xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมปฏิบัติ : ความโง่ของคนโง่ (ต่อ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ใจนี้มันจะดีอย่างไร ลองคิดดูซิ ถ้าเมื่อคุมจิตได้ เข้าถึงใจได้ก็ไม่มีอะไร มีความรู้สึกเฉยๆเฉพาะตัว ความวุ่นวายเดือดร้อนต่างๆ มันก็หายไปหมด มีแต่ความสุขอันเกิดจากความสงบนั้น เอาความสุขแค่นั้นเสียก่อน สุขอันนั้นถ้าอยู่ได้นานเท่าไรยิ่งดี แต่คนเราไม่ชอบ ชอบให้จิตมันบังคับให้เราเดือดร้อนวุ่นวาย เดี๋ยวก็ร้องไห้ร้องห่ม เดี๋ยวก็หัวเราะเฮฮาเพลิดเพลิน เดี๋ยวก็เอะอะโวยวาย สารพัดทุกอย่าง เราร้องไห้ก็เพราะมันบังคับให้เราร้องทั้งที่เราไม่อยากร้อง การร้องไห้น่าเกลียดจะตาย น่าอับอายขายขี้หน้าคนอื่น แต่มันก็บังคับเอาจนร้องไห้ให้ได้ การหัวเราะก็เหมือนกัน หัวเราะเพลิดเพลินสนุกสนานดี มันชอบใจ มันน่าจะหัวเราะเพลินเพลิดอยู่เสมอตลอดไป แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น จิตมันทำให้ร้องไห้ก็ได้ หัวเราะก็ได้ นั่นเพราะเราบังคับมันไม่ได้ ถ้าเราบังคับมันได้แล้วมันก็หยุด เอาสติเข้าไปตั้งเมื่อไรหยุดเมื่อนั้น สตินี้ดีมาก เป็นเครื่องควบคุมจิตได้ทุกอย่าง
ได้พูดถึงเรื่องความโง่แล้ว เรามาเรียนความโง่กันเถิด เรียนอย่างวิธีที่อธิบายมานี่แหละ มันจึงจะค่อยหายโง่ ความโง่ไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ยิ่งเรียนก็ยิ่งเห็นความโง่ของตน มันลึกจมอยู่ในก้นบึ้งโน่น ท่านเรียกว่า อนุสัย ตราบใดที่ยังไม่ถึง มรรคผล นิพพาน ตราบนั้นยังมีความโง่อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจงพากันเรียนความโง่กันเสียวันนี้

หลวงปู่อบรมนั่งกัมมัฏฐานหาความโง่
เคยได้ยินบางคนพูดเป็นเชิงเหยียดหยามดูถูกกัมมัฏฐานว่า “นั่งหลับตาภาวนาโง่อย่างกัมมัฏฐาน” พวกเราจงพากันทำ กัมมัฏฐานให้โง่อย่างเขาว่าดูซิ มันจะโง่จริงหรือไม่
ขั้นที่หนึ่ง นั่งหลับตาแล้วพิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เอา ๕ อย่างนี้เสียก่อน ให้เห็นเป็นอสุภะของไม่งาม เมื่อจะพิจารณาให้เลือกเอาอันเดียว ไม่ต้องเอามากอย่าง เช่น เลือกผมก็พิจารณาแต่ผมอย่างเดียว พิจารณาจนให้เห็นชัดว่า ผมเป็นของปฏิกูลจริงๆ เบื่อหน่าย คลายเสียจากความรักใคร่ว่าผมเป็นของสวยงาม จนเป็นเหตุ ให้เกิดความใคร่ นี่หายจากความโง่ขั้นหนึ่งละ
ขั้นที่สอง เห็นเป็นอสุภะทุกอวัยะทั่วหมดทั้งตัวด้วยใจ ไม่ได้ลังเลแต่อย่างใด จะเห็นเปื่อยเน่าเฟะไปหมดไม่มีชิ้นดีแม้แต่นิดเดียว คราวนี้ไม่ใช่เพียง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แต่ทั้งหมดด้วยกันจะเป็นอสุภะทั้งนั้น แล้วอยากจะทอดทิ้งถ่ายเดียว ถ้าสติคุมจิตไว้ไม่ได้ก็จะเสียคนที่เรียกว่า วิปลาส (คำว่าวิปลาส นักปฏิบัติทั้งหลายกลัวนักกลัวหนา แต่หลงในกามไม่ยักกลัวเพราะ คนส่วนมากรู้จักกันดี)
ขั้นที่สาม เมื่อสติคุมจิตให้อยู่ในที่เดียวแล้ว ก็จะพิจารณาทวนทบไปๆมาๆว่า ที่เราพิจารณาเห็นเป็นอสุภะ นั้น แท้จริงแล้วกายนี้มันก็ยังปกติตามเดิมนั้นเอง ที่เราเห็นเป็นอสุภะนั้น เพราะจิตเราเป็นสมาธิต่างหาก เมื่อจิตถอนออกมาจากสมาธิแล้ว มันก็เป็นอยู่อย่างเดิม
ใช่อันนี้หรือเปล่าที่เรียกว่า นั่งหลับตาภาวนาโง่อย่างกัมมัฏฐานนั้น แท้จริงกัมมัฏฐานคือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มีอยู่ด้วยกันทุกๆคนมิใช่หรือ ผู้มาเพ่งพิจารณาให้เห็นอสุภะตามเป็นจริง ทำไมจึงเรียกว่าโง่ ผู้ไม่ได้เพ่งพิจารณาให้เห็นอสุภะตามเป็นจริงนั้นหรือเป็นผู้ฉลาด แปลกจริงหนอ ความเห็นของคนเรานี้ ผู้เห็นตามสภาพความเป็นจริงแทนที่จะเรียกว่าผู้ฉลาดกลับเห็นว่าโง่ไปได้ ผิดวิสัยของคนทั่วไปเสียแล้ว
ยิ่งกว่านั้นพระบางองค์(ขอโทษ) เป็นถึงอุปัชฌาย์ อาจารย์สอนกัมมัฏฐาน ๕ แก่ลูกศิษย์ ลูกศิษย์ได้แล้ว ไปถามเข้า เลยหาว่าโง่เข้าไปโน่นอีก ผู้เห็นเข้าเช่นนี้มิเป็นการเหยียดหยามดูถูกเราพร้อมทั้งต้นตระกูลของเราที่เป็นพระสงฆ์(คือพระพุทธเจ้า)เสียหรือ เมื่อเหยียดหยามดูถูกเช่นนั้นได้แล้ว ความเป็นพระจะมีอะไรเหลือ อยู่อีกเล่า เราผู้เป็นสงฆ์ ฆราวาสญาติโยมเขาเคารพ นับถือ ควรที่จะระวังสังวร ถึงแม้จะพูดเล่นก็ไม่เป็นการสมควรโดยแท้
ความโง่มันซ่อนเร้นอยู่ตาม ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้แหละ ฉะนั้นจงค้นให้เห็นตัวมัน ถ้าค้นหาตัวความโง่เห็นแล้วจะอุทานว่า อ๋อ! มันเป็นอย่างนี้เอง ท่านจึงสอนให้พิจารณา เราทอดทิ้งมาเป็นเวลานาน มีแต่เห็นว่า ผมมันสวยงาม มันหงอกก็หายามาย้อมไว้ให้คนหลงว่ายังดำอยู่ ขนก็เช่นเดียวกัน มันรกรุงรังก็โกนให้คนอื่นเห็นว่าเกลี้ยงเกลาไม่มีขน เล็บมันไม่แดงก็เอาสีมาทาไว้ให้คนเข้าใจว่าเล็บแดง ฟันก็เอาทองมาหุ้มไว้ให้เหลืองอร่ามไปหมด หนังมันย่นหดหู่ก็ลอกให้มันเป็นหนังใหม่ ลอกแล้วไม่กี่วันมันก็ย่นยู่หดหู่อีก จะหลอกคนภายนอกไปอย่างไรก็หลอกไปเถิด แต่ในใจของตนย่อมรู้ดีว่าหลอกลวงคนอื่น เหมือนกับนายพรานดักนก มุ่งแต่จะเอาเขาฝ่ายเดียว ผีไม่ตายหลอกเขาไม่มีใครกลัวหรอก นอกจากเขาจะไม่กลัวแล้ว ท่านผู้มีปัญญายังจะต้องยิ้มขบขันเสียอีก
(แสดงธรรม ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๓)

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 97 ธ.ค. 51 โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย)
กำลังโหลดความคิดเห็น