คำวลีว่า Nepo Kids นี้ช่างคล้องจองกับคำว่า Nepal เพราะมีตัวสะกดสอดคล้องกันพอดี จึงถูกนำมาใช้ปลุกเร้าในการประท้วงอย่างรุนแรง (คนตายถึงเกือบ 100 คน) ของคนหนุ่มสาวชาวเนปาลในช่วงปลายสิงหาคม เป็นเวลาแค่ 1 อาทิตย์ที่เกิดการเผาสัญลักษณ์แห่งอำนาจ, ความร่ำรวยฟุ้งเฟ้อ ซึ่งสร้างความคั่งแค้นต่อประชาชนส่วนใหญ่ของเนปาลที่ยากจน ขนาดต้องบากหน้าและทิ้งครอบครัวและแผ่นดินเกิดเดินทางออกไปขายแรงงานในต่างประเทศ ไม่ว่าจะที่ตะวันออกกลาง, เอเชียตะวันออก-ญี่ปุ่น,เกาหลีใต้, ไต้หวัน, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีคนงานจากเนปาลอยู่ในแทบทุกประเทศ รวมทั้งที่ยุโรปและสหรัฐฯ
การต่อสู้ทางการเมืองที่เนปาลนั้นเข้มข้นถึงขนาดเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย โดยมีการจัดตั้งรัฐบาลจากหลายพรรคซึ่งหนึ่งในนั้นคือ พรรคคอมมิวนิสต์ (เหมาอิสต์) เป็นแกนนำรัฐบาล-ก็ยังมิวายเต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่ฝ่ายปกครองได้ตักตวงผลประโยชน์จากทั้งงบประมาณ และการเนรมิตโครงการจ่างๆ เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋านักการเมืองและพวกพ้อง และรวมถึงการหลบเลี่ยงจ่ายภาษีให้ทุกรูปแบบ
และเมื่อประชาชนได้เครื่องมือสื่อสารใหม่คือ โซเชียลมีเดียที่มีแพลตฟอร์มหลากหลาย ซึ่งสามารถวิพากษ์วิจารณ์การโกงกินของเหล่าผู้บริหารประเทศ รวมทั้งข้าราชการที่ร่วมโกงกิน โยงไปถึงเหล่านักธุรกิจผู้มั่งคั่งและได้สัมปทานจากรัฐ หรือผูกขาดธุรกิจจากคอนเนกชันกับฝ่ายบริหาร-ประชาชนก็สามารถรวมตัวกันในการขัดขืนหรือประท้วงการโกงกินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเราได้เห็นชัดตั้งแต่เหตุการณ์ Arab Spring ในปี 2011 ที่เริ่มมาจากประเทศตูนิเซีย-นักศึกษาจบมหาวิทยาลัยแล้วแต่ไม่มีงานทำ โดยความเหลื่อมล้ำมีมหาศาลในการโกงชาติของนักการเมือง-นักศึกษาต้องมาตั้งแผงขายผักข้างถนน-ก็ถูกตำรวจตบทรัพย์ห้ามวางแผงขายผักเกะกะทางเดิน-เขาจึงเผาตัวตาย-แล้วเกิดการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย-นำมาสู่คนชุมนุมใหญ่ขับไล่ปธน.ตูนิเซียต้องรีบเดินทางไปลี้ภัยในต่างประเทศ-และเกิดการเดินขบวน-ติดต่อกันในอีกหลายประเทศขับผู้นำ-ที่อียิปต์, ซีเรีย ฯลฯ
Nepo Kids เริ่มมาจากที่อินเดียซึ่งหมายถึง “นายน้อย” หรือเหล่าบรรดาลูกๆ (หลานๆ-เครือญาติของเหล่านักการเมืองและชนชั้นนำ) ที่มีความเป็นอยู่อย่างหรูหราฟู่ฟ่า ต่างกับลูกชาวบ้านที่ยากจน, เรียนที่สถาบันการศึกษาที่ไม่ใช่โดดเด่น, มีชีวิตความเป็นอยู่ต่างกับ “นายน้อย” ราวฟ้ากับเหว-เพราะ “นายน้อย” จะมี “นายใหญ่” ที่มีอำนาจอิทธิพลทางการเมือง, ทางธุรกิจคอยอุ้มชูให้สืบทอดทางด้านการเมืองและธุรกิจได้อย่างง่ายดาย
เหตุการณ์โค่นรัฐบาลอย่างรุนแรงที่ศรีลังกา, ที่บังกลาเทศ และล่าสุดที่เนปาล ก็มีรากเหง้ามาจากช่องว่างระหว่างคนรวย-คนจนหรือผู้มีอำนาจอิทธิพลล้นฟ้า-กับประชาชนที่ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้-อนาคตที่มืดมน-ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ที่เนปาลนี้หนุ่มสาวรุ่น Gen Z (อายุ 25-40) ที่สื่อสารติดต่อมือถือผ่านแอปต่างๆ ในการทำมาหากิน (เช่นขายของไปทั้งโลก-ผ่านระบบออนไลน์) หรือติดต่อกับสมาชิกในครอบครัวที่ต้องละทิ้งบ้านเกิดไปทำงานในต่างประเทศ-รวมทั้งการวิพากษ์รัฐบาลและในการนัดชุมนุมทำให้เหล่า “นายใหญ่” ไม่พอใจ จึงออกคำสั่งปิดแอปต่างๆ เกือบ 30 แห่ง ทำให้เหล่า Gen Z คับแค้นใจมาก-ประกอบกับเหล่า “นายน้อย” ก็ทำตัวหรูหราฟู่ฟ่า ขี่รถยนต์หรู, จัดงานแต่งงานหรูหรา, สวมเสื้อผ้าราคาแพง (อย่างที่เราเห็น “นายน้อย” ในประเทศไทยสวมรองเท้าคู่หนึ่งเรือนล้าน หรือกระเป๋าแบรนด์เนมใบละเป็นล้าน เป็นต้น) ซึ่งเป็นที่มาของวลี Nepo Kids คือเด็กที่มีเส้นสายเป็นทายาทของเหล่า “นายใหญ่” ที่มีอิทธิพลทางการเมืองและธุรกิจ ซึ่ง Nepo นี้มาจากคำว่า Nepotism นั่นเอง
ความจริงในหลายๆ สังคมทั้งประชาธิปไตยและเผด็จการก็มีเหล่า Nepo Kids นี้ทั้งนั้น เพียงแต่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอาจไม่รุนแรงเท่าที่เนปาล-หรือการอวดร่ำอวดรวยจากฝ่าย “นายน้อย” อาจไม่กระทบจิตใจของลูกชาวบ้านเท่าที่เนปาล เพราะหลายสังคมมีสื่อมวลชนที่คอยตรวจสอบ “ความซ่า” ของเหล่า “นายน้อย” ให้จำกัดความมั่งคั่งหรูหราไม่ให้ไปแทงใจดำของลูกชาวบ้านมากนัก เช่น ตระกูลเคนเนดีที่ก็มีสืบทอดจากพ่อสู่ลูกทางการเมือง แต่สื่อสหรัฐฯ ก็ตรวจสอบอย่างเข้มข้น และความเหลื่อมล้ำอาจไม่สูงมากเท่ากับเนปาล
หรือแม้แต่ปธน.สี ก็อยู่ในข่ายเคยเป็น “เจ้าชายน้อย Princely” มาก่อน แต่เมื่อได้อำนาจเขาได้เข้ามาจัดการกับเหล่า “นายน้อย” ที่ขับรถเฟอร์รารีและใช้นาฬิกาสุดหรู เพราะเป็นทายาทของ “นายใหญ่” ที่มีคอร์รัปชันสูงมากในยุคที่จีนเริ่มเปิดประเทศไปสู่เศรษฐกิจทุนนิยม
เนปาลได้รับการจัดอันดับ CPI (Corruption Perception Index) ในปีล่าสุด-จัดโดยองค์กรความโปร่งใส (T.I.) อยู่ลำดับที่ 107-เท่ากับของประเทศไทย โดยได้คะแนนแค่ 34% (เท่ากับไทย) จึงเป็นอุทาหรณ์เตือนใจว่า เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างรุนแรงที่เนปาล-ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถเกิดในไทยได้ ยิ่งพวกคุณหนูๆ “นายน้อย” เย้ยคนจนลูกชาวบ้านด้วยการสวมเสื้อผ้าชุดละล้านบาท ให้เห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน และรวบอำนาจทางการเมืองถ่ายทอดมาจากพ่อ “นายใหญ่” สู่ลูก “นายน้อย” โดยไม่แยแสว่า “นายน้อย” จะไร้ความสามารถขนาดไหนก็ตาม