ครั้งที่ 98
พระรัฐบาลผู้เลิศทางศรัทธา
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคได้เสด็จจาริกไปในแคว้นกุรุ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงนิคมชื่อถุลลโกฏฐิต พราหมณ์และคหบดีชาวนิคมนั้นได้สดับข่าวและเกียรติศัพท์อันงามของพระศาสดาว่า เป็นพระอรหันต์สมบูรณ์ด้วยวิชาและจรณะเป็นต้น ทรงแสดงธรรมมีคุณงามทั้งเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ บริสุทธ์บริบูรณ์โดยประการทั้งปวง การเห็นพระอรหันต์เช่นนั้น เป็นการดียิ่งนัก
พราหมณ์และคหบดีชาวนิคมนั้นดำริดังนี้แล้วได้ชวนกันไปเฝ้าพระศากยมุนี บางพวกถวายบังคมแล้วนั่งเฉยอยู่ บางพวกเอ่ยวาจาปราศรัย บางพวกประคองอัญชลี บางพวกประกาศชื่อและโคตรของตน
พระตถาคตเจ้าทรงแสดงธรรมให้ประชาชนครั้งนั้นได้เห็นแจ้งเข้าใจ ให้สมาทานอาจหาญ ร่าเริง ชื่นบาน
เวลานั้นชายหนุ่มผู้หนึ่ง ชื่อรัฐบาล เป็นบุตรของผู้มีสกุลในนิคมนั้น นั่งฟังพระธรรมเทศนาอยู่ด้วย เกิดความคิดขึ้นว่าทำอย่างไรหนอเราจะได้รู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว การที่จะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยประการทั้งปวงผู้ครองเรือนทำได้ยาก ไฉนหนอ เราพึงปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
เมื่อคนทั้งหลายอื่นฟังพระธรรมเทศนากลับไปแล้วไม่นานรัฐบาลกุลบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับกราบทูลถึงความดำริของตน และขอบรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระพุทธองค์ พระศาสดาตรัสถามว่า 'ดูก่อนรัฐบาล มารดาบิดาอนุญาตการบรรพชาอุปสมบทของท่านแล้วหรือ'
'ยังไม่ได้ขออนุญาตเลย พระองค์ผู้เจริญ'
พระตถาคตเจ้าส่งสายพระเนตรอันเปี่ยมด้วยความกรุณามายังรัฐบาลกุลบุตรที่บิดามารดาไม่อนุญาตได้"
รัฐบาลกุลบุตรผู้มีดวงเนตรอ่อนโยน แต่แฝงไว้ซึ่งความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจได้กราบทูลพระสุคตขึ้นว่า
"พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำทุกอย่างเพื่อให้มารดาบิดาอนุญาตให้ออกบวชจนได้"
พระจอมมนีทรงแสดงอาการดุษณีด้วยความเจนจบในเหตุการณ์ทั้งในอดีตและอนาคต ฝ่ายรัฐบาลลุกจากอาสนะ ถวายบังคมกระทำประทักษิณ แล้วกลับสู่เคหะของตน เข้าไปหามารดาบิดา แจ้งความคิดของตนให้ท่านทราบ
พร้อมด้วยอาการตกตะลึง ท่านทั้งสองกล่าวว่า
"ลูกเอย...เจ้าเป็นบุตรคนเดียวของพ่อแม่เป็นที่รักดังดวงใจ เจ้ามีแต่ความสุข ได้รับเลี้ยงดูมาอย่างเป็นสุข ไม่เคยได้สัมผัสกับความทุกข์ร้อน เจ้าจักทนต่อความลำบากในเพศบรรพชิตได้อย่างไร
ลูกเอย เจ้ายังหนุ่มมีเกศาดำเป็นมันขลับ จงหาความสุขเยี่ยงฆราวาส จงบริโภค จงอยู่ ให้บำเรออย่างสำราญ และทำบุญไปด้วยก็ย่อมได้ เราทั้งสองจะอนุญาตให้เจ้าบวชไม่ได้ไม่อยากพลัดพรากจากเจ้าแม้ชั่วครู่เดียว จะกล่าวไยถึงจะยอมให้เจ้าไปบวชซึ่งเป็นการแยกกันกินแยกกันอยู่ แม้มัจจุราช-เจ้าแห่งความตาย พ่อแม่ก็ไม่ปรารถนาให้มาพรากตัวเจ้าไป เมื่อเป็นดังนี้ สิ่งใดเล่าจะมีอำนาจดึงลูกไปจากแม่ ทั้งๆ ที่เราทั้งสองยังมีชีวิตอยู่
รัฐบาลกุลบุตรเฝ้าอ้อนวอนมารดาอยู่หลายครั้ง แต่ท่านทั้งสองก็คงยืนกรานเช่นเดิม และกล่าวเพิ่มเติมว่า
"ลูกเอย เชื่อแม่เถอะการบวชไม่ประเสริฐอะไรเลย ถ้าลูกจะปรารถนาทำความดีอยู่ในฆราวาสก็ทำได้และอาจทำได้มากกว่าเสียด้วยซ้ำเพราะมีทรัพย์สินสมบัติเป็นเครื่องอำนวยให้ทำความดีได้โดยสะดวก สมบัติของเราก็มีอยู่มากใช้ไปอีกกี่ชั่วคนก็ไม่หยุด"
รัฐบาลกุลบุตรตอบว่า 'ข้าแต่ท่านมารดาพูดถึงทรัพย์สินสมบัติซึ่งเรากระหยิ่มว่ามีอยู่มากนั้นเมื่อนำไปเทียบกับสมบัติบรมจักร หรือรัชสมบัติของพระศาสดาแล้วก็นับว่าเป็นส่วนเล็กน้อยเหลือเกิน พระองค์ผู้มีสมบัติมากถึงปานนั้นยังทรงสละออกผนวชได้ พูดถึงความสุขเล่าลูกได้ฟังมาจากพระศาสดาพระองค์นั้นว่าโลกียสมบัติและโลกียสุขเป็นสิ่งไม่ยั่งยืนถาวร มีความทุกข์ความร้อนใจซ่อนเร้น พัวพันอยู่ด้วยเสมอสู้อริยทรัพย์และโลกุตตรสุขไม่ได้ ลูกเชื่อพระองค์เพราะพระองค์ได้ผ่านความสุขมาแล้วทั้งสองอย่างเป็นอันมากทั้งโดยปริมาณและคุณภาพ
"พูดถึงการทำความดีจริงอยู่จะอยู่ในเพศบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ก็ทำความดีได้ แต่โอกาสที่จะกำจัดทุกข์ให้สิ้นเสร็จเด็ดขาดโดยสิ้นเชิงนั้นบรรพชิตย่อมมีโอกาสมากกว่าและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า มิฉะนั้นแล้วเหตุไฉนเล่าพระบรมศาสดาผู้สมบูรณ์ด้วยความสุขทุกอย่างเยี่ยงราชโอรส จะพึงสละโลกียสมบัติ และโลกียสุขออกบวช
"ข้าแต่ท่านมารดา ลูกได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะออกบวชให้ได้ หรือมิฉะนั้นก็ความตาย ลูกจะเลือกเอาอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ ถ้ามารดาบิดาไม่ปรารถนาจะเห็นลูกในเพศบรรพชิต ก็คงจะได้เห็นความตายของลูกเป็นแน่แท้"
ท่านทั้งสองคะเนน้ำใจว่าเด็กหนุ่มอย่างรัฐบาลคงมิได้ตั้งใจอะไรจริงจังนัก เพียงแต่ตื่นไปชั่วคราวแล้วคงจะกลับไปเองจึงมิได้พูดอะไรอีก แต่ท่านทั้งสองเข้าใจผิดรัฐบาลกุลบุตรผู้มีบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว เป็นผู้มีภพสุดท้ายแล้ว ไม่มีอะไรสามารถเหนี่ยวรั้งไว้ได้ ประหนึ่งผลไม้ซึ่งสุกเต็มที่ มีขั้วเหี่ยวแล้ว จะต้องหล่นอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าไม่อาจเข้าใจกันได้โดยวาจาแล้วรัฐบาลกุลบุตรจึงตัดสินใจขออนุญาตมารดาบิดาด้วยการอดอาหารนอนบนพื้นอันปราศจากเครื่องลาด ตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าตรงนี้แหละจะเป็นที่ตัดสินการบวชหรือการตายของเรา วันเวลาล่วงไปถึง 7 วัน รัฐบาลไม่ยอม แตะต้องอาหารเลยแม้แต่น้อย ท่านทั้งสองมีความกังวลห่วงใยต่อการกระทำของลูกเป็นอันมาก แต่ด้วยทิฐิประการหนึ่ง และด้วยความอาลัยรักอีกประการหนึ่ง ทำให้ท่านทั้งสองทำใจแข็งไม่ยอมอนุญาตให้รัฐบาลออกบวช ท่านทั้งสองมาเฝ้าปลอบประโลมให้รัฐบาลบริโภคอาหาร และหาความสุขเยี่ยงคนหนุ่มทั้งหลายแต่รัฐบาลก็มิได้สนใจเลย มุ่งมั่นแต่บรรพชาอุปสมบทเท่านั้น
สหายของรัฐบาลกุลบุตรได้ทราบข่าวเรื่องนี้พากันมาช่วยพูดให้รัฐบาลเปลี่ยนใจแต่ก็หาสำเร็จไม่ จึงชวนกันเข้าไปหามารดาบิดาของรัฐบาลอ้อนวอนท่านทั้งสองให้อนุญาตรัฐบาลออกบวช โดยให้เหตุผลว่า ถ้าไม่ยินยอมรัฐบาลกุลบุตรจะต้องตายแน่ แต่ถ้ายินยอม ให้บวชท่านมารดาบิดายังพอมีโอกาสได้เห็นเขาในเพศบรรพชิต รัฐบาลเคยมีความสุขอาจทนอยู่ในเพศนั้นได้ไม่นานนักก็คงจะกลับมายังเรือนของตนเอง ขอได้โปรดอนุญาตให้เขาบวชเถิด มารดาบิดาเห็นสมจริงตามเหตุผลแห่งสหายของลูกจึงยินยอมและกล่าวว่า
"ลูกเอย พ่อและแม่รักเจ้าดังดวงใจไม่อาจทนดูความตายของเจ้าต่อหน้าต่อตาได้ ลุกขึ้นเถิดลูกรัก เราทั้งสองอนุญาตให้เจ้าบวช เมื่อบวชแล้ว ขอให้มาเยี่ยมพ่อแม่บ้าง"
ว่าแล้วท่านทั้งสองก็คร่ำครวญด้วยความอาลัยรักประหนึ่งว่ารัฐบาลจะพาดวงใจของท่านทั้งสองไปด้วย อันปุตตวิปโยคนั้นมีพิษ รุนแรงเพียงใด ยากที่จะทราบได้นอกจากท่านผู้มีบุตรสุดที่รัก แต่เมื่อคำนึงถึงความปรารถนาอันรุนแรงของบุตรแล้วมารดาบิดาก็มักตัดความปรารถนาของตนได้เสมอ อะไรเล่าคือความสุขของพ่อแม่ยิ่งกว่าได้เห็นลูกมีความสุข อะไรเล่าคือความทุกข์ของบิดามารดายิ่งกว่าได้เห็นบุตรตกระกำลำบาก ลูกดีเป็นความชื่นใจของพ่อแม่เป็นที่สุด
รัฐบาลได้ยินคำอนุญาตของมารดาบิดาดีใจเป็นที่ยิ่ง ลุกขึ้นกราบท่านทั้งสองด้วยความเคารพรัก และซาบซึ้งในพระคุณของท่านทั้งสอง เขาบำรุงร่างกายให้มีกำลังพอสมควรแล้วจัดเครื่องอัฐบริขารเรียบร้อยแล้วออกจากเรือนมุ่งไปสู่ที่ประทับของพระศาสดา ในขณะที่มารดาบิดาและปิยชนอื่นๆ มีหน้านองด้วยน้ำตานั่นเอง
เขาได้บวชสมปรารถนา มีความชื่นชมกับเพศใหม่ที่สงบสงัดจากบาปอกุศล รู้สึกโปร่งใจปราศจากความระแวงในภัยอันตรายที่จะพึงมีเยี่ยงฆราวาส เมื่อพระรัฐบาลบวชแล้วได้ครึ่งเดือนพระศาสดาทรงละถุลลโกฏฐิตนิคมไว้เบื้องหลัง เสด็จจาริกไปสู่นครสาวัตถี ราชธานีแห่งแคว้นโกศล ประทับอยู่ ณ เชตวนาราม
พระรัฐบาลผู้เลิศทางศรัทธา
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคได้เสด็จจาริกไปในแคว้นกุรุ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงนิคมชื่อถุลลโกฏฐิต พราหมณ์และคหบดีชาวนิคมนั้นได้สดับข่าวและเกียรติศัพท์อันงามของพระศาสดาว่า เป็นพระอรหันต์สมบูรณ์ด้วยวิชาและจรณะเป็นต้น ทรงแสดงธรรมมีคุณงามทั้งเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ บริสุทธ์บริบูรณ์โดยประการทั้งปวง การเห็นพระอรหันต์เช่นนั้น เป็นการดียิ่งนัก
พราหมณ์และคหบดีชาวนิคมนั้นดำริดังนี้แล้วได้ชวนกันไปเฝ้าพระศากยมุนี บางพวกถวายบังคมแล้วนั่งเฉยอยู่ บางพวกเอ่ยวาจาปราศรัย บางพวกประคองอัญชลี บางพวกประกาศชื่อและโคตรของตน
พระตถาคตเจ้าทรงแสดงธรรมให้ประชาชนครั้งนั้นได้เห็นแจ้งเข้าใจ ให้สมาทานอาจหาญ ร่าเริง ชื่นบาน
เวลานั้นชายหนุ่มผู้หนึ่ง ชื่อรัฐบาล เป็นบุตรของผู้มีสกุลในนิคมนั้น นั่งฟังพระธรรมเทศนาอยู่ด้วย เกิดความคิดขึ้นว่าทำอย่างไรหนอเราจะได้รู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว การที่จะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยประการทั้งปวงผู้ครองเรือนทำได้ยาก ไฉนหนอ เราพึงปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
เมื่อคนทั้งหลายอื่นฟังพระธรรมเทศนากลับไปแล้วไม่นานรัฐบาลกุลบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับกราบทูลถึงความดำริของตน และขอบรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระพุทธองค์ พระศาสดาตรัสถามว่า 'ดูก่อนรัฐบาล มารดาบิดาอนุญาตการบรรพชาอุปสมบทของท่านแล้วหรือ'
'ยังไม่ได้ขออนุญาตเลย พระองค์ผู้เจริญ'
พระตถาคตเจ้าส่งสายพระเนตรอันเปี่ยมด้วยความกรุณามายังรัฐบาลกุลบุตรที่บิดามารดาไม่อนุญาตได้"
รัฐบาลกุลบุตรผู้มีดวงเนตรอ่อนโยน แต่แฝงไว้ซึ่งความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจได้กราบทูลพระสุคตขึ้นว่า
"พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำทุกอย่างเพื่อให้มารดาบิดาอนุญาตให้ออกบวชจนได้"
พระจอมมนีทรงแสดงอาการดุษณีด้วยความเจนจบในเหตุการณ์ทั้งในอดีตและอนาคต ฝ่ายรัฐบาลลุกจากอาสนะ ถวายบังคมกระทำประทักษิณ แล้วกลับสู่เคหะของตน เข้าไปหามารดาบิดา แจ้งความคิดของตนให้ท่านทราบ
พร้อมด้วยอาการตกตะลึง ท่านทั้งสองกล่าวว่า
"ลูกเอย...เจ้าเป็นบุตรคนเดียวของพ่อแม่เป็นที่รักดังดวงใจ เจ้ามีแต่ความสุข ได้รับเลี้ยงดูมาอย่างเป็นสุข ไม่เคยได้สัมผัสกับความทุกข์ร้อน เจ้าจักทนต่อความลำบากในเพศบรรพชิตได้อย่างไร
ลูกเอย เจ้ายังหนุ่มมีเกศาดำเป็นมันขลับ จงหาความสุขเยี่ยงฆราวาส จงบริโภค จงอยู่ ให้บำเรออย่างสำราญ และทำบุญไปด้วยก็ย่อมได้ เราทั้งสองจะอนุญาตให้เจ้าบวชไม่ได้ไม่อยากพลัดพรากจากเจ้าแม้ชั่วครู่เดียว จะกล่าวไยถึงจะยอมให้เจ้าไปบวชซึ่งเป็นการแยกกันกินแยกกันอยู่ แม้มัจจุราช-เจ้าแห่งความตาย พ่อแม่ก็ไม่ปรารถนาให้มาพรากตัวเจ้าไป เมื่อเป็นดังนี้ สิ่งใดเล่าจะมีอำนาจดึงลูกไปจากแม่ ทั้งๆ ที่เราทั้งสองยังมีชีวิตอยู่
รัฐบาลกุลบุตรเฝ้าอ้อนวอนมารดาอยู่หลายครั้ง แต่ท่านทั้งสองก็คงยืนกรานเช่นเดิม และกล่าวเพิ่มเติมว่า
"ลูกเอย เชื่อแม่เถอะการบวชไม่ประเสริฐอะไรเลย ถ้าลูกจะปรารถนาทำความดีอยู่ในฆราวาสก็ทำได้และอาจทำได้มากกว่าเสียด้วยซ้ำเพราะมีทรัพย์สินสมบัติเป็นเครื่องอำนวยให้ทำความดีได้โดยสะดวก สมบัติของเราก็มีอยู่มากใช้ไปอีกกี่ชั่วคนก็ไม่หยุด"
รัฐบาลกุลบุตรตอบว่า 'ข้าแต่ท่านมารดาพูดถึงทรัพย์สินสมบัติซึ่งเรากระหยิ่มว่ามีอยู่มากนั้นเมื่อนำไปเทียบกับสมบัติบรมจักร หรือรัชสมบัติของพระศาสดาแล้วก็นับว่าเป็นส่วนเล็กน้อยเหลือเกิน พระองค์ผู้มีสมบัติมากถึงปานนั้นยังทรงสละออกผนวชได้ พูดถึงความสุขเล่าลูกได้ฟังมาจากพระศาสดาพระองค์นั้นว่าโลกียสมบัติและโลกียสุขเป็นสิ่งไม่ยั่งยืนถาวร มีความทุกข์ความร้อนใจซ่อนเร้น พัวพันอยู่ด้วยเสมอสู้อริยทรัพย์และโลกุตตรสุขไม่ได้ ลูกเชื่อพระองค์เพราะพระองค์ได้ผ่านความสุขมาแล้วทั้งสองอย่างเป็นอันมากทั้งโดยปริมาณและคุณภาพ
"พูดถึงการทำความดีจริงอยู่จะอยู่ในเพศบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ก็ทำความดีได้ แต่โอกาสที่จะกำจัดทุกข์ให้สิ้นเสร็จเด็ดขาดโดยสิ้นเชิงนั้นบรรพชิตย่อมมีโอกาสมากกว่าและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า มิฉะนั้นแล้วเหตุไฉนเล่าพระบรมศาสดาผู้สมบูรณ์ด้วยความสุขทุกอย่างเยี่ยงราชโอรส จะพึงสละโลกียสมบัติ และโลกียสุขออกบวช
"ข้าแต่ท่านมารดา ลูกได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะออกบวชให้ได้ หรือมิฉะนั้นก็ความตาย ลูกจะเลือกเอาอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ ถ้ามารดาบิดาไม่ปรารถนาจะเห็นลูกในเพศบรรพชิต ก็คงจะได้เห็นความตายของลูกเป็นแน่แท้"
ท่านทั้งสองคะเนน้ำใจว่าเด็กหนุ่มอย่างรัฐบาลคงมิได้ตั้งใจอะไรจริงจังนัก เพียงแต่ตื่นไปชั่วคราวแล้วคงจะกลับไปเองจึงมิได้พูดอะไรอีก แต่ท่านทั้งสองเข้าใจผิดรัฐบาลกุลบุตรผู้มีบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว เป็นผู้มีภพสุดท้ายแล้ว ไม่มีอะไรสามารถเหนี่ยวรั้งไว้ได้ ประหนึ่งผลไม้ซึ่งสุกเต็มที่ มีขั้วเหี่ยวแล้ว จะต้องหล่นอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าไม่อาจเข้าใจกันได้โดยวาจาแล้วรัฐบาลกุลบุตรจึงตัดสินใจขออนุญาตมารดาบิดาด้วยการอดอาหารนอนบนพื้นอันปราศจากเครื่องลาด ตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าตรงนี้แหละจะเป็นที่ตัดสินการบวชหรือการตายของเรา วันเวลาล่วงไปถึง 7 วัน รัฐบาลไม่ยอม แตะต้องอาหารเลยแม้แต่น้อย ท่านทั้งสองมีความกังวลห่วงใยต่อการกระทำของลูกเป็นอันมาก แต่ด้วยทิฐิประการหนึ่ง และด้วยความอาลัยรักอีกประการหนึ่ง ทำให้ท่านทั้งสองทำใจแข็งไม่ยอมอนุญาตให้รัฐบาลออกบวช ท่านทั้งสองมาเฝ้าปลอบประโลมให้รัฐบาลบริโภคอาหาร และหาความสุขเยี่ยงคนหนุ่มทั้งหลายแต่รัฐบาลก็มิได้สนใจเลย มุ่งมั่นแต่บรรพชาอุปสมบทเท่านั้น
สหายของรัฐบาลกุลบุตรได้ทราบข่าวเรื่องนี้พากันมาช่วยพูดให้รัฐบาลเปลี่ยนใจแต่ก็หาสำเร็จไม่ จึงชวนกันเข้าไปหามารดาบิดาของรัฐบาลอ้อนวอนท่านทั้งสองให้อนุญาตรัฐบาลออกบวช โดยให้เหตุผลว่า ถ้าไม่ยินยอมรัฐบาลกุลบุตรจะต้องตายแน่ แต่ถ้ายินยอม ให้บวชท่านมารดาบิดายังพอมีโอกาสได้เห็นเขาในเพศบรรพชิต รัฐบาลเคยมีความสุขอาจทนอยู่ในเพศนั้นได้ไม่นานนักก็คงจะกลับมายังเรือนของตนเอง ขอได้โปรดอนุญาตให้เขาบวชเถิด มารดาบิดาเห็นสมจริงตามเหตุผลแห่งสหายของลูกจึงยินยอมและกล่าวว่า
"ลูกเอย พ่อและแม่รักเจ้าดังดวงใจไม่อาจทนดูความตายของเจ้าต่อหน้าต่อตาได้ ลุกขึ้นเถิดลูกรัก เราทั้งสองอนุญาตให้เจ้าบวช เมื่อบวชแล้ว ขอให้มาเยี่ยมพ่อแม่บ้าง"
ว่าแล้วท่านทั้งสองก็คร่ำครวญด้วยความอาลัยรักประหนึ่งว่ารัฐบาลจะพาดวงใจของท่านทั้งสองไปด้วย อันปุตตวิปโยคนั้นมีพิษ รุนแรงเพียงใด ยากที่จะทราบได้นอกจากท่านผู้มีบุตรสุดที่รัก แต่เมื่อคำนึงถึงความปรารถนาอันรุนแรงของบุตรแล้วมารดาบิดาก็มักตัดความปรารถนาของตนได้เสมอ อะไรเล่าคือความสุขของพ่อแม่ยิ่งกว่าได้เห็นลูกมีความสุข อะไรเล่าคือความทุกข์ของบิดามารดายิ่งกว่าได้เห็นบุตรตกระกำลำบาก ลูกดีเป็นความชื่นใจของพ่อแม่เป็นที่สุด
รัฐบาลได้ยินคำอนุญาตของมารดาบิดาดีใจเป็นที่ยิ่ง ลุกขึ้นกราบท่านทั้งสองด้วยความเคารพรัก และซาบซึ้งในพระคุณของท่านทั้งสอง เขาบำรุงร่างกายให้มีกำลังพอสมควรแล้วจัดเครื่องอัฐบริขารเรียบร้อยแล้วออกจากเรือนมุ่งไปสู่ที่ประทับของพระศาสดา ในขณะที่มารดาบิดาและปิยชนอื่นๆ มีหน้านองด้วยน้ำตานั่นเอง
เขาได้บวชสมปรารถนา มีความชื่นชมกับเพศใหม่ที่สงบสงัดจากบาปอกุศล รู้สึกโปร่งใจปราศจากความระแวงในภัยอันตรายที่จะพึงมีเยี่ยงฆราวาส เมื่อพระรัฐบาลบวชแล้วได้ครึ่งเดือนพระศาสดาทรงละถุลลโกฏฐิตนิคมไว้เบื้องหลัง เสด็จจาริกไปสู่นครสาวัตถี ราชธานีแห่งแคว้นโกศล ประทับอยู่ ณ เชตวนาราม