เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 15
สไบเปิดประตูห้องนอนบุญช่วยออกมา เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวังเพื่อไปหาชิงชัย สไบน้อยใจที่ชิงชัยสนับสนุนให้ชาริณีดูแลกุญแจเซฟ จึงอยากจะไปพูดให้รู้เรื่อง แหว่งรออยู่นอกห้องหน้าตาร้อนใจ
“ทำยังไงดีล่ะคะคุณสไบของบ่าวขา เรื่องกุญแจเซฟที่หาย”
“ฉันยังไม่กล้าบอกท่านเศรษฐีหรอก กลัวท่านเศรษฐีฆ่าฉัน ไว้พรุ่งนี้เราค่อยหากันอีกที”
“แล้วนี่คุณสไบของบ่าวขาจะไปไหนคะ ก็ท่านเศรษฐีเพิ่งจะหลับ”
“ไม่ต้องสาระแนรู้เรื่องของฉัน แกมีหน้าที่ดูต้นทาง ท่านเศรษฐีตื่นเมื่อไหร่ไปเรียกฉันที่ห้องคุณชิงชัย”
“ค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
สไบย่องออกไป แหว่งมองตามไปอย่างกระวนกระวาย ร้อนใจ
ศรีไพรค่อยๆ ย่องนำหน้าแสน ทั้งสองลักลอบเข้ามาในบ้านของบุญช่วย เพื่อขโมยโฉนดที่นาที่ชาวนานำมาขายฝากไว้
“พี่ศรีไพร เรากำลังจะไปไหนกันนี่” แสนกระซิบถามอย่างสงสัย
“ห้องเก็บสมบัติของเศรษฐีบุญช่วย มันต้องเก็บโฉนดของชาวนาไว้ในเซฟ ที่ไหนสักแห่ง”
“กุญแจตั้งพวงเบ้อเริ่ม แล้วพี่รู้หรือดอกไหนไขเซฟดอกไหนไขประตู”
“เอาน่ะ ถึงตอนนั้นก็รู้เอง เฮ้ย...หลบ...เสียงคนมา...”
ศรีไพรกับแสนรีบหลบซ่อนตัว สไบเดินผ่านหน้าทั้งสองไปด้วยท่าทีร้อนรน ศรีไพรและแสนค่อยๆ โผล่หน้าแอบมอง เห็นสไบเคาะประตูห้อง ชิงชัยเปิดรับด้วยท่าทีเนือยๆเพราะเริ่มเบื่อ
“คุณชิงชัย ฉันเอง...”
“มาทำไม ฉันไม่ได้นัดให้เธอมาหาฉันคืนนี้เลยนะ นี่พ่อหลับหรือยัง”
“ฉันคิดถึงคุณนะ ฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณด้วย”
“พรุ่งนี้ค่อยพูดกัน”
“ไม่ได้ เราต้องพูดกันคืนนี้ เรื่องของคุณกับฉัน เรื่องของฉันกับน้องสาวของ คุณ”
สไบผลักร่างของชิงชัยเข้าห้องปิดประตู ศรีไพรและแสนหันมามองหน้ากัน
“พี่ เศรษฐีบุญช่วย กลายเป็นพวกไอ้ไฉไลเฉิดไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ต้องพูดว่าถูกสวมเขา นี่แหละเขาว่า...คนทำชั่วมันจะได้ดิบได้ดีมีความสุขไปไม่ได้หรอก ไป...ไม่ใช่เรื่องของเด็ก ไป...ไปทางโน้น”
ศรีไพรกับแสนค่อยๆ ย่องออกไป
ศรีไพรและแสนย่องตามกันมา ถึงประตูห้องที่ปิดสนิท มองไปรอบๆในแสงสลัวด้วยความสงสัย ศรีไพรทำจมูกดมกลิ่น แสนมองงงๆ
“พี่ศรีไพร ทำอะไรน่ะ”
“ใช้วิธีของไอ้ไฉไลเฉิดตอนมันดมกลิ่น”
“แล้วได้กลิ่นอะไรมั้ย”
“มีกลิ่นอับๆ นี่แสดงว่าห้องนี้เป็นห้องปิด มันถึงได้มีกลิ่นชื้น ต้องเป็นห้องนี้แน่ที่เศรษฐีบุญช่วยเก็บโฉนดที่ดินของชาวนาไว้”
“แล้วจะเข้าไปได้ยังไงล่ะ”
ศรีไพรชูกุญแจพวงใหญ่ ที่เต็มไปด้วยลูกกุญแจมากมาย ก่อนเริ่มลงมือไขทีละดอก กระทั่งเปิดห้องได้ จึงเข้าไปโดยแสนตามไปติดๆต่างมองไปรอบๆ ห้องที่มีตู้เก็บโฉนด ตู้เซฟใส่เงินสด มีเงินเป็นตั้งๆ วางอยู่แสนตาโต
“ดูนั่น พี่ศรีไพร เงินเป็นตั้งๆ เลย มีตู้เซฟด้วย”
“ในเซฟนี่คงเป็นเครื่องเงินเครื่องทองกับเงินสด รวยจนเงินล้นออกมาจากที่เก็บยังงี้ยังไมรู้จักพออีก ในตู้นี่...”
“อะไรน่ะพี่”
“ต้องไขกุญแจก่อน”
ศรีไพรพยายามไขกุญแจ จนในที่สุดก็เปิดตู้ได้ เธอตื่นเต้นดีใจ
“นี่ไง โฉนดที่ชาวนาเอามาขายฝากเศรษฐีบุญช่วย โฉนดจริงๆด้วย นี่คงเป็นสัญญาขายฝากที่ทำไว้กับชาวนา ไป เอาไปให้หมด”
แสนมองกองเงิน
“ละ...ละแล้ว...แล้วเงินนี่”
“นี่ แค่ขโมยโฉนดไปคืนเจ้าของเดิมก็ได้ชื่อว่าเป็นขโมยแล้วนะ อยากจะเป็นโจรหรือยังไง ไป...รีบไป”
ศรีไพรหยิบโฉนด ปิดตู้ใส่กุญแจอย่างเรียบร้อยรีบหนีออกไป
เช้าวันใหม่ ทวนเดินนำหน้าเมิน ทอกและหมอก ถือฆ้อน เลื่อย ถุงตะปูและเครื่องมือซ่อมสร้างบ้านเดินเรียงแถวกันมาส่งเสียงมาแต่ไกล
“อย่ามาโกหกฉันเลยวะไอ้เมิน เมื่อคืนถ้าฉันไม่รู้ทัน ป่านนี้ฉันเสียท่าแกแล้ว” ทวนต่อว่า
ทอกมองเมินยิ้มๆอย่างรู้ทัน
“คนจะเข้านอนมันต้องสวดมนต์ แต่นี่พี่เมินเล่นคาถา ณ หน้าทอง แล้วไหนจะประแป้งแต่งตัวซะหล่อ คนจะเข้านอนใส่รองเท้าถุงเท้าครบสองข้างเป็นไปได้ยังไง”
“ฉันเป็นคนมีระเบียบโว้ย ไม่เหมือนพวกแกหรอก ชุดนอนชุดเที่ยวชุดเดียวกันทั้งชาติ” เมินแก้ตัว
หมอกมองไปเห็นเจ๊กตง นั่งเหม่อลอยหน้าเศร้าอยู่
“นั่นไง เจ๊กตงกำลังนั่งกอดเข่าเหมือนเจ๊กหมดทุนเลยว่ะ เจ๊กตง...”
“เจ๊กตงครับ” ทวนเรียก
เนี้ยวเห็นทวนกับเมินก็ดีใจ
“พี่ทวน พี่เมิน เตี่ยจ๋า...นั่นพี่ทวน พี่เมินมาแล้ว”
เจ๊กตงมองอย่างไม่พอใจ
“มาทำไม มาเอาใจแช่ง...หรือว่าเอาใจช่วยวะ อาม่วยเนี้ยว”
“ไม่ได้มาเอาใจแช่ง...เอ๊ย...ช่วยอย่างเดียว แต่เอาแรงมาช่วยเจ๊กตงสร้างร้านใหม่ด้วยครับ” เมินบอกอย่างยิ้มแย้ม
“ส่วนเรื่องไม้เรื่องเสา หลวงตาท่านว่าถ้าจำเป็นก็ให้เข้าไปเอาที่ป่าหลังป่าช้าได้ ให้เลือกเอาไม้ที่แก่พอใช้ได้น่ะครับ” ทวนแนะ
เจ๊กตงตะลึง ซาบซึ้งในความช่วยเหลือของหลวงตา
“โอ หลวงตา ท่านช่างโปรดสัตว์ชื่อเจ๊กตงแท้ๆ ขอบใจพวกลื้ออั๊วขอโทษที่มองลื้ออาทวนอาเมินในแง่ร้าย มีไม้ก็ต้องมีตะปูมีน็อต ไปหาที่ไหนได้วะ”
ทันใดนั้นเสียงสุมิตรร้องเพลงแขกมาแต่ไกล ก่อนขับมอเตอร์ไซค์สรรพสินค้าเข้ามาจอด
“อีนี้...นมัสเตเจ๊กตง อาทวน อาเมินที่เคารพรัก อีนี้เจ๊กตงต้องการตะปูต้องการน๊อตต้องการไขควง อีนี้แขกมีพร้อมบริการจ้ะอาม่วยเนี้ยวคนสวยจ๋า อีนี้ลงของก่อนผ่อนจ่ายเป็นรายเดือนหรือรายวันก็ได้จ้ะ อีนี้ร้านเจ๊กตงไฟไหม้เหลือแต่ซาก อีนี้มุ้งหมอนที่นอนเสื่อจ่ะนายจ๋า...”
“แม่โว้ย ไอ้บัง บริการครบวงจรไม่พอ ยังรวดเร็วทันใจอีกด้วยว่ะ” หมอกชื่นชม
“แถมมีกาแฟสดอีกต่างหาก เอาโว้ย พวกเรา ช่วยกันลงแรง เจ๊กตงคงไม่แล้งน้ำใจ ลงเงินซื้อกาแฟสดกับน้ำมะเน็ดเลี้ยงพวกเราหรอกโว้ย” ทอกบอก
ทุกคนต่างชื่นชมในตัวสุมิตร เจ๊กตงขบกรามกรอดๆ ด้วยความแค้นใจ ที่สุมิตรฉวยโอกาสทำการค้าแทน
ชาริณีเดินเข้ามาทางหนึ่ง สไบและแหว่งเดินลงบันได ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ต่างมองเห็นกุญแจอยู่ที่ปลายเท้า
“กุญแจ...” ชาริณีอุทาน
“กุญแจ เอ๊ะ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ก็เมื่อวาน...” สไบแปลกใจ
“เมื่อวานแหว่งก็หาตรงนี้ตั้งหลายรอบ ไม่เห็นเลยค่ะคุณสไบของบ่าวขาแต่วันนี้ เอ๊ะ...มันมายังไง”
ชาริณีก้มลงหยิบ แต่สไบยื่นเท้าเข้ามาเหยียบกุญแจไว้
“เอามานี่...”
ชาริณียื่นเท้าออกไป เหยียบงลงบนเท้า สไบกรีดร้อง
“ว๊าย...”
“คุณสไบของบ่าวขา เป็นยังไงบ้างคะ” แหว่งถามอย่างห่วงใย
“เป็นยังไง ฉันก็เจ็บน่ะซีนังแหว่ง” สไบหันไปตวาดชาริณี “เอารองเท้าของแกออกไปจากเท้าของฉันนะ”
“แกต้องถอยไป”
“ฉันจะถอยไปได้ยังไง ถ้าแกยังไม่ขยับ”
ชาริณีขยับ สไบเตะกุญแจให้แหว่ง ชาริณีปราดเข้าไปตบแหว่ง กุญแจหลุดจากมือของแหว่งลอยละลิ่วไปตกอยู่ในมือของชิงชัย
“นี่มันอะไรกัน”
“กุญแจห้องเก็บสมบัติ ที่พ่อให้ฉันดูแลต่อจากนังสไบยังไงล่ะ ส่งมาให้ฉัน” ชาริณีขอกุญแจ
“ฉัน...ของฉัน” สไบโวย
ชิงชัยมองไปยังสไบ แต่ส่งกุญแจให้ชาริณี สไบหน้าถอดสีด้วยความผิดหวัง
“คุณชิงชัย”
“เอากุญแจนี่ไปไข แล้วเอาโฉนดมาให้พ่อดู เราจะยึดที่นาของชาวบ้าน...วันนี้...”
ศรีไพรก้าวมายืนที่บันไดเรือนไทย ศรีแพร พรและสดต่างมองมายังศรีไพรด้วยความแปลกใจ
“ไปเรียกชาวบ้านทุกคน ที่เป็นหนี้เศรษฐีบุญช่วย มาพร้อมกันที่นี่ไอ้แสน บอกชาวบ้านว่าเรามีเรื่องสำคัญต้องประชุมกัน”
“จ้ะ พี่ศรีไพร”
แสนวิ่งออกไป
“ไอ้ศรีไพร อะไรอีกล่ะ คราวที่แล้วข้าวเปลือกหมดไปยุ้งนึง คราวนี้อะไร ปลาเค็ม พริกแห้ง ปลาร้า หรือว่าหน่อไม้ดองที่พี่เอ็งแม่เอ็งไปขุดมาทำไว้กินตอนหน้าแล้ง” พรถามอย่างสงสัย
“แกก็ฟังลูกมันก่อนซี มันพูดยังไม่ทันตอบเลย แกก็ขัดแล้ว” สดปราม
“ศรีไพร มีเรื่องอะไรหรือ คราวที่แล้วฟืนไฟไหม้จนเราก็เกือบจะหมดตัวนะ” ศรีแพรเตือน
“แต่คราวนี้คนที่หมดตัวไม่ใช่เรา...แต่เป็น...” ศรีไพรยิ้มเย้ยหยัน “เศรษฐีบุญช่วย...”
บุญช่วยและชิงชัย ปรึกษาอยู่กับจ่าสิน บุญช่วยเตรียมยึดที่นาแล้วไล่ชาวนาออกจากที่นา
“เราจะยึดที่นาของชาวนา เป็นตัวอย่างให้พวกมันเห็นว่าใครเข้ากับพวกไอ้ศรีไพร มันต้องได้รับผลกรรมคือไม่มีที่อยู่ที่ทำกิน ส่วนใครที่หันมาภักดีกับเรา ก็ให้มันทำนาปลูกข้าวในฐานะลูกหนี้ นี่ชาริณีไปเอาโฉนดหรือยัง”
“ไปแล้ว...ป่านนี้คงมัวแต่ไขกุญแจอยู่ละมั้ง” สไบตอบด้วยท่าทีมึนตึง
“ผมไม่ยักรู้ว่า เดี๋ยวนี้ท่านเศรษฐีถ่ายโอนอำนาจในบ้านนี้ ให้ลูกสาวแล้ว”
“ผมมีลูกสาวคนเดียว รักเหมือนดวงใจ อะไรที่เป็นสมบัติของผม ก็เป็นสมบัติของลูก”
จ่าสินมองไปยังสไบ ยิ้มเยาะเมื่อเห็นสไบเจ็บปวด นัยน์ตาฉายแววกร้าว ชิงชัยแปลกใจทำไมชาริณีไม่มาสักทีจึงหันไปสั่งเลิศ
“เฮ้ย ทำไมไปเอาโฉนดช้านักวะ เสียเวลาจ่า จ่าต้องไปกับเราด้วย ไปดูทีวะไอ้เลิศ”
ทันใดนั้น ชาริณีก็วิ่งนำหน้าหลิมเข้ามาหน้าตาตื่นตระหนก มือถือกุญแจพวงใหญ่
“พ่อ...พี่ชิงชัย ไม่เห็นมีโฉนดเลย”
ชิงชัยตกใจ
“หา ไม่มี...”
“ไม่มีจริงๆ ครับ เงินทองอยู่ครบ แต่โฉนดหาย” หลิมบอก
“โฉนดหายหรือ...” สไบแววตาตื่นตระหนกอย่างเงียบๆ
บุญช่วยตกใจ
“อะไรนะ โฉนดหาย มันหายไปไหนวะ ก็โฉนดเป็นตั้งๆ ข้าเก็บไว้ในตู้ หรือว่ายังไงวะ นังสไบ”
สไบเชิดหน้า ยิ้มเยาะ
“ไม่รู้ ใครจะไปรู้ ไม่ใช่คนถือกุญแจนี่ ไปทำซุ่มซ่ามอีท่าไหนล่ะ โฉนดเกือบร้อยฉบับถึงได้หาย”
“ฉันทำอะไร ฉันไม่ได้ทำอะไรนะ โฉนดมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ใครจะรู้ล่ะ” ชาริณีโวยวาย
“โอย...” บุญช่วยทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง “โฉนดหาย แล้วสัญญาขายฝากล่ะ”
“หาย...หายไปทั้งปึกเลยครับ ท่านเศรษฐี” หลิมบอกเสียงยังตื่นไม่หาย
จ่าสินมองหน้าหลิม
“เมื่อกี้นี้แกบอกว่าเงินทองยังอยู่ครบ หายแค่โฉนดกับหนังสือสัญญาขายฝ่ากใช่มั้ย”
“ครับ จ่าสิน...”
บุญช่วยตาค้างเป็นลมหงายหลังตึง สไบ แหว่ง ชาริณีต่างกรีดร้องอย่างตื่นตระหนกรีบเข้าประคองบุญช่วย
+ + + + + + + + + + + +
กองไฟโชติช่วง ศรีไพรเผาหนังสือขายฝาก หยิบฉบับสุดท้ายชูขึ้น
“นี่เป็นสัญญาขายฝากฉบับสุดท้ายที่เราจะเผาทิ้ง พี่น้องจะได้รับโฉนดคืนแล้วเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตเสียใหม่ เราจะจับมือกันแน่นๆ แล้วสู้กับอำนาจมืดทำลายยาเสพติดให้สิ้นซาก”
ศรีไพรเผาสัญญาขายฝากฉบับสุดท้ายในกองไฟ ศรีแพรแจกจ่ายโฉนดที่ดินคืนให้ชาวนา ชาวนาต่างดีใจรีบรับโฉนด ชิงชัยเดินนำหน้าจ่าสิน หลิมและเลิศเข้ามา
“หยุด ส่งโฉนดพวกนี้คืนให้ข้าเดี๋ยวนี้ ไม่ยังงั้นข้าจะแจ้งจ่าสินให้จับไอ้ศรีไพร ข้อหายักยอกโจรกรรมทรัพย์สิน”
ทวน เมิน ทอกและหมอก ขยับก้าวเข้ามาปกป้องศรีไพรพร้อมๆกัน
“จะมาจับลูกสาวข้า กล่าวหากันโดยไม่มีหลักฐานได้ยังไง ลูกของข้าไปโจรกรรมอะไรของใครมา” พรโวยใส่
จ่าสินมองพรไม่พอใจ
“เศรษฐีบุญช่วยแจ้งความไว้ ว่าโฉนดที่รับขายฝากหาย ก็ไอ้โฉนดที่ชาวนาพวกนี้กำลังถืออยู่นั่นไง”
“เอ ถ้าชาวนาเอาโฉนดไปขายฝากเศรษฐีบุญช่วย ก็ต้องมีสัญญาซีครับ ไหน...สัญญา” ทวนถามกวนๆ
เมินแบมือ
“โปรดนำสัญญาของท่าน มาแสดงสิทธิ์ของนายทุนหน้าเลือดด้วยครับ”
ชิงชัยอึกอัก
“เอ้อ...”
จ่าสินมองหน้าทวนกับเมินอย่างแค้นจัด
“ไอ้ทวน ไอ้เมิน นี่ไม่ใช่เรื่องของเอ็งนะ”
“เป็นเรื่องของประชาชนคนดีๆ ที่เขาต้องรักษาสิทธิ์ของเขา ถ้าจ่าจะจับฉันข้อหาโจรกรรมก็ต้องมีหลักฐานเอ๊ะ...แล้วไอ้ที่มาตะโกนปาวๆ บอกว่าเป็นเจ้าของโฉนดของชาวนาทั้งบ้านนานี่ มีหลักฐานเกี่ยวข้องทางญาติฝ่ายไหนไม่ทราบ” ศรีไพรยอกย้อน
ชิงชัยมองศนรีไพรอย่างเจ็บแค้น
“ไอ้ศรีไพร เอ็ง...”
พรมองจ่าสินหยันๆ
“ลูกสาวของข้าพูดถูก มีสัญญาอะไรที่บอกว่าชาวนาเอาโฉนดไปขายฝากเศรษฐีบุญช่วย มีก็เอามา แต่ถ้าไม่มี...เข้าข่ายรังแกประชาชนนะ...จ่า”
ศรีแพร ทวน เมิน ทอกและหมอก นำเสียงชาวบ้านตะโกนไล่จ่าสินกับชิงชัย
“ไปให้พ้น...ไปให้พ้น...ไปให้พ้น...”
“ไปให้พ้น...ไปให้พ้น...ไปให้พ้น...” ชาวบ้านตะโกนตาม
จ่าสิน ชิงชัย หลิมและเลิศหันมามองหน้ากัน มองไปรอบๆ เสียงชาวนาดังขึ้น...ดังขึ้น...
+ + + + + + + + + + + +
พรดึงแขนศรีไพรขึ้นเรือนด้วยความโกรธ ศรีแพร สดและแสนตามขึ้นมาติดๆ
“ศรีแพร เอ็งไปเอาหวายมาให้พ่อ”
ศรีแพรอึกอัก
“เอ้อ...หวาย...หวายไม่รู้หายไปไหนจ้ะพ่อ ตั้งแต่พ่อตีฉันครั้งสุดท้าย แม่เลยเอาไปซ่อน ไม่รู้ซ่อนไว้ที่ไหน”
“ไปเอามา” พรตวาด
“ข้าก็ลืมไปแล้ว ไม่รู้เอาไว้ที่ไหน แกจะตีลูกเรื่องอะไรตาพร สิ่งที่ลูกเราทำน่ะ ช่วยชาวบ้านทั้งตำบลนะ” สดแย้ง
“แต่มันเสี่ยงตาย ช่วยได้แต่ต้องพอสมควรแก่ชีวิตโว้ย จะเอาชีวิตมาสังเวยลูกปืนเพื่อคนอื่นไม่ได้ ถ้าไอ้ศรีไพรเป็นอะไรไป ข้าล่ะ...ข้า...ไอ้คนที่เป็นพ่อ มันคนนี้จะมีชีวิตอยู่ยังไง”
“พ่อ ถ้าพ่อจะตีฉัน พ่อใช้ไม้บรรทัดตีก็ได้จ้ะ ฉันสัญญากับพ่อว่าฉันจะไม่ทำอะไรเสี่ยงตายอีกแล้ว” ศรีไพรเสียงสั่นๆหวั่นๆ “จะเสี่ยงแต่พอสังเขปจ้ะ”
พรโมโหมากตวาดลั่น
“ไม่ต้องมาเล่นลิ้นกับข้า เห็นพ่อแม่ไม่มีการศึกษา ไม่ได้ร่ำเรียนสูงๆ หาว่าพ่อแม่โง่ใช่มั้ย ไม่ตีก็ได้วะ แต่คืนนี้...โน่น...ลงไปนอนที่คอกไอ้ไฉไลเฉิด ลงไปนอนกับควาย...โน่น”
ศรีแพร สด แสนต่างตกใจ
“พ่อ...” ศรีไพรอุทานด้วยความน้อยใจ
+ + + + + + + + + + + +
ค่ำคืนนั้น...
ศรีไพรสุมไฟไล่ยุงให้ไฉไฉเฉิด ควันลอยคละคลุ้ง ศรีไพรนั่งกอดเข่าพิงคอกควายอย่างเศร้าหมอง ควายนอนอยู่ใกล้ๆร้องทัก
“มอๆๆๆ”
ศรีไพรหันไปมองควาย
“แกไม่ต้องมาปลอบใจฉันหรอก ฉันไม่ได้น้อยอกน้อยใจที่พ่อไม่รักฉัน ฉันรู้ว่าที่พ่อโกรธ พ่อลงโทษฉันนี่ เพราะพ่อรักฉัน พ่อไม่อยากให้ฉันเอาชีวิต ไปเสี่ยงตายช่วยชาวนา ต่อไปนี้...เศรษฐีบุญช่วยคงหมายหัวฉัน เพราะฉันกลายเป็นศัตรูตัวสำคัญของเศรษฐีบุญช่วยไปแล้ว หนาวนะ...”
“มอๆๆ” ควายร้องรับ
ศรีไพรถอนใจ
“ป่านนี้ใครค่อใคร เขาคงนอนอยู่ในผ้าห่มอุตุ เขาคงจะอุ่น มีความสุขแล้วก็ฝันดี ไม่ต้องมานั่งดูดาวอย่างเราสองคน เอ๊ย...หนึ่งคน...หนึ่งตัว”
ทันใด ทวนคลานเข้ามานั่งลงใกล้ๆ
“ใครบอกว่าหนึ่งคนหนึ่งตัว สองคนหนึ่งตัวต่างหากล่ะ”
ศรีไพรมองหน้าทวน
“นายทวน นายจะหัวเราะเยาะฉัน ก็ไปหัวเราะที่อื่น ไม่ต้องมาหัวเราะใส่หน้าฉันหรอก”
“ไม่มาหัวเราะใส่หน้า ศรีไพรจะรู้หรือว่าผมเป็นห่วงน่ะ อยู่คนเดียว...เอ๊ย กับควายอีกตัว...”
“มอๆๆๆ” ควายร้องขึ้น
ทวนยิ้มให้ควาย
“คร๊าบ คุณพี่ไฉไลเฉิด เหงาแย่เลย ผมเลยมาอยู่ด้วย เผื่อศรีไพรจะได้ไม่เหงาไงล่ะ ไอ้ที่ศรีไพรทำเพื่อชาวบ้านมันเสี่ยงมาก อย่าทำแบบนี้อีกนะ ถ้า ศรีไพรเป็นอะไรไป ไม่ใช่คนเป็นพ่อแม่เท่านั้นที่เสียใจ แต่คนทั้งบ้านนาจะรู้สึกยังไง”
ทวนมองศรีไพร แววตาอ่อนโยนลง ขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ
“หนาวมั้ย”
“ถามทำไม”
“เขาว่าหนาวเนื้อต้องห่มเนื้อ ถ้าศรีไพรหนาวก็มีวิธีเดียว กอดกันแน่นๆ จะได้หายหนาว”
“บ้าน่ะซี ใครบอก...”
“ผมบอกอยู่นี่ไง ใช่มั้ยไฉไลเฉิด เอาละ...แกไม่ร้องมอๆๆ หรอก ฉันเห็นแกร้องเป็นอยู่คำเดียวมอๆๆ” วนชี้มือไปบนท้องฟ้า “ศรีไพร เห็นดาวดวงนั้นมั้ย”
ศรีไพรมองตาม
“ดวงไหน”
“นั่นไง ดวงนั้น”
“ดวงไหน”
ศรีไพรเอียงหน้าดูดาว ทวนเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ๆ โดยไม่รู้ตัว ทั้งคู่ต่างเงยหน้าขึ้นมองไปยังดวงดาวบนท้องฟ้าพร้อมกัน
อ่านต่อวันพรุ่งนี้
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 15 (ต่อ)
เช้าวันใหม่ศรีไพรและทวนนั่งหลับอยู่ที่คอกควาย โดยมีไฉไลเฉิดนอนอยู่ใกล้ๆ ศีรษะของศรีไพร ซบอยู่ที่ไหล่ของทวน
พรวิ่งนำหน้าสด ศรีแพร และแสนเข้ามา ส่งเสียงเอะอะด้วยความโกรธ ศรีไพร ทวน ควายสะดุ้งตื่นเพราะเสียงของพร
“ไอ้ศรีไพร ตื่น ตื่นเดี๋ยวนี้ ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกของข้า นอนอยู่กับผู้ชายในคอกควาย แล้วไอ้ผู้ชายคนนั้นก็คือไอ้ทวน”
ศรีไพรตกใจ
“พ่อ...พ่อเข้าใจผิดนะ”
“จริงๆครับ ไม่ใช่อย่างที่คุณพ่อเห็นนะครับ อ้า...คือว่าผม...ผม เอ้อ...ไม่เชื่อถามไอ้ไฉไลเฉิดดูก็ได้ครับ ไม่มีอะไรจริงๆ”
ศรีไพรหันไปหาควาย
“จริงมั้ยไฉไลเฉิด บอกพ่อไปซีว่าไม่มีอะไร”
“แม่...เมื่อกี้นี้แม่เห็นอย่างที่ฉันเห็นหรือเปล่า” ศรีแพรถาม
สดอึ้งไป
“ไอ้ทวน...ไอ้ทวนมัน...”
พรโกรธมาก
“เอ็งทำปู้ยี่ปู้ยำลูกสาวข้าจนป่นปี้ ไม่มีอะไรเหลือแล้วใช่มั้ย ไม่ต้องเอาควายขึ้นมาอ้าง ศาลที่ไหนท่านก็ไม่รับฟังหรอกโว้ย พยานที่เป็นควายน่ะ มันพูดได้เสียที่ไหน”
“มอๆๆ”ควายร้องขึ้น
แสนหันไปหาพร
“พ่อ มันบอกพ่อใจเย็นๆ”
พรจ้องหน้าแสนด้วยสายตาดุ
“เอ็งออกมาจากท้องควายหรือยังไง เอ็งถึงได้รู้ภาษาของควาย”
“พ่อ เบาเสียงลงหน่อยเถอะ ฉันอายขาวบ้าน” ศรีแพรปราม
พรโมโหไม่ยอมเบาเสียง
“อายทำไมวะ เอ็งไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ไอ้คนที่ต้องอายก็คือไอ้ศรีไพรนี่มันนอนกับผู้ชายทั้งคืน”
ศรีไพรตะลึง
“พ่อ”
ทวนหน้าเหวอ
“อ้าว คุณพ่อ ทำไมพูดยังงั้นล่ะครับ ผมหวังดีต่อศรีไพรก็เลย...”
ทวนยังพูดไม่จบ พรสวนขึ้น
“เลยหลอกลูกสาวของข้า จนมันเสียเนื้อเสียตัวให้เอ็งแล้วใช่มั้ยไอ้ทวน ลูกข้ายังเด็กทนคำหว่านล้อมของเอ็งไม่ไหว ก็เลย...”
ศรีไพรไม่พอใจ
“พ่อ...พ่อพูดยังงี้พ่อดูถูกลูกของตัวเอง อยากมีลูกเป็นผู้หญิงใจง่ายใช่มั้ย เออ...ก็ได้ พ่อนะพ่อ ได้ซี ใช่...ฉันกับพี่ทวนมีอะไรกันก็ได้ พอใจหรือยังล่ะ พ่อ”
ทุกคนตะลึง ศรีไพรโกรธ สะบัดหน้าขึ้นเรือนไป ศรีแพร สดและแสนรีบวิ่งตาม พรอ้าปากค้าง
“ไอ้...ไอ้ศรีไพร”
พรรีบวิ่งตามศรีไพรขึ้นเรือน ทวนงงงัน พึมพำเบาๆ
“พี่ทวน ซวยละซี”
ศรีไพรเปิดประตูเข้ามานั่งกอดเข่าร้องไห้ ศรีแพรค่อยๆ เปิดประตูเข้ามานั่งลงใกล้ๆ หวั่นๆ เมื่อเห็นน้ำตาของน้องสาว
“พูดความจริงกับพี่มาเถอะ ไม่ว่าน้องของพี่จะพูดอะไร พี่จะเชื่อ พี่เชื่อในเกียรติของน้องสาวพี่ ว่าคนอย่างน้องจะไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวชิงสุกก่อนห่ามเราเป็นลูกพ่อ...ถึงจะยากดีมีจน ชีวิตจะมีบ้างขาดบ้างยังไง พ่อแม่ก็ไม่เคยขาดการอบรมสั่งสอน ให้ลูกรักในเกียรติของความเป็นผู้หญิง ไม่ได้มีอะไรกับพี่ทวนใช่มั้ย เมื่อกี้นี้...ดีแค่คุย”
ศรีไพรค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้นมองสบสายตาพี่สาว พยักหน้า ศรีแพรถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ไม่มี...ไม่-มี-วัน”
ศรีไพรกระแทกเสียงดังๆ
พร สดและแสนแอบฟังอยู่หน้าห้อง ต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก
“โอย ค่อยยังชั่ว ไม่มีอะไรกัน ลูกของข้าบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่โดนด้วงโดนแมงเจาะ”
“ทีหลังละก็จะคิดอะไร คิดในใจก็ได้ตาพร แกปากโป้งพูดโพล่งๆ ยังงี้ลูกมันเสียใจเลยประชดแกรู้มั้ย” สดเตือนสติ
“นี่ถ้าพี่ศรีไพรเขาเป็นอะไรไปละก็ ต้องโทษพ่อ” แสนพูดขึ้น
พรงงๆ
“โทษข้ายังไงวะ”
“ก็พ่อนั่นแหละที่เป็นคนไล่พี่ศรีไพรไปนอนในคอกควาย”
สดเห็นด้วยกับแสน
“ใช่ แก...เป็นความผิดของแก”
พรหน้าเจื่อนๆ ยอมรับผิด
บุญช่วยโกรธจัด เรื่องที่โฉนดและสัญญาขายฝากของชาวนาหายไปจากห้องเก็บสมบัติในบ้าน ชาริณีต้องรับผิด ในฐานะผู้ถือกุญแจ ขณะที่สไบยิ้มเยาะหยัน
“เสียแรงพ่อไว้ใจให้แกถือกุญแจ แกทำพังตั้งแต่งานแรก แล้วยังงี้แกจะรับผิดชอบงานใหญ่ของพ่อได้ยังไง”
“หนูจะไปรู้ได้ยังไง ว่ามันหายไปไหน หายไปได้ยังไง ไอ้ศรีไพรมันเข้ามาตอนไหน” ชาริณีโวยเสียงแข็ง
แหว่งหน้าเสีย
“เอ้อ...คุณสไบของบ่าวขา”
สไบหันไปมองจ่าสิน
“ก็ไหนจ่าสินจะไปจับตัวไอ้ศรีไพรไงล่ะ ไอ้หลิมบอกว่ามันเอาโฉนดไปแจกคืนชาวนาหมดแล้ว ก็เลยไม่มีใครเป็นพวกเราเลย ไปเป็นพวกไอ้ศรีไพรกันหมด”
จ่าสินหน้าจ๋อยลง
“ไม่มีหลักฐานมัดตัวไอ้ศรีไพร แถมชาวบ้านอยู่กันเต็มไปหมด ผมเลยไม่กล้าจับมัน เราทำอะไรสวนกระแสร์ไม่ได้นะ ท่านเศรษฐี”
บุญช่วยฉุนกึก
“นี่หมายความว่า...เราทำอะไรมันไม่ได้หรือ”
“ถ้าจ่าสินทำอะไรมันไม่ได้ ก็ต้องใช้ลูกปืน”
ชิงชัยคำรามอย่างคั่งแค้น
ค่ำคืนนั้น ศรีไพรแบกข่ายดักปลา มายังเรือที่จอดอยู่ทวนตามมาจับหัวเรือไว้
“นายทวน...มาจับเรือฉันไว้ทำไม”
“ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น ศรีไพรเอาแต่หลบหน้าผมนะ กลัวชาวบ้านรู้ใช่มั้ยว่า...ลงไปนอนกับผู้ชายที่คอกควายน่ะ พ่อว่าไงมั่ง ที่รู้ว่าศรีไพรกับพี่...มีอะไรกัน”
ศรีไพรชักฉุน
“นี่ อย่ามายั่วโทสะฉันนะ ปล่อย จะไปลงข่ายหาปลา”
ทวนขึ้นนั่งท้ายเรือ ขยับพายออกไป
“พี่จะพายเรือให้”
ศรีไพรเง้างอน
“เป็นพี่เป็นเชื้อเขาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“พอแต่งงานกับศรีแพร เป็นพี่เขยแล้ว ก็ต้องเรียกพี่ เรียกซะตอนนี้ไม่เห็นจะแปลก”
“นายไม่มีวันได้แต่งงานกับพี่สาวของฉันหรอก ปล่อยเรือฉันเดี๋ยวนี้นะ”
ทันใดนั้น หลิม เลิศและสมุนยิงปืนถล่มศรีไพร ทวนตะโกนลั่น
“ศรีไพร โดดเร็ว”
ทวนและศรีไพรกระโดดลงน้ำพร้อมๆ กัน หลิม เลิศและสมุนออกมาจากที่ซ่อน ยิงซ้ำ ต่างไม่เห็นศรีไพรและทวน
“สงสัยมันโดนลูกปืน จมน้ำไปแล้วละโว้ย” หลิมบอกอย่างสะใจ
“ดูให้แน่ๆ ไอ้หลิม”
“รอดได้ก็ปฏิหารย์ละวะ ไปโว้ย เดี๋ยวชาวบ้านมันก็มาเก็บศพ”
หลิม เลิศและสมุนออกไป
ศรีไพรและทวนโผล่ขึ้นมาจากน้ำพร้อมๆ กัน ทวนดึงศรีไพรเข้ามากอดไว้ด้วยความห่วงใย
“ศรีไพร เป็นอะไรหรือเปล่า”
“พี่ทวน ฉันโดนปืน”
ทวนชะงักอึ้ง
“โดนปืน ที่...ที่ไหน”
“ไหล่...ไหล่ฉัน”
“ศรีไพร ทำใจดีๆ ไว้พี่จะพาศรีไพรขึ้นฝั่ง”
ศรีไพรเจ็บแผลมาก
“ฉัน...ฉันไม่ไหว”
“ต้องไหวซี ศรีไพรจะตายไม่ได้นะ ทำเรื่องเอาไว้ใหญ่โต แล้วจะมาตายหนีคนบ้านนาไม่ได้ เราต้องรอดซี เราจะตายทำไม ทำใจดีๆ ไว้แผลกับหัวใจอยู่ห่างกันตั้งเยอะ”
“พี่ทวน ช่วยด้วย...”
ทวนว่ายน้ำพาศรีไพรขึ้นฝั่ง เมิน ทอกและหมอกวิ่งมาตามเสียงปืนมา
“ไอ้ทวน เมื่อกี้นี้เสียงปืน เอ๊ะ นั่นศรีไพร”
“ช่วยด้วย ศรีไพรโดนปืน”
ทอกหน้าตื่นตกใจ
“ปืนหรือ...ต้องเป็นพวกไอ้ชิงชัยกับเศรษฐีบุญช่วยแน่” ทอกหันไปบอกเมิน “ฉันจะไปหารถ พี่ช่วยพี่ทวนเอาไอ้ศรีไพรขึ้นฝั่งนะ”
“เออ เร็วๆ นะ”
เมินกับหมอกลุยลงไปช่วยกันแบกศรีไพร ในสภาพถูกยิงที่ไหล่ซ้ายขึ้นมาจากน้ำ ศรีไพรสิ้นสติในอ้อมแขนของทวน
เช้าวันใหม่ บุญช่วยยิ้มอย่างพอใจ ที่ศรีไพรโดนลูกปืน
“มันไม่ตายก็ไม่เป็นไร แต่มันต้องรู้ว่ามันกำลังเล่นอยู่กับใคร ป่านนี้ชาวบ้าน มันคงจะอกสั่นขวัญผวา เลิกทำตัวเป็นพวกหัวแข็ง”
“ไหนๆ ก็ลงมือแล้ว เอ็งน่าจะยิงมันให้ตาย” ชิงชัยพูดอย่างเสียดาย
“ตอนนั้นผมคิดว่ามันตายครับ มันโดนลูกปืนแล้วตกน้ำ มันไม่น่าจะรอดถ้าไม่มี...ไอ้ทวน” หลิมบอกเสียงอ่อย
จ่าสินนั่งมองชาริณีที่แสดงท่าทีรังเกียจ เธอตกใจเมื่อได้ยินหลิมพูดถึงทวน
“คุณทวนหรือ”
“น่าจะยิงไอ้ทวนให้ตายไปอีกคน ทิ้งเอาไว้จะกลายเป็นกำลังให้ฝ่ายตรงข้าม ยิ่งไอ้ทวนไปนัวเนียอยู่กับลูกสาวตาพร ยิ่งไม่น่าไว้ใจ” สไบแนะ
“ไปหยิบเงินมาให้จ่าสิน จะเอาไปแจกจ่ายคนของจ่า ผมเลี้ยงคนอิ่มแล้วก็อ้วนกันทั่วหน้า เพราะฉะนั้นจ่าก็ต้องทำประโยชน์ให้ผมให้เต็มที่”
สไบและชาริณีลุกขึ้นยืนพร้อมๆ กัน บุญช่วยส่งกุญแจให้ สไบรีบฉวยก่อนชาริณี แหว่งดีใจ
“อุ๊ย คุณสไบของบ่าวขา”
สไบรีบเดินออกไป ชาริณีแล่นถลาตามออกไป แหว่งรีบตามออกไป จ่าสินเลิกคิ้ว มองตามทั้งสอง เห็นการชิงดีชิงเด่นกันของชาริณีและสไบ
สไบเดินเร็วๆ เข้ามาไขกุญแจห้อง ชาริณีตามมากระชาก แย่งกุญแจ
“เอามานี่ เอากุญแจมาให้ฉัน ฉันจะเป็นคนถือกุญแจห้องนี้เอง”
“ไม่ให้ คุณถือกุญแจแล้วเป็นยังไง โฉนดกับสัญญาขายฝากหาย แต่ห้องปิดเรียบร้อย เงินกับเครื่องเพชรเครื่องทองอยู่ครบทุกชิ้น นี่ดีนะ มีข่าวไอ้ศรีไพรเอาโฉนดไปคืนชาวบ้าน ไม่ยังงั้นเราก็ต้องหาตัวคนทรยศ”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันเข้ามาตอนไหน กุญแจไม่อยู่ที่ฉัน ฉันเพิ่งได้มันตอนเช้า ยังไงฉันก็สงสัยแกด้วย”
แหว่งรีบเถียงแทนนาย
“ถ้าเป็นฝีมือของคุณสไบของบ่าวขา คุณสไบของบ่าวขาจะเอาแต่โฉนดกับสัญญาขายฝากไปทำไม ทำไมไม่เอาเงินกับทอง”
สไบยิ้มหยัน
“ดีนะ...ที่ไอ้ศรีไพรมันเอาแต่ของที่มันต้องการ มันไม่กวาดเอาไปเรียบ ไม่ยังงั้นละ...ท่านเศรษฐีจะเหลือแต่ตัว เพราะมีลูกไร้ความสามารถ”
ชาริณีโกรธจี๊ด
“แก...”
จ่าสินก้าวเข้ามา ท่าทียิ้มเยาะ
“อย่าแย่งกันนักเลย ในโลกนี้ อะไรๆ มันก็แบ่งปันกันกินกับใช้ได้ทั้งนั้นแหละ ทั้งคุณทั้งคุณชาริณีน่าจะร่วมมือกันนะ ผมด้วย มีผมอีกคน เราจะเป็นครอบครัวใหญ่ มีอิทธิพลล้นฟ้า มีเงินใช้ท่วมหัว”
“ถุย...”
ชาริณีถ่มน้ำลายใส่หน้าจ่าสิน ก่อนสะบัดเดินออกไป สไบยิ้มเยาะ
“ไงล่ะ ยังอยากจะเป็นครอบครัวเดียวกันกับท่านเศรษฐีมั้ย”
จ่าสินมองตามชาริณีไปด้วยแววตาวาวโรจน์ไปด้วยความแค้น
ศรีไพรทำแผลที่ไหล่เรียบร้อยแล้ว นอนนิ่งอยู่ในห้องคนไข้ ศรีแพร แสน สดและพร ต่างห่วงใย
“ลูก...ลูกพ่อ...พ่อเตือนแล้วให้ระวังตัว พ่อบอกแล้วใช่มั้ยว่าไอ้ที่เอ็งทำลงไปน่ะมันมากไป มันเกินกำลังที่ผู้หญิงจะทำได้ ต้องเป็นพวกเศรษฐีบุญช่วยแน่ มันจงใจจะฆ่าลูกข้า ให้ชาวนาเห็นตัวอย่างคนหัวแข็ง” พรร้องไห้กอดศรีไพรไว้แน่น
“นี่ถ้าไม่ได้พี่ทวนช่วยไว้ ศรีไพรคงไม่รอดมาถึงมือหมอหรอกพ่อ แล้วเราจะทำยังไงต่อไป” ศรีแพรถามอย่างกังวลใจ
“ข้าจะไปแจ้งความ” พรบอกแค้นๆ
สดเห็นดีด้วย
“แจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ถึงจะหาตัวคนร้ายไม่ได้ ก็ลงประจำวันไว้ก็ยังดีลูกแม่ ไม่รู้จะต้องเสี่ยงไปถึงไหน ต่อไปนี้เราคงต้องระวังตัว”
ศรีแพรหันไปเห็นศรีไพร เริ่มรู้สึกตัวก็ดีใจ
“แม่ น้องรู้สึกตัวแล้ว”
“ศรีไพร...ศรีไพรลูกพ่อ”
แสนข้าไปหา
“พี่...พี่ศรีไพร นี่ฉัน...”
สดรีบแทรกมาหาลูกสาว
“นี่แม่นะลูก เอ็งไม่เป็นอะไรแล้ว แม่ดีใจที่เอ็งรอดมาได้ แม่...แม่...”
สด พร และศรีแพรต่างร้องไห้ เข้ากอดศรีไพรไว้แน่น ศรีไพรกวาดสายตามองรอบๆ
“พี่ทวนล่ะ”
พร สดและศรีแพรต่างมองหน้ากันด้วยความงงงัน ทวนและเมินยืนอยู่หน้าประตู เมินหันมาจ้องหน้าทวน
ที่ร้านใหม่ของเจ๊กตง ทุกคนนั่งบ้างยืนบ้าง กังวลเคร่งเครียดเมื่อรู้ข่าวว่าศรีไพรถูกยิง ชาวบ้านหันกลับมารักใคร่สามัคคี หลังเหตุร้ายผ่านไปแล้ว เมิน ทอก และหมอก เดินเข้ามานั่งในร้าน
“พี่เมิน พี่ทวนล่ะ” เนี้ยวถามทันที
“แทนที่จะถามหาไอ้ศรีไพร ว่าอาการมันเป็นยังไงมันถูกยิงเมื่อคืน กลับไปถามถึงคนไปเยี่ยม พี่ทวน” ทอกประชด
“ก็ถามถึงพี่ทวนก่อน แล้วค่อยถามถึงศรีไพรมันทีหลัง”
“พ้นขีดอันตรายแล้ว” เมินบอก
สุมิตรโล่งใจ
“อีนี้...แขกดีใจ อาศรีไพรเป็นคนดี คนดีศรีบ้านนา ควรจะอยู่ทำประโยชน์ให้ชาวบ้านนาตลอดไป อีนี้...ข้าวสารอาหารแห้งแขกมีพร้อมบริการ”
เจ๊กตงตบหัวสุมิตร
“นี่แน่ะไอ้แขก บอกแล้วใช่มั้ยว่าที่นี่เขตอิทธิพลของเจ๊กตง จะทำมาค้าขายไปขายที่อื่นโว้ย”
“ไอ้เจ๊กตงเอ๊ย ตอนนี้ชาวบ้านนาเรา หันมาสามัคคีดีกันแล้ว เอ็งก็เอื้ออวยให้ ไอ้แขกมันค้าขายบ้างเถอะวะ จะได้อยู่ช่วยเหลือกันไป” มหาเฉื่อยพูดอย้างรำคาญ แล้วหันไปมองเมินที่ดูเครียดๆ “ไอ้เมิน...เป็นอะไรวะ” “มาถึงก็นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่ต้องเป็นห่วงไอ้ศรีไพรมันหรอกน่ะ ถ้าพ้นขีดอันตรายแล้ว ก็หมายความว่า...ไม่ตายแล้ว” หมอกปลอบ
“ฉันไม่ได้ห่วงศรีไพรหรอก” เมินพูดเสียงเครียด
“งั้นลื้อห่วงใครวะ” เจ๊กตงถามอย่างแปลกใจ
เมินทอดถอนหายใจ
“ไอ้ทวน...”
ศรีไพรหลับสนิทอยู่บนเตียงพักฟื้น ทวนจับมือศรีไพรไว้ มองด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนกระซิบเบาๆ
“อย่าตายนะ ถ้าคุณตาย ใครจะเป็นผู้นำชาวนาลุกขึ้นมาต่อสู้กับพิษภัยมากมายที่มันรุมล้อมชุมชนอยู่ มีแต่คุณคนเดียวจริงๆ ที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ ผมอาจจะมีกำลังทั้งกองทัพ แต่ผมมีกำลังใจไม่มากมายมหาศาลเท่าคุณ คุณจะต้อง...ไม่ตาย”
ทวนจรดริมฝีปากแตะที่ปลายนิ้วของศรีไพร ศรีแพรและสด ค่อยๆ เยี่ยมหน้าออกมามองก่อนหันมามายิ้มให้กัน
วันต่อมา ชาริณีเดินอยู่ในมุมเปลี่ยว หาที่เสพยาเสพติด เธอควักยาออกมาจากกระเป๋ากางเกงมือสั่นสะท้านเพราะอาการเสี้ยนยา แต่ยาหล่นลงกับพื้น ชาริณีรีบตะครุบ จ่าสินก้าวเข้ามาเตะยาพ้นจากมือของชาริณี
“แก นี่แกจะทำอะไรน่ะ ยาฉัน...”
“ผมจะสอนให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างคุณรู้ว่าผมเป็นใคร ถ้าไม่มีผมคอยเป็นแนวหลังให้พ่อคุณ เศรษฐีบุญช่วยคงเป็นได้แค่ตาแก่มีเมียสาว ถือไม้เท้ายักแย่ยักยันไปวันๆ”
ชาริณีตัวสั่นเทา
“แก จ่าสิน เอายาของฉันมา ยา...ยาของฉัน”
“อยากได้ยาใช่มั้ย”
จ่าสินก้าวเข้ามา ใช้เท้าเหยียบลงบนยา ขยี้แรงๆ ชาริณีตกใจ
“แก...หยุดนะ นั่นยาของฉัน ยา...”
“คุณต้องการมันใช่มั้ย พ่อกับพี่ชายคุณค้ายาซะเปล่า แต่ไม่รู้ว่าลูกสาวติดยาเสพติดงอมแงม”
ชาริณีโกรธจัด
“ไอ้...ไอ้จ่าสิน”
“ผมจะสั่งสอนให้คุณรู้ว่า...คุณควรจะปฏิบัติตัวกับผมยังไง อยากได้ยามั้ยเอาซี นี่...ยา”
จ่าสินยกเท้าขึ้น ชาริณีผวาลงตะครุบ ลนลานหายาเสพติดที่แหลกยับอยู่กับพื้นดิน ชาริณีตัวสั่นสะท้านไปด้วยอาการเสี้ยนยาอย่างรุนแรง ลงคลานขุดคุ้ยหายาเหมือนสุนัข
จ่าสินยิ้มอย่างสะใจ ดวงตาฉายแววเหี้ยมเกรียม
อ่านต่อพรุ่งนี้