บลจ. เอสซีบี ควอนท์ เดินหน้าธุรกิจ หลังเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้น เผยปีหน้า เน้นลงทุนในประเทศเป็นหลัก สร้างผลตอบแทนให้ลูกค้า หลังทั่วโลกเจอปัญหาเศรษฐกิจถดถอย
นายอรุณศักดิ์ จรูญวงศ์สีนิลมล ผู้อำนวยการสายงานจัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) เอสซีบี ควอนท์ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนของบริษัทหลังจากเปลี่ยนผู้ถือหุ้นหลักอย่างธนาคารไทยพานิชย์ จำกัด (มหาชน) นั่น บริษัทยังคงนโยบายและวิธีการทำงานคงเดิมทุกอย่าง อีกทั้งลูกค้าที่เข้ามาร่วมลงทุนก็คงเป็นกลุ่มเดิม แต่ที่เปลี่ยนแปลงไปคือเจ้าของที่เข้ามาถือหุ้นของบริษัทเพียงเท่านั้น
โดยในส่วนของการลงทุน บริษัทมองว่าสำหรับภาวะการณ์ลงทุนของบริษัทในต้นปี 2552 จะเน้นการลงทุนในหุ้นภายในประเทศเป็นหลัก โดยการลงทุนในประเทศจะให้ยิลด์สูงกว่าการการลงทุนในต่างประเทศ เพราะทั่วโลกกำลังประสบกับปัญหาเศรษฐกิจถดถอยทำให้การลงทุนมีความยากลำบากยิ่งขึ้น ซึ่งจากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/ 2551 ให้แย่ลงกว่าไตรมาสที่ 3/2551 ทั้งนี้ยังส่งผลไปถึงเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2552 อีกด้วย
ขณะเดียวกัน จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้หลายประเทศมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเกิดขึ้น โดยที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ออกมาประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจภายในให้มีสภาพคล่อง
ทั้งนี้ บริษัทมองว่า สำหรับไตรมาสแรกของ ปี2552 นั้น แนวโน้มการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์นั้น จะมีความผันผวนเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเริ่มไตรมาส 2 /2552 แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนจะปรับตัวดีขึ้น จึงทำให้การลงทุนสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีตามภาวะเศรษฐกิจด้วย
นายอรุณศักดิ์ กล่าวอีกว่า การลงทุนภายในประเทศเมื่อเปรียบเทียบในเรื่องของผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับ พบว่าการลงทุนในประเทศสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและมีความมั่นคงให้กับนักลงทุนมากกว่าการลงทุนในต่างประเทศ แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการที่จะไปลงทุนยังต่างประเทศนั้น บริษัทคาดว่าการลงทุนเลือกในทุนในกลุ่มทวีปเอเซียยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าลงทุนในแถปทวีปอื่น เนื่องจากการลงทุนในเอเซีย ตลาดสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าการลงทุนในสหรัฐอเมริกา หรือยุโรป เพราะตลาดเอเชียไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจโดยตรงเหมือนสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนในปี 2552 นั้น บริษัทได้เริ่มมีการลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาที่ตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับตัวลดลงมา บริษัทได้เข้าไปทยอยซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มแบงก์ พลังงาน และสถาบันการเงิน ภายในประเทศ เนื่องจากบริษัทมองว่าการลงทุนในธนาคาร นั้นมีความมั่นคงสูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ความเสี่ยงที่ได้รับก็มีไม่มากนัก
“จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยลง 1% นั้น ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝากลง ทำให้ผลตอบแทนในตราสารหนี้หรือพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลงด้วย แต่เรามองว่าการปรับลดลอกเบี้ยครั้งนี้ เป็นการปรับลดทั้งสองขาไม่ได้ปรับลดดอกเบี้ยอย่างใดอย่างหนึ่ง และถึงแม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบทำให้ผลตอบแทนกองทุนปรับตัวลดลงมากนัก”นายอรุณศักดิ์กล่าว
สำหรับการออกกองทุนส่วนบุคคลของบริษัท ขณะนี้จะยังไม่มีการออกกองทุนเพิ่ม เนื่องจากบริษัทมองว่าที่ผ่านมาบริษัทมีผลิตภัณฑ์และโปรดักส์ที่สามารถครอบคลุมความต้องการของนักลงทุน โดยหลังจากนี้บริษัทจะยังคงขายผลิตภัณฑ์และโปรดักส์ที่มีอยู่ เนื่องจากโปรดักส์ที่ออกมานั้นสามารถที่จะขายได้ตลอดเวลาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องออกกองใหม่
นายอรุณศักดิ์ จรูญวงศ์สีนิลมล ผู้อำนวยการสายงานจัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) เอสซีบี ควอนท์ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนของบริษัทหลังจากเปลี่ยนผู้ถือหุ้นหลักอย่างธนาคารไทยพานิชย์ จำกัด (มหาชน) นั่น บริษัทยังคงนโยบายและวิธีการทำงานคงเดิมทุกอย่าง อีกทั้งลูกค้าที่เข้ามาร่วมลงทุนก็คงเป็นกลุ่มเดิม แต่ที่เปลี่ยนแปลงไปคือเจ้าของที่เข้ามาถือหุ้นของบริษัทเพียงเท่านั้น
โดยในส่วนของการลงทุน บริษัทมองว่าสำหรับภาวะการณ์ลงทุนของบริษัทในต้นปี 2552 จะเน้นการลงทุนในหุ้นภายในประเทศเป็นหลัก โดยการลงทุนในประเทศจะให้ยิลด์สูงกว่าการการลงทุนในต่างประเทศ เพราะทั่วโลกกำลังประสบกับปัญหาเศรษฐกิจถดถอยทำให้การลงทุนมีความยากลำบากยิ่งขึ้น ซึ่งจากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/ 2551 ให้แย่ลงกว่าไตรมาสที่ 3/2551 ทั้งนี้ยังส่งผลไปถึงเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2552 อีกด้วย
ขณะเดียวกัน จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้หลายประเทศมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเกิดขึ้น โดยที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ออกมาประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจภายในให้มีสภาพคล่อง
ทั้งนี้ บริษัทมองว่า สำหรับไตรมาสแรกของ ปี2552 นั้น แนวโน้มการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์นั้น จะมีความผันผวนเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเริ่มไตรมาส 2 /2552 แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนจะปรับตัวดีขึ้น จึงทำให้การลงทุนสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีตามภาวะเศรษฐกิจด้วย
นายอรุณศักดิ์ กล่าวอีกว่า การลงทุนภายในประเทศเมื่อเปรียบเทียบในเรื่องของผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับ พบว่าการลงทุนในประเทศสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและมีความมั่นคงให้กับนักลงทุนมากกว่าการลงทุนในต่างประเทศ แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการที่จะไปลงทุนยังต่างประเทศนั้น บริษัทคาดว่าการลงทุนเลือกในทุนในกลุ่มทวีปเอเซียยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าลงทุนในแถปทวีปอื่น เนื่องจากการลงทุนในเอเซีย ตลาดสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าการลงทุนในสหรัฐอเมริกา หรือยุโรป เพราะตลาดเอเชียไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจโดยตรงเหมือนสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนในปี 2552 นั้น บริษัทได้เริ่มมีการลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาที่ตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับตัวลดลงมา บริษัทได้เข้าไปทยอยซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มแบงก์ พลังงาน และสถาบันการเงิน ภายในประเทศ เนื่องจากบริษัทมองว่าการลงทุนในธนาคาร นั้นมีความมั่นคงสูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ความเสี่ยงที่ได้รับก็มีไม่มากนัก
“จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยลง 1% นั้น ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝากลง ทำให้ผลตอบแทนในตราสารหนี้หรือพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลงด้วย แต่เรามองว่าการปรับลดลอกเบี้ยครั้งนี้ เป็นการปรับลดทั้งสองขาไม่ได้ปรับลดดอกเบี้ยอย่างใดอย่างหนึ่ง และถึงแม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบทำให้ผลตอบแทนกองทุนปรับตัวลดลงมากนัก”นายอรุณศักดิ์กล่าว
สำหรับการออกกองทุนส่วนบุคคลของบริษัท ขณะนี้จะยังไม่มีการออกกองทุนเพิ่ม เนื่องจากบริษัทมองว่าที่ผ่านมาบริษัทมีผลิตภัณฑ์และโปรดักส์ที่สามารถครอบคลุมความต้องการของนักลงทุน โดยหลังจากนี้บริษัทจะยังคงขายผลิตภัณฑ์และโปรดักส์ที่มีอยู่ เนื่องจากโปรดักส์ที่ออกมานั้นสามารถที่จะขายได้ตลอดเวลาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องออกกองใหม่