xs
xsm
sm
md
lg

รอยมาร ตอนที่ 8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ติดตามอ่านละครออนไลน์ ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้าเวลา 09.30 น.

รอยมาร ตอนที่ 8

วงส้มตำกำลังสนทนากันอย่างออกรส อาทิตย์รู้สึกสนุกไปด้วย เมื่อรู้ว่าสไบนางจะมีโชว์ในงานวันคล้ายวันเกิดคุณหญิงรุจา
“ผมไม่พลาดแน่นอนครับคุณย่า อยากดูโชว์ของบู้บี้ เดอะสตาร์”อาทิตย์พูดขำๆ
สไบนางปาถั่วฝักยาวใส่อาทิตย์
“อย่าพูดมาก”
“เดี๋ยวเถอะนะบี ของกินเอามาขว้างปา สมควรเหรอ”คุณหญิงรุจาดุ
สไบนางจ๋อยไป
“ขอโทษค่ะคุณย่า”
อาทิตย์แอบอมยิ้มแล้วทานอาหารไป สไบนางจิกตามองอาทิตย์ไม่พอใจ หยิบถั่วฝักยาวมาจิ้มเข้าปากกัดเคี้ยวกวนๆ
เมธาวีเดินกลับเข้ามาย่อตัวลงคุกเข่าพูดกับคุณหญิงรุจาที่นั่งปูเสื่อกับพื้น
“คุณย่าคะ คุณอุปมามาขอพบค่ะ”
สไบนางไอสำลักถั่วฝักยาวเล็กน้อย
“ค่อยๆทานสิคะ เดี๋ยวก็ติดคอกันพอดี ดื่มน้ำก่อนค่ะ”บังอรยกแก้วน้ำให้
“เราทานข้าวกลางวันกันอยู่ บอกให้กลับไปก่อนเถอะค่ะคุณย่า ไม่รู้จักเวล่ำเวลา”สไบนางยุยง
“ไม่เป็นไรหรอกย่าอิ่มแล้ว...เมไปบอกให้คุณอุปมาขึ้นมารอย่า ที่ห้องรับแขกเล็กได้เลย”
“ค่ะคุณย่า”
เมธาวีลุกขึ้นเดินกลับออกไป โดยไม่สนใจอาทิตย์เลย คุณหญิงรุจาหันมาหาอาทิตย์
“ทานกันต่อไปนะอาทิตย์ มื้อนี้อร่อยมาก ขอบใจนะ”
“ครับคุณย่า”อาทิตย์เหลือบตามองเมธาวีไปอย่างไม่ค่อยสบายใจ แต่ก็รับคำ
บังอรเข้ามาประคองคุณหญิงรุจาลุกขึ้นยืน แล้วพาเดินไป พอคุณหญิงรุจาเดินพ้นไป สไบนางก็พุ่งมือเข้าบิดพุงอาทิตย์จนร้องจ๊าก สไบนางมองไปทางหน้าบ้าน ไม่สบอารมณ์ บ่นพึมพำ
“มีธุระอะไร มาอยู่ได้”

+ + + + + + + + + + + +

อุปมาเดินเล่นชมสวนอยู่เพลินๆ เมธาวีเดินมาหยุดด้านหลัง แต่งผมจัดเสื้อผ้าเล็กน้อย ก่อนตั้งท่าวางฟอร์มเชิ่ดๆ
“คุณอุปมาคะ”
อุปมาหันมามองพร้อมยิ้มโปรยเสน่ห์ เมธาวียังคงวางหน้านิ่ง เหมือนไม่สนใจอะไร
“คุณย่าเชิญที่ห้องรับแขกเล็กค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
เมธาวีหันไปพยักหน้าให้สาวใช้ที่ตามมาห่างๆ
“ทางนี้ค่ะ”สาวใช้เดินนำไป
เมธาวีจะเดินเลี่ยงไปทางสนาม อุปมาพูดขัดขึ้น
“เหมือนคุณไม่ค่อยยินดีต้อนรับผมเท่าไหร่เลย”
เมธาวีหันมอง
“คุณเป็นแขกของคุณย่า ดิฉันจะไม่เต็มใจต้อนรับได้ยังไงคะ คุณพูดแบบนี้ ดิฉันจะถูกคุณย่าตำหนิเอาได้”
“ผมไม่เห็นคุณยิ้มเลย แล้วแบบนี้จะเรียกว่าเต็มใจต้อนรับได้ยังไงครับ”
เมธาวียังวางฟอร์มหน้านิ่ง
“ดิฉันเป็นคนยิ้มยากค่ะ”
อุปมาจ้องตา
“ผมจะทำให้คุณเมยิ้มให้ผมให้ได้”
เมธาวีมองอุปมานิ่งๆ ตัดบท
“เดี๋ยวคุณย่าจะรอนานนะคะ”
“คราวหน้าผมขอเป็นแขกคุณเมบ้างได้มั้ย” อุปมาส่งสายตากรุ้มกริ่ม
“แขกคุณย่าก็เหมือนแขกของเราทุกคน ขอตัวนะคะ”
เมธาวีเดินเลี่ยงไปทางสนามพร้อมอมยิ้มบางๆ เห็นอุปมามองตามอยู่ด้านหลังอย่างสนใจไม่วางตา อุปมาอมยิ้มบางๆ เดินตามสาวใช้ขึ้นบ้านไป
ขณะเดียวกันนั้น ชันษายืนอยู่ที่ริมรั้วด้านหลังอุปมา ยืนจ้องมองอยู่ด้วยอย่างไม่พอใจนัก ด้วยอารมณ์หึงหวงเมธาวี

+ + + + + + + + + + + +

อุปมานั่งรอในห้องรับแขกเล็ก ไม่นานนัก คุณหญิงรุจาเข้ามา โดยมีบังอรเดินตามมาด้วย อุปมารีบลุกขึ้นยกมือไหว้...คุณหญิงรุจารับไหว้
“นั่งเถอะจ้ะ”
คุณหญิงรุจานั่งนำลงก่อนอุปมาจะนั่งตาม ยังไม่ทันจะได้สนทนา สไบนางก็เดินปั้นข้าวเหนียวเดินเคี้ยวกวนๆ เข้ามาในห้องรับแขก
“มาแล้วแม่ตัวดี...”คุณหญิงรุจาเปรยขึ้น
อุปมาหันมองสไบนาง ทั้งคู่มองหน้ากันแบบเขม่นๆ คดีค้างกันเยอะ แต่ต่อหน้าคุณหญิงรุจา ทั้งคู่ต่างเก็บอาการ สะกดความแค้นเอาไว้ก่อน
“ไหว้คุณอุปมาเค้าซะสิ เราเคยแผลงฤทธิ์ใส่เค้าไว้เยอะไม่ใช่เหรอ”
สไบนางหน้าตากวนๆ ยื่นมือที่เปื้อนข้าวเหนียวมาเช็คแฮนด์ด้วย
“ธรรมเนียมไทยเค้าไหว้กันไม่ใช่เหรอ” อุปมาแขวะ
คุณหญิงรุจา มองสไบนางไม่พอใจ
“นี่แม่บี ห่ามใหญ่แล้วนะ พี่เค้าเป็นนักเรียนนอกแต่ก็เป็นคนไทย ไปล้างมือล้างไม้ให้เรียบร้อยแล้วมาไหว้พี่เค้าใหม่”
“ยังกินไม่อิ่มเลยค่ะคุณย่า...ติดไว้ก่อนนะ กินอิ่มแล้วเดี๋ยวล้างมือมาไหว้ใหม่”
คุณหญิงรุจาและบังอรหันมองหน้ากันอย่างเซ็งๆกับพฤติกรรม สไบนางจะเดินออกไป แต่เปลี่ยนใจ กลับเดินกัดแทะข้าวเหนียวมานั่งคุยด้วยหน้าตาเฉย อุปมาเหล่ๆ มอง คุณหญิงรุจาเหนื่อยใจตัดบทเปลี่ยนเรื่องคุย
“คุณอุปมาทานอะไรมารึยังล่ะ มีอาหารอีสานนะ ทานเป็นรึเปล่า”
“วันนี้คุณบีเค้าเลี้ยงฉลองสอบติดศิลปากรน่ะค่ะ” บังอรบอกอย่างยิ้มแย้ม
สไบนางทำท่ายืดๆ
“เห็นทะโมนๆ ยังงี้อุตส่าห์สอบติดกะเค้าได้” คุณหญิงรุจามองสไบนาง สายตาปลื้มๆ
“คุณจะกินได้เร้อ ต้องใช้มือจกอาหารเข้าปากนะ ยังงี้” สไบนางทำท่าจกข้าวเหนียวในมือใส่ปาก
“เดี๋ยวเถอะนะบี เล่นไม่เลิกนะ คุณอุปมาเค้าไม่คุ้นเคย กระดากตาย” คุณหญิงรุจาปราม
“เรากินกันอย่างเปิดเผย ต้องกระดากอายทำไมคะคุณย่า”สไบนางเหล่ๆมองอุปมา จงใจพูดแขวะ “ดีกว่าแอบลักเค้ากินขโมยเค้ากินเป็นไหนๆ”
สไบนางจ้องหน้า อุปมาจ้องหน้าเธอคืน รู้ดีว่าแขวะตนอยู่ อุปมาปั้นยิ้ม ตอบโต้กลับ
“เรามีความพอใจเป็นของตัวเอง เป็นสิทธิส่วนบุคคล คนอื่นที่ชอบก้าวก่ายเรื่องของเราเกินไป ควรเรียกว่า
อะไรดี…”
สไบนางตอบกลับหน้าตาย
“สอด แส่ สาระแน หรือ...”
คุณหญิงรุจาส่งเสียงแข็งปรามๆ
“บี”
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณย่า”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ย่าทนฟังมานานแล้ว ทำไมพูดจาก้าวร้าวพี่เค้าขนาดนี้ พี่เค้าไปทำอะไรให้เรา”
“บีไม่อยากเล่าให้คุณย่าฟังหรอกค่ะ บางทีเรื่องทั้งหมดอาจจะเป็นโชคดีของครอบครัวฝนก็ได้ ถ้าผู้หญิงเลวๆ คนนึงจะโดนผู้ชายที่เลวคู่ควรกัน ลากไปให้พ้นชีวิตพี่สาวฝนซะที” สไบนางลุกขึ้น “เย็นนี้ไม่ต้องเรียกนะคะ บีไม่ทานข้าว”
สไบนางค้อนตาเขียวใส่อุปมา ก่อนเดินหัวเสียกลับออกไป คุณหญิงรุจาพยักหน้าให้บังอร
“ขอตัวก่อนนะคะ”
บังอรเดินตามสไบนางออกไป คุณหญิงรุจาหันมาปั้นยิ้มให้อุปมา
“ขอโทษแทนหลานสาวด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเจอฤทธิ์เดชเค้าจนชินแล้ว...ผมจะมาเรียนให้ทราบว่าพ่อผมกับลุงประมุข
คงจะเดินทางกลับมาเมืองไทยพร้อมกัน”
คุณหญิงรุจาปั้นยิ้มรับทราบแต่ลึกๆ ก็แอบกังวลใจอยู่

+ + + + + + + + + + + +

สไบนางเดินหงุดหงิด ไปกระแทกตัวนั่งลงที่เตียง พร้อมใช้ทิชชู่เช็ดมือเหนียวๆแรงๆอย่างใส่อารมณ์ บังอรที่เดินตามมาต่อว่า...
“ยังไงคุณบังอรก็ขอตำหนิ การกระทำของคุณบีอยู่ดี คุณย่าท่านผิดหวังมาก รู้มั้ยคะ”
สไบนางปาทิชชู่ก้อนเหนียวลงถังขยะพร้อมโวยวาย ไม่ฟังอะไร
“บีเกลียดมันค่ะคุณบังอร เค้าอาจจะเป็นแขกคนสำคัญของคุณย่า...เป็นแขกที่คุณบังอรชื่นชมนักหนา แต่สำหรับบี มันไม่ใช่พี่ ไม่ใช่เพื่อน มันไม่มีความหมายอะไรเลยนอกจาก ผู้ชายถ่อยๆ ไม่มีจิตสำนึก”
บังอรไม่สบายใจ
“คุณบี ถึงยังไง เค้าก็เป็นแขกของบ้านเรา เราจำเป็นต้องรักษามารยาท”
สไบนางประชดประชัน
“ใช่สิ...คุณย่าถึงเห็นมันดีกว่าบี ทำดุบีอวดมัน มันเลยยิ้มสะใจใส่บี บีรู้ว่ามันอยากเอาชนะบี ฝันไปเถอะ...คุณย่าก็เหมือนกัน ดุด่าว่าบีดีนัก วันนึงบีจะไปจากคุณย่า”
บังอรตกใจ
“คุณบี ทำไมพูดแบบนี้ล่ะค่ะ”
“บีพูดจริง ย่าอยากเห็นคนอื่นดีกว่าบีดีนัก ดูสิ ไม่มีบีซักคน คุณย่าจะเคี่ยวเข็ญใครได้ ใครจะฟังคุณย่า”
“ไม่เอาแล้ว ยิ่งพูดยิ่งไม่น่ารัก”
สไบนางลุกขึ้น
“คอยดูนะคุณบังอร บีจะประท้วง บีจะไม่เดินผ่านบันได ไม่เบิกเงิน ไม่ออกจากห้อง 4-5 วัน คุณย่าจะได้รู้ตัวว่าตัวเองผิด แล้วเดินมาเคาะประตูห้องขอโทษบี”
สไบนางสะบัดหน้าเดินปึงปังออกไป จากห้องนอน บังอรได้แต่ถอนใจส่ายหน้า น้ำกำลังเชี่ยวเลยปล่อยไปก่อน

+ + + + + + + + + + + +

ในสวน... เมธาวีนั่งเปิดแมกกาซีนแฟชั่นดูไปเพลินๆ หาแบบเสื้อผ้า กระเป๋าถือมาใช้ไปเรื่อยๆ ชันษาแอบมองอยู่ข้างบ้าน จดๆจ้องๆ ไม่กล้าเข้ามาหา เมธาวีรู้สึกมีคนมองอยู่ หันไปมอง ชันษาหลบผลุบไปหลังพุ่มไม้ได้ทัน เมธาวีหันกลับไปอ่านแมกกาซีนต่อ
ชันษายื่นหน้าออกมาแอบมอง แล้วนึกถึงในอดีตขอนตนเอง เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยเด็ก ที่เมธาวีดุสไบนาง
“เธอมันเห็นแก่ตัว เห็นคุณย่ากับคุณลุงรักยิ่งเอาใหญ่ เธอน่าจะกลับไปอยู่บ้านนอกเหมือนเดิมได้แล้ว”
สไบนางตั้งท่าเบะๆ จะร้องไห้เสียใจ
“จำเอาไว้นะบี ชันษาเค้าเป็นเพื่อนฉันก่อน ของเล่นนั่นเค้าก็ตั้งใจให้ฉัน เรื่องอะไรมาแย่งของฉันไป...ไอ้คนขี้แย่งนิสัยไม่ดี มีแต่คนเกลียดไม่อยากเล่นด้วย”
สไบนางร้องไห้ วิ่งไปนั่งงอนริมสนาม ชันษาเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ที่ซ่อนอยู่ รีบพูด...
“ทำยังไงดีเม ชันเกลียดบีจังเลย ต่อไปชันไม่เล่นกับบีแล้ว เมอย่าโกรธชันนะ”
“จำไว้นะชันษา เมไม่ชอบเป็นรองใคร ของเล่นที่ชันให้เมแต่ดันไปให้บีก่อน คนอย่างบีกว่าจะเล่นจนพอใจก็ทุบพังจนบุบบี้ ถ้าต่อไปชันยังใจอ่อนแบบนี้อีก ไม่ต้องมาเล่นกับเม”
ชันษาจ๋อยไป
“ชันขอโทษนะเม”
เมธาวีจ้องหน้าชันษา
“ชันก็เหมือนของเล่นนั่นแหละ เป็นสิทธิ์ของเม เพราะเมรู้จักชันมาก่อนบี เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจจ้ะ”
“ชันไปเล่นกับบีเถอะ เดี๋ยวก็ร้องไห้ไปฟ้องคุณย่า เมจะโดนดุอีก”
“แต่ชันอยากเล่นกับเมมากกว่า”
เมธาวีจ้องหน้าชันษา ตาดุ
“นี่คือคำสั่ง ไปเล่นกับบีเดี๋ยวนี้”
“จ้ะเม”
ชันษาเดินจ๋อยๆ ไปง้อสไบนางแทนเมธาวีอย่างเชื่อฟัง
ชันษาอมยิ้มอยู่ข้างพุ่มไม้เมื่อนึกถึงเรื่องราวในวัยเด็ก...ชันษาตัดสินใจจะลุกออกไปหาเมธาวี แต่สไบนางเดินมาที่สนามจากทางหลังบ้านเสียก่อน ชันษาเปลี่ยนใจ คิดว่าหลบอยู่ก่อนดีกว่า เพราะอยากคุยกับเมธาวีคนเดียว ไม่อยากจะปะทะคารมกับสไบนางตอนนี้ เมธาวีเหลือบตาไปมองสไบนาง อดแขวะไม่ได้
“โดนคุณย่าดุเสียงดังมาถึงข้างล่าง อายแขกเค้ามั่งมั้ย”
“ไม่อาย ทำไม่ต้องอายด้วยล่ะ”
“เธอไม่อายแต่ทุกคนเค้าอับอาย”
สไบนางยักไหล่
“ช่วยไม่ได้ อยากหน้าบางกันเอง”
สไบนางจะเดินไป เมธาวีพูดลอยๆ
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะ ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้”
สไบนางหันมองหน้า เมธาวียิ้มร้ายๆ ดูน่ากลัวผสมหยามเหยียด
“ตามฉันมานะบี เป็นให้ได้ เหมือนกับฉัน”เมธาวีพูดขำๆดูถูกเต็มที่
สไบนางขบฟันแน่น สัมผัสความรู้สึกร้ายๆที่มีต่อตนของพี่สาวได้ จ้องหน้าเมธาวีอย่างเจ็บใจ เมธาวีจ้องหน้ากลับเย้ยหยัน
“บทเฮี้ยวของเธอ กำลังหมดความหมายลงทุกทีแล้วล่ะ รู้ตัวเอาไว้ซะด้วย”เมธาวียิ้มเหยียดดูถูก
เมธาวีลุกเดินถือแมกกาซีนกลับขึ้นบ้านไป พร้อมปรายตามองสไบนางอย่างเหยียดหยาม สไบนางกัดฟันแน่น มองตามเมธาวีไปด้วยแววตาชิงชัง
เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของชันษาที่แอบมองอยู่...ชันษาได้แต่ถอนใจออกมา มองมาที่สไบนางด้วยความรู้สึกเห็นใจอยู่เหมือนกัน

+ + + + + + + + + + + +

บ้านอัคราช ตอนหัวค่ำ...
คุณหญิงรุจานอนให้บังอรบีบนวดขาอยู่ในห้องนอน พลางถาม...
“เจรจากับแม่บุบบี้มา เค้ารู้สึกตัวบ้างมั้ยว่าทำไม่ถูก”
บังอรฝืนยิ้ม...
“ตอบยังไงดีล่ะคะ”
คุณหญิงรุจาถอนใจแรงๆน้อยใจนิดๆ
“ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ”
บังอรรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ใกล้งานวันเกิดคุณท่านแล้ว แม่ครัวให้ช่วยเรียนถามเรื่องอาหาร”
“หม่อมเกศเมตตาให้ยืมช่างขนม เห็นว่าจะขอทิ้งทวนฝีมือชาววังกันงานนี้ เรื่องของหวานก็ตัดไปได้ เบาแรงแม่ครัวเราได้หน่อย”
บังอรนึกสนุก
“อยากให้ถึงวันงานเร็วๆ นะคะ อยากเห็นว่าหลานๆ จะซุ่มทำอะไรให้คุณท่าน”
คุณหญิงรุจายิ้มๆ
“เห็นว่าพ่อมุขก็จะกลับมาพร้อมกับ พ่อของอุปมาตอนวันเกิดฉันเลย คราวนี้ไปนานเหลือเกิน แม่จิตราก็งุ่นง่านๆ”
บังอรสงสัย
“พ่อคุณอุปมานี่สนิทกับคุณประมุขมากเหรอคะ บังอรไม่เคยเห็นคุณท่านพูดถึงเลย”
รุจามีหน้าขรึมลงเล็กน้อย นึกถึงเรื่องราวในอดีต...
ในอดีต...
บารมีและประจักษ์ใส่ช่วยกันฟันจอบขุดดิน ให้เป็นหลุมใหญ่สำหรับลงต้นไม้ บารมีนั้นแข็งแรง กระฉับกระเฉง ส่วนประจักษ์แรงน้อยกว่า ไม่แข็งแรงเท่า
“พักก่อนมั้ยจักษ์”บารมีถามอย่างเป็นห่วง
“สบายมาก”
ประจักษ์สับจอบลงดินต่อไป ขณะเดียวกันนั้น ประมุขแต่งตัวหรูเนี๊ยบเดินมาดูว่าทำอะไรกันอยู่ ประจักษ์มองแหยงๆกลัวดินจะเปื้อน ประจักษ์ดึงจอบขึ้นมา เศษดินกระเด็นเลยไป ประมุขรีบถอยหลบ
“เฮ้ย ระวังหน่อยสิ”
บารมีและประจักษ์หันมอง
“วันนี้มีงานเปิดร้านอาหารใหม่ของคุณประยุทธ ไม่ไปด้วยกันเหรอ”ประมุขถาม
บารมีส่ายหน้า
“ต้องลงต้นไม้ใหม่หลายต้น คงเสร็จไม่ทัน”
“ให้คนงานทำก็ได้นี่”
“ไม่ได้หรอก พันธุ์นอกมันแพง”
“งั้นแกก็เร็วเข้าไอ้จักษ์ คุณแม่รออยู่”
“ผมเรียนคุณแม่แล้วพี่มุขว่าไม่ไป จะอยู่ช่วยพี่มีก่อน”
“ช่วยหรือถ่วงกันแน่วะไอ้จักษ์” ประมุขขำๆ “งั้นจะกินเผื่อแล้วกัน”
ประมุขเดินเขย่งๆ กลับออกไปอย่างกลัวเปื้อน ประจักษ์กับบารมีหันไปช่วยกันขุดดินต่อ ประจักษ์นั้นสนิทกับบารมีมากกว่าประมุข เพราะชอบเรื่องทำไร่ ทำสวนเหมือนกัน ส่วนประมุขไม่ติดดินเอาเสียเลย

(อ่านต่อ หน้า 2)





รอยมาร (ต่อ)
ค่ำคืนนั้น....ประจักษ์มีอาการป่วย เพราะตากแดดมาทั้งวัน คุณหญิงรุจาเอายาแก้ไข้มาให้ประจักษ์กินที่เตียง ประมุขยืนกอดอกมองเย้ยหยัน
“สุขภาพก็ไม่ดี ยังไม่เจียมตัว ไปช่วยไอ้มีมันขุดดินกลางแดดเหยงๆอยู่ได้”
“ทีหลังอย่าหักโหมรู้มั้ยจักษ์ เรามันโรคเยอะ ไม่แข็งแรงเหมือนกับมีเค้า จะไปกรำแดดกรำฝนเหมือนเค้าไม่ไหวหรอก”คุณหญิงรุจาเตือนอย่างห่วงใย
“ผมอยากช่วยพี่มีนี่ครับแม่”
“โดนไอ้มีมันหลอกใช้มากกว่า...อยู่สบายๆ ไม่ชอบไปเป็นมือเป็นตีนรับใช้มัน”ประมุขส่ายหน้าเดินออกไป
“พี่มีไม่ได้หลอกใช้ผมนะครับแม่ ผมชอบงานสวนจริงๆ ผมอยากจะลองเอาลิ้นจี่มาปลูกที่สวนเรามั่งนะครับแม่”
“จักษ์ชอบแม่ก็ดีใจ สวนผลไม้เราจะได้มีคนดูแล แต่ก็ต้องประมาณตัวนะจักษ์ ทำเท่าที่ร่างกายเราไหว”
“ครับแม่”
คุณหญิงรุจาลูบผมประจักษ์
“นอนพักซะเถอะลูก จะได้หายเร็วๆ นะ”
ประจักษ์ยิ้มให้แม่แล้วหลับตาไป
หลายวันต่อมา ประจักษ์กับประมุขไปที่บ้านเศรษฐีเทียน ประมุขกับบารมีมีเรื่องกัน ประมุขถูกบารมีถีบกลิ้งตกบันไดหน้าบ้าน บารมีโกรธจัดวิ่งตามลงบันไดมาซ้ำ ประจักษ์ร้อนใจรีบตามติดออกมาห้าม
“พี่มี...พี่มุข อย่ามีเรื่องกันเลยครับ”
บารมีตามไปกระชากคอเสื้อประมุข ที่ปากแตกเพราะถูกชกขึ้นมา
“มึงกลับบ้านมึงไปเลย บ้านกูไม่ต้อนรับคนอย่างมึง”
บารมีผลักไสประมุข จนเสียหลักล้มลงไปอีก ประมุขแค้นๆ
“กูก็ไม่อยากเหยียบบ้านมึงนักหรอก อย่าถือว่าเป็นรุ่นพี่แล้วข่มเหงกูได้ตามใจชอบ กูไม่กลัวมึงหรอก”
“มึงไปให้พ้นรั้วบ้านกูเลย หรือต้องให้กูถีบส่ง”

ประจักษ์รีบตามไปจับแขนบารมี
“ผมขอเถอะครับพี่มี...พี่มุขรีบกลับไปสิ”
ประมุขหน้าตาเอาเรื่อง ชี้หน้าบารมีแล้วเดินหัวเสียออกไป
คุณหญิงรุจาหลังจากเล่าเรื่องราวให้บังอรฟัง แล้วถอนหายใจเบาๆ
“บารมีไม่กินเส้นกับประมุขเท่าไหร่ ผิดกับประจักษ์ที่เข้านอกออกใน บ้านเศรษฐีเทียนได้ตลอดเวลา”
บังอรบีบนวดรุจาพร้อมซักถามต่อไป
“คุณบารมีเป็นทหารเหมือนกันเหรอคะ”
“ใช่ รุ่นพี่กว่าหน่อย จบทหารก่อนพ่อมุขสองสามปี แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นแล้วล่ะ...พอแล้ว...”
คุณหญิงรุจาขยับตัวนั่ง บังอรหยุดนวดแล้วช่วยประคองนั่ง
“พ่อมีเค้าดี ช่วยพ่อแม่ทำงานตัวเป็นเกลียว ทหารก็เรียนงานสวนก็ทำ สองหน่อของฉันนี่ไม่ได้เรื่อง”
“แต่คุณประจักษ์เธอชอบนี่คะ”
รุจาพยักหน้ารับ
“พ่อจักษ์น่ะเอาหน่อย แต่สังขารไม่ให้ ผอมโกรกขี้โรค พ่อมุขยิ่งแย่ สำอางเหลือเกิน หยิบจับอะไรไม่ได้ เข้าเรียนนายร้อยได้ก็ดูถูกน้องซะอีก”คุณหญิงรุจาถอนใจ ส่ายหน้า
“แล้วทำไมคุณบารมีถึงย้ายไปอยู่เมืองนอกซะล่ะคะ”
คุณหญิงรุจาหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
“จะว่าเป็นคราวซวยก็ได้นะ เจ้านายพ่อมีไปมีปัญหากับกลุ่มอิทธิพลเข้า พ่อมีก็เลยโดนร่างแหไปด้วย”

คุณหญิงรุจาทอดถอนใจ นึกถึงเรื่องราวในอดีต...

ในอดีตนั้น...
ประมุขยืนยืดอกตัวตรง รับคำสั่งจากเจ้านายในห้องทำงาน
“นายนำคนไปค้นบ้านเศรษฐีเทียน การข่าวบอกว่า นายเทียนกับลูกชายพัวพันกับพวกค้าอาวุธสงคราม”เจ้านายสั่ง
ประมุขตกใจ ไม่เชื่อแต่ไม่กล้าขัดคำสั่ง
“นายต้องนำคนไปจับให้ได้คาหนังคาเขาคืนนี้”
ประมุขหน้าตาตื่นตกใจ แต่ต้องยืดอกรับคำหนักแน่น
“ครับผม”
ประมุขเคร่งเครียดอย่างหนัก กับสิ่งที่จะต้องทำ
ค่ำคืนนั้น...
นายทหารเข้าล้อมหน้าบ้านเศรษฐีเทียน ก่อนที่นายตำรวจจะกรูขึ้นบ้านยามวิกาล
บารมี เศรษฐีเทียน ภรรยา และศรีอำไพน้องสาวย่างเข้าวัยรุ่น ต่างหน้าตาตื่นตกใจเดินออกมารับหน้า ประมุขเดินตามนายตำรวจขึ้นบ้านมา บารมีเข้ามาหา
“มีเรื่องอะไรเหรอประมุข”
ประมุขหน้าเครียด
“สายข่าวแจ้งว่า แกกับพ่อพัวพันกับพวกค้าอาวุธสงคราม”
บารมีตกใจมาก
“แกจะบ้าเหรอประมุข”
“ฉันเป็นเจ้าของสวน ทำสวนทำไร่ จะไปค้าอาวุธสงครามกับใคร”เศรษฐีเทียนโวยวาย
ประมุขหน้านิ่งเครียด
“ผมต้องทำตามคำสั่ง ขอโทษนะครับคุณลุง”
“นี่หมายค้นครับ”ตำรวจแสดงหมายค้นให้ดู
ศรีอำไพหวาดกลัวกอดแม่เอาไว้แน่น
“ค้นให้ทั่ว”นายตำรวจสั่งลูกน้อง
ตำรวจพากันเข้าไปในบ้าน ประมุขจ้องหน้าบารมีหน้าเครียดขรึม ลำบากใจอยู่มาก ก่อนจะเดินตามเข้าไปด้านใน
“ไอ้มุข”บารมีจะตาม
เศรษฐีเทียนคว้าไหล่ลูกชายเอาไว้
“ปล่อยมัน”
“อะไรกันเนี่ยพ่อ ต้องมีคนหาเรื่องใส่ความเราแน่ๆ”แม่ถามอย่างร้อนใจกลัวๆ
เศรษฐีเทียนเข้ามากระซิบบารมี
“ท่าทางไม่ชอบมาพากลแล้วล่ะ แกรีบพาน้องหนีไปทางหลังบ้านก่อนไป...”
“รีบไปเร็วๆ เจ้ามี”แม่ร้อนใจมาก
“พ่อกับแม่ระวังตัวด้วยนะครับ...ไพ ไปกับพี่”
บารมีจูงมือศรีอำไพ ค่อยๆหาจังหวะเดินเลี่ยงไปอีกด้านของบ้าน เศรษฐีเทียนและภรรยาเดินมาจับกุมมือกันเอาไว้ด้วยความกังวล
ประมุขเดินหน้าเครียดนำนายตำรวจออกมาจากด้านในบ้าน...ตำรวจขนถุงผ้าขนาดใหญ่ 2 ใบออกมาด้วย เศรษฐีเทียนและภรรยาตกใจมาก ประมุขบอกเครียดๆ
“คุณลุงครับ เราเจออาวุธสงครามร้ายแรงซ่อนอยู่ในตู้”
เศรษฐีเทียนอึ้งตะลึงไป รู้ทันทีว่าโดนใส่ความแล้ว...
“เป็นไปไม่ได้ ลุงถูกใส่ร้ายจริงๆ นะประมุข”
“หลานก็รู้จักลุงดีว่าเราทำมาหากินสุจริต ไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมาย”เมียเศรษฐีเทียนบอก
“คุณลุงไปให้การที่โรงพักดีกว่าครับ”
ตำรวจเข้ามาเชิญตัว
“ตามผมมาเลยครับ”

เศรษฐีเทียนตกใจหันมองหน้าภรรยา ประมุขกวาดตามองหา
“บารมีหายไปไหน”
เศรษฐีเทียนค่อยๆ ขยับมือล้วงปืนที่เหน็บเอาไว้ออกมา...
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น บารมีจูงมือศรีอำไพ หลบลัดเลาะมาตามสวนของบ้าน อาศัยความมืดช่วยหลบหนี ทันใดนั้นเสียงปืนดังปะทะกันหลายนัด บารมีและศรีอำไพต่างตกใจหยุดหันไปมองทางบ้านตน บารมีมองไปทางบ้านด้วยสายตาเป็นห่วงพ่อกับแม่ แต่ต้องตัดสินใจ พาศรีอำไพหนีต่อไป
เศรษฐีเทียนและภรรยาถูกยิง โดยชายชุดดำที่ตามเข้ามาทีหลัง นายตำรวจที่อยู่ในบริเวณนั้น ต้องพากันวิ่งหลบกระสุนตามที่พอกำบังกระสุนได้ เมื่อเสียงปืนเงียบลง ประมุขรีบวิ่งออกมาดูเศรษฐีเทียนและภรรยา พบว่าทั้งคู่ขาดใจตายจมกองเลือด
หน้าบ้านเศรษฐีเทียนมีชายชุดดำกลุ่มใหญ่ แยกย้ายมาอีกด้านของสวน จุดไฟปาระเบิดเพลิงใส่บ้านเศรษฐีเทียน
บารมีจูงมือศรีอำไพวิ่งหนีตายอย่างทุลักทุเล ทั้งคู่หันมองตามไปด้านหลัง หวาดกลัว ก่อนที่จะพลาดตกลงไปในท้องร่อง บารมีรีบยกมือปิดปากน้องสาวไม่ให้ร้อง เขารีบปีนขึ้นจากท้องร่องจูงมือน้องสาววิ่งหนีลัดเลาะตัดสวนไป

+ + + + + + + + + + + +

ประจักษ์เคาะประตูห้องนอน คุณหญิงรุจากลางดึกอย่างร้อนใจ
“คุณแม่ครับ...คุณแม่”
“จักษ์เหรอลูก”
“ครับแม่”
คุณหญิงรุจาเปิดประตูห้องนอนออกมา มองอย่างเป็นห่วง
“ไม่สบายรึเปล่าลูก”
ประจักษ์ร้อนใจปนเครียด
“เปล่าหรอกครับ คุณแม่สวมเสื้อคลุม แล้วลงไปข้างล่างกับผมประเดี๋ยวเถอะครับ”
คุณหญิงรุจา แต่ก็รีบตามไป เมื่อลงไปในสวนก็พบว่าบารมี กับศรีอำไพมารออยู่...
ประจักษ์นั้นสวมเสื้อคลุมกันหนาว เพราะตนสุขภาพไม่ค่อยดี ยืนดูต้นทางอยู่หน้าบ้าน คอยสอดส่องความปลอดภัย เขาหันมองที่แคร่ในมุมมืด...ศรีอำไพนอนหลับตัวงอ ด้วยความเหนื่อยอ่อนอยู่บนแคร่ ประจักษ์สงสาร เดินเข้าไปหา ถอดเสื้อคลุมของตนห่มคลุมตัวให้ มองดูศรีอำไพพร้อมถอนหายใจออกมา ประจักษ์ชะเง้อมองไปทางหน้าบ้านก่อนจะหันมองไปทางหลังบ้านอย่างกังวล
ทางด้านบารมีเนื้อตัวเปรอะเปื้อน หน้าตาตื่น หลบมุมคุยกับคุณหญิงรุจาที่มุมมืดหลังบ้านสวน
“ฝากศรีอำไพด้วยนะครับคุณน้าน้องยังเด็ก ผมกลัวแกจะทนลำบากไม่ไหว”
คุณหญิงรุจาน้ำตาคลอ
“ไม่ต้องห่วงนะพ่อมี ไพก็เหมือนลูกสาวน้าคนหนึ่ง”
บารมียิ้มสบายใจ
“ขอบคุณมากครับ...มีอีกเรื่องที่ผมกังวล ผมกลัวพวกมันจะจับตัวคู่หมั้นผม เพื่อบีบให้ผมออกมา ผมจะหาทางติดต่อกับขัตติยาให้มาพึ่งใบบุญคุณน้าอีกคน”
“ได้เลยพ่อมี ทั้งน้องสาวทั้งคู่หมั้นของพ่อมี น้าจะช่วยดูแลให้อย่างดีที่สุด พ่อมีหลบอยู่ที่ท้ายสวนน้าก่อน ไม่มีใครกล้าบุกรุกเข้ามาในที่ดินบ้านน้าหรอก”
บารมีซาบซึ้งในความเมตตา ทรุดตัวลงคุกเข่าก้มกราบน้ำตาคลอ คุณหญิงรุจาสงสารจนน้ำตาท่วม ย่อตัวลงลูบหัว บารมีเหลือบตามองคุณหญิงรุจาตาแดงกล่ำ น้ำตาท่วม
“ผมไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เป็นตายร้ายดียังไง ฝากคุณน้าตามข่าวแทนผมด้วย”บารมีน้ำตาไหลออกมา
คุณหญิงรุจาน้ำตาท่วมด้วยความสงสาร
“เชื่อน้านะ พ่อแม่เราเป็นคนดี จะต้องปลอดภัย”
ขณะเดียวกันนั้น ประจักษ์วิ่งหน้าตาตื่นมาหา
“แม่ครับ มีตำรวจมาหน้าบ้าน”
คุณหญิงรุจาและบารมีตกใจ บารมีหันไปถามทันที
“ไพล่ะ”
“ผมพาไปซ่อนแล้วครับ”
“พ่อมีรีบไปเถอะ เดี๋ยวน้าจะถ่วงเวลาไว้ให้”
ประจักษ์น้ำตาคลอๆด้วยความเป็นห่วง
“ระวังนะพี่มี”
บารมีมองหน้าประจักษ์ พยักหน้าสายตาขอบคุณทั้งน้ำตาท่วม บารมียื่นมือไปบีบบ่าประจักษ์แล้วรีบหลบหนีไปอย่างเร็ว ประจักษ์ประคองรุจา จับมือกันเดินไปหน้าบ้าน ต่างใจเต้นไม่เป็นระส่ำ
คุณหญิงรุจาถอนใจออกมาหน้าเครียดๆ แล้วนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนเล่าต่อ...
“ไม่กี่วันพ่อมีก็ย้อนกลับมาอีก แต่ฉันก็ไล่ให้หนีไป เรื่องมันยังแรงอยู่...คงเพราะรู้ข่าวจากปากชาวบ้านว่าพ่อแม่ถูกยิงตาย บ้านถูกไฟเผาวอดทั้งหลังนั่นแหละ”
บังอรสงสาร
“โถ น่าสงสารจริงๆ ตกลงเป็นฝีมือใครกันแน่คะ”
คุณหญิงรุจาส่ายหน้า
“ไม่มีใครรู้ความจริง พูดกันไปต่างๆนาๆ ส่วนเรื่องเผาบ้าน เค้าว่าเป็นมือที่สามนะ ประมุขกับทหารตำรวจวันนั้นก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”
“แล้วคู่หมั้นเค้าล่ะคะ”
คุณหญิงรุจาชะงักไปเล็กน้อย เพราะเก็บงำความลับอะไรบางอย่างเอาไว้ ตอบแบบไม่สู้ตา
“เค้าก็รอๆอยู่ สุดท้ายก็แต่งงานไปกับคนอื่น ไอ้ข้อนี้เราก็ว่ากันไม่ได้ จริงมั้ยแม่บังอร”
“ค่ะ เรียกว่าคุณบารมีหมดสิ้นทุกอย่างที่เมืองไทย”
คุณหญิงรุจาพยักหน้ารับหน้านิ่งเครียด
“หลังจากวันนั้นคุณบารมีเคยมาหาคุณท่านอีกมั้ยคะ”
คุณหญิงรุจาส่ายหน้า
“ฉันก็ตื่นเต้นอยู่เหมือนกันที่จะได้เจอเค้าเร็วๆนี้”คุณหญิงรุจาถอนใจออกมาบางๆ รู้สึกผิด “ฉันเสียใจอยู่เรื่องนึง รับฝากน้องสาวเค้าเอาไว้ รับปากมั่นเหมาะว่าจะดูแลอย่างดีที่สุด สุดท้ายก็คืนน้องสาวให้พ่อมีไม่ได้”
บังอรหน้าซึมๆไปอย่างเห็นใจ
“เหลือแต่หลานของเค้าเท่านั้นแหละ ถ้าเค้าขอรับคืนไปก็ไม่รู้ว่าฉันจะทำใจได้แค่ไหน”
บังอรสงสัยมาก
“หลานคุณบารมีนี่ใครกันเหรอคะ”
คุณหญิงรุจานิ่งขรึมไปแล้วตัดบท
“ฉันเหนื่อยแล้วบังอร ไว้ค่อยคุยต่อวันหลังเถอะนะ”
“ขอโทษค่ะคุณท่าน พักผ่อนเถอะค่ะ”
คุณหญิงรุจาขยับตัวนอน บังอรช่วยจับประคอง ก่อนจะช่วยห่มผ้าให้ บังอรเดินไปปิดไฟห้องแล้วเดินออกจากห้อง กดล็อกประตูให้เรียบร้อย คุณหญิงรุจายังคงนอนลืมตาโพลง หยุดความคิดเรื่องราวที่เป็นเหมือนรอยมารของจิตใจตนเองในอดีตไม่ได้คืนนี้คงจะข่มตาหลับได้ยาก

+ + + + + + + + + + + +

เช้าวันใหม่...
วิมาดาเดินยิ้มแย้มถือถุงใส่อาหารสองมือ มาหน้าบริษัทอุปมา รปภ.ยิ้มแย้มพูดคุยทักทาย วิมาดาให้ถุงขนมดูสนิทสนม ก่อนรปภ.จะเปิดประตูให้วิมาดาเข้าไปในบริษัท ธนูแอบซุ่มมองมาจากในรถที่จอดหลบมุมอยู่อย่างสงสัยเขา รีบกดโทรศัพท์มือถือหาเพื่อน
“เฮ้ยกูเอง กินข้าวอยู่รึเปล่า...มีเรื่องให้ช่วยหน่อย แกช่วยเช็คให้ทีซิ เจ้าของบริษัทบุญอนันต์ อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต นี่เป็นใคร...มีปากกาอยู่กับตัวรึเปล่า สะกดยังงี้...”
ธนูบอกชื่อบริษัทที่ถูกต้องเพื่อนไป ธนูตั้งใจอย่างมุ่งมั่นว่าจะต้องรู้ให้ได้ว่าวิมาดาติดพันใครอยู่
ในบริษัท...
อุปมาเคาะประตูห้องประชุมก่อนเปิดเข้ามา วิมาดากำลังจัดโต๊ะอาหารสำหรับ 2 คนอยู่ เป็นอาหารฝรั่งหันมายิ้มหวานให้เขา
“เสร็จพอดีเลยค่ะ หิวรึยัง”
“ครับ”
“นั่งเลยค่ะ”วิมาดารินน้ำให้ “วิเห็นมาร์คงานเยอะก็เลยแวะซื้อมาให้ทาน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาออกไปข้างนอก”
“ขอบคุณครับ กำลังคิดถึงอยู่พอดี”
วิมาดาเหยียดปากหมั่นไส้
“ปากหวานเพราะหิวรึเปล่าคะ”
อุปมาอมยิ้มปลื้มๆนั่งลง
“ทานเลยนะครับ”
อุปมาตักอาหารทานไป วิมาดาชำเลืองมอง รอคำชม สักครู่อุปมาก็ยกนิ้วโป้งให้
วิมาดายิ้มปลื้ม ก่อนจะตัดสินใจออกปากชวน
“เย็นนี้เราไปหาหนังสนุกๆ ดูกันซักเรื่องมั้ยคะ”
“เย็นนี้ผมมีนัดแล้ว”
วิมาดาปั้นหน้าจ๋อยๆ ซึมๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ วิรู้ลำดับความสำคัญของตัวเองดี วิรอได้ค่ะมาร์ค”
อุปมาเหลือบตามองวิมาดา
“ไว้วันหลังนะ”
อุปมายิ้มให้แล้วก้มหน้ากินอาหารต่อ วิมาดาอดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ แต่ก็ถอนใจออกมาอย่างทำใจ
ด้านนอก...ธนูยืนคุยโทรศัพท์มือถือกับเพื่อนอยู่ข้างรถ หน้าขรึมๆ ทวนที่เพื่อนบอก
“บารมี บุญอนันต์ รวยมากมั้ย หนุ่มหรือแก่ มีลูกมีเมียรึยัง”
ธนูฟังเพื่อนก่อนเหลือบตาเห็นวิมาดา เดินออกมาจากบริษัท เขารีบเบี่ยงตัวเข้ารถไป วิมาดาเดินอารมณ์ดีออกมาจากบริษัท
“เอาน่ะ มึงช่วยสืบต่อให้กูทีแล้วกัน”ธนูกดตัดสายก่อนเลื่อนตัวลงต่ำเท่าที่จะทำได้ เพื่อหลบสายตาวิมาดาให้พ้น
วิมาดาขึ้นรถขับออก เหมือนไม่ได้สังเกตรถคันอื่นๆ ธนูเลื่อนตัวขึ้นมองตามรถวิมาดาไปสงสัยอยากรู้ว่าแอบมาหาใคร วิมาดาเหลือบตามองผ่านกระจกหลัง อมยิ้มพอใจที่ธนูตามมา ตามหมากของเธอ วิมาดายิ้มร้ายออกมาอย่างมีแผนการบางอย่างในใจ

+ + + + + + + + + + + +
หยาดฝนไกวเปล พร้อมร้องกล่อมหลานเอ่เอ๊ไปเรื่อยๆ สไบนางที่แวะมาหาเหล่มอง
“หลานชื่อซะฝรั่งเลย แคปปิตอล มาเอ่เอ๊ๆ อยู่ได้ เพลงอะไรของเธอ เอาแบบมีเนื้อร้องเพราะๆ หน่อยสิ สงสารหลาน”
หยาดฝนยกมือจุ๊ปากให้เบาๆ
“แต่คิดอีกที ถ้าปล่อยให้เธอร้อง จะน่าสงสารหลานกว่านี้”
หยาดฝนบิดแขนเพื่อน แล้วลากออกไปคุยนอกห้อง
“ช่างพูดซะจริง ออกมาข้างนอกเลย เดี๋ยวหลานก็ตื่นพอดี”
“เธอดีเน๊อะ ยังไม่เปิดเทอมก็ช่วยเลี้ยงน้องทำตัวให้เป็นประโยชน์”
“เธอก็ทำได้แต่ไม่ยอมทำ”
สไบนางเหยียดปากเซ็งๆ
“ทำไปก็ไม่มีใครเห็น...ยังไงก็สู้พี่เมผู้เลิศเลอเพอร์เฟ็กต์ไม่ได้หรอก”
หยาดฝนถอนใจ
“แล้วนี่ไม่กลับบ้านกลับช่องรึไง”
“ไม่อยากกลับหรอก ดูสิ วันนี้มีใครโทรตามที่ไหน”สไบนางทำหน้างอนๆ
“ก็เธอปิดมือถือ”
“ก็นั่นแหละ...ห่วงกันก็ต้องโทรตามหาตามบ้านเพื่อนสิ”
หยาดฝนระอา
“งอนคุณย่าอีกแล้วล่ะสิ”
สไบนางยังน้อยใจไม่หาย
“ช่วยไม่ได้...อยากเห็นคนอื่นดีกว่าหลานตัวเอง...”สไบนางตัดบทเปลี่ยนเรื่อง “ทำอะไรให้กินหน่อยสิ หิวแล้ว”
“แล้วเธอจะกลับบ้านเมื่อไหร่ เดี๋ยวมืดก็เดือดร้อนหรอก”
“ไล่เพื่อนเหรอ”
“เปล่า ฉันเป็นห่วง”
“เอาน่ะ ฉันดูแลตัวเองได้ เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก...ฉันอยากกลับเมื่อไหร่ก็กลับเองแหละ”สไบนางงอนๆ

+ + + + + + + + + + + +

ค่ำนั้น คุณหญิงรุจานั่งหน้าร้อนใจอยู่ที่โซฟารับแขก บังอรคุยโทรศัพท์หน้าเคร่งเครียดอยู่
“ให้คุณอุปมาไปจะได้เรื่องเหรอครับ คู่นั้นกินเส้นกันที่ไหน”อาทิตย์ถามอย่างกังวล
“เค้ามีน้ำใจอาสาไปตามหาให้ ย่าก็เลยไม่อยากขัดน้ำใจเค้า”
บังอรเดินเข้ามารายงานอย่างไม่สบายใจ
“คุณฝนบอกว่า...ออกจากบ้านเธอตั้งแต่ตอนเย็นแล้วล่ะค่ะ”
“ไปเถลไถลที่ไหนแน่ๆ ไม่รู้จักเวล่ำเวลาซะเลย”คุณหญิงรุจาถอนใจอย่างเป็นห่วง
วิจิตราเซ็งๆ
“ทะเลาะอะไรกันอีกล่ะคะคุณแม่”
“ก็เมื่อวานแม่บีไปพูดจาก้าวร้าวคุณอุปมา แม่ก็เลยดุว่าต่อหน้าคุณอุปมา เค้าก็โกรธมากบอกบังอรว่าจะประท้วงย่า...เมื่อคืนแม่บีก็พูดเป็นลางกับบังอรอีก บอกว่าวันหนึ่งจะไปจากย่า”คุณหญิงรุจาน้ำตารื้นๆ “แม่บีไม่เห็นใจย่า ไม่รู้ว่าย่ารักตัวมากรึไง”
บังอรรีบส่งกระดาษทิชชูให้คุณหญิงรุจาซับน้ำตาออก วิจิตราอดเบะปากหมั่นไส้ปนอิจฉาเด็กไม่ได้
“ไม่ต้องห่วงนะครับคุณย่า ผมอยู่ทั้งคนไม่ปล่อยให้บู้บี้ เอ๊ย น้องบีเป็นอะไรไปหรอกครับ”อาทิตย์ปลอบ
เมธาวีเหล่มองอาทิตย์เหยียดปากหมั่นไส้
“บีคงได้ใจที่เคยประท้วงคุณย่าได้ผลบ่อยๆ เมพูดด้วยความหวังดีนะคะคุณย่า บีโตขึ้นทุกวัน คุณย่าต้องกำหราบให้อยู่ ไม่ใช่คิดจะทำอะไรก็ทำ คอยแต่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอยู่ร่วมบ้านยังงี้ มันเอาเปรียบกันเกินไปค่ะ”
“ลูกเมพูดถูกนะคะคุณแม่ เห็นว่าย่ารัก ประท้วงอะไรก็ได้ทุกอย่างไม่เชื่อฟังใครเลย เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ นิสัยยังงี้ต่อไปจะอยู่ร่วมกับคนอื่นเค้าได้ยังไง”วิจิตราหมั่นไส้ ชิงชัง
คุณหญิงรุจาเงียบกริบ พูดไม่ออก อาทิตย์แอบสบตากับบังอรอยู่ไปมา

+ + + + + + + + + + + +

สไบนางเดินหน้าบึ้งตึงกลับมาตามซอย ขณะเดียวกันนั้นมีรถยนต์คันหนึ่งขับตามหลังมา ไม่ยอมแซงผ่านไป สไบนางหันเหล่ๆ มองเล็กน้อยแล้วรีบเดินเร็วขึ้น รู้สึกได้ว่าไม่ปลอดภัยแล้ว
รถคันนั้นตามเร็วขึ้นแล้วตีคู่ขึ้นมา สไบนางเห็นท่าไม่ดีแน่ๆ กลัวถูกดักตีจับขึ้นรถไปเรียกค่าไถ่หรือค้าประเวณีตามที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากข่าว เธอออกตัววิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต รถคันนั้นขับเร่งตามไปเหมือนแกล้ง สไบนางเห็นซอยข้างหน้า จะวิ่งเลี้ยวหนีเข้าไป รถคันนั้นปาดเข้าขวางทางเข้าซอย สไบนางหยุดกระทันหันจะหนีไปอีกทางแต่ด้วยความเร็ว ทำให้เสียหลักขาพลิกล้มลงกับพื้นเจ็บปวด อุปมาเดินลงมาจากรถ...
“กลัวเป็นเหมือนกันเหรอ”
“แก...”
สไบนางเงยหน้าขึ้นจ้อง สายตาเกลียดชัง
“พูดจาไม่สุภาพเลย เรียกผู้ใหญ่ว่าแกได้ยังไง”
“ผู้ใหญ่คือคนที่น่าเคารพนับถือ แต่แกไม่ใช่”
สไบนางจะลุก แต่ทรุดลงไปอีกเพราะขาแพลง
“ขาเจ็บเหรอ”
สไบนางตวาด
“ยังมาถามอีก”
อุปมาขยับเข้าไปดูใกล้ๆ จับข้อขา
“ตรงนี้เหรอ”
สไบนางปัดมืออุปมาออก
“ไม่ต้องมายุ่ง”
อุปมากวนๆ
“เดินไม่ไหวยังงี้ พี่ต้องอุ้มไปส่งบ้านแล้วล่ะ”
อุปมาขยับตัวจะไปอุ้ม สไบนางนั้นถือตัว ไม่ชอบขี้หน้าอุปมาอยู่เป็นทุน สะบัดมือตบหน้าอุปมาฉาดใหญ่จนหน้าหันไปตามความแรงที่ไม่มียั้ง อุปมาก็แรง ไม่ยอมใครอยู่แล้ว กระชากสไบนางมาจูบปากเอาคืนทันที สไบนางร้องลั่น ผลักอุปมากระเด็นออกไปรีบถุยด้วยความรังเกียจ
“ถุย...แหวะ ทุเรศ”สไบนางโกรธจนหายใจไม่ทัน ชี้หน้า “ไอ้บ้ากาม”
อุปมาทำหน้ากวนๆ
“ก็อยากตบฉันก่อน ฉันก็ต้องเอาคืน...”
“แกมันผู้ชายฉวยโอกาส ไม่รู้จักพอ ฉันขอแช่งให้แกติดเอดส์ตาย”
อุปมาเบ้หน้าไม่แคร์
“แทนที่จะมาแช่งฉัน เธอควรจะขอบคุณฉันมากกว่าที่สอนบทเรียนให้ ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง อย่าอวดเก่ง
ว่าแน่ไปซะทุกเรื่อง เรี่ยวแรงยังไงก็แพ้ผู้ชายอยู่ดี”
สไบนางเงียบไป ไม่สู้ตาเถียงไม่ขึ้น
“ทำเป็นเก่ง หนีออกจากบ้าน เดินประชดเข้าบ้านมืดๆค่ำๆ ลองซวยเจอพวกหื่นกามตัวจริง รับรองถูกฉุดเข้าพงหญ้าไปแล้ว”
สไบนางหันมองไปทางดงหญ้า คิดตามก็สยอง เธอพยุงตัวขึ้นยืนลงน้ำหนักขาข้างเดียว
“แกไม่ต้องมาพูดเอาดีเข้าตัวหรอก ฉันจะฟ้องคุณย่าว่าแกรังแกฉัน ต่อไปคุณย่าไม่มีทางต้อนรับแกเข้าบ้านอีก”สไบนางจ้องหน้าอุปมาอย่างชิงชัง ก่อนจะเดินเขย่งๆไป
“เชิญเลย ดูสิคุณย่าจะเชื่อใคร เด็กดื้อเอาแต่ใจ หรือนักเรียนนอกที่มีความเป็นผู้ใหญ่อย่างฉัน”
สไบนางหันขวับจ้องหน้าอุปมา อุปมายิ้มกวนๆ
“ฉันจะบอกคุณย่าว่า...เธอพยายามหนี ไม่ให้ฉันพากลับบ้านเลยหกล้มขาแพลง ฉันจะเข้ามาอุ้มพาไปขึ้นรถ เธอกลับตบหน้าฉัน จนฉันเสียหลัก ล้มไปจุ๊บปากเธอแบบไม่ได้ตั้งใจ”
สไบนางนึกแล้วขยะแขยง ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดปากอยู่ไปมา
“ไอ้กระล่อน”สไบนางค้อนใส่แล้วเดินเขย่งไป
อุปมาเดินตามไปขวางหน้า
“กลับไปขึ้นรถฉันเดี๋ยวนี้”
สไบนางหงุดหงิด
“ฉันไม่ฟ้องคุณย่าแล้ว นายจะเอายังไงกับฉันอีก”
“ไปขึ้นรถแล้วกลับไปบ้านพร้อมกัน”
สไบนางจ้องหน้าไม่ยอม
“ไม่”
“อยากให้ทุกคนรู้รึไงว่า...ฉันได้จุ๊บปากแดงๆของเธอแล้ว”
สไบนางตกใจปนอาย
“แก”

อุปมาแกล้งทำปากจุ๊บๆ ก่อนจะขำๆ เดินนำกลับไปที่รถก่อนเพื่อขับรถมารับ สไบนางเจ็บแค้นใจมาก ไม่เคยพลาดท่าเสียฟอร์มให้ใครและถูกบีบได้แบบนี้มาก่อน

อุปมาขับรถมาจอดใกล้ๆแกล้งยกไฟสูงใส่เป็นการเร่ง พอไฟสูงใส่หน้าสไบนางทำให้เห็นว่าเธอกำลังร้องไห้น้ำตาเอ่อท่วมขึ้นมาด้วยความเจ็บแค้นใจ อุปมาเห็นน้ำตาผู้หญิงก็จ๋อยไปเล็กน้อย สไบนางปาดน้ำตาออกแล้วเดินเขยกๆ กลับมาขึ้นรถด้านหลังของเขา อุปมาเหลือบตามองกระจกส่องหลัง เห็นสไบนางนั่งเงียบกริบ หันหน้าออกนอกหน้าต่างแต่ยังน้ำตายังไหลออกมา อุปมารู้สึกผิดไปเหมือนกัน ได้แต่ขับรถกลับบ้านไปอย่างไม่สบายใจนัก

(อ่านต่อวันพรุ่งนี้)







กำลังโหลดความคิดเห็น