เอตทัคคะ-อดีตชาติ (ต่อ)
พระราหุล ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรของคฤหบดีผู้มั่งคั่งตระกูลหนึ่งในเมืองหงสวดี เป็นพี่น้องกับพระรัฐบาล แต่ไม่ระบุว่าใครเป็นพี่หรือน้อง ครั้นบิดามารดาล่วงลับไปแล้ว ท่านทั้ง ๒ ก็ทำหน้าที่ดูแลทรัพย์สมบัติสืบต่อมา
๒ พี่น้องเป็นคนใจบุญ ต่อมาได้รับอุปัฏฐากฤาษีคนละ ๑ องค์ ฤาษีทั้ง ๒ นั้นเป็นเพื่อนกัน มีฤทธิ์เหาะเหินเดินหาวได้ แม้จะเป็นเพื่อนกันแต่ก็แยกกันอยู่และต่างมีที่พักกลางวันคนละแห่ง ฤาษีที่พระรัฐบาลรับอุปัฏฐากมักไปพักกลางวันในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนฤาษีที่พระราหุลรับอุปัฏฐากมักไปพักกลางวันในนาคพิภพ ดังนั้นหลังจากฉันภัตตาหารแล้ว ฤาษีทั้ง ๒ จึงต่างรูปต่างอนุโมทนาไปตามประสบการณ์ของตน
ฤาษีของพระรัฐบาลอนุโมทนาว่า
“ขอให้ท่านจงมีที่อยู่ดุจวิมานของท้าวสักกเทวราช”
ส่วนฤาษีของพระราหุลอนุโมทนาว่า
“ขอให้ท่านจงมีที่อยู่ดุจภพของพญานาคปฐวินธรเถิด”
สองพี่น้องต่างสงสัยในคำอนุโมทนาของฤาษีทั้ง ๒ เป็นอย่างมาก วันหนึ่งเมื่อได้โอกาสจึงถามถึงเหตุผลที่อนุโมทนาอย่างนั้น ฤาษีทั้ง ๒ จึงได้โอกาสพรรณนาที่ พักกลางวันของตนให้ ๒ พี่น้องฟังจนเกิดความปรารถนา ที่จะไปเกิดอยู่ในสถานที่ทั้ง ๒ แห่งนั้นบ้าง
ครั้นแล้ว ๒ พี่น้องนั้นก็ได้สมปรารถนา เนื่องจากหลังสิ้นอายุแล้ว พระรัฐบาลได้ไปเกิดเป็นท้าวสักกะ ฝ่าย พระราหุลได้ไปเกิดเป็นพญานาคชื่อว่า “ปฐวินธร”
พญานาคปฐวินธร เมื่อมาเกิดอยู่ในนาคพิภพแล้วก็รู้สึกไม่พอใจกับกำเนิดของตน เนื่องจากต้องเลื้อยไป จึงรู้สึกเสียใจและนึกตำหนิฤาษีที่ตนอุปัฎฐากว่าไม่น่าพรรณนาให้ตนยินดีในทุคติภูมิเช่นนี้เลย อย่างไรก็ตามพญานาคปฐวินธรยังคงกลายร่างเป็นคนได้ในบางโอกาส แต่ก็อยู่ได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็จะคืนร่างกลับเป็นนาคดุจเดิม
ตามปรกติเมื่อว่าโดยกำเนิดแล้ว พญานาคก็จัดเป็นงูตระกูลหนึ่ง ซึ่งเป็นบริวารของท้าววิรูปักษ์ ท้าวมหาราชองค์หนึ่งในท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นไปเฝ้าท้าวสักกะในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โดยพาบริวารไปด้วยเพื่อถวายรายงานเหตุการณ์ ต่างๆ ให้ทรงทราบ ดังนั้นเมื่อท้าววิรูปักษ์ขึ้นไปเฝ้าท้าว สักกะ จึงพาพญานาคปฐวินธรไปด้วย และทันทีที่ทอดพระเนตรเห็นพญานาคปฐวินธรนั้น ท้าวสักกะก็ทรงจำได้ จึงตรัสทักทายด้วยความสนิทสนม ฝ่ายพญานาคปฐวินธรเองก็จำได้เช่นกัน หลังจากสนทนากันแล้ว ท้าวสักกะทรงทราบว่าพญานาคปฐวินธรเสียใจเรื่องที่ต้องมาเกิด เป็นนาคก็ปลอบโยน โดยแนะนำให้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ปทุมุตตระ ทำบุญแล้วตั้งจิตปรารถนามาเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ เพื่อจะได้อยู่ร่วมกันอีกเหมือนชาติที่แล้ว พญานาคปฐวินธรเห็นด้วย ดังนั้น ครั้นกลับมายังนาคพิภพแล้ว จึงเตรียมการถวายทานแด่พระพุทธเจ้า พญานาคปฐวินธรขึ้นจากนาคพิภพมานิมนต์พระพุทธเจ้าปทุมุตตระด้วยตนเอง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงรับนิมนต์แล้วจึงกลับไปเตรียมการถวายการต้อนรับเป็นการใหญ่
วันรุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงพาพระสาวก ๑๐๐,๐๐๐ รูปไปยังนาคพิภพ ซึ่งพระสาวกที่ตามเสด็จไปด้วยนั้นล้วนแต่บรรลุอภิญญา ๖ และแตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔ มีความเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก และในจำนวนพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้าไปยังนาคพิภพนั้นมีสามเณรน้อยอยู่ด้วยรูปหนึ่ง ชื่อ “อุปเรวตะ”
พญานาคปฐวินธรเห็นสามเณรอุปเรวตะแล้วเกิดความ เลื่อมใส เนื่องจากสามเณรนั้นมีรูปร่างน่ารักและดูละม้ายคล้ายพระพุทธเจ้ามาก เมื่อได้ทราบจากพระสาวกรูปหนึ่ง ว่า สามเณรเป็นพระโอรสของพระพุทธเจ้าก็ยิ่งเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อถวายทานครบ ๗ วันแล้วจึงตั้งจิตปรารถนาต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าและพระสาวกว่า
“ด้วยผลบุญนี้ ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นพระโอรสของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลด้วยเถิด”
พระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงตรวจดูด้วยพระญาณแล้ว ทรงทราบว่า ความปรารถนาของพญานาคปฐวินธรสำเร็จได้แน่จึงทรงรับรอง จากนั้นจึงได้เสด็จกลับจากนาคพิภพ
ฝ่ายพญานาคปฐวินธร เมื่อครบกำหนดครึ่งเดือนแล้วก็ไปเฝ้าท้าวสักกะ พร้อมทั้งกราบทูลให้ทราบถึงความ ปรารถนาของตน พญานาคขอให้ท้าวสักกะปรารถนา เพื่อจะได้เกิดร่วมกันอีก ท้าวสักกะรับคำ ต่อมาได้เห็นพระสาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้าปทุมุตตะแล้วเกิดความเลื่อมใส โดยพระองค์ได้ทราบว่าพระสาวกรูปนี้มาจากตระกูลที่เก่งกล้า ซึ่งสามารถกู้บ้านเมืองที่ถูกข้าศึกทำลายให้กลับคืนมาเป็นปกติได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ทราบอีกว่า ก่อนจะออกบวช พระสาวกรูปนี้มีศรัทธามากถึงขึ้น ยอมอดอาหารนานถึง ๑๕ วัน เพื่อให้บิดามารดาอนุญาตให้ออกบวชด้วยความเลื่อมใส ดังนั้นหลังจากทำสักการะพระพุทธเจ้าอยู่นานถึง ๗ วันแล้ว จึงได้ตั้งพระทัยปรารถนาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าปทุมุตตระว่า
“ด้วยผลบุญนี้ ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นผู้เลิศกว่า พระสาวกทั้งหลายผู้บวชด้วยศรัทธาในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เหมือนพระสาวกรูปนี้เถิด”
พระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงเห็นว่าความปรารถนาของท่านสำเร็จได้แน่ จึงตรัสพยากรณ์ว่า
“มหาบพิตร พระองค์จะได้สมปรารถนาในศาสนาของพระพุทธเจ้าโคดม ซึ่งจะเสด็จอุบัติในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า”
พญานาคปฐวินธรและท้าวสักกะ หลังจากชาตินั้น แล้ว ก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุท-ธุปบาท กาลของพระพุทธเจ้าปุสสะ ชาติที่พบพระพุทธเจ้าปุสสะนั้นท้าวสักกะได้มาเกิดเป็นไวยาวัจกร ทำหน้าที่จัดเตรียมไทยธรรมถวายพระสงฆ์ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในคราวที่พระราชโอรสของพระเจ้ามหินทะทั้ง ๓ พระองค์ได้ทรงร่วมกันรักษาศีล ๑๐ และทรงบริจาคทาน
ส่วนพญานาคปฐวินธรในพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ ได้มาเกิดเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ของพระเจ้ากิงกิสสะและมีพระขนิษฐา ๗ พระองค์ พระขนิษฐาทั้ง ๗ พระองค์นั้นเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และได้พร้อมใจกันสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้ากัสสปะและพระสาวก กำหนดให้เป็นวัดประจำพระองค์ พระองค์ละ ๑ วัด
พระเชษฐาเห็นพระขนิษฐาสร้างวัดประจำพระองค์ถวายพระพุทธเจ้าและพระสาวกแล้วก็เกิดศรัทธา เมื่อทรง ได้รับตำแหน่งอุปราชแล้วก็ทรงสร้างวัดประจำพระองค์ ถวายพระพุทธเจ้าและพระสาวกบ้างตามคำทูลแนะนำของพระขนิษฐา วัดที่พระอุปราชทรงสร้างขึ้นนี้นับว่าใหญ่กว่าวัดที่พระขนิษฐาทรงสร้างขึ้น เพราะมีกุฎิถึง ๕๐๐ หลัง นอกจากสร้างวัดถวายแล้ว พระอุปราชยังทรงถวายอุปถัมภ์พระพุทธเจ้าและพระสาวกด้วยปัจจัย ๔ พร้อมทั้งทำบุญอื่นๆ อีกจนตลอดพระชนมชีพ
จากชาตินั้น บุญส่งผลให้ทั้ง ๒ เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท้าวสักกะได้มาเกิดเป็นบุตรเศรษฐีในแคว้นกุรุ มีชื่อว่า “รัฐบาล” ส่วนพญานาคปฐวินธรได้มาเกิดเป็นพระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะกับพระนางยโสธรา มีชื่อว่า “ราหุล” ทั้ง ๒ ท่าน ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล พระราหุลอาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับปัจจุบันชาติที่เมื่อบวชแล้วสนใจในการแสวง หาความรู้ พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านสนใจการศึกษา
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จาก ธรรมลีลา ฉบับที่ 104 กรกฎาคม 2552 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)
พระราหุล ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรของคฤหบดีผู้มั่งคั่งตระกูลหนึ่งในเมืองหงสวดี เป็นพี่น้องกับพระรัฐบาล แต่ไม่ระบุว่าใครเป็นพี่หรือน้อง ครั้นบิดามารดาล่วงลับไปแล้ว ท่านทั้ง ๒ ก็ทำหน้าที่ดูแลทรัพย์สมบัติสืบต่อมา
๒ พี่น้องเป็นคนใจบุญ ต่อมาได้รับอุปัฏฐากฤาษีคนละ ๑ องค์ ฤาษีทั้ง ๒ นั้นเป็นเพื่อนกัน มีฤทธิ์เหาะเหินเดินหาวได้ แม้จะเป็นเพื่อนกันแต่ก็แยกกันอยู่และต่างมีที่พักกลางวันคนละแห่ง ฤาษีที่พระรัฐบาลรับอุปัฏฐากมักไปพักกลางวันในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนฤาษีที่พระราหุลรับอุปัฏฐากมักไปพักกลางวันในนาคพิภพ ดังนั้นหลังจากฉันภัตตาหารแล้ว ฤาษีทั้ง ๒ จึงต่างรูปต่างอนุโมทนาไปตามประสบการณ์ของตน
ฤาษีของพระรัฐบาลอนุโมทนาว่า
“ขอให้ท่านจงมีที่อยู่ดุจวิมานของท้าวสักกเทวราช”
ส่วนฤาษีของพระราหุลอนุโมทนาว่า
“ขอให้ท่านจงมีที่อยู่ดุจภพของพญานาคปฐวินธรเถิด”
สองพี่น้องต่างสงสัยในคำอนุโมทนาของฤาษีทั้ง ๒ เป็นอย่างมาก วันหนึ่งเมื่อได้โอกาสจึงถามถึงเหตุผลที่อนุโมทนาอย่างนั้น ฤาษีทั้ง ๒ จึงได้โอกาสพรรณนาที่ พักกลางวันของตนให้ ๒ พี่น้องฟังจนเกิดความปรารถนา ที่จะไปเกิดอยู่ในสถานที่ทั้ง ๒ แห่งนั้นบ้าง
ครั้นแล้ว ๒ พี่น้องนั้นก็ได้สมปรารถนา เนื่องจากหลังสิ้นอายุแล้ว พระรัฐบาลได้ไปเกิดเป็นท้าวสักกะ ฝ่าย พระราหุลได้ไปเกิดเป็นพญานาคชื่อว่า “ปฐวินธร”
พญานาคปฐวินธร เมื่อมาเกิดอยู่ในนาคพิภพแล้วก็รู้สึกไม่พอใจกับกำเนิดของตน เนื่องจากต้องเลื้อยไป จึงรู้สึกเสียใจและนึกตำหนิฤาษีที่ตนอุปัฎฐากว่าไม่น่าพรรณนาให้ตนยินดีในทุคติภูมิเช่นนี้เลย อย่างไรก็ตามพญานาคปฐวินธรยังคงกลายร่างเป็นคนได้ในบางโอกาส แต่ก็อยู่ได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็จะคืนร่างกลับเป็นนาคดุจเดิม
ตามปรกติเมื่อว่าโดยกำเนิดแล้ว พญานาคก็จัดเป็นงูตระกูลหนึ่ง ซึ่งเป็นบริวารของท้าววิรูปักษ์ ท้าวมหาราชองค์หนึ่งในท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นไปเฝ้าท้าวสักกะในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โดยพาบริวารไปด้วยเพื่อถวายรายงานเหตุการณ์ ต่างๆ ให้ทรงทราบ ดังนั้นเมื่อท้าววิรูปักษ์ขึ้นไปเฝ้าท้าว สักกะ จึงพาพญานาคปฐวินธรไปด้วย และทันทีที่ทอดพระเนตรเห็นพญานาคปฐวินธรนั้น ท้าวสักกะก็ทรงจำได้ จึงตรัสทักทายด้วยความสนิทสนม ฝ่ายพญานาคปฐวินธรเองก็จำได้เช่นกัน หลังจากสนทนากันแล้ว ท้าวสักกะทรงทราบว่าพญานาคปฐวินธรเสียใจเรื่องที่ต้องมาเกิด เป็นนาคก็ปลอบโยน โดยแนะนำให้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ปทุมุตตระ ทำบุญแล้วตั้งจิตปรารถนามาเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ เพื่อจะได้อยู่ร่วมกันอีกเหมือนชาติที่แล้ว พญานาคปฐวินธรเห็นด้วย ดังนั้น ครั้นกลับมายังนาคพิภพแล้ว จึงเตรียมการถวายทานแด่พระพุทธเจ้า พญานาคปฐวินธรขึ้นจากนาคพิภพมานิมนต์พระพุทธเจ้าปทุมุตตระด้วยตนเอง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงรับนิมนต์แล้วจึงกลับไปเตรียมการถวายการต้อนรับเป็นการใหญ่
วันรุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงพาพระสาวก ๑๐๐,๐๐๐ รูปไปยังนาคพิภพ ซึ่งพระสาวกที่ตามเสด็จไปด้วยนั้นล้วนแต่บรรลุอภิญญา ๖ และแตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔ มีความเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก และในจำนวนพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้าไปยังนาคพิภพนั้นมีสามเณรน้อยอยู่ด้วยรูปหนึ่ง ชื่อ “อุปเรวตะ”
พญานาคปฐวินธรเห็นสามเณรอุปเรวตะแล้วเกิดความ เลื่อมใส เนื่องจากสามเณรนั้นมีรูปร่างน่ารักและดูละม้ายคล้ายพระพุทธเจ้ามาก เมื่อได้ทราบจากพระสาวกรูปหนึ่ง ว่า สามเณรเป็นพระโอรสของพระพุทธเจ้าก็ยิ่งเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อถวายทานครบ ๗ วันแล้วจึงตั้งจิตปรารถนาต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าและพระสาวกว่า
“ด้วยผลบุญนี้ ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นพระโอรสของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลด้วยเถิด”
พระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงตรวจดูด้วยพระญาณแล้ว ทรงทราบว่า ความปรารถนาของพญานาคปฐวินธรสำเร็จได้แน่จึงทรงรับรอง จากนั้นจึงได้เสด็จกลับจากนาคพิภพ
ฝ่ายพญานาคปฐวินธร เมื่อครบกำหนดครึ่งเดือนแล้วก็ไปเฝ้าท้าวสักกะ พร้อมทั้งกราบทูลให้ทราบถึงความ ปรารถนาของตน พญานาคขอให้ท้าวสักกะปรารถนา เพื่อจะได้เกิดร่วมกันอีก ท้าวสักกะรับคำ ต่อมาได้เห็นพระสาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้าปทุมุตตะแล้วเกิดความเลื่อมใส โดยพระองค์ได้ทราบว่าพระสาวกรูปนี้มาจากตระกูลที่เก่งกล้า ซึ่งสามารถกู้บ้านเมืองที่ถูกข้าศึกทำลายให้กลับคืนมาเป็นปกติได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ทราบอีกว่า ก่อนจะออกบวช พระสาวกรูปนี้มีศรัทธามากถึงขึ้น ยอมอดอาหารนานถึง ๑๕ วัน เพื่อให้บิดามารดาอนุญาตให้ออกบวชด้วยความเลื่อมใส ดังนั้นหลังจากทำสักการะพระพุทธเจ้าอยู่นานถึง ๗ วันแล้ว จึงได้ตั้งพระทัยปรารถนาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าปทุมุตตระว่า
“ด้วยผลบุญนี้ ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นผู้เลิศกว่า พระสาวกทั้งหลายผู้บวชด้วยศรัทธาในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เหมือนพระสาวกรูปนี้เถิด”
พระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงเห็นว่าความปรารถนาของท่านสำเร็จได้แน่ จึงตรัสพยากรณ์ว่า
“มหาบพิตร พระองค์จะได้สมปรารถนาในศาสนาของพระพุทธเจ้าโคดม ซึ่งจะเสด็จอุบัติในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า”
พญานาคปฐวินธรและท้าวสักกะ หลังจากชาตินั้น แล้ว ก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุท-ธุปบาท กาลของพระพุทธเจ้าปุสสะ ชาติที่พบพระพุทธเจ้าปุสสะนั้นท้าวสักกะได้มาเกิดเป็นไวยาวัจกร ทำหน้าที่จัดเตรียมไทยธรรมถวายพระสงฆ์ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในคราวที่พระราชโอรสของพระเจ้ามหินทะทั้ง ๓ พระองค์ได้ทรงร่วมกันรักษาศีล ๑๐ และทรงบริจาคทาน
ส่วนพญานาคปฐวินธรในพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ ได้มาเกิดเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ของพระเจ้ากิงกิสสะและมีพระขนิษฐา ๗ พระองค์ พระขนิษฐาทั้ง ๗ พระองค์นั้นเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และได้พร้อมใจกันสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้ากัสสปะและพระสาวก กำหนดให้เป็นวัดประจำพระองค์ พระองค์ละ ๑ วัด
พระเชษฐาเห็นพระขนิษฐาสร้างวัดประจำพระองค์ถวายพระพุทธเจ้าและพระสาวกแล้วก็เกิดศรัทธา เมื่อทรง ได้รับตำแหน่งอุปราชแล้วก็ทรงสร้างวัดประจำพระองค์ ถวายพระพุทธเจ้าและพระสาวกบ้างตามคำทูลแนะนำของพระขนิษฐา วัดที่พระอุปราชทรงสร้างขึ้นนี้นับว่าใหญ่กว่าวัดที่พระขนิษฐาทรงสร้างขึ้น เพราะมีกุฎิถึง ๕๐๐ หลัง นอกจากสร้างวัดถวายแล้ว พระอุปราชยังทรงถวายอุปถัมภ์พระพุทธเจ้าและพระสาวกด้วยปัจจัย ๔ พร้อมทั้งทำบุญอื่นๆ อีกจนตลอดพระชนมชีพ
จากชาตินั้น บุญส่งผลให้ทั้ง ๒ เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท้าวสักกะได้มาเกิดเป็นบุตรเศรษฐีในแคว้นกุรุ มีชื่อว่า “รัฐบาล” ส่วนพญานาคปฐวินธรได้มาเกิดเป็นพระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะกับพระนางยโสธรา มีชื่อว่า “ราหุล” ทั้ง ๒ ท่าน ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล พระราหุลอาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับปัจจุบันชาติที่เมื่อบวชแล้วสนใจในการแสวง หาความรู้ พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านสนใจการศึกษา
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จาก ธรรมลีลา ฉบับที่ 104 กรกฎาคม 2552 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)