• ปฏิบัติธรรม สะสมบุญ
ปุจฉา :
หลวงปู่ครับ กระผมอยากเรียนถามว่า การที่เราปฏิบัติธรรม โดยการนั่งสมาธิ แผ่เมตตา เป็นการทำบุญสะสมบุญอย่างหนึ่งหรือไม่ครับ เพราะกระผมทำงานให้นายจ้างตั้งแต่เช้าถึงดึกเกือบทุกวัน ไม่สามารถทำบุญตักบาตรได้เลยครับ
วิสัชนา :
จัดว่าเป็นวิธีสั่งสมบุญอย่างยอดชนิดหนึ่ง สำคัญคุณต้องทำมันด้วยหัวใจ พร้อมกาย
• ความเครียดในการงาน
ปุจฉา : กราบนมัสการ หลวงปู่ครับ
คืออยากจะเล่าว่า ผมเพิ่งจบการศึกษา และเพิ่งเริ่มทำงานแล้ว รู้สึกว่าชีวิตการทำงานนี้มีความกดดันตลอดเวลา เนื่องจากเจ้านายใช้เยี่ยงทาส และมีความขัดแย้งกันระหว่างหัวหน้างานที่ผมสังกัดและหัวหน้าฝ่ายอีกด้วย ทำให้พักนี้รู้สึกว่าจิตใจหม่นหมอง ไม่สว่างเลย ประกอบกับเจอความเครียดในการทำงานตลอดเวลา
อยากเรียนถามหลวงปู่ว่า ในฐานะเป็นลูกจ้างนี้ และต้องรับความกดดันต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน อีกทั้งยังต้องทำงานทั้งวัน ทำให้เหนื่อยมาก ควรจะปฏิบัติตัวหรือมีหลักคิดอย่างไร เพื่อให้ไม่เครียด หรือมีจิตใจที่ไม่หม่นหมอง
สุดท้ายนี้ หวังว่าคำถามนี้ คงมีประโยชน์ต่อคนอีกหลายๆ คนที่เจอเหตุการณ์เดียวกัน
ขอขอบพระคุณหลวงปู่มาก ครับที่กรุณาตอบคำถาม
วิสัชนา :
ทำไมคุณไม่ใช้วิกฤต มาเป็นโอกาสของคุณ ลองเปลี่ยนแนวคิดที่ว่า การงานน่าเบื่อ การงานคือตัวปัญหา การงานคือความหนักหนาสาหัส เปลี่ยนมาคิดเสียใหม่ว่า เมื่อใดที่มีการงาน ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เมื่อนั้นเรามีพรจากสวรรค์ เหตุเพราะงานนั้นๆทำให้เราแสดงความรู้ความสามารถที่มี ให้ออกมาเป็นผลของงานนั้นๆได้
ขอให้คุณมองว่า ปัญหาทุกอย่างที่เกิดจากการทำงาน คือบททดสอบตัวคุณใจคุณ ว่ามีคุณสมบัติพอที่จะได้รับพรจากสวรรค์หรือไม่ ปัญหาที่เกิดจากงาน ถ้าคุณเข้าไปเรียนรู้ และแก้ไขมันได้ มันจะทำให้คุณกลายเป็นคนเข้มแข็ง แกร่งกล้ามากขึ้น อีกทั้ง ความรู้ความสามารถของคุณจะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ งานยังเป็นตัวเสริมสร้างความมั่นใจ และความสำเร็จให้แก่ชีวิตคุณอีกด้วย ถ้าคุณทำมันด้วยใจรัก
ฉะนั้น ขอให้คุณอย่าเบื่อหน่ายในการทำงานที่มีอยู่ ทำมันด้วยใจ และใช้สติปัญญา พิจารณา พร้อมทั้งต้องอย่ากลัวและอย่าหนีปัญหา เช่นนี้ต่างหากจึงจะควรค่าแก่ผู้มีสิทธิ์รับพรจากสวรรค์
จงคิดเสียว่า คุณยังโชคดีกว่าคนอื่นอีกมากมายที่เขาไม่มีงานทำแต่คุณมี ขอให้รักษาโชคดีที่มีเอาไว้กับตัวคุณให้นานเท่านาน
• ดูอารมณ์สุข-ทุกข์
ปุจฉา : กราบนมัสการหลวงปู่
เมื่ออายุยังน้อย เมื่อลูกเกิดความทุกข์ที่หาทางออกไม่ได้ และไม่รู้จะทำอย่างไร ลูกก็จะดูความรู้สึกทุกข์นั้น เหมือนคนที่ไร้ทางสู้ พอมีความสุขก็เกิดระแวง เพราะรู้ว่า เมื่อมีสุขแล้วไม่นาน จะมีความทุกข์ตามมา ก็เลยกลัวทั้งสุขและทุกข์
ลูกเห็นว่าสุขทุกข์นั้นมันมีเกิดสลับกันไปมาในชีวิต ลูกเกิดความเบื่อหน่ายอย่างมากในสุขและทุกข์ที่เข้ามา ดังนั้นลูกก็เลยดูมันแบบไม่ค่อยให้ความสำคัญ เพราะรู้ว่ามันจะอยู่กับเราไม่นาน แต่ปัจจุบันนี้ลูกกลับมีอารมณ์เฉยบ่อยมากๆ รู้สึกรำคาญในอารมณ์เฉยนี้ เพราะลูกรู้สึกว่ามันทำให้ลูกไม่รู้อะไรเลย กลัวจะทำอะไรที่ผิดแล้วก็ไม่รู้ ด้วยเพราะเรารู้สึกเฉยกับสิ่งที่ทำ และผลที่ได้
ขอหลวงปู่เมตตาด้วยครับ ว่าลูกควรตั้งจิตอย่างไร หรือไม่ควรทำอะไร และใช้วิธีเฝ้าดูความรู้สึกเฉย เหมือนเฝ้าดูความรู้สึกทุกข์และสุข
(ปล.ในความรู้สึกเฉย ลูกก็ยังรู้สึกว่ามีตัวตนว่า เราเป็นผู้เสวยความรู้สึกนั้น)
วิสัชนา :
การที่คุณมีสติรู้สุข รู้ทุกข์ ตั้งแต่อายุน้อยๆ นับว่าเป็นเรื่องมงคลของชีวิต เพราะน้อยคนนักที่จะดูและรู้จักตนเอง
การที่คุณรู้สุข รู้ทุกข์ แล้วมีอารมณ์เฉยๆ มันก็เกิดจากเหตุสองอย่าง คือ อย่างแรก คุณเบื่อหน่าย จึงวางเฉย อย่างที่สอง คุณเฉยเพราะรู้ว่า สุขทุกข์นั้นไม่มีตัวตน
อย่างแรกจะทำให้คุณเฉื่อยชา ล่าช้า มีชีวิตอย่างจืดชืด
อย่างที่สองจะทำให้คุณมีปัญญารู้เท่าทันตามความเป็นจริงของโลกและตัวคุณเอง จะทำให้คุณมีชีวิตที่สดใส สดชื่น และเตรียมพร้อมต่อการงานทุกชนิดเสมอ
แต่ถ้าคุณมีอาการอย่างแรก วิธีแก้ไขก็คือ พยายามค้นหาความจริงของสรรพสิ่ง ด้วยหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วความรู้สึกของคุณจะดีขึ้น
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 126 พฤษภาคม 2554 โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)
ปุจฉา :
หลวงปู่ครับ กระผมอยากเรียนถามว่า การที่เราปฏิบัติธรรม โดยการนั่งสมาธิ แผ่เมตตา เป็นการทำบุญสะสมบุญอย่างหนึ่งหรือไม่ครับ เพราะกระผมทำงานให้นายจ้างตั้งแต่เช้าถึงดึกเกือบทุกวัน ไม่สามารถทำบุญตักบาตรได้เลยครับ
วิสัชนา :
จัดว่าเป็นวิธีสั่งสมบุญอย่างยอดชนิดหนึ่ง สำคัญคุณต้องทำมันด้วยหัวใจ พร้อมกาย
• ความเครียดในการงาน
ปุจฉา : กราบนมัสการ หลวงปู่ครับ
คืออยากจะเล่าว่า ผมเพิ่งจบการศึกษา และเพิ่งเริ่มทำงานแล้ว รู้สึกว่าชีวิตการทำงานนี้มีความกดดันตลอดเวลา เนื่องจากเจ้านายใช้เยี่ยงทาส และมีความขัดแย้งกันระหว่างหัวหน้างานที่ผมสังกัดและหัวหน้าฝ่ายอีกด้วย ทำให้พักนี้รู้สึกว่าจิตใจหม่นหมอง ไม่สว่างเลย ประกอบกับเจอความเครียดในการทำงานตลอดเวลา
อยากเรียนถามหลวงปู่ว่า ในฐานะเป็นลูกจ้างนี้ และต้องรับความกดดันต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน อีกทั้งยังต้องทำงานทั้งวัน ทำให้เหนื่อยมาก ควรจะปฏิบัติตัวหรือมีหลักคิดอย่างไร เพื่อให้ไม่เครียด หรือมีจิตใจที่ไม่หม่นหมอง
สุดท้ายนี้ หวังว่าคำถามนี้ คงมีประโยชน์ต่อคนอีกหลายๆ คนที่เจอเหตุการณ์เดียวกัน
ขอขอบพระคุณหลวงปู่มาก ครับที่กรุณาตอบคำถาม
วิสัชนา :
ทำไมคุณไม่ใช้วิกฤต มาเป็นโอกาสของคุณ ลองเปลี่ยนแนวคิดที่ว่า การงานน่าเบื่อ การงานคือตัวปัญหา การงานคือความหนักหนาสาหัส เปลี่ยนมาคิดเสียใหม่ว่า เมื่อใดที่มีการงาน ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เมื่อนั้นเรามีพรจากสวรรค์ เหตุเพราะงานนั้นๆทำให้เราแสดงความรู้ความสามารถที่มี ให้ออกมาเป็นผลของงานนั้นๆได้
ขอให้คุณมองว่า ปัญหาทุกอย่างที่เกิดจากการทำงาน คือบททดสอบตัวคุณใจคุณ ว่ามีคุณสมบัติพอที่จะได้รับพรจากสวรรค์หรือไม่ ปัญหาที่เกิดจากงาน ถ้าคุณเข้าไปเรียนรู้ และแก้ไขมันได้ มันจะทำให้คุณกลายเป็นคนเข้มแข็ง แกร่งกล้ามากขึ้น อีกทั้ง ความรู้ความสามารถของคุณจะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ งานยังเป็นตัวเสริมสร้างความมั่นใจ และความสำเร็จให้แก่ชีวิตคุณอีกด้วย ถ้าคุณทำมันด้วยใจรัก
ฉะนั้น ขอให้คุณอย่าเบื่อหน่ายในการทำงานที่มีอยู่ ทำมันด้วยใจ และใช้สติปัญญา พิจารณา พร้อมทั้งต้องอย่ากลัวและอย่าหนีปัญหา เช่นนี้ต่างหากจึงจะควรค่าแก่ผู้มีสิทธิ์รับพรจากสวรรค์
จงคิดเสียว่า คุณยังโชคดีกว่าคนอื่นอีกมากมายที่เขาไม่มีงานทำแต่คุณมี ขอให้รักษาโชคดีที่มีเอาไว้กับตัวคุณให้นานเท่านาน
• ดูอารมณ์สุข-ทุกข์
ปุจฉา : กราบนมัสการหลวงปู่
เมื่ออายุยังน้อย เมื่อลูกเกิดความทุกข์ที่หาทางออกไม่ได้ และไม่รู้จะทำอย่างไร ลูกก็จะดูความรู้สึกทุกข์นั้น เหมือนคนที่ไร้ทางสู้ พอมีความสุขก็เกิดระแวง เพราะรู้ว่า เมื่อมีสุขแล้วไม่นาน จะมีความทุกข์ตามมา ก็เลยกลัวทั้งสุขและทุกข์
ลูกเห็นว่าสุขทุกข์นั้นมันมีเกิดสลับกันไปมาในชีวิต ลูกเกิดความเบื่อหน่ายอย่างมากในสุขและทุกข์ที่เข้ามา ดังนั้นลูกก็เลยดูมันแบบไม่ค่อยให้ความสำคัญ เพราะรู้ว่ามันจะอยู่กับเราไม่นาน แต่ปัจจุบันนี้ลูกกลับมีอารมณ์เฉยบ่อยมากๆ รู้สึกรำคาญในอารมณ์เฉยนี้ เพราะลูกรู้สึกว่ามันทำให้ลูกไม่รู้อะไรเลย กลัวจะทำอะไรที่ผิดแล้วก็ไม่รู้ ด้วยเพราะเรารู้สึกเฉยกับสิ่งที่ทำ และผลที่ได้
ขอหลวงปู่เมตตาด้วยครับ ว่าลูกควรตั้งจิตอย่างไร หรือไม่ควรทำอะไร และใช้วิธีเฝ้าดูความรู้สึกเฉย เหมือนเฝ้าดูความรู้สึกทุกข์และสุข
(ปล.ในความรู้สึกเฉย ลูกก็ยังรู้สึกว่ามีตัวตนว่า เราเป็นผู้เสวยความรู้สึกนั้น)
วิสัชนา :
การที่คุณมีสติรู้สุข รู้ทุกข์ ตั้งแต่อายุน้อยๆ นับว่าเป็นเรื่องมงคลของชีวิต เพราะน้อยคนนักที่จะดูและรู้จักตนเอง
การที่คุณรู้สุข รู้ทุกข์ แล้วมีอารมณ์เฉยๆ มันก็เกิดจากเหตุสองอย่าง คือ อย่างแรก คุณเบื่อหน่าย จึงวางเฉย อย่างที่สอง คุณเฉยเพราะรู้ว่า สุขทุกข์นั้นไม่มีตัวตน
อย่างแรกจะทำให้คุณเฉื่อยชา ล่าช้า มีชีวิตอย่างจืดชืด
อย่างที่สองจะทำให้คุณมีปัญญารู้เท่าทันตามความเป็นจริงของโลกและตัวคุณเอง จะทำให้คุณมีชีวิตที่สดใส สดชื่น และเตรียมพร้อมต่อการงานทุกชนิดเสมอ
แต่ถ้าคุณมีอาการอย่างแรก วิธีแก้ไขก็คือ พยายามค้นหาความจริงของสรรพสิ่ง ด้วยหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วความรู้สึกของคุณจะดีขึ้น
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 126 พฤษภาคม 2554 โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)