xs
xsm
sm
md
lg

เบื้องหลัง “ถวายฎีกา” แผนชั่วร้ายของทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

ผู้มีสติสัมปชัญญะทั่วไป ย่อมคัดค้านการถวายฎีกา อันเป็นแผนชั่วร้ายของ คุณทักษิณ และคณะ คุณทักษิณ เป็นคนฉลาดแกมโกง เจ้าเล่ห์แสนกล ไม่เคยรู้จักคำว่าพอ ศาลตัดสินแล้วเป็นนักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดิน โดยทางราชการเรียกว่า น.ช. ทักษิณ หรือนักโทษชายทักษิณ เบื้องหน้าได้ร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยและพวกเสื้อแดงโดยมี นายวีระ มุสิกพงศ์ ผู้ต้องหาก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งเป็นศิษย์เอกคอมมิวนิสต์ใหญ่คนหนึ่งทางภาคอีสาน เป็นแกนนำ พวกเขากล้าคิด กล้ากระทำการถวายฎีกา เพียงเพื่อให้ทักษิณ ซึ่งเป็นนักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดินให้พ้นผิด

ความกล้าในทางเลว โดยไม่ได้คำนึงถึงกฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น น.ช. ทักษิณ และพวก กล้าทำอย่างนั้น เพราะพวกเขามองเห็นว่า “สถาบันฯ กองทัพ และรัฐบาลอ่อนแอลงทุกทีๆ” รัฐบาลนำโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อ่อนแอมากๆ ในทุกด้าน ทั้งขาดความสามารถ ขาดองค์ความรู้ มองไม่เห็นปัญหาที่แท้จริงของชาติคืออะไร คิดแก้ปัญหาประเทศแบบงูกินหาง เคยบอกย้ำอยู่เสมอ ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆ หากไม่คิดแก้ไขเรื่องเหตุวิกฤตชาติ อันเป็นเหตุวิกฤตร่วมของปวงชนไทย คือ ระบอบเผด็จการรัฐบาลไหนๆ ก็ไม่เข้าใจ เพราะต่างหลงเข้าใจว่าการเมืองเป็นประชาธิปไตยแล้ว ความเห็นผิดดังกล่าวก็จะนำไปสู่ความหายนะเรื่อยไป ยากที่จะหยุดยั้ง

สภาพการณ์ที่แท้จริงในทางการเมืองไทย สถาบันฯ กองทัพ และรัฐบาลอ่อนแอลงๆ เพราะตกอยู่ในสภาพการณ์ของการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ย่อมอ่อนแอเสมอไป หากขาดปัญญา ก็หาสาเหตุแห่งความหายนะไม่เจอ กระทั่ง ตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองชั้นต่ำ ของฝ่ายทักษิณ อย่างไม่น่าเชื่อและเป็นไปได้

น.ช. ทักษิณ
และพวกได้โฆษณาชวนเชื่ออยู่ตลอดเวลาว่า “รัฐประหาร 19 กันยาย 2549 เป็นการล้มรัฐบาลประชาธิปไตยของเขา” แท้จริงพวกเขาก็เป็นเผด็จการ อีกฝ่ายหนึ่ง พวกเขาหลงผิดและบิดเบือนหลอกลวงประชาชนอย่างหน้าด้านๆ ว่าเป็นประชาธิปไตย

แท้จริงในมุมมองทางการเมืองแล้ว คณะรัฐประหาร 19 กันยายน 49 เป็นการล้มรัฐบาลชั่วร้ายที่นำโดยคุณทักษิณ ที่มาจากรากฐานที่แท้จริงของระบอบเผด็จการรัฐสภา หรือเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2540 มาจากการเลือกตั้งโดยซื้อเสียงขึ้นสู่อำนาจ

เหตุที่ ทักษิณ ยังมีมนต์ขลังอยู่ได้ พูดเพียงไม่กี่คำ คนในสองจังหวัดคือ จังหวัดสกลนคร และจังหวัดศรีสะเกษ ต่างก็เชื่อทักษิณ แบบหัวปักหัวปำ ทั้งนี้ก็เพราะคณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้ล้มรัฐบาล และระบอบเผด็จการรัฐสภาลงไปแล้ว แต่แล้วคณะรัฐประหาร นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และรัฐบาลโดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และคณะทั้งหมด กลับไปสร้างรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 โดยเข้าใจว่าอย่างหลงผิดร้ายแรงสุดๆ ว่าจะทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่แท้ที่จริง พวกเขาไม่ได้สร้างระบอบประชาธิปไตยเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว แท้จริงพวกเขากลับไปรื้อฟื้นสร้างระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่

พวกเราได้แนะนำอย่างมากที่สุดต่อรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ท่านมีอำนาจ ท่านมีโอกาสแล้ว หากท่านไม่มีนโยบายสร้างระบอบฯ หรือหลักการปกครองโดยธรรม ต่อไปบ้านเมืองจะยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเดิม ด้วยเงื่อนไข และตัวแปรต่างๆ เพิ่มขึ้นมากมาย ท่านไม่เชื่อ ท่านไปทำตามที่นักวิชาการแนะนำ ซึ่งกลุ่มนักวิชาการดังกล่าวล้วนแล้วร่างรัฐธรรมนูญมาล้มเหลวอย่างซ้ำซาก (หากใครสนใจจริงๆ ลองย้อนไปอ่านบทความของผู้เขียนในช่วงรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ได้)

สภาพการณ์ที่แท้จริงทางการเมืองไทยที่ดำรงอยู่ คือ คณะรัฐประหารครั้งแรกนับแต่ (24 มิถุนายน 2475 เรื่อยมา 14 ครั้ง จนถึงครั้งล่าสุด 19 กันยายน 49) “ล้มรัฐบาลและระบอบเผด็จการรัฐสภา แล้วก็ยกร่าง สร้างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่เพื่อสร้างระบอบเผด็จการระบอบรัฐสภา” เป็นเช่นนี้อย่างซ้ำซาก โดยยังไม่มีใครสามารถทำให้หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์อันชั่วร้ายนี้ไปได้

ทั้งนี้เพราะผู้ปกครองทุกฝ่ายต่างก็ตกอยู่ในแนวคิด ลัทธิ ความเชื่ออย่างดักดาน (โดยขาดปัญญา ขาดองค์ความรู้ ขาดการฉุกคิด ทั้งๆ ที่เห็นความล้มเหลวอยู่ตรงหน้าอย่างซ้ำซาก) ที่ว่า รัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตย “สร้างรัฐธรรมนูญ คือ สร้างระบอบประชาธิปไตย” นี่คือความเห็นผิดอย่างร้ายแรงที่สุด ได้ทำลายความดีงามของชาติให้ตกต่ำลงๆ ในทุกด้าน ของคณะผู้ปกครองไทยเพียงประเทศเดียวเท่านั้นในโลก

หากว่าไทยเราเป็นประชาธิปไตยจริงๆ แล้ว นักการเมืองชั่วๆ อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่สามารถกลับมารุกทางการเมืองได้ และจะต้องถูกจับเข้าคุกไปแล้ว ทั้งนี้ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ ทุกคนต้องเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย แต่ทักษิณ คิดว่าตนเองเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ทำอะไรแล้วต้องไม่ผิด ใครก็รับไม่ได้ แต่พวกเสื้อแดง (คอมมิวนิสต์อยู่เบื้องหลัง) ต้องการอย่างนั้น เพื่อผลทางการเมือง ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนยุ่งเหยิงในทุกด้าน

การกระทำของทักษิณและพวก เป็นการกระทำที่อยู่เหนือกฎหมาย ทำผิดกฎหมาย และหนีกฎหมาย แล้วยังทำตัวอยู่เหมือกฎหมาย คุณทักษิณ ทำอะไรไม่ผิด (Can do no wrong) ดุจเดียวกับพระเจ้าแผ่นดิน เชื่อว่าประชาชนผู้มีสติสัมปชัญญะย่อมต้องออกมาแสดงพลังคัดค้าน

นักโทษหนีอาญาแผ่นดิน มีความเลว เอาเปรียบชาติมากมาย แต่กลับกลายมาเป็นฝ่ายรุกทางการเมือง ไม่น่าเป็นไปได้ในสภาพการณ์ปกติ แต่ที่มันเกิดขึ้นได้ มันเป็นปรากฏการณ์หนึ่งของระบอบเผด็จการ มันสะท้อน มันชี้ชัดว่าบ้านเมืองเราไม่ได้เป็นประชาธิปไตยจริงๆ รัฐบาลทำอะไรไม่ได้ กลายเป็นเดชไอ้ด้วน ทำอะไรไม่เป็น คิดแก้ไขอะไรไม่ได้ เก่งแต่กู้อย่างเดียว

เบื้องหลังของการถวายฎีกา แท้จริงเป็นยุทธศาสตร์โสมมของฝ่ายซ้าย ที่ต้องการรุกทางการเมืองต่อฝ่ายรัฐบาล ต่อกองทัพ และสถาบันหลักของชาติ ฝ่ายซ้ายทำแนวร่วมกับคุณทักษิณ และพรรคเพื่อไทย โดยเอาคุณทักษิณมาเป็นเหยื่อ เพราะได้ทั้งเงินในการเคลื่อนไหวมวลชน และได้ทั้งการกระชับมวลชนที่หลงผิด เพื่อขยายมวลชนให้มากขึ้น เรียกเป็นศัพท์ ทางการเมืองว่า การสร้างกำลังทางยุทธวิธี โดยพรรคคอมมิวนิสต์ (มีทั้งฝ่ายเปิด และใต้ดิน) โดยมีประโยชน์ร่วมกัน ทักษิณ มีจุดมุ่งหมายหวังได้กลับมามีอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดของชาติโดยไม่ต้องติดคุก

แต่ยุทธศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์ ต้องการโค่นระบอบเผด็จการนายทุนไปสู่ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ โดยพรรคคอมมิวนิสต์ ได้จัดตั้งพรรคไว้อย่างลับที่สุด

ในทางการเมืองถือว่า เผด็จการคอมมิวนิสต์ ย่อมเหนือกว่า และจะชนะเผด็จการนายทุน ในที่สุด แต่คอมมิวนิสต์แพ้ประชาธิปไตย (จริงๆ) นอกจากนี้ฝ่ายคอมฯ ได้ทำแนวร่วมกับรัฐบาลทุกรัฐบาล แนะนำให้รัฐบาลทำผิด (เช่น คอร์รัปชัน) ทั้งนี้ เพื่อรัฐไทยอ่อนแอลงๆ เช่น กองทัพ ขยับไม่ได้ กองทัพห้ามยุ่งการเมือง กองทัพตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง ผู้นำในกองทัพต่างก็ออกมาพูดว่าไม่ยุ่งการเมือง นี่แสดงให้เห็นว่าตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง ในทางที่ถูกต้องกองทัพต้องสนับสนุนแนวทางการเมืองโดยธรรม เพื่อความมั่นคงของชาติ

ในทางตรงกันข้ามหากเป็นกองทัพภายใต้ระบอบเผด็จการย่อมเห็นผิด คิดผิด ทำผิดตามระบอบเผด็จการ และไม่รู้เท่าทันยุทธวิธีของคอมมิวนิสต์ ทักษิณ หมอเหวง วีระ มุสิกพงศ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ ฯลฯ พวกนี้ล้วนตกเป็นแนวร่วมให้กับพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งสิ้น โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เพราะจิตใจของพวกนี้ หนึ่ง อยากใหญ่ สอง อยากได้เงินจากทักษิณ หากคอมมิวนิสต์ชนะมีอำนาจเมื่อไหร่ คนเหล่านี้ก็จะจบชีวิตลงเมื่อนั้น ในอดีต พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็เคยตกเป็นแนวร่วมฯ มาแล้ว

เผด็จการคอมมิวนิสต์กลัวที่สุด กับการสร้างหลักการปกครองโดยธรรม หรือระบอบโดยธรรม หากเกิดขึ้นสำเร็จ นั่นหมายถึง การสิ้นสุดของการเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์

เผด็จการนายทุน หรือเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ มีลัทธิรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลาง ก็กลัวที่สุด และจะต่อต้านอย่างถึงที่สุดเช่นเดียวกันกับการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม นั่นหมายถึงการสิ้นสุดของธุรกิจการเมือง และสิ้นสุดของการคอร์รัปชัน สิ้นสุดของการซื้อเสียงขึ้นอำนาจอีกต่อไป

ดังนั้น แผนการถวายฎีกาเพื่อให้ทักษิณพ้นผิด เป็นความอ่อนแอ เป็นความขี้ขลาดของทักษิณ ในทางลับที่พวกเราจะต้องรู้เท่าทัน มันเป็นแผนยกระดับมวลชน กระชับมวลชน และรุกตรงต่อองค์พระมหากษัตริย์ พวกเขารู้ว่า “การพระราชทานอภัยโทษ เกิดขึ้นไม่ได้” เพราะมีประชาชนอีกจำนวนมากที่คัดค้าน พวกเสื้อแดงก็จะพาลโกรธเกลียดชัง ชุมนุม สร้างความปั่นป่วนไปทั่วเมือง ทั้งนี้ แผนการสุดท้าย เพื่อก่อสงครามกลางเมือง และยึดอำนาจรัฐด้วยมวลชนและกองทัพแดง สถาบันพระมหากษัตริย์ก็สิ้นสุดลง เช่นเดียวกับประเทศเนปาล

ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายรุกทางการเมืองฝ่ายนั้นชนะ ฝ่ายไหนตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองฝ่ายนั้นแพ้หรือสูญสลาย

การรุกกลับทางการเมือง คือการใช้แนวการเมืองที่เหนือกว่า หยุดยั้งแผนชั่วร้ายและอุปสรรคต่างๆ ภายใต้ระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ คือ พสกนิกร พันธมิตรฯ ทั่วทั้งประเทศ แสดงพลังโดยธรรมอันยิ่งใหญ่ ชุมนุมทุกจังหวัด ขึ้นป้ายประกาศก้อง “ทรงพระเจริญ สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม” “ทรงพระเจริญ ทรงสถาปนาระบอบฯ โดยธรรม”
กำลังโหลดความคิดเห็น