ครั้งที่ 99
ธรรมสังเวชของพระอริยะ
ณ ที่นั้นเอง พระรัฐบาลหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรอย่างมอบกายมอบใจให้กับธรรม ไม่อาทรต่อชีวิต ไม่นานนักก็ได้บรรลุธรรมอันเป็นที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ที่กุลบุตรผู้ออกบวชปรารถนากันยิ่งนัก ได้เห็นได้รับด้วยตนเองด้วยปัญญาของตนเอง รู้ชัดว่าบัดนี้ความเกิดของเราสิ้นสุดแล้ว กิจที่ควรทำได้เสร็จแล้ว ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลายช่างน่าชื่นใจเสียนี่กระไร
เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วพระรัฐบาลระลึกถึงปฏิญญาที่ให้ไว้แก่มารดาบิดาจึงได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทูลลาไปเยี่ยมมารดาบิดา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูจิตใจของพระรัฐบาล ทรงทราบว่ามีจิตใจมั่นคงไม่แปรปรวนแล้วจึงทรงอนุญาตตามความประสงค์
ครั้นจาริกถึงถุลลโกฏฐิตนิคมแล้วพระรัฐบาลเข้าไปพักอาศัย ณ พระราชอุทยานชื่อมิคาจีระของพระเจ้า โกรัพยะ เวลาเช้าได้ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตเที่ยวบิณฑบาตในถุลลโกฏฐิตนิคมตามลำดับตรอก ได้เข้าไปยังนิเวศน์ของบิดา ขณะนั้นท่านบิดากำลังให้ช่างกัลบกสางผมอยู่ที่ซุ้มประตูกลาง ได้เห็นพระรัฐบาลกำลังเดินมาแต่ไกลจำไม่ได้ จึงเปรยขึ้นกับช่างกัลบกว่า 'สมณะศีรษะโล้นพวกนี้แหละที่ชักนำเอาบุตรสุดที่รัก คนเดียวของเราไปบวช พระรัฐบาลไปยืนอย่างสำรวมอยู่ที่ประตูเรือนไม่ได้การต้อนรับ ไม่ได้อาหาร ได้แต่ คำด่าว่าเสียดสีเท่านั้น ท่านได้เดินกลับออกไปด้วยกิริยาสำรวมทำนองเดียวกับตอนที่เข้ามา จิตใจท่านได้พ้นจากความหวั่นไหวในโลกธรรมแล้ว
ขณะที่พระรัฐบาลเดินออกไปภายนอกนั้นมีหญิงรับใช้แห่งญาติของท่านคนหนึ่งกำลังนำขนมบูดไปทิ้ง พระรัฐบาลได้เห็นแล้วกล่าว กับนางว่า 'น้องหญิง ถ้าท่านจะทิ้งสิ่งนั้นก็ขอจงทิ้งลงในบาตรของข้าพเจ้าเถิด หญิงรับใช้จึงเทขนมลงในบาตรพร้อมสังเกตลักษณะของพระเถระ จำลักษณะมือเท้าและเสียงได้จึงได้รีบกลับเข้าไปหามารดาของท่านรัฐบาล เล่าเรื่องให้ฟังโดยตลอด'
มารดาของท่านตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก พูดกับหญิงนั้นว่า 'ถ้าข้อความที่เจ้าพูดนั้นเป็นความจริง เราจะทำเจ้าให้เป็นไท ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป' ดังนี้แล้ว รีบไปหาผู้เป็นบิดาของลูกกล่าวว่า 'รัฐบาล รัฐบาลลูกของเราได้มาถึงที่นี่แล้ว'
ขณะนั้นพระรัฐบาลกำลังฉันขนมบูดอยู่ใกล้ฝาเรือนแห่งหนึ่ง ท่านบิดาได้เข้าไปหาท่านรัฐบาล เมื่อเข้าใกล้ก็จำได้ เห็นอาการของลูกเช่นนั้นก็มีน้ำตานองหน้ากล่าวว่า 'พ่อรัฐบาล คนอย่างพ่อควรหรือที่มานั่งกินขนมบูด เรือนของท่านก็มี มารดาบิดายังมีชีวิตอยู่ ไฉนจึงประพฤติเหมือนคนห่างเหินไม่รู้จักกัน'
พระรัฐบาลเงยหน้าขึ้นหน่อยหนึ่งมองดูคหบดีผู้บิดาและคหปตานีผู้มารดาแล้วกล่าวว่า 'อาตมภาพหลีกออกจากเรือนแล้วเป็นอนาคาริกมุนี-ผู้ไม่มีเรือน เมื่อเป็นดังนี้ จักอ้างเอาเรือนใดเล่าเป็นของตน อนึ่ง เมื่อสักครู่ใหญ่ที่ผ่านมานี้เองอาตมภาพได้ไปยืนที่ประตูเรือนของท่านแล้วไม่ได้การต้อนรับ ไม่ได้คำตอบ ได้แต่เพียงคำด่าว่าเสียดสีเท่านั้น'
คหบดีระลึกได้ถึงสมณะรูปหนึ่ง ซึ่งตนเห็นในขณะที่กำลังให้ช่างกัลบกสางผมอยู่ จึงกล่าวว่า
'ท่านรัฐบาล ท่านหรือที่เดินผ่านไปในขณะที่พ่อกำลังสางผมอยู่?'
'ใช่แล้วอาตมภาพเอง' พระรัฐบาลตอบ
'ขอประทานโทษเถิดท่านผู้เจริญ พ่อจำลูกไม่ได้จริงๆ ถ้าจำได้ไฉนเล่าพ่อจะไม่ต้อนรับลูก'
'ช่างเถิดเรื่องได้ล่วงเลยมาแล้ว อย่านำมาปรารภเลย' พระรัฐบาลพูดตัดบท
ฝ่ายคหบดีผู้มารดาเข้ามาสวมกอดเท้าของพระลูกชาย คร่ำครวญรำพันต่างๆ อย่างน่าสงสารสังเวชยิ่งนัก เช่น
'ลูกเอย...ตั้งแต่วันแรกที่ลูกจากไป ใจของแม่เฝ้าแต่ระลึกถึงมิได้เว้นวายแม้แต่วันเดียวไม่ว่าจะคิดอะไรทำอะไรใจก็คอยพะวงถึงแต่ลูก ดวงหน้าของลูกได้ลอยเด่นอยู่ในห้วงนึกของแม่ตลอดเวลา แม้หลับก็ยังฝัน-ฝันว่าลูกกลับมาหาแม่ บัดนี้ความฝันของแม่ได้กลายเป็นความจริงแล้วแม่ปลาบปลื้มเหลือเกิน แต่แม่เกรงว่าความปลื้มของแม่จะไปได้ไม่ยั่งยืน เมื่อคำนึงว่าลูกอาจจากแม่ไปอีก'
พระรัฐบาลทอดสายตามองโยมมารดาอย่างปรานีและมีธรรมสังเวชแบบอริยะ
'ไปเถิดลูกรัก' ท่านบิดาพูดขึ้นเมื่อทุกคนเงียบอยู่ 'ไปเรือนของเรา ขาทนียโภชนียาหารมีอยู่บริบูรณ์เหมือนสมัยเมื่อลูกยังอยู่'
ด้วยอาการที่เคร่งขรึม แต่มีกระแสเสียงแจ่มใสพระรัฐบาลตอบว่า
'อย่าเลยคหบดี สำหรับวันนี้อาตมภาพทำภัตกิจเสร็จแล้ว'
'ท่านรัฐบาลถ้าอย่างนั้น ขอท่านได้โปรดรับนิมนต์เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้เถิด'
พระรัฐบาลรับนิมนต์ด้วยอาการดุษณี
ท่านทั้งสองทราบว่าพระลูกชายรับนิมนต์แล้วจึงรีบไปยังนิเวศน์ของตนสั่งให้ตกแต่งสถานที่ในบ้านอย่างดียิ่งตามที่นิยมกันในเวลานั้นว่าเป็นเลิศแล้ว ให้ขนเงินและทองมากองไว้เป็นกองใหญ่แบ่งเป็นสองกองคือเงินกองหนึ่ง ทองกองหนึ่งแต่ละกองท่วมศีรษะ ให้ปิดกองเงินกองทองนั้นด้วยเสื่อลำแพน แล้วให้ปูลาดอาสนะไว้ท่ามกลาง ขึงม่านไว้โดยรอบ เรียกหญิงอดีตภรรยาของพระรัฐบาลทุกคนมาแนะนำว่า
'เมื่อสมัยที่รัฐบาลบุตรของเราครองเรือน ชอบเครื่องประดับชุดใดของเจ้า เจ้าจงประดับชุดนั้นในวันพรุ่งนี้'
หญิงเหล่านั้นรับคำของบิดาอย่างง่ายดาย ทุกคนได้เตรียมเครื่องแต่งตัวและพัสตราภรณ์ที่เห็นว่าดีที่สุด เพื่อล่อตาล่อใจ พระรัฐบาล นางหารู้ไม่ว่า ใจของพระรัฐบาลนั้นอันอารมณ์ใดๆ จะหลอกล่อให้หวั่นไหวมิได้อีกแล้ว แต่แม้นางจะทราบการได้แต่งกาย สวยงามก็เป็นความรื่นรมย์ใจของหญิงโดยธรรมชาติ การได้เครื่องประดับจึงเป็นสิ่งชื่นชูใจของสตรีทั่วไป จะมียกเว้นอยู่บ้างก็ไม่มากนัก
ครั้นล่วงราตรีแล้ว ท่านเจ้าของบ้านทั้งสองได้สั่งให้ตกแต่งขาทนียโภชนียาหารอย่างประณีต เสร็จเรียบร้อยแล้วให้คนไปบอกภัตกาลแก่พระรัฐบาล พระเถระไปยังนิเวศน์แห่งบิดาตน นั่งบนอาสนะที่เขาตกแต่งไว้อย่างดีท่ามกลางกองเงินกองทอง บิดาของท่านสั่งให้เปิดกองเงินและกองทองนั้นพร้อมกล่าวว่า
'ท่านรัฐบาล...ทรัพย์กองนี้เป็นของมารดา กองนี้เป็นของบิดา กองนี้เป็นของปู่ ทั้งหมดรวมกันเป็นของท่านแต่ผู้เดียว ขอท่านได้บอกคืนสิกขามาเป็นคฤหัสถ์ใช้สอยทรัพย์สมบัติเหล่านี้ และทำบุญตามที่ต้องการเถิด'
พระรัฐบาลมองดูกองเงินกองทองด้วยสายตาที่ไม่อาลัย ไร้ความไยดีอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า
'ท่านบิดาทรัพย์สมบัติเหล่านี้อาตมภาพไม่เคยเห็นก็หามิได้ อาตมภาพเคยทราบและเคยเห็นตั้งแต่ก่อนออกบวชแล้วมันยังไม่สามารถเหนี่ยวรั้งอาตมภาพไว้ได้ ก็ไฉนเล่าบัดนี้อาตมภาพจะมานิยมยินดีกับสิ่งที่ไร้สาระนี้ บัดนี้อาตมภาพได้รับสิ่งที่มีรสเลิศกว่าคือธรรมรสแล้ว ขอทรัพย์สมบัติเหล่านี้จงเป็นของผู้ที่ต้องการเถิด อาตมภาพไม่ต้องการ'
มารดาได้กล่าวขึ้นว่า 'เหตุไฉน ท่านจึงกล่าวว่าทรัพย์สมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งไร้สาระ มันเป็นสิ่งที่คนทั้งหลายแสวงหามิใช่หรือ ถ้ามันไร้สาระจริงแล้ว เหตุไรคนจึงแสวงหากันนัก ถึงกับต้องแย่งชิงฆ่าฟันกันก็มาก?'
'ก็เพราะเหตุที่คนทั้งหลายไร้ปัญญาจักษุ' พระรัฐบาลตอบ 'มีความคิดวิปลาส คลาดเคลื่อน เห็นสิ่งที่ไร้สาระว่าเป็นสาระ และกลับเห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ จึงหมกมุ่นพัวพันอยู่กับอสาระ ทอดทิ้งสิ่งที่เป็นสาระเสีย เสมือนคนเขลาเข้าไปในป่าต้องการแก่นไม้แต่เอากิ่งและใบไปด้วยกิจที่ต้องทำด้วยแก่นไม้
อนึ่ง ท่านทั้งสองกำลังประสบทุกข์โทมนัสอยู่บัดนี้ก็เพราะทรัพย์สมบัตินี้มิใช่หรือ ถ้ามันเป็นสิ่งมีประโยชน์แท้จริงแล้วไฉนจึงให้ความทุกข์แก่ท่านถึงปานนี้ จริงอยู่ชาวโลกย่อมต้องอาศัยทรัพย์สมบัติเลี้ยงชีพมันมีประโยชน์ต่อเมื่อรู้จักใช้ แต่ถ้ามีมันแล้วยอมตนลงเป็นทาสของมันต้องทุกข์ร้อนวิตกกังวลด้วยทรัพย์สมบัติต่างๆ ไม่รู้จักสิ้นสุดแล้ว จะมีประโยชน์อันใดถ้าโยมทั้งสองเดือดร้อนนักเพราะเหตุแห่งทรัพย์สมบัตินี้ก็ให้ขนไปทิ้งแม่น้ำเสียเถิดจะได้ปลอดโปร่งเบากายสบายใจ อนึ่งเล่าคนอนาถาไร้ที่พึ่งอดอยากแร้นแค้นในบ้านเมืองนี้ก็ยังมีมากนัก ถ้าท่านทั้งสองจะแจกจ่ายเอื้อเฟื้อให้แก่เขาบ้าง ชื่อว่าได้ทำทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ ย่อมได้รับความชื่นสุขเป็นเครื่องตอบแทน อาตมภาพคิดว่าดีกว่าเก็บไว้เป็นกองพะเนินอย่างที่เห็นอยู่นี้ ซึ่งในที่สุดโยมทั้งสองก็จะต้องละทิ้งทรัพย์ทั้งปวงไปและนำไปไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียวเมื่อความตายมาถึงเข้า
'ท่านผู้มีพระคุณ' พระรัฐบาลพูดต่อ 'จงรีบเถิดรีบขวนขวายแปรสิ่งที่ไม่มีสาระให้เป็นสาระ ทำสิ่งที่ติดตามตนไปไม่ได้ให้กลายเป็นสภาพที่ติดตามไปได้ทุกภพทุกชาติ
ท่านเอยจะกล่าวไยถึงทรัพย์สมบัติภายนอกเล่า แม้แต่ร่างกายอันเป็นที่ยึดมั่นหวงแหนว่าเป็นของเรามาตั้งแต่ปฐมวัยจวบจนสิ้นลมปราณเพราะชราก็ไม่มีใครสามารถนำไปได้ต้องทิ้งไว้เป็นเหยื่อของหมู่หนอนและฝูงวิหคนกกาหรือมิฉะนั้นก็พระเพลิง บัดนี้ท่านทั้งสองอันชรามาเยือนแล้ว เหมือนใบไม้เหลืองจวนหล่น ขอให้รีบทำที่พึ่งแก่ตนเถิด
เมื่อได้ฟังดังนี้ภรรยาเก่าของพระรัฐบาลคร่ำครวญเข้ามาจับที่เท้าของท่านแล้วรำพันว่า 'ท่านผู้เจริญ นางฟ้าทั้งหลายที่เป็นเหตุให้ท่านประพฤติพรหมจรรย์นั้นเป็นเช่นไร ท่านจึงไม่สนใจไยดีต่อโลกมนุษย์เสียเลย'
'ดูก่อนน้องหญิง' พระรัฐบาลตอบน้ำเสียงแสดงความเป็นผู้ไม่มีอาลัย 'เรามิได้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อต้องการนางฟ้า แต่ต้องการความบริสุทธิ์หมดจดจากความเศร้าหมองทั้งปวง'
เมื่อได้ยินดังนี้หญิงเหล่านั้นถึงกับสลบล้มลงด้วยความเสียใจ อนึ่ง นางได้ยินคำว่า 'น้องหญิง' จากปากของพระรัฐบาลหวนกลับมาครองเรือนนั้นเป็นอันสิ้นหวัง
ท่ามกลางใบหน้าซึ่งชุ่มโชกไปด้วยน้ำตานั่นเอง พระรัฐบาลเอ่ยขึ้นว่า
'ดูก่อนคหบดี ถ้าจะพึงให้โภชนะแก่อาตมภาพก็จึงให้เถิด อย่าให้อาตมภาพต้องลำบากเลย'
ด้วยการเตือนนี้ทุกคนมีสติระลึกได้ว่าได้นิมนต์พระรัฐบาลมาฉันอาหารที่บ้าน มิได้นิมนต์มารับทรัพย์มรดก จึงช่วยกันถวายอาหารอันประณีตที่ได้เตรียมไว้แล้วด้วยมือของตนๆ
พระรัฐบาลฉันอาหารเสร็จแล้วชักมือออกจากบาตรแล้วได้ยืนขึ้นเตรียมจะไป ก่อนจากท่านได้กล่าวถ้อยคำเป็นเครื่องเตือนใจไว้ว่า
'ดูเอาเถิด ดูอัตภาพอันคุมกันเข้าอย่างวิจิตรแต่มีความกระสับกระส่ายกระวนกระวายไม่ยั่งยืนมั่นคงเป็นที่ประสานขึ้นแห่งกระดูก มีหนังเป็นเครื่องห่อหุ้มแพรวพราวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นที่ดำริถึงของคนเป็นอันมาก แต่ไม่เป็นที่ต้องการของผู้แสวงหาฝั่งคือ นิพพาน ท่านเป็นดังพรานเนื้อวางบ่วงไว้แต่เนื้อไม่ติดบ่วง พรานเนื้อจึงคร่ำครวญเสียใจ เราเป็นเหมือนเนื้อตัวนั้น กินแต่อาหารแล้วจากไป'
กล่าวดังนี้แล้วพระรัฐบาลจึงเข้าไปยังพระราชอุทยานมิคาจีระของพระเจ้าโกรัพยะ นั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง
ธรรมสังเวชของพระอริยะ
ณ ที่นั้นเอง พระรัฐบาลหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรอย่างมอบกายมอบใจให้กับธรรม ไม่อาทรต่อชีวิต ไม่นานนักก็ได้บรรลุธรรมอันเป็นที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ที่กุลบุตรผู้ออกบวชปรารถนากันยิ่งนัก ได้เห็นได้รับด้วยตนเองด้วยปัญญาของตนเอง รู้ชัดว่าบัดนี้ความเกิดของเราสิ้นสุดแล้ว กิจที่ควรทำได้เสร็จแล้ว ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลายช่างน่าชื่นใจเสียนี่กระไร
เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วพระรัฐบาลระลึกถึงปฏิญญาที่ให้ไว้แก่มารดาบิดาจึงได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทูลลาไปเยี่ยมมารดาบิดา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูจิตใจของพระรัฐบาล ทรงทราบว่ามีจิตใจมั่นคงไม่แปรปรวนแล้วจึงทรงอนุญาตตามความประสงค์
ครั้นจาริกถึงถุลลโกฏฐิตนิคมแล้วพระรัฐบาลเข้าไปพักอาศัย ณ พระราชอุทยานชื่อมิคาจีระของพระเจ้า โกรัพยะ เวลาเช้าได้ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตเที่ยวบิณฑบาตในถุลลโกฏฐิตนิคมตามลำดับตรอก ได้เข้าไปยังนิเวศน์ของบิดา ขณะนั้นท่านบิดากำลังให้ช่างกัลบกสางผมอยู่ที่ซุ้มประตูกลาง ได้เห็นพระรัฐบาลกำลังเดินมาแต่ไกลจำไม่ได้ จึงเปรยขึ้นกับช่างกัลบกว่า 'สมณะศีรษะโล้นพวกนี้แหละที่ชักนำเอาบุตรสุดที่รัก คนเดียวของเราไปบวช พระรัฐบาลไปยืนอย่างสำรวมอยู่ที่ประตูเรือนไม่ได้การต้อนรับ ไม่ได้อาหาร ได้แต่ คำด่าว่าเสียดสีเท่านั้น ท่านได้เดินกลับออกไปด้วยกิริยาสำรวมทำนองเดียวกับตอนที่เข้ามา จิตใจท่านได้พ้นจากความหวั่นไหวในโลกธรรมแล้ว
ขณะที่พระรัฐบาลเดินออกไปภายนอกนั้นมีหญิงรับใช้แห่งญาติของท่านคนหนึ่งกำลังนำขนมบูดไปทิ้ง พระรัฐบาลได้เห็นแล้วกล่าว กับนางว่า 'น้องหญิง ถ้าท่านจะทิ้งสิ่งนั้นก็ขอจงทิ้งลงในบาตรของข้าพเจ้าเถิด หญิงรับใช้จึงเทขนมลงในบาตรพร้อมสังเกตลักษณะของพระเถระ จำลักษณะมือเท้าและเสียงได้จึงได้รีบกลับเข้าไปหามารดาของท่านรัฐบาล เล่าเรื่องให้ฟังโดยตลอด'
มารดาของท่านตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก พูดกับหญิงนั้นว่า 'ถ้าข้อความที่เจ้าพูดนั้นเป็นความจริง เราจะทำเจ้าให้เป็นไท ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป' ดังนี้แล้ว รีบไปหาผู้เป็นบิดาของลูกกล่าวว่า 'รัฐบาล รัฐบาลลูกของเราได้มาถึงที่นี่แล้ว'
ขณะนั้นพระรัฐบาลกำลังฉันขนมบูดอยู่ใกล้ฝาเรือนแห่งหนึ่ง ท่านบิดาได้เข้าไปหาท่านรัฐบาล เมื่อเข้าใกล้ก็จำได้ เห็นอาการของลูกเช่นนั้นก็มีน้ำตานองหน้ากล่าวว่า 'พ่อรัฐบาล คนอย่างพ่อควรหรือที่มานั่งกินขนมบูด เรือนของท่านก็มี มารดาบิดายังมีชีวิตอยู่ ไฉนจึงประพฤติเหมือนคนห่างเหินไม่รู้จักกัน'
พระรัฐบาลเงยหน้าขึ้นหน่อยหนึ่งมองดูคหบดีผู้บิดาและคหปตานีผู้มารดาแล้วกล่าวว่า 'อาตมภาพหลีกออกจากเรือนแล้วเป็นอนาคาริกมุนี-ผู้ไม่มีเรือน เมื่อเป็นดังนี้ จักอ้างเอาเรือนใดเล่าเป็นของตน อนึ่ง เมื่อสักครู่ใหญ่ที่ผ่านมานี้เองอาตมภาพได้ไปยืนที่ประตูเรือนของท่านแล้วไม่ได้การต้อนรับ ไม่ได้คำตอบ ได้แต่เพียงคำด่าว่าเสียดสีเท่านั้น'
คหบดีระลึกได้ถึงสมณะรูปหนึ่ง ซึ่งตนเห็นในขณะที่กำลังให้ช่างกัลบกสางผมอยู่ จึงกล่าวว่า
'ท่านรัฐบาล ท่านหรือที่เดินผ่านไปในขณะที่พ่อกำลังสางผมอยู่?'
'ใช่แล้วอาตมภาพเอง' พระรัฐบาลตอบ
'ขอประทานโทษเถิดท่านผู้เจริญ พ่อจำลูกไม่ได้จริงๆ ถ้าจำได้ไฉนเล่าพ่อจะไม่ต้อนรับลูก'
'ช่างเถิดเรื่องได้ล่วงเลยมาแล้ว อย่านำมาปรารภเลย' พระรัฐบาลพูดตัดบท
ฝ่ายคหบดีผู้มารดาเข้ามาสวมกอดเท้าของพระลูกชาย คร่ำครวญรำพันต่างๆ อย่างน่าสงสารสังเวชยิ่งนัก เช่น
'ลูกเอย...ตั้งแต่วันแรกที่ลูกจากไป ใจของแม่เฝ้าแต่ระลึกถึงมิได้เว้นวายแม้แต่วันเดียวไม่ว่าจะคิดอะไรทำอะไรใจก็คอยพะวงถึงแต่ลูก ดวงหน้าของลูกได้ลอยเด่นอยู่ในห้วงนึกของแม่ตลอดเวลา แม้หลับก็ยังฝัน-ฝันว่าลูกกลับมาหาแม่ บัดนี้ความฝันของแม่ได้กลายเป็นความจริงแล้วแม่ปลาบปลื้มเหลือเกิน แต่แม่เกรงว่าความปลื้มของแม่จะไปได้ไม่ยั่งยืน เมื่อคำนึงว่าลูกอาจจากแม่ไปอีก'
พระรัฐบาลทอดสายตามองโยมมารดาอย่างปรานีและมีธรรมสังเวชแบบอริยะ
'ไปเถิดลูกรัก' ท่านบิดาพูดขึ้นเมื่อทุกคนเงียบอยู่ 'ไปเรือนของเรา ขาทนียโภชนียาหารมีอยู่บริบูรณ์เหมือนสมัยเมื่อลูกยังอยู่'
ด้วยอาการที่เคร่งขรึม แต่มีกระแสเสียงแจ่มใสพระรัฐบาลตอบว่า
'อย่าเลยคหบดี สำหรับวันนี้อาตมภาพทำภัตกิจเสร็จแล้ว'
'ท่านรัฐบาลถ้าอย่างนั้น ขอท่านได้โปรดรับนิมนต์เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้เถิด'
พระรัฐบาลรับนิมนต์ด้วยอาการดุษณี
ท่านทั้งสองทราบว่าพระลูกชายรับนิมนต์แล้วจึงรีบไปยังนิเวศน์ของตนสั่งให้ตกแต่งสถานที่ในบ้านอย่างดียิ่งตามที่นิยมกันในเวลานั้นว่าเป็นเลิศแล้ว ให้ขนเงินและทองมากองไว้เป็นกองใหญ่แบ่งเป็นสองกองคือเงินกองหนึ่ง ทองกองหนึ่งแต่ละกองท่วมศีรษะ ให้ปิดกองเงินกองทองนั้นด้วยเสื่อลำแพน แล้วให้ปูลาดอาสนะไว้ท่ามกลาง ขึงม่านไว้โดยรอบ เรียกหญิงอดีตภรรยาของพระรัฐบาลทุกคนมาแนะนำว่า
'เมื่อสมัยที่รัฐบาลบุตรของเราครองเรือน ชอบเครื่องประดับชุดใดของเจ้า เจ้าจงประดับชุดนั้นในวันพรุ่งนี้'
หญิงเหล่านั้นรับคำของบิดาอย่างง่ายดาย ทุกคนได้เตรียมเครื่องแต่งตัวและพัสตราภรณ์ที่เห็นว่าดีที่สุด เพื่อล่อตาล่อใจ พระรัฐบาล นางหารู้ไม่ว่า ใจของพระรัฐบาลนั้นอันอารมณ์ใดๆ จะหลอกล่อให้หวั่นไหวมิได้อีกแล้ว แต่แม้นางจะทราบการได้แต่งกาย สวยงามก็เป็นความรื่นรมย์ใจของหญิงโดยธรรมชาติ การได้เครื่องประดับจึงเป็นสิ่งชื่นชูใจของสตรีทั่วไป จะมียกเว้นอยู่บ้างก็ไม่มากนัก
ครั้นล่วงราตรีแล้ว ท่านเจ้าของบ้านทั้งสองได้สั่งให้ตกแต่งขาทนียโภชนียาหารอย่างประณีต เสร็จเรียบร้อยแล้วให้คนไปบอกภัตกาลแก่พระรัฐบาล พระเถระไปยังนิเวศน์แห่งบิดาตน นั่งบนอาสนะที่เขาตกแต่งไว้อย่างดีท่ามกลางกองเงินกองทอง บิดาของท่านสั่งให้เปิดกองเงินและกองทองนั้นพร้อมกล่าวว่า
'ท่านรัฐบาล...ทรัพย์กองนี้เป็นของมารดา กองนี้เป็นของบิดา กองนี้เป็นของปู่ ทั้งหมดรวมกันเป็นของท่านแต่ผู้เดียว ขอท่านได้บอกคืนสิกขามาเป็นคฤหัสถ์ใช้สอยทรัพย์สมบัติเหล่านี้ และทำบุญตามที่ต้องการเถิด'
พระรัฐบาลมองดูกองเงินกองทองด้วยสายตาที่ไม่อาลัย ไร้ความไยดีอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า
'ท่านบิดาทรัพย์สมบัติเหล่านี้อาตมภาพไม่เคยเห็นก็หามิได้ อาตมภาพเคยทราบและเคยเห็นตั้งแต่ก่อนออกบวชแล้วมันยังไม่สามารถเหนี่ยวรั้งอาตมภาพไว้ได้ ก็ไฉนเล่าบัดนี้อาตมภาพจะมานิยมยินดีกับสิ่งที่ไร้สาระนี้ บัดนี้อาตมภาพได้รับสิ่งที่มีรสเลิศกว่าคือธรรมรสแล้ว ขอทรัพย์สมบัติเหล่านี้จงเป็นของผู้ที่ต้องการเถิด อาตมภาพไม่ต้องการ'
มารดาได้กล่าวขึ้นว่า 'เหตุไฉน ท่านจึงกล่าวว่าทรัพย์สมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งไร้สาระ มันเป็นสิ่งที่คนทั้งหลายแสวงหามิใช่หรือ ถ้ามันไร้สาระจริงแล้ว เหตุไรคนจึงแสวงหากันนัก ถึงกับต้องแย่งชิงฆ่าฟันกันก็มาก?'
'ก็เพราะเหตุที่คนทั้งหลายไร้ปัญญาจักษุ' พระรัฐบาลตอบ 'มีความคิดวิปลาส คลาดเคลื่อน เห็นสิ่งที่ไร้สาระว่าเป็นสาระ และกลับเห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ จึงหมกมุ่นพัวพันอยู่กับอสาระ ทอดทิ้งสิ่งที่เป็นสาระเสีย เสมือนคนเขลาเข้าไปในป่าต้องการแก่นไม้แต่เอากิ่งและใบไปด้วยกิจที่ต้องทำด้วยแก่นไม้
อนึ่ง ท่านทั้งสองกำลังประสบทุกข์โทมนัสอยู่บัดนี้ก็เพราะทรัพย์สมบัตินี้มิใช่หรือ ถ้ามันเป็นสิ่งมีประโยชน์แท้จริงแล้วไฉนจึงให้ความทุกข์แก่ท่านถึงปานนี้ จริงอยู่ชาวโลกย่อมต้องอาศัยทรัพย์สมบัติเลี้ยงชีพมันมีประโยชน์ต่อเมื่อรู้จักใช้ แต่ถ้ามีมันแล้วยอมตนลงเป็นทาสของมันต้องทุกข์ร้อนวิตกกังวลด้วยทรัพย์สมบัติต่างๆ ไม่รู้จักสิ้นสุดแล้ว จะมีประโยชน์อันใดถ้าโยมทั้งสองเดือดร้อนนักเพราะเหตุแห่งทรัพย์สมบัตินี้ก็ให้ขนไปทิ้งแม่น้ำเสียเถิดจะได้ปลอดโปร่งเบากายสบายใจ อนึ่งเล่าคนอนาถาไร้ที่พึ่งอดอยากแร้นแค้นในบ้านเมืองนี้ก็ยังมีมากนัก ถ้าท่านทั้งสองจะแจกจ่ายเอื้อเฟื้อให้แก่เขาบ้าง ชื่อว่าได้ทำทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ ย่อมได้รับความชื่นสุขเป็นเครื่องตอบแทน อาตมภาพคิดว่าดีกว่าเก็บไว้เป็นกองพะเนินอย่างที่เห็นอยู่นี้ ซึ่งในที่สุดโยมทั้งสองก็จะต้องละทิ้งทรัพย์ทั้งปวงไปและนำไปไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียวเมื่อความตายมาถึงเข้า
'ท่านผู้มีพระคุณ' พระรัฐบาลพูดต่อ 'จงรีบเถิดรีบขวนขวายแปรสิ่งที่ไม่มีสาระให้เป็นสาระ ทำสิ่งที่ติดตามตนไปไม่ได้ให้กลายเป็นสภาพที่ติดตามไปได้ทุกภพทุกชาติ
ท่านเอยจะกล่าวไยถึงทรัพย์สมบัติภายนอกเล่า แม้แต่ร่างกายอันเป็นที่ยึดมั่นหวงแหนว่าเป็นของเรามาตั้งแต่ปฐมวัยจวบจนสิ้นลมปราณเพราะชราก็ไม่มีใครสามารถนำไปได้ต้องทิ้งไว้เป็นเหยื่อของหมู่หนอนและฝูงวิหคนกกาหรือมิฉะนั้นก็พระเพลิง บัดนี้ท่านทั้งสองอันชรามาเยือนแล้ว เหมือนใบไม้เหลืองจวนหล่น ขอให้รีบทำที่พึ่งแก่ตนเถิด
เมื่อได้ฟังดังนี้ภรรยาเก่าของพระรัฐบาลคร่ำครวญเข้ามาจับที่เท้าของท่านแล้วรำพันว่า 'ท่านผู้เจริญ นางฟ้าทั้งหลายที่เป็นเหตุให้ท่านประพฤติพรหมจรรย์นั้นเป็นเช่นไร ท่านจึงไม่สนใจไยดีต่อโลกมนุษย์เสียเลย'
'ดูก่อนน้องหญิง' พระรัฐบาลตอบน้ำเสียงแสดงความเป็นผู้ไม่มีอาลัย 'เรามิได้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อต้องการนางฟ้า แต่ต้องการความบริสุทธิ์หมดจดจากความเศร้าหมองทั้งปวง'
เมื่อได้ยินดังนี้หญิงเหล่านั้นถึงกับสลบล้มลงด้วยความเสียใจ อนึ่ง นางได้ยินคำว่า 'น้องหญิง' จากปากของพระรัฐบาลหวนกลับมาครองเรือนนั้นเป็นอันสิ้นหวัง
ท่ามกลางใบหน้าซึ่งชุ่มโชกไปด้วยน้ำตานั่นเอง พระรัฐบาลเอ่ยขึ้นว่า
'ดูก่อนคหบดี ถ้าจะพึงให้โภชนะแก่อาตมภาพก็จึงให้เถิด อย่าให้อาตมภาพต้องลำบากเลย'
ด้วยการเตือนนี้ทุกคนมีสติระลึกได้ว่าได้นิมนต์พระรัฐบาลมาฉันอาหารที่บ้าน มิได้นิมนต์มารับทรัพย์มรดก จึงช่วยกันถวายอาหารอันประณีตที่ได้เตรียมไว้แล้วด้วยมือของตนๆ
พระรัฐบาลฉันอาหารเสร็จแล้วชักมือออกจากบาตรแล้วได้ยืนขึ้นเตรียมจะไป ก่อนจากท่านได้กล่าวถ้อยคำเป็นเครื่องเตือนใจไว้ว่า
'ดูเอาเถิด ดูอัตภาพอันคุมกันเข้าอย่างวิจิตรแต่มีความกระสับกระส่ายกระวนกระวายไม่ยั่งยืนมั่นคงเป็นที่ประสานขึ้นแห่งกระดูก มีหนังเป็นเครื่องห่อหุ้มแพรวพราวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นที่ดำริถึงของคนเป็นอันมาก แต่ไม่เป็นที่ต้องการของผู้แสวงหาฝั่งคือ นิพพาน ท่านเป็นดังพรานเนื้อวางบ่วงไว้แต่เนื้อไม่ติดบ่วง พรานเนื้อจึงคร่ำครวญเสียใจ เราเป็นเหมือนเนื้อตัวนั้น กินแต่อาหารแล้วจากไป'
กล่าวดังนี้แล้วพระรัฐบาลจึงเข้าไปยังพระราชอุทยานมิคาจีระของพระเจ้าโกรัพยะ นั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง