xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมปฏิบัติ : สิ่งที่พึงระวัง!! ในการปฏิบัติธรรม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


การทำสมาธินี้ อาจให้โทษแก่ผู้ปฏิบัติได้ ถ้าผู้ปฏิบัติไม่ใช้ปัญญา และก็ย่อมให้คุณแก่ผู้ปฏิบัติได้มาก ถ้าผู้ปฏิบัติเป็นผู้มีปัญญา สมาธิก็จะส่งจิตไปสู่วิปัสสนา

สิ่งที่เป็นโทษแก่ผู้ปฏิบัตินั้น ก็คือการที่ผู้ปฏิบัติหลงติดอยู่ใน “อัปปนาสมาธิ” ซึ่งเป็นความสงบลึก และมีกำลังอยู่นานที่สุด เมื่อจิตสงบก็เป็นสุข เมื่อเป็นสุขแล้วก็เกิดอุปาทาน ยึดสุขนั้นเป็นอารมณ์ ไม่อยากจะพิจารณาอย่างอื่น อยากมีสุขอยู่อย่างนั้น

เมื่อเรานั่งสมาธิอยู่นานๆ จิตมันจะถลำเข้าไปง่าย พอเริ่มกำหนดมันก็สงบแล้วก็ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากพิจารณาอะไร อาศัยความสุขนั้นเป็นอยู่ อันนี้เป็นอันตรายแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติอย่างหนึ่ง

จิตต้องอาศัยอุปจารสมาธิ คือกำหนดเข้าไปสู่ความสงบแล้วพอสมควร ก็ถอนออกมารู้อาการภายนอก ดูอาการภายนอกให้เกิดปัญญา

อันนี้ดูยากสักหน่อยหนึ่ง เพราะมันคล้ายๆ จะเป็นสังขาร ความปรุงแต่ง เมื่อมีความคิดเกิดขึ้นมา เราอาจจะเห็นว่าอันนี้มันไม่สงบ ความเป็นจริงความรู้สึกนึกคิดในเวลานั้น มันรู้สึกอยู่ในความสงบพิจารณาอยู่ในความสงบ แล้วก็ไม่รำคาญ บางทีก็ยกสังขารขึ้นมาพิจารณา ที่ยกขึ้นมาพิจารณานั้น ไม่ใช่ว่าคิดเอาหรือเดาเอา มันเป็นเรื่องของจิตที่เป็นขึ้นมาเองของมัน อันนี้เรียกว่า “ความรู้อยู่ในความสงบ ความสงบอยู่ในความรู้”

ถ้าเป็นสังขารความปรุงแต่ง จิตมันไม่สงบ มันก็รำคาญ แต่อันนี้ไม่ใช่เรื่องปรุงแต่ง มันเป็นความรู้สึกของจิตที่เกิดขึ้นจากความสงบ เรียกว่าการพิจารณา นี่ปัญญาเกิดตรงนี้

สมาธิทั้งหลายเหล่านี้ แบ่งเป็น “มิจฉาสมาธิ” อย่างหนึ่ง คือเป็นสมาธิในทางที่ผิด เป็น “สัมมาสมาธิ” อย่างหนึ่ง คือเป็นสมาธิในทางที่ถูกต้อง นี้ก็ให้สังเกตให้ดี

มิจฉาสมาธิ คือ ความที่จิตเข้าสู่สมาธิ เงียบหมด...ไม่รู้อะไรเลย ปราศจากความรู้ นั่งอยู่สองชั่วโมงก็ได้ ทั้งวันก็ได้แต่จิตไม่รู้ ว่ามันจะไปถึงไหน มันเป็นอย่างไร ไม่รู้เรื่อง นี่สมาธิอันนี้เป็นมิจฉาสมาธิ

มันก็เหมือนมีดที่เราลับให้คมดีแล้ว แต่เก็บไว้เฉยๆ ไม่เอาไปใช้มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรอย่างนั้น ความสงบอันนั้นเป็นความสงบที่หลง คือว่าไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัว เห็นว่าถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่ค้นคว้าอะไรอีก ต่อไปจึงเป็นอันตราย เป็นข้าศึกในขั้นนั้น อันนี้เป็นอันตราย ห้ามปัญญาไม่ให้เกิด ปัญญาเกิดไม่ได้เพราะขาดความรู้สึกรับผิดชอบ

ส่วนสัมมาสมาธิ สมาธิที่ถูกต้องถึงแม้จะมีความสงบไปถึงแค่ไหน ก็มีความรู้อยู่ตลอดกาล ตลอดเวลา มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์บริบูรณ์ รู้ตลอดกาล นี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่ไม่ให้หลงไปในทางอื่นได้

นี่ก็ให้นักปฏิบัติเข้าใจไว้ให้ดี จะทิ้งความรู้นั้นไม่ได้ จะต้องรู้แต่ต้นจนปลายทีเดียว จึงจะเป็นสมาธิที่ถูกต้อง ขอให้สังเกตให้มาก สมาธิชนิดนี้ไม่เป็นอันตรายเมื่อเราเจริญสมาธิที่ถูกต้องแล้ว อาจจะสงสัยว่ามันได้ผลที่ตรงไหน มันจะเกิดปัญญาที่ตรงไหน เพราะท่านตรัสว่า สมาธิเป็นเหตุให้เกิดปัญญาวิปัสสนา

สมาธิที่ถูกต้องนั้น เมื่อเจริญแล้วมันจะมีกำลังให้เกิดปัญญาทุกขณะ ในเมื่อตาเห็นรูปก็ดี หูฟังเสียงก็ดี จมูกดมกลิ่นก็ดี ลิ้นลิ้มรสก็ดี กายถูกต้องหรือโผฏฐัพพะก็ดี ธรรมารมณ์เกิดกับจิตก็ดี อิริยาบถยืนก็ดี นั่งก็ดี นอนก็ดี จิตจะไม่เป็นไปตามอารมณ์ แต่จะเป็นไปด้วยความรู้ตามเป็นจริงของธรรมะ

ฉะนั้น การปฏิบัตินี้ เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นมาแล้วก็ไม่เลือกสถานที่จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนก็ตาม จิตมันเกิดปัญญาแล้ว เมื่อมีสุขเกิดขึ้นมาก็รู้เท่ามีทุกข์เกิดขึ้นมาก็รู้เท่า สุขก็สักว่าสุข ทุกข์ก็สักว่าทุกข์เท่านั้น แล้วก็ปล่อยทั้งสุขและทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น

เมื่อสมาธิถูกต้องแล้ว มันทำจิตให้เกิดปัญญา อย่างนี้เรียกว่า “วิปัสสนา” มันก็เกิดความรู้เห็นตามเป็นจริง นี้เรียกว่า “สัมมาปฏิบัติ” เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องมีอิริยาบถสม่ำเสมอกัน

คำว่า “อิริยาบถสม่ำเสมอกัน” นี้ ท่านไม่ได้หมายเอาอิริยาบถภายนอกที่ว่า ยืน เดิน นั่ง นอน แต่ท่านหมายเอาทางจิตที่มีสติสัมปชัญญะอยู่นั่นเอง แล้วก็รู้เห็นตามเป็นจริงทุกขณะ คือมันไม่หลง

ความสงบนี้มีสองประการคือ ความสงบอย่างหยาบหนึ่ง และความสงบอย่างละเอียดอีกอย่างหนึ่ง

อย่างหยาบนั่นคือเกิดจากสมาธิ ที่เมื่อสงบแล้วก็มีความสุข แล้วถือเอาความสุขเป็นความสงบ

อีกอย่างหนึ่งคือความสงบที่เกิดจากปัญญา นี้ไม่ได้ถือเอาความสุขเป็นความสงบ แต่ถือเอาจิตที่รู้จักพิจารณาสุข ทุกข์เป็นความสงบ เพราะว่าความสุขความทุกข์นี้ เป็นภพ เป็นชาติ เป็นอุปาทาน จะไม่พ้นจากวัฏฏสงสาร เพราะติดสุข ติดทุกข์ ความสุขจึงไม่ใช่ความสงบ ความสงบจึงไม่ใช่ความสุข

ฉะนั้น ความสงบที่เกิดจากปัญญานั้น จึงไม่ใช่ความสุข แต่เป็นความรู้เห็นตามความเป็นจริงของความสุข ความทุกข์ แล้วไม่มีอุปาทานมั่นหมายในสุขทุกข์ที่มันเกิดขึ้นมา ทำจิตให้เหนือสุขเหนือทุกข์นั้น ท่านจึงเรียกว่าเป็นเป้าหมายของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 140 สิงหาคม 2555 โดย พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี)
กำลังโหลดความคิดเห็น