เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 10
พรปะชุนแหที่ขาดอยู่มุมหนึ่ง ขณะที่ศรีไพร สดและแสนกำลังช่วยกันตากปลาเพื่อเก็บไว้เป็นอาหาร เนื้อตัวของศรีไพรและแสน เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน
“คนบ้านนาก็เลยแบ่งกันเป็นพรรคเป็นพวก ฝ่ายหนึ่งไปเข้ากับเศรษฐีบุญช่วย อีกฝ่ายเข้ากับพวกเรา แม่ไม่อยากเห็นคนบ้านนาแตกความสามัคคียังงี้เลยนะ ศรีไพร” สดบอกอย่างไม่สบายใจ
ศรีไพรถอนใจ
“จะทำยังไงได้ล่ะแม่ ตอนนี้ไม่มีใครยอมฟังอะไร อย่างที่หลวงตาฉุนท่านเคยเตือน คางคกน่ะ...ยางไม่ตกเมื่อไหร่ไม่รู้สึกหรอก ต้องรอให้ยางตก คางคกมันถึงจะได้คิด”
ศรีแพรออกมาจากเรือน
“แม่...น้ำมันหมด ให้ไอ้แสนมันไปซื้อน้ำมันที่ร้านเจ๊กตงให้หน่อย”
“ไอ้แสน ไอ้ซื้อน้ำมันพืชมาให้พี่เอ็งทอดปลาหน่อยไป๊” สดส่งเงินให้ “เอ้า...นี่...เงิน”
“จ้ะ...แม่”
แสนรับเงินแล้ววิ่งออกไป
“แล้วอย่าไปลุ้นหมากรุกจนลืมกลับบ้านล่ะ ไอ้แสน” ศรีไพรตะโกนตามไป
+ + + + + + + + + + + +
เนี้ยวกระฟัดกระเฟียด ทำงานในร้านอย่างกระแทกกระทั้น เพราะโกรธที่เจ๊กตงเข้าข้างเศรษฐีบุญช่วย คิดถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตน
“เฮ้ย อาม่วยเนี้ยว เบาๆเดี๋ยวถ้วยโถโอชามจากเมืองจีนของเตี่ยแตก ลื้อเป็นอะไรวะ พอไอ้พวกนั้นยกพวกกลับตามหลังมหาเฉื่อย ลื้อก็เอาแต่กระแทกโน่นกระแทกนี่”
“ตอนนี้จีนเศรษฐกิจดี เตี่ยน่าจะอพยพกลับเมืองจีน ไม่น่าอยู่ให้รกบ้านนาเลย”
เจ๊กตงสะดุ้ง
“อาม่วยเนี้ยว ทำไมลื้อพูดกับเตี่ยของลื้อยังงี้ ลื้ออยากจะเป็นลูกเนรคุณเตี่ย ใช่มั้ย”
สุมิตราร้องเพลงมาแต่ไกล เจ๊กตงส่ายหน้าเบื่อหน่าย
“มาอีกแล้วไอ้แขก มาทำไมวะ อั๊วกำลังอบรมสั่งสอนดอกท้อของอั๊ว”
“อีนี้ฉานนมัสเตอีกครั้งจ้ะ เจ๊กตงจ๋า อีนี้มีปัญหาค่อยพูดจากันดีกว่า คนบ้านนาพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว พ่อกับลูกยังพูดกันไม่เข้าใจอีก ที่อินตะละเดียมีทั้งพุทธทั้งฮินดูทั้งลัทธิเชน แต่เราก็อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจ้ะ”
“เห็นมั้ยเตี่ย คนต่างศาสนาเขายังอยู่ร่วมกันได้เลย แล้วทำไมคนต่างความคิดจะอยู่ร่วมกันไม่ได้”
สุมิตราส่งยิ้มหวานให้เนี้ยว
“อีนี้เป็นต้นว่า...แขกกับจีน...คืออาม่วยเนี้ยวกับสุมิตรามายัน...”
เจ๊กตงโกรธ
“ไอ้แขก หนอยแน่ะ...นี่เอ็งจีบลูกสาวข้าใช่มั้ย ออกไปจากร้านของข้าเดี๋ยวนี้ ไม่ยังงั้นข้าจะฟาดเอ็งด้วยไม้กวาดอันนี้แหละ”
เจ๊กตงเงื้อไม้กวาด สุมิตรถอยหนี
“อีนี้ฉาน...”
ขณะเดียวกันนั้น แสนเข้ามาซื้อน้ำมันพืช
“พี่ม่วยเนี้ยว เอาน้ำมันพืชมาขวดนึง”
เจ๊กตงหันไปจ้องหน้าแสน
“ไม่ขายโว้ย ร้านของข้าเจ๊กตง ประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์กับพวกเอ็ง ในฐานะที่ข้าอยู่ฝ่ายท่านเศรษฐีบุญช่วย”
สุมิตรชะงักฟัง ด้วยความสนใจ เนี้ยวมองเตี่ยไม่พอใจนัก
“เตี่ย...เตี่ยทำยังงี้ไม่ได้นะ”
“ทำไมจะม่ายล่าย กลับไปบอกไอ้ศรีไพรกับตาพร อั๊วไม่ขายสินค้าให้พวกลื้อเด็ดขาด” เจ๊กตงมองแสนด้วยแววตาเย้ยหยัน “คำสั่งท่านเศรษฐี”
ศรีไพรย่างปลาเค็ม ขณะที่พร สด ศรีแพรและแสนต่างสะเทือนใจ กับท่าทีรังเกียจของเจ๊กตง
“แล้วมันยากตรงไหน ไม่ขายก็ไม่เห็นจะง้อ ปู่ย่าตายายเราเคยมีน้ำมันไว้ทอดปลาเค็มที่ไหนกัน ก็ใช้ไฟย่างทั้งนั้นแหละ” ศรีไพรหันไปมองเห็นทุกคนหน้าสลด “พ่อ แม่ พี่ศรีแพร ทำไมทำหน้ายังงั้นล่ะ”
“เสียแรงพ่อเคยช่วยไอ้เจ๊กตงปลูกร้านค้า ตอนที่มันอุ้มลูกเข้ามาอยู่ในบ้านนา เงินมันทำให้ไอ้เจ๊กตงลืมหมด” พรพูดอย่างรนทดใจ
สดถอนใจ
“กว่านังม่วยเนี้ยวจะโต ก็แม่นี่แหละที่เทียวไปให้นม ไปช่วยกวาดยา ไปดูแลตอนที่มันเจ็บป่วย ไม่น่าเลย”
“เจ๊กตงไปเข้าพวกกับเศรษฐีบุญช่วย เพราะชาวนาส่วนใหญ่ไปเป็นหนี้ที่นั่น มันประกาศตัวรวมกำลังชาวบ้านบีบเรา” พรหนักใจ
“พ่อ แล้วถ้าไม่มีใครให้ความร่วมมือกับเราเลยล่ะ ถึงจะปลูกผักปลูกข้าวกินเองได้ ก็ใช่จะมีปัจจัยครบ หยูกยาเราต้องซื้อจากร้านเจ๊กตง น้ำมันตะเกียงอีกล่ะ” ศรีแพรเสียงอ่อย
ขณะเดียวกันนั้น สุมิตรส่งเสียงมาแต่ไกล สั่นกระดิ่งจักรยาน ปากร้องโฆษณาสินค้า
“อีนี้นมัสเตท่านผู้มีอุปการะคุณชาวบ้านนา อีนี่เป็นเสียงจากกองประชาสัมพันธ์ ศูนย์การค้าเคลื่อนที่จ้ะ สินค้าอาหารเครื่องดื่มน้ำมันพืช อีนี้มีตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ พร้อมโครงการจัดสรร บ้านพักชายทะเลและเครื่องใช้ไฟฟ้า อีนี้สนใจเรียกได้จ้ะ...”
จักรยานของสุมิตรผ่านหน้าบ้านของพร ทุกคนมองตาม ศรีไพรดีดนิ้ว ทำเสียงเหมือนแขกอินเดีย
“อีนี้ฉานนึกออกแล้ว ว่าจะแก้ลำเศรษฐีบุญช่วยยังงายนายจ๋า...”
วันต่อมา ทวนและเมิน ช่วยกันขุดหลุมฝังศพ อันเป็นกิจกรรมของสัปเหร่อ ทอกและหมอกช่วยอยู่ข้างบน
“เฮ้ย ลึกแค่นี้พอหรือยังวะ ไอ้ทอก นี่มันหน้าที่สัปเหร่อนะโว้ย ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเรา” ทวนตะโกนถามมาจากก้นหลุม
หมอกมองลงมาที่ทวนกับเมิน
“ก็สัปเหร่อไม่อยู่ หลวงตาท่านเลยใช้พวกเรามาขุดหลุมฝังผี ตาเอิบก็จะมาตายทำไมตอนสัปเหร่อไม่อยู่วะ”
“ที่จริงแกก็ไม่อยากตายหรอก แต่แกคงอยู่รอสัปเหร่อกลับไม่ไหวน่ะ โอย เหนื่อยว่ะ คอแห้งๆ ยังงี้น้ำมะเน็ดสักขวด...” เมินพูดออกมาอย่างกระหาย
สุมิตรแล่นถลาเข้ามาส่งขวดน้ำอัดลมให้เมิน
“อีนี้แขกบริการถึงที่ น้ำมะนาวเย็นเจี๊ยบ แก้คอแห้งจ้ะนายจ๋า”
ทอกมองสุมิตรอย่างแปลกใจ
“ไอ้แขก เดี๋ยวนี้มีบริการคาเฟ่เคลื่อนที่ด้วยหรือวะ กาแฟสดมีมั้ย”
สุมิตรหยิบออกมา
“อีนี้กาแฟสดจ้ะ”
ทวนอึ้งไปลองสั่งบ้าง
“แล้วโอยั๊วล่ะบัง”
สุมิตรหยิบออกมา
“อีนี้โอยั๊วของอาทวน” สมิตรส่งโอยั๊วให้ทวนแล้วหันไปถามหมอก “ส่วนของลื้ออาหมอก...”
หมอกคิดๆ
“เอ...เอาอะไรไอ้ที่ไอ้แขกมันไม่มี อ้า...เอา...เอาคาปูชิโน่”
สุมิตรยิ้มแย้มหยับออกมา
“อีนี้คาปูชิโน่ รวมทั้งสิ้นเป็นเงินสองร้อยสิบบาทจ้ะนายจ๋า อีนี้ไม่ต้องทิปจ้ะ บวกค่าบริการ กับค่าภาษีมูลค่าเพิ่มไว้เรียบร้อยแล้วจ้ะ แถมมีบิลล์ให้ ไว้ดูต่างหน้าอีกจ้ะนายจ๋า”
ทวน เมิน ทอกและหมอกหันมาสบสายตากัน
“แม่โว้ย มีบริการถึงที่ซ้ำบริการครบวงจรยังงี้” ทวนขมวดคิ้ว “ความคิดใครวะ”
ศรีไพรกำลังเลือกถอนวัชพืช ออกจากแปลงข้าว โดยมีทวนช่วยอยู่ใกล้ๆ ท่าทีศรีไพรยังคงมึนตึงกับทวน แต่ก็ยอมตอบคำถาม
“ความคิดฉันเอง บ้านนาควรจะมีระบบเศรษฐกิจเสรีที่ไม่ขึ้นอยู่กับใครฝ่ายเดียว เจ๊กตงถือว่าเป็นร้านค้าร้านเดียวในหมู่บ้าน กำหนดราคาสินค้ายังไงก็ได้ ทำธุรกิจแบบเห็นแก่ได้โดยไม่แยแสเรื่องคุณภาพชีวิตหรือบริการ”
“นี่ศรีไพรกำลังทำการแก้แค้นเศรษฐีบุญช่วยใช่มั้ย”
“กำลังทำให้การค้ามันมีเสรีไม่ผูกขาด เจ๊กตงอยากจะขายให้ใครก็ขาย แขกสุมิตราจะค้าขายกับใครก็เป็นสิทธิ์ของแขกสุมิตรา คนซื้อก็สิทธิ์จะเลือกซื้อสินค้าที่ตัวเองพอใจ ไม่ใช่...จำยอมต้องซื้อเพราะเป็นพวกเดียวกัน”
ศรีแพรบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนทวนอึ้งไป
เจ๊กตงทุบโต๊ะปังด้วยความโกรธ หมากรุกกระเด็นกระดอน พูดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะมีคู่แข่งทางการค้า
“ทำยังงี้มันหยามหน้าเจ๊กตงนี่หว่า ไอ้แขกสุมิตราตั้งศูนย์การค้าเคลื่อนที่ แถมยังมีบริการครบวงจร เจ๊กตงตายแหง๋ๆ”
“อั๊วบอกเตี่ยแล้วใช่มั้ย เราคนค้าขาย เราต้องเป็นกลาง” เนี้ยวบอก
มหาเฉื่อยยิ้มพอใจ
“ใช่...มีคู่แข่งยังงี้มันก็ดีว่ะ ทำให้คนบ้านนามีทางเลือกใหม่ๆ”
“ใช่...ความคิดของศรีไพรเข้าท่านะ เจ๊กตงไม่ขายให้คนที่ไม่ใช่พวกของเศรษฐีบุญช่วย เขาก็ไปซื้อของแขก ไม่มีใครเดือดร้อนใคร” เมินออกความเห็น
“อั๊วเดือดร้อนโว้ย” เจ๊กตงโวย
ทอกมองหน้าเจ๊กตง
“เดือดร้อนยังไงวะ เจ๊กตง คนที่คิดเหมือนเศรษฐีบุญช่วยก็มาซื้อที่นี่ คนที่คิดต่างกันก็ไปซื้อไอ้แขก”
“มีทั้งกาแฟสด คาปูชิโน น้ำมะเน็ด โอยั๊ว มีมากกว่าที่เจ๊กตงมี” หมอกพูดเย้ยๆ
เนี้ยวมองเจ๊กตงเหมือนจะสมน้ำหน้า
“เตี่ย ไงล่ะ”
“อั๊วยอมไม่ได้” เจ๊กตงพูดอย่างเคียดแค้น
“อั๊วจะไปฟ้องเศรษฐีบุญช่วย”
เมื่อชิงชัยรู้ว่า ศรีไพรวางแผนซ้อนแผนบุญช่วย จึงส่งหลินกับเลิศไปคุ้มกันร้านเต๊กตง เพื่อบังคับให้ชาวบ้านมาซื้อของที่นี่ที่เดียว
เวลาต่อมาที่ร้านเจ๊กตง หลิมและเลิศนั่งวางท่ากร่าง มีปืนยาววางอยู่ข้างตัว กวาดสายตาเข้มๆ มองไปยังกลุ่มของมหาเฉื่อย ทอก และหมอกที่นั่งเล่นหมากรุกอยู่ เจ๊กตงยิ้มกริ่ม ท่าทีหยิ่งทะนง ขณะที่เนี้ยวชงกาแฟอยู่หลังหม้อกาแฟด้วยท่าทีหวั่นๆ
เจ๊กตงเดินเข้าไปที่กลุ่มของมหาเฉื่อย
“นี่ พวกลื้อมานั่งตั้งแต่เช้า ไม่มีใครสั่งอะไรเลยแม้แต่ข้าวแฝ่ จะนั่งอีกนานมั้ย”
“นั่งจนหมากหมดกระดานว่ะ” มหาเฉื่อยหันไปหาทอกกับหมอก “เฮ้ย ใครคอแห้งบ้างวะ”
“ฉันต้องกาแฟสด” ทอกบอก
“ฉันเอาคาปูชิโน่ ของท่านมหาเฉื่อยล่ะ” หมอกถาม
“ข้าต้องโอยั๊วโว้ย ชายสูงอายุ อยู่ในศีลในธรรมอย่างข้า” มหาเฉื่อยมองไปยังเนี้ยว “มันต้องยั๊วๆ ขาวๆ หน่อย”
ทันใดนั้น สุมิตรส่งเสียงมาแต่ไกล
“อีนี้แขกมาแล้วจ้ะ อีนี่นมัสเตท่านมหาเฉื่อย ท่านทอก ท่านหมอก อีนี้กาแฟสดของท่านทอก คาปูชีโน่ของท่านหมอก ส่วนโอยั๊วนี่ของท่านมหาเฉื่อยจ้ะ”
เจ๊กตงโกรธลมออกหู
“ไอ้แขก นี่มันร้านของข้านะโว้ย ร้านข้ามีผู้คุ้มกัน เพราะฉะนั้นเอ็งจะเข้ามาขายในร้านของข้าไม่ได้”
มหาเฉื่อยงงๆ
“อ้าว เพราะอะไรวะ ทำไมถึงขายไม่ได้”
หลิมกับ เลิศลุกขึ้นยืน เดินกางข้อเข้ามา
“เพราะว่าร้านนี้ อยู่ในความคุ้มครองของท่านเศรษฐีบุญช่วย ใครจะซื้ออะไร ต้องซื้อที่นี่โว้ย ไม่ซื้อไม่ได้” หลิมสั่งเสียงแข็ง
“ทำไมไม่ได้วะ” หมอกถามกวนๆ
“ก็เพราะไม่ได้ ไม่ให้ซื้อ ต้องซื้อของเจ๊กตงเท่านั้น จะซื้อหรือไม่ซื้อ...”
เลิศยกปืนขู่ สุมิตรหน้าเสีย
“อีนี้ฉานทำมาหาเงินสุจริตจ้ะ”
“สุจริตก็ไม่ได้โว้ยคนละพวก เอ็งยังไม่เห็นศักดาเดช...” หลิมตะคอก
เลิศส่ายหน้าเซ็งที่หลิมพูดผิด
“เขาเรียกว่าศักยภาพ เอ็งยังไม่เห็นศักยภาพของท่านเศรษฐีใช่มั้ย ได้ เอ็งจะได้เห็นนะบัดเดี๋ยวนี้ พังร้านเลยเว้ย ไอ้หลิม”
“พังร้าน...”
หลิมกับเลิศเข้าชกต่อยกับพวกของทอก หมอกและสุมิตร ร้านของเจ๊กตงพังยับข้าวของเสียหายระเนระนาด เจ๊กตงและเนี้ยวผวาเข้ากอดกันแน่นด้วยความหวั่นกลัว
“ไอ้หย๋า พังร้าน ร้านพัง ร้านอั๊ว...ร้านอั๊วพังหมดแล้ว”
เนี้ยวตกใจ
“ทำไงดีล่ะเตี่ย ร้านพัง”
ข้าวของในร้านเจ๊กตงถูกทุบทำลายปลิวว่อนอยู่ในอากาศ
วันต่อมา ศรีแพรย่างปลาอยู่บนเตาฟืน ศรีไพรและแสนกำลังขนขี้ควาย เพื่อนำไปหมักเป็นเชื้อเพลิงอยู่อีกมุมหนึ่ง ศรีไพรชะงักเพราะเห็นทวนกับเมินแอบอยู่หลังพุ่มไม้ เลยแกล้งพูด
“ได้กลิ่นอะไรมั้ยวะ แสน”
“กลิ่นปลาย่างบนเตาไฟละมั้ง ไม่มีน้ำมันพี่ศรีแพรเลยใช้วิธีย่าง หอมจนเรียกน้ำลายไหลเลยนะพี่”
ทวนกับเมินรีบโผล่หน้าออกมาอย่างรู้ทันว่าศรีไพรจะว่าเขาเป็นหมา
“คน ไม่ใช่หมา” ทวนพูดขึ้น
“ใช่ แต่เป็นแมวจมูกดี ตามกลิ่นปลาย่างมาถึงที่” เมินยิ้มหวานเยิ้มให้ศรีแพร “ศรีแพรจ๋า...ทำอะไรจ๊ะ”
ศรีแพรยิ้มหวานตอบ
“พี่เมิน พี่ทวน เข้ามาก่อนซีจ๊ะ พ่อกับแม่ไม่อยู่หรอก เข้ามาเถอะ”
เมินกับทวน รีบแข่งกันเข้ามาหาศรีแพร ศรีไพรเข้าขวาง
“อย่าเข้ามานะ หยุดอยู่ตรงนั้น อนุญาตให้ใช้จมูกดมกลิ่นได้ แต่ดมกลิ่นปลาย่างเท่านั้นนะ ห้ามดมกลิ่นพี่สาวฉัน”
ศรีแพรถอนใจ
“ศรีไพร เอ็งจะใจร้ายกับพี่เมินพี่ทวนไปถึงไหนนะ เขาช่วยทำนา ให้เขากินข้าวสักมื้อไม่ได้หรือยังไง ไม่มีอะไรกินหรอกจ้ะพี่ทวนพี่เมิน มีแต่ปลาย่างกับน้ำพริกเผา”
“พี่ชอบจ้ะ อยู่วัดฉัน...เอ๊ย กินแต่ข้าวกับไข่พะโล้ พระ...เอ๊ย ลูกศิษย์วัดเบื่อจ้ะ” ทวนบอกอย่างขำๆ
เมิน ส่งสายตาหยาดเยิ้มให้ศรีแพร
“คิดถึงน้ำพริกเผา ฝีมือแม่ศรีแพรที่นาแล้ว เอาไก่ตอนมาแลกเป็นตัวๆ พี่ก็ไม่ยอมจ้ะ”
ศรีแพรยิ้มเขิน
“งั้นเดี๋ยวฉันจะจัดสำรับให้พี่เลยนะ”
“เดี๋ยวก่อน...ก่อนจะกินข้าวต้องทำงานก่อน” ศรีไพรขัดขึ้น
ทวนมองศรีไพรงงๆ
“งานอะไรอีกล่ะ ตอนนี้ข้าวท่านใช้เวลาโต กว่าจะฉีดสารสะเดาอีกทีกว่าจะเกี่ยว โน่น อีกหลายเดือน”
“กินก่อนแล้วทำงานใช้ทีหลังได้มั้ย” เมินแย้ง
ศรีไพรจ้องหน้า
“ไม่ได้ ต้องทำก่อน กินทีหลัง”
ศรีแพรมองน้องสาวอย่างเหนื่อยใจ
“ศรีไพรจะให้พี่ทวนกับพี่เมินเขาทำอะไร”
“ขนขี้ควาย” ศรีไพรยิ้มเยาะหยัน
ทวนและเมินขนขี้ควายเละๆ ในคอกของไฉไลเฉิด ไปรวมกันไว้เพื่อหมักทำเชื้อเพลิงในถังใหญ่ที่ฝังอยู่ใต้ผืนดิน เนื้อตัวทั้งสองเปรอะเปื้อนไปด้วยขี้ควาย
“ขนขี้ควาย แต่งตัวมาซะหล่อ ใส่น้ำหอมมาฟุ้ง หนอย...ใช้ให้ขนขี้ควาย” ทวนบ่นอุบ
เมินส่ายหน้าเซ็งสุดๆ
“ฉันไม่น่าตามแกมาเล้ย ไอ้ทวน ตามไอ้ทอกกับไอ้หมอก ไปนั่งเล่นหมากรุกกับมหาเฉื่อยที่ร้านเจ๊กตงดีกว่า”
“ใครจะไปรู้ว่ายายมู่ทู่อยู่ ก็ไอ้ทอกมันบอกว่าคุณพ่อกับคุณแม่ไปวัด ข้าก็คิดจะวัด...”
ทวนยังพูดไม่จบเมินขัดขึ้นทันที
“วัดสัดส่วนของใคร คงไม่ใช่ศรีแพรของฉันนะ”
“ศรีแพรของแกเมื่อไหร่กัน ของฉันต่างหากล่ะ”
ศรีไพรมองสองหนุ่มอย่างไม่พอใจ
“เอ้า มัวแต่เถียงกันแล้วเมื่อไหร่จะเสร็จ ขนขี้ควายนี่ไปใส่ในหลุม ขี้ควายที่ใช้ทำเชื้อเพลิงต้องใหม่ๆ สดๆ ขี้ควายที่ใช้จนหมดเชื้อ เอาไปทำปุ๋ยหมัก”
ทวนแกล้งประชดควาย
“แหม ไฉไลเฉิด ตัวเองนี่แม้แต่ขี้ยังเอาไปใช้ประโชน์ได้นะ”
“มอๆๆๆ” ควายร้องขึ้น
ศรีไพรเข้าไปลูบตัวควาย
“เห็นมั้ยว่าควายมีประโยชน์แค่ไหน ใช้ไถ ใช้ย่ำ ใช้นวด แล้วยังให้มูลไว้ทำเชื้อเพลิง หมดเชื้อแล้วเอาไปทำปุ๋ยใส่ต้นไม้ ต้นไม้โตออกลูกออกผลให้คนกินอีก ควายจ๋า...ควายน่ารักจริ๊ง”
“มอๆๆ”ควายร้องรับ
ศรีไพรจูบไฉไลเฉิดด้วยความรัก ทวนและเมินมองกิริยาน่ารักของศรีไพร ก่อนหันมาสบสายตากันและกัน
ทวนและเมินเดินย่ำเลนลงมาล้างเนื้อล้างตัว ล้างคราบขี้ควายออกจากตัว เมินมองไปยังทวน
“แกเห็นอะไรมั้ย”
ทวนทำราวกับไม่รับรู้
“อะไรวะ”
“ฉันรู้นะ...ว่าแกก็เห็นอย่างที่ฉันเห็น ความน่ารักของศรีไพรยังไงล่ะ ถึงจะมอมแมมไปหน่อย แต่ลึกๆ ศรีไพรเป็นผู้หญิงทีมีความคิดดี ยอมรับเสียเถอะว่าแกเองก็หวั่นไหวไปกับเหตุบังเอิญ”
“แก รู้ได้ยังไงวะ”
“ฉันเห็นแกนอนพลิกไปพลิกมา ถอนหายใจเฮือกๆ ไม่หลับ แกคิดถึงจูบนั่น ใช่มั้ยล่ะ”
ทวนเผลอตัวยกมือขึ้นแตะที่จมูก
“เฮ้ย ไม่...”
เมินชี้หน้า
“อย่าโกหก”
“ฉันพูดความจริงโว้ย ผู้ชายมั่นคง...รูปหล่อ...นิสัยดี...มีเวลาให้เพียบ...อย่างฉันรักศรีแพรคนเดียวเท่านั้น อย่า...อย่าชักใบให้เรือเขว ฉันไม่มีวันหลงกลแกหรอก ฉันจะไปกินข้าวน้ำพริกเผา กับปลาย่างฝีมือศรีแพร”
ทวนรีบวิ่งออกก่อนนำหน้าไป เมินรีบวิ่งตาม
“ไอ้ทวน แก...”
ทั้งสองวิ่งแข่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้
พุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 10 (ต่อ)
หลิมกับเลิศนั่งกินเหล้ากันอยู่สองคน ท่ามกลางข้าวของที่พังพินาศในร้านเจ๊กตง เนี้ยวร้องไห้โฮ
“เตี่ย...ไงล่ะ มีผู้คุ้มครองแล้วมันเป็นยังไง พังไม่มีเหลือเลย”
“มองโลกในแง่ดีไว้ ดอกท้อของเตี่ย พรุ่งนี้ไอ้พวกที่ทำตัวเป็นคู่แข่ง มันจะได้ไม่มาแข่งกับร้านของเรา” เจ๊กตงปลอบ
“เฮ้ย เอาเหล้ามาอีกขวดนึงโว้ย เจ๊กตง ออกแรงมากข้าคอแห้งว่ะ” หลิมตะโกนสั่ง
“แต่เหล้านี่ ขวดละ...”
เจ๊กตงยังไม่ทันบอกราคาเลิศขัดขึ้นทันที
“ขวดละเท่าไหร่ไม่สน มีผู้คุ้มครองลื้อน่าจะขอบใจอั๊วนะ อั๊วกับไอ้หลิมอุตส่าห์ทำตัวเป็นผู้คุ้มครองลื้อ ลื้อต้องเลี้ยงอั๊วไม่อั้น ไป...เอาเหล้ามา”
เจ๊กตงจำต้องยกเหล้ามาให้ด้วยความเสียดาย
“เอ้อ แล้ว...แล้วข้าวของที่พังนี่ คิดค่าสึกหรอกับใคร”
หลิมโบกมือ
“ไม่ต้องคิด พังก็ไปซื้อมาขายใหม่ ไม่เห็นจะต้องคิดให้ยากเลย เอาโว้ย กินเหล้า ม่วยเนี้ยว ไปทำกับแกล้มมา ไม่ยังงั้น...”
หลิมยังพูดไม่จบเลิศพูดต่อทันที
“อั๊วจะใช้แก้มของลื้อเป็น...กับ”
เลิศจับแก้ม เนี้ยวสะบัด ถอยห่างด้วยความหวั่นกลัว เจ๊กตงหน้าตาเหมือนจะร้องไห้
“นี่อั๊วคิดผิดหรือคิดถูกวะ ที่ริอ่านมีผู้คุ้มครอง”
+ + + + + + + + + + + +
ศรีแพรยกสำรับกับข้าว มีปลาย่าง ปลาเค็ม น้ำพริกเผา กับผักต้มที่ล้วนเป็นผักหญ้าที่หาได้ ปลูกเองใน ครัวเรือน ทวนและเมิน นั่งรอสำรับอาหารโดยมีศรีไพร นั่งขัดสมาธิอยู่ด้วยนัยน์ตาขุ่นขวาง แสนยกหม้อดินหุงข้าวมาตั้งใกล้ๆวง เมินยิ้มดีใจ
“มาแล้ว ได้กลิ่นมาแต่ไกลเชียว พี่บอกจะเข้าไปช่วยยกสำรับ ศรีแพรก็บอกว่าไม่ต้อง”
ทวนโปรยยิ้มให้ศรีแพร
“พี่ก็พอมีฝีมือตำน้ำพริกนานๆ โป้ก ทีหลังจะตำพริกแกง หรือพริกเผา เรียกพี่ได้นะจ๊ะ พี่ยินดีตำโป้ก...ตำโป้ก”
ศรีแพรยิ้มขำๆ
“ไม่ต้องหรอกจ้ะพี่ทวนพี่เมิน หน้าที่เข้าครัวเป็นหน้าที่ของผู้หญิง น้ำมือฉันไม่รู้จะถูกปากพี่หรือเปล่า”
เมินยิ้มหวานเจี๊ยบ
“ถูกใจพี่จังเบ้อเริ่มเลยจ้ะ”
ทวนส่งสายตาหวานเยิ้ม
“พี่ด้วย ถูกไปหมดไม่ว่าศรีแพรจะทำอะไร”
ศรีแพรเขินที่ถูกรุมจีบ
“ฉันคดข้าวให้นะ”
ทวนยื่นจมูกไปทำท่าดมๆ
“ห๊อม...หอม...”
“ได้กลิ่นยางข้าวแล้ว สำนึกในบุญคุณศรีแพรจังเลยจ้ะ นี่ถ้าไม่ใช่ความเมตตากรุณาของศรีแพรแล้ว พี่คงต้องหอบท้องกลับไปกินข้าวก้นบาตร” เมินพูดเสียงหวาดเอาใจศรีแพรสุดฤทธิ์“ไม่มีใครใจดีเหมือนศรีแพรอีกแล้ว” ทวนเหล่มองศรีไพรด้วยหางตา “มีแต่พวกค้าแรงงานเกินควร เอาแต่ใช้ๆๆๆ แต่ไม่ให้กิน” ทวนหันกลับมายิ้มหวานให้ศรีแพร “อ้า...วันไหนไม่ได้ลงนา พี่ขอเศษข้าวรองกระเพาะได้มั้ยจ๊ะ”
ศรีไพรรีบตอบเสียงห้าวๆ
“ได้ จะเคาะไว้ให้ที่รางหลังบ้าน แล้วจะแถมน้ำข้าวให้ด้วยย่ะ”
ทวนและเมิน พากันขยาดกับความร้ายของศรีไพร
ชาริณีเปิดประตูเข้ามาในห้องเก็บของ ภายในบ้านเศรษฐีบุญช่วย เหลียวซ้ายแลขวาก่อนที่จะเปิดกล่องใส่ยาบ้าที่เตรียมส่งขาย มือของชาริณีเริ่มสั่นก่อนขโมยยาบ้าเพื่อเสพ แหว่งเห็นชาริณีออกมาจากห้องเก็บของก็มองอย่างสงสัย
“เอ๊ะ นั่นคุณชาริณีเข้าไปในห้องเก็บของทำไมน่ะ ก็ท่านเศรษฐีห้ามไม่ให้ใครเข้าไปในนั่นนี่ จะฟ้องคุณสไบของบ่าวขา...”
แหว่งรีบไปฟ้องสไบ เรื่องที่เธอเห็นชาริณีเข้าไปในห้องเก็บของ สไบชะงักมือที่กำลังจัดผลไม้ นิ่วหน้าสงสัย
“จริงหรือนังแหว่ง”
“จริงค่ะคุณสไบของบ่าวขา บ่าวเห็นคุณชาริณีเข้าไปในห้องที่ท่านเศรษฐีห้ามนักหนาไม่ให้ใครเข้าไป แล้วต่อจากนั้นคุณสไบของบ่าวขา...บ่าว...บ่าวเห็น...”
แหว่งยื่นเข้าเข้าไปกระซิบแผ่วเบา แววตาของสไบตื่นตระหนก มองหน้าแหว่ง
“จริงๆ นะคะ คุณสไบของบ่าวขา บ่าวขอสาบานว่าเห็นจริงๆ ค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
“หรือว่า...นังชาริณีติดยา” สไบนิ่ง แววตาเคร่งเครียดสงสัย
สไบกับแหว่งย่องมาที่หน้าห้องนอนของชาริณี สองคนแอบดู เห็นชาริณีเสพยา ท่าทีของชาริณีสั่นสะท้าน เป็นอาการของคนเสี้ยนยาอย่างรุนแรง สไบถอนสายตากลับมาด้วยท่าทีตื่นตระหนกอย่างเงียบๆ
“ยังไงคะคุณสไบของบ่าวขา เห็นหรือยังว่านังชาริณีมัน...มัน...”
“ชาริณีติดยา ท่านเศราฐียังไม่รู้ว่าลูกสาวติดยา”
“ทำยังไงดีล่ะคะ ฟ้องท่านเศรษฐีซีคะคุณสไบของบ่าวขา ท่านเศรษฐีจะได้ส่งลูกสาวไปบำบัด บ้านจะได้ว่าง คุณสไบของบ่าวขาจะได้เป็นใหญ่คนเดียว”
สไบคิดบางอย่างได้ รีบห้าม
“อย่า...”
“ทำไมล่ะคะคุณสไบของบ่าวขา ก็ยาพวกนี้ท่านเศรษฐีเอาไว้ส่งไปตามเอเย่นต์ ไม่ได้มีไว้เพื่อการเสพนะคะ คุณสไบของบ่าวขา”
“ปล่อยให้นังชาริณีมันติดยา ยิ่งมันมีเสพไม่อั้นยังงี้ อีกหน่อยยามันก็ทำลายประสาทจนมันไม่เป็นคน ฉันอยากเห็นตอนที่มันคลานเหมือนหมา มันจะได้รู้ว่า...” สไบยิ้มเหี้ยม นัยน์ตาเปล่งประกายเกลียดชัง “ฉันเป็นใคร”
เช้าวันต่อมา ศรีไพรแบกคันเบ็ดไว้บนบ่า แสนสะพายข้องใส่ปลา พากันเดินผ่านร้านเจ๊กตง ที่มีหลิมและเลิศนั่งกินเหล้าคุ้มครองอยู่ เนี้ยวรีบวิ่งถลาออกมาหาศรีไพร
“ศรีไพร จะไปไหนน่ะ แวะก่อนซี ร้านเรายินดีต้อนรับศรีไพรกับเจ้าแสนนะ”
เจ๊กตงรีบออกมาขวาง
“แต่อั๊วไม่ยินดีต้อนรับ อาม่วยเนี้ยวขึ้นเล่าเต๊ง”
“ใช่ ที่นี่ ที่ร้านเจ๊กตง ภายใต้เครื่องหมายคุ้มครองของท่านเศรษฐีบุญช่วย ไม่อนุญาตให้เอ็งเหยียบเข้ามาในร้านนี้” หลิมพูดใส่เสียงแข็ง
ศรีไพรมองๆก่อนเปลี่ยนใจเดินเข้ามา
“ทีแรกก็ว่าจะเดินผ่านไปลงเบ็ด แต่พอรู้ว่าที่นี่มีเครื่องหมายคุ้มครอง ก็เลยอยากจะรู้ว่ามันเป็นเครื่องหมายแบบไหน กลม แบน สี่เหลี่ยมคางหมา หรือว่า...มนๆ รีๆ เหมือน...”
เลิศยื่นเท้ามาตรงหน้า
“เหมือนรองเท้าคู่นี้ไง”
แสนมองเหยียดๆ
“ไอ้รองเท้าขาดๆ ปะๆ นี่น่ะนะ”
เลิศเขกหัวแสน
“นี่แน่ะ ไม่ใข่เรื่องของเด็ก พออ้าปากข้าก็ได้กลิ่นน้ำนมฟุ้งเลย”
“พี่ศรีไพร ไอ้เลิศมันเขกหัวฉัน” แสนฟ้อง
“รังแกเด็กทำไมวะ” ศรีไพรมองเหยียดๆ “นี่น่ะหรือ...คนคุ้มครองร้านเจ๊กตง”
หลิมโมโห
“ไอ้ศรีไพร มึ๊งงงง”
ศรีไพรเข้าไปกระชากคอเสื้อของเลิศ หลิมเข้าชกศรีไพร ต่างต่อสู้กันในร้าน ข้าวของพังพินาศ เจ๊กตง เนี้ยวตาเหลือกเพราะกลัวร้านพัง
“ไอ้หย๋า พังอีกแล้ว อั๊วเพิ่งซื้อของเข้าร้านเมื่อเช้า นี่จะพังอีกแล้ว”
“ก็เพราะเตี่ย...เตี่ยนั่นแหละ อยากมีผู้คุ้มครองดีนัก แล้วเป็นยังไงล่ะเครื่องหมายคุ้มครองของเศรษฐีบุญช่วยน่ะ คุ้มครองไม่ให้ร้านเตี่ยพังได้มั้ย”
ร้านเจ๊กตงพักพินาศ ข้าวของกระจัดกระจายอยู่ในอากาศ
บนศาลาวัด ทวนและเมินต่างแอบมองไปยังศรีแพร ซึ่งนั่งอยู่กับพรและสด ชาวบ้านแยกกลุ่มนั่งอยู่ คนละฝั่งกับครอบครัวของพร
“งานวัดบ้านนาปีนี้ จัดพอแค่รักษาประเพณีก็แล้วกัน ข้าวกำลังยาก หมาก กำลังแพง ชาวนาเดือนร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ใครจะมามีอารมณ์อยากจะสนุก ทำบุญตักบาตรกัน ส่วนการละเล่นนั่น...ก็เลือกหาไอ้ที่มันไม่ต้องจ้างให้เสียเงิน” หลวงตาบอกกับชาวบ้าน
“งั้นก็เล่นมอญซ่อนผ้าซีครับ หลวงตา” ทวนเสนอ
หลวงตาหูตึงฟังไม่ชัด
“ใครเอาอะไรไปซ่อนนะ”
“ไอ้ทวนมันเสนอให้เล่นมอญซ่อนผ้า จะได้ไม่ต้องเสียเงินไปจ้างสตริงมาเล่น กีฬาก็ชักคะเย่อ” มหาเฉื่อยบอก
ชาวบ้านทำหน้าเบื่อๆ ต่างลุกเลี่ยงออกไปด้วยความรังเกียจครอบครัวของพร
“บันเทิงก็รำวงย้อนยุค มีเจ้าศรีแพรมาเป็นนางรำ งานคงจะครึกครื้นไม่ต่างกับจ้างหนังมาฉายโต้รุ่ง” มหาเฉื่อยแนะ
เมินยิ้มรับอย่างเห็นด้วยเป็นที่สุด
“ผมเห็นด้วยครับ ผมจองทุกรอบเลยนะครับ”
พรกัดกราม หันขวับมาจ้องหน้าเมินส่งสายตาดุ
“ฮึ่ม ไอ้...”
สดมองผัวด้วยสายตาปลามๆ
“ตาพร ต่อหน้าหลวงตายังจะมากัดกรามกร้วมๆ อีก รำวงย้อนยุคเก็บเงินเข้าวัด ข้าก็ว่าดีนะ”
หลวงตากวาดสายตามองหา
“แล้วนี่ไอ้ศรีไพรมันไปไหนเสียล่ะ”
ทันใด ศรีไพรวิ่งนำหน้าแสนขึ้นมาบนศาลา ท่าทีเหนื่อย เนื้อตัวเลอะเปรอะเพราะตีกันกับพวกของหลิมและเลิศที่ร้านเจ๊กตง
“มา...มาแล้วจ๊ะหลวงตา”
“โอย นี่ถ้าพี่ศรีไพรเขาไม่ใช้ท่าไม้ตาย มีหวังป่านนี้ยังจบเกมส์ไม่ได้ ร้านเจ๊กตงพังอีกแล้วละขอรับหลวงตา” แสนรายงาน
มหาเฉื่อยตกใจ
“หา ร้านไอ้เจ๊กตงพังอีกแล้วเรอะ”
ทวนและเมินต่างมองสบสายตากันและกัน ด้วยแววตาขยาดๆ
บุญช่วยเดินนำหน้าสไบ ชาริณีและชิงชัยลงมาจากเรือนด้วยท่าทีโกรธจัด เจ๊กตงบรรทุกร่างสลบไสลของหลิมและเลิศมาส่งคืน
“นี่มันอะไรกันวะ เกิดอะไรขึ้น เจ๊กตง ก็ข้าให้ไอ้หลิมกับไอ้เลิศมันไปคุ้มครองร้านของเอ็ง ตามที่เอ็งร้องขอยังไงล่ะ”
“เจ๊กตงเอาผู้คุ้มครองมาคืนท่านเศรษฐี ไม่เอาแล้วเครื่องหมายคุ้มครองยี่ห้อท่านเศรษฐี”
“ทำไมวะ ก็เอ็งเป็นคนร้องขอการคุ้มครองของพ่อข้า” ชิงชัยถามอย่างไม่เข้าใจ
สไบมองหน้าเจ๊กตงอย่างแปลกใจ
“นั่นน่ะซี แล้วเอามาคืนทำไม”
“ไม่เอาแล้วเครื่องหมายคุ้มครอง ทั้งเปลืองทั้งมีแต่เรื่อง ร้านอั๊วพังพินาศทุกวัน มันเอาแต่ตีกันจนอั๊วไม่มีเวลาทำมาค้าขาย อั๊วเลยเอามันมาคืน”
“เดี๋ยวก่อนเจ๊กตง นี่ผีมือใครนี่ อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือของ...”
ชาริณียังไม่ทันจะบอก เจ๊กตงพูดแทรกทันที
“ไอ้ศรีไพร”
บุญช่วยแค้นๆ
“ไอ้ศรีไพรอีกแล้วหรือ”
“มันไม่เชื่อว่าเครื่องหมายคุ้มครอง ของท่านเศรษฐีจะคุ้มครองคนบ้านนาได้จริงๆ มันก็เลยพิสูจน์กับไอ้หลิมไอ้เลิศ แต่ร้านอั๊วพังยับ อั๊วเลยมาบอกคืน ไม่ต้องส่งใครไปคุ้มครองที่ร้านอั๊วอีกแล้ว อั๊วเข็ดจริงๆ”
เจ๊กตงรีบออกไป บุญช่วยโกรธจัด
“ไอ้ศรีไพร ไอ้เด็กเมื่อวานซืน นี่จะไม่มีใครปราบมันลงเลยหรือวะ”
สไบรีบใส่ไฟต่อ
“แล้วตอนนี้ หลวงตาฉุนจะจัดงานประจำปี แต่ไม่มีใครมาเชิญท่านเศรษฐีไปร่วมประชุม ยังงี้มันดูถูกกันชัดๆ”
“จะมีงานวัดเมื่อไหร่...” ชิงชัยขุ่นเคือง ส่งเสียงคำราม
เมื่อถึงวันงานประจำปีของวัด ชาวบ้านช่วยกันก่อพระเจดีย์ทรายกันที่ลานวัด ชิงชัย เลิศ หลิม เดินเข้ามาเหยียบ พระเจดีย์แล้วเตะกระจุยกระจาย พร้อมกับมุ่งหน้าตรงไปยังเวทีรำวง
ศรีแพรและสาวๆ ชาวบ้านรวมทั้งเนี้ยว เป็นนางรำ ศรีไพรและแสนทำหน้าที่ขายตั๋วเก็บเงิน เสียงเพลงรำวงดังครื้นเครง ทวนกับเมินแย่งกันโค้งรำกับศรีแพร ทอกและหมอกอยู่บนเวที มหาเฉื่อยรำกับเนี้ยว ทุกคนต่างมีความสุขสนุกสนานในงานวัด
“เฮ้ย หยุด...หยุดโว้ย...” หลิมตะโกนลั่น
“คุณชิงชัยของข้าบอกให้หยุด หยุดร้องเพลงเดี๋ยวนี้ ไอ้พวกเชียร์รำวงมึงอยากเชียร์อยู่ดีๆ หายใจไม่ทันมั้ย” เลิศข่มขู่
เสียงเพลงหยุดลง ทวนมองพวกชิงชัยอย่างไม่พอใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกันนี่ วัดมีงานประจำปี มีทำบุญตักบาตร มีก่อพระเจดีย์ทรายแล้วก็มีรำวงย้อนยุค”
“ใช่ ใครใคร่รำก็ซื้อตั๋วขึ้นมาโค้งนางรำ เงินนี่...เอาเข้าวัดซ่อมสร้างสมบัติของ ศาสนาที่ชำรุด” เมินมองหน้าชิงชัย “มีปัญหาอะไร”
ชิงชัยยิ้มหยัน
“มี ไอ้หลิม รอบนี้ข้าเหมา”
ชิงชัยมองไปยังศรีแพร ศรีแพรหน้าซีดลงด้วยความหวั่นกลัว ชิงชัยก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าศรีแพร ทวนและเมินถลันเข้ามาปกป้อง
“แต่รอบที่แล้ว มีการเหมายาวไปถึงรอบสุดท้าย” เมินพูดเสียงแข็ง
ทวนมองหน้าชิงชัยอย่างไม่พอใจ
“ใช่ มีนางรำยังว่างๆ ทำไมต้องมารำกับศรีแพรด้วย”
ชิงชัยยิ้มเหยียด
“คนอย่างคุณชิงชัย จะรำกับใครก็ได้ที่คุณชิงชัยต้องการ ไม่สนหรอกโว้ยว่าใครจะซื้อบัตรเหมาสักกี่รอบ พอใจซะอย่าง...”
ชิงชัยกวาดสายตามองไปยังนางรำทุกคน แล้วมาหยุดอยู่ที่ศรีไพร ซึ่งทำหน้าที่ขายตั๋วรำวง
“ข้าเหมาไอ้นี่ ทุกรอบ...”
ศรีแพรชะงักอึ้ง
“อะไรนะ เหมา...เหมาไอ้ศรีไพรน่ะหรือ”
ทุกคนต่างงงงัน แม้แต่มหาเฉื่อย
“พูดผิดพูดอีกครั้งเถอะพ่อมหาจำเริญ แน่ใจหรือว่า...เลือกนางรำไม่ผิดคน”
ชิงชัยแสยะยิ้ม
“ก็ไหนว่านี่เป็นรำวงย้อนยุค เก็บเงินเข้าวัด ทำไมวะ...หรือพวกเอ็งคิดว่าคุณชิงชัยไม่มีเงินเหมาไอ้นี่” ชิงชัยควักเงินปึกหนึ่งออกมาโชว์ “นี่ เงิน...”
มหาเฉื่อยตาโต เมื่อเห็นเงินปึกใหญ่ แสนรีบตะครุบแล้วส่งบัตรรำวงให้ชิงชัย
“แต่มีข้อแม้ว่า...มันต้องแก้ผ้ารำ” ชิงชัยหัวเราะสะใจ
ทุกคนต่างอ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึง ศรีไพรตื่นตระหนก
หลวงตาก้มลงกราบพระพุทธรูป ก่อนปลดจีวรออก แล้วหยิบเชี่ยนหมากมาจัดพลูใส่เบ้าตำ ทอกวิ่งพรวดพราดขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“หลวงตา...หลวงตาขอรับ เกิดเรื่องอีกแล้ว”
หลวงตาได้ยินเป็นอย่างอื่น
“บาตรก็ตักไปตั้งแต่เมื่อเช้า บ่ายนี่มีก่อพระเจดีย์ทราย ผู้คนเข้าวัดไปมา เอาทรายติดรองเท้าออกไป เขาจะได้ขนทรายเข้ามาแทนที่ คนโบราณน่ะโว้ย...ท่านถือเรื่องสมบัติศาสนา ใครเอาสมบัติศาสนาไป จะตั้งใจไม่ตั้งใจ บาปทั้งนั้นแหละ”
ทอกคลานเข้ามากระซิบที่ริมหูของหลวงตาดังๆ
“โธ่ๆๆๆ หลวงตาครับ อย่าเพิ่งเทศนาเรื่องสมบัติศาสนาตอนนี้เลย เวลานี้มีเรื่องอีกแล้วละครับ”
หลวงตาหน้าตื่น
“เรื่องอะไร ที่ไหนวะ”
ทอกกระซิบเสียงดังกว่าเก่า
“เรื่องนางรำ ที่เวทีรำวงย้อนยุคครับ หลวงตา”
ที่บ้านบุญช่วย แหว่งแล่นถลาลงมาก่อน กระชากถูกสไบลงมาด้วย ชาริณีและบุญช่วยตามลงมาด้วยท่าทีงงงัน
“เร็วๆ ค่ะคุณสไบของบ่าวขา รีบไปเดี๋ยวไม่ทันได้เห็นรำวงย้อนยุค แบบที่ไม่เคยมีที่ไหนในโลก ผู้คนทั้งบ้านนาแตกตื่นกัน ไม่ยกเว้นแม้แต่ลูกเด็กเล็กแดง คนแก่วัยแรกแย้ม...อ้า...แย้มฝาโลง ยังต้องยักแย่ยักยันไปเลยค่ะ”
สไบฝืนตัวไว้
“เดี๋ยวๆๆ นังแหว่ง ก็แค่งานวัดมันจะมีอะไร ฉันอยู่บ้านนามาตั้งแต่เกิด เบื่อจะตายอยู่แล้ว”
ชาริณีมองแหว่งอย่างสงสัย
“นังแหว่ง มีข่าวอะไร แกถึงได้ลุกรี้ลุกรนต้องให้ฉันกับพ่อไปให้ได้ ฉันไม่อยากไปหรอกงานวัดน่ะ ไม่มีอะไรน่าสนุก”
“ข้าก็ไม่อยากเอาหน้าไปให้หลวงตาฉุนเห็น กลัวเสียเงินว่ะ” บุญช่วยบอกเซ็งๆ
“ไปเถอะค่ะท่านเศรษฐี งานนี้มีได้มีเสียแน่...” แหว่งกระหยิ่มยิ้มเย้ยหยัน “เพราะว่า...ระหว่างคุณชิงชัยกับไอ้ศรีไพร ใครแพ้...คนนั้น...แก้ผ้า...ค่ะคุณสไบ ของบ่าวขา...”
อ่านต่อวันพรุ่งนี้