร์คไงคะ”
“เหรอคะ”
“เดี๋ยวเตรียมกาแฟให้ท่านก่อนนะคะ”
วิมาดาอยากรู้จักบารมีมาก รีบรับอาสาไปช่วย ครู่หนึ่งเลขายกถาดใส่กาแฟและน้ำดื่มเข้าไปในห้อง วิมาดายกถาดใส่ของว่างตามมาติดๆ บารมีมองหน้าวิมาดา
“พนักงานใหม่เหรอ ไม่เคยเห็น”
“ค่ะ”
“ผู้ช่วยคนใหม่ของคุณมาร์คน่ะค่ะท่าน เข้ามาช่วยดูแลงานด้านเอกสาร”
“อ๋อ มาร์คพูดถึงอยู่เหมือนกัน เห็นว่าภาษาดี แบ่งเบางานได้เยอะ”
วิมาดายิ้มปลื้ม
“ขอบคุณค่ะท่าน”
“หนูชื่ออะไรนะ”
“วิมาดาค่ะ”
บารมียิ้มรับ
“ทำงานด้วยกันนานๆล่ะ”
“ถ้าท่าน กับคุณมาร์คปรานี ไม่ไล่วิออกซะก่อน วิก็ไม่ไปไหนหรอกค่ะ”วิมาดาพูดเสียงอ้อน อย่างน่าเอ็นดู
บารมีหัวเราะชอบใจ
“ฉันจะจำคำพูดเธอไว้”
บารมีจิบกาแฟแล้วก้มหน้าอ่านเอกสารต่อ วิมาดายิ้มบางๆ ด้วยความทะเยอทะยานอยากเป็นลูกสะใภ้ไม่ใช่แค่เพียงพนักงานบริษัทคนหนึ่งเท่านั้น

+ + + + + + + + + + + +

คุณหญิงรุจานั่งคุยกับบังอรอยู่ในห้องพระ สีหน้าเคร่งขรึม...
“ฉันกำลังตัดสินใจอยู่ ว่าจะยึดบีไว้เป็นหลานของฉันเอง หรือว่าโอนต่อไปให้ลุงเขาเลี้ยงดี”
บังอรฟังแล้วหนักใจไปด้วย
“ก็ขึ้นอยู่กับคุณบีด้วยล่ะค่ะ”
“แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นจริงๆ บีก็ไม่มีทางเลือกเท่าไหร่นักหรอก บีอยู่คนเดียวไม่ได้ ฉันต้องฝากฝังกับคนที่ฉันไว้ใจมากที่สุด ว่าหลานฉันจะอยู่อย่างสุขสบายทั้งกายทั้งใจ ในเวลาที่ไม่มีฉันอยู่แล้ว”คุณหญิงรุจาน้ำตารื้นๆขึ้นมา
บังอรก้มหน้าลง แอบน้ำตาคลอ ใจหายอย่างบอกไม่ถูก ถ้าสไบนางต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น คุณหญิงรุจาเหลือบตามองบังอร
“บังอรอยู่กับฉันมากี่ปีแล้วนะ”
“13 ปีแล้วค่ะคุณท่าน”
“เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เธอรู้มั้ยว่าหม่อมเกศพูดอะไรกับฉัน”
“ดิฉันเดาไม่ถูกหรอกค่ะคุณท่าน”
คุณหญิงรุจายิ้มๆ
“หม่อมกำลังหาน้องสะใภ้ให้น้องชาย เห็นเป็นม่ายมาหลายปี หม่อมสนใจเธออยู่นะ แต่เกรงใจว่าฉันจะขาดแขนขวา”
บังอรเขินๆ
“ดิฉันอยู่คนเดียวก็สบายดีอยู่แล้วค่ะ”
“ไม่จริงหรอก สุดท้ายแม่อรจะเหงา เอาน่ะ ฉันจะช่วยดูช่วยศึกษานิสัยใจคอให้ ถ้าดีจริง ฉันจะเป็นเถ้าแก่ให้เธอเอง”
“ดิฉันทราบค่ะว่าคุณท่านเป็นห่วง แต่ยังไงดิฉันก็ ไม่ไปไหนจะอยู่รับใช้คุณท่านอยู่แบบนี้ จนกว่าคุณท่านจะไล่”
คุณหญิงรุจาถอนใจ
“ฉันจะไล่เธอได้ยังไงล่ะ ฉันเห็นแก่อนาคตเธอหรอกนะ เธอก็รู้อยู่ว่าเราคงอยู่บ้านนี้ได้อีกไม่นาน...เราคงต้องขยับขยายเร็วๆนี้ล่ะ”
คุณหญิงรุจานึกแล้วอดใจหายไม่ได้ ได้แต่กวาดตามองรอบๆ ห้องด้วยความรักและผูกพันกับบ้านหลังนี้ น้ำตาค่อยๆ เอ่อๆ ขึ้นมา

+ + + + + + + + + + + +

สไบนางแวะไปหาหยาดฝนที่บ้าน และอยู่คุยกันจนเย็น หยาดฝนจึงเดินมาส่งสไบนางที่หน้าบ้าน
“บีดีใจด้วยนะ ที่พี่นูกับพี่ทิพย์ปรับความเข้าใจกันได้”สไบนางบอก
“แต่ก็ไม่รู้จะนานแค่ไหนนะบี โชคดีที่ทางนั้นเขาเงียบๆไป”
“มันได้ที่เกาะใหม่น่ะสิ แต่ก็คงอีกไม่นานหรอก ถ้าพี่เมรู้ ไม่เอามันไว้แน่”
สไบนางถอนใจ แล้วชะงักไปเมื่อหันไปเห็นอาทิตย์ยิ้มแย้ม ลุกจากชิงช้าเดินเข้ามา หยาดฝนกระเซ้า
“ผู้ปกครองมารับแล้ว”
สไบนางชักหน้าบึ้งใส่อาทิตย์
“ใครใช้มาไม่ทราบ”
“ไม่มีใครใช้หรอก พี่อาสามารับบีเอง”
สไบนางเหยียดปากหมั่นไส้ หยาดฝนเหล่ๆ มองท่าทีของอาทิตย์อย่างจับสังเกต
“พอดีพี่โทรไปหาบีที่บ้าน คุณบังอรบอกว่าบีมาบ้านฝน พี่ก็เลยอาสามารับเพราะทางผ่านพอดี”
“ผ่านตรงไหน หาเรื่องเข้าบ้านบีไปดูหน้าพี่เมมากกว่าล่ะมั้ง”
อาทิตย์ขำๆ
“เขาจะแต่งงานแล้วจะไปดูหน้าเขาทำไมล่ะ”
“หรือว่าคิดถึงบีกันแน่คะพี่อาทิตย์”หยาดฝนแกล้งแหย่
สไบนางชะงัก
“อ้าวฝน พูดยังงี้มีเคลียร์”
สไบนางถกแขนเสื้อเล็กน้อย หยาดฝนวิ่งไปหลบหลังอาทิตย์
“ไม่มีอะไรหรอกฝน พี่เหงา ไม่มีเพื่อนคุย คุยกับใคร ก็ไม่ถูกคอเท่าคุยกับบี”อาทิตย์รีบพูด
สไบนางกอดคออาทิตย์
“พูดงี้ค่อยเข้าหูหน่อย”
อาทิตย์วางมือบนหัวสไบนาง
“งั้นก็กลับบ้านกันได้แล้ว”
หยาดฝนแอบอมยิ้ม รู้สึกว่าอาทิตย์จะชอบสไบนางมากกว่าความเป็นพี่น้อง สไบนางเห็นรอยยิ้มพิลึกของเพื่อน พุ่งไปกระตุกผม
“ยิ้มอะไร”
หยาดฝนร้องลั่นด้วยความเจ็บปนตกใจ อาทิตย์ได้แต่ขำๆ

+ + + + + + + + + + + +

คุณหญิงรุจา ประมุข วิจิตรา และบารมีนั่งคุยอยู่ด้วยกันในห้องรับแขกบ้านอัคราช เรื่องฤกษ์แต่งงานระหว่างอุปมา กับเมธาวี ที่บารมีต้องการให้เกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
“ก็สุดแล้วแต่พี่มีเถอะครับ ผมไม่ขัดข้องอะไร”ประมุขบอก รู้สึกยินดีอยู่ลึกๆ ที่งานแต่งงานจะเกิดขึ้นเร็ว
“ไปขอฤกษ์จากวัดไหนมาคะ ถึงได้รวดเร็วซะตั้งตัวแทบไม่ทันขนาดนี้”วิจิตราสงสัย
“ฤกษ์เจ้าบ่าวขอน่ะครับ”
บารมีพูดขำๆ วิจิตราแอบทิ้งค้อน ไม่รู้สึกตลกด้วยเลย
“ฤกษ์สะดวกว่างั้นเถอะ”คุณหญิงรุจาสรุป
“ครับ เดือนหน้าผมยังอยู่เมืองไทยแล้วซาร่า เอ่อ แม่ของมาร์คน่ะครับ ก็ว่างพอดี จะได้บินมาร่วมงานแต่งลูกชายได้ คุณหญิงมีอะไรขัดข้องรึเปล่าครับ”บารมีย้อนถาม
“เอาเถอะ ฤกษ์ดีฤกษ์ร้ายก็ต้องแต่ง มันไม่ต่างกันหรอก”
คุณหญิงรุจามองประมุขอย่างไม่ค่อยพอใจ เพราะปัญหาที่เกิดจากประมุข บารมีหมดความสนใจเรื่องงานแต่ง มองหาสไบนาง
“นี่หลานสาวผมหายไปไหนซะล่ะครับ ลุงมาทั้งทีไม่โผล่หน้ามาทักทายกันเลย”
“นั่งแกะของขวัญ อยู่กับอาทิตย์ที่หลังบ้านโน่นแน่ะ”
“ผมไปตามให้ครับพี่มี”ประมุขตั้งท่าจะลุก
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันไปเอง อยากคุยกับหลานตามลำพัง”
ประมุขยิ้มรับตามมารยาท วิจิตราแอบทิ้งค้อนพร้อมเหยียดปาก บารมีหันพูดกับคุณหญิงรุจา
“เย็นนี้ผมกับมาร์คขอทานข้าวเย็นด้วยนะครับคุณน้า”
“ตามสบายเถอะจ้ะ”
“ไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวเดี๋ยวนะครับ”
บารมีลุกเดินออกไปทางหลังบ้าน วิจิตรารอจนคล้อยหลัง จึงพูดขึ้นด้วยความหมั่นไส้มาก
“คงคิดว่าตัวเองใหญ่คับบ้านเรารึไง นึกจะเดินไปไหนก็เดิน นึกอยากกินข้าวเย็นก็สั่ง นี่มันมากไปหน่อยแล้วนะคะคุณแม่”
ประมุขเป็นห่วงขึ้นมา...
“แล้วจะมีอาหารถูกปากพี่มีเหรอ”
วิจิตราและคุณหญิงรุจาหันขวับมองประมุข
“นี่ก็หงอให้เขาจนเกินไป พินอบพิเทาเขาซะเหลือเกิน”คุณหญิงรุจาบ่น
วิจิตราหมั่นไส้มาก
“จริงด้วยค่ะคุณแม่”
ประมุขถอนใจออกมา
“คุณแม่ก็ทราบ เราไม่มีทางเลือกอื่น”
“ทำไมจะไม่มี เพราะแกไม่เลือกเองตะหาก แม่ขายหน้าจนไม่อยากอยู่เป็นผู้เป็นคนแล้ว...แกแก่แล้วนะประมุข ผิดซ้ำผิดซาก ไม่อายลูกหลานมั่งรึไง”
คุณหญิงรุจาถอนใจแรงๆ ลุกเดินกลับไปเข้าห้องนอน ประมุขหงุดหงิดเหมือนกัน หันไปบอกวิจิตรา
“คุณก็ช่วยขยับก้นไปดูแลเรื่องอาหารการกินหน่อย เผื่อเขาจะเมตตาให้ที่ซุกหัวนอนเราต่อ”
ประมุขถอนใจออกมา แล้วเดินตามคุณหญิงรุจาไป วิจิตราสะบัดสะบิ้งทิ้งค้อน หงุดหงิดอารมณ์เสียจนบอกไม่ถูก

+ + + + + + + + + + + +

ที่ระเบียงหลังบ้าน...
สไบนางนั่งแกะของขวัญไป อาทิตย์คอยจดชื่อตามการ์ด และของขวัญที่ให้บันทึกเอาไว้ให้คุณหญิงรุจา อาทิตย์จดไปคุยไป
“แล้วบีไม่อยากไปรับน้องกับเขามั่งเหรอ”
สไบนางแกะของขวัญกล่องใหม่ไป
“ฮึ...บีไม่ชอบให้ใครมาบังคับทำโน่นทำนี่ บีไปคงมีแต่คนเกลียดขี้หน้า รอเจอกันวันปฐมนิเทศเลยดีกว่า”
บารมีเดินยิ้มแย้มเข้ามาหา
“หลานลุงทำอะไรกันอยู่”
“สวัสดีค่ะคุณลุง”
ทั้งสไบนางและอาทิตย์ ยกมือไหว้ บารมีแล้วเดินมานั่งกับพื้นข้างๆสไบนาง
“แกะของขวัญให้คุณย่าค่ะ คุณย่าให้จดเอาไว้ว่าใครให้อะไรมามั่ง งานเขาคุณย่าจะได้คืนให้ไม่น้อยกว่าที่เขาให้มา”
“คุณย่าท่านละเอียดดีนะ”
สไบนางแกะของขวัญออกมา เป็นผ้าขนหนูสีชมพูหวาน
“สีหวานจังเลย ของนอกด้วย ยึด...ชิ้นนี้ไม่ต้องจดนะซันนี่”
บารมีขำๆ
“เฮ้ย มีงี้ด้วย”
“ฉ้อโกงต่อหน้าเจ้าพนักงานเลยนะครับคุณลุง”
“จดไปก็ได้ ยังไงคุณย่าก็ให้บีอยู่ดี...”
สไบนางหยิบของขวัญอีกกล่องมาดู อ่านการ์ด โยนทิ้งโครมทันที
“อ้าว ทิ้งทำไมล่ะ”บารมีงง
“ของไอ้มาร์ค”สไบนางนึกได้รีบยกมือปิดปาก “อุ๊ย ขอโทษค่ะคุณลุง”
บารมีสงสัย
“นี่เราเกลียดพี่เขามากขนาดนั้นเลยเหรอะ บอกลุงได้มั้ย ว่าเพราะอะไร”
สไบนางเหยียดปากเซ็ง หน้าหงิกงอ
ประมุขเดินตามคุณหญิงรุจาเข้าไปในห้องนอน คุณหญิงรุจาถามในสิ่งที่สงสัย แต่ไม่อยากจะพูดต่อหน้าวิจิตรา...
“แกคิดจะจัดการกับเรื่องทั้งหมดยังไง”
“รวมถึงบีด้วยรึเปล่าครับ”
รุจาตวาดสวนทันที
“หยุดนะประมุข แกอย่าแตะต้องลูกของประจักษ์เป็นอันขาด จัดการเรื่องของแก พ่อ แม่ ลูกให้ดีก็พอแล้ว”
ประมุขยักไหล่
“ก็ไม่เห็นมีอะไรแล้วนี่ครับ แต่งงานเมื่อไหร่ เขาอาจรับไหว้เราด้วยบ้านหลังนี้ เราคงหายใจสะดวกขึ้น”
“ถ้าเขาไม่รับไหว้ด้วยบ้านหลังนี้ แกจะทำยังไง”
“ก็อยู่ไปเรื่อยๆ ถือว่าเป็นบ้านลูกสาว”
“ถ้าเขาเอ่ยปากไล่ล่ะ แกคิดบ้างรึเปล่ามุข แกทำเรื่องอะไรกับเขาไว้บ้าง เขาตามมาเอาคืนแกแล้ว”
ประมุขส่ายหน้า...
“คุณแม่ครับ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว พยานอะไรก็ไม่มี สักแต่ฟังเขาเล่าต่อๆกันมา ใครล่ะครับที่เห็นเหตุการณ์จริงที่จะยืนยันปรักปรำผมได้”
“แกรู้มั้ยว่ามาร์คพูดอะไรกับแม่ เขาบอกว่าบารมีเล่าให้ฟังว่า มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์คืนนั้นหลายคน ใกล้ชิดที่สุดก็คือศรีอำไพ”
ประมุขหน้าซีดเผือด ถอดสีไปทันที
“แม่อยากจะเตือนแกว่าอย่าทำอะไรชุ่ยๆ เจ้าของกรรมเขาติดตามเรื่องของเขาตลอดเวลา ที่ร้ายกว่านั้น มีคนเล่าให้เขาฟังว่าศรีอำไพถูกฆาตกรรม แต่ทำในรูปแบบของอุบัติเหตุ แม่ฟังแม่ยังขนลุก ถามจริงๆเถอะประมุขแกฆ่าศรีอำไพรึเปล่า”
ประมุขหน้านิ่ง เงียบกริบไม่ตอบคำ คุณหญิงรุจาพูดทั้งน้ำตาคลอ ห่วงลูกชาย
“เขาไม่เอาแกไว้หรอกมุข”
“แต่เขาก็ยอมให้ลูกแต่งงานกับเม”
“เขาอาจจะมีแผนการอะไรซ่อนอยู่ก็ได้ มาร์ครู้เรื่องทุกอย่าง เขาจะไม่คิดทำอะไรเลยเหรอ”
“แต่บีเป็นหลานเขานะแม่”
คุณหญิงรุจาตวาดทันที
“แกเลิกดึงบีมาเกี่ยวข้องซะทีเถอะ บีเป็นลูกประจักษ์ แม่จะมอบส่วนดีที่สุดของอัคราช และเลือดเนื้อเชื้อไขของศรีอำไพคืนเขาไป”
ประมุขสวนด้วยความโกรธ เสียงดัง
“คุณแม่โกหกตัวเองอีกแล้วนะครับ ถ้าบีคือส่วนดีของอัคราช ส่วนนั้นก็คือส่วนที่ได้ไปจากผม”
คุณหญิงรุจาตาเบิกกว้างด้วยความโกรธ ประมุขยังคงพูดต่อไป...
“ประจักษ์จะดีเด่นขนาดไหน เขาก็ทำให้บีเกิดไม่ได้หรอกครับ”
คุณหญิงรุจาสะบัดมือตบหน้าประมุขฉาดใหญ่ทั้งน้ำตา จนประมุขหน้าหันไปตามแรง คุณหญิงรุจาพูดถามเสียงสั่นเครือ ตัวสั่นสะท้าน
“แกเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าบีเป็นลูกของแก คำพูดของแกแต่ละคำ แสดงถึงพื้นนิสัยของแก อยากจะให้คนเขาเข้าใจว่าแก มันบัดซบขนาดปล้ำเมียน้องชายรึไง”
คุณหญิงรุจาน้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บช้ำ ประมุขอึ้งๆไป...
“คุณแม่”
คุณหญิงรุจาไล่ลูกชายทั้งน้ำตา
“แกไปให้พ้นหน้าแม่เดี๋ยวนี้”
“คุณแม่ครับ คุณแม่จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ผมเสียใจกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับไพ ถ้าผมจะผิดก็ผิดตรงที่ผมรักเขา ผมไม่เคยคิดร้ายกับเขา ผมฆ่าคนที่ผมรักไม่ได้หรอกนะครับคุณแม่”
“ไป...แกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้เลย ต่อให้แกรำพันจนตาย แม่ก็ไม่เชื่อ แม่ยืนยันได้ว่าเหตุการณ์ชั่วร้ายไม่เคยเกิดกับศรีอำไพ ลองดูแล้วกันว่าคำพูดของแกกับคำพูดของแม่ คนทั้งโลกจะเชื่อใคร”
คุณหญิงรุจาน้ำตาท่วมขึ้นมา จนแววตาสั่นระริก ประมุขสะกดอารมณ์ มองหน้าแม่ รู้สึกเจ็บช้ำ ตาแดงก่ำ คุณหญิงรุจาพูดเสียงสั่น น้ำตาท่วม...
“จักษ์กับไพเป็นคนสะอาด เขาสองคน สร้างบีให้เกิดมา ถ้าแกมีส่วนให้ใครต้องเกิดนอกจากเมก็เจ้าทศโน่น”
ประมุขผงะไป
“ได้โปรดเถอะครับคุณแม่ อย่าพูดถึงคนๆนี้ ผมทนเห็นตัวเองเป็นไอ้ควายโง่ตัวหนึ่งของใครไม่ได้”
คุณญิงรุจาแค่นขำทั้งน้ำตาคลอ
“แกทนไม่ได้ แกอับอายเสียใจ นั่นเพราะแกไม่ได้รักเขา แล้วเคยคิดมั้ยว่าคนที่ตกในสภาพอย่างแกก็มี แต่เขารักกัน แกได้ยินมั้ยเขารักกันมาก ผลผลิตจากความรักของพวกเขา คือความบริสุทธิ์ คือสมบัติของเขา ไม่ใช่ของแกเลย ผีพนันอย่างแกมันไม่เหลือสมบัติอะไรเป็นของตัวเองแล้ว แกไม่มีอะไรเหลือแล้วประมุข”
ประมุขขบกรามแน่น เดินหน้าบึ้งตึง ตาแดงก่ำออกไปจากห้อง คุณหญิงรุจาทรุดตัวลงนั่ง น้ำตาซึมที่ตั่งอย่างหมดแรงกายแรงใจ

+ + + + + + + + + + + +

สไบนางเดินคุยกับบารมีมาตามสวนหลัง ที่ปลูกพวกพืชผักสวนครัวไว้ สไบนางเล่าเรื่องระหว่างเธอกับอุปมาไปด้วย
“เราเจอกันครั้งแรกด้วยความรู้สึกไม่ดีน่ะค่ะ”
บารมียิ้มๆ
“แล้วเจอครั้งสองล่ะ”
“ก็ยังไม่ดีค่ะ แล้วก็เลวลงเรื่อยๆ สรุปเราไม่ถูกชะตากันค่ะคุณลุง”
“แล้วไม่มีทางแก้ไขได้เลยเหรอ”
“ยากค่ะ ยิ่งบีได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง ของลูกชายลุงแล้วบียิ่งรับไม่ได้”
บารมีสงสัย...
“มาร์คมีความลับอะไรที่ลุงไม่รู้เหรอ”
สไบนางจงใจฟ้อง
“ลูกลุงเล่นชู้กับเมียคนอื่น เมียน้อยด้วย แล้วนี่ตัวเอง จะมาแต่งกับพี่เมก็ยังไม่เลิกกับยัยนั่นเลย”
บารมีอึ้งๆไป
“มาร์คอาจจะเจ้าชู้อยู่บ้าง”
สไบนางสวนขัด
“อยู่เยอะค่ะ”
“ก็นั่นล่ะ แต่ลุงมั่นใจว่ามาร์คไม่ทำเรื่องผิดศีลธรรมแน่ๆ ลุงสอนเขาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น พาเข้าวัดไทยตั้งแต่เล็กจนโต”
“พ่อลูกกันก็ต้องเข้าข้างกันอยู่ดี ลุงไม่เชื่อก็ลองไปสืบดูเองแล้วกัน ผู้หญิงใจบาปที่ลูกชายลุงกิ๊กอยู่ชื่อวิมาดา”
บารมีชะงักไปเล็กน้อย เมื่อนึกไปถึงพนักงานบริษัท ที่เพิ่งมาแนะนำตัวเมื่อไม่นานนี้ ตั้งใจว่าจะต้องถามอุปมาให้รู้เรื่อง...

+ + + + + + + + + + + +

เมธาวีเดินออกมาจากบ้านอย่างหงุดหงิด อุปมาตามาติดๆ...
“เป็นอะไรเม”
อุปมางง เพราะเพิ่งเขาไปในบ้านได้ครู่เดียวเท่านั้น...
“หมั่นไส้คน รู้งี้ดูหนังต่อกับคุณก็ดี ไม่รีบกลับมาหรอก”
เมธาวีกอดอก หน้าบึ้งตึง
“ไม่พอใจใคร อาทิตย์เหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิคะ ดูสิจีบเมแท้ๆ เมแต่งงานกับคนอื่นไม่มีสลดเลย แถมมาทำอี๋อ๋อกับบีอีก อย่าบอกนะที่ผ่านมาเมเข้าใจผิดมาตลอด อาทิตย์มาจีบบีไม่ใช่เม”
อุปมาขำๆ
“ซันนี่กะบู้บี้ เหมาะสมกันดีออก”
“ไม่ตลกเลยนะมาร์ค”
“แล้วไง ต้องให้เขาเสียใจ ล้มหมอนนอนเสื่อ คุณถึงจะพอใจเหรอครับ”
“ค่ะ อาทิตย์ทำแบบนี้ เมรู้สึกเหมือนแพ้บี”
เมธาวีเดินอารมณ์เสียต่อไปทางหน้าบ้าน อุปมาตามไปกอดจากด้านหลัง
“อย่าอารมณ์เสียไปเลยครับ เราออกไป หาหนังดูกันใหม่ก็ได้นี่ครับ เมมีผมอยู่แล้วจะไปใส่ใจความรู้สึก คนอื่นอีกทำไม...ผมก็น้อยใจเป็นเหมือนกันนะ”
เมธาวีนิ่งไปอย่างได้คิด ถอนใจออกมา
“เมขอโทษค่ะ อารมณ์ผู้หญิง มาร์คอย่าถือสาเลยนะ”
อุปมาหอมแก้มเมธาวีฟอดใหญ่ โดยไม่รู้ว่าที่หน้าประตูรั้วนั้น ชันษาที่อยู่ในสภาพค่อนข้างโทรม ไว้หนวดไว้เครา หน้าตาอิดโรย แต่งเนื้อแต่งตัวไม่ดูแล จับตามองเขม็งมาที่ทั้งสองคน
อุปมาถอนหอมพร้อมอ้อน...

“นี่ล่ะครับคือเสน่ห์ของผู้หญิง”
เมธาวีเหยียดปาก แล้วผละตัวออก
“เมจะคอยดูหลังแต่งงาน มาร์คจะคิดว่านี่คือเสน่ห์ หรือ นิสัยน่ารำคาญของผู้หญิงกันแน่ เมธาวีค้อนใส่แล้วจะเดินไปขึ้นรถ อุปมายิ้มทะเล้น แกล้งเดินไปตบก้นเมธาวีบีบเบาๆ อารมณ์หมั่นเขี้ยว เมธาวีเขินๆ
“เดี๋ยวเถอะมาร์ค”
อุปมาขำๆ วิ่งไปเปิดประตูให้เมธาวีขึ้นรถไป ชันษาที่มองอยู่ กำมือแน่น แววตาดุดัน มุ่งมุ่นอยากเอาชนะ ณ เวลานี้ เมื่อจะต้องสูญเสียหญิงสาวอันไปเป็นที่รักไป ชันษาไม่ได้เจียมตัวยอมถอยเหมือนแต่ก่อนแล้ว!!

+ + + + + + + + + + + +

วิจิตราเดินกลับเข้ามาห้องนอน เห็นประมุขนอนซมอยู่บนเตียง ก็มองอย่างแปลกใจว่าเป็นอะไร แต่เพราะอารมณ์ไม่ดีจึงถามห้วนๆ
“จะไม่ทานข้าวทานปลารึไง”
ประมุขรู้สึกปวดหัวมาก ลุกไม่ไหว แข็งใจถาม
“พี่มีล่ะ”
“เขาเปลี่ยนใจกลับไปแล้ว เอาแต่ใจเป็นใหญ่ เห็นหัวเราซะที่ไหน”
ประมุขพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าซีดเซียว วิจิตราเห็นผิดสังเกต
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า”
“ปวดหัว เดี๋ยวกินยาก็หาย”
ประมุขลุกจากเตียงจะเดินไปหยิบยาก็ทรุดลงไปกองกับพื้นเลย
“คุณ”วิจิตราตกใจมาก วิ่งไปประคอง

+ + + + + + + + + + + +

ค่ำคืนนั้น...
โทรศัพท์ที่บ้านดังขึ้น คุณหญิงรุจาที่รอฟังข่าวประมุข ซึ่งวิจิตรานำตัวไปส่งโรงพยาบาล รีบไปรับอย่างร้อนใจ สไบนางที่นั่งทานข้าวอยู่ ลุกจากโต๊ะมาฟังด้วย เมื่อรับโทรศัพท์แล้วรู้ว่าวิจิตราโทรมาก็ซักทันที
“มุขเป็นยังไงมั่งจิตรา...ได้ๆ เธอไปจัดการให้เสร็จก่อนเถอะ ฝากด้วยนะจิตรา โทรบอกแม่เป็นระยะๆนะ”
คุณหญิงรุจาวางสายไปสีหน้าหนักใจ สไบนางรีบถามอย่างเป็นห่วง
“คุณลุงเป็นยังไงมั่งคะ”
“คืนนี้คงต้องนอนพักที่โรงพยาบาล คุณหมอเขาอยากตรวจให้ละเอียด ก็ดี อายุมากแล้ว เช็คสุขภาพให้ถี่ถ้วนมั่งก็ดี”
“บีเห็นคุณลุงทานยาอะไรก็ไม่รู้เยอะไปหมดเลยนะคะคุณย่า”
“ตามวัยน่ะบีเอ๊ย...บีรักลุงมุขมากมั้ย”
สไบนางยิ้มแย้ม
“ที่สุดค่ะ แต่รองจากคุณย่า เอ๊ะ แต่ว่าลุงมีกำลังจะแซงหน้า เพราะกระเป๋าหนักกว่า”
สไบนางบอกขำๆ คุณหญิงรุจาหน้าขรึมลง
“แล้วพ่อประจักษ์ของเราล่ะ”
“พ่อจักษ์กับแม่ไพขึ้นหิ้งไปแล้วค่ะคุณย่า ที่สุดของที่สุด”
คุณหญิงรุจาน้ำตารื้นขึ้นมา ลูบหัวสไบนาง
“ดีแล้วลูก พ่อกับแม่ต้องเทิดทูนไว้เหนือหัว บีต้องจำเอาไว้นะ พ่อบีคือประจักษ์ แม่บีคือศรีอำไพ ไม่มีใครหรืออะไรมาเปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้น”
สไบนางงงเล็กน้อย
“ค่ะคุณย่า คุณย่าพูดแปลกๆ ใครจะมาเปลี่ยนพ่อแม่บีได้ล่ะคะ ทานข้าวต่อค่ะ”
สไบนางเดินนำไป คุณหญิงรุจามองตามสไบนางไป แอบน้ำตารื้นด้วยความคับข้องใจ
+ + + + + + + + + + + +

(อ่านต่อหน้า 2 )
 










รอยมาร (ต่อ)

เมื่อได้พบกับอุปมาในค่ำคืนนั้น บารมีถามถึงสิ่งที่อยากรู้ทันที...
“วิมาดา เป็นใครกันแน่”
อุปมาชะงักไปเล็กน้อย บารมีเห็นท่าทางของลูกชายก็พูดดักทาง...
“พ่อไม่เชื่อว่าเป็นแค่พนักงานคนหนึ่งของบริษัท”
“เด็กปากเสียมาเล่าให้พ่อฟังใช่มั้ยครับ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
อุปมามั่นใจว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือสไบนางแน่
“มาร์คอย่าไปว่าน้องเลย พ่อซักน้องเองล่ะ เพราะอยากรู้ทำไมน้องถึงเกลียดขี้หน้าลูกนักหนา”
อุปมาหน้าขรึมลง
“ผมขอโทษครับที่ปิดเรื่องวิมาดามาตลอด...วิคือ ผู้หญิงคนแรกที่ผมพูดได้เต็มปากว่าผมรักมาก แต่เหมือนผมถูกหลอกครับพ่อ เธอยอมเป็นเมียเก็บของเจ้านาย เพื่อจะถีบตัวเองให้ดีขึ้น พอมาเจอกับผมที่อเมริกา เหมือนเจอหลักให้เกาะใหม่โชคดีที่ความแตกซะก่อน ทุกอย่างเลยจบ...ผมไม่รู้เลย ไอ้คำว่ารักจากปากเธอจะเป็นความจริงซักกี่เปอร์เซนต์”
“แล้วทำไมถึงกลับมาคบกับเขาอีกล่ะ ไหนแกว่าชอบหนูเมยังไงล่ะ”
“ผมสารภาพกับพ่อตามตรง ผมแค่อยากแก้แค้นครับ”
บารมีมองหน้าลูกชาย อึ้งปนงง
“ผมอยากให้เธอได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด อย่างที่ผมเคยเจอบ้าง ผมอยากเห็นหน้าเธอจริงๆ วันที่ได้รับการ์ดเชิญงานแต่งงานของผมกับเม”
บารมีมองอุปมา แล้วรู้สึกแย่ๆกับตัวเอง...
“เป็นความผิดของพ่อเอง ที่ปลูกฝังให้ลูกเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนี้”
อุปมาชะงักไป
“ไม่จริงนะครับพ่อ พ่อไม่เคยสอน”
“แต่การกระทำของพ่อมันชัดเจนกว่าคำพูด พ่อผิดเอง”
“ไม่จริงหรอกครับ สิ่งที่ประมุขทำกับครอบครัวเราไว้ ถ้าไม่ตามล้างแค้นก็ถือว่าอกตัญญู”
“เพราะพ่อมัวแต่คิดอยู่ยังงี้ไงมาร์ค ทุกอย่างมันถึงไม่จบซะที... เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร พ่อก็ท่องได้แต่ปากเหมือนนกแก้วนกขุนทอง”
บารมีถอนใจออกมา อุปมาเงียบไปอย่างคิดตาม...
“บางทีการที่มาร์คจะแต่งงานกับหนูเม และหนูบีคือหลานแท้ๆของพ่อ อาจจะช่วยเยียวยาแผลเป็นฉกรรจ์ของเราสองครอบครัวให้จางลงบ้างก็ได้นะ”
“ถ้ามันจะทำให้พ่อสบายใจขึ้น ผมก็ไม่ขัดข้อง อยู่แล้วล่ะครับ”
บารมีตบบ่าอุปมา ยิ้มขอบใจ
“หวังว่าอะไรๆ มันคงยังไม่สายเกินไปนะ”
อุปมายิ้มรับ
“เอ้อ...พ่อจะจัดงานขึ้นบ้านใหม่ให้เรียบร้อยก่อนถึงงานแต่งเรา นะมาร์ค ช่วยเป็นธุระให้พ่อที”
“ครับพ่อ”อุปมายิ้มรับด้วยความเต็มใจ

หลายวันต่อมา....
คุณหญิงรุจา เดินลงบันไดบ้านมาที่หน้าบ้าน บังอรกำลังง่วนคุมเด็กรับใช้ ลุงแก้วช่วยขนของเพื่อไปช่วยงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของบารมีใส่หลังรถ
“แม่บุบบี้ล่ะ”
“ยังไม่ลงมาเลยค่ะ”
“ตายจริง เดี๋ยวก็ไปไม่ทันฟังพระสวดหรอก”
“บังอรขึ้นไปตามให้ค่ะ”
“แล้วก็ดูเรื่องเสื้อผ้าการแต่งตัวด้วยนะ เดี๋ยวจะแต่งเป็นตุ๊กตาเสียกบาลอีก ทันใดสไบนางส่งเสียงใสมาก่อน
“บีเสร็จแล้วค่ะคุณย่า”
คุณหญิงรุจาและบังอรหันไปมอง ต่างตกใจ บังอรถึงขั้นยกมือขึ้นปิดปาก
“คุณพระช่วย”คุณหญิงรุจาวางมือทาบอก
สไบนางในชุดจินนี่สาวพันปีในตะเกียงวิเศษ สีชมพู มีผ้าคลุมผม เครื่องประดับครบเซ็ต ยิ้มแย้มหน้าทะเล้น หมุนโชว์ตัวอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน แล้วแถมโชว์สเต็ปนางระบำไม่มีกระดูกให้ย่าดูเล็กน้อย
“สวยมั้ยคะคุณย่า”
รุจาสูดหายใจลึก เสียงดุ
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้ ย่าให้เวลา 10 นาที”
สไบนางทำหน้าใสซื่อ
“ทำไมล่ะคะ ไม่สวยเหรอคะคุณย่า หรือว่า ไม่เหมาะสมคะ”
“ยัยเด็กคนนี้นี่ รู้แล้วยังมีหน้ามาถามอีก ย่ารู้ว่าเราแกล้งเพราะไม่อยากไป ลุงเขาขอมาทั้งที จะไว้เว้นบ้างซักงานเชียวเหรอ”
“บีไม่อยากไป แต่ก็ฝืนทำเพื่อคุณลุง กับคุณย่าแล้วนะคะ”
“ดูสิแม่อร เถียงคำตกฟากที่ไหน...เราไปกับเถอะแม่อร ใครไม่เต็มใจไปก็ไม่ต้องไป”
“คุณบีคะ บังอรขอเถอะค่ะ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เถอะนะคะ สงสารคุณย่าท่านบ้างเถอะ”
“ไม่ค่ะ บีแต่งตัวเหมาะสมแล้ว นายนั่นมีเชื้ออาหรับ แต่แค่นจะ อยู่บ้านไทย ฟังพระสวดอย่างไทยๆ บีจะแกล้งมัน”
รุจาถอนใจส่ายหน้าเดินนำไปขึ้นรถก่อน...ลุงแก้วคอยเปิดประตูรถให้ บังอรเข้าไปจับแขน พยายามหว่านล้อม
“อย่าหาว่าคุณบังอรเข้าข้างใครเลยนะคะ คุณมาร์คเธอมีศักดิ์เป็นพี่ คุณบีไม่เห็นแก่เขาก็ขอให้เห็นแก่คุณลุงบารมี ท่านกำชับนักหนาอยากให้คุณบีไปร่วมงาน อย่าทำให้ท่านผิดหวังเลยนะคะ”
“ฮึ”สไบนางเอาแต่ใจ กอดอกหันข้างให้
“นะคะคุณบี ไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะคะ เดี๋ยวคุณบังอรเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เอง”
“ไม่ค่ะ ถ้าบีไม่ได้ใส่ชุดนี้ บีไม่ไป”
สไบนางทั้งรั้น ทั้งเอาแต่ใจ

+ + + + + + + + + + + +

วิมาดาขับรถมาจอดหน้าบริษัทที่ปิดทำการ แต่มีพนักงานชายหญิงยืนรออยู่ 3-4 คน วิมาดากดกระจกหน้าบอกอย่างยิ้มแย้ม
“ขึ้นรถเลยจ้ะ”
“คุณมาร์คไม่ได้ชวน เราจะไปดีเหรอคะคุณวิ”
“คุณมาร์คเธอเกรงใจน่ะสิ ถือว่าเป็นน้ำใจจากพนักงาน อยากช่วยงานเจ้านาย คุณมาร์คจะปลื้มใจมากกว่า รีบขึ้นมาเร็วๆ เข้าเถอะ มีปัญหาอะไรพี่รับผิดชอบเอง”
พนักงานพากันขึ้นรถวิมาดามาอย่างไม่มั่นใจนัก วิมาดาอมยิ้มเจ้าเล่ห์ใช้พนักงานอื่นเป็นโล่เพื่อตัวเองจะได้ไปงานโดยไม่โดยอุปมาโกรธและตะเพิดไล่

+ + + + + + + + + + + +

ที่บ้านทรงไทย...
อุปมา กับเมธาวี ยืนต้อนรับแขกอยู่กับประมุข และ วิจิตรา แขกผู้ใหญ่สามี ภรรยาสูงวัยเดินเข้ามาหา ทุกคนยกดมือไหว้
“ดีใจด้วยนะคะ ได้ข่าวว่าสองครอบครัวจะดองกันแล้ว”ภรรยาคุยกับวิจิตรายิ้มแย้ม
“ขอบคุณค่ะคุณหญิง ทราบข่าวเร็วจังเลยนะคะ”
ประมุขรีบบอก
“ขอเรียนเชิญท่านกับคุณหญิงปากเปล่าไว้ก่อนนะครับ ตอนนี้ การ์ดเชิญยังอยู่ในโรงพิมพ์เลยครับ”
ประมุขพูดให้ขำๆ อุปมาเหล่ๆ มองประมุขเล็กน้อย สีหน้านิ่งๆ
“ไม่ต้องห่วง งานนี้ไม่เชิญก็ต้องไป”
ประมุขหัวเราะชอบใจ
“ขอบคุณมากครับท่าน”
สามีหันถามอุปมา
“พ่อเราล่ะ”
“จัดอะไรอยู่บนบ้านไม่ทราบครับ”อุปมาเหลือบเห็น “ลงมาพอดีเลยครับ”
ทุกคนหันมอง...บารมีลงมาจากบ้าน ด้วยชุดกางเกงขากว้างสีกรมท่าแบบชาวสวน และเสื้อกุยเฮงสีเผือด ผ้าขาวม้าเคียนเอว ประมุข วิจิตรา และเมธาวี ยิ้มแห้งไป ต่างมีสีหน้าดูถูก
สามีและภรรยาคู่นั้นเดินไปทักทาย อุปมาเดินตามประกบไป วิจิตราพูดเบาๆ
“แต่งตัวอะไรของเขา น่าเกลียดที่สุด”
“นั่นสิคะคุณแม่ ยังกะคนสวน แขกผู้ใหญ่ คุณหญิงคุณนาย เต็มบ้านไปหมด เมอายเจ้านายจังเลย”
ประมุขปราม
“เอาน่า คนรวยทำอะไรไม่ผิดหรอก ตัวของเค้าช่างเขาเถอะ เราทำตัว เราให้ดูดีก็พอแล้ว”
“อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลยนะคะ ฉันขอไม่อยู่ใกล้ บอกตามตรงรับไม่ได้ ไม่รู้จักกาละเทศะ”
เมธาวีรีบเสริมแม่
“เมก็เหมือนกันค่ะแม่ เมจะไม่แนะนำใครเด็ดขาดว่าลุงเฉิ่มนี่ เป็นพ่อว่าที่เจ้าบ่าวเม”
“เราไปรับแขกห่างๆดีกว่าเม”วิจิตราชวน
“ดีค่ะแม่”
สองแม่ลูกจูงมือกันเดินเลี่ยงไป ประมุขได้แต่ถอนใจยาวออกมา ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มแย้ม เข้าไปต้อนรับแขกนายทหารที่เดินเข้างานมาอย่างรู้งาน

+ + + + + + + + + + + +

บารมีเดินคุยโทรศัพท์มือถือเลี่ยงออกมาทางท่าน้ำ…
“ไม่เป็นไรงานเล็กๆ แต่ว่างานแต่งลูกชาย ห้ามเบี้ยวเด็ดขาดนะ”
บารมีฟังอีกฝ่าย แล้วหัวเราะชอบใจก่อนจะมองเลยไปทางท่าน้ำ เห็นเด็กสาววัยรุ่นจูงยายปลื้มขึ้นจากเรือที่ท่าบ้าน มีคนงานคอยจับเรือคอยจูง เหลนสาวถือปิ่นโตเถาติดมือมาด้วย บารมีจำได้ รีบคุยตัดสาย
“งั้นแค่นี้ก่อนแล้วกัน ขอตัว รับแขกก่อน...ไม่เป็นไรๆ โอเค... ซียู...”
บารมีกดตัดสายแล้วเดินไปหาที่ท่าน้ำ
“ป้าปลื้มใช่มั้ยครับ”
ยายปลื้มช้อนตาขึ้นมอง เพราะตาฝ้าฟางแล้ว
“ใครวะ”
“มีไงป้า บารมีลูกพ่อเทียน”
ยายปลื้มดีใจมาก
“พ่อมีเรอะ... โธ่ พ่อมี”ยายปลื้มจับเนื้อจับตัว “เอ็งยังไม่ตาย เอ็งยังไม่ตายจริงๆด้วย”
บารมีดีใจมากที่ได้เจอเพื่อนพ่อแม่
“ป้าย้ายไปอยู่ที่ไหนครับ ผมเคยตามหา เขาบอกว่าป้าย้ายไปแล้ว”
“ป้าย้ายไปอยู่สุพรรณ...ที่ทางแถวนี้โอนให้มัน ไอ้ชาติชั่วมันขายหมด ข้าเลยไปอยู่กับลูกสาว เหลนข้า นังน้อยไหว้ปู่เอ็งซะสิ”
น้อยสาวยกมือไหว้ บารมีรับไหว้ มองอย่างเอ็นดู ยายปลื้มเพ่งมองหน้า
“ข้าได้ยินข่าวว่าเอ็งกลับมาแล้ว เอ็งหายไปไหน นานนักวะ”
“เรื่องมันยาว เข้าไปนั่งคุยในบ้านเถอะป้า”
บารมีช่วยจูงยายปลื้มเข้าไปทางบ้าน ยายปลื้มกวาดตามองบ้านผงะไป
“บ้านพ่อเอ็งปลูกตรงนี้แหละข้าจำได้...เอ็งเล่นปลูกบ้านคร่อมทับบ้านผีตายโหง เซ่นสายบอกกล่าวพ่อแม่เอ็งรึเปล่าวะ”
“บอกแล้วจ้ะป้า สวดมนต์ทุกคืน ถ้าพ่อแม่ผมต้องการชดใช้จริง ขอบันดาลให้ทุกสิ่งเป็นไป”
บารมีบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“พูดอะไรของเอ็ง ข้าขนลุก ขึ้นบ้านใหม่นะโว้ย พูดให้เป็นมงคลหน่อย”
บารมีเคร่งขรึมลง ลึกๆ ก็ว้าวุ่นใจว่า ควรล้างแค้นต่อหรือหยุดดี

+ + + + + + + + + + + +

อุปมาส่งแขกผู้ใหญ่ขึ้นไปนั่งรอฟังพระสวดบนบ้าน แล้วเดินลงเดินมาต้อนรับแขกต่อ หัสดินวิ่งหน้าตาตื่นมาหา
“ไอ้มาร์ค...ตามหาแทบแย่”
“มีอะไรวะ”
“รถไฟกำลังจะชนกันแล้วมึง”
“อะไรของแกวะ”อุปมางงเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน วิมาดาเดินยิ้มแย้ม ห้อมล้อมพนักงานบริษัทของอุปมา เข้ามาในบริเวณบ้าน วิมาดากวาดตามองหาอุปมา อีกด้านเมธาวีหาน้ำมาให้วิจิตราที่นั่งพักเมื่อย สะบัดพัดโบกอยู่ไปมา
“น้ำค่ะแม่”
“ขอบใจจ้ะ นั่งพักกับแม่ก่อนเม ยืนรับแขกนานแล้ว”
เมธาวีนั่งลง พร้อมเหลือบตาไปทางหน้าบ้าน ชะงักไป เพ่งมองไปที่วิมาดาอย่างจำได้ ขณะเดียวกัน อุปมาและหัสดิน รีบเดินปรี่เข้ามารับหน้าวิมาดาและพนักงาน ทุกคนต่างยกมือไหว้ อุปมาและหัสดินรับไหว้
“พวกเรารวมตัวกันมาช่วยงานคุณมาร์คค่ะ”
อุปมาฝืนยิ้ม
“ขอบคุณทุกคนมากนะ”
“น้องๆหนูๆ ตามมาทางนี้เลย กำลังต้องการแรงงานพอดี”
หัสดินสบตาอุปมาเล็กน้อย ก่อนพาพนักงานคนอื่นๆไป อุปมาจ้องวิมาดาสายตาดุดัน เสียงแข็ง
“เธอตามฉันมานี่”
อุปมาหน้าตาบึ้งตึงเดินนำไปก่อน วิมาดาหน้าเจื่อนไป เดินตามไปห่างๆ เมธาวีมองตามตาม
“เดี๋ยวเมมานะคะคุณแม่”
เมธาวีรีบเดินตามไปติดๆ วิจิตรากำลังดื่มน้ำอยู่ เลยเรียกลูกสาวไม่ทัน
อุปมาพาเมธาวีมาคุยที่มุมสนามลับตา อุปมาขึงขังใส่วิมาดา
“ผมสั่งคุณแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้มาที่นี่”
“ก็น้องๆ เขาอยากมาช่วยงาน”
“โกหก”อุปมาสวนทันที
วิมาดาผงะไปเล็กน้อย
“พนักงานทุกคนรู้จักนิสัยผมดี ถ้าผมไม่สั่ง หรือขอให้ช่วยพวกเขาจะไม่ยุ่ง นอกจากจะมีคนเจ้ากี้เจ้าการ”
วิมาดาเริ่มโมโห ลอยหน้าลอยตา
“แล้วไงคะ วิทำผิดมหันต์ คุณจะไล่วิออกเลยมั้ยคะ”
“อย่ามาท้าทายผมแบบนี้นะวิ”
อุปมาสายตาดุ แข็งกร้าว วิมาดาเหยียดปากเซ็งๆ
“ผมอยากให้คุณกลับไป”
วิมาดาจ้องหน้า
“วิไม่กลับ”
อุปมาอึ้งไปเหมือนกัน เจออีกฝ่ายแข็งขึ้นมา
“ทำไมคะ คุณจะชวนสาวๆ คนไหนมาเปิดตัวงานนี้เหรอคะ คงจะเป็นยัยเมธาวีอะไรนั่นล่ะซิ”
เมธาวีหลบมุมแอบฟังอยู่
“ผมจะเปิดตัว หรือ ปิดตัวใคร มันก็เรื่องของผม...วิไม่อยากกลับก็ได้ แต่อย่าสร้างปัญหาเดือดร้อนให้ผมก็แล้วกัน ผมให้โอกาสคุณแก้ตัวอยู่ ถ้าฟางเส้นสุดท้ายขาดทุกอย่างจบ คุณก็รู้ดีว่าผมเป็นคนเด็ดขาดแค่ไหน”
อุปมาจ้องตาวิมาดา เชิงกำหราบ แล้วเดินหัวเสียกลับออกไป อุปมาเดินกลับไปทางตัวบ้านไทย วิมาดาหันมองตามอุปมาไปอย่างหงุดหงิดกระฟัดกระเฟียด เมธาวีค่อยๆ ถอยฉากเดินเลี่ยงหลบออกไปอีกทาง แต่ไม่พ้นสายตา วิมาดามองอย่างอิจฉา พึมพำชิงชัง
“แกจริงๆด้วย”
วิมาดาสีหน้าเกลียดปนหึงหวง เดินฉับๆ ตามเมธาวีที่เดินไปทางท่าน้ำ
“ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งนะคะ”
เมธาวีหันขวับมาจ้องหน้า วิมาดายิ้มเหยียด
“ไม่ยักรู้นะคะว่ามาร์คก็เชิญคุณด้วย วันนี้คงมีผู้หญิง ของมาร์คเดินเพ่นพ่านเต็มงานไปหมด”
“มาร์คไม่ได้เชิญฉันหรอกค่ะ”
วิมาดาขำหยัน
“ว่าแล้วเชียว”
“แต่ฉันต้องมาตามหน้าที่ คู่หมั้นจัดงานขึ้นบ้านใหม่ทั้งที ฉันจะ ไม่มาได้ยังไงล่ะค่ะ”
วิมาดาอึ้งปนงง เมธาวีกรีดมือโชว์แหวนหมั้นให้ดู วิมาดาแทบยืนไม่อยู่ เหมือนโดนน้ำเย็นราดลงกลางหัว นึกไม่ถึง เมธาวีเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เราหมั้นกันเป็นการภายในเมื่อตอนวันเกิดคุณย่า งานแต่งจะจัดปลายเดือนหน้า ถ้าไม่รู้สึกอึดอัด อยากจะไปเดินเพ่นพ่านงานนั้นด้วยก็ได้นะคะ”
วิมาดาฝืนยิ้มสู้
“เหรอคะ งั้นรุ่นพี่ก็ขอแสดงความยินดีกับรุ่นน้องด้วย”
วิมาดายื่นมือไปเช็คแฮนด์ เมธาวีไม่อยากจับมือด้วย จะเดินหนี วิมาดาพูดเปรยขึ้นมา
“ฉันกับมาร์คคบกันได้ประมาณปีนึง งานทำให้ ฉันกับมาร์คต้องจากกัน”
เมธาวีหยุดกึก ฟังด้วยความสนใจ ลึกๆก็อยากรู้
“ฉันคืออดีตของมาร์ค เขารักฉันมาก”
เมธาวีทนไม่ได้ ต้องหันกลับมาจ้องหน้าวิมาดาอีกครั้ง วิมาดาสู้ตา พูดจริงผสมเท็จไปเรื่อย
“มาร์คบอกว่าฉันคือรักแรก ของเขา ฉันไม่อยากเชื่อแต่ก็ชื่นใจบอกไม่ถูก ฉันอาจจะคิดผิดที่เลือกงาน แทนที่จะเลือกคนที่ รักฉันอย่างมาร์ค”
เมธาวีไม่อยากทนฟัง
“อดีตของมาร์คกับใครต่อใครฉันไม่สน เพราะมันคืออดีต”
เมธาวีจะเดินไป วิมาดากระชากแขนเมธาวี ให้หันหน้ากับมาหาตน
“แต่วันนี้ฉันกลับมาแล้ว ฉันทิ้งงานที่เป็นศัตรูของความรักไปแล้ว”
เมธาวีสะบัดมือวิมาดา ที่จับแขนตนอยู่ออกอย่างแรง วิมาดายิ้มเย้ยๆ
“ฉันกลับมาของานมาร์คทำ มาร์คเต็มใจมอบตำแหน่งผู้ช่วยให้กับฉัน ถ้าคุณแต่งงานแล้วยังเห็นฉันกับมาร์ค สนิทสนมกันเหมือนเดิม คุณคงหนักแน่นพอจะไม่เข้าใจผิด เราสองคนนะคะ”
วิมาดายิ้มกวนๆเย้ยๆ เมธาวีจ้องหน้าวิมาดาอย่างชิงชัง ทันใดเสียงอุปมาดังขึ้น...
“ไม่มีใครเข้าใจผิด อดีตที่ถูกฝังลืมไปแล้วหรอก”

ทั้งสองคนหันมองไปด้านหลัง วิมาดาตกใจมาก อุปมาหน้าเครียด จ้องหน้าวิมาดา
“ทุกอย่างผิดแผนไปหมด คุณอยากรู้มั้ยว่าทำไมผมถึงกันไม่ให้คุณมาที่นี่”
วิมาดาจ้องหน้าอุปมาอย่างสงสัย อุปมาพูดต่อด้วยน้ำเสียงสะใจลึกๆ
“เพราะผมไม่อยากให้คุณรู้ความจริง จนกว่าวันที่คุณได้รับการ์ดเชิญแต่งงานของผมกับเม”
วิมาดาผงะไป น้ำตาเอ่อขึ้นมา
“คุณหลอกวิ”
อุปมาสวนทันควัน
“เหมือนที่คุณเคยหลอกผม...ผมอยากให้คุณได้รู้สึกเจ็บปวด เหมือนอย่างที่ผมเคยโดน น่าเสียดาย ความแตกเร็วไปหน่อย”
วิมาดาน้ำตาร่วง
“คุณใจร้ายมากนะมาร์ค”
“ระหว่างเราไม่เหลืออะไรติดค้างกันอีกแล้ว...เรื่องงานคุณคงไม่พ้นโปรแน่นอน ทางที่ดีหางานใหม่เสียแต่เนิ่นๆ”
วิมาดาเจ็บแค้นจนกำหมัดแน่น จ้องหน้าอุปมาแล้วสะบัดหน้าพรืดวิ่งร้องไห้ออกไป อุปมาสูดหายใจลึกมองไปที่เมธาวี
“คุณคงเข้าใจทั้งหมดแล้วนะเม ผมกับวิไม่มีความผูกพันอะไรเหลืออยู่อีกแล้ว”
เมธาวีสีหน้าขรึมๆ
“คุณไม่คิดเหรอว่าสิ่งที่คุณทำ มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น”
“ผมอาจจะดูใจร้าย แต่มันก็สาสมกับสิ่งที่เขาทำไว้กับผม”
เมธาวีมองอุปมาที่สีหน้าผูกใจเจ็บ
“เรายังรู้จักกันน้อยไปจริงๆ นะมาร์ค”
เมธาวีเดินดิ่งๆ นำกลับไป อุปมาถอนใจยาว ยักไหล่เซ็งๆ

+ + + + + + + + + + + +

คุณหญิงรุจาหน้าเครียดๆ เดินคู่กับบังอรนำเข้าบ้านไทยมา ประมุขและวิจิตราหันมาเห็น จึงเดินเข้ามาหา
“บีล่ะครับคุณแม่”
คุณหญิงรุจาถอนใจส่ายหน้า สไบนางในชุดจินนี่ในตะเกียงเดินยิ้มแย้มตามเข้ามา วิจิตราตาโต
“โอ้ มาย ก๊อด...”
สไบนางยิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะคุณลุง มาแต่เช้าเลยนะคะ จะเอาใจเขาล่ะซิ”
“มาช้ายังปากมากอีกนะเรา แล้วแต่งเนื้อแต่งตัวอะไรมา รู้จักกาลเทศะมั่งมั้ย คุณแม่ก็ตามใจเกินไป”
คุณหญิงรุจาถอนใจ บารมีเดินออกมาพอดี
“หลานสาวลุงมาแล้ว”
ทุกคนหันมอง บารมีเดินยิ้มแย้มเข้ามาหา สไบนางยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะคุณลุง”
บารมีมองดูหลานสาวไปรอบๆ สไบนางหมุนตัวเอาใจให้ดู
“แต่งตัวสวยจริงๆ เลย หลานสาวลุง”
สไบนางยิ้มปลื้ม
“ขอบคุณค่ะ”
บังอรอมยิ้มขำๆ วิจิตราเหยียดปาก พึมพำ
“ลุงหลานพอกันเลย”
“ขอยืมตัวหลานสาวซักครู่นะครับ...”บารมีโอบเอวสไบนางพาเดินออกไป
คุณหญิง รุจาหันไปบอกบังอร
“เข้าคู่กันดีจริงๆ”
บังอรยิ้มแย้ม
“บังอรดีใจแทนคุณบีนะคะ”
คุณหญิงรุจายิ้มๆส่ายหน้า ประมุขตัดบท...
“ขึ้นบนบ้านเถอะครับคุณแม่ พระใกล้จะสวดแล้ว”
ประมุข วิจิตรา พารุจาและบังอรขึ้นบ้านไป

+ + + + + + + + + + + +

บารมีจูงมือสไบนาง มาทางสนามข้างบ้าน สวนกับอุปมาที่เดินหน้าบึ้งตึงกลับเข้ามา อุปมาผงะไปเมื่อเห็นการแต่งตัวของสไบนาง อุปมาเบ้ปาก นึกในใจว่า แต่งตัวอะไรของเธอ สไบนางเข้าใจความคิดของอุปมา แลบลิ้นใส่ทันที
“มาร์ค ขึ้นไปดูแลแขกเหรื่อแทนพ่อที พ่อขอคุยกับบีก่อน เดี๋ยวตามขึ้นไป”บารมีบอก
“ครับพ่อ...เป็นผมจะจับไปขังไว้บ้านพ่อก่อน อายแขกเขา”
สไบนางเจ็บใจ
“นายก็อย่าไปหื่นปล้ำใครต่อหน้าพระล่ะ ระงับอารมณ์หน่อย”
อุปมาและสไบนางจ้องหน้ากันเขม่นหมั่นไส้
“พอกันเลย...แยกๆ”
อุปมาถอนใจเดินหัวเสียกลับไปทางตัวบ้าน บารมีจูงสไบนางคุยต่อไปทางสนาม
“ลุงคอยตั้งนานนึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”
“เลือกชุดอยู่ค่ะ”
บารมีขำๆ
“คอสตูมลุงจืดไปเลย ช่างกล้านะ”
สไบนางหัวเราะชอบใจ
“ไม่งั้นจะเป็นหลานสาวลุงบารมีได้ยังไงคะ”
บารมียิ้มชอบใจ ลูบหัวสไบนาง
“วันนี้เป็นวันทำบุญบ้าน ลุงตั้งใจให้หนูมามากกว่าใครทั้งหมด เพราะอะไรรู้มั้ย”
“เพราะอะไรคะ”
บารมีมองหน้าสไบนาง
“เพราะหนูเป็นลูกของศรีอำไพ”
สไบนางอึ้งๆไป เข้าใจจุดประสงค์ของลุง
“ตากับยายของหนูตายที่นี่ ตรงนี้ที่เราสองคนกำลังเหยียบ คือที่ดินผืนเก่าของตายาย ของลุงและของแม่ของหนู”
“ทำไมตากับยายถึงตายคะ บีไม่เคยรู้”
บารมีนึกถึงอดีตอย่างช้ำใจ
“พวกเราถูกป้ายความผิด ตากับยายต้องมาตาย อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ บ้านเราถูกเผา ตากับยายของหนูมอดไหม้ไปพร้อมกับบ้าน บีรู้มั้ยว่าใครช่วยชีวิตน้องสาวลุงเอาไว้”
สไบนางน้ำตาคลอๆตาม
“ใครคะ”
“ประจักษ์ เพื่อนรักของลุง พ่อของหนู”
สไบนางยิ้มตื้นตันใจ น้ำตาปริ่ม
“ลุงรอวันนี้มานาน วันที่กลับมาพบกับหลาน แล้วพาหลานมาทำบุญให้พ่อกับแม่ ลุงทำสำเร็จแล้ว”
ทั้งคู่น้ำตาคลอ สไบนางบีบมือบารมีเอาไว้แน่น บารมียิ้มทั้งน้ำตาคลอ
“ลุงภูมิใจที่ซื้อที่ดินของเรากลับคืนมาได้ ปลูกบ้านของเราแทนที่เดิม อัญเชิญพ่อแม่สู่บ้าน หนูทำหน้าที่แทนศรีอำไพ ลุงทำหน้าที่ของลุง ตกลงนะ”
สไบนางและบารมีสบตากันทั้งน้ำตาคลอๆ
“บีรักคุณลุงค่ะ”
บารมีขำๆทั้งน้ำตารื้น สวมกอดสไบนางนาง ลูบหัวอย่างเอ็นดู
“เป็นคำสารภาพ ที่มีค่ามาก พร้อมจะขึ้นไปทำหน้าที่ของหนูรึยัง พระกำลังจะสวดแล้วล่ะ”
สไบนางผละตัวออก รู้สึกผิด
“บีไปยังงี้ได้มั้ยคะ”
สไบนางก้มลงมองสารรูปตัวเอง บารมีขำๆ
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ สวยดีออก ไปเอาไอเดียมาจากไหน”
สไบนางแหยๆ
“บีอยากจะล้อเลียนไอ้...เอ๊ย พี่มาร์คน่ะค่ะ บีเสียใจ บีไม่น่าแต่งตัวยังงี้มาเลย แต่งอย่างลุงยังดีกว่า”
บารมีหัวเราะชอบใจ
“อย่างลุงเนี่ยเหรอะ ลุงแต่งเพราะนึกถึงความหลัง สมัยก่อนลุงแต่งยังงี้อยู่บ้าน”
สไบนางดีใจ
“นึกออกแล้ว บีไปขอยืมเสื้อยายจันทร์มาใส่ดีกว่ายังทันมั้ยคะ”
“ไม่ทันแล้วล่ะ เดี๋ยวลุงบอกคนอื่นๆให้เองว่าบีเพิ่งไปงานโรงเรียนมาก็ตรงมานี่เลย”
“คุณลุงหัวไวจังเลย ต้องแก้ตัวแทนบีจริงๆนะคะ”
“แน่นอน”
สไบนางดีใจ สบายใจแล้ว
“ขอบคุณค่ะคุณลุง”
บารมีกอดคอสไบนาง พาเดินกลับไปทางบ้านไทย

+ + + + + + + + + + + +

ที่ห้องรับแขก...
ขณะที่พระ 9 รูปกำลังสวดอยู่ อุปมานั่งรวมกลุ่มอยู่กับรุจา ประมุข วิจิตรา ส่วนเมธาวีเลือกจะนั่งข้างแม่ห่างจากอุปมา
อุปมาแอบชำเลืองมองเมธาวีอยู่เนืองๆ แต่เธอทำเป็นไม่สนใจ มีสมาธิฟังพระสวดไป สไบนางนั่งไหว้พระฟังสวดในชุดจินนี่สีชมพูเด่น อยู่ข้างบารมีชุดเหมือนชาวสวน ราวกับแต่งแฟนซีมางานกันสองคน ส่วนหัสดินนั่งอยู่ข้างหลังทั้งคู่
ทันทีที่พระสวดจบ ขณะทุกคนกำลังกราบพระ ก็ได้ยินเสียงล้มตึง ดังมาจากนอกชานหน้าบ้าน ตามมาด้วยเสียงหวีดร้องโหยหวน ทุกคนตกใจหันออกไปมองทางหน้านอกชาน
“ผีเข้าอีน้อย”ยายปลื้มร้องลั่น
สไบนางลุกพรวดขึ้นมอง คุณหญิงรุจาดุหลาน
“นั่งลงเลยบี”
สไบนางวิ่งออกไปดูด้วยความอยากรู้
“แม่บี”
คุณหญิงรุจาและบังอรต่างตกใจมากด้วยความเป็นห่วง

อ่านต่อวันพรุ่งนี้





กำลังโหลดความคิดเห็น