พระพุทธเจ้าทรงสอนดี สอนให้เราเรียนวิชาพุทธศาสนาให้เอาคุณงามความดีมาเป็นเครื่องระลึก ตัวของเราไม่ดีก็เอาคุณของพระพุทธเจ้ามาเป็นเครื่องระลึกให้มันดีขึ้น ตัวของเรายังไม่ทันเห็นของดี ก็ให้ยกเอาคุณพระธรรมคำสอนของพระองค์มาเป็นเครื่องระลึกแล้วจะได้ดีขึ้น ยกเอาคุณพระอริยสงฆ์มาเป็นเครื่องระลึกแล้วเราจะได้ละอายท่าน
การระลึกถึงพระพุทธเจ้าเราไม่เห็นพระองค์ท่าน เห็นแต่เพียงรูปปฏิมากรรม ดังนั้นเมื่อเรากราบพระพุทธรูป เราก็ระลึกถึงพระคุณของท่าน คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาธิคุณ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่วิเศษ ทรงเป็นผู้รู้แจ้ง พูดกันง่ายๆว่าไม่ทรงงมงายเหลวไหล อย่างปุถุชนคนธรรมดาสามัญเช่นพวกเรา ทรงมีพระปัญญาเฉียบแหลมลึกซึ้ง คือ เห็นของจริงตามเป็นจริง
ตัวอย่างเช่น ทรงเห็นพระวรกายของพระองค์นี่แหละว่า แท้ที่จริงตัวตนคนเรานั้นเป็นสภาวะอันหนึ่ง ซึ่งเกิดจากธาตุทั้งสี่ คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม นี่ของจริงเป็นอย่างนี้ พระพุทธองค์ทรงเห็นจริงทีเดียว และทรงเห็นละเอียดชัดเจนลงไปว่า ไม่ใช่คน ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของ ใคร แท้จริงเป็นสภาวะก้อนธาตุที่มาผสมกันเข้าเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นพระปัญญาของพระองค์ยังชัดลงไปอีกทรงเห็นตามเป็นจริงเรื่องปรากฏการณ์ ธาตุดินก็ไม่ใช่ดิน ธาตุน้ำก็ไม่ใช่น้ำ ธาตุไฟ - ลมก็ไม่ใช่ไฟ - ลม อันนั้น เป็นสมมติบัญญัติ ความจริงมันเป็นแต่เพียงปรากฏการณ์ สิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาแล้วก็แตกสลายหายไป
ลองคิดกันดูว่า ดินมันเรียกตัวมันเองว่าดินหรือไม่ น้ำ ไฟ ลม มันเรียกน้ำ ไฟ ลม หรือไม่ เมื่อคนไปสมมติตั้งชื่อให้มัน มันก็เฉย มันไม่รู้สึกอะไร แต่มันได้สภาพของมันอันนั้น มันเป็นอยู่อย่างนั้น นี่ของจริงเป็นอย่างนี้ สภาพการณ์อันนั้นมันปรากฏขึ้นมาตามธรรมชาติ มาเป็นรูปต่างๆ นานา เช่นอย่างพวกเรามีศีรษะ มีสองแขนสองขาเดินไปมาได้ ก็เลยมีการสมมติเรียกว่าคน ที่จริงไม่ใช่ เป็นอะไรก็ไม่ทราบ แต่เราไปว่าเป็นคนอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่ามีใครมาเรียกเป็นอันอื่นไป เช่นเทียบกับสัตว์อื่นไป ก็จะโกรธใหญ่โต แต่ตัวมันเองเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร นี่คือสภาพที่ว่า สภาวะของมันเป็นจริงอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นในขณะนั้นละเอียดลึกซึ้งลงไปกว่านั้นอีก นี่พูดโดยอนุมานเฉยๆ ความรู้ของพระองค์ลึก ซึ้งลงไปขนาดไหนก็ไม่ทราบล่ะ นี่เพียงแต่พูดให้กันฟังถึง พระปัญญาคุณ เท่านั้น
พระองค์ทรงรู้ตามเป็นจริงว่าสิ่งทั้งปวงเป็นสภาวะอันหนึ่งไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ แต่เรามาถือกันงมงายจริงๆจังๆ ว่าคนก็เป็นคนเอาจริงๆจังๆ ว่าเรา ว่าเขา ก็เป็นเราเป็นเขากันจริงๆจังๆ ด้วยเหตุนี้จึงว่าพระปัญญาคุณของพระองค์ลึกซึ้งละเอียดและพระองค์ทรงรู้ด้วยพระองค์เอง ไม่มีตำรา ไม่มีครูสอน
เมื่อทรงมีพระปัญญาเฉียบแหลม ทรงรู้แจ้งตามความเป็นจริงแล้วจึงทรงละอัสมิมานะ ทรงละอุปาทานในขันธ์หรืออัตตา และทรงละในสภาวะนั้นเสียได้ พระองค์ทรงชำระสะสางจนพระทัยใสสะอาดบริสุทธิ์ จึงเกิดวิสุทธิคุณ ขึ้นมา
เมื่อพระทัยของพระองค์มีปัญญารู้แจ้งอย่างที่อธิบายมาแล้วนี้และพระทัยใสสะอาดบริสุทธิ์ ก็ทรงมองเห็นมนุษย์ชาวโลกพากันยึดถืองมงาย ว่าตนว่าตัว ของเราของเขา อะไรต่างๆนานา ก็ทรงสงสารเอ็นดู ทรงมีเมตตากรุณา อยากจะให้มนุษย์สัตว์ได้รู้เห็นตามจริง จึงได้ทรงอุตส่าห์พยายามเทศนาสั่งสอน อันนี้เป็นพระมหากรุณาธิคุณ
พระคุณของพระพุทธเจ้าสรุปลงโดยย่นย่อมีสามประการดังกล่าวมานี้ ถ้ากว้างออกไปก็มี ๙ ประการ ตามที่เราสวดมนต์ไหว้พระอยู่ทุกวันในบท อิติปิโสภควา อรหํ สมมา สมพุทฺโธ ฯลฯ เป็นต้น
การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าให้ระลึกอย่างนี้แล้วจิตใจจะอยู่ในเฉพาะตัวของเรา ไม่ได้ส่งส่ายไปที่อื่น เมื่อคุณความดีในตัวของเราไม่มี เรายกเอาคุณของพระพุทธเจ้ามาพิจารณา คุณของพระองค์เลยกลายมาปรากฏเกิดขึ้นในกายในใจของเรา เราก็เห็นชัดตามเป็นจริงดังที่อธิบายมานั้นด้วยตนเอง อันนี้ก็เรียกว่า ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าชี้ส่องทางให้เราเห็นผิดถูก เห็นดีเห็นชั่ว เห็นคุณเห็นโทษ สิ่งที่เป็นประโยชน์ มีสาระหรือไม่มีสาระ เห็นชัดแจ้งขึ้นมาในตัวของเรานั่นแหละ อย่างนี้เรียกว่าเราเห็นธรรม เข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
พอเรามีพระพุทธคุณปรากฏเกิดขึ้นมา ก็มีธรรมะเป็นเครื่องอยู่ ตัวของเราก็กลายเป็นสงฆ์ คือผู้ปฏิบัติชอบนั้นเอง มันอยู่อันเดียวกันนั่นแหละ
สุปฏิปนฺโน ปฏิบัติชอบ จะปฏิบัติไม่ชอบอย่างไร ถ้าไม่ชอบมันก็ไม่ถึงพุทโธ ไม่ชอบมันก็ไม่เห็นพุทธคุณ ไม่เห็นพุทโธ ไม่เห็นตามเป็นจริงอย่างที่ว่านี้ เมื่อปฏิบัติดีปฏิบัติถูกก็เห็นตามเป็นจริง เป็น สุปฏิปนฺโน เท่านั้นเอง
อันที่ปฏิบัติไม่ดี ไม่ถูกไม่ต้องนั้น คือมันเข้าตัว มันเข้าหากิเลสความต้องการและความปรารถนาของตนที่ยังมีอยู่จึงไม่เห็นตามเป็นจริง เป็น สุปฏิปนฺโน ผู้ปฏิบัติดี ไม่ได้ มันก็ไม่ตรง ก็ไม่เป็น อุชุปฏิปนฺโน มันก็แวะเวียนวกไปเวียนมา ไปหาลาภ หาผล หาความต้องการประโยชน์นั่นประโยชน์นี่ สารพัดทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นมา มันก็ไม่เป็นไปเพื่อพ้นจากทุกข์ ไม่เป็นนิยยานิกธรรม ญายสุปฏิปนฺโน ก็ไม่มี สามีจิปฏิปนฺโน ก็ไม่มี การปฏิบัติมันไม่น่าเลื่อมใส ไม่น่ากราบไหว้บูชา มันก็ไม่เป็นใหญ่ในธรรมนั่นน่ะซี นี่แหละคุณของพระสงฆ์
จงพากันเอาคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาพิจารณาให้มันเกิดมีขึ้นในตัวของเรา เราเป็นสาวก ต้องฟังธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันไม่เกิดเองเป็นเองอย่างพระองค์ เราฟังตามพระองค์ทรงสอน เกิดความรู้ ความเข้าใจ แล้วปฏิบัติตาม มันจึงค่อยเกิดขึ้นมาภายในใจของตน จึงเรียกว่าสาวโก ผู้ฟัง ต้องฟังเสียก่อนไม่ใช่เกิดเองเป็นเอง
เมื่อเข้าใจตามนัยที่อธิบายมานี้แล้ว คราวนี้มาลองคิดดู ที่ว่าชีวิตของเราเกิดขึ้นมาเปรียบเหมือนมาทำการค้านั้น เวลานี้เราทำการค้าถูกทางแล้วหรือยัง ได้กำไรหรือขาดทุน ลองตรวจดูตัวของเราจึงจะรู้ได้ว่า ค้าขายได้ผลประโยชน์หรือขาดทุน แล้วจึงจะได้ดำเนินภารกิจนั้นต่อไปให้ถูกต้อง
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 10 มี.ค. 52 โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย)
การระลึกถึงพระพุทธเจ้าเราไม่เห็นพระองค์ท่าน เห็นแต่เพียงรูปปฏิมากรรม ดังนั้นเมื่อเรากราบพระพุทธรูป เราก็ระลึกถึงพระคุณของท่าน คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาธิคุณ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่วิเศษ ทรงเป็นผู้รู้แจ้ง พูดกันง่ายๆว่าไม่ทรงงมงายเหลวไหล อย่างปุถุชนคนธรรมดาสามัญเช่นพวกเรา ทรงมีพระปัญญาเฉียบแหลมลึกซึ้ง คือ เห็นของจริงตามเป็นจริง
ตัวอย่างเช่น ทรงเห็นพระวรกายของพระองค์นี่แหละว่า แท้ที่จริงตัวตนคนเรานั้นเป็นสภาวะอันหนึ่ง ซึ่งเกิดจากธาตุทั้งสี่ คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม นี่ของจริงเป็นอย่างนี้ พระพุทธองค์ทรงเห็นจริงทีเดียว และทรงเห็นละเอียดชัดเจนลงไปว่า ไม่ใช่คน ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของ ใคร แท้จริงเป็นสภาวะก้อนธาตุที่มาผสมกันเข้าเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นพระปัญญาของพระองค์ยังชัดลงไปอีกทรงเห็นตามเป็นจริงเรื่องปรากฏการณ์ ธาตุดินก็ไม่ใช่ดิน ธาตุน้ำก็ไม่ใช่น้ำ ธาตุไฟ - ลมก็ไม่ใช่ไฟ - ลม อันนั้น เป็นสมมติบัญญัติ ความจริงมันเป็นแต่เพียงปรากฏการณ์ สิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาแล้วก็แตกสลายหายไป
ลองคิดกันดูว่า ดินมันเรียกตัวมันเองว่าดินหรือไม่ น้ำ ไฟ ลม มันเรียกน้ำ ไฟ ลม หรือไม่ เมื่อคนไปสมมติตั้งชื่อให้มัน มันก็เฉย มันไม่รู้สึกอะไร แต่มันได้สภาพของมันอันนั้น มันเป็นอยู่อย่างนั้น นี่ของจริงเป็นอย่างนี้ สภาพการณ์อันนั้นมันปรากฏขึ้นมาตามธรรมชาติ มาเป็นรูปต่างๆ นานา เช่นอย่างพวกเรามีศีรษะ มีสองแขนสองขาเดินไปมาได้ ก็เลยมีการสมมติเรียกว่าคน ที่จริงไม่ใช่ เป็นอะไรก็ไม่ทราบ แต่เราไปว่าเป็นคนอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่ามีใครมาเรียกเป็นอันอื่นไป เช่นเทียบกับสัตว์อื่นไป ก็จะโกรธใหญ่โต แต่ตัวมันเองเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร นี่คือสภาพที่ว่า สภาวะของมันเป็นจริงอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นในขณะนั้นละเอียดลึกซึ้งลงไปกว่านั้นอีก นี่พูดโดยอนุมานเฉยๆ ความรู้ของพระองค์ลึก ซึ้งลงไปขนาดไหนก็ไม่ทราบล่ะ นี่เพียงแต่พูดให้กันฟังถึง พระปัญญาคุณ เท่านั้น
พระองค์ทรงรู้ตามเป็นจริงว่าสิ่งทั้งปวงเป็นสภาวะอันหนึ่งไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ แต่เรามาถือกันงมงายจริงๆจังๆ ว่าคนก็เป็นคนเอาจริงๆจังๆ ว่าเรา ว่าเขา ก็เป็นเราเป็นเขากันจริงๆจังๆ ด้วยเหตุนี้จึงว่าพระปัญญาคุณของพระองค์ลึกซึ้งละเอียดและพระองค์ทรงรู้ด้วยพระองค์เอง ไม่มีตำรา ไม่มีครูสอน
เมื่อทรงมีพระปัญญาเฉียบแหลม ทรงรู้แจ้งตามความเป็นจริงแล้วจึงทรงละอัสมิมานะ ทรงละอุปาทานในขันธ์หรืออัตตา และทรงละในสภาวะนั้นเสียได้ พระองค์ทรงชำระสะสางจนพระทัยใสสะอาดบริสุทธิ์ จึงเกิดวิสุทธิคุณ ขึ้นมา
เมื่อพระทัยของพระองค์มีปัญญารู้แจ้งอย่างที่อธิบายมาแล้วนี้และพระทัยใสสะอาดบริสุทธิ์ ก็ทรงมองเห็นมนุษย์ชาวโลกพากันยึดถืองมงาย ว่าตนว่าตัว ของเราของเขา อะไรต่างๆนานา ก็ทรงสงสารเอ็นดู ทรงมีเมตตากรุณา อยากจะให้มนุษย์สัตว์ได้รู้เห็นตามจริง จึงได้ทรงอุตส่าห์พยายามเทศนาสั่งสอน อันนี้เป็นพระมหากรุณาธิคุณ
พระคุณของพระพุทธเจ้าสรุปลงโดยย่นย่อมีสามประการดังกล่าวมานี้ ถ้ากว้างออกไปก็มี ๙ ประการ ตามที่เราสวดมนต์ไหว้พระอยู่ทุกวันในบท อิติปิโสภควา อรหํ สมมา สมพุทฺโธ ฯลฯ เป็นต้น
การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าให้ระลึกอย่างนี้แล้วจิตใจจะอยู่ในเฉพาะตัวของเรา ไม่ได้ส่งส่ายไปที่อื่น เมื่อคุณความดีในตัวของเราไม่มี เรายกเอาคุณของพระพุทธเจ้ามาพิจารณา คุณของพระองค์เลยกลายมาปรากฏเกิดขึ้นในกายในใจของเรา เราก็เห็นชัดตามเป็นจริงดังที่อธิบายมานั้นด้วยตนเอง อันนี้ก็เรียกว่า ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าชี้ส่องทางให้เราเห็นผิดถูก เห็นดีเห็นชั่ว เห็นคุณเห็นโทษ สิ่งที่เป็นประโยชน์ มีสาระหรือไม่มีสาระ เห็นชัดแจ้งขึ้นมาในตัวของเรานั่นแหละ อย่างนี้เรียกว่าเราเห็นธรรม เข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
พอเรามีพระพุทธคุณปรากฏเกิดขึ้นมา ก็มีธรรมะเป็นเครื่องอยู่ ตัวของเราก็กลายเป็นสงฆ์ คือผู้ปฏิบัติชอบนั้นเอง มันอยู่อันเดียวกันนั่นแหละ
สุปฏิปนฺโน ปฏิบัติชอบ จะปฏิบัติไม่ชอบอย่างไร ถ้าไม่ชอบมันก็ไม่ถึงพุทโธ ไม่ชอบมันก็ไม่เห็นพุทธคุณ ไม่เห็นพุทโธ ไม่เห็นตามเป็นจริงอย่างที่ว่านี้ เมื่อปฏิบัติดีปฏิบัติถูกก็เห็นตามเป็นจริง เป็น สุปฏิปนฺโน เท่านั้นเอง
อันที่ปฏิบัติไม่ดี ไม่ถูกไม่ต้องนั้น คือมันเข้าตัว มันเข้าหากิเลสความต้องการและความปรารถนาของตนที่ยังมีอยู่จึงไม่เห็นตามเป็นจริง เป็น สุปฏิปนฺโน ผู้ปฏิบัติดี ไม่ได้ มันก็ไม่ตรง ก็ไม่เป็น อุชุปฏิปนฺโน มันก็แวะเวียนวกไปเวียนมา ไปหาลาภ หาผล หาความต้องการประโยชน์นั่นประโยชน์นี่ สารพัดทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นมา มันก็ไม่เป็นไปเพื่อพ้นจากทุกข์ ไม่เป็นนิยยานิกธรรม ญายสุปฏิปนฺโน ก็ไม่มี สามีจิปฏิปนฺโน ก็ไม่มี การปฏิบัติมันไม่น่าเลื่อมใส ไม่น่ากราบไหว้บูชา มันก็ไม่เป็นใหญ่ในธรรมนั่นน่ะซี นี่แหละคุณของพระสงฆ์
จงพากันเอาคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาพิจารณาให้มันเกิดมีขึ้นในตัวของเรา เราเป็นสาวก ต้องฟังธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันไม่เกิดเองเป็นเองอย่างพระองค์ เราฟังตามพระองค์ทรงสอน เกิดความรู้ ความเข้าใจ แล้วปฏิบัติตาม มันจึงค่อยเกิดขึ้นมาภายในใจของตน จึงเรียกว่าสาวโก ผู้ฟัง ต้องฟังเสียก่อนไม่ใช่เกิดเองเป็นเอง
เมื่อเข้าใจตามนัยที่อธิบายมานี้แล้ว คราวนี้มาลองคิดดู ที่ว่าชีวิตของเราเกิดขึ้นมาเปรียบเหมือนมาทำการค้านั้น เวลานี้เราทำการค้าถูกทางแล้วหรือยัง ได้กำไรหรือขาดทุน ลองตรวจดูตัวของเราจึงจะรู้ได้ว่า ค้าขายได้ผลประโยชน์หรือขาดทุน แล้วจึงจะได้ดำเนินภารกิจนั้นต่อไปให้ถูกต้อง
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 10 มี.ค. 52 โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย)