xs
xsm
sm
md
lg

รอยไหม ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้า 09.3 0น.)

รอยไหม ตอนที่ 7

บัวเงินนั่งกินอาหารเช้า เจริญอาหารกว่าทุกวัน สุริยวงศ์ปรนนิษติ รินน้ำดื่มให้ เตรียมยาให้
“คุณย่า...ใจยังสั่นอยู่รึเปล่าครับ”
“บ่แล้ว...ย่าสบายดี เมื่อคืนหลับสบาย”
“คุณหมอ จัดยาบำรุงหัวใจไว้หื้อด้วย คุณย่ากินยาโตยเน้อครับ”
บัวเงินพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“คุณย่าจำยายคำเที่ยงได้ก่อครับ ยายคำเที่ยงที่อยู่เฮือนหลังเล็ก หลังคุ้มเจ้าหลวงน่ะครับ”
“คำเที่ยงคนใด๋น๊อ...ย่านึกบ่ออก”
“ยายคำเที่ยงที่เปิ้นเคยเป็นบ่าวเจ้านางมะณีรินน่ะครับ”
“นึกหน้าบ่ออก มันเมินนักแล้ว ทำไมเรอะสุริยะ”
“คนที่คุ้มเจ้าหลวงโทรศัพท์มาบอกผม เมื่อเช้าว่าเปิ้นตายเสียแล้วครับ”
บัวเงินทำเป็นตกใจ
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นจะไดถึงได้หมดบุญ”
“ก็คนโรคชราน่ะครับคุณย่า เดี๋ยวผมว่าจะแวะไปงานศพเปิ้นสักหน่อยคุณย่าจะฝากปัจจัยไปทำบุญตุ๊เจ้าก่อครับ”
บัวเงินพยักหน้า แล้วแอบยิ้มพอใจ..
+ + + + + + + + + + + +

บริเวณวัด ร่มรื่นไปด้วยไม้ใหญ่ เรรินค่อยๆเปิดถุงกำมะหยี่ออก และหยิบสิ่งหนึ่งออกมา มันคือปิ่นทองคำ ช่อดอกปีป ซึ่งเป็นปิ่นทองด้ามยาว มีช่อดอกปีบทั้งดอกตูมและดอกบาน ขั้วดอกบอบบางจนทำให้ดอกไหวมีชีวิตชีวาเมื่อขยับ เรรินตื่นตะลึงในความงามพิเศษของปิ่นชิ้นนี้...
เรรินหยิบภาพถ่ายเจ้านางมณีรินขึ้นมาดูอีกครั้ง ปิ่นที่ปักอยู่ในมวยผม คือปิ่นดอกปีปชิ้นเดียวกันนี้ เรริน รู้สึกว่า ยังมีบางสิ่งอยู่ในถุง เธอล้วงเข้าไปและหยิบสิ่งนั้นออกมา มันคือ ลูกกุญแจทองเหลืองโบราณหัวกุญแจ เป็นลายนูน ตราราชวงศ์ล้านนา เรรินพลิกดูด้านหน้า ด้านหลังของลูกกุญแจ ด้วยความแปลกใจ
“กุญแจอะไร”
เรรินเพ่งดูตราสัญลักษณ์ที่หัวกุญแจ แต่ก็นึกอะไรไม่ออก
ทางด้านสุริยวงศ์ เมื่อไปถึงที่วัด เขาหยิบพวงหรีดออกมาจากรถ มุ่งหน้าไปทางศาลาตั้งศพ เรรินเดินมึนๆ เบลอๆ จมอยู่กับความคิดตัวเอง คิดไม่ตก เรื่องกุญแจดอกนั้น สุริยวงศ์เห็นเรรินจึงส่งเสียงเรียก
“คุณรินครับ...คุณริน”
เรริน ได้ยิน เสียงเรียก หันกลับไปเห็นสุริยวงศ์ เธอจึงบอกให้เขารู้ว่ามางานศพคำเที่ยง
“น่าแปลกนะครับที่คุณริน ก็มีโอกาสได้รู้จัก แม่อุ๊ยคำเที่ยง”
“ฉันคงเป็นคนสุดท้าย ที่ได้คุยกับแกค่ะ ที่ตั้งใจมาหาแกวันนี้ ก็เพราะมีอีกหลายเรื่องที่ฉันอยากรู้ อยากให้แกเล่าให้ฟัง”
“เรื่องเจ้านางมณีริน ใช่ไหมครับ”
“คุณเคยรู้สึกไหมล่ะคะ เวลาที่เรามีเครื่องหมายคำถาม และต้องการคำตอบให้ได้”
“ผมเสียใจด้วยถ้าคุณไม่ได้รับคำตอบนั้น”
“แต่ฉันก็ยังไม่หมดหวังหรอกนะคะ”
สุริยวงศ์ ยิ้มชื่นชมกับความเป็นคนที่มีความตั้งใจจริงของเรริน
+ + + + + + + + + + + +

ในวัด...

พระประธานในโบสถ์ งดงามด้วยศิลปะล้านนา เรรินกราบพระเสร็จเงยหน้าขึ้นมององค์พระ แล้วหันมามองสุริยวงศ์ที่ยังอธิษฐานไม่เสร็จ เธอรอจนเขากราบพระเสร็จจึงถามขึ้น
“คุณอธิษฐานอะไรคะ”
สุริยวงศ์ หันมามองนิ่งเหมือนไม่บอก
“ไม่ต้องตอบก็ได้นะคะถ้าคุณลำบากใจ”
“แล้วคุณละครับ อธิษฐานอะไร”สุริยวงศ์ย้อนถาม
“ปกติฉันไม่เคยขออะไรจากพระค่ะ แต่วันนี้ฉันขอ...ขอบุญกุศลที่ฉันมีมา รวมถึงบุญกุศลที่ฉันได้สร้างขึ้นส่งไปถึงพ่อแม่บุพการีของฉันทุกคนรวมไปถึงยายคำเที่ยงด้วยค่ะ...แล้วคุณล่ะคะ”
“ผม...”สุริยวงศ์ลังเลนิดหน่อย จะบอกดีไม่บอกดี “ปกติผมก็ไม่เคย ขออะไรจากพระท่านแต่วันนี้ผมขอพรพระท่านให้คนที่ผมรักมีความสุข สมหวังในชีวิตทุกประการ”สุริยวงศ์สบตาเรรินแน่วแน่ “ผมอยากให้คุณมีความสุข...คุณริน...ผมขอพรพระให้คุณมีความสุขครับ”
เรรินอึ้งตะลึง เหมือนถูกจู่โจม โดยมิทันตั้งตัว เหมือนตัวเองฟังผิดไป นี่คือการบอกรักหรือ
สุริวงศ์เดินตามเรรินออกมาจากโบสถ์ เรรินไม่กล้าสบตาสุริยวงศ์อีกเลย
“คุณครับ ผมขอโทษ ถ้าผมพูดอะไรออกไป แล้วทำให้คุณรินไม่สบายใจ...แต่ผมหมายความอย่างที่ผมพูดจริงๆ”
“แต่เรา เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเลยนะคะ”
“ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร คุณรินเป็นคนแรกครับ”
“คุณสุริยวงศ์”
“ผมเข้าใจ แต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับคุณริน...ที่จะเชื่อ แต่สิ่งที่ผมพูด มันเป็นความสัตย์จริงครับ”
“ฉันยังรู้จักคุณน้อยเกินไป และคุณเองก็แทบจะไม่รู้จักตัวตนแท้ๆของฉันเลย”
“แต่คุณริน ก็ไม่ได้รังเกียจที่เราจะเรียนรู้กันและกัน ใช่ไหมครับ”
เรรินชะงักอึ้งไป
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็อยากจะขอโอกาสจากคุณริน...ได้ไหมครับ”
เรรินมองเข้าไปในตาของเขา ไม่พบอะไรนอกจาก ความจริงใจที่เต็มเปี่ยม ขณะเดียวกันนั้นเสียงของ สรัญญาก็ดังขึ้น
“อาจารย์เรริน...”
เรรินกับสุริยวงศ์ หันไปมองเห็น สรัญญากับเพื่อนๆเดินเข้ามา
“แหม ดวงเราสองคนนี่สมพงษ์กันจริงๆเลยนะจ๊ะ ไปไหนก็เจอกัน เหมือนโลกนี้มันแค๊บแคบ”
เพื่อนหันไปทักทายสุริยวงศ์
“สวัสดีค่ะ คุณสุริยวงศ์”
“สวัสดีทุกคน มาเที่ยววัดกันเหรอครับ”
“พาแซนดี้เขามาไหว้พระเก้าวัด เสริมศิริมงคลน่ะค่ะ”
สรัญญาเหล่มองเรริน แล้วหันมายิ้มหวานให้สุริยวงศ์
“ได้ยินใครๆเขาว่า หลวงพ่อวัดนี้ศักดิ์สิทธิ์ม๊ากมาก ขออะไรก็สมหวังโดยเฉพาะเรื่องของความรัก...จริงไหมคะคุณสุริยวงศ์”
เรรินยิ้มไม่ออกรู้ดีว่ากำลังถูกป่วน
“เรื่องนั้นผมไม่ทราบหรอกครับ น่าจะอยู่ที่ศรัทธาของแต่ละคนมากกว่าครับ”
“แหม...ฟังดูเหมือนเป็นการออกตัวยังไงก็ไม่รู้นะคะ”
“ผมขอตัวก่อนครับ...คุณรินครับ คุณจะรอที่นี่ก็ได้นะครับเดี๋ยวผมขับรถมารับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันกลับเองได้ ฉันจอดจักรยานพี่วันทิ้งไว้ที่คุ้มเจ้าหลวงค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง ขอตัวก่อนนะครับทุกคน”
สุริวงศ์เดินไปที่รถ เรรินเดินแยกไปอีกทาง สรัญญาหันไปบอกเพื่อน
“พวกแกเข้าไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันตามไป”
สรัญญาเดินตามเรริน แล้วถามกวนๆ
“ใจคอไม่คิดที่จะทักทายกันเลยรึไงจะริน”
“สวัสดี-สรัญญา”เรรินประชด สรัญญาหัวเราะ
“ภาษาไทยโบราณๆ เขาเรียกอะไรนะ...วัวสันหลังหวะใช่ไหม กลัวแฟนใหม่เธอจะรู้รึไงว่าเรารู้จักกันดี หรือกลัวว่าฉันจะปากโป้งบอกเขาว่าเธอมีคู่หมั้นอยู่ที่กรุงเทพฯแล้วต๊าย...แหวนหมั้นไปไหนซะแล้วล่ะจ๊ะ ถอดเก็บเอาไว้ เพราะกลัวผู้ชายคนใหม่จะเห็นรึไง โถ...น่าสงสารผู้ชายคนนี้จริงๆ”
“อย่าก้าวร้าวไปถึงคุณสุริยวงศ์นะ เขากับฉันเป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไรอย่างที่เธอคิด”
“ตายจริงแค่นี้ก็เป็นเดือดเป็นร้อนแทนกันซะแล้ว ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย อย่างนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ ภาษาไทยนะ...กินปูนร้อนท้องใช่ไหม”
“วันนี้ฉันเพิ่งทำบุญ ไป...ไม่อยากคิดอะไรให้เป็นบาป มีอะไรค่อยไปว่ากันที่กรุงเทพฯดีกว่านะสรัญญา”
“ทำบุญร่วมกับคุณสุริยวงศ์น่ะเหรอจ๊ะ ต๊ายตาย ดีจังเลยนะจ๊ะ คงจะได้เกิดมาพบกันทุกชาติไป”
“กรุณาอย่าเข้าใจผิด...สรัญญา ฉันกับคุณสุริยวงศ์ เป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น”
“คงจะเชื่อยากซักหน่อยนะ แต่ก็แน่แหละเธอมาบอกกับฉันมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกรอแก้ตัวกับแฟนของเธอเองจะดีกว่า”
เรรินเครียดทันที สรัญญายิ้มกวนแล้วเดินระเหิดระหงกลับออกไป เรรินเลือดฉีดขึ้นหน้าร้อนวูบ
+ + + + + + + + + + + +

สุริยวงศ์ขับรถไป หันมามองเรรินไปเป็นระยะ เรรินนิ่งเงียบขรึมเครียด
“คุณรินไม่สบายใจเพราะผมรึเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ...เปล่า”
“ถ้าผมพูดอะไรที่ทำให้คุณรินไม่พอใจผมก็ขอโทษครับ”
“ฉันมีเรื่องต้องคิดต้องทำบางอย่าง ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลยค่ะไม่ต้องกังวล”
“ถ้ายังงั้น...แวะไปดื่มกาแฟที่ร้านผมก่อนนะครับ แล้วผมจะไปส่ง”
“ลำบากคุณเปล่าๆค่ะ”
“อะไรก็ตามที่ทำเพื่อคุณ ไม่ใช่เรื่องลำบากสำหรับผมเลยครับคุณริน”
เรรินถึงกับอึ้งกับน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ไม่นานนัก รถสุริยวงศ์เข้ามาจอดหน้าร้าน เรรินแค่ลงจากรถได้ยังไม่ทันปิดประตูรถด้วยซ้ำ วงพระจันทร์ก็ปราดเข้ามาเกือบจะประชิดตัว
“หล่อนนี่มันเป็นคนหน้าหนากว่าที่ฉันคิดอีกนะ”
สุริวงยศ์ลงจากรถแล้วรีบเข้ามากันวงพระจันทร์
“วงพระจันทร์”
“ใครๆเขาก็รู้กันทั่วทั้งเชียงใหม่ ว่าฉันกับสุริยะเป็นอะไรกัน หล่อนเจอสายตาใครต่อใครที่เขามองหล่อน หล่อนตีความไม่ออกเลยรึไง ว่าเขากำลังด่าหล่อนว่ายังไง”
“หุบปากได้แล้ววงพระจันทร์”สุริยวงศ์ปราม
วงพระจันทร์ไม่สนใจด่าเรรินต่อ
“โง่จริงๆหรือว่าแกล้งทำเป็นโง่กันแน่”วงพระจันทร์ด่าภาษาฝรั่งเศส “โสเภณีชัดๆ”
เรรินชักโกรธเลือดขึ้นหน้าเหมือนกัน สุริยวงศ์กระชากตัววงพระจันทร์อย่างแรง
“หยาบคายเกินไปแล้ววงพระจันทร์”
เรรินหมดความอดทนโต้ตอบเป็นภาษาฝรั่งเศสไป
“ขอโทษนะคะ ฉันจะพยายามไม่ถือโกรธคุณ เพราะคุณคงเข้าใจอะไรผิดๆ แต่ก่อนที่คุณจะด่าใคร คุณควรใช้สมองอย่างชนชั้นสูงของคุณให้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นตัวคุณเองน่ะแหละจะเป็นยิ่งกว่าสิ่งที่คุณค่าคนอื่นเขา”
วงพระจันทร์ อ้าปากค้างเพราะฟังภาษาฝรั่งเศสอันคล่องปรื๋อของเรรินแทบไม่ทันเหมือนกัน...เรรินหันไปหา สุริยวงศ์
“ฉันคงไม่มีอารมณ์ ดื่มกาแฟที่นี่แล้วละค่ะ ฉันจะกลับไปเอารถที่คุ้มเจ้าหลวงเอง คุณดูแลคนของคุณไปเถอะค่ะไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ขอบคุณนะคะ”
เรรินเดินออกไปทันที วงพระจันทร์ตะโกนไล่หลัง
“อย่าโผล่มาให้เห็นหน้าอีกนะ กลับกรุงเทพฯของหล่อนไปวันนี้เลยยิ่งดี”
สุริยวงศ์โกรธมาก แต่ไม่รู้จะจัดการกับวงพระจันทร์ยังไงดี จึงได้แต่เดินหนี
“นังผู้หญิงคนนั้นมันมีดีอะไร คุณบอกวงพระจันทร์มาซิ”
สุริยวงศ์เหลืออดขึ้นทุกที
“มีแน่ อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ดีพอ ที่จะไม่เรียกใครต่อใครว่านังนั้นนังนี่ มันยังงั้นมันยังงี้”
พนักงานได้ยินเสียงทะเลาะกันดังๆ ก็พากันโผล่หน้าเข้ามาดูสลอน
“คุณด่าวงพระจันทร์ว่าเป็นไพร่”
“ก็แล้วแต่คุณจะคิดแล้วกัน”
วงพระจันทร์โกรธมากกรี๊ดลั่น พนักงานพากันหลบลี้ตัวใครตัวมัน สุริยวงศ์โมโหปนเกลียดชัง
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ส่วนตัว หัดอายให้เป็นบ้างเถอะวงพระจันทร์ หัดให้เกียรติคนอื่นเสียบ้าง แล้วเธอจะดูดีกว่านี้เยอะเลย อย่างน้อยก็จะไม่หน้าแตกอย่างนี้ เธอคิดว่าเธอรู้ภาษาฝรั่งเศสหยามๆของเธอคนเดียวรึไง ถูกคุณรินเขาตอกกลับเข้าให้ แล้วเป็นยังไงล่ะ”
“อะไรๆอีนังคนนี้มันก็ดีไปซะทั้งนั้น”
“แน่นอน แล้วผมก็ขอความรักคุณรินเธอไปแล้วด้วย”
วงพระจันทร์อ้าปากค้างช็อก
“เพราะฉะนั้น เลิกมายุ่งวุ่นวายกับผมซะที”
สุริยวงศ์จ้องมองวงพระจันทร์แน่วแน่ ก่อนจะเดินออกไป...พนักงานที่แอบดู แอบฟังกันอยู่หลบวูบวาบ ชนกันอีลุงตุงนัง
“ฝันไปเถอะ...คิดเหรอว่าคนอย่างฉันจะเลิกราง่ายๆ ไม่มีทาง”
วงพระจันทร์เจ็บจี๊ดหัวใจสุดๆ
+ + + + + + + + + + + +

เรรินเดินอยู่ในสวนของคุ้มเจ้าหลวง มองหาอย่างมีความหวัว่าจะได้เจอผู้ชายคนนั้น
“คุณอยู่ที่ไหนของคุณกันแน่...”
เรรินขยับนั่งลงบนม้านั่งมุมนึงแล้วนึกถึงคำพูดของศิริวัฒนา ที่พูดถึงการทอผ้าผืนนั้นให้เสร็จ ทันใดนั้นเสียง ไหมแมดังขึ้น
“คุณเรริน...”
เรรินสะดุ้งรู้สึกตัว เหมือนมีคนเรียก ไหมแมเดินตรงเข้ามาประจัญหน้าเรริน
“สวัสดีค่ะ คุณไหมแม”
“คุณเข้ามาถึงในนี้ได้จะได คุณบ่ฮู้กาว่าแถวนี้เป็นเขตหวงห้ามเป็นที่ส่วนบุคคล ห้ามคนภายนอกเข้ามา”
“ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่ทราบ”
“ทราบแล้วก็ออกไปซะทีเต๊อะเจ้า แล้วข้าเจ้าอยากจะขอร้องเป็นครั้งสุดท้ายอย่ากลับมาแหม จะอั้นคุณอาจจะเจอข้อหาขโมย เพราะในคุ้มมีแต่ของ มีค่าทั้งนั้ง ข้าเจ้าหวังว่าคุณจะเข้าใจ๋นะเจ้า”
เรรินอยากถามถึงผู้ชายชุดขาว
“คุณไหมแม...”
“เชิญเจ้า”ไหมแมเสียงแข็ง
เรรินจำใจเดินออกมา ไหมแมคุมเชิงอยู่ข้างหลัง เรรินเดินกลับมาถึงรถจักรยานที่จอดเอาไว้ ไหมแมยืนคุมเชิงห่างๆ ไล่ด้วยสายตา เรรินจูงรถจักรยานออกมา
“ผ้าโบราณ ยังมีอีกตังหลายพิพิธภัณฑ์ ถ้าคุณสนใจมันจริงๆ ก็ไปผ่อที่อื่นเต๊อะบ่จะอั้น ข้าเจ้าจะเข้าใจ๋ เป็นว่า คุณมีเจตนาบ่ซื่อ”
ไหมแมเดินกลับเข้าไป เรรินจะขึ้นขี่จักรยาน หันกลับมามองคุ้มเจ้าหลวงอีกครั้ง และต้องชะงักเหมือนมีสิ่งมหัศจรรย์ บังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา สายตาเรรินมองที่หน้าจั่วใต้หลังคาเห็น ตราสัญญาลักษณ์ ราชงวค์ล้านนา แจ่มแจ้งปรากฏเด่นชัดต่อสายตา เรรินใจเต้นรีบคุ้ยถุงย่ามหาถุงกำมะหยี่ยายคำเที่ยงให้มา แล้วล้วงหยิบลูกกุญแจโบราณดอกนั้นขึ้นมา เรรินมองเทียบตราประทับ รอยนูนบนลูกกุญแจ กับสิ่งที่เห็นข้างบน เธอรู้ได้ในทันทีว่ากุญแจดอกนั้นมีไว้เพื่ออะไร
เรรินกำกุญแจดอกนั้น แน่นเหมือนกลัวว่ามันจะหลุดมือหายไป...
“ขอบคุณมาก ยายคำเที่ยง ยายไม่ต้องห่วง...ฉันจะทอผ้าผืนนั้นให้เสร็จให้ได้ อย่างที่ยายต้องการ”
+ + + + + + + + + + + +

วงพระจันทร์ฟูมฟายมาฟ้องบัวเงิน
“มันด่าวงพระจันทร์หยาบคายมากด้วยค่ะคุณย่า มันคงไม่รู้ว่าวงพระจันทร์ก็พอจะฟังภาษาฝรั่งเศสออกบ้าง มันด่าวงพระจันทร์ว่า เป็นผู้หญิงชั้นต่ำ ยิ่งกว่าโสเภณีค่ะคุณย่า”
“จะไดมึงปล่อยหื้อมันด่ามึงข้างเดียว บ่ ตบปากสั่งสอนมันไป”บัวเงินย้อน
“ก็สุริยะน่ะสิคะคุณย่า เข้าข้างมัน วงพระจันทร์งี้ทั้งโกรธทั้งตกใจจนตัวชา ทำอะไรไม่ถูกเลย”
“สุริยะอะหยัง”
“เขาบอกว่าเขา ขอความรักมันแล้วน่ะสิคะคุณย่า คุณย่าคิดดูสิคะรู้จักมันไม่กี่วันก็กล้าพูดว่ารักมันแล้ว วงพระจันทร์ว่า ถ้าเขาไม่เป็นบ้าไปแล้ว ก็ต้องโดนมันทำเสน่ห์ยาแฝดใส่เอาแน่ๆ”
บัวเงินนิ่งเครียดทันที เมื่อวงพระจันทร์กลับไป บัวเงินจึงเข้าไปที่ห้องผีอีเม้ย
“อีเม้ยมึงอยู่ที่ใด ออกมาหากู บัดเดี๋ยวนี้ อีเม้ย”
บัวเงินตบฝ่ามือลงบนตั่งอย่างแรง
“อีเม้ย มึงได้ยินกูบ่”
เสียงลมหวีดมาเทียนดับวูบลง กลุ่มควันจากเทียนที่ดับวูบนั้นหนาแน่นขึ้น จนรวมตัวกลายเป็นร่างผีอีเม้ยที่หมอบอยู่กับพื้น
“มึงมัวไปซุกหัวอยู่ที่ใด”
“เม้ยบ่ได้ไปตี่ใดดอกเจ้าข้าหม่อม”
“กูมีเรื่องร้อนใจใหญ่หลวงนัก มึงฮู้ก่ออีมณีรินมันจะชิงเอาหัวใจ๋หลานกูไป เหมือนตี้มันเกยชิงหัวใจ๋เจ้าอ้ายของกู ชิงผัวฮักของกูไปเป๋นของมัน”
“หม่อมจะหื้อเม้ยยะจะใด๋ หม่อมสั่งเม้ยมาได้เลยเจ้าข้า”
บัวเงินโยนเครื่องในวัวสดๆให้ ผีอีเม้ยคว้ามากินอย่างเอร็ดอร่อย เสียงดัง จ๊วบจ๊าบ
“มึงไปต๋ามหาอีแม่ญิงคนนี้หื้อเจอ สบช่องเมื่อใด๋ มึงลงมือได้ทันที จัดการกับมันเหมือนอย่างตี้มึงเกยจ่วยกูจัดการกับอีมณีริน...”
ผีอีเม้ยพยักหน้ารับคำปากเปื้อนเลือดสดๆ มือยังโกยกอบเครื่องในวัวเต็มมือ

(อ่านต่อหน้า 2)











ตอนที่ 7 (ต่อ)

หลังเลิกงาน ไหมแม และเจ้าหน้าที่อื่นๆได้พากันออกไปจากพิพิธภัณฑ์ เรรินที่ซ่อนตัวอยู่มุมหนึ่ง เห็นอย่างนั้นก็รีบฉวยโอกาสไปยังตัวคุ้มเจ้าหลวง
เรรินรีบเข้ามาถึงหน้าห้องทอผ้า แม่กุญแจลูกใหญ่คล้องปิดทะมึน ขวางหน้าไว้ มือเรรินที่กำลูกกุญแจ ไว้คลี่ออก...เธอสอดลูกกุญแจ เข้าในแม่กุญแจ และมันก็ไขออกได้จริงๆ เรรินปลดแม่กุญแจออกจากห่วงคล้อง แล้วรีบเปิดประตูเข้าไปในห้องทันที
เรรินเข้ามาในห้องอันมืดสลัว มีแสงสว่าง มาจากช่องแสงสูงๆนั้นเพียงจุดเดียวสาดลงมาตรงๆที่ตำแหน่งทอผ้าพอดีพอดี เธอคลำหาสวิชต์ไฟจนเจอจะกดเปิดไฟอยู่แล้ว แต่เปลี่ยนใจเพราะกลัวคนข้างนอกเห็น...เรรินเดินตรงไปที่ทอผ้า แขวนถุงย่ามตัวเองไว้มุมหนึ่งแล้วเอื้อมมือไปคลี่ผ้าขาวที่คลุมปิดผ้าที่ทอไม่เสร็จผืนนั้นออกยิ้มพอใจ
มือเรรินสอดกระสวย พุ่งผ่านไหมเส้นยืน ทันทีที่กระแทกฟืมเข้าหาตัว เสียงพิณเปี๊ยะสามตัวโน๊ตก็ดังกังวานขึ้น มันเหมือนมีใครมาเล่นอยู่ในห้องนั้น เรรินชะงักและหันไป ทางที่มาของเสียงพิณเปี๊ยะนั้น ภาพเขียนสีน้ำมันรูปคุ้มเจ้าหลวงที่เหมือนเป็นเวลาพลบ แสงใต้และตะเกียงค่อยๆจุดสว่างขึ้นเอง เรริณแปลกใจ แต่คิดว่าตัวเองตาฝาดไปเอง เธอหันกลับมาเพื่อจะทอผ้าต่อ เทียนที่ตั้งเอาไว้หัวเสากี่ทอผ้า จุดตัวเอง ค่อยๆสว่างขึ้น เรรินอึ้งงง
“ทอผ้ามืดๆสายตาจะเสีย”เสียงศิริวัฒนาดังขึ้น
เรรินตกใจ หันขวับไป ศิริวัฒนายืนยิ้มหม่นหมองอยู่ไม่ไกล
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”
“คุณมาได้ยังไงคะ”เรรินชักกลัวเหมือนกัน
“คุณคงลืมไปแล้วว่าผมเคยอยู่ที่นี่”
“เคยอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณนึกจะเดินเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้นี่คะ”
“ทีคุณยังมาได้เลย”
“ฉัน...”
“อย่ากังวลไปเลยไม่มีใครรู้หรอกว่าคุณมาที่นี่ ผมไม่ให้ใครรู้แน่ว่าคุณเข้ามา”
เรรินงงกับคำพูดเขา ศิริวัฒนายิ้มเศร้า
+ + + + + + + + + + + +

สรัญญาโทรศัพท์หาธนินทร์ ไม่นานนัก ธนินทร์ตอบกลับมา...
“ว่าไง”
“ทำใจได้แล้วรึยังไง ถึงไม่ขึ้นมาซะที”
“งานผมยุ่งมาก มีแต่ปัญหาอย่าเพิ่งเอาเรื่องงี่เง่ามากวนผมได้ไหม”
“เรื่องงี่เง่าเหรอ...เอ...ยังงี้จะให้ตีความหมายว่ายังไงดี ถ้ามากจนเห็นเรื่องนี้ ไม่มีความหมายอะไรหรือช่างหัวมัน คู่หมั้นจะไปเป็นกิ๊กกะใคร ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
“ผมรู้ดีว่าจะต้องทำยังไง”
“ก็ดี แต่จะทำอะไรก็รีบๆทำเข้าก่อนที่พวกช่างเมาท์ มันจะสรุปว่าคุณน่ะโง่เหมือนสัตว์บางชนิดที่เกิดมาเพื่อไถนาอย่างเดียว”
“มันจะมากไปแล้วแซนดี้”
“เสียดายที่ฉันถ่ายรูปอัพเดท ให้คุณไม่ทัน ฉันเพิ่งเจอคู่หมั้นคุณกับ ผู้ชายคนใหม่ของเขา เมื่อกี้นี้เอง ท่าทางหวานชื่นใส่กันน่าดูแม้แต่ในวัดในวาก็ยังไม่เว้น อ้อ...อีกอย่างถ้าฉันไม่ได้ตาฝาดไปเอง ฉันว่าคู่หมั้นของคุณน่ะเขาไม่ได้สวมแหวนหมั้นที่คุณอุตส่าห์เลือกให้ด้วยความรักแล้วนะ เขาคงกลัวแฟนใหม่จะเห็น หรือไม่งั้นก็กลัวตัวเองจะหมดอารมณ์ เวลามีอะไรๆกับผู้ชายคนนั้น แล้วบังเอิ๊นหันมาเห็นแหวนหมั้นในนิ้วตัวเองเข้า”สรัญญาหัวเราะ
ธนินทร์ กดปิดโทรศัพท์ด้วยความโกรธแค้น ลูกน้องเปิดประตูเข้ามา
“พี่ธนินทร์ครับ นักแสดงที่จะมาแคสงาน มาแล้วครับ พี่ธนินทร์จะดูด้วยไหมครับ”
“กูต้องดูทุกอย่างแล้วกูจะจ้างพวกมึงมาทำ...อะไรวะ ไม่มีปัญญาตัดสินใจ ก็ลาออกไป”ธนินทร์ตวาดดังลั่น
ลูกน้องรนรานกลับออกไป ธนินทร์เคียดแค้น
+ + + + + + + + + + + +

สุริยวงศ์เดินตรงเข้ามาจากหลังร้าน สรัญญานั่งหันหลังให้อยู่
“เด็กพนักงานบอกว่า คุณต้องการพบผม”
“สวัสดีอีกครั้งนึงค่ะคุณสุริยวงศ์”
“คุณน่ะเอง แล้วเพื่อนๆคุณไปไหนกันหมดล่ะครับ”
“แซนดี้ไม่ได้เป็นคนติดเพื่อน ขนาดต้องอยู่ติดกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงหรอกค่ะ บางเวลาก็ต้องการฟรีไทม์ที่เป็นส่วนตัวบ้าง”
“คุณจะคอมเพลนเรื่องอาหารรึเปล่าครับ”
สรัญญาหัวเราะ
“ตายจริง แซนดี้ดูเป็นคนขี้วีนรึไงคะ”
“เปล่าครับ...เปล่า”
“คุณสุริยวงศ์นี่เป็นคนระมัดระวังตัวเองจังเลยนะคะ”
“ทำไมคุณตัดสินผมอย่างนั้นละครับ”
“อ้าว ก็คุณขีดเส้นให้แซนดี้เป็นแค่ลูกค้าคนนึงนี่คะ คุณไม่คิดหรอกว่าแซนดี้อยากจะคุยกับคุณเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องอาหารก็ได้ คุยอย่างเพื่อนไงคะคุยกัน”
“ครับ...”
“คุณสงสัยบ้างไหมคะ ว่าทำรินเขาถึงทำท่าเหมือนกระอักกระอ่วน ทุกครั้งที่เจอแซนดี้”
“ผมไม่ทราบครับ เรื่องส่วนตัวของคุณรินเธอ ผมไม่กล้าละลาบละล้วง ถามหรอกครับ”
“ต๊าย...สุภาพบุรุษจังเลยนะคะ” สรัญญาหัวเราะ “งั้นแซนดี้ขออีกคำถามเดียว คำถามสุดท้ายแล้ว...คุณชอบรินเขาจริงๆเหรอคะ”
สุริยวงศ์มองสรัญญา ผู้หญิงคนนี้กล้าจนน่ากลัว
+ + + + + + + + + + + +

ทุกคนทำงานกันวุ่นวาย อยู่ในครัว เพราะข้างนอกลูกค้าตรึม สุริยวงศ์ยืนนิ่งอยู่หน้าหม้อซุป อื้ออึงกับสิ่งที่ได้รับรู้มา
‘…รินน่ะ เขาไม่ใช่คนตัวเปล่านะคะคุณสุริยวงศ์ เขามีคู่หมั้นแล้ว แล้วก็คงจะแต่งงานกันเร็วๆนี้ด้วย เพราะหมั้นกันมาข้ามปีแล้ว รินเขาไม่ได้เล่าอะไรให้คุณฟังเลยหรอคะ แย่จริง รินนี่กี่ปีๆก็ไม่ทิ้งนิสัยเดิม ตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยแล้วละค่ะ รินเขาชอบหว่านเสน่ห์ให้ใครต่อใครไปทั่ว ผู้ชายจะฆ่ากันตายก็เพราะรินเขามาหลายครั้งแล้วละค่ะ ที่แซนดี้ต้องมาบอกความจริงให้คุณรู้นี่ แซนดี้ไม่ได้คิดอะไรนะคะ แค่คู่หมั้นของรินเขาแซนดี้ก็รู้จักดี เขาเป็นสุภาพบุรุษ แล้วก็รักรินเขาม๊ากมาก แซนดี้ไม่อยากเห็นเขาต้องผิดหวังเสียใจ แล้วอีกอย่างนึงแซนดี้ว่าแซนดี้ดูคนไม่ผิด คุณก็เป็นคนดีมากคนหนึ่ง แซนดี้ไม่อยากเห็นคุณต้องกลายเป็นคนโง่ ที่ถูกผู้หญิงหน้าซื่อๆ คนนึงหลอกเอาให้หัวปั่นเล่นเท่านั้นแหละค่ะ…’
สุริยวงศ์ ยืนนิ่งจมอยู่ในความคิด...พนักงานเข้ามาจะตักซุปในหม้อแต่เข้ามาไม่ได้
“คุณสุริยวงศ์ครับ...คุณสุริยะ”
สุริยวงศ์ได้สติ
“หือ”
“ลูกค้าสั่งซุปเห็ดน่ะครับ”
“ก็ไปตักเอาสิ มาบอกฉันทำไม”
“ก็...ซุปเห็ดอยู่ตรงนี้...คุณสุริยะยืนขวางอยู่นี่ครับ”
“อ้าว...หรอ...โทษที”
สุริยวงศ์ ขยับออก....บ่นกับตนเองนี่เราจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขนาดนี้เชียวหรือ
+ + + + + + + + + + + +

ศิริวัฒนายืนดูเรรินนั่งทอผ้าอย่างตั้งใจ ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง...
“ผมคงไม่รบกวนคุณแล้ว แค่อยากมาทักทาย และขอบใจเท่านั้น”
“ขอบใจ เรื่องที่ฉันเข้ามาทอผ้าผืนนี้ต่อจนได้ น่ะหรอคะ”
“ผมยังยืนยันเช่นเดิม...”
“ฉันกับผ้าผืนนี้มีอะไรเกี่ยวเนื่องกันคุณรู้ใช่ไหมคะ กรุณาเล่าให้ฉันฟังได้ไหม”
“คุณอยากรู้จริงๆหรือ เจ้าริน”
“ค่ะ ฉันอยากรู้”
“ทั้งที่เรื่องมันน่าเศร้าใจจนไม่มีใครอยากจะจดจำอย่างนั้นหรือ”
“ช่วยเล่าให้ฉันฟังเถอะค่ะ ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้านางมณีรินท่านเป็นใคร เกิดอะไรขึ้นกับท่าน...”
“งั้นก็...หลับตาลงสิ...เจ้าริน”
เรรินเหมือนถูกสะกดจิต ดวงตาหนักอึ้งลงทันที
“หลับเสีย...มณีริน...แล้วเราจะพาเจ้าไปดู”
เรรินฝืนลืมตาไว้ไม่ไหว...หลับตาลงมือของเธอที่ถือกระสวยไว้ อ่อนแรงลง กระสวยร่วงหลุดจากมือ

ในอดีต...
 

ในพลับพลาค้างแรมกลางป่า มณีรินที่ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น เสียงช้างร้องแปร๋นๆแจ่มใส ทำให้มณีรินลุกพรวดขึ้นนั่งทันที คำเที่ยงรีบเข้ามาปรนนิบัติ คลี่เปิดมุ้ง
“ตื่นแล้วก่อเจ้า”
“อะหยัง...ตี้นี่ตี้ไหนกั๋น”มณีรินงงๆยังปรับสถาพมิติไม่ถูก
“เฮาอยู่ในเขตม่าน ก่อนข้าวแลงวันนี้ เฮาคงจะได้ข้ามน้ำสายไปฝั่งไทยแล้วเจ้า เจ้ารินตื่นก็ดีแล้วเจ้า จะได้แต่งตัว กิ๋นข้าว แล้วจะได้เดินทางกันต่อ เมื่อคืนคำเที่ยงเมื่อยขบไปทั้งตั๋ว จ๊างมันทำเอาตัวสั่นหัวคลอน”
“คำเที่ยง...”มณีรินจ้องมอง “นี่เจ้าคือคำเที่ยงแต๊ๆก๊า”
“เอาอีกแล้วนะเจ้าริน เล่นตลกอะหยังก็บ่ฮู้ คำเที่ยงบ่ม่วนด้วยดอกเจ้า ล้างหน้าล้างตาเต๊อะเจ้าจะได้แต่งตั๋ว”
บ่าวยกอ่างและเหยือก เข้ามาเพื่อให้ล้างหน้า มณีรินลุกขึ้นจากที่นอน แล้วพรวดพราดแหวกม่านทึบออกไปด้านนอกทันที
“เจ้ารินจะไปตี้ใด”
คำเที่ยงรีบตามออกไป
มณีริน พรวดพราดออกมาที่ด้านหน้าพลับพลา คำเที่ยงรีบตามออกมาเพราะเจ้านายยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย
“เจ้าริน ออกมาบ่ได้เน้อ...ปิ๊กข้างในเต๊อะเจ้า”
มณีรินเห็นทหารยืนรักษาความปลอดภัย และเตรียมเทียบกูบที่ประทับขึ้นหลังช้างเตรียมตัวเดินทาง บ่าวยกอ่างเหยือกน้ำตามออกมา
“คำเที่ยง บอกเราอีกซักเตื้อเรากำลังจะไปตี้ใดกัน”
“นครเชียงใหม่เจ้า เรากำลังไปนครเชียงใหม่”
“นครเชียงใหม่”
มณีรินซึ่งในเวลานี้คือจิตของเรรินที่กลับมารับรู้เรื่องเก่ายังงง
“ก็เราอยู่เชียงใหม่อยู่แล้วนี่นา”
“เจ้ารินเน้อเจ้าริน นี่ถ้าเจ้ายังเป็นละอ่อนอยู่ละก็ คำเที่ยงจะเฆี่ยนเสียหื้อเนื้อลายเชียยะจะอี้ได้จะได”
“ก็บอกเรามาก่อนสิว่าทำไมเราต้องไปนครเชียงใหม่”
“อย่าเอิ้นจะอี้หื้อผู้ใดได้ยินเชียวนะเจ้า ฮู้ถึงหูเจ้าพ่อเจ้าแม่จะบ่สบายใจ๋”
“จะไดจึงจะบ่สบายใจ”
“เจ้ารินลืมไปได้จะได เจ้ารินไปนครเชียงใหม่เพื่ออภิเษกกับเจ้าราชบุตรเปิ้นเน้อ”
มณีริน เหมือนเพิ่งได้ยินสิ่งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
+ + + + + + + + + + + +

บ่าวคลานประคองเครื่องเงินที่วางผ้าซิ่น เสื้อและเครื่องประดับ เข้ามาเป็นทิวแถว... คำเที่ยงกำลังช่วยมุ่นมวยผมให้มณีรินหน้ากระจก มณีรินมองตัวเองในกระจก เลิ่กลั่กหันมามองบรรดาบ่าวกับข้าวของเครื่องใช้อันอลังการ
“นั่งนิ่งๆซักเตื้อเต๊อะเจ้าริน หรุกหริกจะอี้ เมื่อใดคำเที่ยงจะมุ่นผมหื้อแล้ว เดี๋ยวบ่งามเน้อเวลาถึงนครเชียงใหม่ บรรดาผู้ที่มารับจะได้ชื่นชมบารมีเจ้าริน จะได้ฮู้ได้หันว่าความงามอย่างเชียงตุงนั้นเป็นจะได”
“เราบ่แต่งดอก เที่ยวชมนครเชียงใหม่เสร็จเราก็จะปิ๊กเชียงตุงบ้านเฮา”
“เจ้าริน เจ้ารินก็ฮู้ว่าเจ้ารินบ่มีทางเลือก หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เป็นละอ่อน ก็เพราะว่าเจ้าหลวงเปิ้นหันแล้วว่าเหมาะสม เจ้าพ่อของเจ้ารินเปิ้นก็บ่ขัดข้องแล้วเจ้ารินจะปฏิเสธได้จะได”
“จะไดเฮาก็บ่แต่ง เราจะถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยคิดภายหลัง”
“เจ้าริน”
“จะแต่งได้จะได แต่งกับผู้ใดก็บ่ฮู้ แล้วถ้าเกิดเฮาบ่ได้ฮักเปิ้นเล่าพี่คำเที่ยง บ่เอา บ่แต่ง”
“อยู่กันไปก็ฮักกันไปเองละเจ้า”
“เฮาบ่เชื่อ บ่ฮักตะแรก อยู่ไปเมินแค่ไหน ก็บ่มีทางฮักขึ้นมาได้ดอก”
“เจ้ารินบ่ฮัก ก็กึ้ดเสียว่าทำเพื่อแผ่นดิน ล้านนา เชียงตุง บ่ใช่อื่นไกล ฝรั่งตะวันตกได้ครองเชียงตุงนัก เจ้ารินกำลังได้ช่วยแผ่นดินแม่ของเฮาเน้อ เชียงตุงกับล้านนาต้องสานสัมพันธ์กันไว้หื้อมั่น”
มณีรินจนมุม ได้แต่มองเงาตัวเองในกระจก
+ + + + + + + + + + + +

ขบวนช้างตกแต่งสมเกียรติยศ เจ้านายเชียงตุงกำลังลุยข้ามลำธารน้ำใส ป่าเขียวขจี มณีรินอยู่ในสัปคัตเดียวกับคำเที่ยง
“พี่คำเที่ยง”
“อะหยังเจ้า”
“เฮาอย่าเพิ่งไปหื้อถึงนครเชียงใหม่วันนี้ได้ก่อ เฮาค้างแรมในป่ากันอีกซักคืนเต๊อะ”
“บ่ได้ จะยะจะอั้นได้จะได ป่านนี้ทางคุ้มเจ้าหลวงเชียงใหม่เปิ้นจัดเตรียมพิธีต้อนฮับเอาไว้แล้ว”
มณีรินเซ็งจัด แต่แล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“พี่คำเที่ยง”
“อะหยัง แห๋ม”
“พี่คำเที่ยง ฮักเฮาแต๊ก่อ”
“ฮักเจ้า”
“จะอั้น...พี่คำเที่ยงเข้าพิธีอภิเษกแทนเฮาเน้อ”
คำเที่ยงตกใจ
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ กึ๊ดอะหยังน๊อเจ้าริน เจ้าศิริวัฒนาเปิ้นคงเชื่อดอกว่าข้าคือเจ้านางมณีริน”
“บ่มีผู้ใดเคยหันเฮาสักเตื้อ ผู้ใด ผู้ใดจะฮู้ว่ามณีรินมีหน้าตาจะได เดี๋ยวเฮาเปลี่ยนชุดกันเลย พี่คำเที่ยงแต่งตัวเป็นเฮา เฮาแต่งเป็นพี่คำเที่ยง เฮาบ่เอิ้น พี่คำเที่ยงบ่เอิ้นก็บ่มีผู้ใดฮู้ดอก”
คำเที่ยงอึ้งช็อก
“ป๊าด กึ๊ดได้จะไดน๊อ เจ้าริน...หน้าตาเจ้านางมณีรินจะบ่งามจะไดก็คงบ่แก่ทึนทึกอย่างข้าเจ้าดอก”
มณีรินหัวเราะออกมาทั้งที่เครียดๆอยู่ ขบวนเสด็จด้วยช้าง เดินทางมุ่งไปข้างหน้า
ขบวนของเจ้านางมณีรินเดินทางถึงเมืองเชียใหม่ ขบวนข้าราชบริพารตามเสด็จเดินนำมณีรินขึ้นบันไดวัดมา นางกำนัลแต่ละคนประคอง โตกดอกไม้ เครื่องสักการะพระธาตุ สีสันตระการตา ทั้งตุงผ้า ตุงกระด้างห้อยระโยงระยางในเขตวิหาร ยิ่งทำให้บรรยากาศดูขลังอลังการ มณีรินถวายเครื่องสักการะหน้าองค์พระโดยมี คำเที่ยงอยู่ใกล้ชิด เป็นพี่เลี้ยงคนสนิท
เจ้าหลวงและพระชายายืนรอต้อนรับมณีรินอยู่ ขบวนช่างฟ้อนล้านนานับล้านชีวิต ฟ้อนต้อนรับเต็มรูปแบบโปรยดอกไม้และถอยเปิดทางออก
มณีรินประคองเครื่องบรรณาการ ของขวัญจากเชียงตุง นำขบวนข้าราชบริพารฝ่ายเชียงตุงเข้ามาที่ตรงหน้าองค์เจ้าหลวง แล้วทรุดตัวลงกราบที่พื้นแสดงคารวะสูงสุดต่อเจ้าหลวงและพระชายา
“ข้าเจ้า มณีรินแห่งนครเชียงตุง ในนามของเจ้าจอมเพชร เจ้าหลวงแห่งนครเชียงตุงและเจ้านางสุคันธา พระชายาในองค์เจ้าหลวง ขอถวายของขวัญแด่เจ้าหลวงแห่งนครเชียงใหม่และชายาเจ้า”
มณีรินถวายดอกไม้ และรับโตกของขวัญจากคำเที่ยงที่ส่งต่อเข้ามา เจ้าหลวงยิ้มพอใจ หญิงสาวที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ช่างงดงามจริงๆ พระชายาขยับเข้ามาประคองมณีรินขึ้น
“ตามสบายเต๊อะมณีริน บ่ต้องเป็นงานเป็นการนักดอก เจ้าพ่อเจ้าแม่ของหลานเป็นจะไดพ่อง ซำบายดีบ่”เจ้าหลวงถามขึ้น
“เจ้า...เจ้าพ่อเจ้าแม่เปิ้นฝากความระลึกถึงมานักๆ”
พระชายายิ้มให้มณีรินก่อนจะถาม
“การเดินทางเป็นจะไดพ่อง คงจะลำบากเจ้าขนาด”
“ขบวนจ๊างจากนครเชียงใหม่ ไปฮับข้าเจ้าถึงชายแดนเมืองม่าน เข้าเจ้าสำนึกในพระกรุณาเจ้าหลวงแลพระชายานักๆเจ้า”
“เรียกแม่ดีกว่าเน้อ เจ้าจากบ้านจากเมืองมา แม่บ่อยากหื้อเจ้ารู้สึกว่าห่างไกล เชียงใหม่เชียงตุงก็พี่น้องกันแต๊ๆ แม่เองก็ฮักเจ้าเป็นลูกแต๊ๆของแม่คนนึง”
“เป็นพระกรุณานักๆเจ้า...”
เจ้าหลวงหันไปมองลูกชาย
“อ้าว จะไดไปหลบอยู่ข้างหลังนั่น ออกมาหื้อเจ้าน้องเปิ้นรู้จักหน้าค่าตาสะกำ ศิริวัฒนา”
ศิริวัฒนาค่อยๆขยับออกมาจากด้านหลังพระชายา
“นี่เจ้าอ้ายศิริวัฒนาของเจ้าเน้อมณีริน ฮู้จักกันไว้เสียบ่เคยได้ปะหน้ากันเลยนี่”
มณีรินยกมือขึ้นไหว้ ศิริวัฒนาประนมขึ้นรับไหว้ที่ช่วงอก ยิ้มให้อย่างพึงพอใจและเขินอายเล็กน้อย เธอสวยจนเขาอดตกประหม่ามิได้
ดวงจิตของเรรินที่กลับมาในอดีตอึ้งตะลึง จนเกือบจะกลายเป็นช็อก เมื่อเห็นหน้าชายคนนั้น เขาคือคนเดียวกับที่ปรากฎตัวอย่างลึกลับให้เธอเห็นมาหลายครั้งแล้วนั่นเอง!

(จบตอนที่ 7)
(อ่านต่อวันพรุ่งนี้)




กำลังโหลดความคิดเห็น