xs
xsm
sm
md
lg

กดดันไม่เลิก! ทรัมป์รับคุยโทรศัพท์กับ ‘ผู้นำเวเนซุเอลา’ ตามข่าว อ้างกดดันให้ลงจากตำแหน่ง ขณะเวเนฯฟ้องโอเปก มะกันกำลังเดินแผนมุ่งฮุบ‘น้ำมัน’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ (ซ้าย) ยืนยันแล้วว่าได้คุยโทรศัพท์กับ นิโคลัส มาดูโร ผู้นำเวเนซุเอลา (ขวา) เพื่อกดดันให้เขายอมก้าวลงจากตำแหน่ง
ทรัมป์เผยได้คุยโทรศัพท์กับมาดูโรจริง แต่อุบรายละเอียด ขณะที่สื่อดังระบุมีการหารือเรื่องเงื่อนไขนิรโทษกรรม ถ้าผู้นำเวเนซุเอลายอมลงจากตำแหน่ง ด้านวุฒิสมาชิกรีพับลิกันคนหนึ่งแย้มอเมริกาเสนอโอกาสให้มาดูโรเดินทางออกนอกประเทศไปยังรัสเซียหรือประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ทรัมป์ยังแก้ต่างให้ รัฐมนตรีกลาโหม เฮกเซธ ของตน ไม่ได้ออกคำสั่ง “ฆ่าทุกคน” ในปฏิบัติการโจมตีเรือเล็กในทะเลแคริบเบียนตามที่เป็นข่าว

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันเมื่อวันอาทิตย์ (30 พ.ย.) ว่า ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับนิโคลัส มาดูโร ผู้นำเวเนซุเอลา แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ เมื่อวันศุกร์ (28 พ.ย.) นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า ทรัมป์หารือกับมาดูโรเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการพบกันที่วอชิงตัน ขณะที่วันต่อมา วอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานว่า หัวข้อการสนทนารวมถึงเงื่อนไขในการนิรโทษกรรมหากประธานาธิบดีเวเนซุเอลายอมลงจากตำแหน่ง

วันอาทิตย์ มาร์กเวย์น มัลลิน วุฒิสมาชิกรีพับลิกัน กล่าวในรายการ “สเตท ออฟ เดอะ ยูเนียน” ของซีเอ็นเอ็นว่า อเมริกาเสนอโอกาสให้มาดูโรเดินทางออกนอกประเทศไปยังรัสเซียหรือประเทศอื่นๆ

อเมริกากล่าวหาว่า มาดูโร ซึ่งเป็นทายาททางการเมืองของฮูโก ชาเวซ อดีตผู้นำฝ่ายซ้ายที่เสียชีวิตไปแล้วของเวเนซุเอลา เป็นผู้นำแก๊ง “คาร์เทล ออฟ เดอะ ซัน” และเสนอรางวัลนำจับ 50 ล้านดอลลาร์ อีกทั้งไม่ยอมรับว่า มาดูโรชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้วอย่างชอบธรรม

วอชิงตันเพิ่มความกดดันเวเนซุเอลาด้วยการเสริมกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ครั้งใหญ่ในทะเลแคริบเบียน ซึ่งรวมถึงเรือบรรทุกเครื่องบินล้ำสมัยที่สุด อีกทั้งขึ้นบัญชีดำแก๊งค้ายาเสพติดดังกล่าวเป็นกลุ่มก่อการร้าย ปลายสัปดาห์ที่แล้วทรัมป์ยังโพสต์เตือนว่า อาจปิดน่านฟ้าเวเนซุลา

แม้ทรัมป์ไม่ได้ข่มขู่อย่างเปิดเผยว่า จะใช้กำลังจัดการกับมาดูโร แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกว่า ความพยายามในการปราบปรามการลักลอบขนยาเสพติดในเวเนซุเอลาด้วยการบุกภาคพื้นดินอาจเริ่มต้นเร็วๆ นี้

สหรัฐฯ อ้างว่า เป้าหมายในการประจำการทางทหารที่เริ่มต้นในเดือนกันยายนคือ เพื่อกวาดล้างการลักลอบค้ายาเสพติดในภูมิภาค ทว่า การากัสโต้ว่า เป้าหมายที่แท้จริงของวอชิงตันคือการเปลี่ยนแปลงระบอบในเวเนซุเอลา

เวเนซุเอลาและพันธมิตรหลายประเทศยืนกรานว่า ไม่มีคาร์เทล ออฟ เดอะ ซันอยู่จริง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญในเวเนซุเอลาจำนวนมากระบุว่า วอชิงตันอาจหมายถึงการที่แก๊งอาชญากรติดสินบนเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของเวเนซุเอลา

เวเนซุเอลาในฐานะชาติสมาชิก ยังขอให้องค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ช่วยหยุดยั้งการรุกรานของอเมริกา โดยในจดหมายจากมาดูโรที่เดลซี โรดริเกซ รองประธานาธิบดีและรัฐมนตรีน้ำมันเวเนซุเอลา เผยแพร่ระหว่างการประชุมเสมือนของรัฐมนตรีโอเปกระบุว่า วอชิงตันพยายามใช้กำลังทหารเข้ายึดแหล่งน้ำมันสำรองใหญ่ที่สุดในโลกของเวเนซุเอลา

นับจากเดือนก.ย. อเมริกาโจมตีทางอากาศเล่นงานเรือเล็กในทะเลแคริบเบียนและด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยกล่าวหาว่า เรือเหล่านั้นลักลอบขนยาเสพติด เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 83 คน โดยที่คณะบริหารของทรัมป์ไม่เคยแสดงหลักฐานที่เป็นรูปธรรมเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาดังกล่าว และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมของปฏิบัติการนั้น

วันศุกร์ที่ผ่านมา สื่อในอเมริการายงานว่า ในปฏิบัติการเมื่อวันที่ 2 ก.ย. กองทัพสหรัฐฯ ได้เข้าโจมตีซ้ำหลังเห็นผู้รอดชีวิต 2 คนจากการโจมตีครั้งแรกกำลังเกาะเรือที่ไฟลุกไหม้ และทำให้ทั้งสองคนเสียชีวิต

วอชิงตันโพสต์ และซีเอ็นเอ็นเจาะลึกว่า พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ออกคำสั่งให้ “ฆ่าทุกคน” ทว่า เมื่อวันอาทิตย์ทรัมป์แก้ต่างให้ว่า เฮกเซธยืนยันว่า ไม่ได้ออกคำสั่งดังกล่าว พร้อมระบุว่า จะตรวจสอบเรื่องนี้ และย้ำว่า ตนไม่ต้องการให้มีการโจมตีซ้ำ

ด้านเฮกเซธสำทับว่า รายงานดังกล่าวเป็นข่าวปลอม และบอกว่า ปฏิบัติการโจมตีในทะเลแคริบเบียนถูกต้องตามกฎหมายและต้องการให้เกิดผลลัพธ์ “รุนแรง”

ทว่า ฮอร์เก โรดริเกซ ประธานรัฐสภาเวเนซุเอลา กล่าวถึงรายงานเกี่ยวกับคำสั่งของเฮกเซธว่า ถ้ามีการประกาศสงครามระหว่างสองประเทศ การโจมตีของอเมริกาอาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม แต่เนื่องจากยังไม่มีการประกาศสงคราม สิ่งที่เกิดขึ้นจึงถือเป็นการวิสามัญฆาตกรรม

ขณะเดียวกัน โวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เรียกร้องให้วอชิงตันสอบสวนความถูกต้องตามกฎหมายของการโจมตี เนื่องจากมีหลักฐานชัดเจนว่า เป็นการวิสามัญฆาตกรรม

(ที่มา: เอเอฟพี/รอยเตอร์)
กำลังโหลดความคิดเห็น