xs
xsm
sm
md
lg

รังสีอำมหิตที่ยูเอ็น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร


โดนัลด์ ทรัมป์
บรรยากาศในการฟังคำปราศรัยของที่ประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติ เมื่อวันอังคารที่ 23 กันยายน ผู้เข้าร่วมประชุมต่างนั่งเงียบกริบ ไม่มีเสียงหัวเราะต่อกระซิกหรือกระซิบกระซาบของผู้เข้าฟังคำปราศรัยของเจ้าภาพใหญ่ในฐานะเจ้าของสถานที่ นั่นคือ ปธน.ทรัมป์ ที่มาในมาดเกรี้ยวกราดยกตนข่มท่านตามสัญลักษณ์ประจำตัวของเขา และด้วยท่าทีที่ขึงขังจริงจัง ซึ่งจะต่างกับเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ที่เขามากล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรกในฐานะผู้นำสหรัฐฯ ในวาระแรกที่เพิ่งเข้ารับมาตำแหน่ง และในช่วงนั้นที่ประชุมดูจะเฮฮากับข้อเสนอหรือข้อสังเกตของทรัมป์ ที่ดูจะหลุดโลกและเล่นบทผู้ร้ายแหวกม่านประเพณี ซึ่งทั้งโลกดูจะไม่เอาจริงเอาจังกับแนวคิดของเขานัก

ประกอบกับข้อมูลที่เล็ดลอดออกมาจากคนใกล้ชิดว่า การชนะการเลือกตั้งได้เข้าทำเนียบขาวในครั้งแรกนั้น ปธน.ทรัมป์ก็ดูจะไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ จังๆ เพียงหวังประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงให้แก่ธุรกิจของเขามากกว่า จะได้เข้ามาบริหารชาติที่เศรษฐกิจใหญ่สุด และแสนยานุภาพเป็นอันดับหนึ่งของโลก

ขนาดมีข้อมูลว่า คืนแห่งชัยชนะครั้งแรกนั้น เมลาเนีย ทรัมป์ถึงกับร้องไห้ไม่เชื่อว่าตนเองจะต้องเข้ามารับบทสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ


แต่ในการปราศรัยของปธน.ทรัมป์ในครั้งนี้ ที่ประชุมดูเงียบงันผิดปกติเพราะได้เห็นฤทธิ์เดชของจักรพรรดิทรัมป์ตลอด 7 เดือนที่ทำให้โลกและสหรัฐฯ นั้นสั่นสะเทือน พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว ด้วยกำแพงภาษีทรัมป์ที่โหดสุดๆ เปลี่ยนชื่อกระทรวงกลาโหมเป็นกระทรวงสงครามสอดแทรกการทำงานของหน่วยงานอิสระด้วยอำนาจบาตรใหญ่ของฝ่ายบริหารด้วยการปลดกรรมการอิสระจนมีคดีความล้นศาลขณะนี้ และการเลิกนโยบายความเท่าเทียมและหลากหลายทางเพศ, ศาสนา และเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ เป็นต้น

ทรัมป์ได้เปิดฉากวิพากษ์การทำงานของสหประชาชาติในการสร้างสันติภาพโลกว่า ไร้ทั้งความสำเร็จ รวมทั้งไม่มีความพยายามมากพอ เมื่อเทียบกับตัวเขาเองที่สามารถระงับศึกไปได้ถึง 7 แห่ง ซึ่งในนั้นเขาไม่ลืมจะพูดถึงการปะทะกันด้วยกำลังระหว่างไทยกับเขมร (เป็นการหาเสียงสำหรับรางวัลโนเบลสันติภาพที่เขาเล็งอยู่อย่างจดจ่อ และมีกำหนดประกาศผลรางวัลในวันที่ 10 ตุลาคมที่จะถึงนี้)

ขณะที่เขากำลังเริ่มต้นปราศรัย ก็ปรากฏว่าตัว teleprompterที่เขาใช้ช่วยอ่านคำปราศรัยเกิดขัดข้อง ก็เข้าทางคุณทรัมป์ทันทีคือ เขายกเป็นตัวอย่างว่า กลโกงเครื่องมือของยูเอ็นนั้น-ไร้ประสิทธิภาพ-ดังเช่นเครื่องช่วยอ่านบทปราศรัยนี้เอง-ทั้งๆ ที่ด้านยูเอ็นยืนยันว่า ทางทำเนียบขาวเป็นผู้รับผิดชอบดูแลการทำงานของเครื่องอย่างใกล้ชิด ขณะที่ปธน.ทรัมป์กำลังกล่าวปราศรัย โดยทำเนียบขาวเป็นฝ่ายห้ามทางยูเอ็นเข้ามาดูแลเด็ดขาด (น่าจะเอาเครื่อง teleprompter มาเองจากทำเนียบขาวด้วยซ้ำ เพื่อให้แน่ใจว่าจะควบคุมเครื่องมือปราศรัยเอง-ไม่มีการวางยาให้เครื่องเสียในช่วงสำคัญเช่นนี้)

เขาโจมตีทั้งยูเอ็นและสหภาพยุโรปในสองนโยบายที่พลาดอย่างใหญ่หลวง หนึ่งคือ นโยบายรับผู้อพยพที่ยูเอ็นมีทั้งงบประมาณเพื่อช่วยเหลือการตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพโยกย้ายถิ่น ซึ่งเขาให้ดูตัวอย่างที่สหรัฐฯ ว่ามีนโยบายปิดประเทศ ไม่รับผู้อพยพเข้า (โดยเฉพาะอย่างผิดกฎหมาย) โดยบอกว่า คนแปลกถิ่นที่มีวัฒนธรรมต่างจากเจ้าของประเทศ จะทำให้ประเทศชาติอ่อนแอ ทั้งๆ ที่สหรัฐฯ เป็นดินแดนที่รุ่งเรืองถึงขนาดนี้ได้ก็เพราะเปิดรับผู้อพยพมาตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้งประเทศทีเดียว

อีกนโยบายคือ การใช้พลังงานหมุนเวียนที่เขาเรียกว่าเป็น “Con Job” คือ นโยบายหลอกลวงประเทศร่ำรวยอย่างสหรัฐฯ, G7, สหภาพยุโรป ให้หันเปลี่ยนมาใช้พลังงานสีเขียว ซึ่งมีราคาแพงกว่าพลังงานแบบเก่าดั้งเดิม ที่ตนมีอยู่เหลือเฟือและราคาถูกคือ พลังงานฟอสซิล-กลับถูกหลอกให้ต้องมาลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่เพื่อผลิตพลังงานชนิดใหม่นี้ และโลกตะวันตกกำลังเสียรู้บางประเทศกำลังพัฒนา (หมายถึงจีน) ที่กำลังได้ประโยชน์จากการขายอุปกรณ์ผลิตพลังงานหมุนเวียนนี้ให้กับยุโรปและสหรัฐฯ (ทั้งแผงรับดวงอาทิตย์, กังหันลม, รถยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เป็นต้น)

เขาบอกว่า การติดตั้งเครื่องมือผลิตพลังงานใหม่นี้ จะทำให้ประเทศต้องชะลอด้านการเติบโต

ทั้งการต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายรับผู้อพยพจากต่างถิ่น และพลังงานรูปแบบใหม่นี้ เหมือนหางสองหางของสัตว์ร้ายที่กำลังถ่วงการเติบโตของชาติ (ตะวันตก) จนอาจทำให้สูญสลายพังทลายในที่สุด

เขาให้น้ำหนักน้อยมากเมื่อพูดถึงสงครามยูเครนและกาซา เพราะทั้งสองแห่งนี้เขาไม่ประสบผลสำเร็จในการทำให้เกิดสันติภาพแต่อย่างใด

สำหรับการหยุดยิงที่กาซานั้น เขาไม่เห็นด้วยที่กำลังมีการเคลื่อนไหว (นำโดยฝรั่งเศสและอังกฤษ ร่วมกับประเทศอื่นๆ ทั้งในยุโรปและออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ รวมทั้งแคนาดา) ในสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ เพื่อเสนอรับรองให้มีรัฐปาเลสไตน์ดำรงอยู่เคียงข้างรัฐอิสราเอล; เพื่อให้เกิดการหยุดยิงถาวรในกาซาและเวสต์แบงก์-โดยทรัมป์บอกว่า การยอมให้มีรัฐปาเลสไตน์ก็คือ การเข้าข้างฮามาสเพื่อคุกคามความอยู่รอดของรัฐอิสราเอลนั่นเอง

ถ้าข้อเสนอยอมรับรัฐปาเลสไตน์ผ่านสมัชชาใหญ่ยูเอ็น ก็ต้องเข้าไปผ่านการพิจารณายอมรับจากคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งจะไปโดนวีโตจากสหรัฐฯ แน่นอน และรัฐปาเลสไตน์ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้แน่นอน


กำลังโหลดความคิดเห็น