ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้า เวลา 09.30 น.
รอยมาร ตอนที่ 12
ขณะที่เดินชมบ้านทรงไทย วิจิตราเดินปรี่มาดูภาพวาดติดผนังอย่างตื่นตาตื่นใจ
“สวยจังเลย ดูป๊าดเดียวก็รู้ว่าต้องเป็นภาพของศิลปินมีชื่อแน่ๆ”
หัสดินพูดยิ้มแย้ม
“ศิลปินก็มีชื่อทุกคนแหละครับคุณน้า มาร์คเขาผ่านแกลลอรี่แถวสยาม ถูกใจก็เลยซื้อกลับมาเลย แสนกว่าแน่ะครับ ผมว่าแพงเกินไป”
ประมุขคุยเขื่อง
“ไม่หรอก สมน้ำสมเนื้อ ไอ้ที่เราเคยประมูลมาก็ราคานี้ไม่ใช่เหรอคุณจิตรา”
“รูปสวนดอกไม้อะไรซักอย่างใช่มั้ยคะ”
“นั่นล่ะ...ทิ้งอยู่ในห้องเก็บของโน่น อย่างว่า...ประมูลเอาชื่อติดสังคมไว้มากกว่า”
“จริงค่ะ” วิจิตราขำๆ เหลือบตาเห็น “ตายแล้ว ดูพรมผืนนี้ซิคะคุณ…”
วิจิตราเดินนำไปอีกห้อง หัสดินเดินตามไปรับแขก ประมุขถอนใจออกมาเซ็งในความขี้เห่อของภรรยา เดินตามไปห่างๆ
+ + + + + + + + + + + +
อุปมา เดินคุยกับบารมีมาตามทางเดินชั้นบน...
“ผมตั้งใจจะประกาศหมั้นกลางงานคืนนี้”
อุปมายิ้มภูมิใจเสนอ บารมีหยุดกึก
“พ่อว่าไม่จำเป็น”
อุปมายิ้มเจื่อนไป
“ทำไมล่ะครับ”
บารมีจับบ่ามาร์ค
“จำที่ลูกพูดกับพ่อได้มั้ยมาร์ค การจดทะเบียนสมรสของคนไทยคือสิ่งที่ลูกไม่เห็นด้วย พ่ออนุญาตลูกสำหรับผู้หญิงคนนี้”
อุปมาสงสัยเล็กน้อย
“เขาจะยอมเหรอครับ”
บารมียักไหล่
“ไม่สำคัญ ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ฝ่ายเรา พ่ออนุญาตลูกเต็มที่”บารมีจ้องหน้า “แต่พ่อขอเตือนมาร์คเอาไว้เรื่องหนึ่ง อย่าให้พ่อตาในอนาคตเข้ามามีส่วนในกิจการ และสมบัติทุกชิ้นของลูกเป็นอันขาด ผีพนันมันสิงตั้งแต่เขารุ่นๆแล้ว เขาไม่มีวันเลิกได้เด็ดขาด”
อุปมาหน้าเคร่งขรึม
“แต่เมเขาไม่รู้เรื่องด้วยกับการกระทำของพ่อเขา มันไม่ยุติธรรมสำหรับเม ถ้าเมรู้ว่าการแต่งงานของเราเป็นการล้างหนี้ให้พ่อเธอเอง เมคงทนไม่ได้”
บารมียิ้มๆ
“ฟังดูเหมือนลูกแคร์เขามากเหมือนกันนะ มาร์คชอบเธอแล้วใช่มั้ย”
อุปมานิ่งขรึมไปเล็กน้อย
“ผมชอบเมครับพ่อ แต่รักได้รึเปล่านั้นต้องดูไปก่อน หัวใจผมมันตายด้านไปนานแล้วครับ ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะรักใครได้อีก”
“เอาเถอะเวลาจะเยียวยาทุกอย่างเอง”บารมีตบบ่าลูกชายหน้าจริงจัง “คนอย่างประมุขถ้าให้เกียรติเขามาก เขาจะถือว่าเราเกรงและลามปามหนักข้อขึ้น พ่อก็ไม่อยากเบ่งกับเพื่อนเก่าคนนี้หรอก แต่ความผิดของเขามาก การที่ประมุขไม่สำนึกผิดเลย พ่อถือว่าเป็นความผิดของพ่อ”
อุปมานิ่งฟังคิดตาม
“วันนี้หลังงานเลี้ยงวันเกิดคุณหญิงเลิก เราจะจัดงานหมั้นเป็นการภายในเท่านั้น”
“ครับพ่อ”
“ลงไปกันได้แล้ว แขกคนสำคัญกำลังรอเราอยู่”
บารมีกอดคออุปมาพาเดินลงบันไดไปชั้นล่าง
+ + + + + + + + + + + +
บังอรในชุดโจงกระเบนลายไทย ห่มสไบข้างเดียวอัดจีบ เดินมาเคาะประตูห้องนอนสไบนาง
“คุณบีคะ เสร็จรึยัง คุณย่าให้ลงไปพบแขกได้แล้วค่ะ”
หยาดฝนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดไทย ตามคอนเซ็ปต์ของงานหันไปถามสไบนาง
“เอาไงบี”
“ฉันลงไปตอนนี้จะเซอร์ไพรส์ได้ยังไงล่ะ”
เสียงบังอรยังดังเข้ามา
“คุณย่าท่านอยากทราบว่าคุณบีจะใส่ชุดอะไรลงไป แต่งตัวสวยๆ อย่าลูกเล่นพิเรนทร์อีกล่ะ อายถึงคุณย่าท่านนะคะ”
ขาดคำประตูห้องก็เปิดออก สไบนางยืนยิ้มในชุดนางรำสวยงาม บังอรนึกไม่ถึง ตะลึงเล็กน้อย
“คุณบี”
สไบนางกระชากแขนบังอรเข้ามาในห้องทันที
“เข้ามาค่ะ”
บังอรตกใจ
“เบาๆ ค่ะคุณบี มีลับลมคมในอะไรอีกคะ”
สไบนางรีบปิดประตูห้องล็อกทันที
+ + + + + + + + + + + +
ณ บริเวณที่จัดงาน...
นักดนตรีร่วมสมัยร้องเพลงเบาๆ บนเวทีที่ยกระดับขึ้นเล็กน้อย ลูกๆหลานๆที่เป็นวัยรุ่นรวมกลุ่มนั่งๆ ยืนๆ หน้าเวทีฟังเพลงไป
โต๊ะอาหารมีแต่อาหารไทย ที่จัดตกแต่งสวยงามระดับฝีมือชาววัง แขกเหรื่อทยอยมาตักอาหารคุยกันไป ลุงแก้ว และนายขำใส่เสื้อป่านกางเกงแพร คอยเสิร์ฟน้ำให้แขกเหรื่อ สาวใช้ในบ้านล้วนแต่งตัวคุมคอนเซ็ปต์ไทยๆ ยายจันทร์และระเบียบก็มาช่วยงานด้วย
ที่โต๊ะคุณหญิงรุจานั้น ตัวคุณหญิงรุจา วิจิตรา หม่อมเกศ หญิงฉัตร และแขกผู้ใหญ่อื่นๆ ล้วนแต่งตัวด้วยชุดไทยออกงานสวยงาม อุปมา หัสดิน บารมี และประมุข ในชุดสูทสากลก็นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
“คุณหญิงไม่บอกก่อนว่างานมีคอนเซ็ปต์แบบไทยๆ ผมจะได้ไม่ต้องแต่งสูทเต็มยศมาขนาดนี้”บารมีบอก
“ไม่เป็นไรหรอก จัดแบบไทย แต่ประดักประเดิดหรอมแหรมพิกล ดูสิ เด็กๆไม่มีใครยอมแต่งซักคน แถมแอบไปจ้างวงสตริงเล่นกลางงานให้อีก”คุณหญิงรุจายิ้มๆส่ายหน้า
“เหลือแต่หญิงสูงวัย ที่ยอมแต่งเท่านั้นล่ะค่ะคุณหญิง”หม่อมเกศพูดขำๆ
วิจิตรารีบค้าน อารมณ์สนุก
“ไม่จริงหรอกค่ะหม่อม ดิฉันขอเถียงคอเป็นเอ็นเลย ว่ามั้ยหญิงฉัตร”
หญิงฉัตรยิ้มแย้ม
“ใช่ค่ะคุณน้า”
ทุกคนก็ยิ้มแย้ม
“ทานข้าวกันเลยดีมั้ยครับ”ประมุข เอ่ยชวน
วิจิตรานึกได้
“ตายจริง ลูกเมยังไม่ลงมาเลย ขอตัวไปตามลูกสาวก่อนนะคะ ไม่รู้จะสวยไปถึงไหน”วิจิตราลุกเดินไป
หัสดินหันไปกระซิบอุปมา
“ทายสิว่าคุณเมจะแต่งชุดไทยมั้ย”
“แม่เขาประโคมขนาดนี้ มีเหรอลูกจะพลาด”
หัสดินขำๆ ขณะเดียวกันนั้น อาทิตย์เดินถือกล่องของขวัญ กวาดตามองหาคุณหญิงรุจามาทางหน้าสนาม คุณหญิงรุจาเหลือบไปเห็นก็ยิ้มแย้มดีใจ
“อาทิตย์ ทางนี้จ้ะ”
อาทิตย์ยิ้มแย้มเดินยกมือไหว้ทุกคนมาแต่ไกล อาทิตย์เข้ามากราบคุณหญิงรุจา
“สุขสันต์วันเกิดครับคุณย่า”
อุปมาเหล่ๆ มองอาทิตย์เล็กน้อย เขม่นๆ รู้ว่าคู่แข่งคนสำคัญ
“นี่คุณอาทิตย์ สุริโย เพื่อนของหนูเมน่ะค่ะ”คุณหญิงรุจาแนะนำ
ประมุขได้ยินนามสกุลรีบลุกไปหา แนะนำตัว
“ผมพ่อของเม ได้ยินจิตรา พูดให้ฟังนานแล้ว เพิ่งจะได้เจอตัว”
อาทิตย์ยิ้มแย้ม ยืดตัวขึ้นยกมือไหว้อีกครั้ง
“คุณพ่อเราเป็นยังไงมั่ง สบายดีมั้ย”
“สบายดีครับ”
บารมีและอุปมาแอบสบตากันเล็กน้อย รู้นิสัยประมุขดี
+ + + + + + + + + + + +
บังอรขึ้นเวทีมาขณะที่นักร้องนำกำลังพูดนำเข้าสู่เพลงต่อไป
“ต่อไปเป็นเพลงตามคำขอนะครับ...”
“ขอโทษนะคะ ขอขัดจังหวะซักครู่”
นักร้องนำงงๆ เล็กน้อย ถอยจากไมโครโฟนให้ แขกหนุ่มๆ สาวๆแอบเซ็งๆ บังอรเดินมาที่หน้าไมโครโฟน ส่วน หยาดฝนเอาซีดีเพลงมาให้นักดนตรีช่วยใส่เครื่องเปิดให้เป็นแบ็คกราวด์ บังอรยิ้มแย้ม พูดใส่ไมโครโฟน
“กราบเรียนคุณหญิงย่าและแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน”
โต๊ะคุณหญิงรุจา...ทุกคนหันมองมาทางเวทีสงสัยเล็กน้อย
“ต่อจากนี้ไป หลานของคุณย่า ขอนำความบันเทิงแบบไทยๆ ชนิดหนึ่งขึ้นมาเปิดการแสดงบนเวที นี่คือของขวัญจากใจ มอบแด่คุณย่า เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของท่าน เชิญพบกับ การแสดงได้เลยค่ะ” บังอรยิ้มแย้มเดินลงจากเวที
หม่อมเกศหันมาถามคุณหญิงรุจา
“มีการแสดงอะไรกันคะคุณคุณหญิงรุจา”
“ดิฉันก็ยังไม่ทราบเหมือนกันค่ะหม่อม”
“สงสัยจะเป็นเซอร์ไพรส์จากหลานๆ นะคะ”หญิงฉัตรยิ้มแย้ม
อาทิตย์ยิ้มแบบรู้ๆ
“ผมเชื่อว่าคุณย่า จะต้องประทับใจแน่นอนครับ”
อุปมาแอบเหล่ๆ เขม่นๆอาทิตย์ เสียงดนตรีไทยเปิดจากแผ่นดังนำมาจากเวที ทำให้ทุกคนหันความสนใจไปทางเวทีต่อ
สไบนางรำศรีวิชัยออกมาหน้าเวที ยิ้มหวานพร้อมรำที่อ่อนช้อย ผิดกับสไบนางจอมห้าวที่คุ้นตา เด็กๆหน้าเวทีแอบทำหน้าเซ็งๆกัน เพราะอยากฟังเพลงมากกว่า สไบนางเห็นแต่ยิ้มสู้ ตั้งใจรำไปอย่างสวยงาม
ที่โต๊ะคุณหญิงรุจา ทุกคนในโต๊ะดูการรำของสไบนางยิ้มปลื้มใจ ชื่นชม บารมีหันไปกระซิบกับอุปมาและหัสดิน
“ใช่หนูบีแน่เหรอ”
หัสดินงงๆ
“นั่นสิครับ”
“สงสัยจะโดนผีสิง”อุปมาแขวะ
หัสดินหลุดขำดังออกมา คุณหญิงรุจาเหล่มองดุๆ ใส่ หัสดินจ๋อยๆไป
สไบนางตั้งใจรำอย่างสวยงามมีสมาธิ แต่แล้วเธอกลับถูกแย่งความสนใจไปอย่างจัง เมื่อเมธาวีเฉิดฉายในชุดไทยประยุกต์งามหรู จูงมือวิจิตราเดินตัดหน้าเวที ความสวยสง่า เปล่งประกาย ของเมธาวี ดึงดูดทุกสายตาไปจากเวที สไบนางอึ้งๆ ไปแต่ก็ฝืนยิ้มทำหน้าที่ของตนไป อุปมามองเมธาวีตาเป็นประกาย กระซิบบอกพ่อ
“นี่ไงครับพ่อ ว่าที่เจ้าสาวของผม”อุปมายิ้มปลาบปลื้ม
เมธาวีหันมองไปบนเวทีขำหยันๆ พูดกับแม่ให้เสียงดังให้สไบนางได้ยิน
“ใครจ้างลิงมารำลิเกคะแม่”
วิจิตราขำๆ ตีแขนเมธาวีเล็กน้อย บังอรและหยาดฝนมองดูอยู่ข้างๆเวที ลุ้นเอาใจช่วย เห็นสไบนางเริ่มเสียสมาธิ หยาดฝนเอาใจช่วยเพื่อน กุมมือระหว่างอก
“ขออย่าให้เป็นอย่างที่บีกลัวเล้ย”
สไบนางรำไป มีอาการเสียความมั่นใจเล็กน้อย ยิ้มไม่ค่อยออก ทันใดชันษาวิ่งมาหน้าเวทีพร้อมกล้องถ่ายรูป ตะโกนให้กำลังเพื่อน
“บีสู้ๆ”
สไบนางเห็นชันษาค่อยมีกำลังใจขึ้น อาทิตย์วิ่งมาสมทบอีกคน ใช้กล้องจากโทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปวีดีโอเอาไว้ แล้วยิ้มให้กำลังใจสไบนาง พร้อมกับตะโกนเชียร์
“สวยที่สุดเลยบู้บี้”
เมธาวีเหยียดปากหมั่นไส้ใส่อาทิตย์และชันษา สไบนางมีแรงฮึดในช่วงสุดท้ายรำสวยยิ้มหวานจนจะจบเพลงอยู่แล้ว แต่ซีดีเพลงเงียบไปดื้อๆ แผ่นเสียเพราะเปิดซ้อมบ่อย การรำศรีวิชัยจบแบบไม่ทันตั้งตัว ทั่วงานเงียบกริบไปมีเสียงปรบมือ เพราะยังงงๆ ตั้งตัวไม่ทัน
“คนปรบมือกันเกรียวกราวเลย”วิจิตราแขวะกับลูกสาว
เมธาวีปิดปากขำๆ สไบนางหน้าชาๆไปเล็กน้อย รีบแก้สถานการณ์ก่อนจะหน้าแตกละเอียดด้วยการเดินไปที่ไมโครโฟนอย่างมั่นใจ ยิ้มแย้ม
“สุขสันต์วันเกิดค่ะคุณย่า”
คุณหญิงรุจาลุกขึ้นยืนปรบมือนำ ทุกคนในงานปรบมือตามกันเกรียวกราว สไบนางค่อยยิ้มออก...หันไปยกนิ้วโอเคบอกหยาดฝนและบังอรที่เอาใจช่วยอยู่ข้างเวที
“ขอบคุณค่ะ”
สไบนางจะลงจากเวที หัสดินวิ่งมาที่เวที
“เดี๋ยวครับน้องบี”
สไบนางมองหัสดินงงๆ หัสดินขึ้นมาบนเวที พูดใส่ไมโครโฟน
“มีคุณลุงท่านหนึ่งฝากผมขึ้นมาบอกน้องบีว่า รำได้สวยถูกใจมาก ขอมอบทุนการศึกษาให้ 1 ล้านบาท”
ผู้คนต่างฮือฮาเกรียวกราวอีกครั้ง
“ลุงที่ไหน”สไบนางถามอย่างแปลกใจ
หัสดินยิ้มๆ ทำเสียงเหน่อๆ แบบสุพรรณ
“ก็ลุงมีพ่อนายมาไงครับ”
บารมีลุกขึ้นยืนโชว์ตัว...อุปมานั่งหน้าแอบเซ็งเล็กน้อยอยู่ข้างๆ สไบนางหันมองดีใจที่สุด
“ลุงมี”
สไบนางกระโจนลงจากเวทีวิ่งไปหา ทิ้งกริยานางรำทันที เมธาวีหมั่นไส้
“ลุงมีนี่ใครเหรอคะ อวดร่ำอวดรวยมาจากไหน”
“ว่าที่พ่อสามีเราน่ะซิ”
เมธาวีตกใจ
“พ่อมาร์คเหรอคะ”
วิจิตราพยักหน้ารับ เมธาวีจับตามองไปทางโต๊ะคุณหญิงรุจา แววตาแอบอิจฉาสไบนางอย่างปิดไม่มิด
สไบนางยิ้มแย้ม วิ่งมาที่โต๊ะคุณหญิงรุจา ยกมือไหว้บารมี
“ขอบคุณค่ะลุงมี ลุงมีใจดีที่สุดเลย”
“ถือว่าเป็นรางวัล ที่หนูสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ กับที่หนูรำสวยๆให้ลุงดูนะ”
บารมีส่งเช็คให้ สไบนางคลี่เช็คออกดู ตาลุกวาว
“พ่อให้เยอะไปรึเปล่าครับ”อุปมาขัดขึ้น
สไบนางเหล่ขวับจ้องหน้าอุปมา แล้วรีบพับเช็คเหน็บชายพก
“ได้เงินล้านล่ะมองไม่เห็นหัวลุงเลยนะ”ประมุขแซว
สไบนางเหลือบตามองไปทางประมุข ที่ยืนอยู่หลังคุณหญิงรุจา สไบนางดีใจมาก
“คุณลุง...”
สไบนางวิ่งไปกอด ประมุขลูบหัว
“เก่งมากลูก รำได้ประทับใจลุงจริงๆ”
สไบนางผละตัวออก แบมือ ประมุขเขกกะโหลก
“ได้ไปล้านหนึ่งแล้วยังไม่พออีกเหรอ”
คุณหญิงรุจายิ้มแย้ม
“ขอบใจมากนะบี เป็นของขวัญที่ถูกใจย่ามากที่สุด”
สไบนางขยับตัวมาย่อลงนั่ง กราบตักคุณหญิงรุจา
“สุขสันต์วันเกิดค่ะคุณย่า ขอให้คุณย่าสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนเป็นหมื่นๆไปเลยนะคะ”
คุณหญิงรุจาขำๆ
“ขนาดนั้นเลย”
“หง่อมกันเลยนะคะคุณหญิง ดิฉันไม่เอาด้วยคนหรอกค่ะ แค่ 100 ยังคิดแล้วคิดอีกเลยค่ะ”หม่อมเกศเย้าแหย่
ทุกคนขำๆ กัน หม่อมเกศพยักหน้าให้ลูกสาว
“เดี๋ยวฉัตรพาคุณแม่ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
“อยากไปตั้งนานแล้วแต่ติดที่อยากดูหนูบีรำ”
สไบนางยิ้มแย้ม
“ขอบคุณค่ะหม่อม”
หญิงฉัตรพาหม่อมเกศลุกเดินออกไป ทำให้เหลือแต่คนกันเอง
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณบีจะอ่อนช้อยกับเขาก็เป็น”หัสดินพูดยิ้มๆ
สไบนางเหล่ๆ มองหัสดิน สายตาไม่เป็นมิตรนัก ยังเคืองๆ
“ได้แม่เขามาเต็มๆ นั่นล่ะ ศรีอำไพเขาชอบรำเป็นชีวิตจิตใจ”บารมีบอกอย่างชื่นชม
สไบนางชำเลืองมองบารมี ทำไมพูดเหมือนรู้จักแม่ตนดี ประมุขเหล่ๆ มองบารมีเล็กน้อย คุณหญิงรุจายิ้มแย้ม พูดกับสไบนาง
“ถึงเวลาที่ย่า ต้องแนะนำกันอย่างเป็นทางการซะทีแล้วนะ คุณบารมี บุญอนันต์ เป็นพี่ชายคนเดียวของศรีอำไพ แม่ของเรา”
บารมียิ้มแย้มมองมาที่สไบนาง สไบนางอึ้งๆไป คุณหญิงรุจาวางมือบนไหล่สไบนาง
“ลุงมีคือลุงแท้ๆ ของเรานะบี”
สไบนางยิ้มแย้มดีใจมาก
“ไปกราบลุงเราซะสิ”
สไบนางลุกเดินไปกราบที่อกบารมี...บารมีลูบหัวหลานสาวอย่างเอ็นดู
“ดีใจที่เราได้เจอกันอีกนะ หลานสาวคนเดียวของลุง”
“ในที่สุดบี ก็มีญาติข้างแม่เหมือนคนอื่นเขาซะที”
อุปมาเหลือบตามอง
“แล้วจะไม่ไหว้พี่ชายมั่งเลยเหรอ”
สไบนางหมดอารมณ์ ผละตัวออกจากบารมี เหล่มองอุปมา
“ไหว้ทำไม คนไม่รู้ค่า ไม่ซึ้งหรอก”
“บี...วันเกิดย่านะ อย่าเสียมารยาท” คุณหญิงรุจาตำหนิ
สไบนางตัดบทบอกบารมี
“บีขอไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะคุณลุง บีร้อนจะเป็นลมอยู่แล้ว”
วิจิตราพาเมธาวีเดินกรีดรายเข้ามา
“ลูกเมมาแล้วค่ะ สวยสมการรอคอยมั้ยคะ”
อุปมามองเมธาวียิ้มปลาบปลื้ม
“คุณเมสวยกินขาดขนาดนี้ มีการแสดงบนเวทีกับเขามั้ยครับเนี่ย”
อุปมาเหล่สไบนางหยันๆ สไบนางเหยียดปากหมั่นไส้
“บีไปก่อนนะคะคุณลุง อยู่ต่ออีกวินาทีเดียว คงสำลักคำหวานขาดใจตาย”
สไบนางหน้าเบื่อๆเซ็งๆ เดินเลี่ยงออกไป อุปมาเหล่ๆมองตาม ประมุขเดินเข้ามาโอบเอวลูกสาว
“นี่คุณบารมีพ่อของมาร์ค”
เมธาวีไหว้บารมีอีกครั้ง บารมียิ้มแย้มรับไหว้
“เมธาวีลูกสาวคนเดียวของผมครับพี่มี...”ประมุขมองอุปมา “ฝากลูกสาวอาด้วยนะมาร์ค”
อุปมาและเมธาวียิ้มให้กัน คุณหญิงรุจามองดูเหตุการณ์ก่อนจะหน้านิ่งขรึมลง ไม่ค่อยสบายใจนัก ชันษาที่แอบอยู่ยกกล้องขึ้นมาถ่าย เมธาวีที่ยืนยิ้มแย้มสวยงาม...ชันษาค่อยๆ ลดกล้องถ่ายรูปลง แอบมองเมธาวีอยู่ไกลๆ อย่างเจียมตัวไม่กล้าอาจเอื้อม
สไบนางลบเครื่องสำอางที่แต่งไว้จัดออก และเปลี่ยนชุดเป็นนุ่งโจงกระเบน ผ้าลายไทยเทพพนมลายใหญ่สีเขียวมรกตหยักรั้ง เสื้อคอกระเช้าติดระบายเหมือนเสื้อเด็ก รวบผมเกล้าเป็นกระจุกกลางหัวมีมะลิล้อมมวยไว้ สไบนางเดินจัดแต่งชุดออกมาที่ห้องรับแขกพร้อมได้ยินเสียงระเบิดหัวเราะดังขึ้น สไบนางเงยหน้ามองตาขวางเมื่อเห็นเป็นอาทิตย์ยืนหัวเราะอยู่
“มายืนแกว่งอะไรแถวนี้ซันนี่”
“แต่งตัวอะไรน่ะ เหมือนกุมารทอง ไม่เห็นจะสวยเลย”
“โอ๊ย ใครมันจะสวยเหมือนนางในวรรณคดีแบบพี่เมได้ล่ะ งานกลางคืน ตื่นแต่งหน้าแต่งตัวตั้งแต่ตี 4”
“เกินไป ใครจะแต่งนานขนาดนั้น”อาทิตย์ยิ้มๆ“วันนี้บีรำสวยนะ”
“เกือบตายตอนจบ”
“เอ่อ เกิดอะไรขึ้น”
“คราวซวยน่ะสิ ซีดีมีปัญหาสงสัยจะซ้อมบ่อยเกิน ดีนะที่เป็นตอนท้ายแล้ว”
“เอาน่าอย่างน้อยก็ได้ตั้งล้านหนึ่ง มีแต่คนอิจฉากันทั้งงาน”
“ต้องขอบคุณลุงมี 1 ล้านกู้หน้าให้แท้ๆ เลย”
อาทิตย์ยิ้มๆ สไบนางมองอาทิตย์ หน้าขรึมลง
“เดี๋ยวกินข้าวแล้วซันนี่รีบกลับบ้านไปเลยนะ”
อาทิตย์แปลกใจ
“อ้าว...ไม่ชมว่าสวยหน่อยเดียว ถึงกับไล่กลับบ้านเลยเหรอ”
“จะอยู่ให้ร้องไห้รึไง”
สไบนางถอนใจออกมา เดินมากระแทกตัวนั่ง อาทิตย์มองงงๆ
“อะไรอ้ะบู้บี้ พี่งงไปหมดแล้ว”
“ช้าเร็วก็ต้องรู้ รู้จากเพื่อนน่าจะช้ำน้อยที่สุด”
“อ้าว งงเข้าไปใหญ่”
สไบนางถอนใจพร้อมเล่า
“วันนี้หลังงานเลี้ยงเลิก บ้านเราจะมีงานหมั้นเป็นการภายใน”
“ใครหมั้น อย่าบอกนะว่าคุณบังอร”อาทิตย์ขำๆ
สไบนางสวนทันที
“พี่เมกับไอ้มาร์ค”
อาทิตย์ขำเจื่อน ยิ้มแห้งไปทันที
+ + + + + + + + + + + +
เมธาวีเดินมาตักผลไม้ที่โต๊ะอาหาร ชันษาดักรออยู่เดินปรี่จะเข้ามาคุยด้วย แต่ทันใดนั้นเสียงของอาทิตย์ก็ดังขึ้น
“คุณเม”
ชันษาหยุดกึก เมธาวีช้อนตามองไปทางอาทิตย์ที่หน้าเคร่งขรึม เดินตรงเข้ามาหา ชันษาหันขวับทำไปตักน้ำแข็ง รินน้ำอัดลมใส่แก้ว แอบฟังไป อาทิตย์เดินมาหยุดเผชิญหน้ากับเมธาวี
“ยินดีด้วยนะเม”
เมธาวีปั้นหน้าตาย ทำไขสือไปก่อน
“ยินดีเรื่องอะไรคะ”
“ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมากันพร้อมหน้าแล้วนี่ครับ”อาทิตย์แขวะเล็กๆ “ไม่น่าล่ะ อาจิตราถึงไม่เชิญพ่อกับแม่ผมมางาน”
เมธาวีเงียบกริบไป ชันษาเงี่ยหูฟังอย่างสงสัย
“ผมขออวยพรให้คุณกับมาร์ครักกันยืนยาว มีความสุขกับชีวิตคู่ก็แล้วกันนะ”
เมธาวีหน้านิ่ง
“ขอบคุณค่ะ”
ชันษาหน้าซีดเผือด รินน้ำอัดลมใส่แก้วแบบไม่มีสมาธิจนหกล้นต้องรีบหยุดริน
“หมั้นคืนนี้แล้วแต่งเมื่อไหร่”
“เมไม่รู้ แล้วแต่ผู้ใหญ่...”เมธาวีรู้สึกผิดนิดหน่อย “เมขอโทษ...”
อาทิตย์ตัดบทขำๆ
“ขอโทษที่ไม่รักผมงั้นเหรอครับ ของแบบนี้มันบังคับใจกันไม่ได้หรอก ผมเข้าใจเม”
“เมกลัวคุณจะโกรธเลยไม่กล้าบอก”
อาทิตย์ยิ้มๆ
“ผมรู้ตัวมาได้ซักระยะแล้วล่ะ ว่าไลฟ์สไตล์เราสองคนไปกันไม่ได้จริงๆ ฝืนไปได้ไม่เท่าไหร่หรอก” อาทิตย์ถอนใจ ยื่นมือไปเช็คแฮนด์ “ยินดีด้วยอีกครั้ง”
เมธาวียอมยื่นมือไปเช็คแฮนด์ด้วย
“เรายังเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิมนะ อาทิตย์”
อาทิตย์ปล่อยมือ ยักไหล่
“แน่นอน เราไม่ได้โกรธเคืองอะไรกันนี่ ผมแค่น้อยใจที่เมไม่บอกความจริงกับผม ถ้าบีไม่เล่า ผมจะโง่ไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้”
เมธาวีหน้าหงิกไม่พอใจขึ้นมา
“เด็กปากสว่าง...มันเล่าอะไรให้คุณฟังมั่ง”เมธาวีกลัวสไบนางเมาท์เรื่องที่เห็นเธอกับอุปมากอดกัน
“แค่งานหมั้นคืนนี้ ทำไมเหรอ มีอะไรลึกลับกว่านั้นอีกเหรอ”
อาทิตย์จ้องหน้า เมธาวีหลบสายตา
“ไม่มี”
“งั้นเดี๋ยวผมกลับเลยแล้วกัน คุณย่าจะได้ไม่ต้องอึดอัดใจ...โชคดีนะเม”อาทิตย์ยิ้มให้แล้วเดินไปเลย
เมธาวีถอนใจออกมากระแทกจานผลไม้วางลง ทานต่อไม่ลงแล้ว ทางด้านชันษา...โกรธจัด เจ็บปวดกับข่าวร้ายที่ได้ยิน บีบแก้วพลาสติกที่ใส่น้ำอัดลมจนบู้บี้คามือแล้วปัดทิ้งไปที่พื้นเกือบโดนแขกคนหนึ่งที่เดินมา
“ขอโทษครับ”
ชันษาเดินหัวเสียตาแดงๆ เลี่ยงออกไปทันที
+ + + + + + + + + + + +
(อ่านต่อ หน้า 2 )
รอยมาร (ต่อ)
ระเบียบมานั่งหลบมุมทานขนมอยู่ที่ชิงช้าสนามหลังบ้านเพลินๆ ทันใดนั้น...มีมือหนึ่งยื่นมาจากด้านหลังหยิบขนมในจาน ระเบียบหยุดกึกค่อยๆ หันมองเห็นสไบนางในชุดไทยผูกจุก ระเบียบโดดตัวลอยทิ้งจาน
“ผี”
“ฉันเอง ผีอะไร”
สไบนางนั่งลง
“คุณบี มาเงียบๆ แต่งตัวยังเงี้ย เบียบนึกว่าผีเจ้าที่ซะอีก”
“เดี๋ยวจะโดนหักคอ ไม่ชมว่าสวยยังมาว่าบีเป็นผีอีก มานั่งนี่เลยมีเรื่องจะถาม”
ระเบียบยังกลัวๆ
“ใช่คุณบีแน่นะคะ”
“เดี๋ยวก็โดนเตะจนได้หรอก”
ระเบียบยิ้มออกมาได้
“คุณบีจริงๆ ด้วย”
“ก็ใช่น่ะสิ”
ระเบียบ มานั่งคุยด้วย
“คุณบีจะถามอะไรเบียบเหรอคะ”
“วันก่อนเราคุยกันค้างอยู่...เธอเล่าว่าเคยเห็นไอ้มาร์คมันจูบกับผู้หญิงหลายคนเลยใช่มั้ย”
อุปมาเดินมาทางด้านข้างพอดี ได้ยินคำถามถึงตน หยุดกึก เบี่ยงตัวหลบมุมฟัง
“ใช่ค่ะ...จูบปากด้วยค่ะ”
สไบนางเบ้หน้ารังเกียจ
“ไอ้ลามก มันเนี่ยจอมฉวยโอกาสจริงๆเลย ภัยมืดสำหรับผู้หญิงในคราบผู้ดี ไม่ใช่สิ คราบโจรมากกว่า”
อุปมาสูดลมหายใจลึกๆ พยายามสะกดอารมณ์
“มันจูบใครมั่งเล่ามาซิ”
“ก็เพื่อนฝรั่งสาวๆ น่ะค่ะ สวยยังกะดาราเลยค่ะ แต่ละคนนะคุณบี”ระเบียบทำมือที่หน้าอกแสดงว่าทรงโตมาก “เบียบนึกว่าตูด”
“นายนี่มันหื่น ไม่รู้จักพอจริงๆ”
“เขาโตที่เมืองนอก ยายบอกสังคมเป็นแบบนั้น”
“เบียบอย่ามาแก่แดดรู้ดี แล้วคอยออกรับแทนมันหน่อยเลยที่นี่เมืองไทย ถ้าคิดจะย้ายกลับมาอยู่ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับบ้านเรา”สไบนางหมั่นไส้ “หน้าก็เอเชียซะขนาดนั้น อย่ามากระแดะทำฟรีเซ็กส์เป็นฝรั่ง ทุเรศ มักมากในกาม”
อุปมา เจ็บใจที่โดนด่าเป็นชุด
“แล้วเธอเคยเห็นผู้หญิงไทยไปหาเขาที่บ้านมั่งมั้ย”สไบนางถามต่อ
อุปมาเดินออกมาเผชิญหน้าจากที่ซ่อน
“กล้าๆหน่อย อยากรู้อะไรก็ถามฉันตรงๆเลย”
สไบนางตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“ผีเจ้าที่โว้ย”
สไบนางพุ่งกระโจนวิ่งหนีไปเลย ระเบียบคุกเข่ายกมือไหว้ หน้าแหยปนกลัว อุปมาชี้หน้าระเบียบเชิงกำหราบเล็กน้อย ก่อนหันมองตามสไบนาง
“จะหนีไปไหน อยากรู้นักไม่ใช่เหรอ”
อุปมาวิ่งกวดตามไปทันที และคว้าแขนสไบนางเอาไว้
“เธอหนีฉันไม่พ้นหรอก”
สไบนางสะบัดมือออก หันมาจ้องหน้า
“เธอจะอยากรู้เรื่องส่วนตัวฉันไปทำไม”
“เพราะฉันไม่ไว้ใจนาย”
“พูดเหมือนเธอห่วงพี่สาวเธอมากงั้นล่ะ”
สไบนางถลึงตาใส่อุปมา
“ขอร้องอย่าปากบอน พูดเรื่องที่ไม่ควรพูดให้พี่สาวเธอต้องเสียชื่อ”
สไบนางยิ้มกวนๆ
“ฉันต้องเชื่อมั้ยเนี่ย”
อุปมาหงุดหงิดปนโมโห
“เชื่อหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่เธอต้องทำ” อุปมามองหน้าสายตาดุแข็งกร้าว
สไบนางเหยียดปากใส่
“คิดว่าบุญพาวาสนาส่งได้เป็นพี่ชายฉันขึ้นมา ฉันต้องกลัวนายเหรอ มันก็แค่ลูกพี่ลูกน้องเท่านั่นล่ะว๊า พี่เมยังบงการอะไรฉันไม่ได้เลย...อย่างนาย เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเจอกัน คิดว่าจะชี้ให้ฉันซ้ายหัน ขวาหันได้ตามใจชอบเหรอ ฝันไปเถอะ”
“ก็ลองพูดเรื่องฉันกับเมซิ ทุกคนก็จะได้รู้ว่าเธอก็เป็นหนึ่งในผู้หญิง ที่โดนฉันจูบปากเหมือนกัน”
สไบนางโกรธจนกำมือแน่น
“อุบาทว์ จิตใจสกปรก”
อุปมายิ้มกวนๆ
“เธอควรจะดีใจนะ ถ้ารู้ก่อนว่าเราเป็นพี่น้องกัน เธอคงพลาดโอกาสดีๆ ในชีวิต”
“ไอ้ทุเรศ” สไบนางถูปากกับแขนเสื้อแรงๆ “น่าขยะแขยงที่สุด”
สไบนางผลักอกอุปมาอย่างแรงแล้ววิ่งหนีไป อุปมาตะโกนตาม
“หุบปากให้สนิท ถ้าไม่อยากขายขี้หน้า เข้าใจมั้ย”
สไบนางวิ่งหนีไปอย่างเร็วไม่ตอบโต้อะไรอีก อุปมาได้แต่ถอนใจส่ายหน้า
+ + + + + + + + + + + +
หลังงานเลี้ยงเลิก สไบนางเดินมาส่งหัสดินและหยาดฝนที่หน้ารั้วบ้าน
“บีว่ากลับแท็กซี่ปลอดภัยกว่านะฝน”
“พี่ไม่ใช่ไอ้มาร์คนะน้องบี”หัสดินโต้ทันที
“โอ๊ย พูดถูกใจ งั้นอนุญาตเลย”
“เธอเป็นผู้ปกครองฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ยะ”หยาดฝนขำๆ
สไบนางส่งสเปรย์พริกไทให้เพื่อน
“เอาสเปรย์พริกไทติดตัวไปด้วย ผู้ชายยังไงก็ไว้ใจไม่ได้หรอก”สไบนางมองหัสดิน “ถึงจะใส่แว่นแต่งตัวดี
ไม่ไว้หนวดเคราเหมือนโจรก็อย่าประมาท เพื่อนซี้กันอาจจะติดเชื้อหื่นมาก็ได้”
“คนที่เธอแดกดันเดินมาแล้ว”หยาดฝนบอก
สไบนางหันมอง...เห็นอุปมาและเมธาวี เดินคู่กับคุณหญิงรุจา มาส่งหม่อมเกศและหญิงฉัตร สไบนางเหยียดปากเซ็ง
“หล่อตรงไหน พี่เมโดนเล่นของแหงๆ...ฉันส่งเธอ แค่นี้แล้วกัน ถึงแล้วโทรหาฉันทันทีเลยนะ...เห็นท่าทางไม่น่าไว้ใจ เอาสเปรย์ฉีดใส่ตาเลย”
สไบนางรีบวิ่งหลบไปข้างพุ่มไม้ ไม่อยากเจอหน้ากับอุปมาอีก หัสดินยิ้มแย้ม
“เชิญครับน้องฝน นั่งหน้าคู่พี่แล้วกัน จะได้ฉีดสเปรย์เข้าตาพี่ง่ายๆ”
หยาดฝนยิ้มอายๆ หัสดินเดินไปเปิดประตูด้านหน้าให้หยาดฝนเข้าไปนั่ง ตนก็แอบเหล่ๆหยาดฝนอย่างเอ็นดูๆเด็กสาว
คุณหญิงรุจา อุปมา เมธาวี ยกมือไหว้รับไหว้กับหม่อมเกศและหญิงฉัตรก่อนที่ทั้งคู่จะขึ้นรถไป
“แขกของย่ากลับหมดแล้ว” คุณหญิงรุจาหันไปมองอุปมาและเมธาวี “ต่อไปก็ถึงคิวธุระของเราสองคนซะที”
อุปมาส่งยิ้มหวานให้เมธาวี...เมธาวีหลบสายตาเอียงอายเล็กน้อย
+ + + + + + + + + + + +
อุปมาและเมธาวีนั่งพับเพียบอยู่คู่กันต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย...
คุณหญิงรุจานั่งโซฟากลาง บารมีนั่งข้างหนึ่ง ประมุขและวิจิตรานั่งอีกข้างหนึ่ง สไบนางถือกล้องยืนหน้าเซ็งๆ ต้องทำหน้าที่เป็นตากล้องจำเป็น อุปมาเปิดกล่องแหวนเพชรขึ้นโชว์
“นี่แม่บี...มาถ่ายรูปแหวนเอาไว้สิ ยืนหลับรึไง”วิจิตราเรียก
สไบนางหน้าเซ็งๆ
“ค่ะคุณป้า”
“ต้องให้บอกทุกขั้นทุกตอน เอ็นฯติดได้ยังไงเนี่ย”วิจิตราบ่น
บารมีเหล่ๆ มองวิจิตราเล็กน้อย ไม่ชอบใจนัก สไบนางเดินเข้ามาถ่ายรูปอย่างจำใจ
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณป้า น้ำงามไม่มีตำหนิเลยค่ะ”สไบนางตาประหลับประเหลือกเซ็งๆ
“ไม่ต้องมีฤกษ์มียามอะไรหรอกนะ”คุณหญิงรุจาบอก
ประมุขยิ้มแย้ม
“ฤกษ์สะดวก สวมแหวนเลยลูก”
“อย่าช้ามาร์ค คุณอาเขาร้อนใจ เอ๊ย...ใจร้อน”บารมีแขวะ หน้านิ่ง
คุณหญิงรุจาและประมุขแอบสบตากันเล็กน้อย วิจิตราไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหันไปสั่งสไบนาง
“ถ่ายรูปต่อเนื่องไปเลยนะแม่บี”
“ถ่ายอยู่ค่า...”สไบนางเซ็ง เบื่อหน่ายสุดๆ
อุปมาขยับตัวมาสวมแหวนให้เมธาวีที่ยิ้มแย้มเอียงอายเล็กน้อย สไบนางกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ ไม่มองหน้ากล้องด้วยซ้ำ แอบหาวง่วงสุดๆ
ภาพถ่ายจากฝีมือสไบนาง เป็นการถ่ายภาพงานหมั้นที่ไม่ได้เรื่องที่สุด เจ้าบ่าวเจ้าสาวหัวขาด ตัวแหว่ง เดี๋ยวเบลอ เดี๋ยวไหว ชัดคนเดียวคือคุณหญิงรุจา
ทางด้านชันษา ได้แต่เงี่ยหูฟังจากด้านนอกบ้าน พยายามชะเง้อมองขึ้นไปก็เห็นไม่ถนัด ชันษาในเวลานี้ หัวใจแตกสลาย เสียใจมากที่สุดในชีวิต...
ในบ้าน...วิจิตราหงุดหงิดลุกมาหาสไบนาง
“จะได้เรื่องมั้ยเนี่ย มาฉันถ่ายเอง”
สไบนางรีบส่งกล้องให้
“ขอบคุณมากค่ะคุณป้า”
สไบนางเดินหนีไปเลย คุณหญิงรุจาและบารมีหันมายิ้มๆ ให้กัน อุปมาและเมธาวีนั่งชิดกันจับมือยิ้มแย้มมองกล้องโดยมีคุณหญิงรุจา บารมีและประมุข นั่งประกบอยู่ด้านหลัง
“คุณจิตรามานั่งเถอะครับ ผมถ่ายรูปครอบครัวให้”บารมีบอก
“ขอบคุณค่ะ”วิจิตราส่งกล้องให้บารมีแล้วตนไปนั่งถ่ายรูป
บารมีมายืนถ่ายรูป พร้อมจับตามองไปที่ประมุขที่ยิ้มแย้มมองมาที่กล้อง บารมีพูดพึมพำ
‘…ยิ้มให้เต็มที่ไอ้มุข ก่อนที่แกจะยิ้มไม่ออกอีกนาน...’
บารมีกดชัตเตอร์ ประมุขยิ้มแห้งไปเล็กน้อย แววตาไม่สบายใจเข้ามาแทนที่
ทางด้านสไบนางหน้าตาเซ็งๆ เดินออกมาที่หน้าบ้าน ไม่คาดคิดว่าจะเจอเข้ากับชันษาที่ตาแดงก่ำสไบนางอึ้งๆไป
“ชัน”
ชันษาสะกดอารมณ์
“ฝากความยินดีกับเมด้วยนะ”
ชันษาเดินเร็วเลี่ยงไปทางสนาม สไบนางมองอย่างสงสารเห็นใจ
“ชัน...เดี๋ยวสิชัน”
ชันวิ่งไปที่ช่องรั้วแล้วมุดกลับบ้านตัวเองไป ไม่หันกลับมาอีก สไบนางหยุดตามพร้อมถอนใจออกมาอย่างเข้าใจและเห็นใจ
+ + + + + + + + + + + +
กลางดึก...
กับข้าวหลากหลายที่ห่อพลาสติกเอาไว้เตรียมเข้าไมโครเวฟอุ่นใหม่อยู่บนโต๊ะอาหาร วิมาดาเผลองีบหลับกอดแมกกาซีนเอาไว้ รออุปมาจนหลับไป
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น วิมาดาสะดุ้งตื่น ดูเบอร์โชว์ยิ้มดีใจ รีบกดรับสาย
“ถึงไหนแล้วคะมาร์ค วิจะได้อุ่นอาหาร”
“ผมไม่เข้าไปแล้วนะ”
วิมาดาผิดหวังปนไม่พอใจมาก แต่สะกดอารมณ์ไว้
“ทำไมล่ะคะมาร์ค เรานัดกันไว้แล้วนี่คะ”
“พอดีคุณพ่อผมกลับมา”
วิมาดาถอนใจเซ็งๆ
“งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ”วิมาดาลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะอาหาร
“ผมคงไม่กลับไปค้างคอนโดอีกนานเลยนะวิ”
วิมาดาตกใจมาก
“มาร์คจะไปไหนคะ จะกลับอเมริกาเหรอ ให้วิไปด้วยนะคะ”
“เปล่าหรอกครับ คุณพ่อมาอยู่เมืองไทยยังไม่มีกำหนดกลับ ผมต้องอยู่บ้านเป็นเพื่อนท่าน”
วิมาดาไม่พอใจมาก
“งั้นแค่นี้นะมาร์ค”
วิมาดากดตัดสาย โกรธมากหยิบจานอาหารมาดึงพลาสติกออก แล้วเทอาหารลงถังขยะ จานแล้วจานเล่าอย่างหัวเสีย
“จะได้ท้องเมื่อไหร่เนี่ย เดี๋ยวได้โดนหมาคาบไปจนได้”
วิมาดาทิ้งอาหารโครมๆ อย่างใส่อารมณ์
+ + + + + + + + + + + +
อุปมาโทรหาวิมาดาแล้วยิ้มออกมาอย่างสะใจ
“โทรหาใครดึกดื่น”เสียงบารมีดังขึ้น
อุปมาหันไปด้านหลัง เห็นบารมีเดินถือแก้วไวน์มา 2 แก้ว
“โทรคุยกับหัสน่ะครับ”อุปมาโกหกพ่อ
บารมียื่นไวน์แก้วนึงให้อุปมา
“ขอบคุณครับ”
บารมีชนแก้ว
“ดีใจด้วยนะ”
อุปมายิ้มแย้มชนแก้วกับพ่อ บารมีจิบไวน์ไป อุปมาชำเลืองมองบารมีแววตาสงสัย
“พ่อครับ ผมสงสัยว่าพ่อจะสะสางเรื่องต่างๆ ในอดีตต่อยังไง”
บารมียิ้มๆ
“ห่วงจะกระทบกระเทือนจิตใจเจ้าสาวรึไง”บารมีหน้าขรึมลงถอนใจยาวออกมา “เวลามันผ่านมานานแล้ว ความจริงพ่อก็ไม่อยากจองเวรใคร เพียงแค่อยากรู้ความจริงเท่านั้น ถ้าเขารู้ว่าพ่อรู้อะไรมากขนาดนี้ เขาจะรับหรือปฏิเสธ...”
“เท่าที่สัมผัสกับเขาวันนี้ ผมว่าเขาต้องปฏิเสธหน้าตายแน่”
บารมีหน้าเครียดๆ เดินไปนั่งลง
“ใจหนึ่งพ่อก็อยากจะแก้แค้นให้สาสมกว่านี้ แต่อีกใจก็รักประจักษ์ เห็นแก่คุณหญิงคุณหญิงรุจาเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง เสียแต่รักลูกเลวมากกว่าลูกดีเกินไปหน่อย”
“แต่กรรมก็ตามสนองพวกเขาแล้วนะครับ ตระกูลอัคราชที่เคยยิ่งใหญ่ ตอนนี้เหลือแต่เปลือก”
บารมีพยักหน้ารับ
“คุณหญิงคงตรอมใจมากกว่าใคร”
อุปมาเหล่ๆมองพ่อ
“ผมสังหรณ์ว่าพ่อไม่ชอบเม ไม่อยากให้มีงานแต่งเกิดขึ้นด้วยซ้ำ”
“จิตใต้สำนึกของลูกเองมากกว่า...พ่อบอกแล้วไงว่าความสุขของลูกมาก่อนอย่างอื่น เรื่องอื่นก็ขอให้ตายไป พ่อพูดจริงทำจริงเสมอ”
“ใจพ่อล่ะครับจริงแค่ไหน ผมไม่อยากฝืนใจใคร โดยเฉพาะพ่อ ผมเลือกพ่อ เลือกที่จะทำตามคำสั่งของพ่อมากกว่า”
บารมียิ้มๆมองหน้าลูกชาย
“พ่อก็ไม่ชอบฝืนใจใครเหมือนกัน โดยเฉพาะกับลูกคนเดียวของพ่อ ตามสบายเถอะมาร์ค ใจคิดอยากทำอะไรก็ทำไป ไม่ต้องกังวลถึงพ่อ...หนูบีช่วยให้พ่อทำใจให้ลืมอะไรได้มากขึ้นแล้วล่ะ”
อุปมาเดินตามมานั่งข้างๆกังวลๆ
“แล้วพ่อมีแพลน จะรับเด็กกวนประสาทนั่นมาอยู่กับเรามั้ยครับ”
“พ่อยังไม่ได้พูดกับคุณหญิงเลย เขาให้ก็ดี ไม่ให้ก็รอไปก่อน”
อุปมาอึ้งไปเล็กน้อย
“แสดงว่าพ่ออยากได้กลับมาเลี้ยงเอง”
“บีคือตัวแทนความดีของประจักษ์ ความบริสุทธิ์ของศรีอำไพ พ่อรักหนูบีมากนะมาร์ค อะไรก็ไม่รู้ทำให้พ่อรู้สึกเอ็นดูเด็กคนนี้ได้มากขนาดนั้น”บารมีหันมองหน้าลูกชาย “มาร์คล่ะรังเกียจน้องรึเปล่า”
“ก็คงไม่รังเกียจหรอกครับพ่อ ถ้าเด็กดื้อด้านนั่นเลิกนิสัยปากมากปากเสีย ก้าวร้าว เอาแต่ใจ ขี้วีน...ผมว่าให้เขาไปเกิดใหม่น่าจะง่ายกว่า”
อุปมาถอนใจแรงออกมา พร้อมลุกเดินไปเติมไวน์ บารมีมองตามลูกชายไปยิ้มๆ ส่ายหน้า
+ + + + + + + + + + + +
ประมุขเดินออกจากห้องน้ำในชุดนอน เดินผ่านวิจิตราที่อาบน้ำเรียบร้อย นั่งทาครีมอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ประมุขเดินไปขึ้นเตียงกึ่งนั่งกึ่งนอน วิจิตราหันมองตาม
“คุณจะไม่พูดอะไรเลยเหรอ”
ประมุขถอนใจ
“นับเป็นบุญของเมที่เขายอมหมั้นด้วย”ประมุขหมั่นไส้ “ถึงจะงุบงิบหมั้น รู้กันแค่คนในบ้านก็เถอะ...คงกลัวอับอายขายขี้หน้ามากล่ะสิ”
วิจิตราไม่พอใจ ลุกปรี่มาหา
“ทำไมคุณพูดยังงี้ หมั้นกับลูกเมมันน่าอับอายตรงไหนไม่ทราบ เมดีพร้อมทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตา หน้าที่การงาน การศึกษา...บุญของเขาเหมือนกันที่เมยอมหมั้นด้วย”
ประมุข ขยับตัวนั่ง เค่นขำ
“นี่คุณคงยังไม่รู้สินะว่า เรากำลังจะล้มละลายอยู่แล้ว”
วิจิตราตกใจปนประหลาดใจ
“พูดอะไรของคุณ”
ประมุขลุกขึ้นยืนเดินมาเผชิญหน้า
“ผมเอาสมบัติทุกชิ้นที่มีอยู่ไปลงทุนจนหมด บ้าน เงินสด สังหา-อสังหา ไม่มีอะไรเหลือแล้ว”
วิจิตราแทบยืนไม่อยู่
“คุณไปลงทุนอะไรของคุณ”
ประมุขตอบหน้าตาย
“บ่อนคาสิโน”
วิจิตราอึ้ง คิดไม่ถึง
“อีกแล้วเหรอคุณประมุข”
ประมุขยิ้มหยันตัวเอง พูดแดกดัน
“ช่างเป็นบุญเหลือเกินที่ได้เจอคุณบารมี บุญอนันต์ เศรษฐีหุ้นส่วนใหญ่ของคาสิโน ผม อ้อนวอนแทบกราบตีนมันขอประนอมหนี้ ผมเสนอการแต่งงานล้างหนี้ส่วนที่เกินในวงพนัน”
วิจิตราน้ำตาท่วม โกรธจัด
“นี่คุณขายลูกสาวล้างหนี้เหรอ”
ประมุขหน้านิ่ง
“โชคดีที่มันมีลูกชาย ไม่งั้นยัยเมคงได้เป็นเมียเก็บมัน”ประมุขขำหยันตัวเอง
วิจิตราตวาดเสียงดัง พูดทั้งน้ำตาไหล
“หยุดได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะขยะแขยงคุณมากกว่านี้”วิจิตราหันไปอีกทาง
ประมุขเครียด อัดอั้น
“ผมอับจนหนทางจริงๆ จิตรา”
วิจิตราหันมาจ้องหน้า น้ำตานอง
“คุณผลักลูกตกนรกแทนคุณ”
ประมุขอึ้งๆ ไป วิจิตราต่อว่าเสียงสั่น
“เมรู้ความจริงไม่มีทางรับได้แน่นอน คุณไม่รักไม่สงสารลูกบ้างเลยเหรอ คนเป็นพ่อ ทำกับลูกตัวเองแบบนี้ได้ยังไง คุณทำลงคอได้ยังไง”
“แล้วคุณจะให้ลูกรู้ทำไมล่ะ...คุณก็เห็นแล้วนี่ ลูกเรากับลูกมันชอบกัน วินวิน”ประมุขยักไหล่ “ผมไม่ได้เห็นแก่ตัว ไม่ใช่พ่อที่เลวของลูก ลูกเรากำลังจะได้ขึ้นสวรรค์ ผมไม่ได้ผลักแกลงนรกซะหน่อย”
วิจิตราสายตาเจ็บช้ำ
“คุณอย่ามาพูดเอาดีเข้าตัวหน่อยเลย”
ประมุขจ้องหน้าภรรยา
“ยังมีอีกเรื่องที่คุณยังไม่รู้...ตามสัญญาที่เราตกลงกันเอาไว้ บ้านและสมบัติทุกชิ้นเป็นของมัน มันไม่คืนให้”
วิจิตราแทบช็อก หมดแรงจะยืน ต้องขยับไปนั่งตั้งสติที่ปลายเตียง
“ถึงเวลาแต่งงานกันไปจริงๆ ไอ้มีมันอาจจะยกให้เป็นของรับไหว้ตอนนี้เราอยู่ไปก่อน ผมเชื่อ ลูกเราไม่ใช่คนโง่”
วิจิตราหน้าเครียด ไม่อยากแม้แต่มองหน้า
“อะไรกันเนี่ย ฉันงงไปหมดแล้ว คุณพูดเหมือนหลังแต่งงานแล้ว สมบัติทุกอย่างต้องตกเป็นของเขา”
“ใช่...สภาพเราตอนนี้ไม่ดีเลย ทั้งหมดขึ้นกับลูกเมคนเดียว ผมฝากทุกอย่างไว้กับลูก บอกแล้วไง หนี้มันมากมายมหาศาล...ลูกเราเป็นเจ้าสาวที่สินสอดแพงที่สุดในโลกเลยล่ะ”
วิจิตราลุกพรวด ตวาดสายตาโกรธจัด
“ไม่ตลกเลยนะประมุข ลูกเมถูกจับแต่งงานล้างหนี้ทั้งที ยังล้างไม่หมด”
“เอาน่ะ...ใจเย็นก่อน เรายังมีบีเป็นไม้ตายอีกคน บีคือหลานแท้ๆของมัน มันไม่กล้าทำอะไรรุนแรงกับพวกเราหรอก”
วิจิตราหน้าเชิ่ด
“แต่ฉันไม่อยากพึ่งพาแม่คนนี้ให้ติดหนี้บุญคุณ”
“บียังเด็ก อย่าไปถือสาอะไรบีมันเลยนะ ยังไงแกก็เป็นหลานของผม”
“อาจจะเป็นลูกของคุณด้วยซ้ำไป”
วิจิตราจ้องหน้าประมุขเขม็ง สายตาโกรธเกรี้ยว ก่อนสะบัดหน้าพรืดเดินออกไปจากห้องทันที ประมุขผงะไป หน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที นึกถึงเรื่องราวในอดีต...
ในอดีตนั้น...
ประมุขค่อยๆ เดินมาที่เปลที่ผูกไว้ที่ใต้ถุนบ้าน เขายิ้มแย้มก้มมองเด็กในเปลสายตาเอ็นดู ตั้งท่าจะอุ้มเด็กขึ้นมา แต่ทันใดนั้นเสียงประจักษ์ก็ดังขึ้น
“อย่ามาแตะต้องลูกผมนะพี่มุข”
ประมุขผงะไปเล็กน้อย ประจักษ์ตรงเข้ามาผลักอกประมุข ออกไปอย่างแรงจ้องหน้า พูดเน้น หนักแน่น
“บีเป็นลูกของผม พี่มุขไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวแก”
ประมุขจ้องหน้าน้องชาย
“แกเลิกหลอกตัวเองซะทีเถอะไอ้จักษ์ พี่รู้ แกมีลูกกับใครไม่ได้ แกเป็นผัวคนได้แต่มีลูกไม่ได้บีเป็นลูกของพี่”
ประจักษ์พุ่งหมัดชกหน้าประมุขจนล้มหงายไป ประจักษ์ตาแดงก่ำ น้ำตาคลอ
“พี่ทำร้ายพวกเราแสนสาหัส อย่าคิดว่าผมกับไพจะเก็บเลือดชั่วๆ ของพี่ไว้ บีไม่ใช่ลูกของพี่ ได้ยินมั้ย”ประจักษ์ตะเบ็งเสียงใส่ “บีไม่ใช่ลูกของพี่”ประจักษ์น้ำตาไหลซึมออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
+ + + + + + + + + + + +
ประมุขยืนเกาะหน้าต่างห้องนอน ทอดสายตาออกไป แววตาเคร่งเครียด ดวงตาแดงก่ำเจ็บช้ำในอดีต ในช่วงที่ศรีอำไพเสียชีวิต...
ประจักษ์ฟูมฟายปานจะขาดใจ
“ไพ...ฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
ประจักษ์โอบกอดร่างเปียกโชก ไร้วิญญาณของศรีอำไพไว้ในอ้อมกอดอยู่ริมคลอง...ร่ำไห้อย่าง
ไม่อายสายตาใคร
“ไพทิ้งพี่ไปแบบนี้ไม่ได้ ไพของพี่...พี่จะอยู่ยังไง”ประจักษ์กอดศพภรรยาร้องไห้ฟูมฟาย
ประมุขยืนหน้าโศกเศร้าไม่แพ้กันอยู่ไม่ห่างนัก ละล่ำละลักบอก
“มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆจักษ์ พี่สาบานได้ ให้พี่ตายตามไพไปก็ได้”
ประจักษ์หันไปตวาดเสียงแข็งใส่ทันที
“พี่ไม่ต้องมาพูด...พี่ฆ่าไพ พี่ฆ่าเมียผม พี่มันฆาตกรเลือดเย็น”
ประมุขตาแดงก่ำ
“พี่ไม่ได้ตั้งใจจักษ์ พี่ไม่ได้ฆ่าไพ มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ”
ประจักษ์โกรธคลั่ง วางศพภรรยาลงแล้วโถมเข้าหาประมุขตะคอกใส่ เสียงดัง
“ไอ้สัตว์นรก มึงไม่ใช่พี่กู ไอ้คนบาป กูขอสาปแช่งมึงให้ตกนรกทั้งเป็น ให้มึงพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ให้มึงฉิบหายวายวอด ให้มึงพบแต่ความลำบากทั้งชีวิต กรรมใดที่มึงก่อไว้ ขอให้สนองมึงทันตาเห็น”
ประจักษ์จ้องหน้าพี่ชาย สายตาเคียดแค้นชิงชัง
ในงานศพศรีอำไพ...
คุณหญิงรุจาอยู่ในชุดดำไว้ทุกข์ ตาบวมช้ำ เพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก นั่งอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ ประมุขนั่งวิงวอนอยู่ข้างๆพูดทั้งน้ำตาท่วม ด้วยความอัดอั้นตันใจ
“คุณแม่เชื่อผมนะครับ ผมไม่ได้ฆ่าไพ ผมรักไพ ผมไม่มีวันฆ่าเขาได้”
คุณหญิงรุจาน้ำตาไหลซึมออกมา
“มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ ครับคุณแม่ ได้โปรดเห็นใจผมด้วย”
คุณหญิงรุจาสะกดกลั้นน้ำตา
“พอแล้วประมุข แม่ขอล่ะ แกหยุดทุกอย่างลงเพียงนี้เถอะนะ”
ประจักษ์ตาแดงบวมในชุดไว้ทุกข์ เดินเหมือนคนไม่มีวิญญาณเข้ามาที่ศาลาท่าน้ำ ทุกคนหันมอง
“จักษ์...หายไปไหนมาทั้งวันเลยลูก”
ประจักษ์หน้านิ่ง แววตาเหม่อลอย
“ผมจะพาลูกไปจากทุกคน”
คุณหญิงรุจาและประมุขต่างตกใจ
“จักษ์ เชื่อแม่เถอะนะลูก ลูกไม่ใช่คนแข็งแรง เป็นอะไรไปจะลำบาก”
“นั่นสิจักษ์ แกอยู่ที่นี่เถอะ ถ้ารังเกียจพี่นัก พี่จะไปเอง ยังไงก็ขอให้นึกถึงเด็กก่อน”ประมุขรีบบอก
ประจักษ์ตะคอกใส่
“อย่าเสือกเรื่องของกู”
ประจักษ์มองพี่ชายด้วยสายตาเกลียดชัง ประมุขผงะไป
“จักษ์ เชื่อแม่เถอะนะลูก อย่าพาบีไปตกระกำลำบากเลย อยู่ซะด้วยกันที่นี่เถอะนะ คิดว่าเห็นแก่แม่ซักครั้งนะจักษ์”คุณหญิงรุจาน้ำตาคลอด้วยความเป็นห่วง
“แล้วมีใครเคยเห็นกับผมบ้าง เมียผมทั้งคน มันยังไม่เว้น...วันหนึ่งผมจะมารับทศไปอยู่ด้วย จะได้สิ้นซากสิ้นหนามของไอ้คนใจบาปซะที”ประจักษ์ถลึงตาใส่ประมุข ด้วยความเคียดแค้น
ประมุขนึกถึงอดีตที่แสนเจ็บปวดแล้วปวดหัวจี๊ดขึ้นมา เขาเกาะขอบหน้าต่าง พยายามฝืนตั้งสติ พักร่างกายให้ปกติ แต่ทนอาการปวดหัวไม่ไหวจึงเดินไปหยิบถุงยาจากกระเป๋าเดินทางใบย่อม หยิบยาแกปวดมาเทใส่มือหลายต่อหลายเม็ด
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...
สไบนางวิ่งลงบันไดมาจากชั้นบน พอมาถึงห้องโถงต้องชะงัก เมื่อเห็นอุปมานั่งไขว่ห้างเต๊ะจุ๊ยอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ อุปมาลดหนังสือพิมพ์ลงเหลือบตามอง
“ซวยแต่เช้าเลย”
สไบนางเหยียดปากเซ็งจะเดินออกไปจากบ้าน อุปมาพูดขึ้น
“จะไม่ทักทายพี่ชายซะหน่อยเหรอ”
สไบนางเหยียดปากเซ็ง
“โอ๊ย เห็นแล้วขัดหูขัดตา เมื่อไหร่จะแต่งงานแล้วพาๆ กันย้ายออกไปซะทีก็ไม่รู้”
อุปมาลุกขึ้น
“แล้วเธอเตรียมตัวเก็บข้าวของรึยังล่ะ”
สไบนางหยุดกึก ถามห้วนๆ
“เก็บทำไม ฉันไม่ได้แต่งงานกะใครซะหน่อย”
“พ่อบอกว่าจะรับเธอไปอยู่ด้วยกัน”
สไบนางชะงักไปเล็กน้อย จ้องหน้า
“ฉันไม่ไป”
อุปมาแกล้งพูดยั่ว
“แล้วถ้าคุณย่าอยากให้เธอไปล่ะ”
“ไม่มีทาง”สไบนางบอกอย่างมั่นใจ
“มั่นใจไปหน่อยรึเปล่า คุณย่าท่านรอญาติมารับคืนไปมาตั้งนานแล้วนะ”
สไบนางเงียบไปอย่างคิดตาม
“ไม่รู้เธอไปหว่านเสน่ห์อะไรพ่อฉัน ท่านถึงได้หลงรักเธอเอามากๆ หลังฉันแต่งงานกับพี่สาวเธอ พ่อคงมาเจรจาขอพาเธอไปอยู่ที่บ้านฉันด้วย”อุปมายิ้มกวนๆ “เราคงไม่พรากจากกันง่ายๆหรอก”
สไบนางเจ็บใจ
“ก็ดี ฉันจะได้อาละวาดให้สุดฤทธิ์ไปเลย รับรองไม่ทันข้ามคืน ลุงมีต้องส่งตัวฉันคืนให้คุณย่าแน่นอน” สไบนางยิ้มมั่นใจ
“แล้วคิดว่าฉันจะใจดี ยอมให้เธอแผลงฤทธิ์ได้ตามใจชอบเหมือนเดิมอีกเหรอ”อุปมาจ้องหน้า เอาจริง “ถึงเวลาที่ฉันต้องคุมเข้ม ปราบพยศเธออย่างจริงจังซะทีแล้วล่ะ”
สไบนางจ้องหน้าอุปมาตาแข็ง
“ย้ายไปอยู่บ้านฉันเมื่อไหร่ เราได้เจอกันแน่ เฮี้ยวนักจะจับตีก้นซะให้เข็ด”
สไบนางเจ็บใจ
“ลามก ลองมาถูกตัวฉันสิ ต่อยปากแตก”
อุปมาขำหยัน
“ฉันสงสารผู้ชายที่ต้องแต่งงานกับเธอจริงๆ”
สไบนางโกรธ
“ยังไงก็น่าสงสารน้อยกว่าพี่เมแหละ”สไบนางยกมือพนมท่วมหัว “เพี้ยง ขอให้งานแต่งมันล่ม”
อุปมาชักเคือง
“เฮ้ย ลามปามไปเปล่า เดี๋ยวเตะกลิ้งเลย”
สไบนางเห็นท่าไม่ดี ตั้งท่าหนี แต่ยังไม่วายปากเก่ง
“ไอ้หน้าโจร”
สไบนางวิ่งหนีลงบันไดบ้านไป อุปมาจ้องตามสไบนางโกรธปนหมั่นไส้ ขณะเดียวกันนั้นเสียงเมธาวีก็ดังขึ้น
“รอนานมั้ยคะมาร์ค”
อุปมาได้ยินเสียงหวานๆ ค่อยคลายโกรธ หันกลับไปหาเมธาวี ยิ้มแย้มให้ เดินเข้าไปจับมือ
“คุณพ่อได้ฤกษ์งานแต่งของเรามาแล้วนะ มีเวลาอีก 1 เดือน เร็วเกินไปมั้ย”
เมธาวีใจหาย ทุกอย่างเร็วจริงๆ
“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
อุปมาอ้อนๆ
“ไม่ดีรึไง...คุณพ่อให้ผมมาถามเมดูก่อน”อุปมาบีบมือเมธาวี ส่งตาหวานเชื่อม “ผมไม่เห็นว่าจะถ่วงเวลาให้นานไปอีกเพื่ออะไร”อุปมากุมมือทั้งสองข้างของเมธาวีจ้องตา “ตกลงตามนี้นะครับ”อุปมาส่งแววตาออดอ้อน
เมธาวีเห็นแววตาออดอ้อน อดใจอ่อนไม่ได้ ยิ้มบางๆ พยักหน้ารับ
“ขอบคุณครับ”
อุปมาสวมกอด เมธาวีไม่ทันตั้งตัวเขินอาย จะขยับตัวออก
“เดี๋ยวคุณย่าเห็นค่ะมาร์ค”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย เราหมั้นกันแล้วนี่ ขอกอดเจ้าสาวผมให้หนำใจซักทีเถอะ”
อุปมาไม่ยอมปล่อยกอดกระชับเมธาวีไว้แน่น เมธาวีได้แต่ยิ้มเอียงอายแต่ก็ชื่นใจและดีใจไม่แพ้กัน
(อ่านต่อวันพรุ่งนี้)