วันนี้จะเทศน์เรื่องการค้ากำไรในทางพุทธศาสนาให้ฟัง เราแต่ละคนที่เกิดมานี้ก็เหมือนกันกับว่าเราเกิดมาค้าหาผลประโยชน์กำไรในชีวิตของตน การที่เราพากันมาอบรมธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับมาเรียนวิชาพาณิชย์การบัญชี ฉะนั้น เมื่อเกิดมาแล้วถ้าหากว่าไม่คิดนึกหรือไม่รู้สึกว่าตัวเราเกิดขึ้นมาค้าหาประโยชน์หากำไร มันก็จะไม่ผิดแผกอะไรกับสัตว์ทั่วๆไป ที่สักแต่ว่าเกิดมาเป็นตัวเป็นตน แล้วก็ทำมาหาเลี้ยงชีพ เพื่อยังชีวิตและอายุให้เป็นไปในวันหนึ่งๆ แล้วก็แล้วไป แต่มนุษย์เราได้รับสมัญญาว่าเป็นผู้มีใจสูง คือ สามารถที่จะพัฒนาจิตของตนให้เจริญก้าวหน้าไปได้ จึงไม่ควรคิดอย่างสัตว์ทั่วไป ควรพากันคิดเห็นว่า เราเกิดมาค้าหาผลประโยชน์ให้แก่ชีวิตของตนในวันหนึ่งๆ ให้มันคุ้มค่า
คนเราเกิดมาแล้วจะอยู่เฉยๆนั้นไม่ได้ เมื่อมีกายมีใจประสมกันเข้าแล้วจะต้องมีกิริยา กิริยาอาการของกายกับใจที่ปรากฏเห็นได้ชัดๆ นั้นมีอยู่สองอย่าง คือ ทำดีอย่าง ๑ ทำเลวอย่าง ๑ การทำดีนั้นเรียกว่าบุญ ทำเลวเรียกว่า บาป
ถ้าจะเปรียบการกระทำทั้ง ๒ อย่างนี้กับเรื่องการค้า บุญก็เทียบได้กับกำไร บาปคือ ขาดทุน
คราวนี้เราก็มาสังเกตดูตัวของเราว่าแต่ละวันๆนั้น ตัวของเราขาดทุนหรือได้กำไร เริ่มต้นตั้งแต่ตื่นนอนเช้า พอตื่นขึ้นมาแล้วเราคิดถึงอะไรบ้าง คิดถึงความดีหรือคิดถึงความชั่ว คิดเป็นบุญหรือเป็นบาป อย่างเช่นผู้ที่อยู่วัดจะเป็นผู้บวชเข้ามาในพระศาสนา เป็นพระภิกษุ เป็นเณร เป็นปะขาว เป็นแม่ชี เป็นอะไรก็ ตาม จะต้องระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าอันนี้แหละเป็นที่พึ่งเป็นสรณะของตนเป็นที่พึ่งทุกลมหายใจเข้าออก คือระลึกอยู่ตลอดเวลา
คำว่า ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในที่นี้นั้น มิได้หมายความว่าจะไปอาลัยอาวรณ์ถึงพระพุทธองค์ที่ปรินิพพานไปแล้ว หรือคิดถึงพระธรรมคำสั่งสอนมรรคผลนิพพานที่ยังไม่มีในตัวของ เรา แล้วก็เดือดร้อนวุ่นวาย หรือระลึกถึงพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายที่นิพพานไปแล้ว มีความอาลัยอาวรณ์คิดถึงท่านจนกระทั่งวุ่นวาย ไม่ใช่เช่นนั้น
สำหรับนักปฏิบัติแล้วพุทโธ คือ ผู้รู้ รู้อะไร คือ รู้ตัวของเราว่า เราระลึกถึงอะไร ระลึกถึงความดีหรือ ว่าระลึกถึงความชั่ว ถ้าหากว่าพอเราตื่นขึ้นมาก็ระลึกถึงความดีหรือความชั่ว นั่นแหละจะตื่นตัวเลยทีเดียว ถ้าหากไม่ตื่นก็นอนจมอยู่ ไม่ระลึกถึงความดีความชั่ว พูดง่าย ๆ ว่าไม่คิดถึงตัวของเราเลย
ผู้ที่ระลึกถึงตนว่าเวลานี้ กาย วาจา ใจ ของเราบริสุทธิ์หรือไม่ ใจของเราคิดดีหรือคิดชั่ว ผู้นั้นจะเห็นว่าเขาขาดทุนหรือได้กำไรตรงนั้น เห็นชัดด้วยตนเอง
ธรรมดาของคนที่ค้าขายจะต้องพยายามหากำไรให้ได้ เมื่อเราระลึกถึงความดีหรือความชั่วแล้ว ถ้าเห็นจิตมันส่งส่ายไปในทางชั่ว ก็รู้สึกว่าขาดทุนรีบแก้ ไข นั่นแหละพุทโธปรากฏขึ้นตรงนั้น ตรงที่เรารู้จัก ว่าเราทำชั่วคิดชั่ว ในทางตรงกันข้ามถ้าหากว่าเราทำดี คิดดี คิดถึงการทำบุญทำทาน จิตใจของเราผ่องใสเบิกบาน คิดถึงศีลของเราว่าบริสุทธิ์หมดจด คิด ถึงใจของเราว่าไม่วุ่นวายส่งส่าย ใจของเราสงบ นั่นแหละเราได้กำไร ตื่นขึ้นมาเราได้กำไรแล้ว
ถ้าเราเข้าใจว่าเราได้กำไรอย่างนี้ๆ เห็นกำไรอย่างนี้ ตลอดเวลา เมื่อประกอบภารกิจการงานใดๆ ก็จะอิ่มอกอิ่มใจ ปลื้มปีติ จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน วันนั้นจะมีกำไรตลอดวัน นี่เป็นกำไรเฉพาะในวันนั้น คราวนี้วันต่อๆ ไปเราทำได้อย่างนั้นอีก เราจะรวยไหม ลองคิดดู ๓ วัน ๗ วัน ๑๕ วัน เป็นเดือนเป็นปีขึ้นไปเราจะรวยเท่าไร แน่นอนที่สุดเรามีกำไรมากมายสมกับที่เราเกิดมาค้าหากำไรแท้ๆทีเดียว
คราวนี้ถ้ามันตรงกันข้าม พอตื่นขึ้นมาก็คิดถึงอารมณ์วุ่นวี่วุ่นวายกลุ้มอกกลุ้มใจเดือดร้อน มองดูจิตใจของเราวุ่นวายอยู่ กาย วาจา ใจ ของเราก็มีแต่สิ่งปฏิกูลโสโครก เต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง แม้แต่ศีลห้าก็ไม่มี เป็นทุกข์กลุ้มใจ เมื่อไปประกอบภารกิจในวันนั้น ไปทำอะไรก็หงุดหงิดฉุนเฉียว เป็นเรื่องไม่ดีไม่งามทั้งนั้น กิริยาอาการทุกชิ้นทุกส่วนที่ทำไปเป็นของน่าเกลียดทั้งหมด บางคนถึงขนาดว่าอาหารก็รับประทานไม่ได้ คบค้าสมาคมกับใครเข้าหน้าใครก็ไม่ติด ทั้งๆที่คนอื่นไม่รู้เรื่องกับเรา ไม่ทราบ ว่าเรื่องอะไร เราคนเดียวหงุดหงิดฉุนเฉียวกับตัวเราเอง เป็นทุกข์เดือดร้อน เรียกว่าขาดทุน ขาดทุนตั้งแต่ ตื่นนอน ตกลงวันนี้ขาดทุนตลอดวัน
ลองคิดดูซิ ถ้าหากสะสมอย่างนั้นไว้อีกในวันต่อๆ ไปเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน เป็นปี มันก็ตกนรกทั้งเป็น ขาดทุนตลอดกาล เหมือนกับทำการค้าไม่เจริญงอกงาม ทำอะไรก็มีแต่ขาดทุนทั้งหมด แล้วจะเอาอะไรมากิน จะอยู่อย่างไรได้ นี่แหละจึงให้พากันมาฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่าวิชาพาณิชย์บัญชี
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 99 ก.พ. 52 โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย)
คนเราเกิดมาแล้วจะอยู่เฉยๆนั้นไม่ได้ เมื่อมีกายมีใจประสมกันเข้าแล้วจะต้องมีกิริยา กิริยาอาการของกายกับใจที่ปรากฏเห็นได้ชัดๆ นั้นมีอยู่สองอย่าง คือ ทำดีอย่าง ๑ ทำเลวอย่าง ๑ การทำดีนั้นเรียกว่าบุญ ทำเลวเรียกว่า บาป
ถ้าจะเปรียบการกระทำทั้ง ๒ อย่างนี้กับเรื่องการค้า บุญก็เทียบได้กับกำไร บาปคือ ขาดทุน
คราวนี้เราก็มาสังเกตดูตัวของเราว่าแต่ละวันๆนั้น ตัวของเราขาดทุนหรือได้กำไร เริ่มต้นตั้งแต่ตื่นนอนเช้า พอตื่นขึ้นมาแล้วเราคิดถึงอะไรบ้าง คิดถึงความดีหรือคิดถึงความชั่ว คิดเป็นบุญหรือเป็นบาป อย่างเช่นผู้ที่อยู่วัดจะเป็นผู้บวชเข้ามาในพระศาสนา เป็นพระภิกษุ เป็นเณร เป็นปะขาว เป็นแม่ชี เป็นอะไรก็ ตาม จะต้องระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าอันนี้แหละเป็นที่พึ่งเป็นสรณะของตนเป็นที่พึ่งทุกลมหายใจเข้าออก คือระลึกอยู่ตลอดเวลา
คำว่า ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในที่นี้นั้น มิได้หมายความว่าจะไปอาลัยอาวรณ์ถึงพระพุทธองค์ที่ปรินิพพานไปแล้ว หรือคิดถึงพระธรรมคำสั่งสอนมรรคผลนิพพานที่ยังไม่มีในตัวของ เรา แล้วก็เดือดร้อนวุ่นวาย หรือระลึกถึงพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายที่นิพพานไปแล้ว มีความอาลัยอาวรณ์คิดถึงท่านจนกระทั่งวุ่นวาย ไม่ใช่เช่นนั้น
สำหรับนักปฏิบัติแล้วพุทโธ คือ ผู้รู้ รู้อะไร คือ รู้ตัวของเราว่า เราระลึกถึงอะไร ระลึกถึงความดีหรือ ว่าระลึกถึงความชั่ว ถ้าหากว่าพอเราตื่นขึ้นมาก็ระลึกถึงความดีหรือความชั่ว นั่นแหละจะตื่นตัวเลยทีเดียว ถ้าหากไม่ตื่นก็นอนจมอยู่ ไม่ระลึกถึงความดีความชั่ว พูดง่าย ๆ ว่าไม่คิดถึงตัวของเราเลย
ผู้ที่ระลึกถึงตนว่าเวลานี้ กาย วาจา ใจ ของเราบริสุทธิ์หรือไม่ ใจของเราคิดดีหรือคิดชั่ว ผู้นั้นจะเห็นว่าเขาขาดทุนหรือได้กำไรตรงนั้น เห็นชัดด้วยตนเอง
ธรรมดาของคนที่ค้าขายจะต้องพยายามหากำไรให้ได้ เมื่อเราระลึกถึงความดีหรือความชั่วแล้ว ถ้าเห็นจิตมันส่งส่ายไปในทางชั่ว ก็รู้สึกว่าขาดทุนรีบแก้ ไข นั่นแหละพุทโธปรากฏขึ้นตรงนั้น ตรงที่เรารู้จัก ว่าเราทำชั่วคิดชั่ว ในทางตรงกันข้ามถ้าหากว่าเราทำดี คิดดี คิดถึงการทำบุญทำทาน จิตใจของเราผ่องใสเบิกบาน คิดถึงศีลของเราว่าบริสุทธิ์หมดจด คิด ถึงใจของเราว่าไม่วุ่นวายส่งส่าย ใจของเราสงบ นั่นแหละเราได้กำไร ตื่นขึ้นมาเราได้กำไรแล้ว
ถ้าเราเข้าใจว่าเราได้กำไรอย่างนี้ๆ เห็นกำไรอย่างนี้ ตลอดเวลา เมื่อประกอบภารกิจการงานใดๆ ก็จะอิ่มอกอิ่มใจ ปลื้มปีติ จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน วันนั้นจะมีกำไรตลอดวัน นี่เป็นกำไรเฉพาะในวันนั้น คราวนี้วันต่อๆ ไปเราทำได้อย่างนั้นอีก เราจะรวยไหม ลองคิดดู ๓ วัน ๗ วัน ๑๕ วัน เป็นเดือนเป็นปีขึ้นไปเราจะรวยเท่าไร แน่นอนที่สุดเรามีกำไรมากมายสมกับที่เราเกิดมาค้าหากำไรแท้ๆทีเดียว
คราวนี้ถ้ามันตรงกันข้าม พอตื่นขึ้นมาก็คิดถึงอารมณ์วุ่นวี่วุ่นวายกลุ้มอกกลุ้มใจเดือดร้อน มองดูจิตใจของเราวุ่นวายอยู่ กาย วาจา ใจ ของเราก็มีแต่สิ่งปฏิกูลโสโครก เต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง แม้แต่ศีลห้าก็ไม่มี เป็นทุกข์กลุ้มใจ เมื่อไปประกอบภารกิจในวันนั้น ไปทำอะไรก็หงุดหงิดฉุนเฉียว เป็นเรื่องไม่ดีไม่งามทั้งนั้น กิริยาอาการทุกชิ้นทุกส่วนที่ทำไปเป็นของน่าเกลียดทั้งหมด บางคนถึงขนาดว่าอาหารก็รับประทานไม่ได้ คบค้าสมาคมกับใครเข้าหน้าใครก็ไม่ติด ทั้งๆที่คนอื่นไม่รู้เรื่องกับเรา ไม่ทราบ ว่าเรื่องอะไร เราคนเดียวหงุดหงิดฉุนเฉียวกับตัวเราเอง เป็นทุกข์เดือดร้อน เรียกว่าขาดทุน ขาดทุนตั้งแต่ ตื่นนอน ตกลงวันนี้ขาดทุนตลอดวัน
ลองคิดดูซิ ถ้าหากสะสมอย่างนั้นไว้อีกในวันต่อๆ ไปเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน เป็นปี มันก็ตกนรกทั้งเป็น ขาดทุนตลอดกาล เหมือนกับทำการค้าไม่เจริญงอกงาม ทำอะไรก็มีแต่ขาดทุนทั้งหมด แล้วจะเอาอะไรมากิน จะอยู่อย่างไรได้ นี่แหละจึงให้พากันมาฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่าวิชาพาณิชย์บัญชี
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 99 ก.พ. 52 โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย)