xs
xsm
sm
md
lg

เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 5

ในวันต่อมา ทอกและหมอกนั่งอยู่บนขอนไม้ ฟังเมินและทวนถกเถียงกันด้วยความสงสัย ทวนก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าเมิน ชี้หน้า น้ำเสียงจริงจัง

“แกต้องตอบฉันว่า ผู้ชายอบอุ่น น่ารัก นิสัยดี มีเวลาให้ อย่างแก...ไปทำอะไรที่นั่น”
เมินจ้องตอบ
“ทำนองเดียวกัน คนคารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรองอย่างแก แกไปทำอะไรที่ในคลอง”
“ฉันไปว่ายน้ำออกกำลังกายโว้ย”
“ฉันก็ไปว่ายน้ำออกกำลังกายเหมือนกัน”
“ตอนตีหนึ่งน่ะนะ”
“ก็ตอนกลางวันฉันไปไถนากับควาย ชิงตำแหน่งว่าที่เจ้าบ่าวของศรีแพร”
ทอกก้าวเข้ามาห้ามปราม
“เอาละพี่จ๋า เอาว่าพี่สองคนไปล่มเรือไอ้หลิมกับไอ้เลิศ แล้วพี่รู้มั้ยว่าไอ้ห่อที่จมน้ำน่ะมันห่ออะไร”
เมินส่ายหน้า
“ไม่รู้”
“หรือว่าจะเป็นของผิดกฎหมาย” หมอกออกความเห็น
เมินกับทวนชะงักมองหน้ากัน

+ + + + + + + + + + + +

ชิงชัยตบหน้าหลิมกับเลิศด้วยความโกรธ เพราะยาบ้าจำนวนแสนเม็ดจมลงไปในน้ำ
“หมด หมดกัน ยาบ้าตั้งแสนเม็ด เอ็งอ้างว่าโดนผีน้ำล่มเรือ ป่านนี้ปลามันติด ยาบ้ากันงอมแงมแล้วละมั้ง”
บุญช่วยโมโหเช่นกัน
“เหลวไหลจริงๆ ผีน้งผีน้ำที่ไหนกัน ไอ้พวกปอดแหก เอ็งทำเรือล่ม ยาบ้าจมน้ำยังงี้ รู้มั้ยว่าเขาเสียไปเท่าไหร่”
“แต่มันเป็นผีน้ำจริงๆ ท่านเศรษฐี” หลิมยืนยัน
“ยังจะโง่อีก ผีที่ไหนกันมันจะมาแส่เรื่องผิดกฏหมาย มีแต่คน...แล้วต้องเป็นคนในบ้านนานี่ด้วย ที่มันรู้เรื่องยาบ้านี่” ชิงชัยโวยวาย
เลิศนึกบางอย่างได้
“หรือว่าคืนนั้น...”
บุญช่วยหันขวับมาจ้องหน้าเลิศอย่างสงสัย
“ทำไม”
“มีเงาดำๆ ที่โรงนา ผมกับไอ้หลิมตามไปถึงคลอง ขนาดตามยิงมันติดๆ แต่กลับไม่มีใคร”
ชิงชัยกับบุญช่วยมองหน้ากันด้วยความสงสัย
“หรือว่าจะมีคนรู้เรื่องที่เราซ่อนของไว้ที่โรงนา...”
ชิงชัย กับบุญช่วยกังวลขึ้นมาทันที

+ + + + + + + + + +

หลิมกับเลิศ เดินผ่านมาเห็นกระสอบข้าวของศณีไพร ปลูกแช่อยู่ในหนองน้ำ
“ข้าสงสัยไอ้เงาดำนั่นกับผีน้ำ มันคนละเรื่องเดียวกันหรือเปล่าวะ ไอ้เลิศ”หลิมหันมาถาม
“ข้าจะรู้มั้ยเนี่ย ถ้ารู้ก็รายงานคุณชิงชัยไปแล้วซี บ้านนาไม่เคยมีเรื่องผีเลยนี่หว่า”
“เฮ้ยๆๆๆ หยุดก่อน...”
“ทำไมวะ สงสัยอะไร นี่มันเขตที่นาไอ้ศรีไพรนี่หว่า หรือเอ็งสงสัยว่าไอ้ทโมนนั่นมันจะล้วงตับเรา”
หลิมมองกระสอบที่แช่อยู่ในน้ำ
“ข้าวปลูก มันคงจะเอาข้าวปลูกมาแช่น้ำไว้เตรียมหว่านพรุ่งนี้ หัวแหลมเป็นหัวลิงเลยนะมึง ไอ้ศรีไพร มันเก็บพันธุ์ข้าวปลูกเอง แถมยังคัดเลือกพันธุ์ดีๆไว้ปลูก ยังงี้มันไม่เอื้ออวยธุรกิจของท่านเศรษฐีเลยนี่หว่า”
“ต้องสั่งสอนให้หลาบจำ ไอ้นี่”
“เอาโว้ยไอ้เลิศ”
“ขโมยพันธุ์ข้าวปลูก...”
หลิมเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง

+ + + + + + + + + + + +

ศรีไพรวิ่งลงบันได ใช้ผ้าขาวม้าพันรอบศีรษะเพื่อป้องกันแดด แสนเตรียมข้าวของสัมภาระเพื่อออกไปท้องนาเตรียมหว่าน หลังไถเสร็จแล้ว
“พ่อ เร็วๆ เข้า หว่านแต่เช้าหน่อยจะได้เสร็จเร็วๆ ฉันต้องไปขนข้าวปลูกจากในหนองด้วย”
“เออ เสร็จเดี๋ยวนี้ละโว้ย ศรีแพร...”
ศรีไพรหันไปตะโกนบอกพี่สาว
“ปิดประตูลงกลอนให้แน่น ใครมาเกาะแกะยิงเลยนะพ่อ แล้วค่อยถามทีหลัง ว่ามาทำไม”
“ก่อนยิงดูให้แน่ซะก่อน ว่าใช่ไปรษณีย์มั้ย” สดเตือน
ศรีแพรยิ้มขบขัน พรโกรธจนหนวดกระดิก
“หนอย ประชด ข้าสอนให้ระวังตัวไว้ เพราะรู้ว่าไอ้ชิงชัยมันคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ถ้าไม่ยิงก็ฟันไว้ก่อน อีดาบเหน็บอยู่ในเรือน”
“ไปเถอะพ่อ สั่งเสียพี่ศรีแพรยังกับพ่อจะ...”
ศรีไพรพูดยังไม่จบ พรสวนทันที
“ยัง...ข้ายังไม่ตายง่ายๆ หรอก พี่เอ็งมีเรือนไปกับพวกอำเภอแล้วนั่นแหละ ข้าถึงจะยอมตาย”
“นี่ ไปกันได้หรือยัง ป่านนี้พวกไอ้ทวนกับไอ้เมินมันมารอที่ทุ่งนาแล้วละ ไป” สดตัดบท
“จ้ะแม่ ไปโว้ย แสน”
“จ้ะ”
ทั้งหมดพากันออกไป ศรีแพรมองตามไปยิ้มๆ

+ + + + + + + + + +

เมิน ทวน ทอกและหมอกนั่งๆ นอนๆ รออยู่ที่ใต้ต้นไม้ริมคันนาต่างรีบลุกขึ้นยืนอย่างขมีขมัน ทำเหมือนเป็นคนขยันเพื่ออวดพรและสด
“มาแล้วหรือครับ คุณพ่อ” เมินทักทายเสียงหวาน
พรค้อน
“ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าพ่อ ไป ไอ้ศรีไพร ไปขนข้าวปลูกมาจะได้หว่าน”
ทวนหันไปหาสด
“ไม่ดื่มกาแฟก่อนหรือครับ คุณแม่”
“กาฟงกาแฟอะไรกินแล้วเสียนิสัย แม่มีน้ำหนวดแมวในกระติกนี่”
พรหันไปตวาด
“ไม่ต้องกิน ไม่ใช่เวลาจะมานั่งดื่มน้ำหนวดแมว นี่เวลาทำนาโว้ย อย่าติดนิสัยต้องเสพนั่นเสพนี่นักเลย รู้มั้ยว่าเวลาเป็นของมีค่า”
ศรีไพรรีบเสริมพ่อ
“พ่อพูดถูก เพราะฉะนั้นนาย...นาย...แล้วก็นาย ลงไปเกลี่ยดินในนาให้พร้อม ส่วนนาย...นายประทวน ไปขนข้าวปลูกกับฉัน แสน เอ็งด้วย”
“จ้ะพี่” แสนรับคำ
ทวน จะแย้งไม่อยากไป
“แต่ว่า...”
“ไม่มีคำว่า...แต่...”
“แม้แต่...แต่ช้าแต่ก็ไม่ได้...”
“ไม่ได้ ไม่ยังงั้น...” ศรีไพรกระซิบ “ไม่ยกพี่สาวให้นะ”
ทวนตาโต
“งั้นช้าอยู่ทำไมล่ะครับคุณมู่ทู่ ไปขนข้าวปลูกกันเดี๋ยวนี้เลยครับ แรงใจมายังงี้ แรงกายตามมาเพียบ”
ทวนรีบไปขนข้าวปลูกด้วยท่าทีกระตือรือร้น ศรีไพรมองยิ้มเยาะๆ ก่อนหันมาพยักหน้าเรียกแสน ทั้งสองตามทวนออกไป พรหันมาตวาดเมิน
“ไอ้เมิน...”
เมินสะดุ้งสุดตัว
“เอ้อ...อ้า ครับคุณพ่อ”
“ข้าบอกแล้วไงห้ามไม่ให้เรียกข้าว่าพ่อ ไป...ลงนาเดี๋ยวนี้ เกลี่ยดินให้เรียบเตรียมหว่าน ข้าไปดูน้ำทางโน้น”
“ครับผม...”
เมินเผลอตัวตะเบ๊ะอย่างทหาร ก่อนที่จะค่อยๆ ลดมือลง แล้วยิ้มเจื่อนๆ

+ + + + + + + + + + + +

ศรีไพร ทวน และแสนมาขนข้าวปลูกที่แช่น้ำไว้ในหนองน้ำท้ายนา แสนมองไปที่หนองน้ำก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ากระสอบข้าวปลูกหายไปแล้ว
“พี่ศรีไพร ข้าวปลูกอยู่ไหนล่ะ ไม่มีกระสอบข้าวปลูกในหนองน้ำนี่เลย”
“พูดเป็นเล่นน่ะ ก็พี่กับเอ็งเป็นคนเอาข้าวปลูกมาแช่น้ำไว้ตั้งแต่วันก่อน มันต้องอยู่ซี มันจะไปไหน”
“ไม่มีจริงๆ พี่”
ศรีไพรกับทวนมองไม่เห็นกระสอบก็สงสัย ทวนรีบเสนอแนะ
“กระโดดลงไปควานหาใต้น้ำซี เผื่อมันจะจมน้ำ”
ศรีไพรหันมาสั่งทันที
“นายน่ะโดดลงไป”
ทวนหน้าเหวอ
“ทำไมต้องเป็นผมด้วยล่ะ”
“ก็นายอยากเป็นพี่เขยฉันไม่ใช่หรือ”
“เอา...โดดก็โดด...อุตส่าห์หล่อมาตั้งแต่เช้า รู้งี้เอาความเข้มเข้าบัญชีออมหล่อซะก่อนก็ดีหรอก”
ทวนและแสนลุยลงไปควานหากระสอบข้าวปลูกแต่ไม่พบ
“ไม่มี...”
“ไม่มีเลยพี่ศรีไพร ในน้ำนี่ไม่มี”
“หรือว่า...”

ศรีไพรรู้สึกเครียดขึ้นมาทันที

อ่านต่อหน้า 2





เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 5 (ต่อ)

พรโกรธจัด เมื่อรู้ว่าข้าวปลูกที่แช่ไว้ในหนองน้ำเพื่อหว่านทำต้นกล้าหายไป

“ถูกขโมยหรือ เกิดมาไม่เคยได้ยินว่ามีคนขโมยข้าวปลูก มันจะขโมยเอาไปทำอะไร ในเมื่อชาวนาทุกคนซื้อข้าวปลูกมาทำพันธุ์”
“แต่พอมีคนไม่ซื้อ เก็บพันธุ์ข้าวปลูกเอง มันก็เลยต้องหาย" ศรีไพรพูดในสิ่งที่สงสัย
“ศรีไพร ที่พูดนี่เอ็งหมายความว่า...มีคนเจตนาจะกลั่นแกล้งเราใช่มั้ย”
เมินนิ่งคิด
“มันก็น่าคิดนะ”
“ใช่ คนที่ไม่ต้องการให้ชาวบ้านรู้ว่าพันธุ์ข้าวปลูกก็เก็บได้ ไม่ต้องซื้อให้เสียเงินเขาจะได้ไม่เสียประโยชน์” ทวนออกความเห็น
สดหนักใจ
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ”
“เรายังมีพันธุ์ข้าวปลูกเหลืออยู่ในยุ้ง ฉันจะเอาไปแช่ที่หนองน้ำที่เดิม”
พรขยับจะแย้ง ศรีไพรยกมือห้าม
“อย่า...พ่อ อย่าเพิ่งขัดคอ” ศรีไพรแววตามาดมั่น “ฉันจะจับขโมย”

+ + + + + + + + + +

ค่ำคืนนั้น...
บริเวณหนองน้ำเงียบสงัด เปลี่ยวและมืด หลิมกับเลิศค่อยๆ โผล่มาจากพุ่มไม้ ทั้งสองหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข
“ไอ้ศรีไพร สมกับที่เอ็งคบไอ้ไฉไลเฉิดควายอันเป็นที่รักไว้เป็นเพื่อน เอ็งโง่เหมือนควายเข้าไปทุกวั้น...ทุกวัน” หลิมด่าอย่างสะใจ
“หนอย เสียพันธุ์ข้าวปลูกไปแล้ว ยังจะเอามาแช่น้ำล่อใจโจรอีก ยังงี้ต้องถือว่ามันให้เกียรติโจรอาชีพอย่างเรา” เลิศยิ้มภูมิใจ
“งั้นจะช้าอยู่ทำไมวะ ขโมยมันซะให้เรียบ มันจะได้ไม่มีพันธุ์ข้าวปลูกหว่าน ต้องซมซานไปขอซื้อพันธุ์ที่บ้านท่านเศรษฐี คราวนี้ละ...ท่านเศรษฐีกับคุณชิงชัย”
“จะได้รุมกัน...เขก...ราคาให้ยับ”
ทั้งสองหัวเราะร่า
“ก๊ากกกก”
หลิมกับเลิศย่องเข้าไปเพื่อขโมยพันธุ์ข้าวปลูก เหยียบลงบนตาข่ายที่ศรีไพรดักไว้ ตาข่ายตวัดเอาร่างของหลิมและเลิศขึ้นไปแขวนโยงอยู่บนต้นไม้
“โอ้ย เฮ้ย นี่มันอะไรวะ ช่วยด้วย...” เลิศร้องลั่น
หลิมตกใจหน้าตื่น
“ช่วยด้วย หนูถูกรังแก...เอาหนูลงไปทีพ่อจ๋าแม่จ๋า หนูกลัวความสูง”
ศรีไพร เมิน ทวน ทอกและหมอก ก้าวออกมาจากที่ซ่อน ศรีไพรยิ้มเยาะ
“ไง ไอ้หลิม ไอ้เลิศ ร้องหาพ่อหาแม่ทั้งที่ร้อยวันพันปี ประกอบแต่กรรมชั่ว โดยไม่เกรงใจบรรพบุรุษในหลุมเลยนะ”
ทวนหันมาถามศรีไพร
“คิดออกมาได้ยังไงนี่ ไอ้วิธีจับโจรแบบนี้”
“นั่นน่ะซี แล้วทีนี้...ทำยังไงต่อไป” เมินถามอย่างสงสัย
ศรีไพรยิ้มเหี้ยม น้ำเสียงเข้ม ชัดเจน
“ส่งใบแจ้งหนี้ไปยังเศรษฐีบุญช่วย...”

+ + + + + + + + + + + +

เช้าวันใหม่...
ศรีไพร ทวน เมิน ทอก หมอก มาพร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้านบุญช่วย
บุญช่วยวิ่งนำหน้าชาริณี ชิงชัยและสไบลงมาจากเรือน แหว่งรีบตามลงมาติดๆ บุญช่วยเต็มไปด้วยความโกรธเมื่อเห็นศรีไพรยืนกอดอกนิ่งๆหน้าเคร่งเครียด ทวน เมิน ทอกและหมอก ยืนเตร่ๆ อยู่ทางเบื้องหลัง ทำหน้าที่คุ้มกัน
“อะไรนะ ใบแจ้งหนี้ หนี้อะไรวะ ข้าไปเป็นหนี้เอ็งตั้งแต่เมื่อไหร่ ไอ้ทโมน” บุญช่วยโวยวาย
“ใช่ คนอย่างท่านเศรษฐี จะไปเป็นหนี้ชาวนายาจกได้ยังไง แกอวดดีมากไปแล้วนะ ไอ้ลูกชาวนา”
ชาริณีต่อว่าด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม ทวนมองหน้าไม่พอใจ
“คำก็ชาวนา สองคำก็ชาวนา เกิดเป็นชาวนานี่มันต่ำต้อยตรงไหน”
เมินเบ้หน้าหมั่นไส้
“เป็นคนปลูกข้าว ถือว่าเป็นอาชีพอันประเสริฐ ขอโทษ...เป็นนักธุรกิจใหญ่ นั่งนับเงินวันละร้อยล้าน ต้องกินข้าวมั้ย”
ชิงชัยโมโห
“ไอ้ทวน ไอ้เมิน ไอ้หมาวัด อย่ามาตั้งคำถามในบ้านของข้านะ รู้มั้ย...ที่นี่ที่ไหน”
“ที่บ้านเศรษฐีบุญช่วย มาไม่ผิดที่ก็ดีแล้ว จ่ายค่าเสียหายที่ไอ้สองตัวนี่ไปขโมยพันธุ์ข้าวปลูกมาซะดีๆ จะคืนข้าวปลูกที่ขโมยไป จ่ายค่าเสียหาย หรือว่า...จะให้ส่งตัวไอ้หลิมกับไอ้เลิศไปที่...”
ศรีไพรยังพูดไม่จบทวนพูดต่อทันที
“ถ้ากรงแถวๆ นี้มันสนิมขึ้น ก็ส่งไปโน่นเลย...กองปราบ”
บุญช่วย ชิงชัยหน้าเสีย หลิมกับเลิศส่งเสียงร้องกระจองอแง ทั้งสองถูกขังอยู่ในตาข่ายเหมือนสัตว์
“ช่วยด้วย เอาออกไปที ฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของใครนะ” หลิมโอดครวญ
ศรีไพร กวาดสายตามองกลุ่มของบุญช่วย
“ไง จะคืนข้าวปลูกพร้อมจ่ายค่าเสียหายให้พวกเรามั้ย ไม่ยังงั้น...”
ศรีไพรพูดได้แค่นั้น เมินต่อทันที
“ก่อนส่งกองปราบ เอามันไปแช่น้ำไว้สักคืนสองคืนดีมั้ย”
เลิศกลัวรนราน
“อย่า ไม่ใช่ปลานะโว้ย”
สไบชักกังวลใจ
“พี่ ช่วยไอ้หลิมกับไอ้เลิศไว้ก่อนเถอะค่ะ ท่าทางไอ้ศรีไพรมันเอาจริง พี่จะเดือดร้อนนะ”
“ไม่ต้อง เรื่องอะไรจะไปยอมมัน ใครตายก็ช่าง...เราอยู่” ชาริณีพูดเสียงแข็งอย่างเห็นแก่ตัว
หลิมอึ้ง
“อ๊าว คุณหนู...”
ชิงชัยชักหวาดๆเป็นห่วงลูกน้องเหมือนกัน
“พ่อ เอาไง...”
“คืนข้าวปลูกมันไป จ่ายค่าเสียหายให้มันด้วย ข้าไม่อยากให้เรื่องถึงหูชาวบ้าน ส่วนไอ้หลิมกับไอ้เลิศ ตัดเงินเดือนมันทั้งคู่”
บุญช่วยสะบัดหน้าขึ้นเรือนไป ชาริณีเสียหน้า รีบวิ่งตามบุญช่วยขึ้นเรือน
“พ่อ...”
“ทำตามที่ท่านเศรษฐีสั่ง แล้วไปให้พ้นบ้านนี้” สไบหันไปเรียกบ่าว “นังแหว่ง...”
“คะ คุณสไบของบ่าวขา...”
“ตามข้าขึ้นไปเอาเงินข้างบนมาจ่ายให้มัน”
“ค่ะ”
แหว่งรีบตามสไบขึ้นเรือน ชิงชัยส่งเสียงคำรามด้วยความแค้นใจ ก่อนที่จะผลุนผลันขึ้นเรือนด้วยความโกรธ ที่เสียหน้า ศรีไพรหันไปสบสายตาเมินกับทวน ก่อนยิ้มด้วยความพอใจ

+ + + + + + + + + + + +

บุญช่วยนั่งกุมศีรษะด้วยความเครียด ชาริณีเดินรอบๆ ตัวพ่อกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจ ที่พ่อยอมจ่ายค่าเสียหายให้ศรีไพร
“ทำไมต้องคืนข้าวปลูกให้มัน แถมยังจ่ายค่าเสียหายให้ไอ้ศรีไพร ทำยังงี้เท่ากับพ่อยอมแพ้มันนะ คนของเราก็โง๊โง่ ไปทำเซ่อซ่าให้มันจับได้ หนูไม่นึกเลยนะว่าคุณทวนก็เป็นพวกนังศรีไพรด้วย”
“ไอ้ทวนเด็กวัด ไม่ต้องไปเรียกมันว่าคุณหรอก มันไม่มีเกียรติพอสำหรับลูกสาวของพ่อ ที่พ่อยอมจ่ายเงินให้ไอ้ศรีไพร ก็เพราะไม่อยากให้ชาวนารู้เรื่องนี้ เรายังต้องทำมาหากินบนหลังชาวบ้าน”
“ใช่” สไบก้าวเข้ามา ตวัดค้อนใส่ชาริณี “ทำอะไรต้องคิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ สักแต่ว่าใช้อารมณ์ไม่ได้...มาทีหลังอยู่เฉยๆ ดีกว่า ไม่ต้องยุ่งเรื่องธุรกิจ”
ชาริณีไม่พอใจตวัดสายตาจ้องมองสไบตาเขียว
“ฉันขอความเห็นแกหรือเปล่านังสไบ ฉันกับพ่อกำลังพูดกันนะ เป็นขี้อยู่ดีๆ ไม่ต้องมาสะเออะทำตัวเป็นไส้หรอก ยังไงพ่อก็ไม่เห็นขี้ดีกว่า ไส้สกปรกอย่างแกหรอก”
บุญช่วยเบื่อหน่ายเต็มทน
“นี่ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ว่าไง...”
“ฉันเปิดเซฟเอาเงินจ่ายค่าเสียหาย แล้วคืนข้าวปลูกให้ไอ้ศรีไพรไปแล้ว”
ชาริณีตกใจ
“นี่แก...แกถือกุญแจเซฟด้วยหรือ”
“ก็ดี เดี๋ยวให้ชิงชัยเข้าไปหาฉันที่ห้องด้วยนะ”
บุญช่วยบอก แล้วเดินเข้าห้องทำงาน สไบมองสบสายตาชาริณีอย่างเย้ยหยัน ก่อนเดินเชิดหน้าออกไป ชาริณีมองตามอย่างโกรธๆ
“นี่พ่อให้นังสไบถือกุญแจตู้เซฟด้วยหรือ...”
ชาริณีรีบแล่นถลาตามสไบออกไป สไบเดินออกมาจากห้อง ชาริณีวิ่งตามมากระชากไหล่ด้วยความเกลียดชัง
“เอากุญแจเซฟมา แกไม่มีสิทธิ์ดูแลเงินในบ้านนี้ เพราะแกเป็นแค่คนใช้ของแม่ฉัน”
สไบไม่ยอมหันมนาจ้องหน้า
“เมื่อไหร่จะยอมเข้าใจเสียทีนะ ว่าเรื่องนั้นน่ะมันเก่าเต็มทีแล้ว ตอนนี้ฉันถือกุญแจเซฟในฐานะเมียท่านเศรษฐี”
“เอามา ไม่ยังงั้นฉันจะ...”
ชาริณีจะเอาเรื่อง สไบยิ้มท้าทาย
“เอาซี...”
แหว่งก้าวเข้ามาระวังหลังของสไบ
“แหว่งเป็นช้างเท้าหลังค่ะ คุณสไบของบ่าวขา...”
“อยากได้กุญแจเซฟก็เข้ามา”
ชาริณีหันไปมองแหว่งกับสไบ เห็นทั้งสองเอาจริง ชาริณีจึงถอย
“ฉันจะเอากุญแจเซฟของฉันคืนมาให้ได้”

ชาริณีสะบัดหน้าแล้วลงเรือนไป สไบมองตามด้วยความชิงชัง

อ่านต่อหน้า 3





เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 5 (ต่อ)

ศรีไพรหว่านข้าว แล้วมองไปยังศรีแพรอย่างมีความสุข ทวนกับเมินต่างชะเง้อชะแง้ ร้องเพลงจีบศรีแพร เมื่อเห็นศรีแพรหาบกระจาดใส่อาหารมาส่งที่กลางทุ่งนา ขณะเดียวกันนั้น เนี๊ยวส่งเสียงมาแต่ไกล พร้อมปิ่นโตอาหาร ขนมนมเนยเต็มสองมือ เจ๊กตงถือไม้เรียวตามมาติดๆ

“พี่ทวน...พี่ทวนจ๋า พี่ทวนกินข้าวหรือยังจ๊ะ เนี้ยวอุตส่าห์ต้มจับฉ่ายมาให้พี่ทวน เพลแล้วกินข้าวเถอะจ้ะ เนี้ยวเอาผ้าเย็นมาให้พี่ทวนเช็ดหน้าด้วยนะ ผ้าเย็นๆ เช็ดแล้วจะได้เย็นไปถึงหัวใจ”
“แต่อั๊วเย็นยะเยือกไปถึงกึ๋น นึกถึงอาทวนทีไรเย็นไปถึงสะดือทุกที อาม่วยเนี้ยว...”
เนี้ยวจ๋อย
“โธ่ เตี่ย”
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้ เตี่ยไม่อยากมีปัญหากับท่านเศรษฐีบุญช่วย แยกพวกกับเศรษฐีบุญช่วยเหมือนแยกกลุ่มจากชาวบ้าน แล้วเราจะไปค้าขายกับใคร ไอ้แขกสุมิตรามันยิ่งทำตัวเป็นคู่แข่งกับเตี่ยอยู่ล้วย ไป...กลับร้าน ขึ้นเล่าเต๊ง”
“เจ๊กตงจ๋า...” ศรีแพรเรียกเสียงหวาน
เจ๊กตงหันขวับมามองไม่พอใจ
“ไม่ต้องมาจ๋าแจ๋กับอั๊ว นี่เรื่องส่วนตัวผู้หวังดีอย่ายุ่ง ไป” เจ๊กตงหันไปดุลูกสาว “อาม่วยเนี้ยวกลับๆๆๆ ไม่ยังงั้นเตี่ยจะตีลื้อจริงๆ นะ”
ทวนกลัวเนี้ยวถูกตีจึงรีบบอก
“กลับบ้านเถอะครับม่วยเนี้ยว พี่ขอบใจมากที่ทำแกงจับฉ่ายมาให้ พี่ขอรับแกงจับฉ่ายไว้เป็นที่ระลึกนะ”
“โห ไม่เห็นแก่กิน...เอ๊ย...หน้าเจ๊กตงแกเลยนะ พี่ทวน” ทอกแซว
“จะกลับหรือไม่กลับ ไม่กลับเตี่ยตี...” เจ๊กตงขู่
“อย่า เจ๊กตง อั๊วเจ็บนะ” ศรีไพรร้องขึ้น
เจ๊กตงชะงักหันมามองหน้าศรีไพร
“อั๊วม่ายล่ายตีลื้อ อั๊วจะตีนังลูกไม่รักดี ดอกท้อของอั๊ว”
“ฮึ กลับก็ได้ เอาแต่ตีๆๆๆ เดี๋ยวเถอะ อั๊วจะผูกคอตายบนเล่าเต๊งเลย”
เนี้ยววิ่งร้องไห้กลับไป เจ๊กตงรีบตามเนี้ยวไป...พรส่งเสียงคำรามใส่ศรีแพร
“เอ็งก็กลับได้แล้วส่งข้าวเสร็จกลับบ้าน เข้าห้องปิดประตูลงกลอน ใครมาเกาะแกะยิงเลยไม่ต้องถาม เข้าใจมั้ย”
“เอ้อ...อ้า...จ้ะ...พ่อ...”
ศรีแพร เก็บของ แอบสบสายตากับเมิน เมินใช้ภาษามือ นัดศรีแพรไปที่น้ำตก ศรีไพรแอบสังเกตเห็นภาษามือของเมิน ศรีไพรงงๆ

+ + + + + + + + + +

ใกล้ค่ำวันนั้น ศรีแพรเดินกระวนกระวาย รอเมินอยู่ที่น้ำตก สักครู่เมินวิ่งเข้ามา ทั้งสองโผเข้าจับมือกัน
“พี่เมิน ทำไมเพิ่งมาล่ะ”
“พี่ต้องรอให้เจ้าทวนมันหลับซะก่อน มันหว่านข้าวจนเหนื่อยเลยหลับตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน”
ศรีแพรมองเมินอย่างเห็นใจ
“พี่เหนื่อยแย่เลย”
“เหนื่อยสักแค่ไหนถ้ายังมีศรีแพรเป็นความหวังอยู่ละก็ พี่ทำจนตายคาท้องนาก็ยังได้”
ศรีแพรตกใจ
“อย่าตายเลยนะ พี่ตายแล้วฉันจะอยู่ได้ยังไง”
“ถ้าพี่ตาย พี่จะกลายเป็นผีมาเวียนว่ายอยู่ใกล้ๆ เจ้า” เมินจูบมือของศรีแพร “ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ถึงจะไล่ให้ไปที่ชอบๆ ที่ชอบก็ไม่ไป อยู่ใกล้ๆ ศรีแพรนี่แหละ ที่ชอบของพี่ละ”
ศรีแพรยิ้มขวยเขิน
“ไปอยู่ที่ไหนมานะ พี่เมินถึงได้ปากหวานเหมือนน้ำตาลเดือนห้ายังงี้”
“อย่ารู้เลยว่าพี่ไปอยู่ที่ไหนมา เพราะอยู่ที่ไหนๆ พี่ก็มีแต่ศรีแพรอยู่ในหัวใจของพี่ ศรีแพร ถึงเราจะถูกกีดกันสักแค่ไหน ศรีแพรต้องสัญญากับพี่นะว่า...ต่อไปนี้” เมินมองสบสายตา “เราจะพบกันทุกวัน...”

+ + + + + + + + + + +

วันต่อมา...
ศรีแพรโผล่ออกมาตรงหน้าต่างบ้าน ชะเง้อมองหา เมินโผล่หน้าออกมาจากพุ่มไม้ ส่งภาษามือให้ ศรีแพรใช้ภาษามือตอบ
ศรีไพร ยืนกอดอกอยู่ลานบ้านมองกิริยาทั้งสองฝ่ายอย่างเงียบๆ นิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจ ทวนโผล่หน้าเข้ามาทางเบื้องหลังพร้อมหนังสือ บทเรียนภาษามือ
“ต้องเล่มนี้เลยมู่ทู่ บทเรียนภาษามือ ฉบับสากลสำหรับคนที่ใช้วิธีสื่อสารอย่างคนปกติไม่ได้...”
ศรีไพรมองหนังสือในมือทวน ก่อนเงยหน้าขึ้นสบสายตาเขา ทวนยักคิ้วให้อย่างเจ้าเล่ห์
ทางด้านแสน ออกไปจับจิ้งหรีดแถวกองฟาง ซึ่งเป็นขณะเดียวกันกับ เลิศและหลิมที่ช่วยกันยกลังยาบ้ามาซ่อนไว้ในกองฟาง แสนรีบหลบ
“เอาไว้นี่แหละ คุณชิงชัยสั่งให้เอามาซ่อนไว้ที่นี่ เผื่อไอ้ศรีไพรมันสงสัย มันไปเอาตำรวจส่วนกลางมาค้นจะได้ไม่เจอของกลาง” หลิมบอก
เลิศคิดแล้วแค้น
“มันทำข้าแสบไปทั้งตัว ข้าต้องเอาคืนไม่ยังงั้นความดันถี่ว่ะ”
“ข้าก็เหมือนกัน เราต้องหาโอกาสทีมันเผลอ เอาวะ...ซ่อนไว้ในกองฟางนี่แหละ”
หลิมกับเลิศช่วยกันซ่อนยาบ้าไว้ในกองฟาง ก่อนออกไป แสนค่อยๆ โผล่หน้าออกมามองตามสองคนไปก่อนมองที่กองฟางด้วยความสงสัย
แสนรีบกลับไปบ้าน เลาเรื่องที่ไปเห็นมาให้ศรีไพรฟัง...
“จริงหรือ”
“ฉันไปจับจิ้งหรีดแถวนั้นเห็นกับตาทั้งสองข้างเลยพี่”
“แล้วรู้มั้ยว่าในลังนั่นมีอะไร”
“ได้ยินว่ายาบ้า...”
ศรีไพรตกใจ
“นี่พวกเศรษฐีบุญช่วยมันค้ายาบ้าด้วยเหรอ เอารัดเอาเปรียบชาวบ้านยังไม่พอมันคิดจะจะทำลายชุมชนอีกเหรอ”
“แจ้งตำรวจเลยมั้ยพี่”
“อย่า ไอ่จ่าสินเป็นพวกเศรษฐีบุญช่วยถ้าแจ้งตำรวจ เราจะไม่ปลอดภัย”
“แล้วทำยังไงดีล่ะพี่ บอกพี่ทวนกับพี่เมินเขามั้ย”
“ไม่...ไม่ต้อง เราไว้ใจใครไม่ได้ พี่มีวิธี...”
“พี่จะทำยังไง”
ศรีไพรยิ้ม เมื่อคิดแผนการณ์บางอย่างได้

+ + + + + + + + + + +

ค่ำคืนนั้น...
เกิดไฟไหม้กองฟางเปลวไฟลุกโชติช่วง หลิมกับเลิศวิ่งเข้ามาตะโกน ให้คนช่วย
“ไฟไหม้ เฮ้ย...ช่วยกันดับไฟโว้ย ไฟไหม้กองฟาง”
บุญช่วย สไบ แหว่งวิ่งมาทางหนึ่ง ชิงชัยกับชาริณี วิ่งมาอีกทาง
“เฮ้ย อะไรกันวะ ไฟไหม้ที่ไหน” บุญช่วยถามอย่างตกใจ
“กองฟางครับ ท่านเศรษฐี” เลิศบอก
ชิงชัยตกใจหน้าตื่น
“หา กองฟาง ไหม้...ไหม้ได้ยังไง เฮ้ย...ช่วยกันดับไฟซีโว้ย เดี๋ยวข้าวของก็บรรลัยหมดหรอก โธ่ๆๆๆ ทำไมต้องเป็นกองฟาง ไหม้ที่อื่นไม่ได้หรือยังไง ทำไมต้องเป็นกองฟาง”
“ในกองฟางมีอะไรน่ะ พี่ชิงชัย” ชาริณีถามอย่างสงสัย
“แกไม่ต้องรู้หรอก ช่วยกันดับไฟโว้ย”
บุญช่วยหันไปสั่งชิงชัย
“แกด้วย ลงไปช่วยไอ้พวกนั้นดับไฟซีวะ”
“ระวังตัวนะคุณชิงชัย” สไบบอกอย่างห่วงใย
ชาริณีเบ้หน้าหมั่นไส้
“ไม่ต้องมาห่วงพี่ชายฉันหรอก ห่วงกะลาหัวของแกไว้ให้ดี แกจำไว้นะฉันจะเอากุญแจเซฟคืนมาให้ได้ ข้าวของทองหยองของแม่ฉันอยู่ในนั้น”
“คุณไม่มีหน้าที่”
“แล้วแกล่ะ มีหน้าที่อะไรมาดูแลสมบัติของแม่ฉัน”
“ฉันเป็นแม่เลี้ยงนะ”
“นัง...แม่...มด...”
“เฮ้ย...หน้าสิ่วหน้าขวานยังงี้ยังมาทะเลาะกันอีก ไฟไหม้บ้านเห็นมั้ย ไฟไหม้จนจะถึงกบาลยังงี้แล้ว ยังจะจุดไฟในเรือนอีก นี่มันจะทะเลาะกันไปถึงไหนวะ อยู่ไม่เป็นสุขเลย...กู”

บุญช่วยหงุดหงิด จึงตวาดขึ้นด้วยเสียงดัง

อ่านต่อหน้า 4





เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 5 (ต่อ)

เช้าวันใหม่ ทุกคนมาทำบุญแน่นศาลาเนื่องจากวันนี้เป็นวันพระ หลวงตารำพึงด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ เต็มไปด้วยความรู้สึกสลดสังเวชเรื่องไฟไหม้

“มันจะเป็นสุขได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์คิดดี...ทำดีแล้วพูดดี ประกอบกรรมทำร้ายผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นตกทุกข์ได้ยาก แล้วจะเป็นสุขได้ยังไง ใจไม่เป็นสุข พาให้กายร้อน อยู่เป็นที่ไม่ได้เหมือนมีไฟสุมอยู่ใต้ที่นั่งที่นอน ในอก...”
บุญช่วยเดินนำหน้าชิงชัย หลิมและเลิศเข้ามา หน้าตาบึ้งตึง หน้าดำเป็นทุกข์
“หลวงพ่อ...”
มหาเฉื่อยหันไปยิ้มให้บุญช่วย
“ท่านเศรษฐีบุญช่วยคงนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นวันพระ ญาติโยมชาวบ้านนาเข้าวัดฟังธรรม ก็เลยมาอนุโมทนาบุญ อ้า...สักเท่าไหร่ล่ะจ๊ะ ท่านเศรษฐี”
บุญช่วยอารมณ์เสีย
“ข้าไม่ได้มาทำบุญ ไม่มีอารมณ์จะทำ”
ชิงชัย กวาดตามองไปที่ชาวบ้าน
“พ่อข้ามาประกาศไว้ ณ ที่นี้ว่า...ใครบังอาจเผากองฟาง ลามไปถึงเรือนครัวบ้านข้า มันต้อง...”
หลวงตาเริ่มหูตึงพูดขัดขึ้น
“กองขี้ควายมีเยอะแยะที่ท้ายป่าช้า จะเอาไปหมักทำปุ๋ยชีวภาพ หรือจะเอาไปทำพลังงานทดแทนก็เอาไปเถอะ วัดไม่หวง”
“ไม่ได้มาขอขี้ควายจากหลวงพ่อ แต่จะมาขอให้หลวงพ่อประกาศว่า...ใครก็ตามที่บังอาจไปเผาบ้านของข้า มันต้องตาย” บุญช่วยบอกอย่างแค้นจัด
หลวงตาฟังเป็นอย่างอื่นอีก
“อย่าไปขายมันเลยโยมเอ๋ย ที่นาน่ะพ่อแม่ปูย่าทำมาเพื่อให้ลูกหลานใช้ทำกิน เป็นชาวนาไม่มีนา เอ๊ะ... มันกระไร”
ชิงชัยเซ็ง
“โธ่ๆๆ หลวงตา ไม่ใช่เรื่องขายนา ไม่ใช่เรื่องขายไร่ แต่เป็นเรื่อง...ไฟไหม้”
“ใคร...ใครจะจับพระเป็นตัวประกันวะ โจรสมัยนี้ตัดเศียรพระพุทธรูปจนหมดไม่มีเหลือ นี่มันริอ่านจะตัดเศียรพระสงฆ์เชียวเรอะ”
“อนุโมทนาบุญ เพื่อให้วัดนำปัจจัยไปซ่อมสร้างเศียร กุศลแรงนะท่านเศรษฐี” มหาเฉื่อยตะโกนบอกชาวบ้าน “เอ้า...พวกเรา รับพรพร้อมกับท่านเศรษฐี หนึ่ง...สอง...สาม...แก๊งส์...”
หลวงตาเริ่มสวดอวยพร ทุกคนพนมมือ บุญช่วยและชิงชัยมองหน้ากันเลิ่กลั่ก...บุญช่วยจำต้องควักเงินใส่พานให้ มหาเฉื่อยคว้าเงินทั้งปึกจากมือของบุญช่วยใส่ตู้บริจาค ศรีไพรก้มหน้าลงหัวเราะขบขัน ทวนมองไปยังศรีไพรอย่างสงสัย

+ + + + + + + + + + + +

ทวนเดินไล่ ศรีไพรถอยแววตาส่อพิรุธ ทวนจ้องลึกเข้าไปในดวงตา ศรีไพรเบี่ยงหน้าหลบเมื่อทวนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ
“ตอบมาซะดีๆ ฝีมือของใคร คุณเป็นมือเพลิง เผาบ้านเศรษฐีบุญช่วย ดีนะที่เศรษฐีบุญช่วยดับไฟทัน ไม่ยังงั้นป่านนี้วอดวายไปทั้งหลังแล้ว”
“แน้ มีหลักฐานอะไรมาปรักปรำฉัน”
“หลักฐานไม่มี แต่กำลังจะมีคำสารภาพ”
“ใคร...ใครจะสารภาพว่าเป็นมือเพลิง”
“ก็นี่ไง กำลังสอบเครียด สารภาพมาซะดีๆ ว่าคุณเป็นคนเผาบ้านเศรษฐีบุญช่วย”
“แน๊ เปล่า มันเป็นอุบัติ อุ๊ย...หลุด...” ศรีไพรรีบปิดปากตัวเอง
“นั่นไง สารภาพออกมาแล้วว่ามันเป็นอุบัติเหตุ นี่แสดงว่าไอ้เจ้ามือเพลิงที่เศรษฐีบุญช่วยกำลังหาตัว ก็คือยายมู่ทู่นี่เอง มานี่”
ทวนเข้าไปจับตัว ศรีไพรสะบัด
“ปล่อยฉันนะ มีหน้าที่อะไรมาจับฉัน เป็นตำรวจรึไง”
“เป็นพลเมืองดีก็จับได้ จับไปแจ้งตำรวจว่ามือเพลิงอยู่นี่ หน้าตาก็แย่แล้วใจยังร้ายอีก ไปเผาบ้านเศรษฐีบุญช่วยทำไม มันผิดกฎหมายนะ จะเป็นผู้นำชาวนา เป็นคนรุ่นใหม่ที่รักความยุติธรรม แต่ทำผิดเสียเอง”
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
ทวนยิ่งก้าวชิด จ้องหน้า ศรีไพรสบสายตา หวั่นๆ ทวนเสียงเข้มขึ้น
“อุบัติเหตุยังไง”
ศรีไพรอึกอัก
“คือ...คือว่า...”
“ถามว่า...อุบัติเหตุ...ยังไง”
“เอ้อ...คือ...คือมันยังงี้...”
ศรีไพรตัดสินใจเล่าความจริงให้ ทวนฟัง...ค่ำคืนนั้น ศรีไพรกับแสนย่องเข้ามานั่งลงใกล้ๆ กองฟาง หันซ้ายหันขวาอย่างระมัดระวังก่อนหยิบไม้ขีดออกมา
“เอางี้หรือ พี่ศรีไพร”
“เอายังงี้แหละ” ศรีไพรเริ่มขีดไม้ขีดไฟ “ขีดหนึ่ง...ไม่ติด ขีดสอง...ไม่ติด ขีดสาม...เอ๊ะ ไม่ติดว่ะ”
ศรีไพรขีดไม้ขีดไฟแต่ดับทุกครั้ง เธอเงยหน้าขึ้นมองแสน แล้วขีดอีกที
“ขีด...สี่” แสนนับ
“ไม่ติดอีก งั้น...ขีดห้า...”
ศรีไพรขีดไม้ขีดไฟครั้งที่ห้า ไฟติดกองฟาง ลุกลาม ศรีไพรกับแสนตื่นเต้น
“เฮ้ย...ติดว่ะ”
“ยังงี้มั้ย...”
“ยังไง”
แสนนับ
“หนึ่ง...สอง...สาม...”
“อุบัติเหตุ”
ทั้งสองตะโกนขึ้นพร้อมๆ กัน ก่อนวิ่งหนีออกไป ทิ้งเบื้องหลังที่ไฟกำลังลุกลามไหม้กองฟางอย่างรวดเร็ว
เมื่อเล่าจบ ศรีไพรสบสายตาทวนอย่างท้าทาย พยักหน้าถามกวนๆ
“ไง คราวนี้เชื่อหรือยังล่ะว่าเป็นอุบัติเหตุ”
“อุ-บัติ-เหตุ” ทวนงงๆ
ศรีไพรพยักหน้า
“ใช่ เด็กสองคนเล่นไฟ ไฟมันก็เลยลุกพรึ่บ มันไหม้กองฟางแล้วลามไปถึงเรือนครัวบ้านเศรษฐีบุญช่วย นี่ดีนะ...ดับทัน ไม่ยังงั้น...ทั้งหลังเลย”
ทวนสบสายตาศรีไพรนิ่งนาน ศรีไพรพยามปั้นหน้าซื่อๆ ทวนเม้มริมฝีปากเหมือนไม่เชื่อ แต่จำต้องเชื่อ ก่อนพยักหน้าช้าๆ คำรามในลำคอ
“อือ...อุบัติเหตุจริงๆ แฮะ”

+ + + + + + + + + + + +

สไบนวดไหล่บุญช่วย แหว่งพัดอยู่ใกล้ๆ ชาริณีและชิงชัยต่างหน้าตาบึ้งตึง
“อุบัติเหตุหรือ ฉันไม่เชื่อหรอก ทำไมมันต้องเกิดอุบัติเหตุตอนที่เราเอาของไปซ่อนไว้ในนั้น ถ้าไม่ใช่ไอ้ศรีไพร มันก็ต้องเป็นไอ้เมิน หรือไอ้ทวน” ชิงชัยน้ำเสียงมั่นใจ
ชาริณีแปลกใจ
“นายทวนหรือ”
บุญช่วยจ้องหน้าลูกสาว
“พ่อห้ามเลยนะ ห้ามไม่ให้ไปคบไอ้พวกเด็กวัดเหลือขอพวกนี้ ในบ้านนานี่ไม่มีใครมีคุณสมบัติพอที่จะคบกับลูกสาวของข้าเลยสักคน”
“น่าจะกลับกรุงเทพฯ ไปหาที่เรียนใหม่ แล้วก็เรียนให้มันจบๆ ซะ” สไบแนะนำ
ชาริณีไม่พอใจ
“นังสไบ”
บุญช่วยรีบห้าม
“เอาน่ะ อย่ามีเรื่องกันนักเลยวะ พ่อปวดหัวจะตายอยู่แล้ว ไฟไหม้คราวนี้หมดไปหลายแสน รวมกับคราวที่แล้วก็เกือบล้าน จับมือใครดมไม่ได้นอกจากสงสัย”
ชิงชัยเครียดแค้น
“ฉันจะหาตัวไอ้มือเพลิงนั่นให้ได้”
“พี่ชิงชัยแน่ใจหรือว่าเป็น...นายทวน” ชาริณีถามอย่างหวั่นๆ
“ไอ้ทวนมันเป็นพวกไอ้ศรีไพร มันต้องสงสัยเหมือนไอ้เมินเพื่อนมัน พ่อ...ฉันจะสืบเรื่องไอ้เมินกับไอ้ทวนให้ได้ ว่ามันเป็นใคร”
ชาริณีฟังแล้วรู้สึกสงสัยขึ้นมาเช่นกัน

+ + + + + + + + + + + +

ทวนแบกแหหาปลาไว้บนบ่า เดินผิวปากมุ่งตรงไปยังลำคลอง ชาริณีดักรออยู่ที่รถยนต์ ยิ้มให้ทวนอย่างเป็นมิตร
“นายทวน...”
“คุณนี่เอง มาทำอะไรแถวๆ นี้ รถเสียหรือรถน้ำมันหมดครับ”
“ฉันไม่ได้รถเสียหรือรถน้ำมันหมดหรอก แต่ฉันมาดักพบนายทวน มีเรื่องจะพูดด้วย”
“เรื่องอะไรครับ”
“ไปเป็นพวกพ่อฉันเถอะ อย่าเป็นพวกของไอ้ศรีไพรเลย ไม่มีประโยชน์ที่จะเข้าฝ่ายกับคนกลุ่มน้อย ตอนนี้ชาวนาหันมาเข้าข้างพ่อของฉันหมดแล้ว แล้วคนแค่หยิบมือที่เหลือจะมาสู้กับพ่อฉันได้ยังไง พ่อฉันมีเงินมีอิทธิพล ซื้อบ้านนาทั้งตำบลยังได้เลย”
“พ่อของคุณ ให้คุณมาหากำลังไปเสริมหรือครับ”
“นี่ความคิดฉันเอง ทั้งบ้านนานี่ ฉันเห็นนายทวนหล่อพอเข้าขั้นน่าคบอยู่คนเดียว ถ้านายทวนตกลง เราก็อาจพัฒนาความสัมพันธ์ ไปถึงไหนต่อไหนได้...”
ทวนไม่เข้าใจ
“หมายความว่ายังไงครับ ไอ้ความสัมพันธ์ที่มันพัฒนาไปถึงไหนต่อไหนน่ะ”
“ถ้านายทวนยอมเป็นลูกน้องของพ่อ ท่านเศรษฐีก็อาจจะยอมรับฐานะของนายทวนก็ได้นะ”
“ฐานะอะไรครับ”
ชาริณีเข้ามาอิงไหล่ของทวน ยิ้มยั่วทั้งริมฝีปากและดวงตา
“ลูกเขยท่านเศรษฐี”
ทวนอุทานเสียงดัง ตาโต ตื่นเต้น
“ลูกเขยท่านเศรษฐี”
“มีบ้านหลังใหญ่ไม่ต้องนอนในป่าช้า มีไร่มีนา มีธุรกิจให้ดูแล ซ้ำยังมีเงินใช้อีกเป็นฟ่อนๆ” ชาริณีกล่อม
“เงิน...” ทวนเสียงดังกว่าเก่า
“แล้วก็มีฉัน...”
ทวนเสียงอ่อนลงทันที มองหน้าชาริณี
“มี...คุณ...”
“ใช่ มีฉัน...สนมั้ย”

ทวนมองสบสายตาของชาริณี แววตาของชาริณีท้าทายเป็นอย่างมาก 

โปรดติดตามตอนต่อไป




กำลังโหลดความคิดเห็น