ลิขิตฟ้าชะตาดิน ตอนที่ 4
ในตอนเช้าวันต่อมา รถมอเตอร์ไซค์คันงามใหม่เอี่ยม 1 คัน ก็จอดตั้งตระหง่านอยู่กลางลานศาลเจ้า ฟ้ากระจ่างพ่นสีสกรีนตัวหนังสือเด่นหราว่ารถคันนี้เป็นสมบัติของมูลนิธิเปาเก๊งเต๊ง ทุกคนพากันมามุงดูอย่างปลาบปลื้ม ชาวมูลนิธิรุ่นอาวุโสเข้ามาลูบคลำรถ ลองกดลองเช็ดนั่นนี่ไปมา
“อะชะๆๆๆ ช้า... คุณอาคนนั้นเค้าตอบแทนบุญคุณลื้อขนาดนี้เลยหรอ อาจ้าง..มันชักจะยังไงๆ แล้วนะเฟร้ย” สมหมายแซว
“ยังไงๆ อะไรวะ เค้าก็ให้มูลนิธิ ก็เท่ากับขอบคุณพวกเราทุกคนแหละ” ฟ้ากระจ่างว่า
“อ่าจิงดิ อย่านึกว่าพวกเรามองไม่เห็นน้า…” ปักเป้าเสริม
“ไม่เห็นอะไรวะ” ฟ้ากระจ่างสงสัย
“ก็สายตาคุณอาคนนั้นที่มองลื้ออ่ะเด่ะ มันมีเลศ..นัย ใครๆ ก็สังเกตกันทั้งนั้น จิงปะวะ” หมีใหญ่รับไม้ต่อพูดเสริมอย่างเป็นนัย
“ไอ้พวกจิตอกุศล คนเขารู้จักสำนึกบุญคุณคน ก็ไปหาเรื่องเค้า” นักบวชตงเอ็ดเอา
“เค้าจะให้มาเพราะเหตุผลอะไรก็ช่างเถอะ ขอให้มูลนิธิเราได้ประโยชน์เป็นพอ ยิ่งคนชอบอาจ้างมากๆก็ยิ่งดี อาจ้างมันมีเสน่ห์ ใครเห็นใครก็รักเป็นธรรมดา เราก็ให้อาจ้างออกหน้าเข้าไว้ เวลาไปเรี่ยไรเงินทำบุญใคร เขาจะได้ให้เยอะๆ” สาลี่บอก
“เหลวไหลกันไปใหญ่ พูดจาบ้าบอ อาจ้างอย่าไปฟัง คนชอบลื้อเพราะลื้อเป็นคนดี ทำแต่ความดี เรื่องรูปร่างหน้าตามันไม่เกี่ยวหรอก คนหน้าขาวแต่ใจดำ หน้าซื่อแต่ใจคด หรือหน้าสวยแต่ขี้ขโมย อั๊วก็ไม่เห็นว่าจะมีใครไปได้ซักกี่น้ำ สุดท้ายคนเขาก็ถ่มถุย จำไว้ ว่าความดีเท่านั้น ที่จะเอาชนะทุกอย่าง” กู๋เหลียงว่า
ฟ้ากระจ่างรับฟังอย่างเชื่อมั่นสุดๆ ด้วยหน้าตาที่จริงจัง ส่วนเสี้ยวท้อแอบทำหน้าขัดเคืองใจ
เวลาต่อมาเสี้ยวท้อลากแขนฟ้ากระจ่างมาที่ถนนริมน้ำข้างศาลเจ้า เพื่อบอกเรื่องสำคัญ
“ฟ้าใสจะไปแล้วนะ จ้าง ฟ้าใสจะไปจริงๆ ด้วย ไม่ได้พูดเล่น” เสี้ยวท้อบอกท่าทีซีเรียส
“ไปไหน เจ๊จะไปทำงานเชียงใหม่เหรอ” ฟ้ากระจ่างถามหน้าซื่อ
“คำก็เจ๊ สองคำก็เจ๊ ดีแล้ว ต่อไปนี้ ฟ้าใสจะไปอยู่ที่ที่ทุกคนเรียกฟ้าใสว่าฟ้าใส แล้วก็ไม่มีพวกเด็กบ้า มาคอยตอกย้ำอยู่ตลอดเวลา ว่าฟ้าใสแก่!!” เสี้ยวท้อทำท่างอน
“ผมขอให้เจ๊โชคดีก็แล้วกัน แต่เจ๊ก็ต้องขยันๆ ตั้งใจทำงานดีๆ ล่ะ อย่าเอาแต่เพ้อเจ้อ” ฟ้ากระจ่างพูดยิ้มๆ
“อาจ้าง!” เสี้ยวท้อยิ่งขัดเคืองใจอย่างแรง
“เจ๊แหย่กะผม แหย่กะไอ้ 2-3 คนนั้นเล่นๆ สนุกๆ มันไม่มีอะไรหรอก ไม่มีใครมองว่าเจ๊ไม่ดี แต่คนในเมืองเค้าไม่เหมือนคนบ้านเรา ผู้ชายก็จ้องแต่จะเอาเปรียบผู้หญิง เจ๊ต้องระวังตัว วางตัวให้เค้าเกรงใจ เข้าใจไหม” ฟ้ากระจ่างพูดเป็นเชิงสอน
“ไม่ต้องมาสั่งสอนชั้น อิตาทึ่ม ถ้าชั้นไม่รวย ไม่เด่น ไม่ดัง ชั้นจะไม่กลับมาที่นี่อีก จำไว้”
“แต่เจ๊ต้องไม่ลืมอาม่านะครับ เจ๊ต้องกลับมาหาอาม้าบ้าง อาม้าก็มีเจ๊คนเดียว เชียงใหม่ก็แค่นี่เอง
เสี้ยวท้อใครว่าชั้นจะไปเชียงใหม่ คนอย่างชั้นต้องบินไกล บินสูง สูงจนเธอเอื้อมไม่ถึงเลยล่ะ คอยดู!!”
เสี้ยวท้อสะบัดหน้าพรึ่ด แล้วเดินหนีไป ฟ้ากระจ่างมองตามถอนหายใจ รู้สึกอนาถ
มุมหนึ่งภายในสวนหลังบ้านคุณนายดาว บัญชาดูรูปคู่ของดารากานต์ กับปีเตอร์อยู่ เขายืนจ้องมองเพียงลำพังในอาการสงบ ด้วยความปวดร้าวในใจ
ระหว่างนั้นหมวยคนดูแลคุณนายดาว ประคองพาคุณนายดาวเดินผ่านไป เพื่อมารับอากาศในสวน บัญชาเงยหน้าขึ้น มองตามคุณนายดาว แล้วนิ่งคิด ตัดสินใจเดินตาม
คนดูแลประคองคุณนายดาวมานั่ง แล้วพัดวีให้ ส่วนคุณนายถือยาดม จ่อจมูกดมตลอดเวลา
บัญชาเดินเข้าไปพลางถาม “ม้าหิวไหมครับ”
“นายหัว ม้ากินอะไรไม่ลงหรอก”
“ไม่ได้หรอกนะ” บัญชาหันมาสั่งคนดูแล “หมวย..หมวยไปชงอะไรร้อนๆ มาหน่อยไป”
“ไม่ต้องหรอกหมวย..อั๊วไม่หิว” คุณนายดาวปฏิเสธ
“ไม่ได้นะ ม้า..ไป..หมวย..” บัญชาหยักหน้าให้ พร้อมกับดึงพัดมาจากมือหมวย
“หนูไปอุ่นน้ำรากบัวดีกว่านะคะ” สาวใช้ชื่อหมวยรีบไป
บัญชาพัดๆให้คุณนายดาว แล้วจังหวะหนึ่งบัญชาก็โพล่งออกมา แบบลักไก่
“มิสเตอร์โจว...ปีเตอร์...โจว เขาฝากมาบอกม้า...ว่าเค้าขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ”
เบื้องแรกเมื่อได้ยินชื่อคุณนายดาวมีสีหน้างงๆ “ปีเตอร์ โจว เหรอ” ใบหน้าว่างเปล่า แต่แล้วอยู่ๆ ก็ตาโต หันมา “อะไรกัน เค้ารู้ได้ยังงาย เค้ามาเมืองไทยเหรอ”
บัญชายิ้มอย่างสาสมใจ “ผมรู้จักกับเค้าดี เค้าบอกว่า เมื่อก่อน...เค้ารักใคร่ชอบพอกับ...อาป๊ากับอาม้ามาก เค้าบอกว่า เค้าเคยมาที่บ้านนี้บ่อยๆ” บัญชาพูดเดาสุ่ม
“ไม่นะ..ไม่เคยมา..พ่อแม่เค้ามาบ่อย แต่ตัวปีเตอร์..ไม่เคยมา” คุณนายดาวรีบบอก
“หรือครับ” สีหน้าบัญชาดูผิดหวัง ชักไม่ค่อยมั่นใจ
คุณนายดาวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอ๊ย” แล้วโพล่งออกมา ทำท่าดีใจที่นึกขึ้นได้ “...ไม่สิ เคยมา เคยๆๆ ครั้งนึงสิ มาส่งข่าว...ว่าเค้าจะแต่งงาน เมื่อนานมากแล้ว...น้าน...นาน...มาทีเดียว แล้วก็ไม่ได้มาอีกเลย ไปอยู่มาเก๊าหรือฮ่องกงอะไรเนี่ย”
“มาทีเดียว..แล้วไม่ได้มาอีกเลยหรอครับ...คงก่อนที่ผมกับดารากานต์จะแต่งงานแน่ๆ เลย” บัญชาหาข้อมูลต่อ
“เอ..ม้าก็จำไม่ค่อยได้ ก่อนนะ...ใช่ๆๆ ก่อนดารากานต์จะแต่งงานกะนายหัวเป็นปีๆ เลยนะ”
“กี่ปีครับ”
“สองปี...หรือสามปี...เอ..หรือยังไง ม้าจำไม่ได้แล้ว”
ฟังที่คุณนายดาวเล่าสีหน้าบัญชา เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวอีกครั้ง
ป้าบัวกำลังรีดชุดสีดำของดารากานต์ที่จะใส่ไปงานศพโกเม้ง บัญชาเดินเข้ามาเมียงมอง แล้วพูดเปรยๆ ขึ้นมา
“โกเม้งนี่แกตาย ก็คงตายตาหลับนะ ไม่ต้องห่วงลูก..เพราะมีป้าบัวดูแลอย่างดี”
ป้าบัวเงยหน้าขึ้นมามองยิ้มพลางพูด “นายหัว..โกเม้งจะตายตาหลับ ก็เพราะมีลูกเขยดีอย่างนายหัวตังหากล่ะคะ”
“ป้าบัวนี่..ดีมากเลยนะ รับใช้ดารากานต์ทุกอย่าง..อย่างดี..อย่างที่ชั้นไม่เคยเห็นพี่เลี้ยงที่ไหน ทำอะไรให้เจ้านายของเค้าแบบนี้มาก่อนเลย” บัญชาเอ่ยชม
“แหม..ชีวิตอิฉันก็ไม่มีใครนี่คะ มีแต่คุณหนูนี่แหละ”
“ป้าบัวเป็นต่างจังหวัดนครปฐมใช่ไหม ตั้งแต่ป้าบัวมาอยู่บ้านชั้น ไม่เคยเห็นป้าบัวกลับไปเยี่ยมบ้านเลย”
“พ่อแม่อิฉันเสียหมดแล้วนี่คะ พี่ๆ น้องๆ ก็แยกย้ายไปหมด นายหญิงกะนายหัวนี่แหละค่ะ เป็นครอบครัวของอิฉัน” ป้าบัวบอก
“ผู้ชายที่จะเข้ามาจีบนายหญิง...ก็ต้องผ่านด่านป้าบัวก่อนทุกคนใช่ไหม” บัญชาถามเสียงเรียบ
“ไม่มีค่ะ ไม่มี ป้าบัวตะเพิดไปหมด” ป้าบัวบอกมือสาละวนรีดเสื้อต่อ
“แล้วคนชื่อ..ปีเตอร์ โจว ล่ะ” ในที่สุดบัญชาก็เข้าประเด็น
ป้าบัวหน้าจาตื่น ผงะ แทบล้มทั้งยืน ปิดเตารีด เข่าอ่อน ถอยๆๆ ไปนั่งแปะที่เก้าอี้ ระล่ำระลัก
“นายหัว..นายหัวไปเอามาจากไหน..ไม่จริง..ไม่เคยมีเรื่องแบบนั้น ป้าบัวสาบานได้”
บัญชาได้ที รีบเข้าไปกดดัน “สาบานว่าอะไร”
“สาบาน...ว่า...ว่า...ป้าบัวดูแลคุณหนูอย่างดีที่สุด ตอนไปทะเลกับเพื่อนๆ โรงเรียนคราวนั้น ก็มีเพื่อนๆ อยู่ด้วยกันทั้งกลุ่ม แล้วป้าบัวก็เฝ้าอยู่ตลอดเวลา แล้ว..แล้ว คุณหนูก็ไม่ค่อยสบาย คุณปีเตอร์ไม่ได้เข้าใกล้คุณหนูเลย” ป้าบัวร้องไห้ “ไม่ว่าใครจะบอกอะไรนายหัว นายหัวอย่าไปเชื่อ ป้าบัวขอเอาชีวิตเป็นประกัน” ป้าบัวฟูมฟาย
“พอแล้วๆๆป้าบัว..ชั้นเชื่อป้า ไม่ต้องร้องๆ” บัญชาแกล้งปลอบ
“ใครบอกนายหัวๆ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ไม่มี ไม่มีจริงๆ” ป้าบัวพูดสำทับ
“ไม่มีใครรู้เรื่องนี้!!!..เหรอ??..ดีแล้วๆ แล้วป้าก็ไม่ต้องพูดไปล่ะ ชั้นก็จะไม่พูด โอเคๆๆ เงียบซะ เงียบๆๆๆ”
ป้าบัวร่ำไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอาการมึนงง บัญชามองพลางปลอบใจ ยิ้มอบอุ่น ส่งผ้าเช็ดหน้าให้
บัญชายืนพูดโทรศัพท์กระซิบกระซาบ
“คุณไปเช็คให้ผมหน่อย ขอให้ด่วนที่สุด ไปที่บ้านป้าบัวที่จังหวัดนครปฐมนั่นแหละ มันไม่น่าจะบังเอิญ ที่จ้างเกิดที่โรงพยาบาลจังหวัด แล้วไปอยู่ศาลเจ้าที่เปาเก๊งเต๊งด้วย ผมได้ที่อยู่บ้านแกมาแล้ว เดี๋ยวจะส่งsmsไปให้คุณ ใช่ ไปให้เร็วที่สุด ไปถามคนที่บ้านแก ว่า...ตอนที่จ้างเกิด คนที่นั่นรู้เห็นอะไรบ้างไหม”
“ครับผม ผมจะบินไปเย็นนี้เลยครับ” นักสืบรับคำ
สีหน้าแววตาของหน้าบัญชา ดูร้อนรุ่มและว้าวุ่นใจ เพราะอยากรู้เรื่องเต็มทน
รูปสมัยวัยหนุ่มของโกเม้ง ตั้งเด่นเป็นสง่าข้างๆโลงศพ ที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม เกียรติบดินทร์และทรายทอง ทำหน้าที่มอบธูปให้แขกที่มาไหว้เคารพศพเพื่อไว้อาลัย จังหวะหนึ่งทรายทองหันไปเห็นสีหน้าบัญชา แล้วผงะ
บัญชาซึ่งยืนรับแขกอยู่ แต่ตาเหลือบมองดารากานต์ตลอดเวลา สายตาบัญชามีแต่ความเยือกเย็น เมื่อมองดูดารากานต์
ทรายทองอึ้ง หันไปมองหาดารากานต์อย่างเป็นกังวล
ในขณะที่ดารากานต์กำลังดูแล ปลอบโยน และเอาน้ำดื่มให้คุณนายดาว ที่ยังนั่งเหม่อลอยอยู่ มีป้าบัวพัดวีข้างๆ ดารากานต์ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกบัญชาจ้องมองอย่างแปลกๆ
ทรายทองหันมามองบัญชาอีกที เห็นสีหน้าบัญชามีแววตาโหดๆ อย่างคนอาฆาตมาดร้าย ทรายทองถึงกับหน้าซีด วิตก และกังวลใจเอามากๆ
จู่ๆ มือของเกียรติบดินทร์ก็มาสะกิดๆ อย่างแรง ทรายทองสะดุ้ง หันมา
“อะไรคะ”
“จุดธูปเพิ่มอีก เร็วๆ แขกมากันเยอะเลย ไม่เห็นเหรอ เหม่ออะไรอยู่ได้” เกียรติบดินทร์บอก
“ค่ะๆๆๆ”
ทรายทองเงอะงะ แต่ก็รีบหันไปจุดธูปอีกกำเตรียมไว้
บัญชากำลังนิ่งและเพ่งมองดารากานต์อยู่ พอดีบุรีเข้ามาแตะแขน ด้วยท่าทีกระตือรือร้น
“นายหัวครับ ว่าที่หุ้นส่วนของเรามากันแล้วครับ”
บัญชาหันขวับไป เห็นมาดามพิณและครอบครัว ในชุดไว้ทุกข์ที่ดูหรูหราไฮโซ พากันเยื้องย่างเดินเข้ามา บัญชาตะลึง มองไปข้างหลัง แต่กลับไม่มีใครตามมาอีก
บุรีรีบแถเข้าไปต้อนรับอย่างเอาอกเอาใจเต็มที่
“มาดาม คุณนพชัย ขอบพระคุณมากครับ เกรงใจจริงๆ อุตส่าห์มา”
“คุณบุรี พวกเราจะไม่มาได้ยังไงกันล่ะคะ โก้เม้งกับคุณนายดาว ก็เป็นที่เคารพนับถือของคนเก่าคนแก่ทุกคน” มาดามพิณยิ้มให้บางๆ
นพชัยเดินเข้ามาหาบัญชา “นายหัวมีอะไรให้พวกเราช่วยก็บอกมานะครับ พวกเรายินดีทุกอย่าง”
บัญชามองข้ามบ่านพชัยไป และไม่เลิกมองหาใครบางคนที่เขารอคอยอย่างจดจ่อ
“เอ้อ..แล้ว..มิสเตอร์โจว” บัญชาตัดสินใจถามขึ้น
“มิสเตอร์โจวกะเทเรซ่ากลับไปสิงคโปร์ตั้งแต่ค่ำวันวานครับ จะมาอีกทีก็สัปดาห์หน้า” ชิงชัยบอก
“นายหัวคงไม่ตำหนินะคะ ที่เราไม่ได้บอกเรื่องงานศพโกเม้งกับมิสเตอร์โจว”
“ไม่..ไม่ตำหนิ” บัญชามีสีหน้ามึน ชา
ทรายทองเดินถือธูปที่จุดแล้วมากำใหญ่ หันมาเห็นคณะของมาดามพิณ
“ฮ้า มาดามพิณมา” ทรายทองหน้าตาตื่นเต้น “แล้วมิสเตอร์โจวล่ะ...” กวาดตามองหา “มิสเตอร์โจวมารึป่าว...ตายแล้วๆๆ”
“ใคร อะไร” เกียรติบดินทร์ถามงงๆ
ทรายทองสะดุ้ง หันมามองหน้า แล้วทำหน้าปุเลี่ยนๆ ชอบกล “เปล่าๆๆ ไม่..ไม่มีอะไร”
เกียรติบดินทร์มองหน้า สงสัยในใจว่าเธอเป็นอะไรของเธอ
พอดีบุรีเดินนำมาดามพิณเข้ามา
“น้องดิน..นี่ มาดามพิณ กับคุณนพชัย และคุณชิงชัยลูกชาย...ว่าที่หุ้นส่วนธุรกิจใหม่ของเรา มาดาม คุณนพชัย คุณชิงชัย นี่ไงครับ เกียรติบดินทร์..ลูกชายคนเดียวของนายหัว” บุรีแนะนำสองฝ่ายให้รู้จักกัน
เกียรติบดินทร์ไหว้พวกผู้ใหญ่ แล้วก้มหัวนิดๆ ปนยิ้มให้ชิงชัย
“คุณเกียรติบดินทร์..เสียใจด้วยนะคะ” มาดามพิณเอ่ยตามมารยาท
ทรายทองส่งธูปให้แต่ละคน แล้วก็ชะเง้ออีกที ก่อนจะถามขึ้น “มิสเตอร์โจวล่ะคะ...” พูดจบก็ทำหน้าลุ้นๆรอคำตอบ “มิสเตอร์โจวไม่มาหรือคะ”
“ไม่มาครับ” ชิงชัยตอบ
ทรายทองถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“หนูทราย..เหนื่อยหรือจ๊ะ ถอนใจเฮือกเลย”
“เปล่าค่า” ทรายทองว่า
ทุกคนเดินเข้าไป เพื่อไหว้เคารพศพโกเม้ง
“ใคร?” เกียรติบดินทร์หันมาถามทรายทองอีก
“อะไร” ทรายทองถามกลับ
“มิสเตอร์อะไรของเธอน่ะ..ใคร?”
ทรายทองส่ายหน้าท่าทีมีพิรุธ “เปล่า ไม่มีอะไร ไม่มี้!!”
เกียรติบดินทร์มอง ด้วยความสงสัย
หลังเสร็จงานศพ รถตู้ก็วิ่งเข้าจอดเทียบที่หน้าตึกใหญ่บ้านบัญชา คนรถจอดรถและรีบวิ่งมาเปิดประตูรถตู้ บัญชาลงมาเป็นคนแรก แล้วรีบเดินจะเข้าบ้าน บุรีลงตามเดินกึ่งวิ่งเข้ามาประกบ
“นายหัวครับๆ ผมนัดกับมาดามพิณแล้วนะ วันศุกร์หน้า มิสเตอร์โจวจะบินมาเซ็นต์สัญญา” บุรีบอก
บัญชาหันมา หน้านิ่ง “สัญญาอะไร”
“อ๊าว” บุรีงง
ระหว่างนั้นเกียรติบดินทร์และทรายทองต่างทยอยก้าวตามลงมา
“ก็...ที่เราจะร่วมธุรกิจระดับอินเตอร์กับมาดามพิณ กะมิสเตอร์โจว”
“พักไว้ก่อน” บัญชาพูดเสียงเรียบ
“อะไรนะครับ นายหัว” บุรีอึ้ง หน้าตาตื่น
“ไว้พูดกันวันหลัง ชั้นปวดหัว”
“หมายความว่ายังไงครับ พูดกันวันหลัง? ก็เราคุยกันจบแล้วตั้งแต่คืนนั้น แล้วนี่ก็แค่นัดวันที่จะ...”
บุรีพูดไม่ทันจบคำบัญชาก็สวนขึ้น “ชั้นเปลี่ยนใจ”
“เปลี่ยนใจ.. เราก็รู้อยู่แล้ว ว่ามาดามพิณเป็นคนดีที่น่าคบคนนึง แล้วมิสเตอร์โจว..บริษัทของเขาก็ใหญ่โต มีชื่อเสียง ที่นายหัวให้ผมเช็คข้อมูลจากทางสิงคโปร์..ก็เห็นแล้ว..ว่าเค้าคลีน..โปร่งใสทุกอย่าง ถ้าอย่างนั้น..นายหัวมีเหตุผลอะไรครับ” บุรีประหลาดใจเอามากๆ
“เราอยู่ของเราอย่างนี้ ดีที่สุดแล้ว...ชั้นไม่ต้องการลงหุ้นกับใคร” บัญชาบอกเหตุผล
“แต่…” บุรีอ้าปากจะแย้ง
“จบได้แล้ว บุรี ตกลงตามนี้” บัญชาพูดจบก็เดินลิ่วๆ ขึ้นตึกไป
เกียรติบดินทร์ได้ยินก็ชักสนใจ อยากรู้อยากเห็น พอบุรีหันมาเห็นพวกเด็กๆ แล้วอึ้ง เดินหนีไปอีกทาง
เกียรติบดินทร์ขัดใจ หันไปทางทรายทองเพื่อจะถามเรื่องราว แต่ทรายทองไหวตัว รีบหลบตา แล้ววิ่งหนีขึ้นตึกไป
เกียรติบดินทร์รีบตาม
ทรายทองเปิดประตูเข้าห้องนอน กำลังจะปิดล็อค ทันใดนั้นประตูห้องก็โดนดึงรั้งไว้
“อุ๊ย” ทรายทองหันมา เกียรติบดินทร์รีบก้าวตามเข้ามาในห้อง
“พี่ดิน เข้ามาทำไม” ทรายทองประหลาดใจ
“บอกมานะ ว่าเรื่องมิสเตอร์โจวอะไรเนี่ย มันคืออะไร” เกียรติบดินทร์คาดคั้น
“ทรายไม่รู้”
“ไม่จริง..เธอต้องรู้สิ นายหัว...กับมิสเตอร์คนนี้มีปัญหาอะไรกัน” เกียรติบดินทร์ไม่เชื่อ
“พี่ดินอยากรู้ ก็ไปถามนายหัวเองสิ” ทรายทองโบ้ย
เกียรติบดินทร์เข้ามากระชากบ่าทรายเขย่าอย่างขัดใจ
“เอ๊ะ..ยัยเด็กบ้า ชั้นถามเธอ เธอก็ตอบมาสิ อย่าเล่นตัวนัก ตอบมาๆ”
“ปล่อยนะ อย่ามาแต๊ะอั๋งทรายนะพี่ดิน” ทรายทองสะบัดตัว
“แหวะ” เกียรติบดินทร์ว่าแล้วเหวี่ยงทรายจนกระเด็น “ชั้นจะแต๊ะอั๋งเธอทำแป๊ะอะไร หา มันต้องมีเรื่องอะไรที่ไม่ธรรมดาสิ อยู่ๆ ทำไมนายหัวถึงทำตัวไม่อยู่กะร่องกะรอยแบบนี้”
“ออกไปจากห้องนอนทรายเดี๋ยวนี้นะ” ทรายทองโมโห
“ไม่ออก เธอจะทำไม”
“พี่ดิน เราไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ พี่เข้ามาในห้องนอนทรายดึกๆ พี่คิดอะไรน่ะ”
“โอ๊ย..ยัยติงต๊อง ชั้นจะคิดอะไรกะเธอหา..บอกมา เรื่องมิสเตอร์โจว จะบอกหรือไม่บอก ไม่บอกเดี๋ยวจับโยนหน้าต่างลงไปเดี๋ยวนี้!!” เกียรติบดินทร์คาดคั้นหนัก
“อ๊าย..อย่านะ อย่าๆๆๆ” ทรายทองร้องลั่น
“เฮ้ย จะทำเสียงดังไปทำไม เงียบนะ เงียบ” เกียรติบดินทร์เข้ามา เอามืออุดปากทรายทอง
“ว้าย.... ปล่อยๆๆ” ทรายทองร้องโวยวายดังกว่าเดิม
ทันใดนั้น ประตูก็ถูกผลักเข้ามา ในขณะที่เกียรติบดินทร์กับทรายทองยังยื้อยุดเหมือนปล้ำกันอยู่
เป็นบัญชานั่นเองที่ก้าวเข้ามา พอเห็นภาพเบื้องหน้าบัญชามองอย่างตะลึง
ทั้งสองคนรีบผละตัวเด้งออกจากกัน
“นายหัว” ทรายทองเสียงอ่อย
“ดิน..แกทำอะไร” บัญชาเสียงดุถามลูกชาย
“ผม..ผมเปล่า” เกียรติบดินทร์บอกหน้าเฉย
บัญชาปรายตามองทรายทองแว่บหนึ่ง ส่งแววตาสะกด ทำนองว่าอย่าได้พูดมาก แล้วหันมาหาเกียรติบดินทร์ “ดินออกไปคุยกะพ่อเดี๋ยวนี้ แล้วอย่าทำอะไรแบบนี้กับน้องอีก”
บัญชาเดินนำออกไป เกียรติบดินทร์มองทรายทอง ยกมะเหงกให้ ทรายทองแลบลิ้นใส่
เกียรติบดินทร์รีบตามพ่อไป
บัญชายืนอยู่ที่ระเบียง ด้วยสีหน้าหวาดระแวง
“ยัยทราย เอาเรื่องมิสเตอร์โจว...มาล่อให้แกเข้าไปหาในห้องงั้นเหรอ”
“เปล่าครับ...ผมเข้าไปเอง” เกียรติบดินทร์ตอบ
บัญชามองอย่างไม่วางใจนัก “มันบอกอะไรแกบ้าง”
เกียรติบดินทร์แค่นหัวเราะ “มันบอกว่า..ให้ผมมาถามนายหัวเอาเอง”
บัญชาอึ้งไป
“มันยังไงกันแน่ครับ ใช่มิสเตอร์โจวคนนี้หรือเปล่าครับ ที่นายหัวเคยบอกว่า...จะให้ผมทำงานประสานกับเค้า ที่เมื่อเช้า..นายหัวบอกว่า..จะให้ผมดูแลเรื่อง...”
เกียรติบดินทร์พูดไม่ทันจบ บัญชารีบพูดตัดบทขึ้นมา “นั่นแหละๆๆ..เป็นอันว่างด..ล้มเลิก พ่อจะไม่เป็นหุ้นส่วนอะไรกับใครทั้งนั้น” บัญชาจ้องหน้าเกียรติบดินทร์ ใส่ไฟเต็มที่ “พวกมันเป็นคนไม่ดี ทั้งไอ้มิสเตอร์โจว มาดามพิณ มันเลวเหมือนกันทั้งหมด คิดจะมาแย่งชิงผลประโยชน์กับพวกเรานักธุรกิจท้องถิ่น ทรัพยากรของไทย ก็ต้องเป็นของคนไทยสิ ไอ้พวกโลภมาก พ่อไม่ยอมร่วมมือกับมันเด็ดขาด”
เกียรติบดินทร์ฟังแล้วคิดตาม
“โดยเฉพาะไอ้มิสเตอร์โจว ชาวจีนสิงคโปร์คนนี้ มันคือบุคคลอันตราย” บัญชาเน้นเสียง
จังหวะนั้นวังโผล่เข้ามา
“เอ้อ..ประทานโทษครับ นายหัว คุณดิน จะรับประทานอะไรมื้อดึกกันหรือเปล่าครับ”
บัญชาหันมามองตาขุ่นเสียงเขียว
“ดึกป่านนี้ ใครจะกินอะไร แล้วแกมาเดินท่อมๆ อยู่ทำไม ไม่หลับไม่นอน”
“เอ้อ..คือ..นายหญิงโทร.มาสั่งไว้อ่ะครับ ว่าระหว่างนายหญิงกับป้าบัวไปอยู่ค้างเป็นเพื่อนคุณนายดาว ให้กระผมทำหน้าที่ดูแลนายหัวให้ดี..นายหญิงเป็นห่วงนายหัว…” วังบอก
บัญชามีสีหน้าเปลี่ยนไป เหมือนอารมณ์จี๊ดขึ้นมา
“นายหญิงของแกน่ะเหรอ...เป็นห่วงชั้น หยุดพล่ามได้แล้ว ไอ้วัง ไปให้พ้นๆ หน้าเดี๋ยวนี้ ไป!”
บัญชาตวาด จนวังสะดุ้งรีบเผ่นไปทันควัน
ในขณะที่เกียรติบดินทร์มองพ่ออย่างสงสัย และคิดในใจว่าพ่อเป็นไรกันแน่?
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้ (6 ก.พ. 55) เวลา 9.30 น.
ลิขิตฟ้าชะตาดิน ตอนที่ 4 (ต่อ)
นักสืบเดินตามบัญชามา และพากันเข้ามาในห้อง พร้อมๆ กับที่ประตูปิดลง แล้วบัญชาถามขึ้นทันทีด้วยความร้อนใจ
“ว่าไง”
“จริงอย่างที่นายหัวสันนิษฐานครับ” นักสืบเอ่ยขึ้น
“ยังไง” บัญชาถามเสียงเคร่ง
“เทศกาลไหว้ขนมจ้าง...วันที่ 5 เดือน 5 คือวันที่อาจ้างโดนเอาตัวมาทิ้งไว้ที่ศาลเจ้า” นักสืบบอก
ภาพเหตุการณ์ตอนที่สาลี่และเสี้ยวท้อ รวมทั้งพวกชาวศาลเจ้าพบเด็กทารกผุดขึ้นมาในความคิดของนักสืบ
“โดยที่อาจ้างนั้น ที่จริงเกิดวันที่ 4 ตอนตี 4 นี่คือบันทึกของโรงพยาบาล แต่ยังไม่มีการแจ้งเกิด แม่ของเด็กก็หนีออกมาจากโรงพยาบาลเสียก่อน ไม่มีชื่อเด็ก ชื่อแม่ มีแต่ชื่อแพทย์ที่ทำคลอด และมีหมายเหตุว่า...คนไข้คลอดแล้ว ก็พาเด็กหนีไป..เช้ามืดวันที่ 5”
นักสืบเอาใบถ่ายสำเนาตารางบันทึกของโรงพยาบาล มาวางตรงหน้าบัญชาและอธิบาย
“แม่ของอาจ้าง เข้าโรงพยาบาลไปคลอด...คืนวันที่ 2 คนที่พาไป คือสองสามีภรรยา พี่ชาย กับพี่สะใภ้ของป้าบัว”
ภาพเหตุการณ์ที่สองผัวเมีย ช่วยประคองหญิงที่ท้อง แล้วใส่เสื้อผ้ามีผ้าคลุมหัวมิดชิด เดินขึ้นบันไดโรงพยาบาลมา แล้วเจ้าหน้าที่เอารถเข็นมารับ เข็นเข้าไป ส่วนที่เค้าน์เตอร์โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่โอพีดีมาสอบถาม ลอยเข้ามาในความคิดของนักสืบขณะเล่า
นักสืบถอนหายใจยาว ขณะสบตาบัญชา
“ที่บ้านตามที่อยู่ของป้าบัว..เวลานี้เป็นหลานๆ แกอยู่”
พร้อมกับที่ภาพเหตุการณ์ตอนที่นักสืบ ไปเจอหนุ่มสาว 2-3 คน ออกมาจากบ้าน แล้วนักสืบก็เข้าไปคุยสอบถาม
“แต่ผมได้ตามไป..จนพบพี่สะใภ้ป้าบัว เวลานี้ พี่ชายป้าบัวตายไปแล้ว และเมียแกก็ป่วยอยู่โรงพยาบาลที่เชียงใหม่..อีกไม่นานคงตาย..ผมให้สตางค์ไป 5 พัน” นักสืบว่า
นักสืบยืนมองหญิงชรา ซึ่งเป็นพี่สะใภ้ของป้าบัวที่เตียงคนไข้ ในห้องผู้ป่วยรวม แล้วเดินเข้าไปหาพลางไหว้ หญิงชรารับไหว้อย่างงงๆ
“แกก็เล่าหมด...ว่าป้าบัวส่ง...แม่ของเด็กมาอยู่บ้านแก ตั้งแต่ท้องได้ 6 เดือน แต่ตอนแรกมองไม่เห็นว่าท้อง...เพราะคงเป็นท้องสาว แล้วพักอยู่ที่บ้านแก…3 เดือน อยู่แต่ในห้อง ไม่ออกมา ไม่พูดกับใครเลย..ถ้าไม่จำเป็น” นักสืบว่า
พร้อมกับภาพพี่สะใภ้ป้าบัว กับสามี พาผู้หญิงคนนี้ลงจากรถสองแถวหน้าบ้าน หญิงสาวใส่แว่น ใส่หมวก สวมชุดคลุม แล้วพี่ชายป้าบัวก็ช่วยยกขนกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ ขึ้นบ้านไป
พี่สะใภ้ป้าบัว ถือถาดอาหารไปส่งหน้าห้อง เคาะประตู แล้วผู้หญิงคนนั้น ที่ซ่อนหน้าอยู่ในเงามืด โผล่ออกมารับถาด
“จนครบกำหนด พวกแกก็พาไปโรงพยาบาล...แต่แล้ว...หลังคลอดวันเดียว..ผู้หญิงคนนั้นก็หนีไปพวกแกไม่รู้จริงๆ ว่าหญิงนั้นคือใครครับนายหัว”
นักสืบรายงานละเอียดจนมองเห็นภาพสองผัวเมีย ช่วยประคองหญิงท้องแก่ ซึ่งสวมใส่เสื้อผ้ามีผ้าคลุมหัวปกปิดตัวเอง เดินขึ้นบันไดโรงพยาบาลมา แล้วมีจ้าหน้าที่เอารถเข็นมารับ เข็นเข้าไปด้านใน
ที่บริเวณเค้าน์เตอร์โรงพยาบาลแห่งนั้น เจ้าหน้าที่โอพีดีมาสอบถาม แล้วหญิงสาวที่คลุมหน้าก็ยื่นมือออกมา ส่งซองเงินที่มีเงินเป็นปึกๆ ให้กับเจ้าหน้าที่โอพีดี ซึ่งจำนวนมากเอาการ
นักสืบมองหน้าบัญชา พร้อมกับรายงานต่อ
“พี่สะใภ้ป้าบัว แกชื่อยายแก้ว แกเน้นมาก...ว่าแกตื่นเต้น ที่ผู้หญิงท้องคนนั้น มีสตางค์มากมายมาให้แก...เป็นค่าตอบแทน ที่ให้อยู่ที่บ้าน 3 เดือน แล้วก็จ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเป็นปึกๆ ครับนายหัว”
นักสืบรายงานหน้าตาสงบเสงี่ยม ในขณะที่บัญชารับฟัง อย่างเงียบขรึมและสงบ
“ส่วนอาจ้าง..ได้มีการไปแจ้งเกิดที่อำเภอภายหลัง..ว่าเกิดวันที่ 5 นั่นเอง” นักสืบวางสำเนาใบเกิดลงตรงหน้าบัญชา “ใช้ชื่อเด็กชายฟ้ากระจ่างโดยมีนายหึ่ง แซ่ลี้ กับนางสาวสารภี บุญเบิด เป็นชื่อพ่อแม่ตามกฏหมายครับ”
บัญชาฟังนักสืบแล้วนิ่งงัน แววตานิ่งในท่าทีสงบไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา
คืนนั้นดารากานต์กลับจากงานศพพ่อ ก็เข้านอนทันที และเวลานี้หลับอยู่ โดยนอนหันหลังให้สามี
ในขณะที่บัญชานอนหงาย ลืมตาโพลง สักพัก ดารากานต์พลิกตัวมานอนหงาย บัญชาหันไป นอนตะแคงเพ่งมองดารากานต์
ใบหน้าของดารากานต์ยามหลับใหล ดูแสนซื่อ บริสุทธิ์ เหมือนเด็กๆ บัญชามองอยู่อย่างนั้น ก่อนจะรำพึงออกมาเบาๆ
“ดารากานต์...ฉันเพิ่งเข้าใจ ว่าไม่มีความเจ็บปวดอะไรจะเปรียบได้ กับความเจ็บปวดที่คนที่นอนอยู่ข้างเราทุกคืน...คือคนที่ซุกซ่อนความลับ...ที่สำคัญที่สุด...ไว้จากเรา คือคนที่โกหกเรามากที่สุด”
บัญชาน้ำตาไหลออกมา ส่วนดารากานต์หลับสนิท ไม่รู้เรื่องราวใดๆ
ที่บริเวณไซด์งานสร้างเขื่อนริมทะเล ยามเช้าวันรุ่งขึ้น เกียรติบดินทร์ เดินคุยมากับดวงยิหวา ในขณะที่บรรดาคนงานกำลังเร่งงานกันอย่างขันแข็ง
“เซ็งมากเลยอ่ะ นึกว่าจะได้ใช้ความสามารถทางภาษากับนักธุรกิจอินเตอร์ซะหน่อย ก็ต้องมาอดซะงั้น” เกียรติบดินทร์ทำหน้าเซ็ง
“คุณดินกลับไปเรียนหนังสือเถอะค่ะ คุณยังมีเวลาให้ได้แสดงความสามารถอีกเยอะแยะ ไม่ต้องรีบร้อนนักหรอก” ดวงยิหวาว่า
“เธอเห็นชั้นเป็นเด็กนักเหรอ ดวงยิหวา เธอเอง..ก็ใช่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่อะไรมากกว่าชั้น” เกียรติบดินทร์แย้ง
“ฉันยังเรียนอยู่นะ คุณดิน ชั้นทำงานไปเรียนไป เดี๋ยวช่วงใกล้สอบ..ชั้นก็จะมาที่นี่ไม่ได้ ต้องไปตั้งใจดูหนังสือ สอบให้ผ่าน” ดวงยิหวาบอก เป็นความรู้ใหม่ที่เกียรติบดินทร์เพิ่งรู้
“งั้นเดี๋ยวชั้นจะทำแบบเธอมั่ง ชั้นจะไปสมัครเรียนที่เดียวกะเธอเลย เธอเรียนที่ไหนอ่ะ” เกียรติบดินทร์ทำท่ากระตือรือร้น
ดวงยิหวามอง แล้วส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“เพราะคุณทำตัวแบบนี้ไง คุณดิน..แล้วคุณจะให้ชั้นมองคุณเป็นผู้ใหญ่ น่าเชื่อถือได้ยังไง เฮ้อ..ขอโทษนะคะ ฉันไม่มีเวลาคุยแล้ว คุณกลับไปเถอะ...” ดวงยิหวาเดินหนีไปหาพวกคนงาน “พี่สมนึกคะ..เหล็กตรงนั้นมันออกมานอกแนวนะคะ ใช้ไม่ได้ค่ะ ต้องทำใหม่ทั้งแถวเลยค่ะ”
ความรอบรู้ของดวงยิหวาขณะคุยงานอยู่ เกียรติบดินทร์มองตาม ด้วยความรู้สึกชื่นชมเพิ่มมากขึ้นในใจ
หากมองจากห้องชุดสุดหรูห้องนั้น สามารถมองเห็นวิวสวนสาธารณะ และทะเลสาบแสนสวยงาม มาดามพิณยืนชื่นชมวิวสวยอยู่ริมผนังกระจก แต่สีหน้าของนักธุรกิจหญิงกลับดูหม่นเศร้า ขณะบินมาเพื่อคุยอยู่กับปีเตอร์ โจว ที่ประเทศสิงคโปร์ ในช่วงตอนกลางวัน ภายในห้องนั้นยังมี ชิงชัย และเทเรซ่าร่วมวงสนทนาอยู่อีกด้วย
“I’m so sorry, Prter ชั้นไม่เข้าใจนายหัวบัญชาจริงๆ เค้าพลิกลิ้น...ดิฉันหมายถึง เค้าเปลี่ยนคำพูด..ในเวลาชั่วข้ามคืน...ด้วยเหตุผลว่า...เขาไม่อยากร่วมหุ้นกับใครทั้งนั้น ไม่ว่าคนไทยหรือคนต่างชาติ เขาอยากให้บริษัทของครอบครัวเขา ยิ่งใหญ่ขึ้นมา ภายใต้คนในครอบครัวเขาเท่านั้น” มาดามพิณกล่าวขึ้น
“แปลกมาก คืนที่เราดินเนอร์กัน ผมรู้สึกว่าเราเข้ากันได้ดี และถึงเขาอยากจะทำบริษัทตัวเองให้ยิ่งใหญ่แค่ไหน เขาก็ร่วมมือกับเราได้นี่นา บริษัทของครอบครัวก็ทำไป บริษัทที่จะเป็นพาร์ทเน่อร์กัน ก็น่าจะทำได้ มันไม่เห็นจะขัดกันที่ตรงไหนเลย” ปีเตอร์เองก็แปลกใจไม่ต่างกัน
“ผมว่ามันไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงหรอกครับ มิสเตอร์โจว เขาก็แค่จะปฏิเสธเรา...แต่ไม่ยอมบอกความจริง ว่าเขาคิดอะไรกันแน่ ก็เลยอ้างอะไรแถๆ ไป ให้มันฟังดูดี ดูดราม่า ก็แค่นั้น” ชิงชัยแทรกขึ้น
“ผมเสียใจจริงๆ ผมอยากลงทุนในเมืองไทย อยากย้ายไปใช้ชีวิตในเมืองไทย แต่ผมไม่อยากมีปัญหากับคนไทย..ที่เป็นนักธุรกิจรายใหญ่ประจำท้องถิ่น ไม่ว่าใครก็ตาม” ปีเตอร์
“แด๊ดดี้อยากจะเป็นเพื่อนกับทุกคน ไม่อยากเป็นศัตรูกับใคร” เทเรซ่าว่า
“แต่นี่..เราก็ทำดีที่สุดแล้ว เราผูกมิตรกับเขาแล้ว ดิฉันคิดว่า...นายหัวบัญชาก็น่าจะเข้าใจ หากต่อไปนี้ พวกเราจะประมูลงานแข่งกับเขาอย่างตรงไปตรงมา เขาก็ไม่น่าจะมาคิดเล็กคิดน้อย” มาดามพิณแสดงความเห็น
“นั่นสิครับแม่ เราชวนเขาลงขันแล้ว เขาไม่เอาด้วยเอง จะมาโกรธเราทีหลังไม่ได้หรอกครับ” ชิงชัยเห็นด้วยกับแม่
ทุกคนมองหน้ากัน สีหน้าไม่สบายใจนัก
เช้าวันต่อมาเกียรติบดินทร์อยู่ในชุดวิ่งออกกำลังกาย พอวิ่งเข้าประตูบ้านมาแล้วชะงัก เมื่อมองไปเห็นบัญชา บุรี นายเด่น ยืนสุมหัวกัน ทำท่าซุบซิบอะไรบางอย่าง
“มีผู้รับเหมา 3 เจ้า ที่มาดามพิณไปเจรจา ว่าขอให้ร่วมฮั้วประมูลกัน เพราะต้องการจะให้บริษัทปีเตอร์แอนด์เฟรนด์เปิดตัวให้ได้ในงานนี้” เด่นรายงานสถานการณ์
เกียรติบดินทร์ได้ยิน ลดฝีเท้าลง แต่ไม่มีใครสังเกต
“แล้วทุกคนยอมหมด ไม่มีใครเป็นคู่แข่งเลยเหรอ” บัญชาถาม
“ไม่มีครับ..เพราะมาดามพิณเซ่นไหว้ทุกคนจนพอใจ แล้วสัญญาว่าจะตอบแทนบุญคุณเป็นการแลกเปลี่ยนกันในภายหลัง” บุรีเป็นคนตอบ
“ถ้าเราจะยื่นซองประกวดราคาสู้กะมัน พวกเราจะทำกันทันไหม”
คำถามของบัญชา ทำเอาทุกคนมองหน้ากัน อึ้งๆ
บุรี“แต่..งานนี้มันก็ไม่ได้เป็นโปรเจ็คใหญ่โต ที่จะทำกำไรมากมายซักเท่าไหร่นะครับ” บุรีว่า
“ถึงขาดทุน ชั้นก็จะทำ ชั้นต้องการสะกัดดาวรุ่งบริษัทปีเตอร์แอนด์เฟรนด์ไม่ให้มันเกิดขึ้นมาได้..ไม่ว่าพวกแกจะมีวิธีการยังไงก็ตาม” บัญชาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่ง
เกียรติบดินทร์โผล่มาทัน ได้ยินสองประโยคหลัง ถึงกับอึ้ง บัญชาหันมาเห็นพอดี จึงหยุดการสนทนา
เกียรติบดินทร์รีบยิ้มให้ทุกคนพร้อมกับยกมือไหว้เด่น “นายเด่น หายดีแล้วหรือครับ”
“คุณดิน” เด่นทัก
เกียรติบดินทร์ถามถึงดวงยิหวา “ดวงล่ะ ไม่มาด้วยหรือครับ”
“เอ่อ..ดวง..ไปกรุงเทพฯครับ”
“อ๋อ ไปสอบเหรอครับ..ฝากบอกดวงด้วยนะครับ..ว่าขอให้ได้เอทุกวิชา” เกียรติบดินทร์พูดกับเด่นทำหน้าตาเหมือนสนิทสนมกับดวงยิหวาเหลือเกิน แล้วหันมาหาบัญชา เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังขึงขัง “อืม..นายหัว..บริษัทปีเตอร์แอนด์เฟรนด์..ที่นายหัวอยากจะบี้ให้เละนี่..คือบริษัทของมาดามพิณกับมิสเตอร์โจวใช่ไหมครับ”
“ดิน..แกไปกินอาหารเช้าไป๊.. แม่เขารออยู่” บัญชาบอกแกมสั่งอยู่ในที
เกียรติบดินทร์ยักไหล่
“ทำไมนายหัวไม่ยอมให้ผมอยู่ในทีมด้วยล่ะครับ..นายหัวรักใคร ผมก็รักด้วย นายหัวเกลียดใคร ผมก็เกลียดด้วย”
“แกอย่ามาพูดจาซี้ซั้วนะ ดิน..ชั้นไม่ได้เกลียดใคร แต่ชั้นไม่ต้องการให้บริษัทต่างชาติมาฮุบธุรกิจของพี่น้องเพื่อนฝูงของเราต่างหากล่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว มันเป็นเรื่องของส่วนรวม” บัญชาว่า
“โอ้โห..ยิ่งได้รู้แบบนี้ ผมก็ยิ่งอยากช่วยนายหัวใหญ่ นายหัวมีอะไรจะใช้ผมก็ใช้มาเลยนะครับ..ทีนายเด่น..เค้ายังไว้ใจลูกเค้า นายหัวก็น่าจะไว้ใจผมบ้าง” เกียรติบดินทร์ยิ้มให้ทุกคน แล้ววิ่งจากไป
บุรี นายเด่น มองหน้าบัญชา อยากรู้ว่าคิดไงกับลูกชายตัวเอง ส่วนบัญชามองตามลูกด้วยสีหน้าหนักใจ
อาหึ่งกำลังเคี่ยวน้ำซุปใหญ่ในหม้ออยู่ภายในครัวศาลเจ้า
เพื่อนสามคนของฟ้ากระจ่าง สมหมาย ปักเป้า และหมีใหญ่ กำลังง่วนอยู่กับช่วยงานกันคนละอย่างทั้ง หั่นผัก หั่นหมู และปอกกระเทียม
“อาจ้างมันไปไหนๆ” อาหึ่งถามหาลูกชายขณะใช้ทัพพีเคี่ยวน้ำซุปอยู่
“มันไปโรง’บาลครับ เดี๋ยวก็กลับครับ” ปักเป้าหันไปบอก
“มันไปทำไมโรงบาล แล้วเส้นก๋วยเตี๋ยวล่ะ มันเอามายัง อั๊วบอกให้ไปซื้อแต่เช้า” อาหึ่งบ่นงึมงำ
สมหมายเข้าไปลากตะกร้ามาส่งให้ “นี่ครับ อาหึ่ง เส้นใหญ่ เส้นหมี่ เส้นเล็ก..ครบเลย”
“มันหายไปๆไหนๆๆ” อาหึ่งหมุนหารอบทิศ
“หาอะไรเหรอ อาหึ่ง” หมีใหญ่ถาม
“กระดูกหมู โครงไก่ ตะกี๊มันอยู่ตรงนี้เยอะแยะ หายไปไหนหมด อาจ้าง อาจ้างมันเอาไปไว้ไหนหมด อาจ้างเว้ย อาจ้าง…” อาหึ่งร้องตะโกนหาลูกชายเสียงดังโหวกเหวก
เพื่อน 3 คนมองหน้ากัน แล้วส่ายหัว ก่อนพูดขึ้นพร้อมๆ กัน ประโยคที่เคยบอกไปแล้วอย่างเหลืออด “อาจ้างไปโรง’บาล เดี๋ยวมา”
“โครงไก่กับกระดูกหมูอาหึ่งก็เคี่ยวอยู่ในหม้อซุปนั่นไงละคร้าบ” สมหมายว่า
“ป้ำๆ เป๋อๆ แบบนี้ ทำกับข้าวอร่อยได้ไงวะ ย้ำคิดย้ำทำแบบนี้ เดี๋ยวก็ใส่เกลือ ใส่น้ำตาลทีละสองสามรอบหรอก” ปักเป้าแอบนินทาอาหึ่ง
ระหว่างนั้นฟ้ากระจ่างกับสาลี่ ช่วยกันเข็นรถคนป่วยมีตัวหนังสือสกรีนเขียนชื่อคนบริจาคให้มูลนิธิฯ มีสารภีนั่งอยู่ ผ่านประตูครัวไป สารภีครวญครางออกมา
“อือ.. เอ็บอ้าก..อวดอากกกก..ไอ้ไอ๋แอ๊วๆๆ อือๆๆๆ - ฮือ..เจ็บมาก.. ปวดมาก ไม่ไหวแล้วๆๆ ฮือๆๆ”
“โอ๋ๆๆ แม่ อย่าร้องนะ เดี๋ยวกินยาแล้วนอนพัก..แม่ก็ค่อยยังชั่ว..เชื่อผมสิ” ฟ้ากระจ่างพยายามปลอบ
“จุ๊ๆๆ สารภี เบาๆ หน่อย คนเขามาไหว้เจ้ากันเยอะแยะ เดี๋ยวเค้าก็นึกว่าศาลเจ้าเราเป็นโรงฆ่าสัตว์”
อาม่าสาลี่จุ๊ปากบอก แล้วช่วยฟ้ากระจ่างเข็นสารภีผ่านไป
“อีสารภี อีนี่..อีตัวการ...” อาหึ่งได้ยินเสียงสารภี ฉุนสุดขีด ควงทัพพีในมือ รีบตามไป
ฟ้ากระจ่างกับสาลี่ช่วยกันประคองสารภีให้นอนลงบนเตียงเล็กราคาถูก สภาพที่นอนก็แบนติดพื้นเตียงหาความนุ่มไม่เจอ สารภีครางครวญหงิงๆ อยู่อย่างนั้น
“อาจ้าง ไปหาข้าวต้ม หาอะไรมาให้แม่กินไป..จะได้กินยาหลังอาหาร” สาลี่บอก
“ครับ อาม่า”
ทันใดนั้น อาหึ่งก็โผล่พรวดเข้ามา เอาทัพพีชี้หน้าอย่างโมโห
“อีสารภี อีนี่ เป็นอะไรไปอีกแล้วล่ะ ทำให้ลูกกูต้องลำบากอีกแล้ว อาจ้าง ไป ไปทำงานในครัว คนมาไหว้เจ้าเยอะแยะจะไม่มีอะไรกิน เดี๋ยวได้อดกันหมด ลื้อไม่ต้องมายุ่งกะมัน ให้มันตายๆ ไปซะเลย จะได้หมดเรื่องหมดราว”
ฟ้ากระจ่างเข้ามาขวางไว้
“ป๊า...ใจเย็นๆ อย่าไปด่าแม่เค้าสิครับ มาๆๆอั๊วกลับมาแล้ว อั๊วไปช่วยนะๆๆ”
“เอาข้าวต้ม หรือเกาเหลาอะไรก็ได้นะ เร็ว” สาลี่เร่ง
“ครับๆๆ อาม่าสาลี่ แป๊บนึงครับ” ฟ้ากระจ่างรับคำ
เสี้ยวท้ออยู่ในชุดเดินทางถือกระเป๋า ได้ยินเสียงเอะอะ จึงโผล่ออกมาดู
“ข้าวต้มอะไร เกาเหลาอะไร จะให้ลูกอั๊วจัดมารับใช้อีเนี่ยเหรอ” อาหึ่งยังไม่ยอมให้ฟ้ากระจ่างไป
“ป๊า..มาเถอะน่า...” ฟ้ากระจ่างรีบลากอาหึ่งออกไป “ไปๆๆ รีบไปช่วยกันทำกับข้าวให้คนมาไหว้เจ้ากัน..ไป เดี๋ยวไม่ทันนะ ป๊า จะเที่ยงแล้ว”
“อาอ้างๆ อ่าทิ้งแม่ไอ แอ่เอ็บเอื๋อเอิน..อาอ้วดไอ้แอ้อ่อย - อาจ้างๆ อย่าทิ้งแม่ไป แม่เจ็บเหลือเกิน มานวดให้แม่หน่อย” สารภีอ้อนจะไม่ยอมให้ฟ้ากระจ่างไป
“หนอยๆๆ..มานวดให้แม่หน่อย..พูดออกมาได้ ลื้อไปเป็นแม่อาจ้างตั้งแต่เมื่อไหร่ เคยเลี้ยงมันบ้างไหม อั๊วะตะหาก ที่ป้อนข้าวป้อนน้ำมันมา ลื้ออ่ะ ก็ดีแต่ไถตังค์ กะไถข้าวไถขนมมันกินไปวันๆ แล้วนี่ยังจะมันมารักษาพยาบาลลื้ออีกเหรอ” อาหึ่งพูดอย่างมีโมโห
“อั๊นเอ็นแม่อาอ้างๆๆ - ชั้นเป็นแม่อาจ้างๆๆๆ” สารภีเถียงเสียงดังลั่น
“ครับๆๆ แม่เป็นแม่ผม ไป..ป๊า..ขอร้อง ไหว้ล่ะ อย่าทะเลาะกันเลยนะ” ฟ้ากระจ่างรีบห้ามทัพ
“ลื้อไม่ต้องยุ่งกะมันอีก” อาหึ่งสั่งลูกชายพลางด่ากระทบสารภี “เดี๋ยวอั๊วจะโทรศัพท์เรียกเทศบาล มาเอานังสารถีไปทิ้งขยะ อย่างมันนี่ไม่ใช่ขยะรีไซเคิลหรือขยะแห้งนะ มันเป็นขยะเปียก..ต้องเอาไปทำปุ๋ย!!”
สารภีของขึ้นโต้กลับทันที
“อื๊ออะอิ อะอะเอียก อ้าอ่างอื๊ออ้อไอ้ไอ้อ้ออาอ้าง - ลื้อน่ะสิ ขยะเปียก หน้าอย่างลื้อ ก็ไม่ใช่ พ่ออาจ้าง” สารภีบอก
“อั๊วเป็นพ่ออาจ้างๆๆๆ” อาหึ่งเถียง
“อั๊วอ้อเอ็นแอ้อาอ้างๆๆ - อั๊วก็ป็นแม่อาจ้างๆๆ” สารภีโต้
“พ่อแม่ก็เป็นพ่อเป็นแม่ผมทั้งสองคนแหละครับ นะๆๆ”
ฟ้ากระจ่างโอ๋สองคนไปมา ระหว่างนั้นเสี้ยวท้อก็ดึงแขนอาม่าสาลี่เข้ามาพอดี
“ดูอาจ้างสิ ม้าเกิดมา เคยเห็นอะไรน่าทุเรศ เคยเห็นใครน่าสมเพชไปกว่านี้อีกไหม” เสี้ยวท้อพูด อย่างขัดเคืองใจ
“ม้าไม่เห็นอะไรแบบที่ลื้อว่าเลย เสี้ยวท้อ อั๊วเห็นแต่เด็กน่ารัก เด็กดี ที่เป็นลูกของเทพเจ้าตะหาก” สาลี่เอ่ยชื่นชมฟ้ากระจ่างขึ้นมา
“งั้นเราก็จบกัน ม้ากะหนูพูดกันไม่เคยรู้เรื่อง แล้วหนูจะส่งเงินมาให้นะ แต่ถ้าไม่เด่นไม่ดัง หนูไม่กลับมาแน่ แม่อย่าว่าก็แล้วกัน” เสี้ยวท้อไหว้สาลี่ แล้วเดินไปหาครอบครัวฟ้ากระจ่าง พูดเสียงก้าวร้าว ไม่เกรงใจใคร “นี่!!อาหึ่ง น้าสารภี หยุดตีกันซักนาทีได้ไหม”
สารภี กับอาหึ่งเงียบเสียงไปทันที
“อาจ้าง ชั้นลาก่อนนะ เธอเองก็คิดให้ดีก็แล้วกัน..หัดถามตัวเองซะบ้างนะ ว่าเธอมาทำอะไรที่นี่”
เสี้ยวท้อพูดแค่นั้นก็สะบัดหน้าแล้วเดิน เริดๆ เชิดๆ จากไป
สาลี่ อึ้ง สารภี อาหึ่ง มองตามไปอย่างงงๆ แล้วหันมามองหน้าฟ้ากระจ่างที่มองเสี้ยวท้อ ด้วยสายตาสมเพชใจ
ภายในครัวบริเวณด้านหลังศาลเจ้าค่ำคืนนั้น ฟ้ากระจ่างล้างจานคว่ำซ้อนเป็นตั้งๆ อยู่ ในขณะที่อาหึ่งก็เก็บกวาดครัวไป ลอบมองฟ้ากระจ่างไป จังหวะหนึ่งฟ้ากระจ่างมีอาการสะดุ้ง ยุงกัด รีบวางจานลง ตบยุงเสียงดังเปี๊ยะโดยอัตโนมัติ
พอได้สติ ฟ้ากระจ่างจึงจับซากยุงมาดู ทำหน้าตาเสียใจ
“เย้ย!! ไอ้ยุงชั่ว..ทำอั๊วผิดศีล 5 เลย โหย..เซ็งว่ะ”
อาหึ่งเห็นแล้วยิ้มๆ ออกมา
“ดีแล้วล่ะ ยุงมันอายุสั้นไม่กี่วันเอง มันตายซะจะได้ไปเกิดใหม่..เป็นสิ่งที่ดีกว่า”
“สิ่งที่ดีกว่ายุง..สงสัยจะเป็นมด เพราะถ้าเกิดเป็นแมงวัน ต้องไปตอมของสกปรก” ฟ้ากระจ่างว่า
“มันอาจจะเกิดเป็นคนก็ได้” อาหึ่งออกความเห็น
“จากยุงเป็นคน มันจะข้ามช็อตไปนะป๊า..ผมว่ามันน่าจะเป็นแมลงซักสิบชาติ แล้วต้องไปเป็นปลา เป็นนก เป็นจระเข้ กว่าจะมาเป็นพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แล้วก็มาถึงขั้นลิง..ก่อนจะเป็นคน”
อาหึ่งหัวเราะชอบใจ “แล้วถ้าเราเกิดชาตินี้เป็นคน ชาติหน้าจะถอยไปเป็นยุงได้ปะวะ”
“เออ..เนอะ อาจจะต้องทำบาปมากๆ อ่ะครับป๊า..เช่นพวกสูบเลือดสูบเนื้อคนอื่นมากๆ..ตายไป เลยไปเกิดเป็นยุง ต้องดูดเลือดคนต่อไปเรื่อย” ฟ้ากระจ่างบอก
อาหึ่งคิดแล้วคิดอีก “แล้วลื้อล่ะ ชาติก่อนไปทำอะไรมา ถึงได้มาเกิดเป็นลูกอั๊ว”
ฟ้ากระจ่างพูดแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย
“เราอาจจะเคยเป็นพ่อเป็นลูกกันมาหลายชาติแล้วก็ได้นะป๊า”
“งั้น..ชาติหน้า ลื้อมาเกิดเป็นลูกอั๊วอีกนะ” อาหึ่งพูดซื่อๆ
ฟ้ากระจ่างหัวเราะ “ได้เลย”
“อั๊วทำอาหารเลี้ยงคนยากจนมากๆแบบนี้ ชาติหน้าอั๊วอาจจะเป็นเจ้าของกิจการ มีบ้านของตัวเอง แล้วพอลื้อเกิดมา ลื้อก็จะได้สบาย” อาหึ่งทำหน้าฝันหวาน
ฟ้ากระจ่างนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วหัวเราะก๊ากออกมา
“งั้นชาติหน้า ถ้าป๊ามีกิจการเป็นของตัวเอง ป๊าช่วยอย่าทำกิจการร้านอาหารละกันนะ ไม่งั้นผมว่า...ชีวิตเราคงคล้ายๆ เดิมนี่แหละ ผมว่า...ป๊าเป็น...” ฟ้ากระจ่างคิดไปคิดมา “เจ้าของกิจการขายเสื้อผ้าดีกว่า..ขายกางเกงยีนส์นะ กางเกงยีนส์ เสื้อยืดแหล่มๆ เอารองเท้าผ้าใบด้วย เอาแบบร้านสมาร์ทเทเล่อร์ในตลาดเลย...ใช่แล้ว” ฟ้ากระจ่างตบเข่าฉาดใหญ่ “ผมนึกได้แล้ว ถ้าเลือกเกิดได้..ผมอยากเกิดเป็นลูกเจ้าของร้านสมาร์ทเทเล่อร์นี่แหละ”
“โอเคๆ ได้ๆๆ” อาหึ่งชอบใจเห็นดีด้วย
สองพ่อลูกหัวเราะกันคิกคักๆ อย่างมีความสุข
อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้ (7 ก.พ. 55) เวลา 9.30 น.
ลิขิตฟ้าชะตาดิน ตอนที่ 4 (ต่อ)
ที่บริเวณลานจอดรถข้างอาคารราชการ บุรี กับนายเด่นก้าวลงจากรถตู้ของบริษัท ทั้งคู่แต่งตัวโก้และเรียบร้อยดูเป็นทางการอย่างนี้ เวลาที่มาร่วมงานประมูลโครงการสำคัญเสมอ
เป็นจังหวะเดียวกับที่ รถสปอร์ตคันหรูของเกียรติบดินทร์แล่นปราดเข้ามาจอด
ทั้งสองคนมองเห็นเกียรติบดินทร์ แล้วหันมองหน้ากัน รู้สึกตกใจ
เกียรติบดินทร์ ในชุดเสื้อเชิ้ตผูกไท แม้จะพยายามแต่งตัวให้ดูเป็นทางการ แต่ก็ยังเปรี้ยวปรี๊ดอยู่ดี เกียรติบดินทร์ลงจากรถ เดินวางมาดเข้ามาสมทบ
“น้องดิน น้องดินมาทำอะไร” บุรีรีบถามอย่างสงสัย
“ผมก็มาเรียนรู้งานกะอาไงครับ นายเด่น สั่งสอนผมด้วยนะ ผมไม่เคยเห็นบรรยากาศเวลาเค้าเปิดซองประกวดราคากันซักที อยากรู้จริงๆ ว่ามันจะตื่นเต้นขนาดไหน”เกียรติบดินทร์ว่ายิ้มๆ
“มันไม่มีอะไรตื่นเต้นหรอก น้องดิน ก็รู้ๆ อยู่แล้ว ว่าเราต้องชนะ”
“อาบุรีรู้ได้ไง นายหัวตั้งราคาต่ำเกินจริง จนทุกคนต้องยอมยกให้งั้นเหรอ” เกียรติบดินทร์ล้อ
“ผมว่า..คุณดินอย่ามารู้เรื่องพวกนี้ดีกว่าครับ มันไม่สนุกหรอก” เด่นบอก
“น้องดิน น้องดินอยู่บ้านสบายๆ กลับไปเรียนหนังสือ แล้วหากีฬาเล่นให้สะใจไปวันๆจะดีกว่า” บุรีบอก
“ถ้าคุณดินอยากเรียนรู้งาน ก็ให้ทุกอย่างมันเรียบร้อยก่อน แล้วตอนมีการลงมือก่อสร้าง..แล้วน้องดินก็มาคุมงาน..น่าจะมีประโยชน์กว่านะครับ” เด่นเสริม
“ยิ่งพูดกันแบบนี้..ก็เท่ากับยิ่งเร้าใจ ให้ผมอยากรู้น่ะสิครับ” เกียรติบดินทร์ขยับเนคไทค์ แล้วเดินมาดหล่อ นำขึ้นบันไดไป
คนอื่นๆ ภายในห้องประชุมของที่ว่าการแห่งนั้น นั่งๆ ยืนๆ และพูดคุยกันอยู่ อย่างมักคุ้นกัน เกียรติบดินทร์เดินวางท่าเข้ามา โดยบุรีและนายเด่นรีบตามเข้ามาแทบไม่ทัน
มาดามพิณ นพชัยกำลังคุยกะเพื่อนในวงการประมูลอยู่ นพชัยเห็นเกียรติบดินทร์ ถึงกับเบิกตากว้าง แล้วรีบสะกิดให้ภรรยาดู มาดามพิณหันมาเห็นจังหวะที่เกียรติบดินทร์มองมาพอดี
เกียรติบดินทร์ยิ้มเก๊ก เดินเข้ามาหา แล้วยกมือไหว้เสมออก ค้อมตัวก้มหน้านิดๆ อย่างให้เกียรติ
“มาดามพิณ คุณนพชัย”
“คุณเกียรติบดินทร์ ไม่นึกว่า...จะได้เจอคุณ” มาดามพิณยิ้มแย้มทักทาย
“อ๋อ นายหัวส่งผมมาน่ะครับ งานสำคัญแบบนี้..นายหัวอยากให้ผมได้เป็นคนลงมือเอง” เกียรติบดินทร์คุยโว
บุรี นายเด่น รีบเข้ามา พยายามกันเกียรติบดินทร์ออกไป
“มาดามพิณ คุณนพชัย สบายดีไหมครับ” บุรียิ้มทักทาย
“คุณบุรี ไม่คิดว่างานก่อสร้างอาคารแบบนี้ นายหัวก็สนใจทำด้วย” มาดามพิณว่า
“นายหัวของเราทำทุกอย่างนั่นแหละครับ มาดามพิณ ที่เป็นการพัฒนาท้องถิ่นของเราให้เจริญรุ่งเรือง” นายเด่นเอ่ยขึ้น
“แต่ก็แปลกนะครับ..ที่นายหัวบัญชาแทรกเข้ามาทัน ในนาทีสุดท้ายก่อนกำหนดการปิดยื่นซองประกวดราคาพอดี” นพชัยพูดสอดขึ้นมา
“มืออาชีพเก่งๆ อย่างนายหัว ทำอะไรก็เซอร์ไพร้ซ์ใครๆ แบบนี้เสมอล่ะครับ”
คำพูดของเกียรติบดินทร์ทำเอามาดามพิณอึ้งไป
เวลานั้นรถของบัญชาจอดรออยู่ในบริเวณลานจอดรถข้างอาคารราชการแห่งนั้นนั่นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น บัญชาที่กำลังยืนกระวนกระวายใจอยู่หันขวับ แทบจะกระโดดมาคว้ามือถือ รีบกดรับสายทันที
“เรียบร้อยใช่ไหม บุรี”
“เรียบร้อยครับ นายหัว” เสียงเกียรติบดินทร์ดังทางปลายสาย
บุญชา สะดุ้ง อึ้ง ประหลาดใจระคนแปลกใจ “ดิน!! นั่น..ดินไปทำอะไรที่นั่น”
เกียรติบดินทร์ซึ่งอยู่ในห้องประมูล เดินคุยโทรศัพท์มือถือของบุรีอยู่
“ผมมาเดินแบบมั้งครับ..แหม..นายหัวครับ ลูกชายมาปฏิบัติหน้าที่แทน นายหัวน่าจะภูมิใจเราชนะครับ นายหัว ราคาของเราต่ำสุด..ต่ำกว่ามาดามพิณแค่ 3 พันห้าร้อยบาทเท่านั้นเอง..ก็ชนะได้ น่าตื่นเต้นเป็นบ้าเลยครับ เกิดมา ผมเพิ่งเคยได้มีประสบการณ์มันๆแบบนี้ คู่แข่งของเราหน้าถอดสีไปเลย ว้าว..มันคูลมากเลยครับ นายหัว” เกียรติบดินทร์ดูจะตื่นเต้นจริงๆ
บัญชาอึ้งอีก “นายดิน รีบกลับมาบ้านเดี๋ยวนี้ แล้วขอพ่อพูดกับอาบุรีด่วน”
จังหวะนั้นดารากานต์ เดินกลับมาจากข้างนอก มีนายวังช่วยหอบถุงของที่ไปช้อปปิ้งมามากมาย มาได้ยินเข้าพอดี หยุดฟัง
“แกพาน้องดินไปที่นั่นเหรอ บุรี แกคิดอะไรของแก หา” บัญชาเสียงดุ
บุรีกำลังสบตากับนายเด่น สีหน้าเซ็งและซีด
“เปล่าครับ นายหัว..น้องดินมาเอง..ผมก็ไม่รู้จะทำไงเหมือนกัน”
บุญชาฟังแล้วหงุดหงิด “เออๆๆ แล้วก็แล้วไปเถอะ..รีบกลับมา เร็วๆ”
“ครับๆๆ”
บัญชาวางหู อยู่ในอาการเซ็งๆ
ดารากานต์ได้ยินชื่อเกียรติบดินทร์ก็ถามขึ้นน้ำเสียงห่วงๆ “น้องดินไปทำอะไรอีกหรือคะ”
“เปล่า” บัญชาพูดสั้น
“เปล่าอะไรกันคะ นายหัว ลูกไปทำอะไร..มีเรื่องกับใครอีกหรือเปล่า” ดารากานต์คาดคั้น
“ทำไมมองน้องดินในแง่ร้ายแบบนั้นล่ะ น้องดินไป..ไปช่วยผมทำงาน แต่ผมยังไม่อยากให้แกไปยุ่งกับงานบางงาน..จนออกหน้าออกตาเกินไป..เพราะแกยังเด็ก..อาจจะดูไม่น่าเชื่อถือ..ก็เท่านั้น”
“แหม..ก็นายหัวนั่นแหละ ทำท่าทางยังกับ..มีอะไรคอขาดบาดตาย ชั้นก็พลอยห่วงลูกไปด้วย”
“คุณห่วงน้องดินด้วยหรือ..ผมนึกว่าห่วงแต่...” บัญชาเกือบหลุดปาก แต่รู้ตัวเสียก่อนจึงรีบหยุดไป
ดารากานต์หันมา ทำหน้างงๆ “ห่วงแต่..อะไรคะ”
“เอ้อ..เปล่าๆไม่มีอะไร ก็เห็นช่วงนี้..คุณต้องดูแลคุณนายดาว หม่าม้าคุณอย่างใกล้ชิด แล้วท่านเป็นยังไงบ้างล่ะ เห็นป้าบัวบอกว่า..ไม่ค่อยยอมกินข้าวกินปลา” บัญชารีบเบี่ยงเบนเรื่อง
“นายหัว...ชั้นต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่...ชั้นต้องไปค้างกับหม่าม้าทุกวัน ไม่ใช่ว่าชั้นไม่สนใจคุณกับลูกนะคะ แต่หม่าม้าไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอนเลย หม่าม้าน่าสงสารมาก ตลอดชีวิตตั้งแต่อายุ 16 แกก็อยู่กะอาป๊าสองคนมาตลอด รักกันมาก แล้วอาป๊ามาเสียไปแบบนี้ หม่าม้าแกทำใจไม่ได้จริงๆ”
“หึๆ..คนที่รักเดียวใจเดียวตลอดชีวิตนี่..ช่างน่าเวทนาจริงๆ” บัญชาพูดเยาะแกมหยันอยู่ในที
ดารากานต์มองบัญชา งงๆ แต่บัญชาทำเป็นเดินไปรินชามาดื่ม ไม่รู้ไม่ชี้
ครู่ต่อมาบุรีกับนายเด่นเดินมาที่รถตู้ คนรถรีบวิ่งมาเปิด สองคนกำลังจะขึ้นรถ ทันใด รถเบนซ์รุ่นใหญ่ แล่นมาชะลอหยุด นพชัยที่ขับเอง มีมาดามพิณนั่งคู่ กดกระจกไฟฟ้าเลื่อนลง นพชัยยิ้มแค้นๆ พลางเอ่ยขึ้น
“คุณบุรี ฝากไปเรียนนายหัวบัญชาด้วย ว่าเค้าแน่มาก ที่ทำกับพวกเราได้”
“แต่ดิฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมคนเราไม่อยากมีเพื่อน แต่อยากมีศัตรู” มาดามพิณหันมา
“มาดามเข้าใจผิดแล้วครับ..ทุกอย่าง..มันเกิดขึ้น..โดยความบังเอิญ พวกเราไม่ตั้งใจจะทำให้ใครโกรธเคืองเลยจริงๆ” บุรีบอก
“ใครๆก็มีสิทธิ์ประมูลงานได้ ใครประกวดราคาชนะ คนนั้นก็ต้องได้งานไป มาดามมีน้ำใจนักกีฬาหน่อยสิครับ” นายเด่นช่วยแก้ต่างเสริม
“พิณ..พอเถอะ..เสียเวลา พูดไปก็ไร้ประโยชน์” นพชัยบอกภรรยาแล้วกดกระจกปิด แล้วจะออกรถ
ทันใดนั้น ก็มีเสียงบีบแตรสนั่นจากด้านหลัง ทุกคนตกใจ หันไปมองตามเสียง
เกียรติบดินทร์พุ่งรถสปอร์ตเบรคกระทันหันเสียงดังเอี๊ยดมา ปาดหน้ารถนพชัย จังหวะนั้นชะลอรถลง หันหน้ามายิ้มกวนๆให้อย่างท้าทาย ก่อนจะเหยียบคันเร่ง เสียงรถดังกระหึ่มบึ้นๆๆ ก่อนจะวิ่งเฟี้ยวนำไป
นพชัยสุดจะแค้น รีบพุ่งรถตามไป รถทั้งสองคันทำเสียงเอี๊ยดอ๊าด ท้าทายกัน บุรี กับนายเด่น ที่ยังยืนอยู่ หันมามองหน้ากัน ท่าทางจะคิดในใจเหมือนๆ กันว่า...ซวยแล้ว
เกียรติบดินทร์ซิ่งรถมาตามถนนอย่างคึกคะนอง มีรถนพชัยขับจี้มาติดๆ
“นพ ไม่เอา นพๆ..อย่าค่ะ” มาดามพิณพยายามห้ามสามี
“ไอ้เด็กนรก แบบนี้มันต้องสั่งสอน” นพชัยคำรามในลำคอ
นพชัยแซงปาดหน้าขึ้นไปด้ แล้วหันมาหัวเราะท้าทาย เกียรติบดินทร์กัดฟันอย่างแค้นใจ เร่งความเร็วรถขึ้นไปอีก แล้วขับตามจี้ จากนั้น ทั้งสองคนก็เร่งความเร็วแข่งกัน ในที่สุดเกียรติบดินทร์แซงได้
นพชัยไม่ยอม เร่งความเร็วบี้ตามไปประกบ เกียรติบดินทร์ไม่ยอม เร่งหนี รถทั้งสองคันเล่นประกบกันไป
จู่ๆ ก็มีรถบรรทุกสวนมา รถนพชัยกำลังเร่งจะแซง เกือบจะบวกประสานงารถบรรทุก
รถบรรทุกบีบแตรสุดเสียง มาดามพิณกรี๊ดด้วยความตกใจ
นพชัยตัดสินใจ หักหลบไปที่อีกฝั่ง แต่เสียหลักไถลลงข้างทางไปเลย นพชัยตั้งสติประคองรถจดลงแบบเกือบคว่ำ
เกียรติบดินทร์ร้องอย่างสะใจ
“วุฮู้”
ที่คอนโดในสิงคโปร์ห้องเดิมนั้น ปีเตอร์โอบบ่านพชัย เดินคุยกันมาเรื่องนายหัวบัญชาที่พลิกลิ้น
“อย่าเอาแต่โมโหเลย คุณนพชัย ทำธุรกิจก็แบบนี้แหละ เป็นเรื่องธรรมดา”
“มันไม่ใช่เรื่องธรรมดานะปีเตอร์ แบบนี้มันคือการประกาศสงครามชัดๆ” นพชัยแค้นไม่หาย
“แด๊ดดี้คะ ถ้าคนไทยเห็นเราเป็นศัตรู เราก็ไม่ต้องไปเปิดบริษัทที่นั่นก็ได้ เทเรซ่าว่า..ที่เมืองจีน เรายังมีโอกาสดีกว่ามาก” เทราซ่าเอ่ยขึ้น
“ถ้าพวกคุณทิ้งพวกเรา..เราคงเสียใจมากครับ เทเรซ่า คุณอย่าเพิ่งท้อใจสิครับ..นี่แค่งานแรกเท่านั้นที่พลาด ยังมีอีกหลายงาน ที่เราจะต้องชนะ” ชิงชัยบอก
“ชิงชัยพูดถูก..ตอนแรกพวกเรามองโลกในแง่ดีเกินไป ตอนนี้เรามีบทเรียนแล้ว ต่อไปเราจะไม่พลาดอีก” ปีเตอร์ว่า
“ชั้นไม่ยอมแพ้หรอก ปีเตอร์ นายหัวบัญชาเล่นสกปรกได้ ชั้นก็เล่นได้เหมือนกัน” มาดามพิณพูดเสียงจริงจังมาก
“แต่ผมไม่อยากใช้วิธีสกปรก” ปีเตอร์บอก
“ชั้นก็ไม่อยาก แต่ครอบครัวนี้มาร้ายกับชั้นก่อน จะให้ชั้นยอมให้เค้ารังแกข้างเดียวแบบนี้หรือปีเตอร์”
คำพูดของมาดามพิณ ทำเอาปีเตอร์อึ้ง เทเรซ่ามองพ่ออย่างไม่สบายใจนัก
วันต่อมารถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ ทะเบียนจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ แล่นผ่านอนุสาวรีย์ มาจอดลงด้านหนึ่ง ภายในมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช
ฟ้ากระจ่างแต่งตัวเรียบร้อย สวมเชิ้ตสีอ่อน กางเกงยีนส์สีเข้ม รองเท้าผ้าใบขาวเก่าแต่สะอาด สวมถุงเท้า ทำหน้าที่คนขับ เปิดรถ พุ่งลงจอดแบบทำท่าบิดตัวบอกเป็นเชิงไม่ไหวแล้ว
“อาจารย์ฝากล็อครถ ฝากกุญแจด้วยนะครับ เดี๋ยวอาจารย์ไปแผนกไหน ชั้นไหนอะไรยังไงโทตามผมด้วยนะครับ ผมขอไปห้องน้ำก่อน เดี๋ยวผมตามไป” ฟ้ากระจ่างเริ่มออกวิ่ง
อาจารย์สมบัติตะโกนตามไป “ห้องพักอาจารย์ แผนกไอซีที. คณะนิเทศศาสตร์ ชั้นไหน ก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ใช่คนแถวนี้ เดี๋ยวนายถามเจ้าหน้าที่เค้าเองละกัน”
“คร้าบ” ฟ้ากระจ่างวิ่งสุดฝีเท้า เข้าไปภายในตึกใกล้ๆ
อาจารย์สมบัติกับอาจารย์พิทักษ์หัวเราะกันสนุก
“ก็รถกรุงเทพฯ มันติดนี่เนอะ จ้างมันล่อกาแฟเข้าไปหลายแก้วด้วย” อาจารย์พิทักษ์ว่าท่าทีขำๆ
เสร็จธุระจากห้องน้ำ ฟ้ากระจ่างสวมรองเท้าผ้าใบ เดินมาบนพื้นหินอ่อนของอาคารภายในมหา’ลัย พร้อมกับกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ เช็ดหน้าที่เพิ่งล้างมา เสร็จแล้วจึงพับผ้าเช็ดหน้าจนเรียบร้อยเก็บใส่เป๋ากางเกง พลางสอดส่ายสายตามองรอบๆ พอเห็นคนเยอะ นักศึกษาสาวๆ แยะ ก็มีอาการสำรวม ตัวลีบเล็กลงโดยอัตโนมัติ
ฟ้ากระจ่างเดินไป พยายามองหาเจ้าหน้าที่ หรือใครที่พอจะถามทางได้ ทว่าอาคารแห่งนั้นกว้างใหญ่นัก แล้วเวลานี้ ฟ้ากระจ่างดูจะหลงทาง ไม่มั่นใจ ทาทีเด๋อด๋า
ฟ้ากระจ่างหันไปเห็นมุมหนึ่ง เห็นเค้าน์เตอร์ ที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่ ก็ดีใจ รีบเดินเข้าไปหา
“ขอโทษครับ คือ..ผมจะไปที่ห้องพักอาจารย์ แผนกไอซีที. คณะนิเทศศาสตร์ ไม่ทราบว่าอยู่ชั้นไหนครับ” ฟ้ากระจ่างถาม
“คณะนิเทศฯ..ไม่ได้อยู่ตึกนี้ค่ะ” เจ้าหน้าที่บอก
“อ้าว..” ฟ้ากระจ่างจ๋อยไปเล็กน้อย ถามต่อ “แล้ว..อยู่ตึกไหนครับ”
“ออกประตูนั้นนะคะ แล้วจะเห็นตึกคณะนิเทศฯอยู่ทางซ้ายค่ะ” เจ้าหน้าที่บอก
“อ๋อ ครับๆ” ฟ้ากระจ่างงงๆ “มีป้ายบอกหน้าตึกเลยใช่ไหมครับ ว่าเป็นตึกคณะนิเทศฯ”
นักศึกษาหญิงคนหนึ่ง ที่กำลังจัดเอกสารใส่แฟ้มอยู่ที่เค้าน์เต้อร์บริเวณนั้น โดยมีเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งกำลังดูแลอยู่ ได้ยินที่ฟ้ากระจ่างพูด จึงหันมา ที่แท้เป็นดวงยิหวานั่นเอง
“จะไปคณะนิเทศฯหรือคะ” ดวงยิหวาถาม
“ครับ..ไปห้องพักอาจารย์ แผนกไอซีทีครับ” ฟ้ากระจ่างยิ้มๆ เด๋อๆ
“งั้นเดินไปด้วยกันก็ได้ค่ะ กำลังจะไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาที่นั่นเหมือนกัน” ดวงยิหวาว่า
ฟ้ากระจ่างรู้สึกดีใจ “หรือครับ..ขอบคุณครับพี่” รีบยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม
ดวงยิหวาตกใจ รีบรับไหว้แทบไม่ทัน “เอ่อ..ค่ะๆ ไม่เป็นไรค่ะ”
สองคนเดินมาด้วยกัน ดวงยิหวาเดินนำนิดๆ ฟ้ากระจ่างตามมา มองรอบๆ สนใจไปหมด
ดวงยิหวาหันมามองๆ รู้สึกถูกชะตา และมีเมตตาต่อฟ้ากระจ่าง จึงถามขึ้น
“อาจารย์ที่ปรึกษาน้องชื่ออะไรคะ”
“อ๋อ เปล่าครับ..ผมไม่ได้เรียนที่นี่ พี่เรียนคณะนิเทศฯหรือครับ”
“ค่ะ”
“นิเทศฯนี่..ที่จบไปเป็นนักข่าวทีวี..ใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ แต่ไม่ได้เรียนที่จะเป็นนักข่าว เรียนการผลิตรายการวิทยุและโทรทัศน์ค่ะ” ดวงยิหวาบอก
ฟ้ากระจ่างมองด้วยสายตาอย่างทึ่ง “ผลิตรายการ..คงเรียนยากนะครับ..พี่ต้องเก่งมากเลย”
“อุ๊ย ก็ยังไม่รู้อะไรมากหรอกค่ะ..เพิ่งลงได้เทอมที่2เอง ยังเป็นพวกวิชาพื้นฐานอยู่เลย
แล้วน้องล่ะคะ เรียนที่ไหน อยู่ปีไหนแล้ว”
ฟ้ากระจ่างยิ้มกว้างตามสไตล์ “ผมเรียนจบแล้วครับ เรียนสายอาชีพน่ะครับ เพิ่งจบปีก่อน”
ดวงยิหวาได้ฟังก็ตาโต เสียงดัง “จริงเหรอ..จบสายอาชีพมาเหมือนกัน” ชี้ที่ตัวเอง “ได้ปวส.มา จบปีที่แล้วเหมือนกัน”
“อ้าว..พี่เกิดปีอะไร ปีลิงหรือเปล่าครับ” ฟ้ากระจ่างถาม
ดวงยิหวากลั้นยิ้มก่อนบอก “ปีไก่ค่ะ”
“โอ๊ย..งั้นไม่ใช่พี่แล้ว เป็นน้องผมแล้ว..โธ่ อุตส่าห์ไหว้ซะสวยเลย” ฟ้ากระจ่างว่า
ดวงยิหวารีบไหว้ “งั้นเรารีบไหว้กลับ เดี๋ยวอายุสั้น”
ทั้งสองคนหัวเราะให้กัน ด้วยความรู้สึกทั้งเป็นมิตรและกันเอง
สองคนเดินเข้ามาในตึกด้วยกัน ด้วยท่าทางสดใส
“ต้องไปขึ้นลิฟท์ตรงนั้นค่ะ ห้องพักอาจารย์อยู่ชั้น 5” ดวงยิหวาบอก
ทั้งสองเดินไปด้วยกัน พอดีจังหวะนั้นโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าฟ้ากระจ่างดังขึ้น
ฟ้ากระจ่างดีใจ หยิบโทรศัพท์มาดูเบอร์ “ขอโทษนะครับ” กดรับสาย “ครับผม..อ้าว..หรือครับ ผมกำลังจะขึ้นลิฟท์ไปชั้น 5 ครับ..ครับๆ ได้ครับ” ฟ้ากระจ่างกดปิดการติดต่อ หันมาบอกดวงยิหวา “อาจารย์ผมโทร.มา คือ..อาจารย์ผมน่ะครับ ที่มีธุระมาหาเพื่อนที่เป็นอาจารย์อยู่ที่นี่ อาจารย์บอกว่าพวกอาจารย์อยู่กันที่ห้องประชุมข้างล่างนี่เอง..ผมไม่ต้องขึ้นไปแล้ว”
“อ๋อ..ค่ะ...” ดวงยิหวาว่า
“ขอบคุณมากนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
พอดีลิฟท์มาถึง และประตูลิฟท์เปิดออก
“งั้น..ไปก่อนนะคะ โชคดีนะคะ..พี่” ดวงยิหวายิ้มล้อๆ แล้วไหว้ลา
ฟ้ากระจ่างรีบรับไหว้ “ขอบคุณครับ โชคดีเหมือนกันนะ ..น้อง”
ดวงยิหวาเข้าลิฟท์ไป ฟ้ากระจ่างโบกมือให้แบบขำๆ ในอาการร่าเริง ลิฟท์เลื่อนปิดประตู ทั้งสองส่งยิ้มให้กันจนวินาทีสุดท้ายที่ลิฟท์ปิดสนิท นั่นเอง ฟ้ากระจ่างจึงค่อยได้สติ นึกออกว่าลืมบางอย่าง
“อ้าว..ยังไม่ได้ถามชื่อเลย..เบอร์โทร.ก็ไม่ได้ขอ..ว้า…”
ฟ้ากระจ่างเซ็ง นึกอยากเขกหัวตัวเอง
เครื่องบินของสายการบินโลว์คอสท์แลนดิ้งลงจอดในสนามบินภูเก็ตอย่างเรียบร้อยและปลอดภัย ดวงยิหวาเดินลากกระเป๋าเดินทางไซส์เล็กที่มีล้อออกมาภายนอก หญิงสาวสวมแว่นดำ กวาดสายตามองหาคนมารับ แต่ไม่เห็นใครที่รู้จัก ดวงยิหวาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจะกดโทร. พอดีเงยขึ้น แล้วต้องชะงัก เกียรติบดินทร์ยืนยิ้มเก๊กหล่อตามเคย
“คุณดิน” ดวงยิหวาประหลาดใจ
“นายเด่นไม่ว่าง ให้ผมมารับคุณแทน” เกียรติบดินทร์บอก
“ไม่มีทางหรอก” ดวงยิหวาไม่เชื่อ
เกียรติบดินทร์หัวเราะกลบเกลื่อนที่ถูกจับไต๋ได้
“อ่า สารภาพก็ได้ นายเด่นให้เด็กของบ้านคุณ..ชื่ออะไรไม่รู้ ผมจำไม่ได้ รู้สึกจะอะไรทองๆ เนี่ย…”
“ทองเหลือบ” ดวงยิหวาพูดสวนออกมา
“อือ..ชื่อประหลาดๆ นี่แหละ ให้มารับคุณ ผมเลยไปติดสินบนมัน บอกว่ามันไม่ต้องมา ผมมาเอง เชิญ...” เกียรติบดินทร์ผายมือให้ดวงยิหวา
รถสปอร์ตคันงามของเกียรติบดินทร์จอดเทียบในที่ห้ามจอด เป็นการโชว์พาวว่าตัวเองเจ๋งสุดๆ
“เก๋เนอะ..รถแพง จอดในที่ห้ามรถทั่วไปจอดได้ อภิสิทธิ์น่าดู” ดวงยิหวากัด
เกียรติบดินทร์ไม่รู้สึกรู้สา มองกวนๆ “ก็งี้แหละ เป็นแฟนผม..คุณจะรักทั้งนามสกุล รักยี่ห้อรถยนต์ รักที่ผมไม่จน..มีมีสตางค์ให้จ่าย”
“ชั้นไม่นั่งรถคันนั้นไปกับคุณให้คนมองกันทั้งเมืองหรอกนะ ชั้นอายเค้า” ดวงยิหวาเดินลากกระเป๋าผ่านหน้าไป เกียรติบดินทร์วิ่งตาม ดักหน้าดักหลัง
“ดวงยิหวา คุณทำแบบนี้เพื่อเรียกร้องความสนใจให้ผมเอาชนะเหรอ คุณอยากจะเป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนใครในจังหวัดนี้..เพื่อปั่นหัวผม..นึกว่าผมไม่รู้จักเกมนี้หรือไง”
“คุณดิน คุณมันประสาท น้ำเน่า เพ้อเจ้อ” ดวงยิหวาว่า
มาดามพิณ นพชัย ชิงชัยเดินออกมาจากอีกทาง ทั้งสามคนเพิ่งกลับจากสิงคโปร์พอเห็นเกียรติบดินทร์ต่างชะงัก
“ลูกไอ้นายหัวนี่..พ่อ” ชิงชัยบอกผู้เป็นพ่อ
“ไอ้เด็กนรก!” ความแค้นแน่นจุกอก นพชัยรีบวางกระเป๋าเดินทางขนาดกลางในมือลง
“นพชัย อย่า…” มาดามพิณร้องห้ามสามี
นพชัยไม่สน ปราดเข้าไปหา
“ไอ้ดิน!”
เสียงนพชัยเรียก เกียรติบดินทร์หันมา
นพชัยตบเพี๊ยะ “มึงนึกว่ามึงเจ๋งนักเหรอ”
เกียรติบดินทร์ไม่ทันตั้งตัว หัวเกือบทิ่ม
ดวงยิหวากรี๊ดลั่น
“ว๊าย”
นพชัยกระชากคอเกียรติบดินทร์มา “มึงเกือบทำให้กูตายวันนั้น มึงคิดว่ามึงเป็นลูกนายหัวบัญชาแล้วจะทำอะไรกะใครก็ได้เหรอ” นพชัยชกสุดแรงอีกหนึ่งตูม
เกียรติบดินทร์กระเด็น ล้มลงก้นจ้ำเบ้า
“ไอ้สารเลว! พ่อแม่ไม่สั่งสอน!” นพชัยปราดเข้าไปเตะๆๆ เกียรติบดินทร์
เกียรติบดินทร์กำลังจะโงหัวขึ้น นพชัยเตะตัดเข้าลำตัว
“นี่แน่ะ! ไอ้ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม นี่! นี่! กูจะสั่งสอนมึงเอง” นพชัยกระทืบซ้ำอยู่อย่างนั้น
ผู้คนต่างตกใจ ดูกัน อย่างตะลึง
รปภ.วิ่งเข้ามา เป่านกหวีดปรี๊ดระงับเหตุการณ์
มาดามพิณเพิ่งได้สติ วิ่งเข้ามาดึงนพชัยออก “พอแล้วๆ นพชัย หยุดค่ะ หยุดๆๆ”
เกียรติบดินทร์กองอยู่กับพื้น อยู่ในอาการมึน ได้แต่มอง จ้องหน้า ชี้มือไปมา
เกียรติบดินทร์เลือดกบปาก “ไอ้แก่..มึง..มึงตายแน่..
“มึงนั่นแหละ ที่จะตาย ไอ้เลวเอ๊ย!” ชิงชัยบอกอย่างมีอารมณ์
“ชิงชัย หยุด..มานี่..ไป..รีบไปเดี๋ยวนี้” มาดามพิณแหวใส่ลูกชาย แล้วลากลูกกับสามีแหวกคนออกไป
ดวงยิหวาเข้ามาประคองเกียรติบดินทร์ ที่ตัวงอ พยายามจะลุก แต่ทรุดลงไปกอง เหมือนอาการเจ็บเริ่มออกฤทธิ์
“คุณดินๆ..โธ่...” ดวงยิหวาเงยมา บอกรปภ. “ช่วยด้วยค่ะ..ช่วยเรียกรถพยาบาลให้ด้วย”
“ครับๆ รถพยาบาลครับ” รปภ.หยิบว.ออกมาพูดส่งภาษาด้วยรหัสสื่อสารแบบภาษาว.น้ำเสียงตื่นเต้นๆ
“คุณดิน..ทำไงดีเนี่ย” ดวงยิหวาตกใจหนักจนจะร้องไห้ หยิบโทรศัพท์มากดโทร.ออก “พ่อ..พ่อจ๋า..คุณดินมีเรื่อง ที่สนามบินพ่อ...”
ผู้คนเริ่มเข้ามามุงดูมากขึ้นๆ เกียรติบดินทร์อาการเริ่มทรุดหนัก ชายหนุ่มขดตัวหงิกงอกัดฟันพยายามอดทน
อ่านต่อตอนที่ 5 พรุ่งนี้