ลิขิตเสน่หาตอนที่ 14
เสียงดนตรีจังหวะเร่งเร้าอารมณ์ ฟังแล้วชวนฮึกเหิม และดูยิ่งใหญ่อลังการดังกระหึ่มทั่วทั้งสนามฟุตซอลแห่งนั้น พร้อมๆ กับที่เด็กชายกังฟูนำลูกทีมอีก 4 คน เดินลงสนาม กังฟูยิ้มเหี้ยมๆ กวนๆ อย่างมาดมั่น
วันนี้เป็นการแข่งกีฬาฟุตซอล ซึ่งมีกติกาคล้ายแข่งฟุตบอลนั่นเอง เพียงแต่แข่งขันกันในร่ม โดยมีผู้เล่นทีมละ 5 คน โดย 1 คนใน 5 เป็นผู้รักษาประตูอีกด้วย
ครู่ต่อมาข้าวตูในชุดนักบอลก็ถือลูกฟุตซอล เดินนำลูกทีมหญิงล้วนมี ไข่ตุ๋น ตีตี๊ น้ำและส้มเช้งลงสู่สนาม ทุกคนหน้าตามุ่งมั่นไม่ยอมแพ้
ฟูตซอลนัดพิเศษผู้ชนะในวันนี้จะได้เป็นเจ้าของสนามเด็กเล่นของโรงเรียนอนุบาลเด็กดี!!!
เมื่อตรวจเช็คตำแหน่งเรียบร้อย กรรมการเป่านกหวีด กังฟูเป็นคนเริ่มเขี่ยบอล ข้าวตูกับไข่ตุ๋นเข้าไปแย่งบอล แต่ไม่สำเร็จ กังฟูส่งผ่านบอลไปให้ลูกทีม นักเตะลูกทีมกังฟูส่งบอลให้กันไปมา ข้าวตูพยายามแย่งบอล แต่แย่งไม่ได้
ณนนท์กับสุดยอดตะโกนเชียร์และทำหน้าที่โค้ชอยู่ข้างสนาม
“ข้าวตู แย่งบอลมาๆ” ณนนท์ร้องบอก
“ไข่ตุ๋นบุกเข้าไปเลย ไข่ตุ๋นลุย!” สุดยอดตะโกนบอก
ยี่หวากับยาหยี รวมทั้งแม่ๆ ของตี่ตี๊ ส้มเช้ง และน้องน้ำ ถือปอมๆ ส่งเสียงเชียร์อย่างใจคอไม่สู้ดีเพราะสถานการณ์เป็นรองทีมของกังฟูหลายขุม
“ข้าวตูลุยเลยลูก!” ยี่หวาตะโกนขึ้นมา
จังหวะนั้นกังฟูเลี้ยงบอลผ่านน้องน้ำกับส้มเช้งเข้าไปยิงประตู ข้ามหัวตี่ตี๊ซึ่งเป็นผู้รักษาประตูไปได้อย่างสวยงาม กองเชียร์พ่อแม่ของทีมกังฟูโห่ร้องด้วยความดีใจ ในสนามข้าวตูเริ่มเครียด ไข่ตุ๋นเดินมาตบไหล่ พลางพูดปลอบ
“ใจเย็นๆ ยังเหลือเวลาอีกตั้งเยอะ เราสู้ได้อยู่แล้ว”
ข้าวตูหันไปมองทางแม่ ยี่หวาทำท่าให้กำลังใจ ข้าวตูหันไปมองณนนท์ ณนนท์ก็ทำท่าเดียวกับยี่หวา ข้าวตูพยักหน้าฮึดสู้
“อื้ม!”
กรรมการเป่านกหวีด ผู้เล่นทีมข้าวตูเริ่มเขี่ยลูกบอล ไข่ตุ๋นเลี้ยงบอลแล้วส่งไปให้ข้าวตู วินาที
นั้นเองข้าวตูก็มองประตูทางฝั่งทีมกังฟูอย่างมุ่งมั่น
พร้อมๆ กับที่ภาพของณนนท์ที่ยิงประตูอย่างสุดเท่ห์ก็ผุดขึ้นมาในหัวของข้าวตู รวมทั้งภาพความฝันหวานๆ ของข้าวตูที่สามารถยิงประตูได้แบบเดียวกับณนนท์จนชนะ แล้วชูถ้วยรางวัลด้วยความดีใจ
ข้าวตูพร้อมแล้ว! เด็กชายตัวน้อยสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดแล้วยิงประตูเต็มแรง
ทุกคนทั้งในและนอกสนามพากันลุ้นสุดๆ
ลูกบอลลอยไปชนกับขอบประตู แล้วกระดอนออกไปนอกสนามอย่างน่าเสียดาย ข้าวตูคอตกด้วยความผิดหวัง
ณนนท์กับยี่หวาเห็นข้าวตูหน้าเสียก็พลอยลุ้นใจคอไม่สู้ดีไปด้วย ที่ป้ายสกอร์บอกไว้ชัดเจนว่า ทีมกังฟูนำไป 2-0 กรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาครึ่งแรก
ข้าวตู ไข่ตุ๋นและลูกทีมสาวๆ เข้ามาพักที่ข้างสนาม ยี่หวา สุดยอด และยาหยีรีบช่วยกันแจกน้ำดื่มให้เด็กๆ ข้าวตูยังหน้าจ๋อย ใจเสียที่ยิงประตูไม่เข้า บ่นกับไข่ตุ๋น
“สงสัยเราคงจะแพ้เค้าแหงๆเลย
“อะไร แค่นี้ก็ยอมแพ้แล้ว ลูกผู้ชายเค้าไม่ยอมแพ้กันง่ายๆ หรอกข้าวตู”
“ถึงไงก็แพ้ ทีมเรามีแต่ผู้หญิง จะไปชนะเค้าได้ยังไง
ณนนท์สบตากับยี่หวาเพราะยืนฟังอยู่ด้วยกัน ณนนท์คุกเข่าลงตรงหน้า จับไหล่แล้วสบตาข้าวตู
“ข้าวตูฟังลุงนะ ผู้หญิงหรือผู้ชายไม่สำคัญ มันสำคัญตรงนี่” จังหวะนั้นณนนท์จิ้มไปที่หัวใจตัวเอง “ที่ใจ ใจเรา...สู้รึป่าว” ณนนท์บิ้วท์สุดๆ
“สู้ครับลุงนนท์”
“ดีมาก...ทุกคน”
ณนนท์วางมือลง เด็กๆ วางมือลงบนมือณนนท์ แล้วตะโกนออกมาพร้อมกัน
“สู้!”
ยี่หวากับยาหยีมองณนนท์กับเด็กๆ ด้วยความรู้สึกลุ้นและเอาใจช่วยเต็มที่ ระหว่างนั้นสุดยอดคิดอะไรออกแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“น้องน้ำ”
สุดยอดเข้าไปกระซิบกระซาบบางอย่างกับน้องน้ำ
กรรมการเป่านกหวีดให้สัญญาณเริ่มการแข่งขันครึ่งหลัง จังหวะนั้นน้องน้ำคนสวยประจำโรงเรียนก็เดินถือดอกกุหลาบไปยื่นให้เด็กชายโบ๊ตลูกทีมคนหนึ่งของกังฟู
“เราชอบเธอนะ”
พอน้ำยื่นกุหลาบให้เสร็จน้องน้ำก็หอมแก้มโบ๊ตอีกหนึ่งที เด็กชายโบ๊ตอายม้วนต้วน กังฟูส่งบอลมาให้ แต่โบ๊ตมัวแต่อายเลยไม่รับลูกบอล ข้าวตูวิ่งเข้าไปแย่งบอลมาส่งต่อให้ไข่ตุ๋น
ไข่ตุ๋นยิงประตูเข้าไป ไล่ตามมาเป็น 2-1 กองเชียร์ ณนนท์ สุดยอด ยี่หวา ยาหยี กับพ่อแม่ในทีมลุกขึ้นเฮอย่างดีใจ กังฟูโมโหมาก พยายามใช้กำลังบุกแหลก เตะบอลไปโดนหัวตี่ตี๊ แต่ลูกบอลชิ่งไปข้ามหัวผู้รักษาประตูทีมกังฟู สกอร์เสมอกันเป็น 2-2
ไข่ตุ๋นกับข้าวตู ดีใจสุดๆ วิ่งมาตีมือกันแล้วเต้นโชว์ชุดที่ซ้อมกันมา
ณนนท์กับยี่หวา และสุดยอดกับยาหยีก็เต้นเป็นตามท่าชุดตามแบบไข่ตุ๋นกับข้าวตู
กังฟูโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง วิ่งมาเตะหน้าแข้งข้าวตู กรรมการเป่าฟาลว์ แล้วตัดสินให้ข้าวทีมตูได้เตะลูกฟรีคิก วินาทีนั้นข้าวตูใจเต้น ขาสั่น ไม่กล้าเตะเพราะกลัวลูกไม่เข้าเหมือนลูกแรก
ณนนท์ลุ้นระทึก หันไปดูนาฬิกาแล้วพึมพำอย่างหนักใจ
“อีก 2 นาที”
ยี่หวาตะโกนเสียงดัง
“ข้าวตู อีกลูกเดียว”
บรรดากองเชียร์ร้องตามดังลั่น
“ลูกเดียวๆๆ”
ข้าวตูยิ่งใจสั่น ไม่กล้าหนักเข้าไปอีก ไข่ตุ๋นเห็นข้าวตูกลัวก็พยายามให้กำลังใจ
“สู้ๆ นะข้าวตู”
“ไม่เข้าแน่เลยไข่ตุ๋น” ข้าวตูส่ายหัว
“ต้องเข้าสิ”
จังหวะนั้นเสียงของวสันต์ก็ดังแทรกขึ้นมา“ข้าวตู สู้เค้าลูก”
ข้าวตูหันไปมองตามเสียง เห็นวสันต์ยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า ข้าวตูดีใจมากที่เห็นวสันต์
“ยิงเลยข้าวตู” วสันต์บอกย้ำ
ข้าวตูฟังแล้วยิ้มกว้างอย่างฮึกเหิม
“ครับพ่อ”
ข้าวตูเกิดพลังฮึด เตะบอลเต็มแรงเข้าประตูไปอย่างสวยงาม
ลูกทีมสาวๆ ของข้าวตูกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ณนนท์กับยี่หวาจับมือกันกระโดดโลดเต้นเฮลั่นด้วยความดีใจ กังฟูเจ็บใจ หน้าหงิกหน้างอ มองข้าวตูที่กำลังกระโดดไปรอบๆ กับไข่ตุ๋น
“หึ เรายกสนามเด็กเล่นให้ก็ได้”
“ไม่ต้องยกให้เราหรอกกังฟู” ข้าวตูว่า
“ทำไมล่ะ ก็นายชนะนายก็ต้องได้สนามไปสิ ก็ตกลงกันแล้วนี่” กังฟูสงสัย
“แม่เราสอนว่าถ้ารู้จักแบ่งปัน ทุกคนก็จะมีความสุข สนามเด็กเล่นไม่ใช่ของเรา แล้วก็ไม่ใช่ของนาย แต่เป็นของทุกคน โอเค๊”
ข้าวตูยื่นมือไปให้กังฟูจับ
“โอเค” กังฟูยื่นมือมาจับมือข้าวตู
ณนนท์ ยี่หวา สุดยอด และยาหยียืนมองมิตรภาพของข้าวตูกับกังฟูอย่างประทับใจ
ข้าวตูวิ่งเข้ามากอดวสันต์อย่างดีใจ ยี่หวาเดินตามมาติดๆ
“พ่อคร้าบ พ่อเห็นลูกเตะของข้าวตูมั้ยคร้าบ ข้าวตูเตะเหมือนที่ลุงนนท์สอนเปี๊ยบเลยนะครับ ฟิ้วววว....ลอยเข้าประตูไปเลย”
วสันต์ลูบหัวข้าวตู
“ข้าวตูเก่งมากเลยครับ นี่ถ้าพ่อไม่ได้มาดู พ่อคงเสียดายแย่”
ข้าวตูนึกได้ก็รู้สึกประหลาดใจ สงสัย
“พ่อรู้ได้ยังไงล่ะคร้าบว่าข้าวตูแข่งบอลกับกังฟู ข้าวตูไม่ได้โทรไปบอกพ่อซักหน่อย”
“แม่โทรไปบอกพ่อครับ ให้พ่อมาเป็นกำลังใจให้ข้าวตู” ข้าวตูยิ้มกว้างอย่างดีใจหันไปกอดยี่หวา
“ขอบคุณครับแม่ แม่รู้ใจข้าวตูที่สุดเล๊ย”
ยี่หวากับวสันต์ยิ้มให้กัน ในความช่างประจบของข้าวตู
ยาหยีถือกล้องถ่ายรูปเตรียมถ่ายรูปทีม สุดยอดช่วยจัดแถวไข่ตุ๋นกับเพื่อนๆ แบบทีมฟุตบอลอาชีพ
“ข้าวตู มาถ่ายรูปกับเพื่อนๆ เร็ว” ยาหยีตะโกนเรียกหลานชาย
“คร้าบ...น้าหยี”
ณนนท์ถ่ายรูปกับทีมของข้าวตู ระหว่างนั้นก็เหลือบมองที่ยี่หวา กับวสันต์ ซึ่งมองข้าวตูกับเพื่อนๆด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ณนนท์รู้สึกน้อยใจขึ้นมาสุดยอดเห็นก็มากระซิบเบาๆ
“ซ้อมบอลให้ข้าวตูตั้งนาน คุณพ่อมาไม่ถึงห้านาที ขโมยซีนไปหมดแบบนี้ พี่ชายผมก็กินแห้วสิคร้าบ”
“ห้งแห้วอะไร ฉันทำไปก็ไม่ได้หวังอะไรอยู่แล้ว” ณนนท์ทำเป็นปากแข็ง
“แน่ใจเหรอคร้าบ ว่าพี่ไม่ได้หวังครองหัวใจคุณยี่หวา...ระวังนะพี่ พักนี้มีทั้งถ่านไฟใหม่ไฟเก่ามารอเติมเชื้อไฟให้ครึ่ดไปหมด”
สุดยอดพูดจบก็เดินไป ณนนท์มองไปที่ยี่หวากับวสันต์ที่ยังยืนยิ้มคุยกันอยู่ ณนนท์ยิ่งเครียดหนัก
เวลาเดียวกันนั้นยี่หวาต้องฝืนปั้นหน้ายิ้มแย้ม กัดฟันพูดกับวสันต์ กลัวคนอื่นจะมาได้ยิน
“คราวนี้จะเอาเท่าไหร่อีกล่ะ ห้าพันหรือหมื่นนึง? ถ้าจะเอาเยอะๆ ฉันไม่มีให้คุณหรอกนะ บอกไว้ก่อน”
“ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะมาเอาเงินคุณ งานนี้ผมมาฟรี”
ยี่หวาได้ฟังก็รู้สึกประหลาดใจ
“มาฟรี? คนอย่างคุณเนี่ยทำอะไรโดยไม่หวังเงินตอบแทนเป็นด้วยเหรอ”
“จุ๊ๆๆ พูดอะไรอย่างนั้นล่ะยี่หวา ผมก็เป็นคนรักลูกรักเมียคนนึง” ว่าพลางวสันต์ตบอกตัวเอง “เนี่ย
เค้าเรียกว่าวสันต์เวอร์ชั่นคนดี”
วสันต์พูดแบบโอ่ๆ ยี่หวามองวสันต์อย่างทึ่งๆ ปนไม่อยากเชื่อ
สองครอบครัวพากันมาฉลองชัยชนะ ข้าวตูกับไข่ตุ๋นกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความหิววสันต์สวมบทพ่อและสามีแสนดี คอยตักกับข้าวใส่จานข้าวตูบ้าง ตักให้ยี่หวาบ้างอย่างเอาอกเอาใจ
ณนนท์มองภาพนั้นแทบกินอะไรไม่ลง รู้สึกอึดอัดเหมือนว่าตัเองและไข่ตุ๋นเป็นส่วนเกิน ไข่ตุ๋นเห็นณนนท์ไม่กินอะไรเลยก็อยากจะตักกับข้าวเอาใจพ่อ
“พ่อกินนี่สิคะ อร่อยนะ”
ขณะเดียวกันนั้นวสันต์ก็กำลังตักกับข้าวเหมือนกัน มือไข่ตุ๋นจึงไปชนกับมือวสันต์ แล้วข้อศอกไข่ตุ๋นก็ไปปัดโดนแก้วน้ำ จนน้ำหกใส่ตัวเอง ไข่ตุ๋นหน้าเสีย
“ไข่ตุ๋นขอโทษค่ะ”
ยี่หวารีบปลอบ
“ไม่เป็นไรค่ะลูก เดี๋ยวน้าพาไปห้องน้ำเอง”
“ข้าวตูไปห้องน้ำด้วยครับ”
ยี่หวาจูงไข่ตุ๋นไปห้องน้ำ ข้าวตูวิ่งตามไป จังหวะนั้นเองวสันต์ก็แกล้งถอนหายใจพูดออกมาดังๆ
“เฮ้อ...บรรยากาศเสียหมด ครอบครัวเค้ากำลังกินข้าวมีความสุขกันดีๆ ไม่น่ามีอะไรมาขัดจังหวะเลย” วสันต์พูดแดกดัน
“ผมขอโทษแทนไข่ตุ๋นด้วยนะครับ ไข่ตุ๋นไม่ได้ตั้งใจ...”
วสันต์รีบพูดแทรกทันที “ผมไม่ได้หมายถึงไข่ตุ๋น”
“งั้นคุณก็หมายถึงผม”
“โตๆ กันแล้วก็น่าจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าอะไรควรไม่ควร คงไม่ต้องให้ผมบอกใช่มั้ยครับคุณนนท์”
ณนนท์กล้ำกลืนฝืนทนฟังอย่างอึดอัดสุดๆ สักครู่ยี่หวาก็พาไข่ตุ๋นกับข้าวตูกลับมาจากห้องน้ำพอดี จู่ๆ ณนนท์ก็รีบร้อนลุกขึ้น
“ผมขอตัวพาไข่ตุ๋นกลับบ้านก่อนนะครับ ลาคุณน้าซะสิไข่ตุ๋น”
ไข่ตุ๋นไหว้ลายี่หวากับวสันต์ ข้าวตูไหว้ณนนท์แล้วโบกมือบ๋ายบายให้ไข่ตุ๋น ณนนท์จูงไข่ตุ๋นออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยี่หวามองตามณนนท์อย่างงงๆ ขณะที่วสันต์มองตามณนนท์แล้วยิ้มร้ายๆ อย่างผู้ชนะ
เวลาต่อมาณนนท์เดินมาถึงลานจอดรถ กำลังเปิดประตูรถให้ไข่ตุ๋นขึ้นไปนั่ง
“ไข่ตุ๋นขอโทรหาแม่นะคะพ่อ”
ณนนท์พยักหน้าแบบใจคอไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เพราะคิดถึงเรื่องยี่หวา ไข่ตุ๋นไม่รู้เรื่องก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์มือถือ ขณะที่ณนนท์กำลังเดินอ้อมรถมาขึ้นฝั่งคนขับ ยี่หวาก็วิ่งตามมา
“คุณนนท์ ทำไมถึงรีบกลับล่ะคะ”
“อันที่จริง ผมไม่น่ามาด้วยตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ” ณนนท์พูดแบบเจียมตัว
“แต่ว่า...” จังหวะนั้นไข่ตุ๋นโผล่หน้าออกมาจากรถ มือถือโทรศัพท์มือถือ
“พ่อคะ แม่รออยู่ที่บ้าน แม่บอกให้เรากลับเร็วๆ แม่ซื้อขนมมาฝากพ่อด้วยค่ะ”
ยี่หวาถึงกับอึ้ง คิดเอาเองว่าณนนท์รีบกลับเพราะมีนัดกับเอนิตา สีหน้ายี่หวาฉายแววน้อยใจ
“อ๋อ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ คุณรีบกลับเถอะ เดี๋ยวคุณนิตาเค้าจะคอย”
ยี่หวาพูดพร้อมหันหลังเดินกลับไป ณนนท์รู้ตัวจึงรีบเรียก
“เดี๋ยวยี่หวา ยี่หวา...”
ณนนท์มองตามยี่หวาที่เดินจากไปไม่ยอมเหลียวหลัง ณนนท์ถอนหายใจแรงๆ อย่างหงุดหงิด แล้วเดินขึ้นรถขับออกไป
ด้านสุดยอด ชวนยาหยีมาดูหนังฉลองชัยชนะหลานๆ พอหนังเลิก ผู้คนเดินกรูกันออกมาจากโรงหนัง ยาหยีใส่ผ้าคลุมผม สวมแว่นตา และติดไฝที่ปาก โผล่ออกมาจากโรงหนังก่อน มองซ้ายมองขวาพอเห็นว่าไม่มีใครก็รีบวิ่งออกไป
ซักพักสุดยอดซึ่งใส่วิกผมยาว ติดหนวด แต่งตัวแบบฮิปปี้โผล่หน้าออกมาจากโรงหนัง มองซ้ายมองขวา พอไม่เห็นใครก็วิ่งตามยาหยีไป
ยาหยีมายืนหน้าหงิกรออย่างกระวนกระวายอยู่ที่มุมหนึ่งซึ่งปลอดผู้คน สุดยอดวิ่งมาถึง ยาหยีถอดผ้าคลุมผมออก บ่นอย่างหงุดหงิด
“แค่มาดูหนัง ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย”
สุดยอดมองรอบๆ อย่างระแวงอยู่ก่อนตอบ “เพราะผมไม่อยากเป็นข่าวน่ะสิ”
“ทำไม เป็นข่าวกับฉันมันไม่ดีตรงไหน หรือว่าต้องเป็นข่าวกับเพิร์ลลี่เท่านั้น” ยาหยีมีงอน
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ถ้านักข่าวหรือปาปารัซซี่เจอเรา อย่างดีก็เห็นรูปเราโชว์หราอยู่บนหนังสือดารา แต่ถ้าคนที่มาเจอเราเป็นแฟน...”
ยาหยีนึกไปอีกเรื่องรีบพูดแทรกขึ้น “แฟน...” พร้อมกับทำตาโต “นอกจากฉันแล้วยังมีคนอื่นอีกเหรอ นี่...แฟนไม่ใช่พิซซ่านะยะ จะได้ตัดแบ่งกันกินได้”
สุดยอดฟังแล้วปลื้มใจมากๆ “แน่ะๆๆแน๊ๆ หวงผมเหมือนกันนะเนี่ย”
ยาหยีค้อน เคืองๆ สุดยอดจะอธิบายต่อ
“ฟังนะหยี ผมคบกับคุณคนเดียว แต่แฟนที่ผมพูดถึงมันคือแฟน...”
ยาหยียิ้มรีบชิงตอบให้อีกโดยไม่รู้ชะตาชีวิตตัวเอง
“เก่า...” พลางชี้หน้าสุดยอด “แฟนเก่าใช่มั้ย”
“ไม่ใช่...ไม่ใช่แฟนเก่า...แต่เป็นแฟนคลับที่ไม่ถูกกับคุณน่ะสิ”
สุดยอดพูดไม่ทันขาดคำแฟนคลับซึ่งนำโดยแฟนคลับคู่ปรับเก่าของยาหยีก็วิ่งเข้ามา
“นั่นไง พี่สุดยอด...กรี๊ด”
“บรรลัยเกิด หนีเร็ว”
ไวเท่าความคิดสุดยอดรีบลากแขนยาหยีวิ่งหนีทันที บรรดาแฟนคลับวิ่งไล่ตามไป
สุดยอดพายาหยีมาหลบอยู่ที่ลานจอดรถโรงหนัง กลุ่มแฟนคลับวิ่งตามมา หยุดมองหาสุด
ยอดกับยาหยี
“พวกเรา...ตามหาให้ทั่ว”
ว่าแล้วแฟนคลับแยกย้ายกันเดินค้นหา
ที่ห้องเก็บของเล็กๆ ใกล้ๆ สุดยอดกับยาหยีโผล่หน้าออกมา
“พวกนั้นไปรึยัง” ยาหยีถามเบาๆ
“ยัง...อย่าเพิ่งออกมา”
สุดยอดรีบดึงยาหยีมาแอบสองคนยืนตัวแนบชิดจนแทบจะหายใจรดกัน
“แต่ฉันอึดอัดนี่นา”
“แป๊ปเดียวน่าผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”
เสียงบรรดาแฟนคลับมายืนรวมตัวกันอยู่หน้าห้องที่ทั้งคู่หลบอยู่นั่นเอง
“หายไปไหนแล้วเนี่ย เร็วๆ จริงพี่สุดยอด” แฟนคลับคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด
“โอ๊ยเหนื่อย ฉันรอตรงนี้แหละ” อีกคนว่า
สุดยอดกับยาหยีได้ฟังก็ตกใจ เพราะแฟนคลับไม่ยอมไปไหน สองคนมองหน้ากันไปมา และต่างคนต่างหลบตากันไปมา ลมหายใจแทบจะราดรดกัน
“เราอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้หรอกนะ” ยาหยีพูดเขินๆ
“ทำไม วาบหวามมีอารมณ์กับผมเหรอ” สุดยอดแหย่
ยาหยีถลึงตาใส่ แต่สุดยอดทำจุ๊ปากบอกเบาๆ ว่าห้ามเสียงดัง จังหวะนั้นเองยาหยีก็หันไปเห็นถุงดำใส่ขยะอยู่แถวนั้น คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ตามประสาเจ้าแม่ดีไอวาย
ครู่ต่อมาบรรดาสุดยอดแฟนคลับ ก็เดินมารวมกลุ่มกัน
“พี่สุดยอดหายไปไหนน้า”
“ยัยยาหยีต้องเอาพี่สุดยอดของพวกเราไปซ่อนแน่ๆ เลย” อีกคนว่าอย่างเคืองๆ
“ยัยตัวแสบ อย่าให้เจอเชียว แม่จะจัดหนักให้!” หัวหน้ากลุ่มบอก
จังหวะเดียวกันนั้นยาหยีกับสุดยอดซึ่งพากันแต่งตัวเป็นขอทาน ใช้ถุงดำใส่เป็นเสื้อ เอาถุงก๊อบแก๊บครอบหัวเป็นหมวก สุดยอดใส่แว่นดำทำเป็นตาบอดปากเบี้ยวขาพิการ ส่วนยาหยีก็ทำมือหงิกงอแขนด้วน โดยยาหยีเดินจูงสุดยอดมา สุดยอดบ่นพึมพำ
“ถุงเหม็นชะมัด”
“เหม็นสิดี เชื่อฉัน เดี๋ยวดีเอง”
ยาหยีพูดพลางจูงสุดยอดเดินฝ่าเข้าไปกลางวงแฟนคลับ จริงดังคาดเพราะกลุ่มแฟนคลับพากันแตกฮือไปคนละทาง ต่างเอามืออุดจมูก
“อี๋ เหม็นกลิ่นอะไรน่ะ” แฟนคลับบ่น
“อ้วกจะแตก” อีกคนบอกอย่างรังเกียจ
ยาหยีรีบร้องตะโกน “ทำบุญคนพิการตาบอดด้วยนะค้า”
สุดยอดรีบรับมุกต่อ ทำเสียงเหมือนคนจมูกบี้ร้องเพลง แฟนคลับมองสุดยอดอย่างสมเพชระคนสงสาร
“โถ...พิการแล้วยังร้องเพลงไม่เพราะ แล้วจะไปขอเงินใครได้”
“มา พวกเราช่วยๆ กันหน่อย”
หนึ่งในแฟนคลับบอก ก่อนที่ทุกคนจะพร้อมใจอุดจมูก ควักเงินมาหย่อนใส่มือยาหยี แล้วรีบเดินหนีไปกันหมด
สุดยอดยังอินต่อ ลอยหน้าลอยตาร้องเพลง จนยาหยีกระตุกแขน
“พอๆๆ ไปกันหมดแล้ว”
สุดยอดถอดแว่น ทั้งยาหยีกับสุดยอดหัวเราะชอบใจ ยาหยีทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นตัวเอง
“รีบกลับเถอะคุณ ฉันจะอ้วก”
สุดยอดกับยาหยีทำจมูกย่นแล้วทำท่าอ้วกพร้อมกัน
ค่ำคืนนั้นที่บ้านณนนท์ เขากำลังเล่นกีตาร์อย่างเหงาๆ พร้อมกับเสียงไอโขลกๆ เท่งเดินเข้ามายืนมองอย่างเป็นห่วง
“นั่งตากน้ำค้างงี้เดี๋ยวไม่สบายหรอก”
“พ่อครับ ตั้งแต่แม่ตายไป พ่อเคยคิดจะมีแม่ใหม่ให้ผมกับเจ้ายอดมั้ยครับ”
เท่งนิ่งไปนิดนึง แล้วนั่งลงข้างๆ ณนนท์
“คิดสิ พ่อก็เป็นคนๆ นึง คนทุกคนก็ต้องมีเวลาเหงา มีเวลาที่อยากได้ใครซักคนมาอยู่ข้างๆ แต่ก็
ไม่มีใครแทนที่แม่เราได้ซักคน พ่อก็เลยอยู่คนเดียวอย่างที่เห็นนี่ล่ะ ถามทำไม รึว่าแกหาแม่ใหม่ให้เจ้าไข่ตุ๋นได้แล้ว”
ณนนท์นึกถึงยี่หวาขึ้นมาแล้วอมยิ้ม
“แน่ะๆๆ ยิ้มแบบนี้แปลว่าเจอแล้วแหงๆ นี่เจ้านนท์ ถ้าเจอใครดีๆ ก็ลุยเข้าไปจีบเลย ยัยไข่ตุ๋นจะได้เลิกเป็นทะโมนซะที” เท่งเชียร์ลูก
“ถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็ดีสิครับพ่อ ทั้งเค้าทั้งผมต่างก็มีพันธะค้างคาสะสางไม่เสร็จไม่สิ้น”
“งั้นก็รีบสะสางให้เสร็จซี่ ชีวิตคนเรามันไม่ใช่ใบขับขี่นะโว้ย จะได้ต่ออายุได้ทุกปี”
เท่งพูดพร้อมกับเดินจากไป ปล่อยให้ณนนท์นั่งครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ตรงนั้น
ยี่หวากับยาหยีเข้าร้านมอร์แดนทรีตั้งแต่เช้า เวลานั้นยี่หวากำลังนั่งคุยโทรศัพท์กับลูกค้า ในมือถือรูปถ่ายพลิกดูเล่นๆ ไปด้วย
“งานเลี้ยงจัดที่ไหนคะ ได้ค่ะ..ค่ะ ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ”
ยี่หวาทอดสายตามองรูปถ่ายตัวเอง ที่ถ่ายพร้อมกับ ณนนท์ ไข่ตุ๋น และข้าวตู ในวันแม่ที่ผ่านมานั่นเอง ยี่หวามองรูปไปยิ้มไป อย่างอารมณ์ดี ก่อนจะวางโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้องเรียกยาหยี
“หยีๆ”
ยาหยีเดินเข้ามาพี่สาว
“หยีช่วยเช็คสต๊อกของให้พี่หน่อยนะ รายละเอียดอยู่บนโต๊ะแน่ะ พี่ออกไปยื่นภาษีแป๊บ...เดี๋ยวพี่มา
“ค่ะ”
ยี่หวาออกไปแล้ว ยาหยีก็เดินไปที่โต๊ะทำงานของพี่สาว เห็นรูปถ่ายยี่หวา ณนนท์ ไข่ตุ๋นและข้าวตู ยาหยีหยิบรูปขึ้นมาดูแล้วอมยิ้มค่อยๆ วางรูปในมือลง
ครู่ต่อมายี่หวาก็กลับมาถึงร้าน เธอเดินไปที่โต๊ะทำงาน หยิบกรอบรูปขึ้นมาดู รูปถ่ายใบเดิมที่ยี่หวาดูเมื่อก่อนหน้านี้ ถูกนำไปใส่ไว้ในกรอบอย่างเรียบร้อย ยี่หวาหยิบขึ้นมาดูอย่างงงๆ
“กรอบรูปมาได้ไง”
จังหวะนั้นยาหยีก็โผล่หน้ามาที่ประตูพร้อมกับยิ้มเผล่
“หยีใส่ให้เองล่ะค่ะ เห็นดูบ่อย กลัวรูปจะเปื่อยซะก่อน”
ยี่หวาฟังน้องสาวพูดอย่างเขิน วางกรอบรูปไว้ที่โต๊ะ
“ก็...ข้าวตูในรูปนี้น่ารักดี พี่ชอบ”
“อ้าวเหรอ หยีนึกว่าพี่ชอบพ่อไข่ตุ๋นซะอีก”
“ทำปากดีเดี๋ยวจะโดนมิใช่น้อย”
ยาหยีหัวเราะชอบใจที่แหย่ยี่หวาได้ พลางเดินเข้ามายืนข้างๆ พี่สาว เอียงคอดูรูป
“รูปนี้ ถ้าใครไม่รู้ก็ต้องบอกว่าเหมือนรูปครอบครัว มีพ่อแม่แล้วก็ลูกสองคนนี่ถ้าเป็นรูปครอบครัวจริงๆ ของพี่ยี่หวาก็ดีสิคะ พี่ณนนท์เค้าดูเป็นแฟมิลี่แมน เป็นผู้ชายแสนจะอบอุ๊นอบอุ่น” ยาหยีบอก
“คุณนนท์เค้าเพิ่งคืนดีกับเอนิตา พี่ไม่อยากทำให้ครอบครัวเค้าแตกแยกหรอกนะหยี หยีก็รู้อย่างพี่...ถ้าต้องไปสู้รบปรบมือแย่งของใครเค้ามาพี่ขอบายดีกว่า”
ยี่หวาพูดกับน้องสาวด้วยหน้าตาหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี แต่ในใจก็แฝงความเศร้าไว้ลึกๆ ยาหยีมองยี่หวาอย่างเห็นใจ
วันเดียวกันนั้นที่อนุบาลเด็กดี ครูปราณี สอนเด็กนักเรียนปั้นรูปจากดินน้ำมัน ซึ่งเด็กๆ กำลังปั้นดินน้ำมัน ข้าวตูปั้นดินน้ำมันไปก็หันไปมองโต๊ะไข่ตุ๋นที่ว่างเปล่า ไม่มีคนนั่ง ครูปราณีเดินดูงานของเด็กๆ ไปตามโต๊ะ จนมาถึงโต๊ะข้าวตู
“ครูคร้าบ ไข่ตุ๋นไปไหนคร้าบ” ข้าวตูร้องถาม
“ไข่ตุ๋นไม่มาโรงเรียนจ้ะ” ครูปราณีบอก
“ไข่ตุ๋นไม่สบายเหรอครับ”
“เปล่าจ้ะ ไข่ตุ๋นติดธุระน่ะค่ะ”
“ธุระเหรอครับ?” ข้าวตูถามอย่างสงสัย
บนโต๊ะกินข้าวที่บ้านณนนท์ในเวลาเดียวกันนั้น ไข่ตุ๋นกำลังโปะแยมกับแฮมลงบนขนมปังแล้วประกบเป็นแซนด์วิช ไข่ตุ๋นยกถาดที่มีจานใส่แซนด์วิชเป็นตั้งสูง กับกล่องนม 3 กล่องมาที่โซฟาห้องนั่งเล่น
ซึ่งสุดยอดนอนขดคลุมผ้าห่มตัวสั่นอยู่บนเตียง
ในขณะที่เท่งห่มผ้าพร้อมกับจามไม่ยอมหยุดอยู่ที่โซฟา ส่วนณนนท์ห่มผ้าพลางคุยโทรศัพท์
“คุณจุ๊บช่วยเลื่อนนัดลูกค้าให้หมดเลยนะ บอกว่าผมไม่สบาย หายแล้วผมจะขอนัดไปใหม่ ขอบคุณมากครับ” ณนนท์สั่งงานเลขาที่บริษัทแล้ววางสาย ไข่ตุ๋นยกถาดมาวางบนโต๊ะ
“แซนด์วิชค่า กินแล้วจะได้กินยา” สุดยอดลุกขึ้น
“ขอบใจนะไข่ตุ๋น แต่อาไม่กินล่ะ ขอนอนดีกว่า”
“พ่อไปด้วย”
“ไม่กินแซนด์วิชก่อนเหรอคะปู่”
“ไม่ล่ะ ปู่เจ็บคอ ขอบใจมากนะหลาน”
สุดยอดกับเท่งเดินโซซัดโซเซขึ้นบ้านไป ณนนท์ลงนั่งที่โซฟา ไข่ตุ๋นปีนขึ้นไปจับที่หน้าผากพ่อ
“พ่อขา พ่อตัวร้อนจี๋เลยค่ะ”
“ไข่ตุ๋นขึ้นไปอยู่บนห้องไปลูก เดี๋ยวติดหวัดขึ้นมาอีกคนแล้วจะยุ่ง”
“ไข่ตุ๋นเป็นห่วงพ่อ ไข่ตุ๋นอยากดูแลพ่อนี่คะ”
“พ่อดูแลตัวเองได้ ไข่ตุ๋นเชื่อพ่อสิครับ ขึ้นไปอยู่ข้างบนนะ”
ไข่ตุ๋นพยักหน้ารับคำ แต่สายตายังเป็นห่วงณนนท์เอามากๆ ขณะกำลังจะเดินขึ้นบันได ไข่ตุ๋นหันไปมองณนนท์ซึ่งล้มตัวลงนั่งพิงบนโซฟาท่าทางป่วยมาก ไข่ตุ๋นเป็นกังวล
“ทำไงดีน้า”
ไข่ตุ๋นเหลือบไปเห็นรูปวันแม่ที่มีณนนท์ ยี่หวา ไข่ตุ๋นกับข้าวตูที่ติดอยู่บอร์ดข้างฝา ไข่ตุ๋นก็คิดออกร้องออกมาอย่างดีใจ
“น้ายี่หวา”
เวลาต่อมาไม่นานนักไข่ตุ๋นกำลังรีบจูงยี่หวาเดินเข้ามาในบ้าน
“เมื่อเช้าไข่ตุ๋นจะไปโรงเรียน แต่พ่อ อายอด ปู่ตัวร้อนยังกับไฟเลยค่ะน้ายี่หวา ไข่ตุ๋นไม่รู้จะทำยังไง ไข่ตุ๋นกลัวพ่อตาย พ่อจะตายมั้ยคะน้ายี่หวา”
ไข่ตุ๋นพูดอย่างกลัวๆ ยี่หวาเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ลงนั่งปลอบไข่ตุ๋น
“ไม่ตายหรอกค่ะ พ่อของไข่ตุ๋นเป็นไข้ แค่กินข้าวกินยานอนพัก เดี๋ยวก็หาย ไข่ตุ๋นไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ”
“ค่ะน้ายี่หวา”
ไข่ตุ๋นยิ้ม รู้สึกสบายใจ และอบอุ่นใจขึ้นมาบ้าง
ส่วนที่ร้านมอร์แดนทรีเวลานั้น ยาหยีกำลังเช็คอีเมล พร้อมกับพูดโทรศัพท์ไปด้วย
“ป่วยกันหมดบ้านเลยเหรอคะ”
ยี่หวาหนีบโทรศัพท์ไว้ที่ข้างคอ วางชามข้าวต้มวางตรงหน้าไข่ตุ๋น ซึ่งนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์เตรียมอาหาร ไข่ตุ๋นรีบตักข้าวต้มกินอย่างหิวโหย
“ใช่จ้ะ มีไข่ตุ๋นคนเดียวที่ยังไม่ป่วย” ยี่หวาบอก
เวลาเดียวกันนั้น เท่งกับสุดยอดก็นั่งกินข้าวต้มอยู่ที่โต๊ะกินข้าวด้วย
“พี่ฝากหยีช่วยไปรับข้าวตูที่โรงเรียนให้ด้วยนะ พี่อาจจะกลับดึกหน่อยบอกแม่ให้พี่ด้วย”
ยี่หวาชำเลืองมองไปที่สุดยอด
“อ้อ เดี๋ยวนะหยี มีคนจะพูดด้วย”
ยี่หวาส่งโทรศัพท์ให้สุดยอด
“โหคุณ แฟนป่วย ไม่มาดูแลเลยนะ”
สุดยอดพูด โดยไม่รู้ว่าเวลานั้นยาหยีกำลังค้อนล้มค้อนแล้งอยู่คนเดียว
“แล้วฉันจะรู้มั้ยล่ะ ทำไมไม่โทรบอกละค้า จะได้รีบไปดูแล”
“ไม่ต้องหรอก..ไม่ต้องมา เดี๋ยวติดหวัดไปอีกคนละยุ่งเลย เอาเป็นว่าผมแค่ได้ยินเสียงหวานๆ ของคุณ ผมก็แทบจะหายไข้แล้วล่ะครับ”
“เว่อร์...หายไวไวนะคุณ อย่าดื้อกับพี่ฉันล่ะ”
“คร้าบ”
สุดยอดวางหูด้วยรอยยิ้ม เป็นจังหวะเดียวกับที่ยี่หวาวางยาแก้ไข้ให้เท่งกับสุดยอด
“ทานข้าวเสร็จแล้วก็ทานยา แล้วนอนพักนะคะ”
“ขอบใจมากนะหนู เลยทำให้หนูวุ่นวายไปด้วย” เท่งขอบคุณจากใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูเต็มใจ”
พูดจบยี่หวาก็ยกถาดใส่ถ้วยข้าวต้มและน้ำเดินไป เท่งมองตามแล้วหันมาพูดกับสุดยอด
“บ้านที่มีผู้หญิงมันก็ดีอย่างงี้ละ”
สองพ่อลูกหันมายิ้มให้กัน
อ่านต่อหน้า 2
ลิขิตเสน่หา ตอนที่ 14 (ต่อ)
ยี่หวาก้าวเข้ามาภายในห้องนอนของณนนท์ วางถาดอาหารลงที่โต๊ะหัวเตียง แล้วเรียกณนนท์ที่กำลังนอนซมอยู่บนเตียงเบาๆ
“คุณนนท์คะ คุณนนท์” ณนนท์ยังไม่ยอมลืมตา เอาแต่เพ้อออกมา
“ยี่หวา ยี่หวา”
“ฉันอยู่นี่ค่ะ”
“ยี่หวา” ณนนท์ลืมตาตื่นขึ้นมา หน้าตาดูอิดโรยมากๆ
“ทานข้าวต้มร้อนๆ นะคะ ทานซะหน่อยจะได้ทานยา”
“ผมไม่หิว ผมหนาว”
ณนนท์ส่ายหน้าแล้วค่อยๆ หลับตาลง พลางกระชับผ้าห่มเข้าหาตัวแน่น ยี่หวาแตะที่หน้าผากณนนท์แล้วก็ต้องตกใจ
“ตัวร้อนจี๋เลย”
ยี่หวาเดินไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำ บิดหมาดๆ มาเช็ดคอและหน้าผากให้ ณนนท์ลืมตาปรือๆ ขึ้นมามองยี่หวา
“ตอนผมเด็กๆ เวลาผมไม่สบาย แม่ก็เคยทำให้แบบนี้”
ณนนท์บอกเสียงเบา ยี่หวายิ้มให้อย่างอ่อนโยน แล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดที่บริเวณคอ ณนนท์โอบรั้งตัวยี่หวาเข้ามากอด ยี่หวาไม่ทันตั้งตัวเลยล้มลงไปทับบนอกณนนท์ ยี่หวาพยายามประคองตัวลุกขึ้น แต่ณนนท์ขอร้องไว้
“ขออยู่แบบนี้แป๊บนึงนะครับ”
ยี่หวายอมให้ณนนท์กอดนิ่งๆ ณนนท์หลับตาพริ้มเพราะรู้สึกดีเหลือเกิน
“ขอบคุณครับ”
ณนนท์หลับตาพริ้มอย่างอบอุ่น ยี่หวาเองก็รู้สึกดีที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของณนนท์
ภายในบ้านวัลลภาเวลานี้ แต่ละส่วนภายในบ้านโล่ง ว่าง ไม่มีเฟอร์นิเจอร์เหลือสักชิ้น วัลลภาเดินงุ่นง่านกลับไปกลับมา ขณะที่วสันต์นอนแผ่หราเอามือก่ายหน้าผากอยู่กลางบ้าน
“ตาสันต์ อย่ามัวเอาแต่นอนได้มั้ย ช่วยแม่คิดหน่อยว่าเราจะหาเงินจากไหน..มัน ยึดของๆเราไป อีกหน่อยมันก็ต้องมายึดบ้าน ทีนี้ละจะไม่มีที่ซุกหัวนอนแล้วจะรู้สึก ตาสันต์ แกต้องหาเงินมาให้ได้นะ แกต้องหาเงินมาให้แม่ให้ได้” วัลลภาบ่น
“โอ๊ย รำคาญ”
วสันต์ตะโกนออกมาอย่างสุดทน วัลลภาอ้าปากค้าง วสันต์ลุกขึ้นนั่ง
“บางทีผมก็คิดนะแม่ ถ้าผมไม่ใช่ลูกแม่ ชีวิตผมจะเฮงซวยแบบนี้มั้ย”
“ทำไม ฉันเลี้ยงแกไม่ดีตรงไหน ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันเคยบังคับให้แกทำอะไรมั้ยแกไม่อยากไปโรงเรียน ฉันก็ตามใจแก แกไม่อยากทำงาน ฉันก็ไม่เคยว่าอะไร แกน่ะมีแม่ที่ประเสริฐที่สุดแล้ว รู้ตัวรึป่าว”
“แล้วแม่จะมาบังคับให้ผมหาเงินให้แม่อะไรตอนนี้ล่ะ ผมไม่มีก็คือไม่มี”
“แกก็ไปขอจากเมียแกสิ เมียแกมีที่ดินตั้งหลายร้อยไร่ ไปทำให้มันขายที่สิ”
“ทำยังไงล่ะแม่ ผมน่ะพูดจนปากยานไปถึงตาตุ่มแล้วยี่หวาเค้าก็ไม่ยอมขาย ไม่รู้จะเก็บไว้ทำแมว
อะไร”
“แกก็ใช้ความหล่อของแกให้เป็นประโยชน์สิ เสน่ห์ที่เคยใช้มัดใจเค้าน่ะ มีเท่าไหร่ขนมาใช้ให้หมด”
“ไอ้ที่แม่ว่าน่ะมันใช้การไม่ได้แล้วล่ะครับ”
“ทำไม”
“ผมสังหรณ์ใจว่ายี่หวาเค้ากำลังมีใจให้ผู้ชายคนใหม่”
“ใคร?”
วสันต์ไม่ตอบแต่มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
ค่ำคืนนั้น ณนนท์ก็เดินลงบันไดมา หน้าตาเริ่มสดชื่นขึ้นมาก เพราะพิษไข้ลดลงแล้ว เขาเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ครั้นมองไปแล้วณนนท์ก็อมยิ้มขึ้นมา เมื่อเห็นยี่หวากับไข่ตุ๋นนั่งหลับอยู่ด้วยกันบนโซฟานั่นเอง
ในมือของยี่หวามีหนังสือนิทานวางคาอยู่ ณนนท์ขยับตัวเดินเข้าไปใกล้ ยี่หวารู้สึกตัว ลืมตาตื่นขึ้น
“ไข้ลดแล้วเหรอคะ”
ยี่หวายกมือขึ้น ณนนท์ก้มศีรษะลงไปให้ยี่หวาแตะหน้าผากอย่างรู้งาน
“ไม่มีไข้แล้ว” ยี่หวายิ้มอย่างดีใจ
“มีพยาบาลดีก็หายไวแบบนี้ล่ะครับ”
ณนนท์พูดพร้อมกับสบตายี่หวายิ้มๆ แววตาบ่งบอกถึงความรักในตัวยี่หวาจนยี่หวารู้สึกเขิน
“ฉันพาไข่ตุ๋นขึ้นไปนอนก่อนนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมพาไปเอง”
ยี่หวาจะอุ้มไข่ตุ๋น แต่ณนนท์มาแย่งอุ้ม มือของทั้งสองคนจับกันโดยไม่ตั้งใจ ณนนท์กับยี่หวาสบตากัน ทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงความอ่อนหวานและความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกัน
วินาทีนั้นณนนท์ค่อยๆ ขยับตัวยื่นใบหน้าเข้าไปชนจนชิดกับใบหน้าของยี่หวา ยี่หวาสบตาณนนท์ด้วยแววตาหวานซึ้ง ทั้งสองใกล้ชิดกันจนกระทั่งได้ยินเสียงหัวใจของกันและกันที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
ทว่าไข่ตุ๋นเริ่มขยับตัวแต่ยังไม่ตื่น ณนนท์กับยี่หวาจึงพากันหลุดออกมาจากห้วงภวังค์นั้น.ในอาการเขินๆ
“ผมอุ้มขึ้นไปเองดีกว่าครับ” ณนนท์อาสา
“ไหวแน่นะคะ”
“ครับ”
ณนนท์อุ้มไข่ตุ๋นออกไป ยี่หวามองตาม รู้สึกวาบหวามขึ้นมาในใจจนหายใจไม่ทั่วท้อง
“บ้าน่ะยี่หวา เธอไม่ใช่สาวๆ แล้วนะ” ยี่หวาพูดพึมพำกับตัวเอง
“ผมขอบคุณนะครับที่ทำให้บ้านนี้มีผู้หญิงที่เป็นแม่จริงๆ อีกครั้ง”
ณนนท์เอ่ยขึ้นขณะเดินออกมาส่งยี่หวาที่รถ
“ด้วยความยินดีค่ะ เพราะปกติฉันก็เป็นแม่อยู่แล้ว”
ณนนท์หันมามองยี่หวาด้วยแววตาลึกซึ้ง
“ไข่ตุ๋นเค้ารักน้ายี่หวาของเค้ามากเลยนะครับ เดี๋ยวนี้น่ะพูดถึงแต่น้ายี่หวาทุกวัน ถ้าไข่ตุ๋นมีคุณเป็นแม่ก็คงจะดี”
“ไข่ตุ๋นก็มีแม่อยู่แล้วนี่คะ ส่วนฉันก็เป็นน้ายี่หวาของไข่ตุ๋นต่อไปอย่างงี้ล่ะค่ะดีแล้ว”
จังหวะนั้นเอง ณนนท์คว้ามือยี่หวามากุมไว้แนบอก
“คุณน่าจะรู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ”
ยี่หวาสบตาณนนท์ ดวงตาของทั้งคู่ต่างฉายแววแห่งความรักในใจที่ต่างฝ่ายต่างมีให้แก่กัน แต่แล้วยี่หวานึกถึงข้าวตูก็หนักใจ ถอนหายใจยาว
“เรื่องคุณกับฉันก็เรื่องนึง แต่เรื่องลูกก็เรื่องนึง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ ที่จะอธิบายให้ลูกฟัง ทั้งที่เราเองก็ยังแก้ปัญหากันไม่ตก”
ณนนท์ฟังแล้วก็ปล่อยมือยี่หวาอย่างหมดแรง
“จริงของคุณ เราสองคนยังมีปัญหาที่แก้ไม่ได้ แล้วเราจะไปเริ่มอนาคตใหม่ยังไงใช่มั้ย”
ทั้งณนนท์และยี่หวาต่างก็รู้สึกหนักใจในปัญหาของทั้งสองฝ่าย
ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของยี่หวาดังขึ้น ยี่หวารีบหยิบขึ้นมากดรับ
“ว่าไงนะคะแม่”
น้ำเสียงและสีหน้าของยี่หวาฉายแววความตกใจ
ยี่หวากลับมาถึงบ้าน บุญเลื่องก็เล่าระบายด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
“ไอ้หัวขโมยนั่นมันเอายกทรงกางเกงในของแม่ไปหมดเลย เหลือตัวนี้ไว้ให้ดูต่างหน้าตัวเดียว”
บุญเลื่องชูกางเกงในเชยๆแบบเต็มตัวขนาดใหญ่เบ้งขึ้นมาให้ยี่หวาดู
“แล้วของหยีล่ะหายมั้ย” ยี่หวาถาม
“ไม่หายค่ะ ของหยีกับของพี่ยี่หวาที่ตากไว้ยังอยู่ครบค่ะ”
“อ้าวเหรอ แปลก ทำไมมันขโมยแต่ของแม่ แต่ของพวกเรามันไม่เอาไปด้วยล่ะ”
“เพราะมันเป็นหัวขโมยโรคจิตน่ะสิ ขโมยชุดชั้นในสาวๆ นี่ก็จิตมากแล้วนะ แต่ไอ้แบบที่เลือกสอยแต่ชุดชั้นในรุ่นป้านี่มันต้องโรคจิตมากแน่ๆ”
ฟังที่บุญเลื่องเล่า สีหน้ายี่หวาเต็มไปด้วยความหนักใจ
วันต่อมายี่หวาเดินเข้ามาหยิบเอกสารบนโต๊ะทำงานพลางพลิกหา จังหวะนั้นก็เหลือบไปมองรูปวันแม่ในกรอบ หยิบมาดูแล้วอมยิ้ม ณนนท์โผล่มาเคาะประตู
“สวัสดีคร้าบ”
“อ้าว คุณนนท์ หายป่วยแล้วเหรอคะ”
“หายแล้วครับ คุณพ่อผมฝากขนมมาให้คุณครับ”
ณนนท์ถือตะกร้าขนมไทยมาวางบนโต๊ะยี่หวา ณนนท์สังเกตเห็นกรอบรูปในมือของยี่หวา
“นั่นมันรูป...”
ยี่หวารีบเอาไปซ่อนไว้ด้านหลัง แต่ณนนท์พยายามจะแย่ง ยี่หวาอาย ไม่ยอมให้ณนนท์แย่งไปได้ ณนนท์กอดยี่หวา ทั้งสองคนสบตากัน แต่จู่ๆ วสันต์เดินเข้ามาพอดี
“นี่ถ้าไม่เห็นด้วยตาก็คงบอกว่าทำงานกันอยู่ล่ะซี้”
ณนนท์กับยี่หวาหันมา ผละออกจากกัน ยี่หวามองวสันต์อย่างไม่พอใจ
“ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบาย”
“อะไร กอดกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าสามีแต่ไม่คิดจะอธิบายอะไรซักนิดเลยเหรอผมเป็นสามีคุณนะยี่หวา”
“เสียใจ คุณไม่ได้ทำหน้าที่สามีและพ่อมาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นเลิกใช้คำนี้กับฉันได้แล้วค่ะ”
“ใช่สิ พอมีตัวผู้หน้าใหม่มาก็เตรียมไล่ตัวผู้หน้าเก่าออกไป แพศยา” วสันต์เผยธาตุแท้ออกมา
“หยุดนะ”
ณนนท์สุดจะทนไหวจนบันดาลโทสะ เข้าไปต่อยวสันต์ล้มคว่ำ
“คุณนนท์”
“มึง! มึงต่อยกู”
วสันต์ชี้หน้าณนนท์ แล้วพุ่งเข้าไปต่อยณนนท์อย่างเดือดดาล แต่ณนนท์หลบทัน วสันต์จึงต่อยลมวืดลงไปนั่งกับพื้น วสันต์ยิ่งเจ็บใจ
“แน่จริงอย่าหลบสิวะ เล่นชู้กับเมียชาวบ้านแล้วยังต่อยผัวเค้าแบบเนี้ยเค้า เรียกว่าเลวยกกำลังสอง” วสันต์ด่าออกมา
“ผมไม่ได้เป็นชู้กับภรรยาคุณ แล้วคุณก็ไม่ควรดูถูกคุณยี่หวาด้วย คุณขอโทษคุณยี่หวาเดี๋ยวนี้”
“ไม่ขอโทษ นี่เมียกู ถ้ามึงอยากได้ก็มึงก็ข้ามศพกูไปก่อน”
เสียงยี่หวาตวาดขึ้น “วสันต์! พอได้แล้ว” พลางหันไปพูดกับณนนท์ “คุณนนท์คะ คุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ”
“แต่มัน...” ณนนท์ของขึ้นชี้หน้าวสันต์
“นะคะ เห็นแก่ฉันเถอะค่ะ”
ณนนท์กัดฟัน มองหน้าวสันต์อย่างโกรธๆ ก่อนจะเดินออกไป วสันต์ลุกขึ้นมองตามยิ้มเย้ยหยัน
“แค่นี้ก็รู้แล้วว่ายี่หวาเค้าเลือกใคร ยังไงเค้าก็เลือกพ่อของลูกอยู่แล้ว จริงมั้ยจ๊ะที่รัก”
วสันต์เดินไปกอดยี่หวา แต่ถูกยี่หวาสะบัดตัวออกอย่างแรง
“เปล่า ฉันไม่ได้เลือกคุณ แต่ฉันจะขอหย่ากับคุณ”
วสันต์หัวเราะไม่สะทกสะท้าน “ยี่หวา คุณพูดเล่นใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้พูดเล่น ฉันเอาจริง”
นำเสียงยี่หวาพูดอย่างจริงจังจนวสันต์ตกใจ คาดไม่ถึง
วัลลภาตื่นถึงกับกรี๊ดเสียงดังลั่น เมื่อเห็นว่ามีหมายศาลแปะอยู่ที่ประตูบ้าน
“ไม่จริง...ไม่จริง...ไม่จริ๊งง ไม่จริงใช่มั้ยตาสันต์ บ้านเราไม่ได้โดนยึดใช่มั้ย ไอ้กระดาษนี่มันเป็นของปลอมใช่มั้ยลูก”
วัลลภาชี้ไปที่กระดาษคำสั่งศาลที่แปะอยู่หน้าบ้าน
“ไม่ปลอมหรอกแม่ ของจริง ยึดจริงเลยละ”
“งั้นฉันจะฉีกมันทิ้งแล้วก็บอกว่าไม่รู้ไม่เห็น แค่นี้ใครหน้าไหนก็ยึดบ้านฉันไม่ได้”
วัลลภาเอื้อมมือไปหมายจะดึงคำสั่งศาล วสันต์รีบปัดมือแม่ออก
“ได้ที่ไหนล่ะแม่ ทำงั้นก็โดนตำรวจจับสิ”
“แล้วแกจะให้ฉันทำไง แกน่ะมันโง่ แทนที่จะเกาะนังยี่หวาไว้ให้แน่นๆ ดั๊นไปทำให้มันโกรธขอหย่า
“ก็ผมโมโห”
“ตาสันต์เอ๊ยย....คนจนน่ะห้ามโมโหรู้มั้ย โดยเฉพาะกับคนรวย...จำไว้เลย ห้ามขึ้นเสียง ห้ามเถียงแรง ห้ามแย่งออกตังค์ ห้ามสั่งเค้าด้วย รักจะปอกลอกต้องปะเหลาะให้เป็น รู้มั้ย” วัลลภาถอนหายใจ “เฮ้อ จับเพิร์ลลี่ก็ไม่ได้ เมียก็ขอหย่าแล้วจะเอาอะไรกินเข้าไปล่ะ ฉันอยากจะรู้นัก”
“เราก็ทำงานสิแม่” วสันต์พูดหน้าตาย
“ต๊าย กล้าพูดนะยะ ตั้งแต่เกิดมาแกเคยทำงานอะไรเหรอ นอกจากเล่นม้ากับแทงบอลน่ะ เฮ้อ เอิ้ก”
พูดได้แค่นั้นวัลลภาลมใส่ ทำท่าจะเป็นลม วสันต์ตกใจ รีบเข้าประคองแม่
“แม่ๆ อย่าเพิ่งเป็นลม...คนจนเค้าห้ามป่วย ห้ามตายนะแม่!”
หลังเลิกงานตอนค่ำ ณนนท์หอบข้าวของเดินออกมาจากบริษัท เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วคิดถึงปัญหาระหว่างตัวเองกับยี่หวาก็ยิ่งรู้สึกหนักใจ ณนนท์ถอนหายใจแล้วเดินไปทางลานจอดรถ เมื่อไปถึงก็เจอยี่หวาที่ยืนพิงรถของเขารออยู่แล้ว
“ยี่หวา”
“ฉันขอคุยด้วยได้มั้ยคะ”
สีหน้าหน้าณนนท์เคร่งขรึมขึ้นมาทันที
ยี่หวากับณนนท์นั่งรถออกมา แล้วมาหยุดคุยกันอยู่บริเวณใต้สะพานริมน้ำแห่งหนึ่ง
“ฉันขอโทษแทนวสันต์ด้วยนะคะ”
“คุณจะขอโทษแทนผู้ชายห่วยๆคนนั้นทำไม”
ยี่หวาถอนหายใจ “ถ้างั้นฉันก็ขอโทษ...ที่ฉันทำให้คุณต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
ณนนท์พูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
“คุณไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ผมผิดเองที่เข้าไปวุ่นวายกับครอบครัวของคุณ”
“ครอบครัวของฉัน?”
“คุณ คุณวสันต์ แล้วก็ข้าวตูไงครับ” ณนนท์บอก
ยี่หวาส่ายหน้า
“ครอบครัวของฉันมีแต่แม่ หยี แล้วก็ข้าวตู ส่วนวสันต์เค้าไม่ใช่ครอบครัวของฉัน เค้าเป็นแค่พ่อของข้าวตู พ่อที่ไม่เคยทำหน้าที่พ่อที่ดีเลยซักครั้ง”
ณนนท์นิ่งฟังพลางมองยี่หวาอย่างเห็นใจ
“ตอนเด็กๆฉันเคยฝันว่าฉันอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น เพราะพ่อของฉันไม่เอาไหน พ่อขี้เมาแล้วก็ชอบทำร้ายแม่ พอฉันเจอวสันต์ เขาอ่อนโยน พูดจาสุภาพ ไม่ดื่มเหล้า...” ยี่หวาเว้นระยะ ณนนท์พูดแทรกขึ้น
“คุณก็เลยรักเค้า”
“หลงมากกว่าค่ะ ฉันหลงเปลือกนอกดีๆที่เค้าฉาบเอาไว้จนคิดว่านั่นคือความรัก”
“แล้วทำไมคุณถึงไม่เลิกกับเค้าซะตั้งแต่แรกล่ะครับ”
“ถ้าฉันรู้ก่อนก็ดีสิคะ ฉันมารู้เอาตอนที่มีข้าวตูแล้ว แล้วฉันก็ไม่อยากทำให้ข้าวตูเสียใจ ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันทำถูกหรือผิดที่ปกปิดลูกเรื่องพ่อของเค้า แต่ตอนนี้ถ้าเค้ายังมีความสุขดีที่รู้ว่ายังมีมีพ่ออยู่ ฉันก็พร้อมจะยอมรับความทุกข์นั้นไว้เอง” ยี่หวาได้โอกาสอธิบายความอัดอั้นที่เก็บเอาไว้
“ผมเข้าใจดี ไข่ตุ๋นคือสิ่งวิเศษที่สุดในชีวิตของผม ผมก็ไม่อยากให้ไข่ตุ๋น ต้องเสียใจเพราะผมเหมือนกัน”
ยี่หวาฟังณนนท์ระบาย ทั้งคู่ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ณนนท์จับมือยี่หวาแล้วบีบเบาๆ เพื่อปลุกปลอบให้กำลังใจกันและกัน
เวลาต่อมาณนนท์ขับรถมาส่งยี่หวา พอเข้ามาในบ้านเห็นราวตากกางเกงในไซส์ขนาดยักษ์ตากอยู่เต็มบ้าน ณนนท์ก็อมยิ้มพลางถามอย่างขำๆ
“ตกแต่งบ้านแบบใหม่เหรอครับ”
ยี่หวาฟังแล้วก็หัวเราะตามไปด้วย “แม่ฉันตากไว้ล่อขโมยน่ะค่ะ”
“ขโมย! ขโมยอะไรครับ”
“พวกหัวขโมยโรคจิตน่ะค่ะ วันก่อนเข้ามาขโมยชุดชั้นในของแม่ฉันไปหมดเลย”
“แจ้งความรึยังครับ”
“แจ้งแล้วค่ะ ถึงได้รู้ว่าบ้านคุณป้ากับคุณยายหน้าปากซอยก็โดน”
“คุณยาย! ขโมยชุดชั้นในคุณยายเลยเหรอครับ โห ท่าทางมันจะจิตมาก” ณนนท์ไม่อยากจะเชื่อ
ขณะนั้นโทรศัพท์มือถือของยี่หวาดังขึ้น ยี่หวากดรับ
“ฮัลโหล...” ยี่หวาฟังอีกฝ่ายพูด “จ้ะๆ จะรีบไปเดี๋ยวนี้” พร้อมกับกดปิดมือถือหันมาบอกณนนท์ “ฉันจะรีบไปแล้วล่ะ”
“อะไรเหรอครับ”
“ออร์กาไนเซอร์โทรมาบอกว่าฉากล้มลงมาทับต้นไม้ค่ะ”
“โห มีหวังต้องซ่อมกันถึงดึกแน่เลยครับ”
“เฮ้อ...ไม่น่าเล๊ย ยิ่งเป็นห่วงบ้านอยู่ด้วย”
“เอางี้ คุณไปดูงาน เดี๋ยวผมเฝ้าบ้านให้เอง” ณนนท์อาสาออกมา
“เอางั้นเหรอคะ”
ณนนท์ยิ้มแล้วพยักหน้า
เวลาต่อมาข้าวตูจ้องมองณนนท์ตาแป๋วอยู่ภายในห้องรับแขก ทำเอาณนนท์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ โดนจ้องหน้าจนรู้สึกอึดอัด ณนนท์ยิ้มแหยๆ ให้ข้าวตู
“ข้าวตูอย่าจ้องลุงแบบนี้สิครับ ลุง...ลุง...”
“ลุงนนท์เก็บความลับได้มั้ยครับ” ในที่สุดข้าวตูก็เอ่ยขึ้นมา
“ได้สิ”
“สัญญานะครับว่าจะไม่บอกแม่”
ณนนท์พยักหน้ารับคำ
“โอเค สัญญาลูกผู้ชายเลยด้วย ข้าวตูมีเรื่องอะไรเหรอ”
ข้าวตูลุกไปหยิบรถบังคับวิทยุมาส่งให้ณนนท์
“แม่ไม่ให้ข้าวตูเอารถไปเล่นเวลาอาบน้ำครับ แต่ข้าวตูอยากลองดูว่ารถมันวิ่งในน้ำได้รึป่าว ข้าวตูก็เลยเอาไปวิ่งในอ่างอาบน้ำ”
ณนนท์ลองกดสวิทช์ รถไม่ขยับ
“ข้าวตูไม่กล้าบอกแม่ครับ กลัวโดนแม่ว่า” ข้าวตูกระซิบบอก
ณนนท์แกะฝาใต้ท้องรถบังคับออกมาดู
“ข้าวตูมีถ่านใหม่มั้ยครับ”
“มีครับ”
ข้าวตูวิ่งไปหยิบถ่านไฟฉายก้อนใหม่มาส่งให้ณนนท์ ณนนท์เปลี่ยนถ่าน แล้วเปิดสวิตช์ รถก็วิ่งได้ฉิว ข้าวตูทำตาโต
“รถวิ่งแล้ว”
“ถ่านมันหมดน่ะข้าวตู...แต่คราวหน้าอย่าเอาไปเล่นในอ่างน้ำอีกนะ”
“ตกลงคร้าบ”
“เอาล่ะ ดึกแล้วไป นอนได้แล้ว”
ข้าวตูจะขึ้นข้างบน หันมาขอบคุณณนนท์
“ขอบคุณนะครับลุงนนท์ๆ เก่งที่สุดเล๊ย”
ณนนท์มองตามข้าวตู ยิ้มอย่างเอ็นดู
ครู่ต่อมาณนนท์ถือไฟฉายเดินตรวจรอบๆ บริเวณบ้าน บุญเลื่องกับยาหยีอยู่ในชุดนอนเปิดประตูบ้านออกมามอง
“พี่นนท์ทำอะไรเหรอคะ” ยาหยีถาม
“ผมรอยี่หวาครับ ห่วงว่าเข้าบ้านดึกๆ เกิดเจอคนร้ายแล้วจะเป็นอันตรายน่ะครับ”
ว่าแล้วณนนท์ก็ฉายไฟฉายไปตามสุมทุมพุ่มไม้รอบๆ รั้วบ้าน
“ให้หยีรอเป็นเพื่อนมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณแม่กับน้องหยีขึ้นไปนอนก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมรอเอง”
บุญเลื่องกับยาหยีฟังแล้วก็ยิ้ม
“คุณนนท์นี่เค้าเป็นคนดีจริงๆ นะ ถ้าพี่เขยแกดีได้ซักครึ่งนึงของคุณนนท์ก็คงจะดีหรอก”
“จริงด้วยค่ะแม่”
ยาหยีพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเดินเข้าบ้านไปพร้อมกับบุญเลื่อง
ขณะที่ยี่หวากำลังเดินเข้าประตูรั้วบ้าน สายตาก็มองไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินตะคุ่มๆ อยู่ข้างบ้าน ในใจนึกว่าเป็นณนนท์
“คุณนนท์ ดึกป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีก”
ยี่หวายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วย่องเข้าไปด้านหลัง พลางเอามือปิดตาผู้ชายคนนั้น ชายคนนั้นตกใจรีบสะบัด แล้วหันหน้ากลับมามอง ยี่หวากับชายคนนั้นแหกปากร้องลั่นออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ
“แก...แกเข้ามาในบ้านฉันทำไม”
ยี่หวามองของในมือผู้ชายแปลกหน้าคนนั้น เห็นมันถือกางเกงในไซส์ยักษ์กับยกทรงของบุญเลื่อง
“ขโมย! แก...ไอ้โรคจิต” ไวเท่าความคิดยี่หวาใช้กระเป๋าถือฟาดหัวขโมยทันที
จังหวะนั้นณนนท์ ก็วิ่งออกมาจากบ้านพร้อมไม้เบสบอล บุญเลื่องกับยาหยีถือกะทะและตะหลิวออกมาติดๆ กัน จังหวะนั้นทั้ง ยี่หวา ณนนท์ บุญเลื่อง และยาหยีต่างก็ช่วยกันรุมยำตีขโมยจนอ่วม
เวลาต่อมาบุญเลื่องมายืนรออยู่ที่หน้าบ้านอย่างกระวนกระวาย สักครู่ณนนท์ก็ขับรถเข้ามาจอด ณนนท์ ยี่หวา และยาหยีก้าวลงจากรถ
“เป็นไงลูก เรียบร้อยมั้ย”
“ให้ปากคำตำรวจเรียบร้อยแล้วค่ะ ตำรวจเค้าตามไปดูถึงห้องของเจ้าหัวขโมยเจอกางเกงในกับเสื้อในเป็นพันๆ ชิ้นเลยค่ะ” ยาหยีบอก
“โอ้โห เสื่อมได้ใจจริงๆ เสียดาย แม่น่าจะอัดมันไปอีกซักตุ้บสองตุ้บ” บุญเลื่องยังไม่สะใจ
“แค่นั้นก็อ่วมแล้วค่ะแม่” ยาหยีบอกพร้อมกับหาวหวอดๆ
“ฮ้าวว...หยีขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อนนะคะ”
พร้อมกับขยิบตาให้แม่ บุญเลื่องงงอยู่แป๊บนึงก็เข้าใจ
“โอ๊ย แม่ก็ง่วงแล้ว” พลางหาวขึ้นเสียงดัง “แม่ไปด้วยหยี อ้อ ขอบใจมากนะคุณนนท์”
ยาหยีกับบุญเลื่องเดินเข้าบ้านไป
ยี่หวามองตามยาหยีกับบุญเลื่องแล้วหันมาพูดกับณนนท์
“ขอบคุณคุณมากนะคะ ที่ช่วยมาอยู่เป็นเพื่อนจนจับขโมยได้ พวกเรากลัวจนนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว คืนนี้จะได้หลับเต็มตาซักที บ้านที่ไม่มีผู้ชายก็แบบนี้ล่ะค่ะ”
ณนนท์ครุ่นคิดอะไรในใจอยู่แล้วตัดสินใจพูดกับยี่หวา
“คุณยี่หวาครับ จากเหตุการณ์เมื่อกี้มันทำให้ผมคิดได้ว่า ผมอยากจะดูแลคุณตลอดไป ขอให้ผมดูแลคุณได้มั้ยครับ”
“คุณนนท์...” ยี่หวาอี้ง
“ผมรักคุณนะยี่หวา”
ณนนท์พูดความในใจพร้อมกับมองสบตายี่หวาด้วยสายตาที่บอกถึงความรักเต็มหัวใจ ยี่หวารู้สึกหัวใจพองโตด้วยความซาบซึ้งจนต้องยิ้มออกมา
“แหม สารภาพกันโต้งๆ แบบนี้ ฉันก็ตั้งตัวไม่ทันสิคะ”
“คุณกับผมก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว ผมคิดกับคุณยังไงผมก็อยากบอกกับคุณตรงๆ แล้วผมก็อยากรู้ด้วยว่าคุณคิดยังไงกับผม”
ยี่หวานิ่งคิด “อืม...ฉันคิดว่า...ถ้าข้าวตูจะมีพ่อใหม่ คนคนนั้นก็น่าจะเป็นคุณค่ะณนนท์”
ณนนท์ดีใจมาก ดึงตัวยี่หวาเข้ามากอดแนบแน่น ยี่หวาเองก็ดีใจรู้ซึ้งแล้วว่า เธอและเขาต่างใจตรงกัน
จังหวะนั้นวสันต์กับวัลลภาก็เดินหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามา
“อะแฮ่ม” วสันต์กระแอมขัดจังหวะขึ้น
ณนนท์กับยี่หวาสะดุ้ง หันไปเจอวสันต์ยืนหน้าขมึงถึงมองอยู่อย่างไม่พอใจ วัลลภาแส่ขึ้นอีก
“ดึกป่านนี้ ทำไมไม่เข้าไปคุยกันในบ้านละค้า รึว่ากลัวชาวบ้านเค้า จะไม่รู้ไม่เห็น”
ณนนท์กับยี่หวาต่างก็กระดาก อึดอัดใจ
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
ณนนท์ขับรถออกไป เหลียวดูภาพเหตุการณ์ในกระจกมองหลัง เห็นวสันต์เดินไปยืนเคียงข้างยี่หวา ณนนท์รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ ส่วนวสันต์ถามยี่หวาด้วยน้ำเสียงเคืองๆ
“มันมาทำไม”
“นี่มันบ้านของฉัน ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าพวกคุณมาทำไม”
ครู่ต่อมายี่หวายืนกอดอกหน้าตาเคร่งเครียด มองสองแม่ลูก วัลลภาและวสันต์ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟารับแขก
“โธ่ยี่หวา อย่าใจร้ายใจดำไล่คนแก่ไปนอนข้างถนนเลย ฉันไม่มีที่ไปจริงๆ ความหวังเดียวในตอนนี้ก็มีแต่ความเมตตาของเธอนี่ล่ะจ้ะ” วัลลภาออกโรงอ้อนสุดชีวิต
“แหม ตอนนี้ถึงกับพูดดีได้เลยเหรอคะ”
“อะไรกัน ฉันก็พูดดีกับเธอตลอดแหละ เคยพูดไม่ดีตรงไหน ไม่เค๊ยไม่เคยเลยแม้แต่จะขึ้นเสียงให้ระคายหู ตกลงให้ฉันกับตาสันต์นอนที่นี่เถอะนะจ๊ะ”
ฟังวัลลภาบอกตาใส สีหน้ายี่หวาเครียดและหนักใจ
“ถึงยังไงผมก็เป็นพ่อข้าวตู แม่ผมก็เป็นย่าของข้าวตู คุณจะปล่อยให้เราไปตกระกำลำบากได้ยังไง”
ยี่หวาส่ายหน้า “ไม่ได้ค่ะ ยังไงก็ไม่ได้ คุณพาแม่คุณไปเช่าคอนโดอยู่แล้วกัน”
“แต่นี่มันดึกแล้วนะ จะให้ไปตระเวนหาโรงแรมที่ไหนพัก อีกอย่างฉันก็ไม่มีเงินไอ้ครั้นจะไปหา
ห้องพักรูหนูอยู่มันก็ไม่ไหว ให้เราสองแม่ลูกอยู่ที่นี่ซักพักเถอะพอเราหาที่อยู่ใหม่ได้ก็จะรีบย้ายออกไปทันที”
“แล้วถ้าหาไม่ได้ล่ะ พวกคุณไม่อยู่ที่นี่กันไปตลอดชีวิตเลยเหรอคะ”
วัลลภากับวสันต์มองหน้ากัน จังหวะหนึ่งวัลลภาขยิบตาหันมากระซิบกับวสันต์
“งัดไม้ตายเลยตาสันต์”
วสันต์พยักหน้า ลุกขึ้นยืน
“ข้าวตูๆ มาช่วยพูดกับแม่หน่อยเร็วลูก ข้าวตูๆ
“นี่คุณ จะตะโกนทำไม ลูกนอนแล้วนะ” ยี่หวาโมโหเล็กๆ
“ก็คุณไม่ยอมให้ผมอยู่ที่นี่ ผมก็ต้องให้ลูกมาช่วยอ้อนวอนคุณสิ ให้มันรู้ไปว่าคุณจะใจดำกับพ่อของลูกได้ลงคอ” ว่าพลางร้องตะโกนต่อ “ข้าวตูๆ”
ยี่หวาตีแขนวสันต์ดังเพี้ยะ “โอ๊ย!”
พร้อมกับค้อนให้หนึ่งวง
“ฉันยอมให้พวกคุณอยู่ก็ได้ แต่แค่ชั่วคราวนะ พอได้ที่อยู่ใหม่ พวกคุณต้องย้ายออกไป โอเคมั้ย
“โอเคเลยจ้า ไปลูก...นำไปเลยห้องไหน แม่ง่วงนอนเต็มทีแล้ว”
วสันต์กับวัลลภาดี๊ด๊าสุดๆ หิ้วกระเป๋าเดินขึ้นบ้านไปอย่างไม่เกรงใจ ปล่อยให้ยี่หวามองตามอย่างหนักใจ
จบตอน
โปรดติดตามตอนต่อไป วันพรุ่งนี้
วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554