(ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้า เวลา 09.30 น.)
รอยไหม ตอนที่ 14
บริวารบัวเงินเข็นฝ้ายปั่นฝ้ายกันเป็นระวิง บัวเงินเดินเลี่ยงออกมามุมนึงเม้ยเดินตามติด
“หม่อมกะเจ้า ระหว่างรอหื้ออีพวกนั้นมันเข็นฝ้าย เม้ยว่าหม่อมรีบกิ๋นข้าวกิ๋นปลาไว้ก่อนดีกว่าเจ้า”
“กูบ่กิ๋น”
“บ่กิ๋นเดี๋ยวหม่อมก่บ่มีแฮงนะเจ้า”
“มึงจะหื้อกูกิ๋นเข้าไปลงได้จะไดอีเม้ย มึงบ่หันก๊าว่ากูกำลังเครียด กูนึกว่ากูจะหักหน้าอีมณีรินมันได้แล้วเชียว บ่คิดว่าเจ้าน้อยจะเจ้ากี้เจ้าการเข้ามาจ่วยมัน”
“นั่นน่ะก่เจ้า บ่ฮู้ธุระกงการอะหยังของเจ้าน้อยตวย เสือกบ่เข้าเรื่องแต๊ๆนะเจ้า”
“หันอีมณีรินมันลอยหน้าลอยตาแล้วกูอยากจะบีบคอมันหื้อตายคามือนัก”
“ใจ๋เย็นๆเต๊อะเจ้า คิดซะว่าดวงมันยังดี หม่อมยังบ่ได้แป้มันชะหน่อย เอาไว้เริ่มตำหูกแต๊ๆ มันจะฮู้สึก ผอมเป๋นไม้เสียบผีอย่างมันจะตำหูกได้ซักกี่น้ำกั๋นจะไดหม่อมก็ต้องชนะมันแน่เจ้า”
บัวเงินหน้าเครียดเจ็บแค้นใจ
ทางด้านมณีริน ลงแรงช่วยคำเที่ยงและบริวารเข็นฝ้ายกันเป็นระวิง ศิริวงศ์เดินเข้ามานั่งยองๆลงด้านหลังคำเที่ยง ขณะที่คำเที่ยงพล่ามยาวน้ำไหลไฟดับ
“เจ้ารินไปพักเอาแฮงก่อนเต๊อะ เข็นฝ้ายได้อีกหน่อยก่อจะต้องเริ่มตำหูกแล้ว งานนี้ปี้ว่าหม่อมบัวเงินเปิ้นบ่ออมแฮงแน่ ปี้จำได้ติดหูติดตาตอนตี้เจ้าน้อยเปิ้นหื้อคนขนฝ้ายเข้ามา ลูกตาหม่อมบัวเงินเปิ้นแทบจะถลนออกมานอกเบ้า ทำท่าเหมือนจะขาดใจ๋ตายไปซะตอนนั้นหื้อได้ จะว่าไปเจ้าน้อยเปิ้นก็เหมือนพระมาโปรดเหมือนกั๋นเน๊าะเจ้ารินถ้าบ่ได้เปิ้น ป่านนี้หม่อมบัวเงินก่อคงหัวเราะเยาะเจ้ารินจนเหงือกแห้งไปแล้ว”
“ปี้คำเที่ยงอยากขอบใจ๋เปิ้นก่ ขอบใจ๋เลยเน้อ” มณีรินพูดยิ้มๆ
“โอ้ย...ถ้าเปิ้นอยู่ตรงหน้าตอนนี้ปี้ก่ ว่าจะก้มลงกราบแทบเท้างามๆ ซักกำนึงอยู่หรอก”
“ถึงกับกราบเชียวรึ” ศิริวงศ์พูดขึ้น
คำเที่ยงสะดุ้งสุดตัวเมื่อ หันไปเห็นศิริวงศ์ คำเที่ยงยกมือไหว้แล้วคลานต้วมเตี้ยมออกไปอยู่ข้างๆมณีรินอีกด้านปั่นฝ้ายยิกๆหูก็ผึ่งฟัง
“ตั๋วไปได้ฝ้ายมาจากไหน” มณีรินถาม
“ลำปูน”
“ไปซื้อมา จะอั้นก๊า”
“เฮาบ่ได้ใจ้เงินแม้แต่แดงเดียว จาวบ้านแค่ฮู้ว่าเจ้านางมณีริน จะตอผ้าขึ้นห่มถวายองศ์พระธาตุ ก่อเต๋มใจ๋ศรัทธาขอฮ่วมทำบุญกั๋นมาคนละเล็กละน้อย อย่างตี้ตั๋วหั๋นนี่แหละ”
“เฮาจะบ่ทำหื้อจาวบ้านผิดหวัง” มณีรินน้ำเสียงมุ่งมั่น
“เจ้านางน้อย ต้องทำได้แน่” ศิริวงศ์ยิ้มให้กำลังใจ
“ขอบใจ๋เน้อ เจ้าน้อย”
ศิริวงศ์ขยับลุกออกไป มณีรินยิ้ม กำลังใจมาเป็นกอง หันมาเจอสายตาคำเที่ยงที่มองจ้อง คำเที่ยงรีบหลบตาทำเป็นปั่นฝ้ายมือเป็นระวิง
ศิริวัฒนาเดินยิ้มตรงเข้ามาหาศิริวงศ์
“ที่เจ้าขอลางานไปวันนึง ที่แท้ก็ไปหาฝ้ายให้เจ้ารินเปิ้น นี่เอง”
“มีงานด่วนอะหยังรึเปล่าครับเจ้าอ้าย”
“บ่หมีอะหยังหรอก แต่ความจริงเจ้าน้อยน่าจะบอกปี้ตามตรง ว่าเจ้ารินเปิ้นมีปัญหา”
“ทีแรกน้องก็บ่ฮู้...เจ้านางน้อยเปิ้นบ่อยากหื้อปัญหาของเปิ้นเป๋นภาระคนอื่น”
“เจ้ารินเปิ้นเป๋นแม่หญิงตี้งดงามทั้งกายทั้งใจ๋แต๊ๆ ปี้ว่านับวันปี้ก่อยิ่งฮักเปิ้นขึ้นทุกที โตภูมิใจ๋ก่อ ตี้มีปี้สะใภ้อย่างเจ้าริน”
“ภูมิใจ๋ครับ ภูมิใจ๋นักขนาด”
ศิริวงศ์ยิ้มเศร้าๆ
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงิน ขยับลงนั่งที่กี่ทอผ้าหยิบกระสวยขึ้นมาเตรียมเริ่มทอเป็นผืน
มณีริน ขยับเข้านั่งที่กี่ทอผ้าเหมือนกัน บัวเงินหันไปมองมณีรินยิ้มเหยียด มณีรินหันมามองบัวเงิน ยิ้มให้แล้วเริ่มลงมือทอผ้า
“มันยิ้มเยาะหม่อมเจ้า...มันคงคิดว่ามันจะเอาชนะหม่อมได้ละมัง หม่อมบ่ต้องกลัว...เดี๋ยวเม้ยจะส่งคนของเรา ไปแกล้งมันเอง แค่แอบไปตัดฝ้ายที่มันปั่นเอาไว้มันก็ ทอ บ่ ทันหม่อมแล้ว” เม้ยยุแยง
“อีเม้ย” บัวเงินตวาด
“กะเจ้าหม่อมรับรองแนบเนียน บ่ มีใครจับได้หรอกเจ้า”
“มึงคิดว่ากู ต้องแพ้มันมันรึไง”
“บ่ เจ้า หม่อมของเม้ยเก่งนี่สุดในเมืองเหนือ หม่อมต้องชนะมันอยู่แล้วเจ๊า”
“แต่มึงกำลังดูถูกฝีมือกู”
“เม้ย บ่ ได้คิดอย่างนั้น”
“มึงไม่ต้องสาระแน ทำอะไรทั้งนั้น กูต้องการชนะอีมณีรินด้วยฝีมือของกู”
เม้ยหุบปากทันที บัวเงินหน้าตามุ่งมั่น
ด้านมณีริน ฟุงกระสวย ผ่านฝ้ายเส้นผืน แล้วกระแทกฟืมเข้าหาตัว แต่ละเส้นฝ้ายที่ทอมณีรินตั้งใจรวบรวมสติเต็มที่ คำเที่ยงขยับเข้ามาหา
“เจ้าริน ได้ซักสองศอกรึยังเจ้า พี่เห็นหม่อมบัวเงิน เปิ้นกระแทกเอาๆ ไม่รู้เปิ้นไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหน พี่ว่าป่านนี้เปิ้นคงได้ไปร่วมวาแล้วล่ะ”
“เปิ้นจะได้ซักกี่วา มันก็เรื่องของเปิ้นนี่พี่คำเที่ยง”
“เจ้าริน ขืนมัวต้วมเตี้ยมทออยู่อย่างนี้ พี่ว่าเจ้ารินจะแพ้เปิ้นเอานา”
“ถึงตอนนี้แล้ว บ่ ใช่ว่าเฮาบ่อยากชนะเน้อพี่คำเที่ยง แต่เฮาอยากตั้งใจทำถวายองค์พระธาตุให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ชาวบ้านเปิ้นอุตส่าห์มีศรัทธา แบ่งปันฝ้ายมาให้เฮา เฮาขอความสงบให้เฮามีสติได้คิดถึงแต่พระเถอะ เลิกกวนเฮาเสียที”
“แล้วงานนี้จะชนะเปิ้นได้ยังไง๊” คำเที่ยงบ่นงึมงำ
มณีรินก้มหน้าก้มตาทอผ้าต่อ คำเที่ยงจำใจถอยออกมาหันไปเร่งพวกบริวารที่ปั่นฝ้ายกันเป็นระวิงแทน
“หื้อโวย ๆ หื้อโวย ๆ”
+ + + + + + + + + + + +
เจ้าหลวงกับพระชายา เสวยอาหารกลางวัน มีบ่าวปรนนิบัติอยู่ สล่าพันคลานเข้ามาเข้าเฝ้า
“ที่วัดเป็นยังไงบ้างล่ะพัน”
“เรียบร้อยดี พุทธเจ้าเข้า ยิ่งปีนี้มีการแข่งขันทอผ้าขึ้นถวาย ชาวบ้านยิ่งสนใจมาดูกันมาก”
“แล้วเริ่มทอกันเป็นผืนได้เยอะรึยัง พันท่าทางใครจะเป็นผู้ชนะล่ะ” พระชายาถามอย่างสนใจ
“ยังดูยากสักหน่อยพุทธเจ้าข้า แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ คนสองคนก็ทำงานต่างกัน คนนึงเอาเป็นเอาตายเหมือนยังไงก็จะเป็นฝ่ายแพ้ไม่ได้”
พระชายายิ้ม
“ข้าทายว่า คนคนนั้น คือบัวเงิน ใช่ไหม”
“พุทธเจ้าข้า”
“แล้ว เจ้านางน้อยล่ะ ไอ้พัน” เจ้าหลวงถามขึ้นบ้าง
“เจ้านางน้อยเปิ้นสงบนิ่ง เปิ้นทอผ้าอย่างรักที่จะทอ เหมือนไม่ได้กังวลกับเรื่องจะแพ้หรือชนะพุทธเจ้าข้า”
เจ้าหลวงกับพระชายา สบตากันยิ้ม
ณ ลานองค์พระธาต ประทีปมากมายถูกจุดถวายบูชาสว่างไสว นักดนตรี บรรเลงเพลง ช่างฟ้อนหญิง ฟ้อนเทียนถวายเป็นหมู่เหล่า บริวารบัวเงินปั่นฝ้ายจนเสร็จได้ฝ้ายเส้นสุดท้าย
“ฝ้ายหมดแล้วเจ้า พี่เม้ย”
เม้ยรับฝ้ายมา ส่งต่อให้แผนกกรงใส่กระสวย แล้วรีบวิ่งมาหาบัวเงินที่ทอยิกๆ
“อีพวกเด็กๆ มันปั่นฝ้ายหมดแล้วนะเจ้าหม่อม”
“แล้วพวกอีมณีรินมันเป็นยังไง”
“โอ้ย...ยังอีกนานเจ้าหม่อม หม่อมบ่ต้องกลัว”
บัวเงินหน้าตาลำพองใจ
ด้านคำเที่ยงรับฝ้ายที่ปั่นเสร็จแล้วชุดสุดท้าย ขึ้นมาส่งเหมือนกัน
“หื้อโวยโวย หื้อโวยโวย”
คำเที่ยงวิ่งมาที่มณีรินที่ก้มหน้าก้มตาทอผ้า
“ฝ้ายปั่นไว้รอหมดแล้วเน้อเจ้าริน”
มณีรินพยักหน้ารับรู้เฉยๆ มือกระแทกฟืมไม่หยุดหย่อน
คำเที่ยง นำขบวนบริวารยกสำรับอาหารเข้ามาจากทางนึง เม้ยกับบริวารก็ยกสำรับสำหรับบัวเงินเข้ามาจากอีกทาง คำเที่ยงเผชิญหน้าเม้ย
“กูว่า แทนที่มึงจะมามัวส่งข้าวส่งน้ำอยู่อย่างนี้ มึงไปบอกนายมึงดีกว่ามั่งอีคำเที่ยง ว่าเลิกคิดจะแข่งกับนายกูเถอะ เพราะต่อให้แข่งยังไง ต่อให้ตำหูกจนแขนหลุด นายมึงก็ไม่มีทางชนะนายกูได้หรอก” เม้ยเยาะเย้ยถากถาง
“มึงน่ะแหละไปบอกนายมึงเถอะอีเม้ยว่ากรรมน่ะมันมีจริง ป๊าด...ใฝ่ฝันจะได้ใกล้พระ แต่ความคิดสกปรกเหลือหลาย พระเปิ้นคงจะเมตตาหรอก” คำเที่ยงสวนกลับ
เม้ยโกรธ เงื้อมือจะตบ
“อีคำเที่ยง...”
คำเที่ยงไม่กลัว
“วันนี้กูมาทำบุญ กูงดตบกะมึงวันนึง มึงอยากจะเป็นหมาบ้ามึงก็เป็นของมึงไปคนเดียวละกัน”
คำเที่ยงเชิ่ดใส่เม้ยและจะเดินออกไป เม้ยยื่นขาออกมาขวาง กะจะให้คำเที่ยงสะดุดหัวทิ่มแต่คำเที่ยงชะงัก
“กูรู้ทันมึงหรอกอีเม้ย คนอย่างมึงนี่นอกจากเป็นหมาบ้าแล้ว ยังเป็นหมาลอบกัดอีกต่างหาก”
คำเที่ยงกระทืบตีนเม้ย แล้วรีบเผ่นออกไปทันที บริวารรีบตาม เม้ยเจ็บเท้ามองตามคำเที่ยงอย่างแค้นจัด
“อีคำเที่ยง...ฝากไว้ก่อนเถอะมึง”
เม้ยหันกลับมาชนบริวารตัวเอง อีลุงตุงนัง สำรับกับข้าวเรี่ยราด เม้ยเอ็ดตะโรโวยวาย
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงินยังทอผ้าเป็นระวิง เม้ยเข้ามา
“หม่อมกะเจ้า หม่อมพักกินข้าวกินปลาเสียก่อนเถอะเจ้า ทอได้เยอะแล้ว”
“กูตาลายไปหมดแล้วอีเม้ย”
“เม้ยเห็นขัตติยะ มานะ ของหม่อมแล้ว เม้ยน้ำตาแทบไหล นี่ถ้าเม้ยทอแทนหม่อมได้ เม้ยจะทอไปนานแล้วเจ้า”
บัวเงินล้างมือในอ่างก่อนกินข้าว หันไปมองทางมณีริน เห็นยังก้มหน้าก้มตาทอผ้า บัวเงินชะงักกึก
“มันทอ บ่ ยอมหยุด ข้าวปลาก็บ่ยอมกินขี้เยี่ยวก็ บ่ ยอมไป ช่างหัวมันเต๊อะเจ้าหม่อม เอาไว้ให้มันเป็นลมคากี่ เราค่อยหัวเราะเยาะมัน ดีไหมเจ้า” เม้ยหัวเราะ
บัวเงินทิ้งข้าวในมือทันที ล้างมือ
“กูบ่กิน กูจะแพ้มัน บ่ ได้”
บัวเงินกลับไปนั่งที่กี่ทันที ทอผ้าต่อ
“หม่อม บ่ กินแล้วเม้ยจะกินได้ยังไง โธ่ หม่อมกะเจ้า เม้ยหิวจนไส้จะขาดแล้วนะเจ้า”
เม้ยมองบัวเงินอย่างเซ็งๆ
ในช่วงเวลานั้น...
ช่างฟ้อนชาย ฟ้อนผางประทีป วงดนตรียิ่งดึกก็ยิ่งต้องครึกครื้นดุดันขึ้น เม้ยกับบริวารช่วยกันตัดผ้าชุดแรกออกมาจากกี่ เฮฮาเจี๊ยวจ๊าว คำเที่ยงกับบริวารก็ช่วยกันตัดผ้าชุดแรกออกจากกี่เหมือนกัน การแข่งขันคู่คี่สูสี
มณีรินกับคำเที่ยง ไม่รีรอให้เสียเวลา ขยับลงเตรียมทอผ้าต่อ
เม้ยกับบริวารช่วยกันย้อมผ้าในหม้อย้อมใบใหญ่ คำเที่ยงกับบริวารก็ย้อมผ้ากันอยู่อีกมุม
“แหม ดอกกรรณิการ์นี่ย้อมสีจีวรได้งามสุกปลั่งดีแท้ๆ”คำเที่ยงเย้ยดัง ๆ
“สีจีวรมันต้องแก่นขนุนย้อมโว้ย มันถึงจะงามกว่ากันอีพวกโง่แล้วอวดฉลาด”เม้ยโต้ตอบทันควัน
“โง่แล้วอวดฉลาด ก็ยังดีกว่าฉลาดแต่ขี้โกงชาวบ้านเขาละโว้ย”
เม้ยโกรธที่ถูกด่าแทงใจดำ
“มึงว่าใครขี้โกง อีคำเที่ยง”
“กูไม่ได้ว่าใคร ใครอยากจะรับไปก็เชิญเลยโว้ย”
“มึงกับกูมาตบกันให้รู้เรื่องรู้ราวกันไปเลยดีกว่ามั้ง”
“เอ๊ะ อีนี่ พูดจาไม่รู้เรื่อง เอะอะก็ชวนตบชวนตี กูบอกแล้ววันนี้กูไม่ว่าง มึงคึกนักก็ไปกัดกับหมาก่อนละกัน”
คำเที่ยงกับบริวารหัวเราะสนุก เม้ยแค้นจัด
“ฝากไว้ก่อนเหอะมึงนายมึงแพ้เมื่อไหร่พวกมึงจะซีด”
ทางด้านมณีรินทอฟ้าจนล้าอ่อนแรง ละสายตาจากกี่ทอผ้ามองออกไป ผู้คนบางตาเพราะดึกมากแล้ว ความบันเทิงยังเหลือชาวบ้านจับระบำ รำฟ้อนกันเองแก้ง่วง มุมหนึ่ง ยังเห็นศิริวงศ์ยืนมองมาอยู่ไกลๆ มณีรินแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขายังอยู่ ยังเฝ้าเป็นกำลังใจให้ห่างๆ ศิริวงศ์ยิ้มให้ มณีรินยิ้มตอบ แล้วลงมือทอผ้าต่อ ทั้งคู่มองกันผ่านแสงวอมแวมของผางประทีปที่วิบวับอยู่รอบ ๆ
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่....
ด้านหน้าของคุ้มเจ้าหลวง...เจ้าหลวงกับพระชายา ลงบันไดหน้าตึกมาด้วยกัน โดยมีศิริวัฒนาตาม เจ้าหลวงเสด็จขึ้นนั่งเสลี่ยง พระชายาเสด็จขึ้นนั่งเสลี่ยง ศิริวัฒนาขึ้นเสลี่ยงอีกตัว ขบวนเสด็จเคลื่อนออกไป
ที่ลานแข่งทอ....บัวเงินเย็บประกอบผ้าจีวรใกล้เสร็จ เม้ยกับบริวารลุ้นเชียร์กันตัวโก่ง มณีรินก้มหน้าก้มตาเย็บแผ่นไหมออมปักลวดลายลงบนผืนผ้าจีวรมุมหนึ่ง
เม้ยกับบริวารเชียร์กันเจี๊ยวจ๊าว
บัวเงินเย็บประกอบผ้าจนเสร็จจบด้วยพันหัวเข็ม สอดซ่อนด้ายแล้วกัดด้ายทิ้ง ประกาศให้รู้ว่าจบงาน เม้ยกับบริวารเฮลั่น พนักงานตีฆ้องเป็นสัญญาณหมดเวลาการแข่งขัน มณีรินกัดด้ายเย็บ เก็บเข็ม คำเที่ยงกับบริวารเฮ
บัวเงินเชิดใส่มณีริน เพราะมั่นใจมากในชัยชนะ
เจ้าหลวง พระชายา ศิริวัฒนา ศิริวงศ์ นั่งเป็นสักขีพยานการตัดสินแพ้-ชนะ พนักงาน แบ่งเป็นสองฝ่าย ช่วยกันวัดความยาวของผ้าและขานจำนวนเป็นวาๆไป
“ยี่สิบแปด” พนักงานฝั่งบัวเงินขานเสียงดังฟังชัด
“ยี่สิบหก” พนักงานฝั่งมณีรินขานตาม
“ยี่สิบเก้า” พนักงานฝั่งบัวเงินขาน
เม้ยดี๊ด๊าเข้ามาใกล้บัวเงิน
“ไม่รู้เปิ้นจะนับไปให้เสียเวลาเหนื่อยเปล่าทำไมนะเจ้าหม่อม ผ้าของหม่อมได้มากกว่าเห็นๆ”
บัวเงินยิ้มลำพอง
“ยี่สิบเจ็ด” พนักงานฝั่งมณีรินขาน
“สามสิบ” พนักงานฝั่งบัวเงินขานต่อ
เม้ยกับบริวารนับไปพร้อมกรรมการนับ มณีรินสงบนิ่ง คำเที่ยงกับบริวารลุ้นตัวโก่ง เสียวไส้
“ยี่สิบแปด” พนักงานฝั่งมณีรินขานเสียงดัง
“สามสิบหนึ่ง” พนักงานฝั่งบัวเงินขานตาม
เม้ยกับบริวารนับพร้อมกรรมการราวกับเชียร์มวยจะแพ้น็อค เจ้าหลวงกับ พระชายา พี่ยิ้มลุ้นสนุก ศิริวัฒนาที่ยิ้มสนุก แต่ศิริวงศ์ใจคอไม่ดี
“สามสิบสอง” พนักงานฝั่งบัวเงินขาน
เม้ยกับบริวารเฮลั่นราวกับได้รับชัยชนะแล้ว บัวเงินหน้าบาน
“ยี่สิบเก้า” พนักงานฝั่งมณีรินบ้าง
คำเที่ยงกับบริวารกลับมาลุ้นต่อหลังจากใจเสียไปแล้ว นับพร้อมกรรมการ
“สามสิบ” พนักงานฝั่งมณีรินขาน
เจ้าหลวง พระชายา ศิริวัฒนา ลุ้นกันสนุก ศิริวงศ์ยิ้มออก เม้ยกับบริวารเริ่มซีด หน้าเสีย
“สามสิบหนึ่ง” พนักงานฝั่งมณีรินขาน
คำเที่ยงกับบริวารเฮ มณีรินลุ้น บัวเงินยิ้มไม่ออก พนักงานคลี่ผ้าวาสุดท้ายออกวัด ทุกคนอยู่ในความเงียบ ลุ้นสุดตัว ผ้าค่อยๆถูกคลี่ออกเหมือนจะไม่เต็มวา มณีรินอดใจเต้นไม่ได้ บัวเงินแทบลืมหายใจ พนักงานวัดผ้า เจียดผ้าสุดแขนจนได้เต็มวา แล้วขานนับเสียงดัง
“สามสิบสอง”
คำเที่ยงกับบริวารกระโดดโลดเต้นดีใจสุดๆ บัวเงินพูดไม่ออกบอกไม่ถูก มณีรินยิ้มดีใจ
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงินถวายผ้าจีวรที่พับวางบนพานใหญ่แก่เจ้าหลวง มณีรินก็ ถวายผ้าจีวรผ้าที่พับไว้โชว์ผ้าปักไหมออม
“พ่อเจ้าจะตัดสินยังไงครับ” ศิริวัฒนาถาม
“ก็นั่นน่ะสิ ผ้าทั้งสองผืนนี่ทอได้ความยาวเท่ากันพอดีอย่างนี้จะตัดสินยังไงล่ะ”
“หม่อมบัวเงินเปิ้นทอเสร็จก่อน เปิ้นเย็บประกอบผ้าก็เสร็จก่อนนะเจ้า” เม้ยพูดขึ้น
“เสร็จก่อนหลังไม่ใช่เรื่องสำคัญนังเม้ย กติกาคือทอเป็นผืนและเย็บให้พร้อมห่มถวายพระธาตุในเวลาที่กำหนดเท่านั้น”พระชายาแย้ง
“ลูกว่า ในเมื่อผลการแข่งขันออกมาเป๋นอย่างอี้ ก่หื้อผ้าทั้งสองผืนได้ห่มองค์พระธาตุ ตวยกั๋นก่อได้นี่ครับเจ้าป้อ” ศิริวัฒนาออกความเห็น
“อย่างนั้น ก็เหมือนไม่ยุติธรรมน่ะ เจ้า เจ้าพี่ น้องน่ะไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว แต่น้องไม่แน่ใจว่าเจ้านางมณีรินเปิ้นจะยอม ผ้าของใครจะอยู่ข้างนอกข้างใน มันจะเป็นเรื่องกินแหนงแคลงใจกันเปล่าๆเจ้า” บัวเงิน แย้งอย่างไม่ชอบใจนัก
ศิริวงศ์ที่นิ่งฟังอยู่นานจึงเอ่ยขึ้น
“ลูกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ตัดสินกัน ด้วยฝีมือความปราณีตเถอะครับ ให้แม่เจ้าเป็นคนตัดสิน”
เจ้าหลวงพยักหน้าเห็นด้วย
“อืม...ก็น่าจะยุติธรรมดีนะ น้องตัดสินเอาเถอะ ในสายตาผู้หญิงน้องว่าผ้าผืนไหนประณีตละเอียดลออ”
คำเที่ยงมีลุ้น มณีรินสงบนิ่ง เม้ยชักใจเสีย แต่บัวเงินออกจะมั่นใจ พระชายาลูบคลำผ้าทั้งสองผืน
“ละเอียดลออประณีตพอๆกัน”
บัวเงินปรายตาไปทางมณีริน
“ข้าเจ้านับถือว่าเอื้อยบัวเงิน เป็นแม่ครูของข้าเจ้าคนนึง วันนี้ข้าเจ้าขอนอบรับคำชม แต่ศิษย์จะฝีมือดีได้ก็เพราะได้แม่ครูที่ดี ข้าเจ้าขอให้เกียรติเอื้อยบัวเงิน ขอให้ผ้าของเปิ้นได้ห่มถวายองค์พระธาตุเถอะเจ้า”มณีรินพูดอย่างเรียบนิ่ง
คำเที่ยงตะลึง
“เจ้าริน”
ทุกคนอึ้งไปกับคำพูดของมณีริน เม้ยสะใจ บัวเงินลำพอง
“แต่แม่ยังพูดไม่จบ” พระชายาพูดขึ้น
บัวเงินชะงัก
“ผ้าสองผืนละเอียดลออประณีตพอๆกัน แต่ผ้าผืนนี้พิเศษกว่า เพราะเจ้านางน้อยอุตส่าห์ปักไหมออมผืนน้อย เข้ามาด้วย ถ้าจะให้แม่เป็นคนตัดสิน แม่ขอเลือกให้ผ้าของเจ้านางน้อยเป็นผู้ชนะ”
มณีรินอึ้ง คำเที่ยงกับบริวารดีใจกันสุดๆ บัวเงินซีดแล้ว ซีดอีกไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เม้ยแทบขาดใจ ศิริวัฒนายิ้มปลื้ม ศิริวงศ์ยิ้มดีใจ
“เป็นอันว่า ผ้าของบัวเงินได้ห่มถวายฐานพระธาตุ ส่วนผ้าของเจ้านางมณีรินได้ห่มถวายองค์พระธาตุเน้อ” เจ้าหลวงประกาศ
ทุกคนยกมือพนมท่วมหัว
“สาธุ”
ศิริวงศ์แอบมองมณีรินอย่างปลื้มใจ
ช่างฟ้อนมากมาย ทั้งสาว และเฒ่าฟ้อนบูชา พระพุทธเจ้าเต็มลาน นักดนตรีประโคมฆ้อง บรรเลงเพลงประกอบการฟ้อน ...ที่หน้าเครื่องสักการะหน้าองค์พระธาตุ เจ้าหลวง พระชายา ศิริวัฒนา กำลังไหว้บวงสรวงพระธาตุ มณีรินยังประคองผ้าจีวรในพาน ศิริวงศ์ขยับเข้ามาหา
“จะเป็นการรบกวนโตเกินไปรึเปล่า ถ้าเฮาจะฝาก เครื่องสักการะของเฮาขึ้นไปถวายบูชาพระธาตุด้วย”
“ยังไงถึงเป็นการรบกวน”
“ศิริวงศ์ถอดแหวนทองในนิ้วก้อยออก ยกมือขึ้นไหว้แล้วส่งแหวนทองวงนั้นให้ มณีรินรับแหวนไปจากศิริวงศ์ แล้วปลดปิ่นทองบนมวยผมออก ผูกมัดปิ่นทองของตัวเอง ร้อยเข้ากับแหวนของศิริวงศ์ แล้วผูกเข้ากับเส้นไหมบนผืนผ้าไหมออม ศิริวงศ์ยิ้มอิ่มบุญ อิ่มใจ มณีรินไม่กล้าสบตา
(อ่านต่อหน้า 2 )
ตอนที่ 14 (ต่อ)
ผ้าจีวรห่มองค์พระธาตุกำลังถูกคลี่ห่มองค์ บัวเงิน เม้ย กับบริวาร ยืนมองดูอยู่ไกล ๆ ด้วยความปวดใจ
“หม่อมกะเจ้า เม้ยว่าแม่เจ้าเปิ้นลำเอียงชัด ๆ ไม่รู้จะเอาอกเอาใจมันไปถึงไหน”
“มึงหุบปากได้แล้วอีเม้ย”
“หม่อมเก่งกว่ามันตั้งเยอะ ผ้าของหม่อมก็งามกว่าของมัน มันชนะหม่อมได้ยังไง”
“กูบอกให้มึงหุบปาก กูไม่อยากฟัง กูไม่อยากเห็น ตั้งแต่เกิดมากูไม่เคยอัปยศ อดสูอะไรเท่าครั้งนี๊เลย”
“หม่อมกะเจ้า เม้ยสงสารหม่อมจริงๆ สวรรค์ช่างไม่มีตา คนดีๆ อย่างหม่อมถึงต้องทุกข์ใจอย่างนี๊”
“กูขอสาบานต่อหน้าพระ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ถ้ามีกูก็ต้องไม่มีอีมณีริน กูจะขอจองเวรจองกรรมกับมันทุกชาติไป”
บัวเงินตั้งจิตอธิฐานด้วยความแค้น
ผ้าจีวรห่มองค์และฐานพระธาตุ เสร็จสมบูรณ์ เหลืองอร่ามไปทั้งองค์ ศิริวัฒนาขยับเข้ามาหามณีริน คำเที่ยงมุดต้วมเตี้ยมรีบเปิดทางให้
“เหนื่อยไหม เจ้าริน”
“เสร็จงานแล้วก็หายเหนื่อยแล้วเจ้า”
“อดตาหลับขับตานอนมาทั้งคืนข้าวปลาก่บ่ได้กิ๋น จะบ่เหนื่อยได้ จะไดเจ้าริน”คำเที่ยงหันไปพูดกับศิริวัฒนา “เมื่อคืนเจ้ารินเปิ้นบ่ยอมละสายตาจากกี่ทอผ้าเลยนะเจ้า ข้าเจ้าบ่ฮู้จะเอาใจจ่วยยังได สงส๊าร สงสาร นี่คงจะปวดแขนปวดไหล่ ไปหมดใจ่ก๊าเจ้า”
มณีรินแอบตาเขียวใส่คำเที่ยง ที่อวดจนออกนอกหน้า ศิริวัฒนาเอื้อมมือมาจับมือมณีรินไปกุมไว้
“ถ้ายังงั้นเดี๋ยว เจ้ารินต้องกลับไปพักผ่อนให้มากๆเน้อ พี่จะส่งหมอนวดมือดีๆไปนวดให้ด้วยดีไหม”
“บ่เป็นหยังเจ้า”
“ดีเจ้า”คำเที่ยงรีบบอก
ศิริวัฒนายิ้ม มณีรินปั้นหน้าไม่ถูกค้อนใส่คำเที่ยง
“เจ้านางน้อย”เสียงหวานของบัวเงินดังมา
ทุกคนหันไปมอง บัวเงินกับ เม้ย เดินตรงเข้ามาหา ศิริวัฒนายังไม่ยอมปล่อยมือจากมณีริน
“พี่ยังไม่ได้แสดงความยินดีกับเจ้านางน้อยเลย เก่งมากสมแล้วละที่ผ้าของเจ้านางน้อยได้ขึ้นไปห่มถวายองค์พระธาตุ”
“เป็นพี่ พี่ก็คงไม่รู้จะตัดสินยังไงจะให้ใครแพ้ใครชนะ แม่เจ้าเปิ้นหลักแหลมจริงๆ”
บัวเงินเอื้อมมือไปจับมือมณีรินมากุมจน ศิริวัฒนาต้องปล่อยมือออก
“ตอนที่เจ้านางน้อย ทูลเจ้าหลวงไปว่าขอให้ผ้าของพี่ได้ขึ้นห่มองค์พระธาตุ พี่น่ะซึ้งน้ำใจเจ้านางน้อยจนน้ำตาซึมทีเดียว”
“ข้าเจ้าแค่คิดว่า แพ้ชนะไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะยังไงผ้าทั้งสองผืนก็ได้ถวายเป็นพุทธบูชา เหมือนกัน”
“แม่คุณของพี่...ช่างมีน้ำใจงดงามอะหยังอย่างอี้...งามทั้งกายและใจ๋แต้ๆ”
ศิริวัฒนายิ้มสบายใจ สองเมียกลมเกลียวรักใคร่ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันดีจริงๆ คำเที่ยงจับจ้องความไม่จริงใจของบัวเงิน และเหสายตามาเจอสายตาเม้ยที่ยิ้มใส่ปลอมๆตาขวาง มณีรินรู้สึกถึงกระแสจิตแห่งความไม่จริงใจของบัวเงิน
+ + + + + + + + + + + +
มณีรินกับคำเที่ยงและบริวาร กลับมาถึงเรือน บริวารขนข้าวของกันวุ่นวาย
“เจ้าริน...ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้ารินต้องยิ่งระวังตั๋วหื้อนักๆเน้อ”คำเที่ยงบอก
“ยะหยังปี้คำเที่ยง”
“ถามได้ว่ายะหยัง เมื่อตะกี้ตอนตี้หม่อมบัวเงินเปิ้นมาหยอดคำหวาน เจ้าริน บ่ฮู้สึกอะหยังหรือว่าจะได ปี้น่ะหั๋นแต่รัศมีบางอย่างเปล่งปลั่งออกมาจากตัวเปิ้น”
“รัศมีอะหยัง”
“รัศมีอำมาหิตน่ะก๊า”
“อู้ไปทั่วปี้คำเที่ยง”
“แต๊ๆนะเจ้าริน โบราณเปิ้นยังว่าคนปากปราศรัยน้ำใจ๋เชือดคอไว้ใจ๋บ่ได้”
“ไปว่าเปิ้น ไผมาได้ยินเข้ามันบ่ดี...เฮากับเปิ้นต่างคนต่างอยู่ อยู่แล้ว”
“แต่ปี้ว่าเปิ้นบ่ได้คิดอย่างนั้นนะก๊า”
“เลิกอู้เรื่องนี้ได้แล้ว เฮาอยากพักผ่อนเต็มที...เฮาจะขึ้นข้างบนแล้ว”
คำเที่ยงหันไปตะโกนสั่งบ่าว
“นังเด็กๆ เตรียมน้ำอุ่นไว้เดี๋ยวนี้ เจ้ารินเปินจะอาบน้ำ...”
คำเที่ยง แยกออกไปสั่งงานบริวาร มณีรินก้าวขึ้นบันได แต่ความอ่อนเพลียอดตาหลับขับตานอนมาทั้งคืน ทำให้หน้ามืดจะเป็นลม มือมณีรินคว้าเกาะราวบันได อาการหน้ามืดยิ่งรุกราน มือหมดแรงหลุดผล็อยออกจากราวบันได ร่างมณีรินโงนเงนพร้อมจะร่วงลงมาจากที่สูง
“เจ้านางน้อย...เจ้านางน้อย” เสียงศิริวงศ์ดังขึ้น
มณีรินสติดับวูบกลางอากาศ ร่วงหงายหลังลงมา ศิริวงศ์พุ่งมารับร่างมณีรินเอาไว้ได้ทันท่วงที
“เจ้านางน้อย...เจ้านางน้อย”
มณีรินมองเห็นศิริวงศ์เต็มตาก่อนจะหมดสติไป
+ + + + + + + + + + + +
ปัจจุบัน...
เรรินซึ่งเหมือนหน้ามืดจะเป็นลมฝืนจะทอผ้าต่อ ศิริวัฒนายืนอยู่ข้างกี่ เห็นอย่างนั้นก็พูดขึ้น
“อย่าฝืนเลย วันนี้คุณเหนื่อยมามากแล้วกลับไปพักผ่อน เถอะเอาไว้วันหลังค่อยกลับมาทอใหม่”
“ฉันอยากรู้ว่า หม่อมบัวเงินทำร้ายฉัน...”เรรินชะงัก “ทำร้ายเจ้านาง มณีรินยังไงคะ”
“ยังมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นอีกมากมาย แต่คุณใจเย็นๆเถอะ คุณได้รู้แน่ ถึงเวลานั้นจริงๆคุณอาจจะไม่อยากให้อภัยคนที่ทำร้ายคุณเลยก็ได้”
ศิริวัฒนาหมายถึงตนเอง แล้วหันกลับเดินหายเข้าไปในภาพเขียนสีน้ำมัน เป็นครั้งแรกที่เรรินได้เห็นศิริวัฒนาหายไปกับตา
เรรินแฝงความมืดลัดเลาะพาตัวเองออกมาจากตึก แล้วมุ่งหน้าไปทางประตูออกด้านหลัง สุริยวงศ์ที่ซ่อนตัวอยู่มุมนึง แน่ใจว่าเป็นเรริน...เธอมาจากไหน ในเมื่อเขาเข้าไปดูในห้องทอผ้าแล้วก็ไม่เห็น
สุริยวงศ์หยิบ ลูกกุญแจโบราณที่ขอมาจากไหมแม ไขกุญแจโบราณดอกนั้นออก แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้อง กดเปิดสวิชต์ไฟ...ห้องสว่างขึ้นไม่เห็นความผิดปกติใดๆในห้อง สุริยวงศ์เดินเข้ามาถึงกี่ทอผ้าค่อยๆคลี่เปิดผ้าขาวที่คลุมปิดผ้าที่ทอไว้ เขาก็พบว่าผ้าถูกทอเพิ่มขึ้น...สุริยวงศ์ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเรรินทำไปเพื่ออะไร
+ + + + + + + + + + + +
เรรินไปนั่งทานอาหารที่ร้านตามลำพัง ทานอาหารอิ่มหันไปเรียกพนักงาน
“เก็บตังค์ด้วยค่ะ”
“รอสักครู่นะคะ”
เรรินมุดหากระเป๋าตังค์ในถุงย่าม ร่างหนึ่งขยับลงนั่งตรงข้าม เรรินเงยหน้าขึ้นมาแล้วต้องอึ้ง เมื่อร่างนั้นคือธนินทร์
“ริน”
เรรินตกใจไม่คาดคิดว่าจะเจอเขาที่นี่
“ทำไมรินทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับ ผมกลายเป็นตัวอะไร ที่รินรังเกียจขยะแขยงไปแล้วเหรอครับ”
“ฉันคิดว่าคุณกลับกรุงเทพฯไปแล้วซะอีก”
“ผมจะกลับไปได้ยังไงถ้าไม่มีรินกลับไปด้วย คุณแม่รินท่านคงตำหนิ ว่าผมดูแลรินไม่ได้”
“ฉันเชื่อว่าคุณแม่ต้องเข้าใจ”
ธนินทร์พยายามบีบน้ำตา เรรินอึดอัดกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พนักงานเข้ามาช่วยชีวิตไว้พอดี
“แปดสิบห้าบาทครับ”
“ให้ผมเป็นคนจ่ายให้รินนะครับ”
“อย่าดีกว่าค่ะ”
เรรินวางเงินลงในถาด
“ไม่ต้องทอนคะ”
พนักงานไหว้และรับเงินไป
“แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆที่ผมจะทำเพื่อริน รินยังปฎิเสธผมเลย...มันน่าน้อยใจจริงๆ”
“ฉันไปละนะคะ”
เรรินลุกออกไปทันที ทิ้งธนินทร์นั่งอึ้งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ธนินทร์จึงตามออกไป
“รินจะกลับที่พักยังไง...”
“ฉันเอาจักรยานมา”
“ดึกขนาดนี้แล้ว ขี่จักรยานมันอันตรายให้ผมไปส่งรินดีกว่า”
“ไม่เป็นไร ใกล้แค่นี้เอง”
“รินไม่ไว้ใจผม”
เรรินจ้องหน้าไม่อยากตอบไปตรงๆ
“ไหนๆเราก็จะต้องแยกทางกันเดินแล้ว เราจะจากกันด้วยความรู้สึกดีๆไม่ได้เชียวหรือริน...”
เรรินอ้ำอึ้ง
“ผมจอดรถไว้ทางโน้น...เชิญครับริน”
เรรินเดินตามธนินทร์ไป ขณะที่สุริยวงศ์ที่ตามมา แอบมองอย่างไม่ไว้ใจธนินทร์
+ + + + + + + + + + + +
ธนินทร์ขับรถไปบนถนนชวนเรรินคุยไปด้วย
“คุณแม่รินโทรหาผมทุกวัน ท่านเป็นห่วงรินมากรู้ไหม ผมเองยังไม่รู้เลยว่าจะบอกท่านยังไง เรื่องของเรา ผมกลัวท่านจะเสียใจ”
“ก็บอกไปตามตรง คุณแม่เป็นคนที่เข้าใจอะไรๆ ได้ไม่อยากหรอกค่ะ”
ธนินทร์เสียงเครือเหมือนปนสะอื้น
“รินครับ ผมไม่รู้เหมือนกัน ว่าชีวิตผมจะเป็นยังไงต่อไปถ้าไม่มีริน”
เรรินคิ้วขมวด
“รินจะไม่ให้โอกาสผม ได้แก้ตัวอีกสักครั้งเลยเหรอครับ ผมสัญญาว่า...”
เรรินสวนขึ้นทันที
“คุณอย่าพยายามผูกมัดตัวเองด้วยคำสัญญาเลย เพราะคุณก็รู้ว่าคุณทำไม่ได้ตามที่จะสัญญา...”
“ผมทำได้ ผมจะทำให้ได้เพื่อริน เพื่อเราสองคนไงครับ”
“คุณก็เป็นคุณ ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงคุณได้ ฉันเองก็เป็นตัวฉัน เราอย่าฝืนความเป็นจริงกันอีกต่อไปเลย...ถึงยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ไม่ใช่เหรอคะ”
ธนินทร์ทำเป็นเช็ดน้ำตา
“นั่นสินะครับริน...ยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้”
ธนินทร์ทำเบิกบาน เรรินโล่งใจขึ้นมาหน่อย
“เราหมั้นกันมากี่ปีแล้วนะครับริน”
“สองปีกว่าค่ะ”
“สองปีกว่าแล้วเหรอ ผมรู้สึกเหมือนงานหมั้นของเรา มันเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง วันนั้นรินสวยที่สุดเลยนะครับ ใครๆก็พูดว่าผมเป็นว่าที่เจ้าบ่าวที่น่าอิจฉาที่สุด”
“คุณต้องเลี้ยวซ้ายแยกข้างหน้าแล้วค่ะ”
“รินจำได้ไหม ขนาดงานหมั้นของเราพวกหนังสือยังลงข่าวไปตั้ง หลายวันลงแล้วลงอีก”
ธนินทร์ขับรถเลยแยกไปไม่ยอมเลี้ยว
“ทำไมคุณไม่เลี้ยว”
“ทางนี้ก็ไปได้เหมือนกัน”
“ถ้างั้นจอดตรงนี้...ฉันจะลง”
“จะลงไปได้ยังไง”
“คุณจะพาฉันไปไหนกันแน่ธนินทร์”
“เดี๋ยวก็รู้ ที่แน่ๆผมไม่พาคุณไปฆ่าทิ้งหรอกน่า”
เรรินชักไม่ไว้ใจ
ธนินทร์เลี้ยวรถเข้ามาในบริเวณโรงแรม เรรินรู้ได้ทันทีว่าธนินทร์คิดชั่วได้ขนาดไหน
“จอดรถเดี๋ยวนี้ธนินทร์ ฉันจะลง”
เรรินพยายามคลายล็อคเปิดประตูแต่ก็เปิดไม่ได้ พนักงานส่องไฟฉายวูบวาบเรียกให้เข้าซองที่ว่าง ธนินทร์ขับรถเข้าซองม่านถูกรูดปิด
“คุณทำอย่างนี้ทำไม”
“ถามโง่ๆ”
ธนินทร์ลงจากรถ จังหวะเดินอ้อมไปจะลากตัวเรริน เรรินรีบเปิดประตูลงจากรถจะวิ่งหนี ธนินทร์คว้าตัวเอาไว้ได้ แล้วลากเข้าห้อง
“ปล่อยฉัน...ปล่อย...ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”เรรินร้องลั่น
เรรินถูกผลักเข้ามาอย่างแรง
“คนอย่างกู ลงทุนแล้วมันต้องได้กำไรโว้ย ถ้ามึงคิดว่าอยู่ๆก็จะเดินหันหลังให้กู ก็ฝันไปเถอะ”
ธนินทร์คว้าตัวเรริน เรรินกัดแขนธนินทร์จนต้องแหกปากร้องลั่น เรรินจะวิ่งหนีออกจากห้อง ธนินทร์คว้าตัวไว้แล้วตบเต็มแรงฝ่ามือ
(จบตอนที่ 14 )
อ่านต่อวันพรุ่งนี้