xs
xsm
sm
md
lg

บทความจาก นสพ. ผู้จัดการ

x

สื่อใจสมานสร้างสรรค์:

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อย่าลืมหันมามองใจ คอยจับผิดตนเองด้วยว่า
มีบ้างไหม ? ขณะใด ? ที่เรากำลังสมยอม
ให้ความร่วมมือกับกิเลส บิดเบือนข้อเท็จจริง
เพื่อโกหกสามัญสำนึกของตัวเองอยู่...

เรื่องที่ 82
ตัวเราเป็นอะไร ?? ลิงหรือลา

มีผู้ส่งเรื่องเล่ากึ่งคำอุทธรณ์แฝงอุทาหรณ์น่าสนใจมาทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ผู้เขียนเห็นว่ามีแง่คิดน่าสนใจ จึงขอนำมาฝากเป็นเมนูอาหารสมองอีกสักจาน จาก คุณฤทธิรงค์ ภูพานทอง ค่ะ ลองตรองดูนะคะ เพราะเราทุกคนล้วนมีโอกาสแสดงเป็นตัวละครทั้งสามได้เสมอ ขึ้นกับมุมมองตามทัศนคติของเราต่อเรื่องนั้นๆ หรือคนนั้นๆ ในขณะหนึ่งๆ เธอตั้งชื่อเรื่องมาว่า ตัวเราเป็นอะไร ?? มีให้เลือกระหว่าง ลิงกับลา ค่ะ เธอเริ่มเรื่องเล่า ดังนี้...

*หญิงชาวบ้านคนหนึ่ง อาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงา นางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว คือ ลิงกับลา วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อม จนทำให้ข้าวของต่างๆ ได้รับความเสียหาย              

แต่ทันทีที่หญิงชาวบ้านเดินออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัว ก็ค่อยๆ คลายปมเชือก ออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้ลาอีกด้วย

แล้วหลังจากนั้น เจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้นห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อม จนทำให้ข้าวของต่างๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉยๆ                           

สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่าง ก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง

ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้าไป เห็นข้าวของ ของตนถูกรื้อค้นกระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะขึ้นทันที หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง

เธอเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่แหละคือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ เธอจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้มาทุบตีลาอย่างรุนแรง เจ้าลาผู้น่าสงสารส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจ...

น่าสงสารเจ้าลานัก ที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของ ทำโทษจนตาย ส่วนเจ้าลิงต้นเหตุ ผู้ร้ายตัวจริงกลับรอดพ้นไปได้ โดยไม่ได้รับผลกรรมใดๆ เลย...

บางท่านอาจรู้สึกว่า จบแบบนี้ไม่สนุก เพราะมันไม่ยุติธรรม เลย แต่วัตถุประสงค์ของการเล่าเรื่องลิงกับลานี้ เพียงต้องการสื่อ คำสอน ฝากเป็นอุทาหรณ์ ชี้ให้เห็นถึงคุณสมบัติอันบกพร่องในความเป็นผู้นำของหญิงชาวบ้านที่มีอำนาจแต่ขาดปัญญาและความ รอบคอบในการลงโทษ ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้เสียก่อน เชื่อแค่สิ่งที่ตาตนมองเห็น แล้วด่วนลงโทษไปตามความรู้สึกชั่ววูบ เธอมองเห็นข้าวของเสียหาย แล้วเห็นลาหลุดจากเชือก เพียงเท่านี้ก็ด่วนตัดสินว่าลาคือผู้กระทำความผิด ไม่ได้เฉลียวใจตั้งข้อสงสัยเลยว่าแล้วลาจะมีปัญญาแก้เชือกตนเองได้อย่างไร และอุปนิสัยการรื้อค้นหรือชอบทำลายสิ่งของนั้นไม่ใช่อุปนิสัยปกติของลา ส่วนลิงที่เธอมองเห็นว่ายังถูกเชือกล่ามอยู่ ก็ด่วนสรุปว่าลิงไม่ใช่ผู้กระทำความผิด ไม่ได้มองลึกลงไปถึงอุปนิสัยดั้งเดิมตามธรรมชาติอันซุกซนของลิง ที่ชอบรื้อทำลาย และมีมือไม้อันว่องไว เธอไม่ได้แม้แต่จะคิดว่าลิงสามารถแก้เชือกคล้องคอตัวเอง ได้ หากเธอเดินสำรวจร่องรอยความเสียหายก่อนสักนิด เธอก็จะพบหลักฐานชัดเจน ทั้งรอยเท้าและรอยฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง ไม่มีแม้แต่รอยเท้าสักก้าวเดียวของลาเลย เพราะเจ้าลาเคราะห์ร้ายตัวนั้นไม่ได้เดินเคลื่อนที่ไปไหนๆ                  

มองย้อนมาที่เหตุการณ์รอบตัวในปัจจุบัน มีหลายองค์กรกำลังประสบปัญหาเหน็ดเหนื่อย และวุ่นวาย ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำที่ 'ปล่อยให้ลิงสร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์กรรม' 

ถ้าจะเปรียบลาก็คงเหมือนคนในองค์กรที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่ ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดอะไรก็ตรงไปตรงมาไร้เล่ห์เหลี่ยม ส่วนลิงก็เหมือนกับคนในองค์กรที่ฉลาดแกมโกง เสนอตัว แสดงออกแบบกลบเกลื่อนเก่ง อ้างอิงตำรา ยกแม่น้ำทั้งห้าได้สารพัด อวดอ้างผลงาน คอยรับแต่ความดีความชอบ แต่ไม่ได้ทุ่มเทลงมือสร้างผลงานอย่างจริงจัง  

นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริง ว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็ ไม่มีทางล่วงรู้ ผู้เป็นนายไม่ควรทำตัวติดความสบายอยู่แต่บนหอคอยงาช้าง หรือนั่งอืดรอฟังรายงานแต่เพียงภายในห้องประชุม ไม่ลดตน สละเวลาลงมาสำรวจ เก็บรายละเอียดเพื่อค้นหาความจริง *

ค่ะ...ผู้ที่ยังโกหกตัวเองได้อย่างไม่รู้สึกละอาย ย่อมเก่งในการสร้างภาพตบตาหลอกลวงผู้อื่น และเพราะความแก่งแย่ง แข่งขัน ต้องพุ่งแรงรวดเร็วรุดหน้า ทำให้ผู้คนทุกวันนี้ไม่มีเวลาเพียงพอเพื่อไล่เบี้ย สืบสาวสอบสวนหาข้อเท็จจริง จึงทำให้เกิดกรณีเข้าใจผิดกันอยู่บ่อยๆ และนับวันคนประเภทลาซื่อก็ใกล้สูญพันธุ์ เพราะต้องปรับสภาพไปเป็นลิงเพื่อความอยู่รอด

เรื่องเล่าที่ส่งมานี้ เป็นกึ่งคำอุทธรณ์แฝงอุทาหรณ์สอนใจ ใครจะเลือกเป็นอะไร ระหว่างลิงกับลา และผู้เขียนขอเพิ่มหญิงชาวบ้าน ผู้มีอำนาจในการลงทัณฑ์เข้าไปด้วย ก็เลือกเอานะคะ ตามแต่สถานการณ์กรรมจะบีบคั้น

ข้อสำคัญอย่าลืมหันมามองใจ คอยจับผิดตนเองด้วยว่า มีบ้างไหม ? ขณะใด ? ที่เรากำลังสมยอมให้ความร่วมมือกับกิเลส บิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อโกหกสามัญสำนึกของตัวเองอยู่...
กำลังโหลดความคิดเห็น