นี่คือประกาศิตล่าสุดของผู้นำโลกที่ประกาศซ้ำซากว่า เขาสมควรได้รางวัลโนเบลสันติภาพ หลังจากเข้ามารับตำแหน่งที่ทำเนียบขาวได้ 8 เดือน สามารถหยุดสงครามได้ถึง 8 คู่ (ในนั้นมีคู่ระหว่างไทยกับกัมพูชาด้วย)
ประกาศิตที่ว่านี้คือ ให้ปธน.มาดูโร แห่งเวเนซุเอลาต้องลาออกจากตำแหน่งหรือเดินทางออกนอกประเทศทันที...หรือมิฉะนั้น???
เป็นกิจวัตรปกติของจักรพรรดิทรัมป์ที่ถูกอบรมบ่มนิสัยจากบิดา...นายเฟรด ทรัมป์-นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งควีนส์-ที่เมืองนิวยอร์ก-ให้ใช้วิธีแข็งกร้าวข่มขู่บูลลีทุกวิถีทางเพื่อชนะทางธุรกิจในการประมูลงาน และต่อรองราคา...เพื่อชัยชนะจากคู่แข่งขันหรือคู่ค้า ไม่ว่าจะได้ชัยชนะมาอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือตามทำนองคลองธรรมหรือไม่?
โดยในการพูดทางโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์กับมาดูโร ทรัมป์ได้ข่มขู่ยื่นคำขาดต่อมาดูโรว่า “คุณต้องลาออกจากตำแหน่งทันที เพื่อรักษาชีวิตของคุณเอง; ครอบครัว รวมทั้งคนรอบข้างที่คุณรักด้วยการปล่อยมือจากอำนาจทั้งหมด และเดินทางออกจากประเทศเวเนซุเอลาทันที ถ้าไม่เช่นนั้น…ทรัมป์จะไม่รับรองว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเขา และคนรอบข้าง?”
เป็นคำขาดสุดท้าย หลังจากทรัมป์ในตำแหน่งจอมทัพสหรัฐฯ ได้สั่งการให้ยิงขีปนาวุธทำลายล้างเรือบรรทุกสินค้า และเรือลาดตระเวนของเวเนซุเอลาจำนวนหลายลำ ขณะอยู่ในเขตน่านน้ำทะเลหลวง โดยอ้างว่า เป็นเรือที่บรรทุกยาเสพติดซึ่งกำลังลำเลียงเพื่อมาขายที่สหรัฐฯ นับเป็นอันตรายต่อประชาชนอเมริกัน
ทรัมป์ได้ดำเนินการพยายามโค่นอำนาจรัฐบาลมาดูโรตั้งแต่สมัยทรัมป์ 1.0 โดยให้คว่ำบาตรต่อน้ำมันดิบเวเนซุเอลาที่จะเข้ามาขายในสหรัฐฯ ถึงขนาดระงับใบอนุญาตต่อบริษัทน้ำมันเชฟรอนที่สหรัฐฯ ได้อนุญาตให้ไปสำรวจขุดเจาะน้ำมันในเวเนซุเอลา รวมถึงนำน้ำมันดิบจากเวเนซุเอลาเข้ามากลั่นในสหรัฐฯ
ในยุคทรัมป์ 1.0 นั้น ทรัมป์ได้สนับสนุนและรับรองนายฮวน กวยโด (Juan Guaido) ว่าเป็นปธน.ที่ถูกต้องตามกฎหมายของเวเนซุเอลาถึงขนาดส่งทั้งเงินสนับสนุน และอาวุธ (บางส่วน) ไปให้นายกวยโดเพื่อให้โค่นปธน.มาดูโร ให้จงได้...รวมทั้งเชิญนายกวยโดมาเป็นแขกพิเศษเพื่อกล่าวสรรเสริญในการแถลงนโยบายปี 2020 ของปธน.ทรัมป์ (State of the Union Address)
ทรัมป์ได้ชักชวนให้สหภาพยุโรปรับรองนายกวยโดในตำแหน่งปธน.ของเวเนซุเอลา แทนปธน.ตัวจริงคือ นายมาดูโร...แต่นายกวยโดก็ไม่สามารถโค่นนายมาดูโรได้ เพราะเหล่านายทหารส่วนใหญ่ของเวเนซุเอลา รวมทั้งประชาชนส่วนใหญ่ยังภักดีเหนียวแน่นกับนายมาดูโร ซึ่งยืนหยัดต่อสู้กับการใช้อำนาจเงินและสื่อ (รวมทั้งอาวุธ) ของจักรพรรดิทรัมป์เพื่อล่าอาณานิคมประเทศหลังบ้านตนเอง
โดยเฉพาะแหล่งพลังงานน้ำมันมหาศาลที่เวเนซุเอลามีแหล่งน้ำมันสำรองมากกว่าที่อิรักเสียด้วยซ้ำ
ปธน.กุสตาโว เปโตร แห่งโคลอมเบีย (มีเขตแดนติดต่อกับเวเนซุเอลา) ออกมาฟันธงว่า ทรัมป์ต้องการน้ำมันของเวเนซุเอลา(สมาชิกของโอเปก) ด้วยการโค่นมาดูโร (ก่อนนั้นก็ได้มีความพยายามโค่น-ด้วยรัฐประหาร-ปธน.ฮูโก ชาเวซ-ซึ่งการทำรัฐประหารโดยซีไอเอหนุนหลังกลับต้องล้มเหลว และต่อมาปธน.ชาเวซก็ถึงแก่อสัญกรรมจากมะเร็งที่ลำคอ จากฝีมือของซีไอเอนั่นเอง เช่น ส่งรังสีปรมาณูทำลายชีวิตเขา)
หลังจากข่าวการขีดเส้นตายของทรัมป์ให้มาดูโรสละตำแหน่งทันที และทางสหรัฐฯ (สื่อที่สนับสนุนทรัมป์) ได้ออกข่าวว่า ปธน.มาดูโรได้ยอมจำนนต่อคำสั่ง (Ultimatum) เด็ดขาดของทรัมป์ (โดยจะยอมลงจากอำนาจ-เพื่อรักษาชีวิต-เพื่อไม่ต้องตายแบบกัดดาฟีแห่งลิเบียหรือซัดดัม ฮุสเซนแห่งอิรัก)
ปธน.มาดูโรได้ปรากฏตัวทันทีท่ามกลางการชุมนุมสาธารณะของประชาชนที่เคารพรักเขา และประกาศก้องว่า-เราไม่ต้องการสันติภาพแบบนายทาสกับเหล่าทาส (Slave’s Peace) สำหรับประเทศหลังบ้านสหรัฐฯ ที่จะต้องยอมจำนนศิโรราบกับจักรพรรดิทรัมป์ ที่จ้องน้ำมันสำรองมหาศาลของเวเนซุเอลา ซึ่งรัฐบาลใหม่ของเวเนซุเอลาภายใต้บังคับบัญชาของทรัมป์ จะยอมให้น้ำมันออกสู่ตลาดโลก ทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ไม่พุ่งสูงขึ้น เพื่อดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะได้ลดลงเร็วขึ้น และช่วยด้านหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงกว่า 36 ล้านล้านดอลลาร์ขณะนี้
ทรัมป์และรมต.กระทรวงสงครามนายพีท เฮกเซธ ได้ระดมเรือรบบรรทุกเครื่องบินมาประชิดเวเนซุเอลา เพื่อเตรียมพร้อมในภารกิจยิงเข้าใส่เพื่อโค่นมาดูโรจากตำแหน่ง (อาจยกพลขึ้นบกหรือไม่ก็ระดมยิงจากข้างนอกประเทศ)
ปธน.เปโตรของโคลอมเบีย เรียกปฏิบัติการปิดล้อมเวเนซุเอลาด้วยเรือรบสหรัฐฯ นี้ว่า “Gunboat Policy” คือ “เรือปืนปิดล้อม” คล้ายปี ร.ศ. 112 ที่ไทยโดนเรือปืนของจักรพรรดิฝรั่งเศสปิดล้อม เพื่อกดดันให้เราต้องยอมเสียดินแดนในเขมรให้ฝรั่งเศสนั่นเอง รวมทั้งสิทธิสภาพนอกอาณาเขตด้วย
นอกจากปิดล้อมด้วยเรือรบพิฆาตแล้ว ทรัมป์ยังสั่งปิดน่านฟ้าทั้งหมดของเวเนซุเอลา เพื่อโค่นมาดูโรให้ได้ โดยห้ามเรือบินทุกชนิดทั้งเรือบินพาณิชย์โดยสารและขนส่ง รวมทั้งเรือบินพันธมิตรของมาดูโรทุกๆ ลำ ห้ามบินเข้ามาในรัศมีของเวเนซุเอลา...ช่างคล้ายสิ่งที่เกิดขึ้นกับกัดดาฟีแห่งลิเบีย ก่อนที่เขาจะถูกถล่มจากกองกำลังของสหรัฐฯ และนาโต จนต้องตายที่ท่อน้ำที่เขาหลบซ่อนตัวอยู่...หรือกรณีของปธน.ซัดดัมที่ถูกปิดน่านฟ้า ก่อนสหรัฐฯ ถล่มด้วย Shock and Awe โดยคำสั่งของปธน.บุช ที่ร่วมกับสุนัขพุดเดิลชื่อ โทนี แบลร์ จากอังกฤษ-ที่ทั้งคู่กล่าวหาว่าซัดดัมมีอาวุธมหาประลัยทั้งนิวเคลียร์, เคมี, ชีวภาพ
เรื่องทรัพยากรน้ำมันและแร่ธาตุหายาก (สำหรับผลิตชิปคุณภาพสูง) เป็นสิ่งที่จักรพรรดิทรัมป์ต้องการที่สุด เพื่อทำลายการผูกขาดของจีน (กรณีแร่ธาตุหายาก) ถึงขนาดกล่าวหา (อย่างไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้) ว่า ผู้นำประเทศแอฟริกาใต้กำลังกำจัดและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวนาผิวขาว ถึงขนาดทรัมป์คว่ำบาตรไม่เข้าร่วมประชุมสุดยอด G20 ที่โจฮันเนสเบิร์ก และจะคว่ำบาตรไม่เชิญผู้นำแอฟริกาใต้เข้าร่วมประชุมสุดยอด G20 ที่สหรัฐฯ จะเป็นเจ้าภาพในปีหน้าที่ Mar-a-Lago
และขณะนี้ได้เริ่มคว่ำบาตรผู้นำประเทศไนจีเรีย (ผู้ผลิตน้ำมันเจ้าใหญ่ของแอฟริกาและอยู่ในโอเปกด้วย) ด้วยข้อหา (ที่กุขึ้นเช่นเดียวกับที่กุขึ้นกับผู้นำประเทศแอฟริกาใต้) ว่า กำลังมีนโยบายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวนาผิวขาวของไนจีเรีย
ทรัมป์ออกคำสั่งปธน.ให้ออกวีซ่าพิเศษให้แก่คนผิวขาวในแอฟริกาใต้ สามารถเข้ามาทำงานและดำรงชีวิตอยู่ในสหรัฐฯ ได้อย่างง่ายดาย เพื่อหลบหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่แอฟริกาใต้-แต่ตรงข้าม-เขาขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H1-B (สูงถึง 1 แสนเหรียญ) แก่นักวิชาชีพด้านไอทีจากอินเดีย, จีน และตะวันออกกลาง
Patterns ขอการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (Regime Change) หรือเปลี่ยนรัฐบาลที่ไม่เอาใจผู้นำจักรพรรดิสหรัฐฯ เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำซากและเป็นระบบ ในสมัยสงครามเย็นก็เป็นเรื่องของอุดมการณ์และทรัพยากร แต่หลังสงครามเย็นนี้เป็นเรื่องทรัพยากรล้วนๆ คือ ผู้นำคนใดที่ขวางทางผู้นำสหรัฐฯ จะถูกกำจัด ไม่ว่าจะเป็นปฏิวัติที่จัตุรัสเมดานของยูเครน (ปี 2014) และที่กำลังเกิดขึ้นที่เวเนซุเอลา, เลบานอน, อิหร่าน, ไนจีเรีย หรือแอฟริกาใต้


