ลิขิตเสน่หา ตอนที่ 15
พอออกมาจากบ้านยี่หวา ณนนท์ตัดสินใจจอดรถอยู่ริมถนน พลางใช้ความคิดอย่างหนัก ภาพของวสันต์กับยี่หวาที่หน้าบ้านผุดขึ้นมาในหัวของเขา ดูออกได้ไม่ยากว่าเวลานี้วสันต์กำลังพยายามจะมางอนง้อขอคืนดีกับยี่หวา
ณนนท์ตัดสินใจได้แล้วว่าเขาต้องทำอะไรบางอย่าง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ว่าแล้วณนนท์ก็หยิบโทรศัพท์มากดโทรออก
“ฮัลโหลเอนิตา ผมมีธุระสำคัญจะคุยด้วย!”
ณนนท์มาหาเอนิตาที่บ้าน เอนิตาถึงกับโกรธอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ เมื่อรู้ความต้องการของณนนท์ที่แวะมาเธอกลางดึก
“อะไรนะ จะขอหย่า!!!”
ณนนท์พยักหน้า พลางพูดต่อ
“นิตา ยอมรับความจริงเถอะว่าเวลาของเรามันหมดแล้ว”
“ยี่หวาใช่มั้ย” เอนิตาคาดคั้น
“มันเป็นเรื่องของเราสองคน ไม่เกี่ยวกับคนอื่น”
“ทำไมจะไม่ ตลอดเวลาคุณเป็นฝ่ายขอร้องฉันมาตลอดว่าไม่ให้หย่าเพื่อลูก แล้วนี่อะไร? คุณรักมัน
ใช่มั้ย ทั้งๆ ที่มันยังมีผัวเก่าคาอยู่ทั้งคน” เอนิตาพูดอย่างเดือดดาล
“เขาไม่มีอะไรกันแล้ว”
“แน่ใจ? คุณไม่คิดเหรอบางทีนังนั่นอาจจะสำออย ออเซาะ สวมบทนังวันทองสองใจอยู่ก็ได้
“หยุดเลย ยี่หวาเค้าไม่เหมือนคุณ! ก่อนจะว่าใครหัดดูตัวเองซะก่อน”
“คุณนั่นแหล่ะหยุด แล้วก็ออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว ถ้าเรื่องหย่า ฉันไม่คุยอะไรด้วยทั้งนั้น”
ทั้งคู่จ้องตากัน ณนนท์ตัดปัญหาด้วยการเดินหนีไป เอนิตาโมโหหยิบหมอนเขวี้ยงใส่อย่างเดือดดาล ณนนท์หันกลับไปมองก่อนเดินออกไป
“หัวเด็ดตีนขาดยังไงฉันก็ไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ไม่มีวัน”
เช้าวันรุ่งขึ้น บุญเลื่องเดินลงมาข้างล่าง แต่ต้องร้องขึ้นอย่างตกใจ
“ว๊าย ตายคุณพระช่วย”
ทำเอายาหยีที่เดินตามลงมาชะงักไปด้วย
“เป็นอะไรคะแม่ ตกใจอะไรเสียงหลงเชียว”
“ดูนั่น ช่วยดูหน่อยว่าแม่ตาฝาดไปหรือเปล่า” บุญเลื่องพูดพลางขยี้ตา อย่างไม่เชื่อสายตา
ยาหยีมองตามที่แม่พูด เห็นเห็นวสันต์ทำอาหารเช้าอย่างจริงจัง
วสันต์บรรจงเสิร์ฟอาหารให้แต่ละคน บุญเลื่องป้องปากเม้าท์กับยาหยี
“มันจะใส่ยาพิษให้เราด้วยหรือเปล่าเนี่ย”
“นั่นสิคะแม่ รู้สึกไม่ชอบมาพากลยังไงก็ไม่รู้”
“บ้านเรามีตะเกียบเงินมั้ยลูก ลองเอามาจุ่มดู ถ้ามียาพิษมันจะกลายเป็นสีดำ” บุญเลื่องนึกถึงซีรีส์
เกาหลีที่เคยดู
“ไม่ต้องหรอกค่ะ วัดใจกันไปเลยก็ได้ ตายเป็นตาย!”
“เอาวะ!! ถ้ามันจะกล้าฆ่ายกครัว ฉันก็ยอม”
ข้าวตูตักเข้าปากเป็นคนแรก ร้องเสียงหลง
“อร่อยมากเลยครับพ่อ คุณยาย แม่ น้าหยีทานเร็วๆ สิครับอร่อยสุดๆ ข้าวตูไม่โกหก”
บุญเลื่อง กับยาหยียังดูกังวลไม่หาย
“วางใจเถอะครับ ผมมาดี ไม่มียาพิษหรอก วสันต์คนเดิมตายไปแล้ว นี่เป็นรุ่นปรับปรุงใหม่ ลิมิตเต็ดอิดิชั่น”
“พิษเยอะกว่าเดิมใช่มั้ย” บุญเลื่องเอ่ยขึ้น
“โธ่ คุณแม่ครับกรุณามองผมในแง่ดีบ้างสิครับ”
“คุณย่าอย่าว่าคุณพ่อสิครับ คุณพ่อมานั่งทานข้าวข้างคุณแม่เร็ว มาเลย”
วสันต์ฟังข้าวตูแก้ต่างให้ทำท่าซาบซึ้งใจ “ขอบใจนะลูกที่เข้าใจพ่อ”
วสันต์นั่งข้างยี่หวา บุญเลื่องวางช้อนอย่างฉุนเฉียว
“แม่กินไม่ลงแล้วหยี ไปดีกว่า”
“หยีไปด้วยค่ะแม่”
“คุณจะไปอีกคนก็ได้นะ”
วสันต์หงอยๆ ยี่หวาทำท่าจะลุกแต่ข้าวตูดึงรั้งไว้
“แม่ไม่ไปหรอกครับพ่อ ข้าวตูดีใจจังที่วันนี้เราได้กินข้าวกันพร้อมกันสามคน! เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่
ไปส่งข้าวตูที่โรงเรียนด้วยนะครับ”
ที่โต๊ะอาหารเช้าวันนี้ สมาชิกครอบครัวณนนท์ทุกคนนั่งทานข้าวด้วยกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา จังหวะนั้นเอนิตาก็หิ้วกระเป๋าใบใหญ่เข้ามา พร้อมกับจงใจวางกระแทกให้เกิดเสียงดังเรียกร้องความสนใจ
ทุกคนหันไปมองตามเสียงอย่างอึ้งๆ เท่งกำลังจะตักอาหารเข้าปากก็ต้องชะงัก สุดยอดหน้าเจื่อน
“เซอร์ไพรส์ ทำอะไรกันอยู่เหรอคะ” เอนิตาถามขึ้น
“โถ! แม่คุณ กับข้าวเต็มโต๊ะอย่างนี้ คงไม่ได้ซักผ้าหรอกนะ”
เท่งพูดขณะที่สุดยอดทำหน้าเบื่อปนเซ็งใส่พี่สะใภ้ ส่วนไข่ตุ๋นวิ่งออกไปหาอย่างดีใจ
“คุณแม่มาแล้ว คุณแม่มาอยู่กับไข่ตุ๋นจริงๆ ด้วย”
“ไข่ตุ๋นดีใจมากใช่มั้ยจ๊ะที่แม่มา แม่มาคราวนี้จะมาอยู่ด้วยนานๆ ให้ไข่ตุ๋นหายคิดถึงเลย ดีมั้ย?”
ไข่ตุ๋นฟังแม่พูดแล้วออกอาการดีใจมาก “ดีค่ะ”
“แต่ไม่รู้ว่าคุณพ่อเขาจะอนุญาตให้แม่อยู่ด้วยหรือเปล่าน่ะสิ”
เอนิตาให้ลูกไม้เดิมๆ เท่งกับสุดยอดหน้าเบ้ แสดงความระอาใจ
“คุณพ่อต้องอนุญาตอยู่แล้วล่ะค่ะ จริงมั้ยคะคุณพ่อ?”
เอนิตายิ้มหวานไปทางณนนท์ แต่ณนนท์หน้านิ่ง พร้อมกับรวบช้อนเอ่ยขึ้นหน้าเครียด
“ผมขอตัวก่อนนะครับ วันนี้มีประชุม ไข่ตุ๋นไปโรงเรียนได้แล้วครับ”
“อ้าว อิ่มแล้วเหรอ” เท่งถาม
“คงจะเอียนน่ะครับพ่อ” สุดยอดว่า
ณนนท์เดินไปคว้ากระเป๋าเตรียมออกจากบ้าน ไข่ตุ๋นลุกมาหยิบกระเป๋าตาม เอนิตาคว้าแขนณนนท์ไว้
“จะรีบไปไหนคะนนท์ รอก่อนสินิตาอยากไปส่งลูกด้วย”
เอนิตาเล่นบทแม่แสนดีต่อ ซึ่งได้ผล...ไข่ตุ๋นดีใจมาก
“ไชโย คุณแม่จะไปส่งไข่ตุ๋นที่โรงเรียน”
เอนิตาแย่งกระเป๋าไข่ตุ๋นมาถือไว้
“มาลูกแม่ถือให้”
ณนนท์เดินนำโดยมีเอนิตากับไข่ตุ๋นเดินตาม สีหน้าร่าเริง เอนิตาพูดไล่หลังแกมสั่งสุดยอด
“ฝากยกกระเป๋าให้ด้วยนะจ๊ะน้องยอด เอาไว้บนห้องนนท์นั่นแหละ”
สุดยอดมองตามถอนใจเฮือกใหญ่
“สงสารพี่นนท์นะพ่อ ทุกอย่างเกือบจะดีอยู่แล้วเชียว ไม่รู้ยัยนิตามันจะกลับมาทำไม”
“ทำไงได้ล่ะ สงสัยชีวิตจะยังไม่หมดกรรม ก็คงต้องกรรมใครกรรมมันแล้วละยอด”
เท่งพูดอย่างปลงๆ สองพ่อลูกมองหน้ากัน หนักใจแทนณนนท์
ครอบครัวณนนท์กับครอบครัวยี่หวาเดินมาคนละด้าน เจอกันพอดีที่หน้าประตู ข้าวตูจูงมือพ่อกับแม่ ไข่ตุ๋นก็จูงมือพ่อแม่เช่นกัน
เด็กน้อยทั้งสองเดินเข้าหากันด้วยความดีใจสุดๆ ณนนท์กับยี่หวาต่างก็สีหน้าเก้อ เพราะวสันต์และเอนิตาที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย ต่างแสดงความเป็นเจ้าของจนออกนอกหน้า
“ไข่ตุ๋นรู้มั้ย วันนี้เรามีความสุขที่สุดเลย พ่อเราทำข้าวเช้าให้กินด้วย”
ข้าวตูพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ต่างไปจากไข่ตุ๋น
“เราก็เหมือนกัน แม่เราจะกลับมาอยู่กับเราแล้วนะ”
ณนนท์มองยี่หวากระอักกระอ่วนใจ ขณะที่วสันต์แอบขยิบตาให้เอนิตาด้วยความสะใจ
“แล้วดีใจมั้ยลูก ที่พ่อกับแม่จะได้มาอยู่ด้วยกันอีก” เอนิตาสำทับ
“ดีใจสิคะ ดีใจที่สุดเลย” ไข่ตุ๋นหน้าบาน
“ถ้าอย่างนั้นกังฟูก็ล้อเราไม่ได้แล้วเนอะ ว่าเราเป็นพวกครอบครัวแตกแยก!” ข้าวตูพูดอย่างไร้เดียงสา
“ใช่ ครอบครัวเราไม่แตกแยกแล้ว”
“ข้าวตูเข้าไปหากังฟูก่อนนะครับ”
“ไข่ตุ๋นก็เหมือนกันค่ะ บ๊ายบายนะคะ”
ข้าวตู กับไข่ตุ๋น เดินลับตาไป ยี่หวาทนไม่ไหวรีบเดินผละออกไป ณนนท์จะเดินตาม เอนิตากระชับแขนไว้แน่น ณนนท์ไม่ยอมง่ายๆ แกะแขนเอนิตาจะเดินตามยี่หวาไป แต่วสันต์มาขวาง
“พอลับหลังลูกก็จะมาตีท้ายครัวผมเลยเหรอ ไม่คิดเลยนะว่าคุณจะเป็นพวกชอบทำครอบครัวคน
อื่นเขาแตกแยก”
“ผมว่าคุณควรคิดก่อนพูดนะ คนที่คุณพูดถึงคือตัวคุณไม่ใช่ผม แล้วผมก็ไม่ได้เดินตามใครด้วย แต่
จะไปที่รถต่างหาก รถผมจอดอยู่ตรงโน่น”
ณนนท์เยาะจนวสันต์หน้าเจื่อน และยอมหลีกทางให้
“คุณทำดีแล้ว ท่องเอาไว้ ต่อไปนี้ความร้าวฉานจะเป็นงานของเรา!”
ทั้งสองคนพร้อมใจกันยิ้มร้ายกาจ ด้วยความสะใจ
ยี่หวากลับจากส่งลูก เดินเข้ามาในร้าน มอร์แดนทรีด้วยความความรู้สึกศร้า ยี่หวามองไปเห็นลูกค้าผู้ชายคนหนึ่งยืนหันหลังต้นไม้ มองไม่ถนัด ยี่หวาเดินเข้าไปถามด้วยเสียงเนือยๆ
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ”
ยี่หวาอึ้งเมื่อเป็นณนนท์หันกลับมา
“ณนนท์!!!”
“ยี่หวา !!!”
ทั้งสองโผเข้ากอดกัน น้ำตาซึม ปลอบใจกันไปมา
“ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ต้องขอโทษคุณด้วยเหมือนกัน”
“ทำไมเราสองคนต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ด้วย มันเกือบจะจบอยู่แล้ว ถ้าผมใจแข็งกว่านี้”
“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ ไม่ใช่คุณเท่านั้น ฉันเองก็ทำไม่ได้ ฉันนี่มันแย่จริงๆ เมื่อคืนนี้ฉันควรจะปฏิเสธวสันต์ แต่ฉันก็ทำไม่ได้เมื่อนึกถึงหน้าข้าวตู!”
“ยี่หวาครับ”
“คะ”
“ต่อให้เราอยู่ด้วยกันไม่ได้แต่เราก็ยังรักกันได้ใช่มั้ย ผมจะรักคุณตลอดไปนะยี่หวา”
ยี่หวาฟังแล้วน้ำตาปริ่ม ซึ้งสุดๆ
“ณนนท์”
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร คุณยังมีผมอยู่ใกล้ๆเสมอ ผมจะคอยดูแลอยู่ข้างๆ คุณตลอดไป ไม่ว่าเราสองคนจะอยู่ในสถานภาพจะไหนก็ตาม?!”
ณนนท์กับยี่หวากอดกันแนบแน่น เหมือนเป็นคำสัญญาใจว่าจะดูแลกันตลอดไป
เสียงกดออดหน้าบ้านดังขึ้น บุญเลื่องที่กำลังทำสวนอยู่หน้าบ้านบ่นกับยาหยี
“มันอะไรกันนักกันหนานี่ มีคนเข้าออกบ้านเราทั้งวันไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจเจ้าของบ้านมั่ง”
“เมื่อวานก็จั่วกันเที่ยงวันยันเที่ยงคืน เสียงเนี่ยดังจนหยีนอนไม่หลับ”
“นี่บ้านฉันหรือบ้านคนอื่นกันแน่เนี่ย ให้อยู่แล้วยังไม่เกรงใจกันอีก”
“ขืนปล่อยไปเรื่อยๆ อย่างนี้เราเดือดร้อนแน่ค่ะหยีว่า”
“จริงของหยี แค่วันเดียวแม่ก็เดือดร้อนจะแย่อยู่แล้ว ไม่นานแม่คงหัวใจวาย เราจะจัดการไอ้พวก
สัมภเวสีนี่ยังไงดีล่ะหยี ช่วยแม่คิดหน่อย”
ยาหยีนิ่งคิดอยู่สักครู่ ยิ้มบอกแม่ “คิดออกแล้วค่ะแม่”
“อะไรลูก?”
บุญเลื่องถามเพราะยังไม่เก็ต
ส่วนเหตุการณ์ภายในบ้านของบุญเลื่อง เวลานั้นวัลลภาได้ยึดห้อง และกำลังเล่นไพ่กันอย่างสนุกสนาน โดยวัลลภาเป็นเจ้ามือ
“เจ้าป๊อกแปด!” วัลลภาชี้ไปยังขาไพ่ทุกคน
“ใครจะสู้ ถ้าสู้มาต้องป๊อกเก้าอย่างเดียวนะยะอย่ามาหาญกล้า”
จังหวะนั้นก็มีเสียงผู้ชายดังมาจากหน้าห้อง
“แต่ผมป๊อกเก้า”
ขาไพ่ป๊อกเด้งทุกคนในห้องกำลังงง
“เสียงใครอ่ะ”
วัลลภาถาม บรรดาขาไพ่หันไปส่งเสียงถามต่อ แต่ไม่มีใครยอมรับ
“ไม่ได้อยู่ในนี้เหรอ อ้อฉันนึกออกแล้ว คงเป็นขาจรแน่ๆ รอเดี๋ยวนะคะเปิดประตูเดี๋ยวนี้แหละ” วัลลภาพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง พลางลุกไปเปิดประตู
“แหม บ้านนี้มันเปิดบ่อนเฮงจริงๆ กินรอบวงแล้วยังมีเหยื่อรายใหม่มาอีก”
ว่าแล้วก็เปิดประตูต้อนรับ “เวลคัมค่ะ ขาจร”
วัลลภาเจอขาไพ่ขาจรเป็นตำรวจ ถึงกับตาค้าง
“ครับ ผมจรมาจับพวกคุณครับ!” ตำรวจนายนั้นบอก
“ฮ๊า…ปิดประตูไม่รับขาจรค่า”
วัลลภาจะปิดประตูแต่ถูกตำรวจเอามือกั้นประตูไว้
“ไม่ทันแล้วครับ พวกเรา”
ตำรวจส่งสัญญาณ ตำรวจที่รออยู่ข้างหลังกรูกันเข้ามา จากนั้นบรรยากาศอลหม่าน ขาไพ่หนีตายกันจ้าละหวั่น วัลลภาถือไพ่อยู่ในมือปฏิเสธลั่น
“ฉันเปล่าเล่นนะคะคุณตำรวจ”
“แล้วในมืออะไรครับ”
วัลลภานึกขึ้นมาได้ ตกใจเห็นไพ่ที่ถืออยู่ในมือ
“ว๊าย คะ เค้ามาฝากถือไว้น่ะค่ะ”
การจับกุมรวบตัววัลลภาและขาไพ่ยังอลหม่านต่อไป
เวลาต่อมาวัลลภาเดินคอตกอยู่หน้าบ้านของบุญเลื่อง โดยมีตำรวจลากขึ้นรถกระบะไปพร้อมขาไพ่คนอื่นๆ วัลลภาขึ้นไปนั่งในรถก่อนจะไปหันมามองบุญเลื่องกับยาหยีอย่างอาฆาตมาดร้าย
“คนใจร้าย ทำกันได้ลงคอ คอยดูนะฉันจะกลับมาแก้แค้นแกคอยดุ”
“จ้ะ ฉันจะคอย แต่ตอนนี้เอาตัวเองให้รอดก่อนก็แล้วกันนะคะ” ยาหยีเยาะ
“ฮึ่ย! คนเขาบอกไม้ล้มอย่าข้าม ถ้าฉันออกมาได้ฉันจะมาจัดการแกจริงๆ ฉันสาบาน”
“คุณตำรวจฟังไว้นะคะ เขาข่มขู่พยาน อย่าปล่อยให้ออกมาง่ายๆ เชียวนะคะ”
“ฉันกลัวจังเลย กลัวๆๆ กลัวตายล่ะ ฮ่าๆๆ”
บุญเลื่องพูดพลางทำท่าล้อเลียน วัลลภาโกรธสุดๆ
ส่วนที่อนุบาลเด็กดี ครูกำลังสอนวิชาศิลปะให้เด็กนักเรียนวาดรูปครอบครัว ไข่ตุ๋นวาดรูปพ่อกับแม่ พร้อมหน้า เช่นเดียวกับข้าวตูวาดรูปครอบครัวแสนอบอุ่น ระหว่างที่ระบายสี กังฟูเข้ามาดึงภาพของทั้งสองคนไปจากมือ
“มาดูเร็วๆๆ พวกเรา สองคนนี้ขี้ตู่ ไม่มีพ่อไม่มีแม่แต่ก็อยากจะมีเหมือนพวกเรา ดูสิ”
กังฟูโชว์รูปวาดข้าวตูกับไข่ตุ๋นให้เพื่อนๆ ดู ข้าวตู และไข่ตุ๋นเข้าไปแย่งคืนมา
“เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ เราไม่ได้ขี้ตู่ซะหน่อย พ่อเรากลับมาอยู่กับเราแล้ว”
“แม่เราก็กลับมาอยู่กับเราแล้วเหมือนกัน”
“จ้างให้ก็ไม่เชื่อ คนโกธรกันแล้วจะกลับมาดีกันได้ยังไง” กังฟูบอก
“ทำไมจะดีกันไม่ได้ โกรธกันก็ดีกันได้นี่” ข้าวตูว่า ไข่ตุ๋นมาช่วยเสริม
“ใช่ พ่อแม่พวกเราดีกันแล้ว”
“ไม่เชื่อหรอก ถูกผู้ใหญ่หลอกแล้วยังไม่รู้ตัวอีก พวกเด็กโง่!” กังฟูพูดอย่างผู้รู้
“ไม่จริง พ่อไม่ได้หลอกเรา”
“แม่ก็ไม่ได้หลอกเราเหมือนกัน”
“ไม่เชื่อก็คอยดู เดี๋ยวจะหาว่าเฮียกังฟูไม่เตือนน!!!!”
กังฟูย้ำเสียงดัง
คืนนั้นที่โซฟาในห้องรับแขกบุญเลื่องกับยาหยีดูทีวี หัวเราะกันคิกคัก วสันต์เดินเข้าบ้านมาพูดทักทายโดยที่ยังไม่รู้ชะตากรรมของผู้เป็นแม่
“หัวเราะ อารมณ์ดีกันเชียวนะครับ มีอะไรขำเหรอครับ?”
“เรื่องขำของฉันสองคนน่ะ แต่สำหรับคนอื่นอาจจะขำไม่ออก!” บุญเลื่องบอก
“แหม ลึกลับจัง ชักอยากรู้แล้วสิ” วสันต์ว่า
“เดี๋ยวก็รู้ค่ะ” ยาหยีบอกยิ้มๆ
“แล้วนี่แม่ผมไปไหน ออกไปข้างนอกหรือเปล่า”
บุญเลื่องกับยาหยีมองหน้ากันขำๆ วสันต์เริ่มรู้สึกผิดสังเกตุ จังหวะนั้นโทรศัพท์มือถือของวสันต์ก็ดังขึ้นวสันต์กดรับ
“ฮัลโหล อะไรนะครับ แม่ถูกจับอยู่ที่สถานีตำรวจ!”
บุญเลื่องกับยาหยีแกล้งทำเป็นหาว
“โอ๊ย แม่ง่วงแล้วล่ะหยี”
“ขึ้นนอนกับเถอะค่ะแม่”
ยาหยีหยิบรีโมทปิดทีวีลุกขึ้นไปข้างบนพร้อมบุญเลื่อง
“ปัดโธ่เอ๊ย! หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ผมจะเอาเงินที่ไหนไปประกันตัวละครับ”
วสันต์หน้านิ่วคิ้วขมวดพูดอย่างโมโห เวลาเดียวกันนั้นเอนิตาก็โทรศัพท์เข้ามาเป็นสายเรียกซ้อน วสันต์รีบกดรับสายเอนิตา
“แค่นี้ก่อนนะครับแม่ มีสายเข้า... ไม่ได้ไปไหนก็จะหาเงินไปประกันแม่นั่นแหละ รอก่อนแล้วกัน” พลางกดรับสายซ้อน “ฮัลโหล...”
ไม่นานหลังจากนั้น วสันต์ก็เดินเข้ามาในผับที่นัดไว้ เขามองหาเอนิตา จนเห็นว่าเอนิตานั่งดริงค์รออยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์
วสันต์เดินเข้ามาสั่งเครื่องดี่มใกล้ๆ
“เรียกผมมาดึกๆ ดื่นๆ มีอะไรเหรอครับ หรือว่า…คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ” วสันต์พูดด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“เงียบเลยนะ คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย”
“อารมณ์ไม่ดีหรืออารมณ์ค้างกันแน่”
วสันต์พูดพลางกระดกเครื่องดื่มที่บริกรเสิร์ฟให้กรึ๊บหนึ่ง
“คุณเลิกลามกสักทีเถอะ เป็นงานเป็นการหน่อยได้มั้ย” เอนิตาเอ็ด
“ก็ได้ๆๆๆ ถ้างั้นมีอะไรล่ะ บอกมาสิ”
“เมื่อวานณนนท์มาขอเลิกกับฉัน เขาจะไปเริ่มต้นใหม่กับเมียคุณ!” เอนิตาโพล่งออกมา
“เมียผม คนไหนอะ?” วสันต์ยังเล่นไม่เลิก
“ขอร้องล่ะ อย่ามากวนประสาทฉันตอนนี้เลย คุณมีเมียกี่คนกัน นังยี่หวาไงล่ะ
“นึกแล้ว ทำไมแทงบอลไม่ถูกแบบนี้นะ”
“คุณจะว่ายังไง” เอนิตาถามเสียงเครียด
“เรื่องอะไรจะยอม ผมกำลังกล่อมให้ยี่หวาขายที่ ขืนผัวคุณได้เมียผมไปก็เอาขุมทรัพย์ผมไปด้วยน่ะ
สิ”
“เราหัวอกเดียวกัน” เอนิตาเอ่นพลางมองหน้าวสันต์ “ณนนท์ก็เป็นขุมทรัพย์ของฉันเหมือนกัน เรื่องนี้ฉันถึงยอมไม่ได้”
“แล้วจะให้ผมทำยังไง” วสันต์เป็นฝ่ายถามความเห็น
เอนิตานิ่งคิด อยู่ครู่หนึ่ง
“ทำแบบที่เราทำอยู่นี่แหล่ะ อยู่เป็นก้างขวางคอ ห้ามเซ็นใบหย่าเด็ดขาด ฉันอยากรู้นักว่าเมียคุณกับผัวฉัน จะไปได้สักกี่น้ำ”
“ไม่มีปัญหา ผมทำตามคุณทุกอย่าง ผมขออย่างเดียว”
“อะไร”
“ขอเบิกค่าแรงก่อนได้มั้ย” วสันต์พูดพร้อมแบมือขอเงิน
“ฉันนี่ดวงมันซวยจริงๆ เพิ่งหนีเสือตัวเป้งๆ อย่างไอ้พีทมาดั๊นมาเจอจระเข้ละโมบอย่างคุณอีก”
“ขอบคุณครับที่ชม” วสันต์พูดทั้งที่ยังแบมือ “เอาน่าหยวนๆ แล้วคุณค่อยไปถอนทุนคืนกับผัวคุณเอาตอนนี้ผมมีเรื่องต้องใช้เงินด่วน”
เอนิตาไม่พอใจแต่ก็ควักกระเป๋าควานหาเงินให้
วันรุ่งขึ้นขณะที่ยี่หวาหยิบจัดดอกไม้ช่อสวยแปลกตาอยู่ในร้าน มอร์แดนทรี เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมีข้อความเข้ามาจากณนนท์ “บ่ายโมงมีนัดประชุมงานที่บริษัทฯ ครับ” ยี่หวาหน้าเศร้าขึ้นมาทันที คิดถึงคำพูดของณนนท์ในเรื่องที่คุยกับเขาเมื่อวาน
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร คุณยังมีผมอยู่ใกล้ๆเสมอ ผมจะคอยดูแลอยู่ข้างๆ คุณตลอดไป ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานภาพจะไหนก็ตาม?!”
ระหว่างนั้นภูมิชายก็เดินเข้ามาหน้าร้านพอดี เห็นยี่หวาเหม่อจึงถามขึ้น
“กำลังคิดถึงใครอยู่ครับ”
“คุณภูมิชาย มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“มีครับ ผมมารับดอกไม้ที่สั่งไว้นี่ไงครับ”
“คุณน่ะเองที่แฟกซ์มาสั่ง นึกว่าใครซะอีก? อยากรู้จังเจ้าของช่อเป็นใครกันคะ ไม่เห็นแนะนำให้รู้จักกันบ้างเลย”
“คุณอยากรู้จริงๆเหรอครับ ว่าใคร?” ภูมิชายพูดพร้อมๆ กับยื่นดอกไม้ให้ยี่หวา “ก็คุณไงล่ะครับ”
ยี่หวาฟังแล้วอึ้ง “ทำไมคะ ในเมื่อฉันเองก็ปฏิเสธคุณไปแล้ว”
“วันนั้นมันผ่านไปแล้ว แต่พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณจะปฏิเสธผมได้ทุกวันหรือเปล่า? เที่ยงแล้วไปทานข้าวกันนะครับ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ช่วงบ่ายฉันมีนัดคุยงาน” ยี่หวารีบปฏิเสธ
“ถ้าคุณเอาเรื่องงานมาอ้าง งั้นก็ได้ อย่าลืมสิครับว่าคุณเองก็มีงานจัดสวนโครงการพลาซ่าเปิด
ใหม่ของผมอยู่กับผมเหมือนกัน งั้นผมขอใช้สิทธิ์ลูกค้าขอให้คุณไปประชุมกับผมเดี๋ยวนี้”
“แต่...” ยี่หวายังบ่ายเบี่ยง
“ไม่มีแต่ คุณเองก็รู้นี่ครับว่าลูกค้าคือพระเจ้า เพราะฉะนั้นห้ามปฏิเสธเด็ดขาด”
ภูมิชายพูดขู่เสียงหวานพร้อมเดินไปที่รถ ยี่หวาจำใจตามไป
ไม่นานหลังจากนั้นภูมิชาย ก็พายี่หวามานั่งอยู่ในร้านหรูโรแมนติก ทั้งคู่นั่งตรงข้ามกัน ภูมิชายมองยี่หวาตาเชื่อม ขณะที่ยี่หวามองแต่นาฬิกา จังหวะนั้นบริกรก็เดินเข้ามาเสิร์ฟไวน์ให้ ยี่หวาออกอาการงง
“ผิดโต๊ะหรือเปล่าคะ ฉันไม่ได้สั่ง”
“ไม่ผิดหรอกครับ ผมเป็นคนสั่งเอง การได้มาทานข้าวกับคุณคือโอกาสพิเศษของผม ดื่มสักนิดนะครับถือว่าให้เกียรติผม”
“แต่ฉันมีประชุมต่อนะคะ”
“งั้นต้องรีบดื่มเข้าไปใหญ่ ผมไม่ได้กะจะมอมคุณนะครับ” ภูมิชายกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อน
จะหันมาพูดกับยี่หวาเบาๆ
“สารภาพตรงๆ ก็ได้ ถ้าไม่ดื่ม ผมคิดงานไม่ออก แล้วผมก็ดื่มคนเดียวไม่ได้ซะด้วย คุณยี่หวาช่วยผมหน่อยนะครับ”
ยี่หวามองที่นาฬิกาซึ่งบอกเวลาว่าใกล้บ่ายโมงแล้ว
“ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณมีนัดที่ไหนครับเดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง”
ที่ห้องประชุมณนนท์คุยงานกับลูกน้องเสร็จพอดี
“หลักๆ ก็คงจะแค่นี้แหล่ะ ทุกคนแยกย้ายไปทำงาน”
“แต่ยังมีเรื่องการตกแต่งสถานที่ของคุณยี่หวาอีกนะคะ ยังไม่ได้บรีฟเลยว่าจะเป็นโทนสีอะไร ใช้ดอกไม้ชนิดไหนบ้างฝ่ายฉากจะได้ทำสีให้แม็ทกัน คุณนนท์บอกคุณยี่หวาไปแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าเรามีประชุมวันนี้” ลูกน้องเอ่ยถาม
“ผมแมสเสจบอกไปแล้วเมื่อเช้า”
“แล้วทำไมยังไม่มาอีก ปรกติคุณยี่หวาก็ตรงเวลานี่นา”
ณนนท์ยังไม่ทันตอบเสียงเคาะประตูหน้าห้องประชุมก็ดัง
“สงสัยจะมาแล้วค่ะ”
ณนนท์มีสีหน้าโล่งใจขึ้นมาทันที พร้อมกับที่มองไปเห็นว่ามีภูมิชายมาส่งยี่หวา ยี่หวาเดินมานั่งที่เก้าอี้พลางขอโทษ
“โทษนะคะที่ฉันมาสาย”
“พอดีเราสองคนฉลองกันนิดหน่อยนะครับ เลยมาช้าไปนิดหนึ่ง”
ภูมิชายพูดเป็นนัย ยี่หวามองหน้าณนนท์พยายามอธิบาย
“หวังว่าคุณนนท์คงใจกว้าง ไม่ถือโทษโกรธแล้วก็ไม่ซีเรียสว่าใครก่อนใครหลังนะครับ!”
ภูมิชายพูดแกมเย้ยหยัน และประกาศศึกชิงนางขึ้น ณนนท์ยังคงทำหน้านิ่ง เก็บอารมณ์ ยี่หวารู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก ในสถานการณ์แบบนี้
เมื่อการประชุมเสร็จสิ้นลงแล้ว ลูกน้องของณนนท์พากันทยอยเดินกันออกมาจากห้องประชุม เหลือเพียงณนนท์กับยี่หวา ณนนท์ยังมีสีหน้าบึ้งตึง
“คุณนนท์ ฉันขอโทษจริงๆ นะคะที่มาสาย คือว่าฉัน...”
“ไม่เป็นไรหรอกครับผมเข้าใจ คนเสน่ห์แรงก็อย่างนี้แหละ คนเก่าก็ยังตัดไม่ตายขายไม่ขาด ส่วนคนใหม่ก็มีมารอให้เลือกถึงสองคน” ณนนท์กัดเบาๆ
“ฉันบอกคุณแล้วไง ว่าเรื่องของฉันกับวสันต์มันจบไปแล้ว ส่วนคุณภูมิชายฉันก็ปฏิเสธเขาไปแล้ว
แล้วที่ฉันดื่มนี่เพราะขัดที่เค้าเป็นลูกค้าไม่ได้” ยี่หวาบอกฉุนๆ
“ถามจริง คุณไม่รู้สึกอะไรกับเค้าเลยเหรอ”
“คำตอบของฉันคือไม่ พอใจหรือยัง”
ณนนท์มองยี่หวาอย่างพอใจ สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความหวังอีกครั้ง
“ผมรักคุณนะยี่หวา ยิ่งนานวันผมก็ยิ่งมั่นใจว่าผมอยากจะเป็นดูแลคุณทั้งชีวิตของผม”
“แล้วคุณคิดว่าฉันไม่ได้รักคุณเหรอ?”
“เราสองคนต้องรีบแก้ปัญหานี้ให้ตก”
“คุณจะทำยังไง” ยี่หวาถามอย่างกังวลใจ
“ผมจะบอกความจริงกับเด็กๆ ให้ลูกของเราเข้าใจและยอมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ คุณกับผม
จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า...”
“คุณจะพูดกับลูกยังไงคะ แล้วคิดว่าพวกแกจะยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ งั้นเหรอ”
ยี่หวาถามด้วยความกังวล
“เมื่อถึงเวลา ผมคิดว่าลูกๆ คงเข้าใจ แต่ตอนนี้เราทั้งสองคนต้องหนักแน่น เข้าไว้เพื่อให้ความรักของเราดำเนินต่อไปได้”
“ค่ะ ฉันเชื่อคุณ ณนนท์”
ณนนท์คว้ามือยี่หวามากุมไว้ สายตาของทั้งสองคนเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
อ่านต่อหน้า 2 วันพรุ่งนี้
อาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ลิขิตเสน่หาตอนที่ 15 (ต่อ)
ค่ำคืนนั้น เอนิตาเปิดประตูเข้ามายังห้องณนนท์ วิ่งขึ้นไปนอนที่เตียงอย่างคุ้นเคย ในขณะที่ณนนท์เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกมาจากห้องน้ำ เอนิตาแกล้งทำเป็นนอนหันหลังใกล้หลับแล้ว ณนนท์คว้าหมอนแล้วจะเดินออกจากห้อง เอนิตาพลิกตัวกลับมาในทันที
“นั่นคุณจะไปไหน”
“ผมจะไปนอนห้องพ่อ”
“อ้าว แล้วฉันล่ะ”
“คุณก็นอนกับลูกไปสิ อยากอยู่กับลูกไม่ใช่เหรอ”
“อย่าทำอย่างนี้กับฉันได้มั้ย เราจะคุยกันดีๆ ไม่ได้เลยเหรอ ให้โอกาสกันบ้างสิ”
“ไม่ว่าคุณจะพยายามเท่าไหร่ เราก็ไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้หรอกนิตา ตอนนี้ผมให้คุณได้
แค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้นจริงๆ”
เจอณนนท์พูดอย่างจริงจังแบบนี้ เอนิตารีบเอาเรื่องลูกมาอ้างทันที
“แล้วลูกของเราล่ะ คุณลืมไข่ตุ๋นไปแล้วหรือไง คุณไม่อยากให้แกมีครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนเด็กคน
อื่นงั้นเหรอ ถึงได้ปฏิเสธฉัน”
“คุณหลอกลูกได้แต่หลอกผมไม่ได้ คุณไม่ได้ต้องการผมหรอก ที่คุณต้องการคือเงินแล้วก็ชัยชนะ
เท่านั้นแหละ”
“คุณจะรู้ดีไปกว่าตัวฉันได้ยังไง”
จังหวะนั้นเองไข่ตุ๋นก็เคาะประตูร้องเรียกอยู่หน้าห้อง
“แม่ขา หนูมาแล้วค่ะ”
“นี่ล่ะคือบทพิสูจน์ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณจะทนทำหน้าที่เป็นแม่ที่แสนดีได้นานแค่ไหน”
ณนนท์เดินไปเปิดประตู จุ๊บแก้มลูกแล้วเดินจากไป
“พ่อไปไหนคะแม่”
“ไปที่ชอบๆ มั้ง ช่างเถอะ! ไข่ตุ๋นมีอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมยังไม่นอนละค่ะ”
“ก่อนนอนพ่ออ่านนิทานให้ไข่ตุ๋นฟังทุกคืน ตอนนี้คุณแม่มาอยู่ด้วย คุณแม่ต้องเป็นคนอ่านนิทานให้ไข่ตุ๋นฟังทุกวันเลยนะคะ”
“ก็ได้ ไหนล่ะลูกหนังสือ”
“นี่ไงคะ”
ไข่ตุ๋นหยิบหนังสือนิทานเล่มยักษ์ที่วางไว้ข้างเตียงมาโชว์ เอนิตาตะลึง
“นั่นมันการ์ตูนหรือวิทยานิพนธ์กันแน่เนี่ย ทำไมมันใหญ่อย่างนั้นล่ะ!!!”
เอนิตาทำท่าหมดแรง เล่นบทแม่แสนดีมันยากอย่างนี้เอง
คืนเดียวกันนั้นภายในห้องรับแขกบ้านยี่หวา ข้าวตูนอนหลับสนิทในอ้อมกอดพ่อ วสันต์ค่อยๆ แกะมือข้าวตูออกแล้วลุกเดินขึ้นไปข้างบน วสันต์เดินย่องมาหยุดยืนที่หน้าห้องยี่หวา
“เสร็จฉันแน่ ทีนี้แหล่ะรับรองว่าเธอจะต้องใจอ่อน”
ส่วนภายในห้องยี่หวากำลังนอนหลับอยู่บนเตียง คืนนี้บุญเลื่องและยาหยีอาสามานอนเป็นเพื่อนที่ด้านข้างของเตียง โดยที่วสันต์ไม่รู้!!
วสันต์มองฝ่าความมืดเข้าไป ค่อยๆ ย่องเข้ามาแต่พอใกล้ถึงเตียงก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเหยียบอะไรเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย!” บุญเลื่องร้องลั่นเพราะโดนเหยียบ และนึกรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร ว่าแล้ว ไอ้แมวขโมย ผิดคำซะ
ที่ไหน หยีเปิดไฟลูก แล้วเอาไม้มาให้แม่”
“ได้เลยค่ะแม่”
ยาหยีลุกขึ้นมาเปิดไฟ แล้วส่งไม้เบสบอลให้แม่ บุญเลื่องถือไม้อย่างทะมัดทะแมง “ช่วงนี้ช่วงปิดประตูตีแมว แกตาย...!!”
“ยี่หวาช่วยผมด้วย” วสันต์ร้องลั่น
“สมน้ำหน้า จัดให้หนักเลยค่ะคุณแม่” ยี่หวาบอก
“ได้เลย นี่แหน่ะๆๆ”
บุญเลื่องไล่ตีวสันต์ จนต้องรีบเผ่นออกจากห้องไป
“สมน้ำหน้า คิดจะฉวยโอกาสเหรออย่าหวังซะให้ยาก” ยาหยีหัวเราะ
สามแม่ลูกมองหน้ากันอย่างสะใจ
เช้าวันต่อมา วสันต์เดินเข้ามาในครัว ทั้งที่แขนเต็มไปด้วยรอยช้ำเพราะเอาแขนรับไม้เบสบอลเมื่อคืนนั่นเอง ข้าวตูนั่งทานข้าวอยู่กับทุกคน เห็นแขนพ่อช้ำจึงร้องถาม
“พ่อไปทำอะไรมาครับ”
วสันต์เจอคำถามลูกชายต้องกัดฟันกรอดๆ
“ตกกระไดมาลูก”
“สงสัยพ่อเราเขาจะยังไม่ชินทาง ถึงได้เดินเข้าห้องผิดๆ ถูกๆ เลยโดนซะ”
“โดนอะไรเหรอครับคุณยาย”
“ก็เดินตกกระไดไงล่ะ ข้าวตู”
“ตอนกลางคืนถ้าคุณพ่อจะลุกไปไหนบอกข้าวตูนะครับ ข้าวตูจะพาไปเอง หรือบอกคุณแม่ก็ได้”
“แม่เขาคงไม่อยากจะดูแลพ่อหรอกลูก”
“ไม่จริงหรอกครับ แม่รักข้าวตูก็ต้องรักพ่อของข้าวตูด้วย จริงมั้ยครับแม่?”
ยี่หวาไม่ตอบรวบช้อน
“รีบทานข้าวสิลูกเดี๋ยวจะไปโรงเรียนสายนะ”
“แต่แม่ยังไม่ตอบข้าวตูเลย”
“ข้าวตู!”
ยี่หวาหน้านิ่ง เสียงแข็ง ข้าวตูหยุดไป ยี่หวาหันไปพูดกับบุญเลื่อง
“หนูขอตัวไปรอข้างนอกนะคะ”
วสันต์มองตาม ข้าวตูรู้สึกสงสารพ่ออย่างเดียว
ครู่ต่อมายี่หวาเดินมาสงบอารมณ์ ยืนถอนใจอยู่ที่หน้าบ้าน วสันต์เดินตามออกมา พูดจาตัดพ้อ
“คงสะใจมากสิ ตอนเห็นแม่คุณแพ่นกบาลผม จะห้ามสักคำก็ไม่มี ปล่อยให้ตีเอาๆ”
“ฉันไม่ยุให้แม่ตีจนตายก็บุญเท่าไหร่แล้ว อยู่ดีๆ มาย่องเข้าห้องคนอื่น”
“คนอื่นที่ไหนกันล่ะก็คุณเป็นเมียผม ทำไมผมจะไปนอนกับเมียผมไม่ได้เหรอไง”
“เดี๋ยว เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ที่ฉันให้คุณมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อลูกเท่านั้น”
“ไม่เอาน่ายี่หวา ไหนๆ ผมก็สำนึกผิดแล้วจริงๆ เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ”
“โอกาสของคุณหมดแล้วค่ะ อย่าได้คิด อย่าได้หวัง ว่าเราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก”
“ใช่สิ ตอนนี้คุณมีคนอื่นแล้วนี่ ผมมันก็ไอ้แค่ขยะเก่าๆ ชิ้นเหนึ่งที่คุณไม่ต้องการก็เท่านั้น”
ยี่หวาฟังที่วสันต์เปรียบเปรยก็รู้สึกขำ
“แหม คุณช่างเปรียบเทียบตัวเองได้ถูกใจฉันจริงๆ เลย”
ยี่หวาเดินหนีออกไป วสันต์นึกขึ้นได้ว่าเปรียบเปรยตัวเองเป็นขยะ รู้สึกเจ็บใจ
“นี่เราพูดอะไรออกไปวะเนี่ย ปัดโธ่เว๊ย”
ชม้อยกำลังนั่งทาเล็บเท้าสีใหม่ ใกล้ๆ เท้ามีที่เสียบง่ามนิ้วเท้าเสียบอยู่ ทำไปบ่นไปทุลักทุเล
“ดูซิ เดินตามแฟชั่นจนเล็บจะขบหมดแล้วเนี่ย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ด้าย”
เป็นวลาเดียวกับที่เพิร์ลลี่เดินซึมๆ ลงบันไดมา และเดินผ่านแม่ไปอย่างไม่สนใจ ชม้อยงงจนหยุดทาเล็บ เดินเขย่งๆ ไปถามลูก
“เพิร์ลลี่นั่นลูกจะไปไหนคะ ลืมหรือเปล่าคะลูกว่าวันนี้หนูมีนัด”
“ไม่ลืมค่ะแต่ไม่รับรู้! คุณแม่นัดเองก็ไปเองสิคะ”
“อ้าว ทำแบบนี้ได้ยังไงละคะ มันเหมือนไม่มีความรับผิดชอบเลยนะลูก”
“หนูรับผิดมาเยอะแล้วค่ะแม่ ต่อไปนี้ให้หนูทำอะไรที่หนูชอบบ้างเถอะ”
“คุณแม่ขอเม้นท์หน่อยนะคะว่าหนูพูดแบบนี้หมายความว่าเพิร์ลลี่จะดื้อ จะไม่เป็นเด็กดี ไม่เป็นลูก
กตัญญู ไม่เชื่อฟังคำสั่งของคุณแม่อีกแล้วเหรอคะ
เพิร์ลลี่หันมองหน้านิ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ค่ะ”
ชม้อยช็อก!!
“โอ้.. ฉันจะเป็นลม” ชม้อยใช้มุกเดิมๆ ทำเป็นลนลาน “ลูกอม ยาดม ยาหอม อยู่ไหน”
“เป็นไปเลยค่ะแม่ มุขนี้หลอกเพิร์ลลี่ไม่ได้แล้วล่ะค่ะ!”
ชม้อยทำตาโตไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“ก้าวร้าว กำเริบ ทำกับแม่ได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ ใครเสี้ยมแกมา ไอ้สุดยอดใช่มั้ย ใช่แล้วต้องเป็นมันแน่ๆไม่งั้นลูกเพิร์ลลี่ไม่มีวันพูดอย่างนี้กับคุณแม่อย่างเด็ดขาด”
“เรื่องนี้พี่ยอดไม่เกี่ยวค่ะ ที่เป็นอย่างนี้เพราะเพิร์ลลี่เบื่อ ได้ยินมั้ยคะว่าเพิร์ลลี่เบื่อคุณแม่อย่ามายัดเยียดอะไรให้เพิร์ลลี่อีก เพิร์ลลี่จะไม่ทนคุณแม่อีกต่อไปแล้ว พอกันที ได้ยินมั้ยพอกันที!”
เพิร์ลลี่พูดจบก็เดินหนีออกจากบ้านไป
“กลับมาก่อนลูก แล้วคุณคเชนทร์จะทำยังไง แม่นัดไว้แล้วนะลูก เพิร์ลลี่ เพิร์ลลี่”
ชม้อยร้องเรียกและจะออกวิ่งตาม อย่างทุลักทุเลเพราะเล็บไม่แห้ง
“เวรจริงๆ ลูกนะลูก เห็นผู้ชายดีกว่าแม่ ฮือๆ”
ชม้อยเจ็บใจขัดใจสารพัด
สุดยอด กับยาหยี กำลังบันทึกเทปรายการในสตูดิโอ ว่าน นัท และโมนดูแลการถ่ายทำ
ยาหยีกำลังสาธิตการนำดอกไม้ริมทางมาจัดเป็นช่อดอกไม้หรู
“หลายคนที่คลั่งไคล้ดอกไม้นอกต้องคิดใหม่แล้วนะคะ เพราะวันนี้หยีจะมาสาธิตการจัดช่อดอกไม้
แบบง่ายๆ ซึ่งดอกไม้เราพบเห็นอยู่ทั่วไป ทั้ง ดอกรัก ดอกบานไม่รู้โรย ดอกดาวเรือง ดอกดาวกระจาย”
“โห แต่ละดอกชื่อเป็นมงคลและความหมายดีทั้งนั้นเลยนะครับ ว่าแต่คนที่ได้รับเขาจะปลื้มเหรอ
ครับ เพราะมันก็แค่ดอกไม้ธรรมดาๆ ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร”
ยาหยีพูดไปจัดดอกไม้ไป ขมวดแต่งและจัดช่ออย่างคล่องแคล่ว
“มูลค่าอาจไม่เท่าไหร่แต่หยีว่าผู้รับส่วนใหญ่พิจารณาจากคุณค่ามากกว่านะคะ อะไรก็ตามที่ทำ
ด้วยใจล้วนมีคุณค่าเสมอค่ะ” ยาหยีว่า
สุดยอดปรบมือเสียงดัง
“คมมาก คุณทำให้ผมตาสว่างเลยนะครับ แล้วผมก็เชื่อด้วยว่าดอกไม้ช่อนี้มีคุณค่าจริงๆ เพราะคนทำทำด้วยหัวใจ”
“แน่นอนค่ะ แล้วเราก็ได้ช่อดอกไม้ที่ทรงคุณค่าโดยที่เราไม่จำเป็นต้องเสียเงินแพงๆซื้อ แต่ผู้รับก็
ภูมิใจเหมือนกัน”
“คุณผู้ชมคงเห็นด้วยใช่มั้ยครับว่า การให้ที่มาจากใจสำคัญที่สุด เอาละครับ สำหรับวันนี้เราสองคน
ต้องลาไปก่อนแล้วถ้ามีโอกาสก็จัดช่อดอกไม้แบบนี้ ไว้ให้ญาติผู้ใหญ่หรือแฟนคุณบ้างนะครับ ไม่ต้องไปซื้อหาแต่ทำขึ้นมาจากหัวใจ สวัสดีครับ” สุดยอดปิดรายการอย่างสุดซึ้ง
“คัท! เยี่ยมยอด” ว่านสั่งเสียงดัง
“บาดใจสุดๆ ไปเลย ดูสิ อินกันทั้งห้องส่ง!” นัทบอก
ระหว่างนั้นว่านหันไปบอกกับทีมงาน
“พักกันก่อนนะครับเตรียมฉากต่อไป”
สุดยอดกับยาหยียังอยู่ที่เคาท์เตอร์รายการคุยกันกระหนุงกระหนิง
“ไม่รู้ว่าชาตินี้ผมจะมีโอกาสได้รับช่อดอกไม้จากใจของใครหรือเปล่า?”
สุดยอดพูดพร้อมส่งสายตามองยาหยีตาเชี่อม
“อยากได้เหรอ งั้น…”
ยาหยีทำท่าจะยื่นให้แต่จู่ๆ ก็มีช่อดอกไม้จัดอย่างสวยหรูจากใครบางคนแทรกเข้ามาคั่นกลาง
“ดอกไม้จากใจเพิร์ลลี่ให้พี่ยอดค่ะมากด้วยมูลค่าและคุณค่า ชนิดที่ว่าดอกไม้ริมทางดอกไหนก็สู้ไม่ได้!” เพิร์ลลี่เย้ย
“มันเรื่องอะไรกันครับ จู่ๆ เพิร์ลลี่ก็เอาดอกไม้มาให้พี่ทำไม”
“เพิร์ลลี่มาขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมาค่ะ เพิร์ลลี่ลังเล หัวอ่อนแล้วก็ใจอ่อนเกินไป แต่ตอนนี้
เพิร์ลลี่รู้ใจตัวเองแล้วว่าเพิร์ลลี่รักใคร เพิร์ลลี่รักพี่ยอดค่ะ ให้อภัยเพิร์ลลี่นะคะแล้วเรากลับมารักกันเหมือนเดิม นะคะๆ”
เพิร์ลลี่อ้อนจนสุดยอดอึ้งหันมองหน้ายาหยี ซึ่งถือช่อดอกไม้ของตัวเองเดินหนีไป สุดยอดจะตามแต่เพิร์ลลี่ดึงแขนเอาไว้
“เพิร์ลลี่มาขอโทษจากใจ อย่าทำให้เพิร์ลลี่หน้าแตกสิคะพี่ยอด”
เพิร์ลลี่กระซิบแล้วยัดเยียดดอกไม้ให้ สุดยอดมองไปรอบห้องเห็น ว่าน นัท และโมนกำลังจ้องกันตาเขม็ง
“พี่ยอดก็เห็น ทีมงานอยู่กันเยอะแยะ ถ้าพี่ยอดไปตอนนี้เพิร์ลลี่คงไม่มีหน้ามองใครได้อีก ตกลงพี่ยอดให้อภัยเพิร์ลลี่นะคะ”
สุดยอดอ้ำอึ้งคิดสักพัก
“เพิร์ลลี่ พี่ขอโทษ”
สุดยอดพูดพลางแกะมือเพิร์ลลี่แล้วทำท่าจะตามยาหยีไป
“เดี๋ยวค่ะ พี่ยอด”
เสียงเพิร์ลลี่ดังแทรก สุดยอดหันกลับไปตามเสียง จังหวะนั้นเองเพิร์ลลี่ใช้ไม้ตายถลาเข้ามาประทับรอยจูบ ปากประกบปาก ว่าน นัท และโมนพากันอึ้งตะลึงตาค้าง
“โอ้ว หมัดเด็ด!”
“ถ่านไฟเก่าไม่คุวันนี้ก็ไม่รู้จะคุวันไหนแล้ว” นัทบอก
ยาหยีเดินไปถึงหน้าประตูหันมาเห็นภาพนั้นพอดี ยาหยีพยายามบังคับตัวเองทั้งที่ภายในใจสั่น เธอหน้าเสีย มือไม้หมดเรี่ยวแรง และดอกไม้ริมทางที่เก็บมาเมื่อครู่ถูกปล่อยร่วงลงพื้นอย่างไม่รู้ตัว
ยาหยีเสียใจมากเดินร้องไห้ออกมาที่หน้าสตูดิโอ เป็นจังหวะเดียวกับที่รถของก้องแล่นเข้ามา ยาหยีไม่ทันมอง ก้องต้องเบรครถดังเอี๊ยดเพราะเกือบชนยาหยี แล้วรีบจอดรถเปิดประตูวิ่งออกมา
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับคุณหยี
“หยีไม่เป็นอะไรค่ะ” ยาหยีทำเป็นปากแข็ง
“แน่ใจนะครับ ให้ผมช่วยอะไรมั้ย”
“ถ้าคุณก้องจะช่วย ช่วยพาหยีออกไปจากที่นี่หน่อยสิคะ”
ก้องกำลังประคองยาหยีขึ้นรถ สุดยอดตามออกมาทัน และเห็นเข้าพอดี
“คุณจะทำอะไร”
“ทำตามที่คุณหยีขอร้อง คุณหยีบอกให้ผมพาออกไปจากที่นี่” ก้องบอกเสียงเรียบ
“ไม่ต้อง ผมไม่ไว้ใจคุณ เอามือคุณออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ผมจะพายาหยีไปเอง!”
สุดยอดเข้าไปปัดแขนก้องแล้วประคองยาหยีแทน แต่ยาหยีปัดมือสุดยอดออกทันที
“เอามือคุณนั่นแหล่ะออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ”
“หยี คุณเป็นอะไร คุณโกรธผมเรื่องอะไร?!” สุดยอดงงๆ
“ฉัน...” ยาหยีอ้ำอึ้งพูดไม่ออก “เอาเป็นว่าฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไปไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้เลย”
ยาหยีหนีขึ้นรถก้องไป ก้องได้ทีมองสบตาสุดยอดเหมือนจะเย้ยหยันว่าเวลานี้ตัวเองเหนือกว่า
เวลาต่อมายาหยีก็มานั่งเหม่อทอดอารมณ์อยู่ริมแม่น้ำ โดยมีก้องนั่งอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อน
“ผมไม่เคยเห็นคุณเป็นแบบนี้มาก่อนเลย คุณพอจะบอกผมได้มั้ยว่าคุณมีปัญหาอะไร”
“เปล่านี่ ฉันก็ปกติดี” สาวมั่นปฏิเสธ
“แต่ท่าทางคุณมันฟ้องว่าไม่ใช่ ที่คุณเป็นแบบนี้เพราะนายสุดยอดใช่มั้ย เขากลับมาคบกับเพิร์ลลี่
เหรอครับ”
“ใครจะคบใครไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย ทำไมฉันต้องรู้สึกไม่ดีด้วย” ยาหยีสวนทันที
“นั่นน่ะสิ ผมก็งง ทำไมคุณถึงรู้สึกไม่ดี”
ยาหยีอึ้ง หลบสายตาของก้องที่มองมาแบบคาดคั้น
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณรักนายสุดยอดนั่น” ก้องพูดแทงใจดำ
“ฉัน… ฉัน…” ยาหยีอึกอัก
“ผมไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมผู้หญิงถึงได้หลงรักนายสุดยอดกันหมด ผู้ชายคนนั้นมันมีอะไรดี”
“เลิกพูดถึงคนๆ นี้เถอะค่ะ ฉันขอร้องละ”
“อย่าปฎิเสธหัวใจตัวเองเลยครับหยี คุณตกหลุมรักนายสุดยอดเข้าเต็มเปาแล้วละผมว่า” ก้องบอก
“ไม่จริง คนอย่างฉันไม่มีวันตกหลุมรักผู้ชายแบบนั้นแน่”
“พิสูจน์สิครับ ว่าไม่จริง”
“ยังไงคะ”
“ให้โอกาสผม คบกับผม แล้วเราจะไม่คุยเรื่องนั้นกันอีก ต่อไปจะมีแต่เรื่องของเรา
ก้องมองยาหยีตาเชื่อม ยาหยีรวบรวมสติเพื่อพูดให้ก้องเข้าใจ
“จะไม่มีเรื่องของเราค่ะ หยีไม่นิยมที่จะคบใครเพื่อประชดใครอีกคน ถ้าพี่ก้องอยากช่วยจริงๆ ช่วย
พาหยีไปส่งบ้านก่อนนะคะ”
“แต่…” ก้องอิดออด ทำท่าจะไม่ยอมทำตาม
“นะคะ หยีขอร้อง หยีอยากกลับบ้าน”
ยาหยีเดินขึ้นรถไป ก้องจำใจไปส่ง
คืนนั้นวสันต์นอนดูทีวีอยู่ข้างล่าง มือคุมรีโมทคนเดียว ข้างตัวรอบกายมีจานของกินที่หมดแล้ววางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะ บุญเลื่องเดินเข้ามาบ่นพึมพำด้านหลัง
“นี่แหละน่า เขาเรียกนั่งกินนอนกินขนานแท้”
“บ่นอะไรอีกครับคุณแม่ ผมหิวจังเลย อุ่นไส้กรอกให้กินหน่อยสิครับ”
“ฉันไม่ใช่คนใช้นะยะ อย่ามาปีนเกลียววันไหนฉันทนไม่ไหวล่ะน่าดู”
“เฮ้อ คนแก่เป็นเหมือนกันหมดหรือเปล่านี่ ขี้บ่นจริงๆ”
“ไม่อยากให้บ่น ก็อย่าทำอะไรที่มันขวางหูขวางตาให้มากนักสิ ฉันเองก็จะทำไม่รู้ไม่เห็นเพื่อลูกฉันเหมือนกัน”
ขณะที่บุญเลื่องบ่นพลางจะเดินขึ้นไปชั้นสองแต่เท้าก็ไปสะดุดอะไรบางอย่าง
“นี่อะไร”
เป็นกางเกงในที่ยังไม่ซักของวสันต์ขดเป็นเลขแปดวางอยู่กับพื้น
“ทำเป็นไม่เห็นสิครับ! กางเกงในผมเองแหล่ะ แม่ไม่อยู่ ไม่มีใครซักให้” วสันต์บอกหน้าตาเฉย
“อึ๊ย ไอ้บ้า ไอ้ทุเรศ ฉันสุดจะทนกับแกแล้วนะ”
บุญเลื่องพูดก่อนจะปากางเกงในใส่วสันต์ แล้ววิ่งขึ้นไปข้างบนบ้าน
ยี่หวายืนอยู่ข้างหลังได้ยินทั้งหมด รู้สึกไม่สบายใจ บ่นพึมพำออกมา
“ฉันชักศึกเข้าบ้านหรือเปล่านี่!”
ค่ำคืนนั้น ยาหยียังนอนซมอยู่บนเตียงนอน เสียงเคาะประตูห้องดัง บุญเลื่องเปิดประตูเดินเข้ามา
“หยี ช่วยพาแม่ไปจากที่นี่หน่อยเถอะ แม่ทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ” บุญเลื่องพูดน้ำตาซึม
“แม่จะไปไหนคะ ที่นี่เป็นบ้านของเรานะคะทำไมเราต้องหนีด้วย”
“หยีอยากให้แม่อกแตกตายหรือไง ถ้าขืนแม่อยู่ต่อไป แม่ต้องทนไม่ไหว คว้ามีดมาฆ่าไอ้ลูกเขยจอมโสโครกนั่นแน่ๆ” บุญเลื่องสุดจะอัดอั้น
“แม่ใจเย็นๆ ค่ะเราต้องอดทนเพื่อพี่ยี่หวากับข้าวตูนะคะ” ยาหยีปลอบผู้เป็นแม่
“ก็เพราะยี่หวาไงแม่ถึงต้องไป หยีคิดเหรอว่ายี่หวาเขามีความสุข แม่รู้เขาทุกข์ยิ่งกว่าแม่ซะอีก”
“แม่!” วินาทีนั้นเองเสียงยี่หวาก็ดังแทรกขึ้นมา
ที่แท้ยี่หวาฟังอยู่หน้าประตู นานแล้ว เมื่อทนฟังไม่ได้ไหวเดินเข้ามากราบตักบุญเลื่อง
“แม่ หนูขอโทษ หนูขอโทษจริงๆ ค่ะแม่”
“ไม่เป็นไรเลยลูก แม่รู้ แม่เข้าใจทุกอย่าง”
“แม่ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น หนูจะไปเอง”
“ไม่ได้นะลูก หนูไม่ได้ตัวคนเดียวไหนจะยังมีข้าวตูอีก จะเอาข้าวตูไประหกระเหินข้างนอกได้ยังไง
กัน”
““แล้วแม่จะไปอยู่ที่ไหน”
“บ้านสวนเราไงลูก ไม่ต้องคิดมากนะ คิดซะว่าแม่กับหยีไปพักผ่อน”
“ดีเหมือนกัน หยีก็เบื่อคนเฮงซวยเต็มที ไม่ต้องห่วงนะคะพี่ยี่หวา หยีจะดูแลแม่เอง”
“พี่ขอโทษนะหยี”
ยาหยีกอดยี่หวา บุญเลื่องมองลูกสาวอย่างเห็นใจในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้
ภายในสตูดิโอบริษัทของยิ่งเช้าวันนี้มีบันทึกเทปรายการ ว่าน นัท และโมน ตรวจเช็คอุปกรณ์เตรียมตัวอัดรายการฯ ขณะที่สุดยอดนั่งอยู่ที่เคาท์เตอร์เพียงคนเดียว ชะเง้อมองหาแต่ไม่เห็นยาหยี
“ทุกฝ่ายพร้อมมั้ยครับ!”
“เดี๋ยวๆ จะเริ่มแล้วเหรอ ยาหยียังไม่มาเลย” สุดยอดแย้ง
“เขาเพิ่งโทรฯ มาลาพักร้อน ระหว่างนี้ให้เพิร์ลลี่จัดรายการแทนไปก่อน
“เฮ้ย! ลาตอนไหน ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง” สุดยอดโวย
“อ้าว! แกเป็นฝ่ายบุคคลหรือเปล่าล่ะ เขาถึงต้องมาลากับแก” นัทว่า
“ทำอย่างนี้ได้ยังไง
สุดยอดพึมพำ แล้วกดโทรศัพท์หายาหยีต่อ จังหวะนั้นเพิร์ลลี่ก็เดินเข้ามาหา
“พี่ยอดโทรตามเพิร์ลลี่อยู่เหรอคะ ไม่ต้องแล้วค่ะ เพิร์ลลี่มารายงานตัวแล้ว”
ว่าแล้วเพิร์ลลี่ก็แย่งเอาโทรศัพท์สุดยอดมาตัดสาย หันไปพูดกับทุกคนเสียงดัง
“เริ่มงานได้แล้วค่ะทุกคน”
สุดยอดจำใจเดินไปอัดรายการ ส่วนที่หน้าประตูชม้อยเดินเข้ามาด้วยหน้าตาบอกบุญไม่รับ
“เดี๋ยว อย่าเพิ่ง ฉันมีเรื่องต้องคุยกับแกไอ้สุดยอด”
ชม้อยเดินไปหาเรื่องสุดยอด
“มีเรื่องอะไรกับผมครับ”
“หนอย ยังจะมาถามมีเรื่องอะไร เพราะแกคนเดียวลูกสาวฉันถึงได้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้”
“เดี๋ยว ผมไปทำอะไรลูกสาวคุณแม่”
“ยังจะมีตีหน้าซื่อ กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง แกทำของอะไรใส่ลูกฉัน บอกมาซะดีๆ”
“หยุดเถอะค่ะคุณแม่ พวกเรากำลังทำงานนะคะ” เพิร์ลลี่ห้ามแม่แต่ถูกด่ากลับ
“ลูกนั่นแหล่ะที่ต้องหยุด ตอนนี้ลูกไม่มีสติสตังหลงเหลืออยู่หรอกเพราะ ลูกโดนมันทำของ โดนคุณไสย์เต็มๆ แม่ขอเม้นท์”
ถูกชม้อยด่าว่า เพิร์ลลี่ได้แต่ทำหน้าเหนื่อยหน่าย
“งานเข้าอย่างนี้ จะได้อัดมั้ยวะเนี่ยวันนี้” นัทบ่น
“คงไม่ได้หรอกว่ะ ถ้าไม่……”
ว่านและมองหน้ากัน แล้วพูดออกมาพร้อมกัน “สลายม็อบ!”
ว่าแล้ว 2 หนุ่ม ก็ย่องมาทางด้านหลังชม้อยที่หลังจากตั้งหน้าตั้งตาด่าสุดยอดแบบน้ำไหลไฟดับ แล้วก็ไปด่าให้คนที่อยู่ในห้องส่งฟัง ว่าน กับนัทเข้าล็อคทางข้างหลังชม้อย เอามือปิดปากแล้วลากถูลู่ถูกังเอาชม้อยออกไปพ้นจากจากห้องส่ง แล้วปิดประตูลงกลอนทันที
บ้านสวนของบุญเลื่อง อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ สวยงาม บรรยากาศร่มรื่น บุญเลื่อง กับยาหยี วางกระเป๋าที่หน้าระเบียง ก่อนออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์
บุญเลื่องกลับมาที่นี่ทีไรก็สุขใจทุกที แม่เกิดที่นี่และถ้าจะตายแม่ก็อยากจะตายที่นี่
ยาหยีไม่เอาแม่ อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ หยีฟังแล้วใจไม่ดีเลยหยีรักแม่ที่สุดนะคะ
-ยาหยีโผเข้ากอดบุญเลื่อง บุญเลื่องลูบหัวลูกสาว
บุญเลื่องขอบใจนะลูก แต่หยีก็ต้องทำใจเผื่อไว้ด้วยนะ แม่แก่ลงทุกวันจะไปวันไหนก็ไม่รู้
สังขารคนเอาอะไรแน่ไม่ได้หรอก
“ไม่ค่ะ แม่ต้องอยู่กับพวกเราไปนานๆ พวกเรารักแม่”
“บุญของแม่จริงๆ ที่มีลูกดีอย่างพวกหนู ใครเขาจะว่ามีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน แต่สำหรับแม่ แม่ว่ามีลูกสาวนี่ดีที่สุดแล้ว พูดเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงตาเท่ง รายนั้นมีแต่ลูกชาย ไม่รู้เขาจะดูแลแกบ้างหรือ เปล่าน้อ!!!”
ตอนสายของวันเดียวกันนั้น เท่งแต่งชุดออกกำลังกาย นั่งดื่มกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หน้าบ้าน จู่ๆ ก็จามขึ้นเสียงดัง
“ใครนินทาเราวะนี่ จามซะแรงเชียว”
ไม่ทันขาดคำเอนิตาซึ่งอยู่ในชุดนอนก็เดินลงมา เมื่อกวาดตามองไม่เห็นใครเจอแต่เท่งจึงถาม
“หายไปไหนกันหมดคะคุณพ่อ”
“ก็ดูเวลาสิ กี่โมงแล้วล่ะ คนมีงานเขาก็ออกไปทำมาหากินกันหมดแล้วน่ะสิ” เท่งเยาะลูกสะใภ้
“คุณพ่อพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะคะ เพราะในบ้านหลังนี้ก็ไม่ได้มีแต่หนูเท่านั้นที่ว่างงาน”
เอนิตาพูดแล้วปรายตามอง เท่งสะดุ้ง
“เธอหมายถึงชั้นใช่มั้ยล่ะ ฉันน่ะหัวหงอกแล้วแต่เธอน่ะยัง เป็นสาวเป็นนางถามจริงเถอะไม่คิดจะทำมาหากินอะไรกับเขาบ้างเลยเหรอ?”
“มีสามีก็ให้สามีเลี้ยงสิคะจะไปทำงานให้เหนื่อยทำไม”
“ไม่เอาแล้ว ยิ่งพูดกับเธอฉันยิ่งปวดหัว ฉันไปวิ่งออกกำลังกายของฉันดีกว่า”
เท่งหันหลังวิ่งเหยาะๆ ออกจากบ้านไป
“โธ่เอ๊ย แก่จะตายอยู่แล้วยังทำปากดี ระวังเถ๊อะเป็นลมล้มฟุบไปวันไหนจะไม่ช่วยเลย!”
เอนิตาบ่นพึมพำก่อนจะเดินหนีเข้าบ้าน แต่มีเสียงของเท่งร้องโอ๊ยขึ้นอย่างเจ็บปวด แล้วเงียบไป เอนิตาหันไปเห็นเท่งฟุบคาที ก็ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก
จบตอน
โปรดติดตามตอนต่อไป วันพรุ่งนี้
จันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554