โรคที่ทำให้เกิดภาวะสูญเสียการมองเห็นชนิดถาวรที่พบมากที่สุดจากทั่วโลกก็คือ “โรคต้อหิน”
โดยส่วนใหญ่เมื่อเป็นในระยะแรกๆ มักไม่ทราบว่าตนเป็นโรคนี้ กว่าจะทราบก็เกือบถึงขั้นตาบอดแล้ว
ในประเทศไทย ผู้ป่วยต้อหินโดยส่วนใหญ่จะมีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่วัยรุ่นทั้งหลายก็อย่าเพิ่งชะล่าใจ ทางที่ดีควรป้องกันการสูญเสียสายตาแต่เนิ่นๆ ด้วยการไปทำความรู้จักโรคนี้กันครับ
โรคต้อหิน คือ กลุ่มโรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของขั้วประสาทตา เกี่ยวข้องกับความดันตาหรือการสูญเสียลานสายตา ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ กรรมพันธุ์ ได้แก่
- มีญาติสายตรงเป็นต้อหิน
- มีสายตาสั้นหรือยาวมากๆ
- เป็นโรคเบาหวาน
- ผู้สูงอายุ (ตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป)
นอกจากนี้ยังมีสาเหตุที่อาจทำให้เกิดต้อหินชนิดทุติยภูมิ ได้แก่
- ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา
- การใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ทั้งชนิดหยอด ยารับประทาน ยาฉีด หรือยากิน
- โรคต้อกระจกที่ปล่อยทิ้งไว้จนเลนส์ตาสุก
- อุบัติเหตุทางตาต่างๆ อาทิ ถูกชก หรือถูกสารเคมี
- การติดเชื้อ หรือ การอักเสบในตา เป็นต้น
ส่วนการใช้สายตามากๆ หรือต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ เป็นเวลาติดต่อกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคต้อหินโดยตรง แต่ถ้าสายตาสั้นหรือยาวมากๆอยู่ก่อนแล้ว ก็อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อหินได้เช่นกัน
โดยสรุป ยิ่งมีอายุมากก็มีโอกาสเป็นโรคต้อหินมากกว่าคนอายุน้อย ส่วนมากพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไป
• สาเหตุของโรคต้อหิน
1. มีความดันตาสูง
เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการเกิดโรคต้อหิน ความดันตาถูกควบคุมโดยสารน้ำในตา ถ้าอัตราการสร้างสารน้ำสมดุลกับการระบายออก ความดันตาก็จะปกติ
แต่หากความสมดุลนี้เสียไป เนื่องจากการระบายออกของน้ำในตาอุดตัน ก็จะทำให้ความดันตาสูง ส่งผลให้เส้นประสาทตาค่อยๆถูกทำลาย ลานสายตาแคบลง และตามัวได้
2. ลานสายตาผิดปกติ
ผู้ป่วยต้อหินบางรายอาจสังเกตพบความผิดปกติของลานสายตาได้ด้วยตนเอง ส่วนมากจะเสียรอบนอก ทำให้มองไม่เห็นด้านข้างก่อนแล้วค่อยๆเป็นมากขึ้นเข้าสู่ตรงกลาง
ผู้ป่วยต้อหินทุกรายจึงสมควรได้รับการตรวจลานสายตาเพื่อใช้ในการวินิจฉัยและติดตามการรักษา
• ประเภทของต้อหิน
ต้อหิน แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. ต้อหินชนิดมุมตาเปิด
2. ต้อหินชนิดมุมตาปิด
3. ต้อหินในเด็ก
• อาการ
ผู้ป่วยโรคต้อหินเรื้อรังทั้งชนิดมุมตาเปิดและมุมตาปิดในระยะแรกมักจะไม่ทำให้เกิดอาการผิดปกติใดๆในการมองเห็น จึงเป็นการยากที่คนที่เป็นโรคต้อหินจะรู้ด้วยตัวเอง
แต่เมื่อโรคดำเนินต่อไปจะทำให้ลานสายตาค่อยๆแคบลงจนตาบอดได้ในที่สุด
โดยทั่วไป ผู้ป่วยต้อหินมักตรวจพบได้โดยบังเอิญจากการตรวจตาทั่วไปโดยจักษุแพทย์ที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดตา ปวดศีรษะร่วมกับอาการตาแดงหรือตามัวเป็นครั้งคราว ซึ่งจะช่วยวินิจฉัยโรคต้อหินชนิดมุมตาปิด ซึ่งถ้าเกิดภาวะ “ต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน” ก็จะมีอาการปวดตา ตาแดง และตามัวอย่างรวดเร็ว
• การวินิจฉัยโรคต้อหิน
จะใช้การตรวจหาความผิดปกติของขั้วประสาทตา ร่วมกับการตรวจวัดความดันตา หรือตรวจพบความผิดปกติของลานสายตา อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง
• การรักษา
ทำได้โดยการลดความดันตา ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับการพิสูจน์ และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ว่าสามารถควบคุมโรคต้อหินได้ การรักษาประกอบด้วย
1. การใช้ยา ซึ่งมีทั้งยาหยอด ยารับประทาน และยาฉีด
การใช้ยาหยอดตารักษาต้อหิน เป็นการรักษาเบื้องต้นที่ดีที่สุด เพราะสะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ แต่ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาหยอดตาทุกวันไปตลอดชีวิต
ปัจจุบันมียาหยอดตารักษาโรคต้อหินหลายชนิด ผู้ป่วยอาจใช้ยาเพียงชนิดเดียวหรือหลายชนิดร่วมกันก็ได้
บางรายจำเป็นต้องใช้ยารักษาต้อหินชนิดกินหรือฉีดร่วมด้วย ซึ่งในกรณีนี้จะใช้รักษาโรคต้อหินในระยะสั้นเพื่อเตรียมผ่าตัดเท่านั้น เนื่องจากมีผลข้างเคียงสูง
2. การใช้แสงเลเซอร์
มีการยิงเลเซอร์เพื่อเจาะรูที่ม่านตาในคนที่มีมุมตาแคบ สำหรับรักษาหรือป้องกันโรคต้อหินเฉียบพลัน
สำหรับผู้ป่วยต้อหินชนิดมุมตาเปิด อาจยิงเลเซอร์ที่มุมตาเพื่อลดความดันตาร่วมกับการใช้ยาหยอดตา
นอกจากนี้ ยังมีการจี้เลเซอร์เพื่อลดความดันตา (cyclophotocoagulation) ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาได้
3. การผ่าตัด
มุ่งเน้นที่การทำช่องเพื่อระบายน้ำภายในลูกตา ความสำเร็จของการผ่าตัดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งชนิดของต้อหิน อายุ เพศ และการหายของแผลผ่าตัด
การรักษาต้อหินโดยการผ่าตัดมีหลายวิธี เช่น trabeculectomy, การผ่าตัดใส่อุปกรณ์ระบายน้ำสำหรับต้อหิน (glaucoma drainage device) เป็นต้น
ต้อหินเป็นโรคที่ทำให้เกิดการสูญเสียสายตาแบบถาวรที่พบได้บ่อย แต่สามารถควบคุมรักษาโรคทำให้ผู้ป่วยยังคงมีสายตามองเห็นอยู่ได้ แต่ต้องได้รับความร่วมมืออย่างดีระหว่างผู้ป่วย และแพทย์ผู้รักษา
มีผู้ป่วยหลายรายที่ตรวจพบว่าเป็นต้อหินโดยบังเอิญจากการตรวจตาทั่วไปโดยไม่มีอาการอะไร ดังนั้น การตรวจวัดความดันตาในคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะคนที่มีประวัติโรคต้อหินในครอบครัว จึงมีความสำคัญมากในการค้นหาผู้ป่วยโรคต้อหิน
การวินิจฉัยโรคในระยะเริ่มต้น รวมทั้งการรักษาอย่างต่อเนื่อง จะสามารถป้องกันการสูญเสียสายตาได้ครับ
เมื่อไหร่จึงจำเป็นต้องผ่าตัดต้อหิน?
1. ได้รับการรักษาโดยการใช้ยาและเลเซอร์อย่างเต็มที่แล้ว แต่ยังไม่สามารถควบคุมความดันตาให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยได้
2. แม้จะได้รับการรักษาโดยการใช้ยาและเลเซอร์ จนความดันตาอยู่ในระดับปกติ แต่ยังไม่ปลอดภัยมากพอ โดยยังคงมีการสูญเสียลานสายตา หรือเส้นใยประสาทตาอย่างต่อเนื่อง
3. ไม่สามารถใช้ยาสำหรับควบคุมความดันตาได้ หรือใช้ได้แต่ไม่สม่ำเสมอ
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 145 มกราคม 2556 โดย รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล)