xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : บ้านของเราที่ “พ่อ” ปกครองโดยธรรม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วันนี้ไม่มีพ่อแล้ว...ทุกคนในบ้านต่างร้องไห้คิดถึงพ่อ พวกพี่ๆ น้า อา ลุง ป้า ที่อยู่ในบ้าน นั่งล้อมวงคุยกันถึงพ่อ พี่ต้นบอกว่า สมัยตอนเด็กๆ ครั้งแรกที่แม่ให้สตางค์ เป็นเหรียญบาท ดีใจมาก เฝ้าแต่ดูเหรียญนั้น เห็นบนเหรียญคือรูปของใครคนหนึ่ง แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นรูปใคร จึงเก็บความสงสัยเอาไว้ แล้วเอาเสื้อห่อเหรียญมัดหนังยางไว้แน่น เพราะกลัวว่าจะหายแล้วไม่มีซื้อขนม ในที่สุดพี่ต้นก็ได้คำตอบว่า คนที่อยู่ในเหรียญนั้นคือในหลวง

ตั้งแต่นั้นมาเมื่อพี่ต้นเห็นข่าวในหลวงทางโทรทัศน์ ก็เห็นว่า พระองค์ทรงงานหนักมาก เสด็จไปทั่วแผ่นดิน บุกป่าฝ่าดง ลุยน้ำ ลุยโคลน โดยไม่เคยห่วงตัวเอง เจอทั้งแดดทั้งฝน แต่พระองค์ไม่เคยหยุดช่วยเหลือประชาชนเลย ไม่ว่าจะทรงเหนื่อยสักเพียงไหน นี่แหละที่ทำให้ทุกคนในแผ่นดินนี้รักพ่ออย่างสุดหัวใจ

ลุงชัยพูดเสริมขึ้นว่า “พ่อสอนให้เราเดิน ด้วยการเดินให้ดู และรอยเท้าข้างหน้านั้น คือคำสอนที่เรียบง่าย งดงาม และยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด” แล้วลุงก็ยกตัวอย่างคำสอนของพ่อเรื่องปิดทองหลังพระ ให้ฟังว่า

“ปิดทองข้างหลังพระไปเรื่อยๆ แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง”

“การทำงานด้วยน้ำใจรักต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ แม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็น ก็ไม่น่าวิตก เพราะผลสำเร็จนั้นจะเป็นประจักษ์พยานที่มั่นคง ที่พูดเช่นนี้เหมือนกับสอนให้ปิดทองหลังพระ การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้”


ส่วนอาเอียดเล่าว่า บ้านของเรามีพื้นที่กว้างใหญ่ ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยปัญหา แต่พ่อไม่เคยย่อท้อ พ่อศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วค่อยๆแก้ไขไปทีละอย่าง พ่อแก้ไขปัญหาเรื่องความแห้งแล้ง ด้วยการคิดทำฝนเทียม แก้เรื่องน้ำท่วม ด้วยการทำแก้มลิง เรื่องน้ำเสีย พ่อก็แก้ด้วยการใช้กังหันน้ำชัยพัฒนา ดินมีปัญหาเป็นกรดหรือดินเปรี้ยวก็ใช้วิธีแกล้งดิน ฯลฯ สารพัดปัญหาที่พ่อทุ่มเทแรงกายแรงใจแรงสมองเข้าแก้ไขฟื้นฟูจนดีขึ้นเป็นลำดับ

นอกจากนี้ พ่อยังเป็นครูสอนการเกษตรให้ลูกๆ สอนให้รู้จักการใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาตัวเองได้อย่างพอเพียง พ่อคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการที่ดินและน้ำเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืน ด้วยหวังว่าลูกหลานและทุกคนในบ้านจะได้มีกินมีใช้ และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

น้าเอิบที่นั่งฟังอยู่นาน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “70 ปีที่ผ่านมา พ่อคอยดูแลช่วยเหลือพวกเราในทุกๆเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่ยามที่พ่อป่วย พวกเราจึงได้อยู่อาศัยบนแผ่นดินของพ่ออย่างร่มเย็นเป็นสุขเสมอมา พระคุณของพ่อนั้นมากพ้นรำพันจริงๆ ไม่รู้ว่าชาตินี้จะทดแทนได้หมดหรือเปล่า” น้าเอิบพูดจบก็ยกมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ตอนนี้พ่อก็จากพวกเราไปแล้ว พร้อมกับทิ้งบ้านหลังใหญ่ไว้ให้ทุกคนช่วยดูแลกันต่อไป เพื่อส่งต่อบ้านที่พ่อสร้างมาอย่างดีด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย ให้กับคนรุ่นหลังได้อยู่อาศัย เพราะฉะนั้น วันนี้ใครที่ยังทะเลาะกันอยู่ ก็เลิกทะเลาะได้แล้ว ทุกคนต้องหันหน้ามาจับมือกัน ทำตามที่พ่อสอน ดูแลรักษาบ้านของพ่อให้ดีที่สุด” ลุงชัยพูดพร้อมกับกวาดสายตาไปมองทุกคน ที่บัดนี้มีน้ำตาอาบแก้ม

พี่ต้นและพี่เต้ยซึ่งมักจะทะเลาะกันเป็นประจำ ก็หันมาจับมือและสวมกอดกันแน่น ป้าแจ่มดีใจที่เห็นสองพี่น้องคืนดีกันได้ จึงบอกทุกคนให้เตรียมตัวไปวัด เดี๋ยวจะไม่ทันถวายเพล เพราะวันนี้จะไปทำบุญให้พ่อ

ทุกคนต่างช่วยกันหยิบจับข้าวของที่จะนำไปทำบุญ แล้วก็พากันเดินไปวัดที่อยู่ไม่ไกลนัก เมื่อทำบุญเสร็จแล้ว หลวงพ่อบอกพวกเราว่า

“ในหลวง รัชกาลที่ 9 ท่านทรงเป็นธรรมิกราช คือ พระราชาผู้ทรงธรรม ทรงตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรมมาตลอดรัชสมัย โดยเมื่อ พ.ศ. 2493 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระองค์ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นั่นคือการประกาศอย่างเป็นทางการครั้งแรกว่า พระองค์จะทำหน้าที่ปกครองบ้านเมืองด้วยธรรมาธิปไตย คือ ถือธรรมเป็นใหญ่ และใช้ราชธรรมกำกับการใช้พระราชอำนาจ ซึ่งทุกคนคงได้ประจักษ์แจ้งในข้อนี้กันมาแล้วตลอด 70 ปีแห่งการครองราชย์”

พี่เต้ยจึงเอ่ยว่า “หลวงพ่อครับ ผู้คนบนแผ่นดินนี้ต่างพากันพูดว่า พระราชาในนิยายต้องสวมมงกุฎเพชร ประทับบนราชบัลลังก์ แต่พระราชาของฉันประทับบนพื้นเยี่ยงสามัญชนธรรมดา”

หลวงพ่อยิ้มและพยักหน้า ขณะที่พี่ต้นบอกว่า ผู้นำรัสเซีย ที่ชื่อวลาดิเมียร์ ปูติน ได้กล่าวยกย่องในหลวงว่า

“มหาราชผู้ยิ่งใหญ่ ที่ไม่เคยสู้รบกับใคร แต่สามารถทำให้ผู้คนยกย่องสรรเสริญได้ ทั่วโลกยอมแพ้ได้ มีเพียงหนึ่งเดียว คือ กษัตริย์ภูมิพล”

พวกเราทุกคนบนศาลายกมือท่วมหัวแล้วเปล่งคำว่า “สาธุ” โดยพร้อมเพรียงกัน

เมื่อกลับถึงบ้าน ลุงชัยบอกให้ทุกคนไปยืนพร้อมกันที่หน้ารูปของพ่อ เป็นรูปที่มีทุกบ้าน และมีมานานแล้ว ชื่อทางการเรียกว่า “พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” แล้วลุงชัยก็บอกว่าเราจะร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ทุกคนต้องตั้งจิตตั้งใจร้องให้สุดเสียง ให้ได้ยินไปถึงพ่อ ให้พ่อรู้ว่าพวกเรารักและคิดถึงพ่อมากขนาดไหน และเราจะไม่มีวันลืมพ่อของแผ่นดินพระองค์นี้ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน

แล้วเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีก็ดังกึกก้องกังวานไปทั่วบ้าน อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากหัวใจที่จงรักภักดีต่อพ่อของแผ่นดิน อย่างสุดซึ้ง และมิเสื่อมคลาย

ข้าวรพุทธเจ้าเอามโนและศิระกราน
นบพระภูมิบาลบุญดิเรก
เอกบรมจักรินพระสยามินทร์
พระยศยิ่งยงเย็นศิระเพราะพระบริบาล
ผลพระคุณ ธ รักษาปวงประชาเป็นสุขศานต์
ขอบันดาลธ ประสงค์ใด
จงสฤษดิ์ดังหวังวรหฤทัย
ดุจถวายชัยชโย


(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 192 ธันวาคม 2559 โดย ทาสโพธิญาณ)
กำลังโหลดความคิดเห็น