xs
xsm
sm
md
lg

แก่นธรรมคำสอนของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ถ้าจิตปล่อยวางจิตได้จริงเพราะมีปัญญาเห็นแจ้งอริยสัจ
จิตจะไม่แยกตัวออกเป็นสองชั้นคือภายในกับภายนอก
แต่จะกลายเป็นจิตหนึ่ง ซึ่งกว้างขวางไร้ขอบเขต
แต่ถ้าจงใจปล่อยวางจิต จิตจะเหมือนมีขอบเขต
ของความรับรู้อยู่ภายนอก ไม่สามารถทวนกระแส
เข้ามารู้กายรู้ใจของตนเองได้

ครั้งที่ 16
การจงใจปล่อยวางจิต

5.2.6 การจงใจปล่อยวางจิต ผู้ปฏิบัติบางท่านแทนที่จะเจริญวิปัสสนา เพื่อให้เกิดปัญญารอบรู้ในกองขันธ์ทั้งปวง (รวมทั้งจิต) ว่าเป็นตัวทุกข์ อันเป็นเหตุให้จิตปล่อยวางขันธ์ (รวมทั้งจิต) และเข้าถึงความเป็นอิสระอย่างแท้จริงได้ กลับจงใจ 'ปล่อยวางจิต' โดยคิดว่าเป็นทางลัดสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้น ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น

(1) การไม่รับรู้ถึงความมีอยู่ของจิต บางท่านเคยได้ยินว่า เมื่อปฏิบัติถึงขั้นสุดท้ายจะต้องปล่อยวางจิต แต่แทนที่จะตามรู้จิต จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าจิตเป็นตัวทุกข์แล้ว จิตปล่อยวางจิตได้เอง กลับใช้วิธีไม่รับรู้ถึงความมีอยู่ของจิต และแกล้งปล่อยให้จิต ทำงานไปตามแรงผลักของกิเลส โดยคิดว่านั่นคือความไม่ยึดถือจิต จนบางท่านถึงกับ 'สติแตก' คือถูกกิเลสและอารมณ์ต่างๆ ครอบงำ จิตเกิดความพลุ่งพล่านเหมือนคนบ้าเป็นระยะๆ แต่คิดว่าตนเป็นพระอรหันต์แล้ว

(2) การหลงติดอยู่ในภพละเอียดภายนอก บางท่านก็จงใจส่งจิตไปอยู่ในภพ ละเอียดคือความว่าง ความสว่าง และความ สงบสุข ที่อยู่ปรากฏอยู่ตรงหน้า โดยไม่สามารถย้อนทวนเข้ามารู้กายรู้ใจได้ สภาวะอันนี้แหละที่ผู้เขียนมักบอกกับเพื่อนนักปฏิบัติว่า 'จิตไม่ถึงฐาน' บ้าง 'จิตไม่ตั้งมั่น' บ้าง สภาวะนี้ เกิดจากจิตหลงถลำตามรู้สภาวะบางอย่าง (เช่นกิเลสหรือความคิด) ออกไปภายนอก พอสิ่งที่ถูกตามรู้นั้นดับไป จิตก็เกิดความสงบสุขโปร่งโล่งเบาสบายขึ้น แล้วมีราคะคือความพอใจในสภาวะอันสุขสบายนั้น แต่ไม่มีสติรู้ทันราคะที่เกิดขึ้น ราคะนั้นจึงครอบงำจิต กลายเป็นตัณหาคือความอยากได้สภาวะนั้น จิตจึงเข้าไปเคล้าเคลียเพลิดเพลิน มีอุปาทานหลงติดอยู่ในสภาวะนั้นอันเป็นภพละเอียดซึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่สามารถเจริญวิปัสสนาต่อไปได้ และพอใจที่จะอยู่ในภพชนิดนี้ เพราะมีความสุขความสบายมาก บางท่านถึงกับคิดว่าตนเป็น พระอรหันต์แล้ว และออกสั่งสอนให้ผู้อื่นน้อมจิตไปอยู่ในความว่างตามไปด้วย ถ้าศิษย์ คนใดทำความว่างได้ที่ ก็ตั้งให้เป็นพระอริยบุคคลชั้นนั้นชั้นนี้ ที่ปฏิบัติผิดพลาดอย่างนี้ก็เพราะรีบปล่อยวางจิต ทั้งที่ยังไม่ได้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนเกิดปัญญารู้แจ้งในกองทุกข์คือรูปนาม/กายใจนั่นเอง

แท้จริง ถ้าจิตปล่อยวางจิตได้จริงเพราะมีปัญญาเห็นแจ้งอริยสัจ จิตจะไม่แยกตัวออกเป็นสองชั้นคือภายในกับภายนอก แต่จะกลายเป็นจิตหนึ่ง ซึ่งกว้างขวางไร้ขอบเขต แต่ถ้าจงใจปล่อยวางจิต จิตจะเหมือนมีขอบเขตของความรับรู้อยู่ภายนอก ไม่สามารถทวนกระแสเข้ามารู้กายรู้ใจของตนเองได้

คนและสัตว์ทั่วไปที่ไม่เคยเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จะรู้สึกว่าจิตกับกายและอารมณ์ต่างๆ รวมกันเป็นหนึ่ง และเป็นตัวเรา ผู้ที่เจริญวิปัสสนาเป็นแล้ว จะรู้สึกว่าจิตแยกออกจากอารมณ์ทั้งหลาย และจิตเองก็ตกอยู่ในภาวะของความเป็นคู่ คือเป็นจิตที่มีราคะบ้างไม่มีราคะบ้าง เป็นจิตที่มีโทสะบ้างไม่มีโทสะบ้าง เป็นจิตที่มีโมหะบ้างไม่มีโมหะบ้าง เป็นจิตที่เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง ผู้ที่จงใจปล่อยวางจิต จะรู้สึกว่าจิตเป็นหนึ่ง มีความสุขสบายโล่งว่างปราศจาก กิเลสอยู่อย่างนั้นได้นานๆ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า จิตยังมีขอบเขตของความรับรู้ที่จำกัด คือแม้จะรู้ภายนอกได้กว้างขวางไม่มีประมาณ (รวมทั้งอาจรู้ใจของผู้อื่นได้ด้วย) แต่ก็ไม่สามารถทวนกระแสเข้ามารู้สภาวธรรม ภายในคือกายกับใจของตนเองได้ ราวกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นไว้ ส่วนท่านผู้ปล่อยวางจิตได้จริงเพราะมีปัญญาเห็นแจ้งอริยสัจ จะมี 'จิตหนึ่ง' ไม่มีภายในและภายนอก แต่เป็นหนึ่งเดียวรวด คือเห็นจิตกับสภาวะที่แวดล้อมอยู่เป็นสิ่งเดียวรวด ความรับรู้ย่อมปลอดโปร่งไม่มีจุดติดขัดในที่ใด ไม่มีหยาบหรือละเอียด ไม่ติดในกุศลหรืออกุศล ไม่กระเพื่อมขึ้นหรือกระเพื่อมลง จิตเข้าถึงสภาวะที่ไม่มีสิ่งใดปรุงแต่งได้

อนึ่ง 'จิตหนึ่ง' ไม่ใช่นิพพาน แต่เป็นจิตชนิดที่อภิธรรมเรียกว่า 'กิริยาจิต' เป็นเครื่องอาศัยรู้อารมณ์และทำหน้าที่คิดนึกของพระอรหันต์เท่านั้น ไม่ใช่ที่ตั้งแห่งความยึดมั่นแต่อย่างใด

(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/
การป้องกันความผิดพลาด)
กำลังโหลดความคิดเห็น