“วาด รวี” โผล่เวที “กลุ่ม 24 มิถุนาฯ” แถมาตรา 112 กระทบนักเขียนโดยตรง เหตุปิดกั้นเสรีภาพทำให้ความคิดใหม่ๆเกิดขึ้นไม่ได้ เหิมเกริม! บอกหากจะเขียนถึงวิกฤตการเมือง ต้องเขียนถึงสถาบันฯ เนื่องจากถูกทำให้มาพัวพันจนแยกไม่ออก อ้างกฎหมายหมิ่นฯ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง หากไม่แก้จะปรองดองไม่ได้
วันที่ 23 ก.ค. ที่เวทีเสวนา “ม.112 : ถึงเวลาคืนความเป็นธรรมให้ผู้ถูกกล่าวหา” จัดขึ้นโดยกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย นายวาด รวี หนึ่งในนักเขียนที่ร่วมลงชื่อเรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112 ได้กล่าวว่า หลังจากออกจดหมายเปิดผนึก ก็มีคำถามจากหลายฝ่ายว่ามาตรา 112 เกี่ยวอะไรกับนักเขียน ถ้าไม่แก้แล้วจะเขียนหนังสือไม่ได้หรือ แก้แล้วจะเขียนดีขึ้นหรือ คือมุมของนักเขียน การเขียนหนังสือไม่ว่าจะเรื่องแต่ง หรือเรื่องจริง ไม่ว่าจะแสดงความคิด หรือแสดงจินตนาการ ความคิดใหม่ๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเกิดไม่มีเสรีภาพ หรือว่าตกอยู่ในสภาพที่ถูกปิดกั้นความคิดเห็น ความคิดใหม่ๆ ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้
“มาตรา 112 นี้กระทบเสรีภาพของนักเขียน ทั้งเสรีภาพในฐานะพลเมืองของรัฐที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย และก็ในฐานะนักเขียนด้วย ประเด็นคือพื้นที่ของการเขียนหนังสือ เป็นพื้นที่หนึ่งของการแสดงความคิด ซึ่งเป็นพื้นที่ของความขัดแย้ง หมายความว่าในธรรมชาติของพื้นที่ของการเขียนหนังสือ หรือว่าการแสดงความคิดเห็น ความขัดแย้งจะทำให้เกิดความคิดใหม่ๆขึ้นเสมอ ความขัดแย้งนำมาสู่ความคิดที่ดีกว่า ความแตกต่างและความขัดแย้งคือจุดกำเนิดของความคิดใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนวรรณกรรม หรือบทความ เรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ล้วนต้องการพื้นที่ที่มีเสรีในการสร้างสรรค์ทางปัญญาทั้งสิ้น ความคิดเห็นทั้งที่ดีและเลว ต้องมีสิทธิเท่าๆ กันในการนำเสนอ แม้ว่าจะเป็นความคิดเห็นที่เลว ความคิดเห็นที่ใช้ไม่ได้ ก็อาจจะเป็นประโยชน์ และสามารถก่อให้เกิดความคิดที่ดีกว่าได้” นายวาดกล่าว
นายวาดกล่าวอีกว่า มีคำคมของฝรั่งกล่าวไว้ว่า วิธีเดียวที่จะขจัดความคิดที่ไม่ชอบออกไปก็คือต้องเสนอความคิดที่ดีกว่า คนที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้มาตรา 112 หรือยกเลิกมาตรา 112 มีทางออกที่ดีกว่าหรือไม่ ทุกวันนี้ยังไม่มี การที่ไม่มีความคิดที่ดีกว่า แต่ใช้กำลัง ใช้อำนาจ ใช้ความรู้สึกจากจารีตประเพณี ใช้วัฒนธรรม ใช้อำนาจนำในเชิงวัฒนธรรม เพื่อที่จะกดขี่ ปิดกั้นความคิดที่ตัวเองไม่ชอบ อันนี้ไม่ใช่อยู่ในหลักการของเสรีภาพ
มาตรา 112 กระทบต่อนักเขียนโดยตรงแน่ๆ ถ้าหากจะเขียนถึงวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา คุณไม่มีทางที่จะเขียนได้ ถ้าไม่เขียนถึงสถาบันกษัตริย์ เพราะสถาบันกษัตริย์ถูกทำให้ลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองขนาดนี้ ตนคิดว่าอันนี้เป็นที่ยอมรับกันในเชิงวิชาการ และถึงแม้ว่าในสภาพที่ไม่ใช่วิกฤต ขอถามว่าคุณจะเข้าใจสังคมไทยโดยภาพรวมโดยปิดเรื่องสถาบันกษัตริย์ไว้ได้หรือ สมมติเขียนหนังสือที่ไม่ต้องเขียนเรื่องการเมืองก็ได้ แค่เขียนเรื่องสังคมเรื่องท้องถนน พอเขียนถึงตัวละคร แล้วตัวละครรถติดบนถนนเพราะติดขบวนเสด็จฯ เสร็จแล้วมันก็สบถออกมาเพราะไม่พอใจ คุณเขียนอย่างนี้ไม่ได้เพราะติดมาตรา 112 เมื่อเขียนความจริงไม่ได้ งานคุณก็เฟก ตัวละครตัวนั้นก็ไม่สมจริง
นายวาดกล่าวต่อว่า การบังคับใช้และดำรงอยู่ของมาตรา 112 ตอนนี้ที่เป็นอยู่จากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันไม่ใช่การปกป้องสถาบันฯอีกต่อไปแล้ว ตามคำกล่าวอ้าง แต่เป็นการใช้สถาบันฯเป็นเครื่องมือทางการเมือง ที่จะปิดปากคนอื่น การอ้างความจงรักภักดีมาปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของคนที่คุณไม่เห็นด้วย เช่นกรณีใหญ่ๆอย่างการแถลงผังล้มเจ้าของ ศอฉ. กับคำให้การในศาลของ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด มันสะท้อนให้เห็นถึงความตลบแตลงของเจ้าหน้าที่รัฐ เห็นอยู่ชัดๆ ว่านี่คือการใช้ข้ออ้างเรื่องสถาบันฯมาเป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูทางการเมือง หรืออย่าง ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่ถูกฟ้องเนื่องจากเขียนจดหมายโต้แย้งฟ้าหญิงจุฬาภรณฯ กรณีประทานสัมภาษณ์ รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย การฟ้องของทหารสะท้อนอะไรที่น่าประหลาด เพราะมาตรา 112 กฎหมายกำหนดให้คุ้มครองเฉพาะพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการเท่านั้น มันประหลาดกรณี ดร.สมศักดิ์เกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อมันไม่ได้อยู่ในกฎหมาย
สิ่งที่เกิดขึ้นก็เพราะว่าทางทหาร ทางเจ้าหน้าที่รัฐใช้ความเคยชิน ใช้ความรู้สึกจากจารีตประเพณี ว่าถ้าเป็นลูกท่านหลานเธอทุกคน จะต้องเกี่ยวกับมาตรา 112 เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไปทุกเรื่อง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดมากๆ ประเทศไทยเปลี่ยนระบอบการปกครองไปตั้งแต่ปี 2475 แล้ว ระบอบเจ้านายยกเลิกไปแล้ว ทุกวันนี้เราอยู่ในรัฐที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ทหารนึกว่ายังไม่เปลี่ยนแปลงการปกครองหรืออย่างไรไม่ทราบ
นายวาดยังกล่าวอีกว่า การใช้มาตรา 112 ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกล่าวหาคนเสื้อแดงเป็นล้านๆ คนว่าไม่จงรักภักดี แต่แท้ที่จริงแล้วใช้เป็นเครื่องมือในทางกดขี่ทางการเมือง ทำให้มาตรา 112 และประเด็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ถูกนำมาพัวพันกับวิกฤตการเมืองอย่างแยกไม่ออก หมายความว่าจะปรองดองไม่ได้ ถ้าไม่แก้ปัญหาเรื่อง 112 และสถาบันฯ
สุดท้ายที่อยากกล่าวถึงคือการนำจารีต ความรู้สึกที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ และองค์กษัตริย์ มาใช้อย่างที่กล่าวมา อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในแวดวงสื่อสารมวลชน และนักเขียนเองซึ่งทำให้เกิดการเรียกร้องครั้งนี้ก็คือต้องมีการเซ็นเซอร์ตัวเองมาตลอด ซึ่งการเซ็นเซอร์ตัวเองเป็นประเด็นที่ในโลกตะวันตกถือว่าเป็นประเด็นที่ร้ายแรงที่สุดแล้วในเรื่องหลักของเสรีภาพ เมื่อไหร่ที่เซ็นเซอร์ตัวเองหลักการเกี่ยวกับเสรีภาพถูกทำลายมากที่สุดแล้ว เพราะว่าคุณลดทอนสิทธิในการแสดงออกความคิดเห็น เมื่อคนเลือกที่จะไม่พูดในสิ่งที่เขาคิดจริงๆ การอภิปราย ถกเถียง เสนอข่าว การพูดถึงทุกอย่างที่เกี่ยวกับสังคม ทุกอย่างไม่น่าไว้วางใจหมด เพราะพูดได้ไม่หมด