‘ทรัมป์’แย้มอาจเจรจากับ‘มาดูโร’ ถือเป็นการส่งสัญญาณครั้งแรกที่บ่งชี้ความเป็นไปได้ในการคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียด อย่างไรก็ดี ในอีกด้านหนึ่งนั้นเพนตากอนเผยว่า เรือบรรทุกเครื่องบินลำใหญ่สุดของอเมริกาและของโลกเดินทางถึงนอกชายฝั่งเวเนซุเอลาแล้ว ขณะที่ “รูบิโอ”เตรียมประกาศให้กลุ่มค้ายาเสพติดที่วอชิงุนกล่าวหาว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของประธานาธิบดีเวเนซุเอลา เป็นกลุ่มก่อการร้ายระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการเปิดทางให้วอชิงตันเล่นงานได้ถนัดมือขึ้น
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อวันอาทิตย์ (16 พ.ย.) ว่า อาจหารือบางเรื่องกับประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ของเวเนซูเอลา และดูว่า ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ก่อนสำทับว่า ทางกรุงการากัสน่าจะอยากเจรจาเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี ทรัมป์ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการพูดคุยกับมาดูโร ซึ่งอเมริกากล่าวหาว่า เกี่ยวข้องกับการลักลอบค้ายาเสพติด ขณะที่เจ้าตัวยืนกรานปฏิเสธ
ทางด้านรัฐบาลเวเนซุเอลายังไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ขณะที่มาดูโรกล่าวหามานานแล้วว่า วอชิงตันกำลังทำสงครามเพื่อโค่นล้มตน
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนระบุว่า สัปดาห์ที่แล้วเจ้าหน้าที่อาวุโสในคณะบริหารของทรัมป์ประชุมกัน 3 รอบที่ทำเนียบขาวเพื่อหารือเกี่ยวกับทางเลือกสำหรับปฏิบัติการทางทหารที่เป็นไปได้ต่อเวเนซุเอลา ซึ่งรวมถึงการโจมตีภาคพื้นดิน
ในส่วนทรัมป์นั้นได้กล่าวเมื่อวันศุกร์ (14 พ.ย.) ว่า กำลังพิจารณาเกี่ยวกับเวเนซุเอลาและจะเปิดเผยการตัดสินใจเร็วๆ นี้
ขณะเดียวกัน เมื่อวันอาทิตย์ มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงว่า อเมริกาจะขึ้นบัญชีแก๊งค้ายา คาร์เทล เดอ ลอส โซลส์ เป็น “องค์การก่อการร้ายระหว่างประเทศ” ซึ่งจะทำให้ผู้ใดก็ตามในอเมริกาที่ให้การสนับสนุนกลุ่มนี้เป็นผู้กระทำผิดในคดีอาญาหลังจากที่การประกาศนี้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 พ.ย.
ทั้งนี้ คณะบริหารของทรัมป์กล่าวหาว่า มาดูโรเป็นผู้นำคาร์เทล เดอ ลอส โซลส์ ที่ร่วมมือกับแก๊งเทรน เด อารากัวในเวเนซุเอลา ลักลอบส่งยาเสพติดเข้าสู่อเมริกา
เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่า คำแถลงของรูบิโอเปิดทางให้อเมริกาสามารถโจมตีทรัพย์สินของมาดูโรและโครงสร้างพื้นฐานในเวเนซุเอลาใช่หรือไม่ ทรัมป์ตอบว่าใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่า อเมริกากำลังจะทำแบบนั้น
อย่างไรก็ตาม ผู้นำสหรัฐฯ เสริมว่า จะกดดันมาดูโรต่อไปและขัดขวางไม่ให้แก๊งค้ายาส่งยาเสพติดเข้าสู่อเมริกา
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อวันอาทิตย์ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงว่า ยูเอสเอส เจอรัลด์ อาร์ ฟอร์ด ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินใหญ่ที่สุดของกองทัพเรืออเมริกาและใหญ่ที่สุดในโบก พร้อมกำลังพล 5,000 นาย และเครื่องบินรบหลายสิบลำ รวมทั้งเรือรบอื่นๆ ในหมู่เรือ ได้เคลื่อนเข้าสู่ทะเลแคริบเบียนแล้ว เพื่อสมทบกับเรือรบ 8 ลำ เรือดำน้ำนิวเคลียร์ 1 ลำ และเครื่องบินขับไล่เอฟ-35 ที่ประจำการอยู่ในบริเวณดังกล่าวอยู่ก่อนแล้ว ในการปฏิบัติภารกิจปกป้องความมั่นคงของซีกโลกตะวันตกและความปลอดภัยของอเมริกาจากการก่อการร้ายและการลักลอบขนยาเสพติด
เพนตากอนยังเปิดเผยว่า ได้โจมตีเรือเล็กลำหนึ่งที่เชื่อว่า ลักลอบขนยาเสพติดในน่านน้ำสากลทางตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อวันเสาร์ (15) ซึ่งมีผู้ก่อการร้ายเสียชีวิต 3 คน
นับจากต้นเดือนก.ย. กองทัพสหรัฐฯ โจมตีเรือ 21 ลำ ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 80 คน ภายใต้ข้ออ้างในการพยายามตัดเส้นทางการลักลอบขนยาเสพติดเข้าสู่อเมริกา โดยที่ไม่เคยแสดงหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวอ้างนี้
คณะบริหารทรัมป์อ้างว่า อเมริกากำลังทำสงครามกับแก๊งยาเสพติดและมีอำนาจตามกฎหมายในการกระทำการดังกล่าว ขณะที่กระทรวงยุติธรรมเสนอความคิดเห็นทางกฎหมายที่รองรับการโจมตี อีกทั้งยืนยันว่า ทหารอเมริกันในปฏิบัติการเหล่านั้นได้รับความคุ้มครองจากการถูกดำเนินคดี
ทว่า กลุ่มสิทธิมนุษยชนที่รวมถึงองค์การนิรโทษกรรมสากลประณามการโจมตีของอเมริกาว่า เป็นการวิสามัญฆาตกรรมพลเรือน ขณะที่พันธมิตรบางชาติแสดงความกังวลมากขึ้นว่า วอชิงตันอาจละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และแม้แต่สมาชิกพรรครีพับลิกันบางคนยังเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบุคคลที่เป็นเป้าหมายในปฏิบัติการของอเมริกา และเหตุผลด้านกฎหมายที่รองรับการโจมตีเรือเหล่านั้น
อนึ่ง วันศุกร์ที่ผ่านมา รอยเตอร์ได้เผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำร่วมกับอิปซอสส์ซึ่งพบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจแค่ 35% สนับสนุนให้ส่งทหารเข้าปฏิบัติการในเวเนซุเอลาเพื่อลดการลักลอบขนยาเสพติดเข้าสู่อเมริกาโดยไม่ต้องขออนุญาตรัฐบาลเวเนซุเอลา
(ที่มา: รอยเตอร์/เอพี)


